Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานภาษาไทยเรื่องลิลิตโองการแช่งน้ำ4_14

โครงงานภาษาไทยเรื่องลิลิตโองการแช่งน้ำ4_14

Published by Guset User, 2022-12-12 08:23:09

Description: โครงงานภาษาไทยเรื่องลิลิตโองการแช่งน้ำ4_14

Search

Read the Text Version

ลิลิตโองการแช่งน้ำ



โครงงานภาษาไทย การจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book) ส่งเสริมการอ่านวรรณคดีไทย ชื่อหนังสือ”ลิลิตโองการแช่งน้ำ” จัดทำโดย ๑.นายเปรมชนัน คำมี เลขที่ ๘ ๒.นายพชร พันธุ์กว้าง เลขที่ ๑๔ ๓.นายมนต์ธวัช เชื้อแก้ว เลขที่ ๑๗ ๔.นางสาวดากานต์ดา สิงห์คูณ เลขที่ ๓๘ ๕.นางสาวปัณฑิตา วงษ์คำ เลขที่ ๔๐ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔/๑๔ ครูที่ปรึกษาโครงงาน นางกรรณิการ์ พลพวก โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book)เล่มนี้เป็นส่วนประกอบโครงานวิชาภาษาไทย ท๓๑๑๐๒ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕



ก คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) นี้ จัดทำเพื่อประกอบการเรียนการสอนใน รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๓๑๑๐๒ ซึ่งเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับวรรณคดีสมัยอยุธยา ตอนต้น เรื่องลิลิตโองการแช่งน้ำ ผู้จัดทำได้รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้ อื่นๆในโรงเรียน และแหล่งเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้นักเรียนได้มีความรู้ ความ เข้าใจในเนื้อหามากขึ้น ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book)เล่มนี้จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้อ่านและนักเรียนหรือนักศึกษาที่กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อผิด พลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ ผู้จัดทำ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๕



สารบัญ ข เรื่อง หน้า ก คำนำ ข สารบัญ ๑ ประวัติความเป็นมา ๓ พิธีกรรม ๔ ความเชื่อและประเพณี ๕ คุณค่าทางวรรณคดี ๖ ร่ายดั้นและโคลงเรื่องลิลิตโองการแช่งน้ำ ๓๗ บท บรรณานุกรม

๑ ลิลิตโองการแช่งน้ำ ประวัติความเป็นมา ผู้แต่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงค์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าอาจ แต่งในสมัยสมเด็จพระรามาธิปดีที่๑ (อู่ทอง) ผู้แต่งคงจะเป็นผู้รู้พิธีพราหมณ์ และรู้วิธี ประพันธ์ของไทยเป็นอย่างดี สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงอยุธยา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานส่าสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑เป็นเชื้อสายของ พระเจ้าสิริชัยเชียงแสนแห่งแคว้นสิริธรรมราช จึงเป็นต้นวงศ์เชียงรายเป็นราชบุตรเขยของ พระเจ้าอู่ทอง เมื่อ พ.ศ.๑๘๘๗ ได้เป็น เจ้าเมืองอู่ทอง ซึ่งขณะนั้นขึ้นต่อเมืองสุโขทัย ต่อมา เกิดโรคระบาด จึงทรงย้ายราชธานีมาตั้งตำบลหนองโสนแขวงเมืองอโยธยา เมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓ ขนานนามใหม่ว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยาและพระองค์ได้รับพระนามใหม่ว่า สมเด็จพระ รามาธิปดีที่ ๑ ทรงตั้งพระองค์เป็นใหญ่ไม่ขึ้นต่อกรุงสุโขทัยนับแต่สถาปนาราชธานี ใน รัชกาลนี้ได้รับวัฒนธรรมขอมและพราหมณ์เป็นอันมาก ภาษาไทยจึงเริ่มมีคำเขมรเข้ามา ปะปนมากขึ้นมีการประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพิธีศรีสัจปานกาล ตามแบบเขมร ซึ่งถ่ายทอดมาจากพราหมณ์อีกต่อหนึ่ง

๒ ประวัติ ต้นฉบับเดิมที่เหลืออยู่เขียนด้วยอักษรขอม ข้อความที่เพิ่มขึ้นในรัชกาลที่๔ ตาม หลักฐานซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงยืนยันไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน คือ \"แทงพระแสงศรประลัยวาต\" \"แทงพระแสงศรอัคนิวาต\" และ \"แทงพระแสงศรพรหมมาสตร์\"คำประพันธ์ที่ใช้คือโคลงห้าและร่าย โบราณหนังสือเรื่องนี้นับว่าเป็นวรรณคดีเรื่องแรกของคนไทย ที่แต่งเป็นร้อยกรองอย่างสมบูรณ์แบบ ชื่อเรียกแต่เดิมว่า โองการแช่งน้ำบ้าง ประกาศแช่งน้ำโคลงห้าบ้าง ต้นฉบับที่ถอดเป็นอักษรไทยจัด เป็นวรรคตอนคำประพันธ์ไว้ค่อนข้างสับสน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเจ้าอยู่หัว ทรงสอบทานและ พระราชวินิจฉัยเรียบเรียงวรรคตอนใหม่ ทำนองแต่ง มีลักษณะเป็นลิลิต คือ มีร่ายกับโคลงสลับกัน ร่ายเป็นร่ายโบราณ ส่วนโคลง เป็นโคลงแบบโคลงห้าหรือมณฑกคติ มีทั้งหมด ๓๗ บทถ้อยคำ ถ้อยคำที่ใช้ส่วนมากเป็นคำไทย โบราณ นอกจากนั้นมีคำเขมร และบาลี สันสกฤต ปนอยู่ด้วย คำสันสกฤตมีมากกว่าคำบาลี ความมุ่งหมาย ใช้อ่านในพิธีถือพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีศรีสัจปานกาล ซึ่งกระทำตั้งแต่ รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทองสืบต่อกันมาจนเลิกไปเมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็น ระบบประชาธิปไตย ใน พ.ศ.๒๔๗๕ เรื่องย่อ เริ่มต้นด้วยร่ายดั้นโบราณ ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม ตามลำดับ ต่อจากนั้นบรรยายด้วยโคลงห้า และร่ายดั้นโบราณสลับกัน กล่าวถึงไฟไหม้โลกเมื่อสิ้น กัลป์แล้วพระพรหมสร้างโลกใหม่ เกิดมนุษย์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ การกำหนดวัน เดือน ปี และการ เริ่มีพระราชาธิบดีในหมู่คน แล้วอัญเชิญพระกรรมบดีปู่เจ้ามาร่วมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ตอนต่อไป เป็นการอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เรืองอำนาจมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดา อสูร ภูตปีศาจ ตลอดจนสัตว์มีเขี้ยวเล็บเป็นพยาน ลงโทษผู้คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนผู้ซื่อตรงภักดี ขอให้มี ความสุขและลาภยศ ตอนจบเป็นร่ายยอพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน

๓ พิธีกรรม อัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพรหม เทพยาดา และภูตผีปีศาจ เป็นพยาน ผู้ใดเภทจงคด ถือขันสรดใบพูตานเสียด มารเฟียดไททศพล ช่วยดู ธรรมารคประเตยก ช่วยดูอเนกกถ่องพระ- สงฆ์ ช่วยดู ขุนหงษทองเกล้าสี่ ช่วยดู ฟ้าฟัดพรีใจยังดู ช่วยดู สี่ปวงผรีหาวแห่ง ช่วยดูฟ้าชรแร่งหกคลอง ช่วยดู ผองผี กลางหาวแอ่น ช่วยดู ฟ้ากระแฉ่นเรืองผยอง ช่วยดู เจ้าผาดำสามเส้า ช่วยดู แสนผีพึงยอมเท้า เจ้าผาดำผาเผือก ช่วย ดูฯ คำสาปแช่งผู้คิดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน จงเทพยดา ฝูงนี้ให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี อย่าให้มีศุขสวัสดิ์เมื่อใดฯ ลิลิตโองการแช่งน้ำ ใช้ถ้อยคำสำนวนที่เข้าใจยาก และเป็นคำห้วนหนักแน่น เพื่อให้เกิดความน่าเคารพ ยำเกรง ความพรรณนาบางตอนละเอียดละออ เช่น ตอนกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีอำนาจก็สรรหามากล่าวไว้มากมาย นอกจากนี้ยังใช้ถ้อยคำประเภท โคลงห้าและร่ายดั้น ซึ่งมีจังหวะลีลาไม่ราบรื่น สะดุดเป็นตอน ๆ ยิ่งเพิ่มความขลัง ขึ้นอีก เป็นอันมาก จึงนับได้ว่าลิลิตโองการแช่งน้ำเรื่องนี้แต่งได้เหมาะสมกับความมุ่งหมายสำหรับใช้อ่านหรือสวดใน พระราชพิธี ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งมีความสำคัญแก่การเพิ่มพูนพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ในระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ วรรณคดีเรื่องนี้มีกำเนิดจากพระราชพิธีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แสดงถึงอิทธิพลของวัฒนธรรม เขมร และพราหมณ์อย่างชัดเจน สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงรับการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพระราชพิธี ศรีสัจปานจากเขมรมาใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ของบ้านเมืองที่ต้องการสร้างอำนาจปกครองของพระเจ้าแผ่น ดิน และความมั่นคงของบ้านเมืองในระยะที่เพิ่งก่อสร้างราชอาณาจักร ในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏว่ามีพระราชพิธีศรีสัจปานกาล เนื่องจากกษัตริย์สุโขทัยทรงปกครองบ้านเมือบ แบบพ่อปกครองลูก ถึงแม้หลักศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๔๕ มีเนื้อความเกี่ยวกับการสบถสาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัย ผู้เป็นหลานกับเจ้าเมืองน่านผู้ปู่ และถ้อยคำบางตอนคล้ายกับลิลิตโองการแช่งน้ำ แต่ก็เป็นการสาบานระหว่างบุคคล เฉพาะกรณี ไม่ใช่พิธีทางราชการทั่วไปกระทำต่อพระเจ้าแผ่นดินเป็นการทั่วไปอย่างที่กรึงศรีอยุธยา อนึ่งข้อความนี้จารึก ไว้ใน พ.ศ.๑๙๓๕ ซึ่งอาจเป็นสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒หรือพระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสยลือไท)ตรงกับรัชการสมเด็จ พระราเมศวรแห่งกรุงรีอยุธยา เป็นช่วงที่กรุงสุโขทัยเสียอิสระภาแก่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๒๑ ถ้าพระราชพิธีสัจ ปานกาลเคยกระทำที่สุโขทัยก็จะต้องเป็นเวลาภายหลังที่กรุงสุโขทัยตกอยู่ในอำนาจปกครองและอิทธิพลทางวัฒนธรรม ของ กรุงศรีอยุธยาแล้ว

๔ ความเชื่อและประเพณี โองการ แปลว่า คำศักดิ์สิทธิ์ คำประกาศของกษัตริย์ สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า โอมการ หมายถึง อักษรโอม โอม คือคำย่อ ที่ใช้กล่าวนำในการสวดของพราหมณ์ ย่อมาจาก อ. อุ. ม. (อ่านว่า อะ - อุ - มะ) อ. หมายถึงพระศิวะหรือพระอิศวร อุ. หมายถึงพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ม. หมายถึงพระพรหม ประกาศแช่งน้ำเป็นโองการที่พราหมณ์ใช้อ่านหรือสวดในพิธีศรีสัจจปานกาลหรือพิธีถือน้ำพระพิ พัทธ์สัตยา คำว่า พัทธ น่าจะมาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ผูกมัด และคำว่า สัตยา น่าจะได้จากคำว่า สัตฺย ปาน ในภาษาสันสกฤต แปลว่า น้ำสัตยสาบาน (สัจจปานเป็นรูปบาลี) ต่อมาคำว่า พิพัทธ์สัตยา เปลี่ยนไป เป็น พิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีเกิดจากความเชื่อเรื่องคำสัตย์สาบาน และความเชื่อเรื่องเทพเจ้า การล้างโลก การสร้าง โลก ตามคติทางศาสนาพราหมณ์ ประกอบกับความจำเป็นด้านการปกครองบ้านเมือง เนื่องจากสมเด็จพระ รามาธิบดีที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นครั้งแรก ต้องการความซื่อสัตย์สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจ เดียวกันของบรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายทำให้ต้องมีพระราชพิธีดื่มน้ำสาบานตนขึ้น

๕ คุณค่าทางวรรณคดี ลิลิตโองการแช่งน้ำ เป็นวรรณคดีไทยยุคกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ลักษณะคำ ประพันธ์เป็นโคลงห้าสลับร่ายดั้น แต่งในสมัยพระเจ้าอู่ทอง สันนิษฐานว่าคงให้ พวกพราหมณ์แต่งขึ้น รัชกาลที่ ๕ สันนิษฐานว่า “ลิลิตโองการแช่งน้ำ” น่าจะเป็น เรื่องที่แปลหรือลอกมาจากเมืองที่ถือไสยศาสตร์และกล่าวว่าเป็นพระราชพิธีใหญ่ สำหรับแผ่นดินมีสืบมาแต่โบราณ ไม่มีเวลาว่างเว้น มีคำอ้างว่าเป็นพิธีระงับยุคเข็ญ ของบ้านเมือง ลิลิตโองการแช่งน้ำ จึงเป็นวรรณกรรมทางการเมืองที่เก่าแก่เรื่องหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณ ในการที่จะ พิทักษ์พระราชอำนาจและเป็นวรรณกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อมุ่งให้ผู้ถือน้ำเกิดความเกรงกลัวและยึดมั่นในคำสัตย์สาบานของตน

๖ ลิลิตโองการแช่งน้ำ หรือ ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า ผู้แต่ง พราหมณ์ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ประเภท พิธีกรรม คำประพันธ์ ร่ายดั้นและโคลงห้า ความยาว ๓๗ บท ยุคสมัย อยุธยาตอนต้น ๑ โอมสิทธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุฑมาขี่ สี่มือถือสังข์จักรคธาธรณี ภีรุอวตารอสูรแลงลาญทัก ททัคนิจรนาย (แทงพระแสงศรปลัยวาต) ๒ โอมบรเมศวราย ผายผาหลวงอะคร้าว ท้าวเสด็จเหนือวัวเผือก เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทร์เป็นปิ่ น ทรงอินทร ชฎา สามตาพระแพร่ง แกว่งเพชรกล้า ฆ่าพิฆนจัญไร (แทงพระแสงศรอัคนิวาต) ๓ โอมชัยชัยไขโสฬสพรหมญาณ บานเศียรเกล้า เจ้าคลี่บัวทอง ผยองเหนือขุนห่าน ท่านรังก่อดินก่อฟ้า หน้าจตุรทิศ ไทมิตรดา มหากฤตราไตร อมไตยโลเกศ จงตรีศักดิท่าน พิญาณปรมาธิเบศ ไทธเรศสุรสิทธิพ่อ เสวยพรหมาณฑ์ใช่ น้อย ประถมบุญภารดิเรก บูรภพบรู้กี่ร้อย ก่อมา (แทงพระแสงศรพรหมาศ) ๔ นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์ จักร่ำจักราพาฬเมื่อไหม้ กล่าวถึงตระวันเจ็ดอันพลุ่ง น้ำแล้งไข้ขอดหาย ๕ เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็นไฟ ชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า วาบจัตุราบาย แลบล้ำสีลอง ๖ มรรถญาณครเพราะเกล้าครองพรหม ฝูงเทพนองบนปานเบียดแป้ง สรลมเต็มพระสุธาวาสแห่งหั้น ฟ้าแจ้งจอดนิโรโธ ๗ กล่าวถึงน้ำฟ้าฟาดฟองหาว ดับเดโชฉ่ำหล้า ปลาดิน[4] ดาวเดือนแอ่น ลมกล้าป่วนไปมา ๘ แลเป็นแผ่นเมืองอินทร์ เมืองธาดาแรกตั้ง ขุนแผนแรกเอาดินดูที่ ทุกยั้งฟ้าก่อคืน ๙ แลเป็นสี่ปวงดิน เป็นเขายืนทรง้ำหล้า เป็นเรือนอินทร์ถาเถือก เป็นสร้อยฟ้าคลี่จึ่งบาน ๑๐ จึ่งเจ้าตั้งผาเผือกผาเยอ ผาหอมหวานจึ่งขึ้น หอมอายดินเลอก่อน สรดึ้นหมู่แมนมา

๗ ๑๑ ตนเขาเรืองร่อนหล้าเลอหาว หาวันคืนไป่ได้ จ้าวชิมดินแสงหล่น เพียงดับไต้มืดมูล ๑๒ ว่นว่นตาขอเรือง เป็นพระสูรย์ส่องหล้า เป็นเดือนดาวเมืองฉ่ำ เห็นฟ้าเห็นแผ่นดิน ๑๓ แลมีค่ำมีวัน กินสาลีเปลือกปล้อน บ่มีผู้ต้อนแต่งบรรณา เลือกผู้ยิ่งยศเปนราชาอะคร้าว เรียกนามสมมติราชเจ้า จึ่งตั้งท้าวเจ้าแผ่นดิน ๑๔ สมมติแกล้วตั้งอาทิตย์เดิมกัลป์ สายท่านทรงธรณินทร์เรื่อยหล้า วันเสาร์วันอังคารวันไอยอาทิ์ กลอยแรกตั้งฟ้ากล่าวแช่งผี ๑๕ เชือกบาศด้วยชันรอง ชื่อพระกำปู่เจ้า ท่านรังผยองมาแขก แรกตั้งขวัญเข้าธูปเทียน ๑๖ เหล็กกล้าหญ้าแพรกบั้นใบตูม เชียรเชียรใบบาตรน้ำ โอมโอมภูมิเทเวศ สืบค้ำฟ้าเที่ยงเฮยย่ำเฮย ๑๗ ผู้ใดเภทจงคด พาจกจากซึ่งหน้า ถือขันสรดใบพลูตานเสียด หว้ายชั้นฟ้าคู่แมน ๑๘ มารเฟียดไททศพลช่วยดู ไตรแดนจักอยู่ค้อย ธรรมมารคปรตเยกช่วยดู ห้าร้อยเฑียรแมนเดียว ๑๙ อเนกถ่องพระสงฆ์ช่วยดู เขียวจรรยายิ่งได้ ขุนหงส์ทองเกล้าสี่ช่วยดู ชรอ่ำฟ้าใต้แผ่นหงาย ๒๐ ฟ้าฟัดพรีใจยังช่วยดู ใจตายตนบใกล้ สี่ปวงผีหาวแห่งช่วยดู พื้นใต้ชื่อกามภูมิ

๘ ๒๑ ฟ้าชรแร่งหกคลองช่วยดู ครูมคลองแผ่นช้างเผือก ผีกลางหาวหารแอ่นช่วยดู เสียงเงือกงูวางขึ้นลง ๒๒ ฟ้ากระแฉ่นเรือนผยองช่วยดู เอาธงเป็นหมอกหว้าย เจ้าผาดำสามเส้าช่วยดู แสนผีพึงยอมท้าว ๒๓ เจ้าผาดำผาเผือกช่วยดู หันเหย้าวปู่สมิงพราย เจ้าผาหลวงผากลายช่วยดู ๒๔ ดีร้ายบอกคนจำ ผีพรายผีชรหมื่นดำช่วยดู กำรูคลื่นเป็นเปลว บซื่อน้ำตัดคอ ๒๕ ตัดคอเร็วให้ขาด บซื่อมล้างออเอาใส่เล้า บซื่อน้ำหยาดท้องเป็นรุ้ง บซื่อแร้งกาเต้าแตกตา ๒๖ เจาะเพาะพุงใบแบ่ง บซื่อหมาหมีเสือเข่นเขี้ยว เขี้ยวชาชแวงยายี ยมราชเกี้ยวตาตาวช่วยดู ๒๗ ชื่อทุณพีตัวโตรด ลมฝนฉาวทั่วฟ้าช่วยดู ฟ้าจรโลดลิวขวาน ขุนกล้าแกล้วขี่ยูงช่วยดู ๒๘ เคล้าฟ้าเคลือกเปลวลาม สิบหน้าเจ้าอสูรช่วยดู พระรามพระลักษณชวักอร แผนทูลเขาเงือกปล้ำช่วยดู

๙ ๒๙ ปล้ำเงี้ยวรอนราญรงค์ ผีดงผีหมื่นถ้ำ ล้ำหมื่นผา มาหนน้ำหนบก ตกนอกขอกฟ้าแมน แดนฟ้าตั้ง ฟ้าต่อ หล่อหลวงเต้า ทั้งเหง้าภูติพนัสบดี ศรีพรหมรักษ์ยักษ์กุมาร หลายบ้านหลายท่า ล้วนผีห่าผีเหว เร็วยิ่งลมบ้า หน้าเท่าแผง แรงไกยเอาขวัญ[11] ครั้นมาถึงถับเสียงเยียชระแรงชระแรง แฝงข่าวยินเยียร ชรรางชรราง รางชางจุบปาก เยียจะเจียวจะเจียว เขี้ยวสรคาน อานมลิ้น เยียละลายละลาย ตราบมีในฟ้า ในดิน บินมาเยียพพลุ่ง จุ่งมาสูบเอา เขาผู้บซื่อ ชื่อใครใจคด ขบถเกียจกาย วายกระทู้ฟาดฟัด ควานแค วนมัดศอก หอกดิ้นเด้าเท้าถก หลกเท้าให้ไปมิทันตาย หงายระงมระงม ยมบาลลากไป ไฟนรกปลาบปลิ้น ดิ้นพลาง เขาวางเหนืออพิจี ผู้บดีบซื่อ ชื่อใครใจคด ขบถแก่เจ้า ผู้ผ่านเกล้าอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศร ราชาธิราช ท่านมีอำนาจมีบุญ คุณอเนกา อันอาศัยร่ม แลอาจข่มชัก หัก กิ่งฆ่า อาจถอนด้วยฤทธานุภาพ บาปเบียนตน พันธุ์พวกพ้อง ญาติกามาไสร้ ไขว้ใจจอด ทอดใจรัก ชัก เกลอสหาย ตนทั้งหลายมาเพื่อจำทำขบถ ทดโทรห แก่เจ้าตนไสร้ จงเทพยุดา ฝูงนี้ให้ตายในสามวัน อย่า ให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี อย่าให้มีสุขสวัสดีเมื่อใด อย่ากินเข้าเพื่อไฟจนตาย ๓๐ จงไปเป็นเปลวปล่อง อย่าอาศัยแก่น้ำจนตาย น้ำคลองกลอกเป็นพิษ นอนเรือนคำรนคาจนตาย ๓๑ คาบิดเป็นตาวงุ้ม ลืมตาหงายสู่ฟ้าจนตาย ฟ้ากระทุ่มทับลง ก้มหน้าลงแผ่นดินจนตาย แล่งแผ่นดินปลงเอาชีพไป สีลองกินไฟต่างง้วน ๓๒ จรเข้ริบเสือฟัด หมีแรดถวัดแสนงขนาย หอกปืนปลายปักครอบ ใครต้องจอบจงตาย งูเงี้ยวพิษทั้งหลายลุ้มฟ้า ตายต่ำหน้ายังดิน นรินทรหยาบหลายหล้า ใครกวินซื่อแท้ผ่านฟ้า ป่าวอวยพร ๓๓ อำนาจแปล้เมือแมนอำมรสิทธิ มีศรีบุญพ่อก่อเศกเหง้า ยศท้าวตริไตรจักร ใครซื่อเจ้าเติมนาง

๑๐ ๓๔ มิ่งเมืองบุญศักดิ์แพร่ ใครซื่อรางควายทอง เพิ่มช้างม้าแผ่วัวควาย ใครซื่อฟ้าสองย้าวเร่งยิน ๓๕ เพรงรัตนพรายพรรณยื่น ใครซื่อสินเภตรา เพิ่มเขาหมื่นมหาไชย ใครซื่อใครรักเจ้าจงยศ ๓๖ กลืนชนมาให้ยืนยิ่ง เทพายศล่มฟ้า อย่ารู้ว่าอันตราย ได้ใจกล้าดังเพชร ๓๗ ขจายขจรอเนกบุญ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรบรมมหา จักรพรรดิ ศรราชเรื่อยหล้า สุขผ่านฟ้าเบิกสมบูรณ์พ่อสมบูรณ์

บรรณา นุกรม ลิลิตโองการแช่งน้ำ.//(๒๕๖๕).//ลิลิตโองการแช่งน้ำ.//สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๕./ จาก https://guru.sanook.com/ ลิลิตโองการแช่งน้ำ.//(๒๕๖๕).//ประวัติความเป็นมา.//สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๕./ จาก https://sites.google.com/ วิกิซอร์ซ.//(๒๕๖๕).//โคลง ๓๗ บท.//สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๕./จาก https://th.m.wikisource.org/


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook