Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวัฒนธรรมการแต่งกายของจีน4

รายงานวัฒนธรรมการแต่งกายของจีน4

Published by Guset User, 2021-11-06 16:19:04

Description: รายงานวัฒนธรรมการแต่งกายของจีน4

Search

Read the Text Version

วฒั นธรรมการแต่งกายของจนี กมลวรรณ เลาหวฒั นภิญโญ 644313101 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาคน้ ควา้ ในรายวิชา 1631101 การรูด้ ิจทิ ลั เพ่ือการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบรุ ี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564

วฒั นธรรมการแต่งกายของจีน กมลวรรณ เลาหวัฒนภิญโญ 644313101 รายงานน้ีเป็นส่วนหน่งึ ของการศกึ ษาคน้ ควา้ ในรายวิชา 1631101 การรดู้ ิจทิ ัลเพ่ือการเรียนรู้ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเพชรบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564

ก คำนำ รายงานเรื่อง วัฒนธรรมการแต่งกายของจีน เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาค้นคว้าใน รายวิชา 1631101 การรู้ดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โดยเนื้อหาภายในรายงานคือการนำเสนอเรื่องราวการแต่งกายของคนจีนในแต่ละยุค และหลาย คนสายละครหนงั จีนกำลงั ภายในหรือยอ้ นยุค คงเคยเกิดความสงสัยเก่ียวกบั ความหลายหลายของเสื้อผ้า ตัวละครในหนงั จนี ว่าทำไมแต่ละเรื่องการแต่งกายจึงมีความไม่เหมือนกัน เสอ้ื ผา้ และทรงผมแบบนี้มีอยู่ จริงหรือ หลายท่านคงเดาออกว่าประวัติศาสตร์ชาวจีนมีมานานแสนนาน มีมาหลายราชวงศ์ ดังนั้นจึง เกดิ รายงานนขี้ ้นึ มาเพ่ือศึกษาวฒั นธรรมในเคร่อื งแตง่ กาย รายงานเล่มนี้ เป็นการรวบรวมเนื้อหาเบื้องต้น อาจมีตกหล่นบ้างหรือไม่ครบถ้วนบ้าง ประการใดผูจ้ ัดทำจึงขออภยั เป็นอย่างสูงและน้อมรับข้อเสนอแนะไปพจิ ารณาปรับปรุงในอนาคต กมลวรรณ เลาหวฒั นภิญโญ 644313101 6 ตลุ าคม 2564

ข สารบญั เร่อื ง หน้า คำนำ .................................................................................................................. ก สารบัญ …………………………………………………………………………………………………. ข 1. การแตง่ กาย………………………………………………………………………………………….. 1 1.1 ความหมาย ............................................................................................... 1 1.2 องคป์ ระกอบของการแตง่ กาย …………………………………………………………. 3 1.3 การแตง่ กายของชาวเอเชยี ....................................................................... 5 2. การแต่งกายของจนี แต่ละสมัย ....................................................................... 7 2.1 สมัยฉนิ (221-220 ปีก่อนคริสตศ์ ักราช) ................................................... 7 2.1.1 ประวตั ิความเป็นมา ........................................................................ 7 2.1.2 ชุดเสื้อผ้าทีใ่ ส่ .................................................................................. 7 2.2 สมยั ฮนั่ (202 ปีกอ่ นคริสตศกั ราช – ค.ศ. 8) ............................................ 8 2.2.1 ประวัตคิ วามเป็นมา ........................................................................ 8 2.2.2 ชุดเสื้อผา้ ที่ใส่ .................................................................................. 8 2.3 สมยั เวย่ จน้ิ หนานเป่ย ( ค.ศ.220- ค.ศ.589) ........................................... 9 2.3.1 ประวัติความเปน็ มา ........................................................................ 9 2.3.2 ชุดเสื้อผา้ ทใ่ี ส่ ................................................................................. 9 2.4 สมยั สุ่ย และสมัยถัง (ค.ศ. 581-ค.ศ. 907) ............................................... 10 2.4.1 ประวัตคิ วามเป็นมา ........................................................................ 10 2.4.2 ชดุ เสอื้ ผา้ ท่ีใส่ .................................................................................. 10 2.5 สมัยซ่ง (ค.ศ.960 – ค.ศ.1279) ............................................................... 11 2.5.1 ประวตั ิความเปน็ มา ........................................................................ 11 2.5.2 ชดุ เสือ้ ผ้าทใ่ี ส่ .................................................................................. 11 2.6 สมัยเหวี่ยน (ค.ศ.1206 – ค.ศ.1368) .................................................... 12 2.6.1 ประวัติความเป็นมา ........................................................................ 12 2.6.2 ชุดเสื้อผ้าทใี่ ส่ .................................................................................. 12 2.7 สมัยหมงิ (ค.ศ.1368 – ค.ศ.1645) .......................................................... 13

2.7.1 ประวตั คิ วามเป็นมา ........................................................................ 13 2.7.2 ชดุ เสอื้ ผ้าที่ใส่ .................................................................................. 13 2.8 สมยั ชงิ (ค.ศ.1644 – ค.ศ.1911) ............................................................ 14 2.8.1 ประวตั ิความเปน็ มา ........................................................................ 14 2.8.2 ชดุ เสื้อผา้ ทใี่ ส่ ................................................................................. 14 2.9 สมยั ปฏิวตั ซิ นิ ไฮ่ (ค.ศ.1911-ค.ศ.1949) .................................................... 15 2.9.1 ประวัติความเปน็ มา ........................................................................ 15 2.9.2 ชดุ เสือ้ ผ้าทใี่ ส่ .................................................................................. 16 3. สรุป ............................................................................................................... 17 4. บรรณานกุ รม ................................................................................................. 18 ภาคผนวน .......................................................................................................... 19 บญั ชภี าพประกอบ ...................................................................................

1 1. การแต่งกาย 1.1 ความหมายของการแต่งกาย การแต่งกาย หมายถึง การตกแต่งรา่ งกายด้วยเสื้อผ้า และเครอ่ื งประดบั ทุกอย่างต้งั แต่ศีรษะ จรดเท้า หากรจู้ กั เลือกเคร่อื งแต่งกายทเ่ี หมาะสมกบั ตนเอง จะทำใหม้ ีบุคคลมบี ุคลกิ ภาพที่ดี นอกจาก ต้องแต่งกายใหเ้ หมาะสมกับตนเองแล้ว ตอ้ งเหมาะสมกับกาลเทศะ เหมาะสมกับสถานที่และการแต่ง กายของมนุษยแ์ ตล่ ะเผ่าพันธ์ุสามารถคน้ คว้าได้จาก หลักฐานทางวรรณคดีและประวตั ศิ าสตร์ เพ่อื ให้ เป็นเครอ่ื งชว่ ยชน้ี ำให้รแู้ ละเข้าใจถงึ แนวทางการแต่งกาย ซ่ึงสะท้อนใหเ้ ห็นถงึ สภาพของการดำรงชีวิต ของมนษุ ยใ์ นยุคสมัยน้นั ๆ ความแตกต่างในการแตง่ กาย 1. สภาพภูมิอากาศ ประเทศที่อยใู่ นภูมิอากาศแถบเส้นอาร์คติก ซง่ึ มีอากาศทห่ี นาวเยน็ มาก มนุษย์ในแถบภูมิภาคนี้ จะสวมเสื้อผา้ ซ่ึงทำมาจากหนังหรือขนของสัตว์ เพือ่ ให้ความอบอุน่ แกร่ ่างกาย ส่วนในภูมิภาคที่มีอากาศ ร้อนอบอ้าว เสื้อผ้าที่สวมใส่จะทำจากเส้นใย ซึ่งทำจากฝ้าย แต่ในทวีปอัฟริกา เสื้อผ้าไม่ใช่สิ่งจำเป็น สำหรับใช้ในการป้องกันจากสภาพอากาศ แต่เขากลับนิยมใช้พวกเครื่องประดับต่างๆที่ทำจากหินหรือ แก้วสตี า่ งๆ ซง่ึ มอี ยู่ในธรรมชาตนิ ำมาตกแต่งรา่ งกาย เพอื่ ใชเ้ ปน็ เครื่องลางหรือเครื่องป้องกันภูติผีปีศาจ อกี ด้วย 2. ศัตรทู างธรรมชาติ ในภูมิภาคเขตร้อน มนุษย์จะได้รับความรำคาญจากพวกสัตว์ปีกประเภทแมลงต่างๆ จึงหาวิธี ขจัดปัญหาโดยการใช้โคลนพอกร่างกายเพื่อป้องกันจากแมลง ชาวฮาวายเอี้ยน แถบทะเลแปซิฟิค สวม กระโปรงซึ่งทำด้วยหญ้า เพื่อใช้สำหรับป้องกันแมลง แต่ก็ได้กลายเป็นที่เก็บแมลงเสียมากกว่า ชาว พ้นื เมืองโบราณของญี่ปนุ่ รู้จกั ใชก้ างเกงขายาว เพ่ือป้องกนั สตั ว์และแมลง 3. สภาพของการงานและอาชพี หนังสัตว์และใบไม้สามารถใช้เพื่อป้องกันอันตรายจากภายนอก เช่น การเดินป่าเพื่อหาอาหาร มนุษย์ก็ใช้หนังสัตว์และใบไม้เพื่อป้องกันการถูกหนามเกี่ยว หรือ ถูกสัตว์กัดต่อย ต่อมา สามารถนำเอา ใยจากต้นแฟลกซ์ ( Flax ) มาทอเป็นผ้าที่เรียกกันว่า ? ผ้าลินิน ? เมื่อความเจริญทางด้านวิทยาการมี มากขึ้น ก็เริ่มมีสิ่งที่ผลิตเพิ่มขึ้นอีกมากมายหลายชนิด สมัยศตวรรษที่ 19 เสื้อผ้ามีการวิวัฒนาการเพิ่ม มากข้นึ มีผคู้ ิดประดษิ ฐเ์ ส้อื ผา้ พเิ ศษ เพือ่ ใหเ้ หมาะสมกบั ความต้องการของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะผ้ทู ่ที ำงาน

ประเภทต่างๆ เช่น กลาสีเรือล่าปลาวาฬ คนงานเหมืองแร่ เกษตรกร คนงานอุตสาหกรรม ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พนกั งานดับเพลงิ เป็น 1 4. ขนบธรรมเนยี มประเพณี วฒั นธรรมและศาสนา เมื่อมนุษย์มีสติปัญญามากยิ่งขึ้น มีการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มชน และจากการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ คณะนี้เอง จึงจำเป็นต้องมรี ะเบียบและกฎเกณฑใ์ นอันท่จี ะอย่รู ่วมกันอยา่ งสงบสุข โดยไม่มกี ารรกุ รานซ่ึง กันและกัน จากการปฏิบัติที่กระทำสืบต่อกันมานี้เอง ในที่สุดได้กลายมาเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรมขึ้น 5. ความตอ้ งการดงึ ดดู ความสนใจจากเพศตรงขา้ ม ธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเจริญเติบโตขึ้น ย่อมมีความต้องการความสนใจจากเพศตรงกันข้าม โดยจะมกี ารแต่งกายเพ่ือใหเ้ กิดความสวยงาม มีการจบั จา่ ยใช้สอยในเร่ืองเสื้อผา้ มากย่ิงขึ้น ผู้ท่ีทำหน้าที่ สนองความต้องการนี้ได้ดีที่สุดก็คือ นักออกแบบเสื้อผ้า ซึ่งได้พยายามออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั ลักษณะท่แี ตกตา่ งกนั ออกไปตามระดับของสังคมและเศรษฐกิจของผ้สู วมใส่ 6. เศรษฐกจิ และสภาพแวดลอ้ ม สถานะภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์ แต่ละบุคคลย่อมไม่เหมือนกัน จึงทำให้เกิดการ แต่งกายที่แตกต่างกนั ออกไป สังคมทั่วไปมีหลายระดับชนชั้น มีการแบ่งแยกกนั ตามฐานะทางเศรษฐกจิ เชน่ ชนช้ันระดับเจ้านาย ชาวบ้าน และกรรมกร การแตง่ กายสามารถบอกได้ถงึ สถานภาพทางสังคมของ ผสู้ วมใส่ไดอ้ ีกด้วย .

2 1.2 องคป์ ระกอบของการแต่งกาย 1. ความสะอาด(Clean) ความสะอาดของเคร่ืองแตง่ กายมสี ่วนสำคัญในการเสรมิ สร้างบคุ ลกิ ภาพอยา่ งมาก หากบุคคลท่ี แต่งกายด้วยเสื้อผ้าทม่ี รี าคาแพง แต่ขาดความสะอาด ทำให้ดูหมดคณุ คา่ และเป็นการทำลายบุคลกิ ภาพ และความน่าเชื่อถือลง ดงั นน้ั ทุกคนจึงควรใหค้ วามสำคัญกับการรักษาความสะอาดของเสือ้ ผ้า พรอ้ มท้ัง ทะนุถนอมเน้ือผ้าให้อยู่ในสภาพดอี ยู่เสมอ 2. ความสภุ าพเรยี บรอ้ ย (Polite) ความสุภาพเรยี บร้อยในการแตง่ กาย ควรเริม่ ต้ังแตศ่ ีรษะจรดเท้า เช่น ทรงผม สีผม เส้ือผ้า ได้แก่ สี แบบ ขนาด รองเทา้ การเลือกเคร่อื งประดับ กระเป๋าถือ ควรเลอื กใหเ้ หมาะสมกับตนเอง ไม่ ควรตามแฟชั่น 3. ความถูกต้องตามโอกาสและกาลเทศะ (Be temperate) การแตง่ กายให้เหมาะสมกบั โอกาส และกาลเทศะเป็นการใหเ้ กยี รติตนเอง และผ้อู ื่น ช่วยใหเ้ กดิ ความมนั่ ใจในการดำเนนิ กจิ กรรมต่าง ๆ แต่ไมว่ ่าจะเปน็ โอกาสใดก็ตาม ผูแ้ ตง่ ควรมพี ื้นฐานทีค่ วามสุภาพ เรียบรอ้ ย ในการแต่งกายเปน็ หลกั ซ่ึงหมายถงึ ท้ังหมดตงั้ แต่ศีรษะจรดเท้า ดังน้ันผ้สู วมใส่จึงควร พจิ ารณาว่าตนเองจะไปทำอะไร ทไ่ี หน อย่างไร เพ่ือเลือกเสื้อผา้ ให้เหมาะสมกับโอกาส เช่น 4. ความเหมาะสมกบั อาชพี (Appropriate to the profession) การแต่งกายให้เหมาะสมกับอาชีพเปน็ สิง่ ท่ีควรคำนึงถงึ อย่างยง่ิ เพราะบางอาชีพเปน็ อาชพี ท่ี เสยี่ งกบั อันตรายจึงมีชดุ เฉพาะทใี่ สใ่ นการปฏบิ ัตงิ าน เชน่ พนักงานดบั เพลิง พนักงานไฟฟ้า หรือบาง อาชีพต้องการความน่าเชื่อถือ กค็ วรเลอื กเสื้อผา้ ใหเ้ หมาะสมเพ่ือเปน็ การเสริมสรา้ งบุคลิกภาพ เชน่ ครู แพทย์ พนกั งานธนาคาร เป็นต้น 5. ความเหมาะสมกับวยั (Age appropriate) การแต่งกายนัน้ ผแู้ ต่งกายควรคำนึงถึงความเหมาะสมกบั อายุเป็นองค์ประกอบ ดังนี้

5.1 วัยเดก็ เสือ้ ผ้าควรจะมีสสี ันสดใส รปู แบบน่ารกั มลี ายการ์ตนู 5.2 วยั รุ่น เสอ้ื ผ้าควรมสี สี ันอ่อน ๆ แบบของเส้ือผา้ เป็นไปตามลักษณะรูปรา่ งและความชอบของแตล่ ะ คน ไมค่ วรสวมเส้ือผ้าทเ่ี ปดิ เผย หรอื รัดรูปจนเกินไป โดยเฉพาะเสื้อหรอื กางเกงที่รดั รปู มาก ๆ อาจเกิด 3 ผลเสียต่อสุขภาพได้ ไม่ควรใสเ่ สอื้ ผ้าที่มรี าคาแพงเกนิ ความจำเป็น และไม่ควรใส่เครื่องประดบั ท่ีดหู รหู รา ซึง่ นอกจากดูไมเ่ หมาะสมกบั วยั แลว้ ยงั อาจเปน็ อนั ตรายตอ่ ตนเองอีกดว้ ย สำหรบั รองเทา้ ควรเป็น รองเทา้ ทส่ี วมใส่สบาย สะดวก คล่องตัว เหมาะกับกิจกรรม และไม่ควรซื้อรองเท้าท่ีแพงเกินไป เนื่องจาก ในวยั รนุ่ เปน็ วัยทีม่ ีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอยา่ งรวดเร็ว 5.3 วัยผู้ใหญ่ เสือ้ ผ้าทีเ่ หมาะสมกบั วยั ผู้ใหญ่ควรมสี สี ภุ าพเรียบร้อย เพื่อให้ดสู งา่ งาม เหมาะสมกบั วัย และบุคลกิ ภาพของตนเอง 6. ความเหมาะสมกบั รูปร่าง (The shape) ศิลปะการแต่งกายทชี่ ว่ ยสง่ เสริมบคุ ลกิ ภาพและภาพลักษณ์ไดเ้ ปน็ อย่างดี คือการแตง่ กายให้ เหมาะสมกบั รูปร่างและสัดส่วนของตน โดยมีวตั ถุประสงค์เพอื่ ใหเ้ ส้ือผา้ ท่ีแต่งชว่ ยอำพรางจดุ บกพร่อง ของรูปรา่ ง พรอ้ มท้ังสง่ เสรมิ จุดเด่นของรปู ร่างทำให้เกดิ ความเหมาะสม สวยงาม อยา่ งลงตัว

4 1.3 การแต่งกายของชาวเอเชีย เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ไทย : นยิ มแตง่ กายตามสมยั นิยมแบบชาวตะวันตก แตย่ ังมสี ่ิงท่ีแสดงถึงความเป็นไทย เชน่ ผา้ ถงุ ผา้ ซน่ิ การแตง่ กายแบบสตรีไทยไดร้ ับความนยิ มอีกครั้งเม่ือสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการศึกษาค้นคว้าเคร่ืองแตง่ กายในสมัยต่าง ๆ และใหป้ รบั ปรุงให้เหมาะกับยคุ สมยั จนกระท่งั แตง่ กายประจำชาตขิ องสตรีไทย เรียกวา่ “ชุดไทยพระราชนิยม” มักใช้ผ้าไหมและผา้ ซ่ิน ในการตัดเยบ็ มชี ื่อชดุ และโอกาสสำหรบั ใส่ตา่ ง ๆ กัน ไดแ้ ก่ ไทยเรือนตน้ ไทยจิตรลดา ไทยอมรินทร์ ไทยบรมพมิ าน ไทยจักรี ไทยดสุ ิต ไทยจักรพรรดิ และไทยศวิ าลัย สำหรับชายไทยเรยี กว่า ชดุ ไทย พระราชทาน ใชค้ ู่กบั กางเกงแบบสากลนยิ ม สีสุภาพหรอื สีเดียวกับเสอื้ โดยให้ใชแ้ ทนชดุ สากลนิยมหรอื ใช้เพ่ิมเติมจากชดุ สากลนิยมไดท้ ุกโอกาส แต่ไม่ได้ใช้แทนชุดสากลนยิ ม เอเชียตะวันออก ญป่ี ุ่น : ชาวญป่ี ่นุ มชี ุดประจำชาตซิ ึง่ ใช้กันมานับพันปี เรยี กวา่ “กโิ มโน” ปัจจบุ นั ชาวญป่ี ุ่นแตง่ กายแบบ ชาวตะวนั ตกมากขน้ึ แต่ยังคงแตง่ กิโมโนในพิธีการสำคัญ บางคนกผ็ สมผสานการแตง่ กายในปจั จบุ ันให้ เข้ากบั กโิ มโน เกาหลี : มชี ดุ ประจำชาตเิ รียกว่า “ฮนั บก” ปัจจุบันจะใช้เฉพาะเวลาออกงานสำคัญ ความงามและความ อ่อนช้อยของวฒั นธรรมเกาหลี มกั ถูกถ่ายทอดออกมาผา่ นทาง ภาพถ่ายของสภุ าพสตรีในเครอื่ งแต่ง กายฮันบกน้ี จึงไมน่ ่าแปลกใจที่ชุดฮันบกจะเป็นสญั ลักษณ์อันโดดเดน่ อกี อย่างหนึ่งของประเทศเกาหลี เครื่องแตง่ กายทงั้ ของผหู้ ญิงและผู้ชาย จะมลี ักษณะหลวมเพื่อความสะดวกสบาย ในการเคลอ่ื นไหว และ เส้อื ผา้ จะใช้ผ้าผูกแทนกระดุมหรอื ตะขอ จนี : เป็นการผสมผสานระหว่างรปู แบบของชนกลุ่มน้อยในประเทศ และจากชาวต่างชาติ ในสมัยปฏิวตั ิ ราชวงศ์ชงิ เคร่ืองแต่งกายของจีนก็เปลี่ยนแปลงไปตามอิทธพิ ลของชาวตะวนั ตก แตย่ ังคงมีชดุ ที่เปน็ เอกลักษณ์ เช่น “ก่ีเพา้ ” ซึ่งเดมิ เปน็ เคร่ืองแต่งกายของสตรีแมนจใู นราชวงศช์ ิง ขณะทช่ี าวเผ่าต่าง ๆ จะ มีเครือ่ งแตง่ กายทีต่ า่ งกันตามพ้นื ที่

เอเชียใต้ อนิ เดยี : ไดร้ ับวัฒนธรรมอาหรบั เข้ามาผสมผสานกับการแต่งกายเดิม สตรีอินเดียมีชุดแต่งกายประจำ ชาติ เรียกวา่ “ส่าหร”ี ตัวผ้ามกี ารทอยกด้ินทองหรอื เงิน เชน่ ผ้าดอกจากเมอื งพาราณสีทางภาคเหนอื 5 การนงุ่ สา่ หรีจะต้องพนั ตวั 1 รอบ แล้วนำผา้ ฝา้ ยมาพบั จีบดา้ นหนา้ บางส่วน แลว้ ตวดั ผา้ ท่ีเหลือคลุมไหล่ เหลือชายผา้ ทง้ิ ไปด้านหลัง เอเชียตะวนั ตกเฉยี งใต้ ซาอดุ ีอาระเบีย : แต่งดว้ ยเส้ือผา้ หลวม ปกปดิ มิดชิด โดยผ้ชู ายจะใสช่ ดุ สีขาว เรียกว่า “โต๊ป” (Thobe) สำหรับผหู้ ญงิ หากต้องปรากฏตวั ต่อคนนอกครอบครวั หรือในทีส่ าธารณะจะต้องสวมเสอ้ื คลุมสีดำท่ี เรยี กวา่ “อาบายะห”์ (abaaya) ซ่งึ เปน็ เสือ้ แขนยาว ตัวยาวคลมุ ถึงข้อเท้า มีผา้ คลุมศรี ษะ และผ้าสดี ำ คลมุ หน้า เรยี กว่า “เวยี ล” (veil) ทัง้ น้ี การคลุมศรี ษะไม่ใชบ่ ทบัญญตั ทิ างศาสนา แต่เปน็ ประเพณี ท้องถน่ิ ของคนในเมือง

6 2. การแต่งกายของจนี แตล่ ะสมัย 2.1 สมัยฉิน (221-220 ปกี ่อนคริสต์ศกั ราช) ประวตั ิความเป็นมา อิ๋งเจิ้ง สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าฉิน หรือหวงตี้ (ฮ่องเต้) แห่งราชวงศ์ฉิน และบังคับให้ ประชาชนเรียกตนเองว่า ชาวฉินหรือจิ๋น ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าชาวจนี สมัยนี้มีการปฏิรูประบบตัวอักษร ระบบชั่ง ตวง วัด กำหนดให้มีเพลารถ ล้อรถขนาดเดียวกันทั้งอาณาจักร แบ่งการปกครองเป็นจังหวั ด อำเภอ มีการรวมอำนาจสู่ส่วนกลางที่เมืองหลวง เป็นรัฐที่ปกครองด้วยระบบรัฐทหาร ไม่เห็นด้วยกับ แนวทางของลัทธิขงจื้อ นักประวัติศาสตร์พบว่ามีการสั่งเผาตำราและประหารบัณฑิตของสำนักขงจื้อ ด้วยการเผาหรอื ฝังทง้ั เป็น มกี ารก่อสรา้ งกำแพงเมอื งจีน ถนน ขดุ คลอง มหาสสุ าน ชดุ เสอื้ ผ้าทใ่ี ส่ ผชู้ าย:.ใสเ่ สื้อคลุมยาว โดยท่ีฉินซีฮ่องเต้ได้กำหนดให้ใชส้ ดี ำเป็นหลักในการตัดเย็บสำหรบั เสือ้ ผา้ พิธีการ โดยเชอ่ื วา่ สดี ำเปน็ สีทค่ี คู่ วรแก่การได้รับความเคารพ ข้าราชการยศระดบั 3 ขน้ึ ไปใหใ้ ชส้ เี ขียวประกอบ ในการตัดเยบ็ ประชาชนทั่วไปใชส้ ีขาวประกอบในการตัดเย็บ ผู้หญิง:ฉนิ ซฮี อ่ งเต้ไม่ได้มีการกำหนดสีในการตัดเยบ็ เน่ืองจากท่านชนื่ ชอบสสี นั ความสวยงามของเส้อื ผา้ ที่ นางสนมในวงั สวมใส่ จงึ เนน้ เสือ้ ผา้ ทม่ี สี สี นั สวยหรู ฉูดฉาด

รปู ท่ี 1 เคร่อื งแตง่ กายในสมัยฉิน ทมี่ า : (Parinda Junapong, 2564) 7 2.2 สมยั ฮัน่ (202 ปีก่อนคริสตศักราช – ค.ศ. 8) ประวตั คิ วามเป็นมา หลวิ ปัง สถาปนาเปน็ กษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์ฮน่ั นามวา่ ฮ่นั เกาจู มีเมืองหลวงอยูท่ ี่ เมอื ง - ฉางอาน ในยุคของฮน่ั เกาจู เปน็ ยคุ ฟน้ื ฟบู ้านเมอื ง สง่ เสรมิ การเกษตร และเกบ็ ภาษีเพียง 1 ใน 30 สว่ น ต่อมาในสมัยของกษัตรยิ ์ (ฮ่องเต้) องค์ที่ 5 คอื พระเจา้ ฮน่ั อ่ตู ้ี มีการบกุ เบิกเสน้ ทางสายไหม (Silk Road) ค้าขายกบั อาณาจกั รทอ่ี ยู่ทางตะวันตกของจนี เช่น อนิ เดีย อาหรบั โรมนั ในสมัยนี้มนี กั ประวตั ิศาสตร์คนสำคัญของจีนช่อื “ซอื หม่าเซยี น” ซ่ึงเขยี นหนังสอื ประวัติศาสตร์ชื่อวา่ “ส่ือจ้”ี มีการ ฟ้นื ฟูลัทธขิ งจ้อื ใชเ้ ป็นหลกั ในการปกครอง มีการสอบคดั เลือกคนเข้ารบั ราชการเรียกว่า สอบจอหงวน นกั ประวัตศิ าสตรเ์ รยี กช่วงเวลานวี้ า่ “ฮัน่ ตะวนั ตก” (206 ปีกอ่ นค.ศ. – ค.ศ.9) ชดุ เสอ้ื ผ้าท่ใี ส่ ผูช้ าย: สวมเสอ้ื ส้ัน กางเกงขายาว และหากฐานะยากจน จะสวมเสอ้ื แขนส้นั ท่ีตัดเยบ็ ดว้ ยผ้าหยาบ ผ้หู ญงิ : เสื้อผ้ามีต้งั แต่เป็นลกั ษณะเสื้อและกระโปรงตอ่ กนั (กี่เพ่า) และแยกเสื้อกระโปรงเปน็ 2 ช้นิ กระโปรงจะมีลวดลายหลากหลายมาก กระโปรงที่มีชือ่ เสียงมากทส่ี ุดในสมยั นัน้ คือ “กระโปรงลายเทพสถิต ” ระดบั ชนั้ ของข้าราชการในสมัยฮ่ัน จะมีหมวกและสายประดับยศเปน็ สัญลักษณ์ในการแบง่ ชัน้ ของขุนนาง ซ่งึ สมยั นนั้ ตำแหน่งอัครเสนาบดีเป็นขุนนางตำแหนง่ สงู สุด

รปู ท่ี 2 การแตง่ กายของสตรีในสมัยฮ่ัน ท่มี า : (Parinda Junapong, 2564) 8 2.3 สมยั เว่ยจ้นิ หนานเป่ย (ค.ศ.220 - ค.ศ.589) ประวัตคิ วามเป็นมา สมัยเว่ยจ้ิน หนานเปย่ หรอื ทเ่ี รารจู้ ักกนั “สมัยสามก๊ก” ก็อยใู่ นยุคนี้ จดั ไดว้ า่ เปน็ สมัยทีศ่ าสนา พทุ ธและลทั ธเิ ต๋าเฟ่ืองฟู และเหตุการณส์ ำคัญคือ แผ่นดนิ จีนแบง่ ออกเปน็ 3 แคว้น(ก๊ก) แควน้ ทางเหนือ มีเฉาเชา (โจโฉ) ผสู้ ถาปนาแคว้นเวย่ หลวิ เป้ย(เล่าปี)่ ตง้ั ราชวงศช์ ู่ฮน่ั อย่ทู างตะวนั ตก และซุนเฉวียน (ซุนกวน) ตงั้ ราชวงศ์วู อยู่ทางตอนใต้ ค.ศ.263 แคว้นชู่ฮัน่ ของเล่าปลี่ ่มสลาย ค.ศ.265 แควน้ เวย่ ของโจ โฉ ถกู เสนาบดชี ือ่ ซือหม่าเอีย๋ น ยึดอำนาจและก่อตง้ั ราชวงศ์จ้ินครองราชยใ์ นนามราชวงศ์จน้ิ สำหรับ แคว้นวู (อ๋)ู ในสมยั ฮ่องเตซ้ ุนเฮ่า ทำตัวเปน็ ทรราช ราชวงศ์จ้นิ จึงยกกองทัพมาทำสงคราม ซ่นุ เฮ่ายอม แพ้ แคว้นวูจึงล่มสลายไป ชุดเสอื้ ผ้าท่ใี ส่ ผูช้ าย :เส้อื ผ้าจะมกี ารเปดิ แผงหนา้ อกเล็กนอ้ ย ไหล่เส้อื ลลู่ ง แขนเสอื้ กวา้ ง สวมใสด่ ูสบาย ผหู้ ญิง: เส้อื กเ่ี พา้ แลดูเป็นกระโปรงยาวลากพน้ื แขนเส้อื กว้าง เข็มขัดจะคาดให้ดเู ป็นชัน้ ๆ ซ่งึ แสดงให้ เห็นถึงความสภุ าพ และสงา่ งาม

รปู ท่ี 3 การแต่งกายในสมัยสมัยเวย่ จ้นิ หนานเป่ย ทีม่ า : (Parinda Junapong, 2564) 9 2.4 สมัยสุ่ย และสมยั ถัง (ค.ศ. 581-ค.ศ. 907) ประวัตคิ วามเปน็ มา ในสมัยราชวงศ์สุยและราชวงศถ์ งั ระบบการเมืองมกี ารพฒั นาไปไม่น้อยและมสี ง่ อทิ ธพิ ลต่อยคุ หลังมาก เชน่ ระบบ3กระทรวง6ฝา่ ย ระบบสอบจอหงวนและระบบภาษีเป็นต้น ในด้านการต่างประเทศ ราชวงศ์สยุ และราชวงศถ์ งั ไดใ้ ชม้ าตรการที่ค่อนขา้ งเปิดประเทศ การแลกเปลีย่ นทางเศรษฐกิจและ วฒั นธรรมระหว่างประเทศมีบ่อยคร้ัง ในด้านวรรณคดี บทกวขี องราชวงศ์ถงั มีผลงานอนั ยิ่งใหญ่ แต่ละ ช่วงล้วนมกี วยี อดเย่ียมเกิดข้นึ ศลิ ปะในถำ้ หนิ ตา่ งๆไดแ้ พร่หลายจนถึงยคุ ปัจจบุ นั ในด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี วธิ กี ารพมิ พแ์ ละดินปืนซงึ่ เป็นสองอย่างในสิ่งประดิษฐ์อนั ย่ิงใหญ่ส่ีอยา่ งของจนี ก็เกิดขนึ้ ในสมัยราชวงศถ์ งั ชุดเสอ้ื ผา้ ทีใ่ ส่ เส้ือผ้าของสมัยสยุ่ และสมัยถังมีรปู แบบเส้อื ผ้าท่มี ีความใกลเ้ คียงกันสูง เสื้อผ้าต้นสมัยสุ่ยค่อน ข้างจะเรียบงา่ ย เสื้อผ้ายงั คงมลี ักษณะกี่เพ่าหรือเสือ้ คลุมยาว เมือ่ กษัตริยส์ ยุ่ หยางข้นึ ครองราชย์ ได้เกิด การเปล่ยี นแปลงขึ้นในสงั คม ซึง่ ส่งผลใหเ้ สอ้ื ผา้ ในยคุ สมยั ดังกล่าวได้มีการปรบั เปลี่ยนรปู แบบใหส้ วยงาม ขน้ึ ในสมยั ถัง นับได้วา่ มคี วามเจริญทัง้ ในดา้ นวฒั นธรรมและเศรษฐกจิ เป็นอย่างมาก ดงั น้ันเสื้อผ้าใน สมัยนีจ้ ัดไดว้ า่ มีความสวยงามยงิ่ เสอ้ื ผ้าพิธีการของสตรชี นั้ สงู มีพื้นฐานการแตง่ กายจากหรูชนุ แตป่ รบั ให้ หลวมมากขึน้ คอเสื้อกว้างขึน้ และแขนเสื้อกว้างขนึ้ อีกท้งั ยังมีผ้าคลมุ ไหล่ปรากฏอยู่เช่นกนั และสตรจี นี มคี วามนิยมในชดุ เคร่อื งแต่งกายของบุรุษด้วย เรียกวา่ “หฝู ู”ซ่ึงเปน็ สวมเสอ้ื คลมุ ตัวยาวคลุมเข่า ปกเสื้อ พับออกมาทั้ง 2 ด้าน หรือเป็นเส้อื คอกลม แขนยาว สวมทับกางเกงขายาวเข้ารูปและเก็บชายไว้ใน รองเทา้ บ๊ตู ทีท่ ำจากหนัง

10 รูปท่ี 4 การแต่งกายในสมยั สุ่ย ที่มา : (Parinda Junapong, 2564) รูปท่ี 5 การแตง่ กายในสมยั ถงั ทม่ี า : (Parinda Junapong, 2564)

11 2.5 สมยั ซง่ (ค.ศ.960 – ค.ศ.1279) ประวัตคิ วามเป็นมา พระเจ้าซ่งไทจ่ ู่ รวบรวมจนี เปน็ อันหนงึ่ อันเดยี วกัน มีเมืองหลวงอยูท่ ีเ่ มืองไคฟง พัฒนา เศรษฐกิจและสังคมเปน็ อยา่ งมาก มคี วามเจริญรุง่ เรืองด้านศิลปวฒั นธรรม มีการจัดระเบียบขนั ที ทำให้ ลดปัญหาจากกลมุ่ ขนั ทีลงไป มคี วามก้าวหนา้ ในการเดนิ เรือสำเภา ร้จู กั การใชเ้ ขม็ ทศิ มีการประดิษฐ์ ลกู คดิ แท่นพิมพ์หนงั สอื มีการรักษาโรคดว้ ยการฝังเขม็ ชุดเสื้อผ้าทใี่ ส่ แบบเสอ้ื ผ้าสมยั ซ่งยังคงได้รบั อทิ ธพิ ลตกทอดมาจากสมยั ถัง แต่เน่อื งจากสมยั นน้ั แนวความคิด ปรัชญา(ของสำนกั ขงจ้ือ) เฟื่องฟู พฤติกรรมของผู้คนส่วนใหญ่คล้อยตามแนวคำสอนของท่านขงจื้อ มี รสนิยมชื่นชมในความเป็นธรรมชาติ ส่งผลให้แบบเสื้อผ้าของผคู้ นในสมัยซง่ ไม่เนน้ ลวดลายสีฉูดฉาด เครื่องแตง่ กายเส้ือผา้ ของข้าราชการจะเป็นเส้ือคลุมยาว แขนเสือ้ ใหญ่ สวมหมวกประจำตำแหนง่ มกี าร แบง่ สเี สือ้ ผา้ เพื่อบ่งบอกยศตำแหนง่ ในสว่ นของเสื้อผา้ สตรี เปน็ ลกั ษณะเส้อื คลุมตวั ใหญแ่ ละยาว ชว่ งคอ ตรง ผ้าในสว่ นรักแร้ท้ังสองข้างตัดแยกออกจากกัน หรอื เรียกอีกอย่างหนึ่งวา่ “เส้ือกัก๊ สมัยซ่ง” แบบ เสอ้ื ผ้าน้ีได้รบั ความนยิ มในหมู่นางสนมในวงั และสตรีทั่วไปในสมัยนัน้ รปู ท่ี 6 เสอ้ื กั๊กสมัยซง่ เครื่องแตง่ กายสตรี ทมี่ า : (Parinda Junapong, 2564)

12 2.6 สมัยเหวย่ี น (ค.ศ.1206 – ค.ศ.1368) ประวตั ิความเปน็ มา สมัยเหว่ียนเปน็ สมัยท่มี องโกลไดเ้ ค้ามายึดครองเมืองจีน แต่ทวา่ วัฒนธรรมการแต่งกายยังคง ไดร้ บั อิทธพิ ลจากชาวฮนั่ อยู่ ดังนั้นเคร่อื งแต่งกายในสมยั น้ีจึงเปน็ การผสมผสานระหวา่ งกล่ิน อายมอง โกลและฮ่นั ชุดเสื้อผ้าทใ่ี ส่ เสื้อผ้าชายหญิงในสมยั เหวี่ยนไมไ่ ดม้ คี วามแตกต่างกันเทา่ ไหร่นัก ยังคงเป็นลกั ษณะกีเ่ พา่ หรอื ชุดคลมุ ยาว มีเทคนิคการทอโดยการใช้วัตถดุ ิบผา้ ทอง และขนสัตว์ ในการทอเส้ือผ้า เพ่ือเปน็ การแบ่ง ระหว่างการตดั เย็บแบบมองโกล และการตัดเย็บแบบฮ่ัน ชาวมองโกลจะมเี อกลกั ษณเ์ คร่ืองแต่งกายท่ี นอกเหนือจากก่ีเพ่ายาวแลว้ ยงั นิยมสวมหมวก “กูก”ู เสอ้ื ตรงหนา้ อก เบ้ไปทางซ้าย ยาวและลึก สวม กระโปรงยาวทบั รองเท้าบธู หนงั น่มิ หากเปน็ เสื้อผา้ สตรีชาวฮน่ั โดยท่ัวไปแล้วยงั คงสืบทอดการแต่ง กายสมยั ซ่งอยู่ เส้อื ตรงหน้าอก เบไ้ ปทางขวา มีผา้ คลุมไหล่ สวมกระโปรงจบั จีบ สวมรองเทา้ เรียบติดพน้ื รูปที่ 7 การแต่งกายในสมัยเหวี่ยน ทีม่ า : (Parinda Junapong, 2564)

13 2.7 สมยั หมิง (ค.ศ.1368 - ค.ศ.1645) ประวัติความเป็นมา จูหยวนจาง สถาปนาเปน็ “หมิงไท่จู่ฮ่องเต้” ฟื้นฟเู ศรษฐกิจ พฒั นาศิลปวฒั นธรรมจนี เป็นอยา่ ง ดี และปกครองราษฎรด้วยความผ่อนปรน แตใ่ นทางการเมืองการปกครองพระองค์ใช้ความเดด็ ขาด ปราบปรามผูต้ ่อต้าน และผูร้ ังแกราษฎรอย่างเข้มงวด ชดุ เสื้อผ้าทใ่ี ส่ ผชู้ าย:เสื้อผา้ ชายจะเน้นเสอื้ คลมุ ยาว เป็นหลัก ข้าราชการจะเน้นสวมใส่ชุด “ปฝู่ ”ู สวมหมวกผา้ แพรบาง สวมเส้อื คอกลม ลายผ้าตรงกลางเสอ้ื คลุมยาวบง่ บอกถงึ ยศตำแหนง่ ทางราชการ สมัยนนั้ ผชู้ ายทวั่ ไปยงั นยิ มสวมหมวกผ้าแบบสีเหลยี่ มอีกดว้ ย ผหู้ ญิง:สวมเส้อื กันหนาวทม่ี ซี ับในแบบจีน พกผา้ คลุมที่มไี ว้พาดไหล่สีแดงหรอื พัด และสวมกระโปรง รปู แบบเสอ้ื ผา้ ส่วนใหญ่ เชน่ เสอ้ื ก๊กั ยาว ยงั คงลอกเลียนมาจากสมัยถังและซง่ นางในสมัยหมิงนิยมสวม ใส่เสือ้ ผ้าที่ดูนา่ เล่ือมใส สวมเสอื้ ก๊กเป็นชุดนอก แขนเส้ือแลดเู ข้ารูป กระโปรงจีบข้างในสวมกางเกงขา ยาว ในสมยั หมงิ หญงิ สาวเรมิ่ นิยมพันเท้าให้เล็กหรือเรยี กกันว่า “เท้ากลีบดอกบัว” รปู ที่ 8 การแต่งกายในสมยั หมงิ

ท่มี า : (Parinda Junapong, 2564) 14 2.8 สมยั ชิง (ค.ศ.1644 – ค.ศ.1911) ประวัติความเป็นมา ราชวงศ์ชิงน้ันได้ก่อต้งั โดยชนเผ่าหนู่เจิน โดยตระกลู อา้ ยซินเจว๋หลวั เป็นผนู้ ำ ตัง้ อย่ใู น ดินแดนแมนจเู รยี ในปลายศตวรรษท่สี ิบหก นเู่ อ๋อร์ฮาชื่อ ผูน้ ำเผ่าหนู่เจินไดแ้ ข็งข้อไมย่ อมขึน้ กับ ราชวงศห์ มิงและไดเ้ ริม่ จัดต้ังกองทัพแปดกองธงขึน้ ซ่งึ เปน็ กองทัพทรี่ วมเผา่ ต่าง ๆ เข้าดว้ ยกนั อันได้แก่ ชาวหนู่เจิน, ชาวจนี ฮัน่ และ ชาวมองโกล นู่เอ๋อร์ฮาชอ่ื ไดร้ วมเผ่าหนูเ่ จินเป็น ปกึ แผน่ และเปลย่ี นชอื่ เป็น แมนจู น่เู อ๋อรฮ์ าช่ือ ถอื ได้วา่ เป็นผนู้ ำชาวแมนจูคนแรกที่ได้ถอื โอกาสรวบรวมกำลงั พล ในปี พ.ศ. 2179 หฺวงั ไถจี๋ โอรสของนู่เอ๋อร์ฮาช่ือ ไดน้ ำกองทพั ขับไล่กองทพั ราชวงศ์หมงิ ออกจากคาบสมทุ รเหลยี วตง และก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ ชอื่ ว่า ราชวงศช์ ิง ชุดเสอื้ ผ้าทีใ่ ส่ ผู้ชาย: ยงั คงเนน้ เสื้อคลุมยาว เสือ้ แจ๊คเก็ตแบบจีน เส้ือชั้นในแบบยดื ลกั ษณะเปน็ เส้ือกลา้ ม โกนศรีษะ ออกครงึ่ นึง อีกคร่ึงทักเปยี ยาว เส้ือแจ๊คเกต็ แบบจนี จะสวมทับไว้ด้านนอกของชุดเสอ้ื คลุมทห่ี ลวมยาว ชุดลกั ษณะดังกลา่ วจัดไดว้ ่าเป็นชุดพิธีการ ผหู้ ญิง: กีเ่ พา่ เป็นลกั ษณะของชาวแมนจูอย่างเหน็ ได้ชัด นอกเหนอื จากน้ยี ังมีเส้ือกั๊ก กระโปรง ผา้ คลุม ไหล่ สายรดั เอว เครื่องแต่งกายตา่ ง ๆ เรียกไดว้ ่าถอดมาจากสมัยหมิงหรือแมนจูเลยกว็ ่าได้

รปู ท่ี 9 การแต่งกายของสตรีในสมัยชิง ท่มี า : (ซีรยี เ์ รื่ององคห์ ญิงกำมะลอป่วนกำลงั 3, 2564) 15 รูปที่ 10 การแต่งกายของเช้ือพระวงค์ในสมัยชิง ท่ีมา : (ชมรมผู้สนใจข้อมูลราชวงศช์ งิ , 2564)

16 2.9 สมัยปฏิวัติซนิ ไฮ่ (ค.ศ.1911-ค.ศ.1949) ประวตั คิ วามเปน็ มา ยคุ สมยั ปฏิวตั ิซนิ ไฮ่ หรือยคุ ปฏิวัติราชวงศ์ชิง เป็นยคุ ท่เี กิดการเปล่ียนแปลงทางการเมืองครง้ั สำคัญของจีน ทำให้มีการเปล่ียนแปลงในดา้ นวัฒนธรรมและวิถชี ีวติ ท่ีไดร้ บั อิทธิพลจากาตติ ะวนั ตกมาก ขนึ้ ถงึ แมว้ า่ ในปจั จุบัน วฒั นธรรมการแตง่ กายของชาวจนี จะไม่สามารถคงความเปน็ รปู แบบด้ังเดมิ เอาไว้ ไดท้ ง้ั หมด แต่ชาวจีนรุ่นใหม่ก็ยังคงแสดงออกถึงเอกลกั ษณ์อนั โดดเด่นของชนชาติผา่ นรูปแบบการดีไซน์ ในแฟช่ันเสื้อผา้ สมัยใหม่ เชน่ ปกเสือ้ แบบคอจีน ซึ่งมคี วามสวยงามและยงั คงเปน็ ทนี่ ยิ มมาจนถึงทุกวันน้ี และมกี ารปฏิวตั ิจีนโดยเปลี่ยนมาปกครองดว้ ยระบบคอมมิวนสิ ต์ ชุดเสื้อผ้าทใี่ ส่ การแตง่ กายของชาวจนี ซ่ึงมีการผสมผสานระหวา่ งแบบเสือ้ ตะวนั ตกและแบบเส้ือจนี มีการสวม ใสเ่ สอ้ื ก๊กั กางเกงและกระโปรงแบบตะวนั ตก สว่ นชุดจีนดัง้ เดิมกจ็ ะมีรปู แบบท่ีถูกดดั แปลงให้มคี วามเป็น สากลมากขึ้น เช่น ชุดเสอ้ื คลุมยาวหลวมทถี่ ูกปรับเปล่ียนให้มรี ปู แบบทดี่ เู รยี บขึน้ สขี องเส้ือผ้าจะเป็น โทนท่ไี มฉ่ ูดฉาด เช่น สดี ำ ขาว เทา นำ้ เงิน และมีการสวมใสท่ ง่ี า่ ยไม่ซับซ้อน ส่วนของผ้ชู ายกจ็ ะไม่มีผา้ ผกู ผมเหมือนในอดีต เพราะผู้ชายในยคุ นีจ้ ะนิยมไว้ผมสน้ั ตามสมยั นิยม รปู ท่ี 11 เส้อื ผา้ สตรหี ลังจากยุคปฏวิ ตั ซิ นิ ไฮ่

ทม่ี า : (thaigoodview.com, 2564) 17 สรุป ประวัติศาสตร์ของประเทศจีนมีมานานถึง 5 พนั ปี วัฒนธรรมเส้อื ผา้ เคร่ืองแต่งกายของชาวจนี ก็ มมี ายาวนานไม่แพ้กัน ซงึ่ ในระยะเวลา 5 พันปีมานัน้ ชาวจีนได้รับอิทธพิ ลเครื่องแต่งกายจากชนกลุ่ม นอ้ ย เผา่ ตา่ ง ๆ ในประเทศจีนรวมถงึ วฒั นธรรมการแตง่ กายเส้ือผา้ ของชาวตา่ งชาติ ผสมผสานกนั จน เป็นลกั ษณะพิเศษของการแต่งกายชาวจีนในยคุ น้นั ๆ ซ่งึ การแตง่ กายของชาวจีนน้ันมีความเปลย่ี นแปลง อยา่ งต่อเนอื่ ง และดูเหมอื นว่าจะมีการพัฒนาต่อไปอยา่ งไม่หยดุ ยัง้ ยกตวั อย่างให้ชัดคอื เสื้อผ้าสตรใี น ปจั จปุ นั คือกี่เพ้า ก็ได้อิทธพิ ลจากชาวแมนจูในสมัยชิง

18 บรรณานกุ รม ทวบี วรดิลก. ประวตั ิศาสตร์จนี . กรุงเทพมหานคร : สำนักสุขภาพใจ, 2548 ปุณยา จันทรมาตย์. Lecture สรปุ เข้มสงั คม ม.ปลาย. กรงุ เทพมหานคร : คาร์เปเดียมเมอร์, 2561 พวงผกา คุโรวาท คูม่ ือประวตั ิเคร่อื งแตง่ กาย รวมสาสน์ พิมพ์คร้งั ท่ี 4 กรงุ เทพฯ 2535 https://www.trueplookpanya.com https://www.baanjomyut.com http://laoshikung.blogspot.com http://www.sure.su.ac.th https://hmong.in.th https://www.enlightenth.com http://human.cmu.ac.th

19 ภาคผนวน

บญั ชภี าพประกอบ 20 รูปที่ หน้า 1 การแต่งกายในสมยั ฉนิ 7 2 การแตง่ กายของสตรใี นสมยั ฮั่น 8 3 การแต่งกายในสมัยสมัยเว่ยจ้ิน หนานเป่ย 9 4 การแต่งกายในสมยั สยุ่ 10 5 การแต่งกายในสมยั ถัง 10 6 เสือ้ กั๊กสมยั ซง่ เคร่ืองแตง่ กายสตรี 11 7 การแต่งกายในสมัยเหวย่ี น 12 8 การแตง่ กายในสมยั หมิง 13 9 การแตง่ กายของสตรีในสมัยชิง 14 10 การแต่งกายของเชอื้ พระวงคใ์ นสมัยชิง 14 11 เสือ้ ผ้าสตรีหลังจากยุคปฏวิ ตั ซิ ินไฮ่ 15




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook