วัฒนธรรมการทอผา้ ไหมแพรวา จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ อวิดา โกฎิ 644313115 รายงานน้ีเปน็ ส่วนหนึง่ ของการศกึ ษาคน้ ควา้ ในรายวิชา 1631101 การรดู้ จิ ทิ ัลเพ่อื การเรียนรู้ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เพชรบุรี ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564
วฒั นธรรมการทอผา้ ไหมแพรวา จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ อวดิ า โกฎิ 644313115 รายงานน้ีเป็นส่วนหน่งึ ของการศกึ ษาคน้ ควา้ ในรายวิชา 1631101 การร้ดู จิ ทิ ลั เพ่อื การเรียนรู้ มหาลยั ราชภัฏเพชรบรุ ี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา2564
คำนำ รายงานเรื่อง วัฒนธรรมการทอผา้ ไหมแพรวา เปน็ สว่ นหนึ่งของการศึกษาค้นคว้าในรายวิชา 1631101 การรดู้ ิจิทลั เพื่อการเรยี นรู้มหาวิทยาลยั ราชภัฏเพชรบรุ ีภาคเรยี นท1ี่ ปกี ารศึกษา2564 โดยเน้ือหา ภายในโครงงานน้ีคือการนำเสนอเรือ่ งราวการทอผ้าไหมแพรวา วิธีการทอ ลวดลายของผ้าไหมในแตล่ ะยุดแต่ ละสมัย ผา้ ไหมแพรวาเปน็ ผ้าทีม่ ีความงดงามและความประณตี ในการทอ มีลักษณะเด่นด้านลวดลายของผา้ ที่มี กรรมวิธกี ารสร้างลวดลายด้วยการทอขิดและการทอด้วยการจกเส้นไหมหลากหลายสเี ข้าดว้ ยกนั ทำใหเ้ กิด สีสนั และลวดลายรปู แบบต่างๆอกี ทัง้ ลวดลายทป่ี รากฏบนผืนผ้ากม็ ีความเรียบเนยี นเป็นเน้ือเดยี วกบั พืน้ ของผนื ผา้ การทอผา้ แพรวาจงึ เป็นภูมิปัญญาช้ันสงู จนไดร้ บั การยกย่องวา่ เป็น “ราชนิ แี ห่งไหม” โดยเฉพาะผ้าไหมแพร วาของชมุ ชนบ้านโพนนับเป็นผา้ ไหมลายมดั หมี่ทมี่ เี อกลักษณ์เฉพาะกลมุ่ และโดดเด่นจนกลายเป็นสัญลกั ษณ์ อย่างหน่ึงของจังหวดั กาฬสินธใุ์ นปัจจุบัน รายงานเล่มนี้ เป็นการรวบรวมเนื้อหาเบื้องต้น อาจมีตกหล่นบ้างหรือไม่ครบถ้วนบ้างประการใด ผู้จัดทำขจงึ ขออภยั เปน็ อยา่ งสงู และนอ้ มรับข้อเสนอแนะไปพิจารณาปรบั ปรุงในอนาคต อวดิ า โกฎิ 644313115 9 ตุลาคม2564
สารบัญ เรื่อง หนา้ คำนำ ……………………………………………………………………………………........... ก สารบัญ ………………………………………………………………………………………….. ข บัญชภี าพ ………………………………………………………………………………………. ค 1. ผ้าไหมแพรวา ………………………………................................................... 1 1 1.1 จดุ เร่มิ ตน้ ของผา้ ไหมแพรวา............................................................ 1 1.2 จุดประสงค์หลกั ของผา้ ไหมแพรวา………………………………………….. 2 1.3 จุดเปลีย่ นแต่ละยคุ ของผ้าไหมแพรวา………………………………………. 2 2. ประวัติความเปน็ มาของผา้ ไหมแพรวา……………………………………………. 2 2.1 ความหมายของผา้ ไหมแพรวา…………………………………………………. 3 2.2 ความสำคัญของผ้าไหมแพรวา........................................................ 3 2.3 ประเภทของผา้ ไหมแพรวา……………………………………………………… 4 3. รูปแบบการทอผ้าไหมแพรวา…………………………………………………………. 4 3.1 ลวดลายและกรรมวธิ กี ารทอผ้าไหมแพรวา………………………………. 5 3.2 ขนาดของผ้าไหมแพรวา…………………………………………………………. 5 3.3 ลักษณะของผ้าไหมแพรวา……………………………………………………… 6 4. สรุป ……………………………………………………………………………………..................... 7 5. บรรณานุกรม.......................................................................................... 8 6. ภาคผนวก............................................................................................... 9 6.1 ภาคผนวก ก แบบประเมิน..............................................................
สารบัญภาพประกอบ รปู ที่ หน้า 1 การเตรียมเส้นไหม.............................................................................................. 3 2 กระบวนการลอกกาวผ้าไหม…………………………………………………………………….. 4 3 กระบวนการฟีมผา้ ไหม........................................................................................ 4 4 กระบวนการย้อมเสน้ ไหมยนื ............................................................................... 5 5 กระบวนการเตรียมเส้นยนื .................................................................................. 5 6 กระบวนการต่อเส้นยืน........................................................................................ 7 7 กระบวนการเตรียมเส้นพงุ่ .................................................................................. 7 8 กระบวนการกรอเส้นพุ่งเข้าหลอด....................................................................... 8 9 กระบวนการเกบ็ เขาลาย..................................................................................... 9 10 กระบวนการทอผา้ ไหมแพรวาแบบประยุกต์....................................................... 10
1. ผา้ ไหมแพรวา 1.1 จดุ เรมิ่ ตน้ ของผ้าไหมแพรวา วฒั นธรรมของชาวภูไท ซงึ่ เป็นชนกลุ่มหน่ึงมีถน่ิ กำเนิดในบรเิ วณแควน้ สบิ สองจุไทย (ดินแดน สว่ นเหนือของลาว และ เวยี ดนาม ซงึ่ ติดต่อกับดนิ แดนภาคใต้ของจีน) อพยพเคลือ่ นย้ายผา่ น เวียดนาม ลาว แล้วขา้ มฝง่ั แม่นำ้ โขงเข้ามาตงั้ หลักแหลง่ อยู่แถบเทือกเขาภูพานทางภาคอีสานของไทย ซ่งึ สว่ นใหญอ่ ย่ใู นจงั หวดั กาฬสนิ ธุ์ นครพนม มกุ ดาหาร สกลนครโดยยงั คงรักษาวฒั นธรรม ประเพณี ความเชอ่ื การแต่งกาย และการทอผา้ ไหม ท่ีมภี ูมปิ ัญญาในการทอดว้ ยการเกบ็ ลายจากการเกบ็ ขิด และการจกที่มลี วดลายโดดเด่น นับเป็นภมู ิปญั ญาท่ีได้รบั การถา่ ยทอดมาจากบรรพบรุ ุษและพัฒนามา อยา่ งต่อ เนื่อง ผา้ แพรวาจงึ เหมอื นเป็นสัญลกั ษณ์ของกลมุ่ ชนทีส่ บื เชือ้ สายมาจากกลุ่มผไู้ ท โดยผหู้ ญิง จะถูกฝึกทอผ้ามาต้งั แตอ่ ายุ 9 – 15 ปี ชาวผู้ไทยทท่ี อผา้ แพรวาส่วนใหญจ่ ะอยู่ท่ีบ้านโพน อำเภอคำ ม่วง จงั หวัดกาฬสินธุ์ ประกอบกับการเลือกใช้เสน้ ไหมนอ้ ยหรือไหมยอดที่มีความเลื่อมมัน ผา้ ไหมแพร วาจงึ ถือว่าเปน็ ของล้ําค่า และมคี วามสัมพนั ธก์ ับวิถีชีวิตของชาวผไู้ ทยอย่างแทจ้ รงิ ดงั คำขวญั จังหวัด กาฬสนิ ธ์ทุ ีว่ ่า “หลวงพ่อองค์ดำลือเล่อื ง เมอื งฟา้ แดดสงยาง โปงลางเลิศลาํ้ วฒั นธรรมผไู้ ทย ผา้ ไหม แพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์สัตว์ โลกลา้ นป”ี 1.2 จดุ ประส่งหลกั ของผ้าไหมแพรวา เพอ่ื ใช้ในการนงุ่ ห่ม ใชส้ ำหรับคลุมไหล่หรือห่มสไบเฉยี งที่เรียกว่าผ้าเบ่ียงของชาวผไู้ ทย ซึ่งใช้ ในโอกาสที่มีงานเทศกาลบุญประเพณหี รืองานสำคัญอน่ื ๆ โดยประเพณีทางวฒั นธรรมของหญงิ สาว ชาวภูไทจะตอ้ งยึดถือปฏบิ ัติ 1.3 จุดเปลี่ยนของแตล่ ะยุคของผา้ ไหมแพรวา การทอผา้ ไหมแพรวา ในอดตี ใช้แค่เปน็ เพยี งเคร่อื งนุม่ หม่ เท่านั้นจึงไม่ได้มลี วดลายที่สวยหรอื อะไรมากมาย เพราะชาวบ้านมักจะทอไว้ใชก้ ันเองมากกว่านำไปค้าขาย แต่ในการทอผา้ แพรวา ปัจจบุ ันได้รับการสง่ เสรมิ จากมูลนธิ ิสง่ เสริมศิลปาชพี ในสมเดจ็ พระนางเจ้าสิริกติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ ทำให้มีการสบื ทอดศิลปะการทอผ้าแพรวาแพร่หลายมากขึ้น จึงมคี วามพยายามผลิตผา้ ใหผ้ คู้ นได้ซื้อ หลากหลายทั้งในด้านลวดลาย สีสัน และยังใชว้ ธิ ยี กเขา เพื่อความรวดเรว็ แทนท่ีจะใชน้ ิ้วยกด้ายสอด เช่นเดมิ ความประณีตของลวดลายจึงลดลงไป เน่อื งจากการยกเขานั้นเหมือนการทำพิมพ์ทีจ่ ะตอ้ ง ปรากฏลายซ้ำๆ เปน็ ชว่ งๆความสวยงามของผ้านนั้ อยู่ทีค่ วามประณตี ของการทอ ความสม่ำเสมอของ ลวดลาย ไม่หลดุ ตกบกพรอ่ ง หรอื ขาด หากทอด้วยมอื ทงั้ ผืน ความสม่ำเสมอของลวดลายจะน้อยกว่า การใช้เขาเกบ็ ลายแตล่ วดลายจะมีความอ่อนช้อย แน่น ไมโ่ ปร่ง ด้านหลงั ของผา้ มคี วามเปน็ ระเบยี บ ไมโ่ ยงเสน้ ด้ายยาวเกินไป และใชส้ ีสนั ทห่ี ลากหลายกวา่ ปัจจบุ ันมีการสง่ เสรมิ การทอผ้าแพรวาใน โครงการส่งเสริมศลิ ปาชีพฯ หลายแหง่ ในภาคอีสาน โดยใชเ้ ส้นไหมจากโรงงาน
2. ประวัติความเปน็ มาของผ้าไหมแพรวา 2.1 ความหมายของผา้ ไหมแพรวา ผา้ แพรวา มคี วามหมายรวมกันวา่ ผา้ ทอเป็นผืนทมี่ ีขนาดความยาว 1 วา หรอื 1ช่วงแขน ใช้ สำหรับคลมุ ไหล่หรือห่มสไบเฉยี ง ท่ีเรยี กว่าผ้าเบี่ยงของขาวผู้ไทย ซึง่ ใช้ในโอกาสที่มีงานเทศกาลบุญประเพณี หรอื งานสำคญั อืน่ ๆโดยประเพณีทางวฒั นธรรมของหญิงสาวชาวภูไทย จะตอ้ งยดึ ถือปฏิบตั คิ ือ จะตอ้ งตดั เยบ็ ผ้าทอ 3 อยา่ งคือ เสื้อดำ ตำแพร (หมายถึงการทอผา้ แพรวา) และซ่นิ ไหม ผ้าแพรวา มคี วามหมายตามรูปศัพท์ซง่ึ เป็นคำผสมระหวา่ งคำมูล 3 คำคือ ผา้ หมายถึง วสั ดอุ ย่างหนึง่ ที่ ลกั ษณะเปน็ ผนื ได้จากการเอาเสน้ ไยของฝ้าย ไหม ปา่ น ปอ ฯลฯ ซ่ึงผา่ นกรรมวธิ ีหลายอย่าง เป็นตน้ ว่าการ ปน่ั เสน้ ใยทำเปน็ ด้าย ยอ้ มสี ฟอกสี การฟน่ั เกลยี ว การเคลือบผิว ฯลฯ แลว้ นำมาทอเขา้ ด้วยกันให้เปน็ ผืน มี ขนาดความกว้าง ความยาว แตกต่างกนั ไปตามความต้องการใชส้ อยประโยชน์ เม่อื ทอเสร็จเป็นผนื แลว้ จะ เรียกช่อื แตกต่างกันออกไปตามช่ือวัสดทุ ี่นำมาใช้ถกั ทอ เชน่ ถา้ ทอจากใยฝา้ ย เรยี กวา่ ผ้าฝา้ ย หรือถ้าทอจาก เส้นใยไหม เรียกวา่ ผ้าไหม 2.2 ความสำคัญของผ้าไหมแพรวา ผา้ แพรวาเป็นผ้าไหมชนดิ หนึ่งไดร้ ับการสนบั สนุนและสง่ เสริมจากโครงการศูนยศ์ ิลปาชีพใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกติ ิ์พระบรมราชนิ ีนาถ เมื่อครั้งเสดจ็ เยย่ี มพสกนิกรชาวอำเภอคำม่วง จงั หวัดกาฬสินธ์เม่อื ปี พ.ศ. 2519 ได้ทอดพระเนตรเห็นชาวภูไท บา้ นโพน แต่งตัวโดยใช้ผ้าแพรวาสะพายเฉยี ง ได้ทรงสนพระทยั มากจึงโปรดให้มีการสนบั สนุนและส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจบุ ันผา้ แพรวาได้มกี ารประยุกต์พฒั นามา อยา่ งต่อเน่อื ง และเมื่อปี พ.ศ. 2524 ได้มีพระราชดำริใหข้ ยายหน้าผ้าให้กวา้ งข้ึน เพื่อท่จี ะได้นำไปใช้เปน็ ผ้าผนื สำหรับตดั เส้ือผ้าได้ อกี ทั้งได้เกิดการประยุกต์การทำลวดลายบนผืนผา้ ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพทางเศรษฐกจิ และ ตรงกบั ตามความต้องการของตลาด โดยทำลวดลายง่ายๆแบบเกบ็ ขดิ มีสองสีคือสพี ้นื กบั สที ล่ี ายเรียกว่าแพรวา ลว่ ง หรอื ผา้ แพรวาจกท่ีมีการเตมิ สีลายเลก็ ๆบนผ้าแพรวาลว่ ง ซึ่งแสดงใหเ้ หน็ ได้วา่ พระองค์ท่านได้ทรงให้ ความสนใจการพัฒนาการทอผ้าแพรวามาโดยตลอด จนทำใหผ้ า้ ไหมแพรวามคี วามงดงาม มีเสน่ห์ต่อผู้ท่ีได้พบ เหน็ และสมั ผสั 2.3 ประเภทของผา้ ไหมแพรวา ลักษณะลายผ้าของแพรวาทีท่ อในปัจจบุ ัน แบ่งเปน็ 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ผ้าแพรวาลาย ล่วง ผ้าแพรวาลายจก และผา้ แพรวาลายเกาะ ผา้ แพรวาลายล่วง หมายถงึ ผา้ แพรวาท่ีมีลวดลายเรียบง่าย มี สองสี สหี น่ึงเปน็ สพี น้ื ส่วนอกี สเี ป็นลวดลาย 3. รูปแบบการทอผ้าไหมแพรวา 3.1 ลวดลายและกรรมวธิ กี ารทอผ้าไหมแพรวา
ลวดลายผา้ แพรวานบั เป็นผ้ามรดกของครอบครัว โดยในแต่ละครัวเรือน จะมี ผ้าแซว่ ซ่งึ เปน็ ผ้าไหมสว่ นใหญท่ อพื้นสีขาว ขนาดประมาณ 25 x 30 เซนติเมตร มลี วดลายตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ แบบลายดง้ั เดมิ แต่โบราณท่ีทอไวบ้ นในผนื ผ้าเปน็ แมแ่ บบดัง้ เดิมท่ีสืบต่อมาจากบรรพบรุ ุษ บนผ้าแซว่ ผืนหน่ึงๆมอี าจลวดลาย มากถึงประมาณกว่าร้อยลาย การทอผ้าจะดูลวดลายจากต้นแบบในผ้าแซ่วโดยจะจดั วางลายใดตรงสว่ นไหน หรอื ใหส้ ใี ดข้นึ อยกู่ บั ความต้องการของผู้ทอ เกิดเป็นเอกลักษณข์ องผ้าแพรวาจากการวางองคป์ ระกอบของ ลวดลายตน้ แบบและการใหส้ ีสันของผ้ทู อ ข้นั ตอนการทำ 1. การเตรยี มเส้นไหมจะต้องนำเสน้ มาคดั เส้นไหมที่มีขนาดเสน้ สม่ำเสมอ และมีการตกแตง่ ไจไหมท่ีเรียบร้อย คอื เส้นไหมจัดเรียงแบบสานกันเป็นตาข่ายหรือเรยี กชื่อทางวชิ าการว่าไดมอนดค์ รอส มีการทำไพประมาณ 4-6 ตำแหน่ง ขนาดน้ำหนักไหมตอ่ ไจโดยประมาณ 80-100 กรมั ทงั้ นีเ้ พ่ือเปน็ การเพ่ิมประสิทธิภาพของการ ปฏบิ ตั ิงานในข้ันตอนการลอกกาว ย้อมสี และการกรอเสน้ ไหม รูปท่ี 1 กระบวนการเตรยี มเส้นผ้าไหม 2. การลอกกาวเสน้ ไหมทง้ั เส้นพงุ่ เส้นยืน โดยการใช้สารธรรมชาติ การเตรียมสารลอกกาวธรรมชาติ นำกาบต้นกล้วยมาทำการเผาไฟจนกระท่ังเปน็ ขเี้ ถ้า นำขเี้ ถ้าไปแชน่ ำ้ ใชไ้ ม้คนให้ทั่ว ปล่อยทง้ิ ไว้ให้ ขี้เถา้ ตกตะกอนแบ่งชน้ั นำ้ และตะกอน ทำการกรองน้ำใสที่อยู่สว่ นบนช้นั ตะกอนดว้ ยผา้ บาง สารทีไ่ ด้ คือสาร ลอกกาวธรรมชาติ นำเส้นไหมทไ่ี ด้เตรียมไว้แลว้ มาทำการตม้ ลอกกาวด้วยสารลอกกาวธรรมชาตดิ ังกล่าวโดยใช้ ในสัดส่วนของสารลอกกาวต่อเส้นไหมโดยประมาณ 30:1 ในระหว่างการตม้ ลอกกาวจะมีการควบคมุ อณุ หภมู ิ ใหอ้ ยู่ในระดับ 90-95 องศาเซลเซียส เปน็ เวลาประมาณ 90 นาที ในระหว่างการตม้ ลอกกาว ใหท้ ำการกลับ เส้นไหมในหม้อต้มอยา่ งสม่ำเสมอ เพ่ือให้กระบวนการลอกกาวเสน้ ไหมสมบูรณ์ นำเสน้ ไหมท่ที ำการลอกกาว
เสรจ็ เรียบรอ้ ยออกจากหม้อต้ม นำไปล้างนำ้ ร้อนนำ้ อ่นุ แลว้ บบี น้ำออกจากเส้นไหม นำเส้นไหมไปตากผง่ึ แหง้ ท่ี ราวตาก ทงั้ น้ใี ห้ทำการกระตุกเสน้ ไหมเพ่อื ให้มีการเรียงเส้นไหมในแตล่ ะไจ อย่างเรียบร้อย นน่ั คอื การลอกกาว เสน้ ไหม เราก็จะได้เส้นไหมท่ีพรอ้ มจะย้อมสี เพื่อนำไปทอผา้ ต่อไป รปู ท่ี 2 กระบวนการลอกกาวผ้าไหม 3. การเตรยี มฟมื ทอผา้ ทำการค้นเสน้ ดา้ ยลกั ษณะเดียวกับการค้นเส้นยนื จากนัน้ นำเส้นด้ายมาร้อยเข้ากับฟืม โดยการร้อยผ่านช่องฟันหวีแต่ละช่องทุกช่อง ๆ ละ 2 เส้น แล้วใช้ท่อนไม้ไผ่เล็ก ๆ สอดเข้าในห่วงเส้นด้ายที่ ร้อยเข้าช่องฟันหวีเพื่อทำการขงึ เส้นด้ายให้ตงึ และจดั เรียงเส้นด้ายใหเ้ รียบรอ้ ย ส่วนดา้ นหน้าของฟืมก็จะมีท่อน ไม้ไผ่เชน่ เดยี วกับด้านหลังเพ่ือทำการขึงเส้นด้ายใหต้ ึงเชน่ เดียวกับด้านหลังของฟืมท่ีกล่าวมาแล้ว จากนั้นให้ทำ การเก็บตะกอฟมื แบบ 2 ตะกอ เรากจ็ ะได้ชดุ ฟืมทอผ้าท่ีพร้อมสำหรับการทอผา้ รปู ที่ 3 กระบวนการฟีมผา้ ไหม
4. การย้อมเส้นไหมยืน เตรยี มน้ำย้อมสีเสน้ ไหม โดยทว่ั ไปผ้าแพรวาในสมัยโบราณเส้นยืนจะใช้สแี ดง ท่มี าจาก ครง่ั นำครั่งมาตำใหล้ ะเอยี ด จากน้ันนำไปแชน่ ้ำนานประมาณ 1 คนื ทำการกรองนำ้ ย้อมสีด้วยผา้ บาง ปริมาณ ครั่งท่ใี ชใ้ นการเตรยี มนำ้ ย้อมประมาณ 5 กิโลกรัม ต่อน้ำ 20 ลติ ร ต่อเสน้ ไหม 1 กโิ ลกรมั นำเสน้ ไหมท่ีเตรยี ม ไว้มาทำการยอ้ ม โดยเริ่มจากการการย้อมเยน็ เพ่อื ใหน้ ำ้ ยอ้ มสีสามารถซึมเข้าไปในเส้นไหมได้อย่างทว่ั ถึงและ สมำ่ เสมอ ป้องกันการเกดิ สดี ่างบนเส้นไหม เม่ือน้ำย้อมไดซ้ ึมเขา้ เสน้ ไหมจนทัว่ แลว้ ก็ให้ยกหม้อต้มย้อมข้ึนต้ัง บนเตาเพื่อเพ่ิมความร้อนจนกระทง่ั อุณหภมู ิอย่ทู ี่ระดับ 90 องศาเซลเซียส ใชเ้ วลาประมาณ 30 นาที หรอื สังเกตได้จากการทนี่ ้ำย้อมจะใส จากนัน้ ใหน้ ำเส้นไหมที่ย้อมสเี รียบรอ้ ยแลว้ ไปล้างนำ้ สะอาด 2-3 คร้ัง แล้วทำ การบบี น้ำให้แหง้ ทำการตากผึง่ ใหแ้ ห้ง รูปท่ี 4 กระบวนการย้อมเส้นไหมยืน 5. การเตรียมเส้นยนื นำเสน้ ไหมยืนที่ทำการยอ้ มสดี ว้ ยสีแดงเข้มของคร่งั มาทำการค้นเครือหูก หรอื ทเ่ี รียกว่า การคน้ เสน้ ยนื โดยใช้หลกั เฝือเปน็ อปุ กรณใ์ นการค้นเส้นยืน การเตรยี มค้นเสน้ ยนื จะเรม่ิ ต้นโดยการนำเสน้ ไหม ไปสวมเขา้ ในกง เพ่ือทำการกรอเสน้ ไหมเขา้ อัก จากน้ันกท็ ำการค้นเสน้ ยืน โดยมหี ลกั การนับ คอื รอบละ 2 เส้น 2 รอบ เป็น 4 เสน้ เรยี กว่า 1 ความ 10 ความ เทา่ กับ 1 หลบ การนับจำนวนความจะใช้ซไ่ี มม้ าคน่ั เพ่ือ ป้องกนั ความผดิ พลาดทอ่ี าจจะเกดิ ขึน้ ได้ ดงั นัน้ 1 หลบจะมีเส้นไหม 40 เสน้ หลบ คือ หน้ากวา้ ง ในสมัย โบราณนิยมทอผา้ สไบหน้ากว้างจะใช้ 8 หลบ ต่อมามีการขยายหนา้ กว้างเพ่ิม เชน่ 22 หลบ 34 หลบ เปน็ ต้น ท้ังนีข้ ึ้นอยกู่ ับการออกแบบต้งั แตเ่ ร่มิ แรก
รปู ที่ 5 กระบวนการเตรยี มเส้นยนื 6. การต่อเสน้ ยืน การตอ่ เสน้ ยนื คอื การนำเสน้ ไหมเสน้ ยนื มาผูกตอ่ กบั เสน้ ด้ายในซี่ฟันหวีโดยทำการต่อท่ลี ะ เส้นจนหมดจำนวนเสน้ ยืน เชน่ หากหน้ากวา้ งของผ้าเท่ากับ 22 หลบ ก็จะต้องทำการต่อเสน้ ยืนเท่ากับ 1,760 เส้น เปน็ ตน้ เมอ่ื ต่อเสน้ ไหมเข้ากบั เสน้ ไหมท่ีอยู่ในซ่ีฟนั หวีเ่ รียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการม้วนเส้นยืนด้วยแผ่นไม้ พรอ้ มท้ังการจดั เรียงระเบยี บของเสน้ ไหมตามช่องฟนั ฟืมใหเ้ ป็นระเบยี บเรยี บร้อย กใ็ ห้ทำการมว้ นเส้นยนื ดว้ ย แผน่ ไม้ พร้อมท้งั การจดั เรียงระเบียบของเสน้ ไหมตามช่องฟันฟมื ใหเ้ ปน็ ระเบยี บเรยี บร้อย จากน้นั กน็ ำไปติดตัง้ เข้ากับหูกทอผา้ หรือกี่ทอผ้า เพอ่ื การเก็บเขาลายหรือตะกอต่อไป ก่อนทำการทอผ้าจะตอ้ งใชแ้ ปรงจุ่มน้ำแป้ง ทาเคลอื บเส้นยนื ที่อยู่ในกี่ก่อน เพอ่ื ทำใหเ้ ส้นกลม มีความแข็งแรง เสน้ ไหมไมแ่ ตกเป็นขนเนือ่ งจากกระทบกับ ชอ่ งฟันฟมื เวลาทอผ้า รูปที่ 6 กระบวนการต่อเส้นยืน
7. การเตรียมเส้นพ่งุ ท่จี ะทำการย้อมสีต่าง ๆ การเตรยี มน้ำย้อมสีเส้นไหม โดยทั่วไปผ้าแพรวาโบราณจะมี จำนวนสีหลากหลายสีในแตล่ ะลายหลัก ซง่ึ สีที่นิยมใช้กันมากกจ็ ะเปน็ สีเขม้ เชน่ สเี หลอื ง สนี ำ้ เงินเขม้ สเี ขยี ว สแี ดง เป็นต้น ซ่งึ แตล่ ะสีก็จะได้มาจากชนิ้ ส่วนของพืชและสัตว์ ดงั นี้ 1) สเี หลอื ง เป็นสีทไ่ี ด้มาจากแก่นเข วิธีการเตรยี ม คือ นำแก่นเขมาทำใหเ้ ป็นชิน้ เล็กๆก่อนทำการตม้ กับนำ้ การต้มให้ตม้ เดือดนานประมาณ 1-1.30 ชว่ั โมง จากนัน้ กใ็ ห้ทำการกรองดว้ ยผา้ บางเพื่อแยกส่วนของน้ำ ย้อมสกี บั กากเหลือของแกน่ เขออกจากกนั นำเส้นไหมเสน้ พุ่งทต่ี ้องการย้อมสีเหลอื งมาทำการย้อม โดยเรม่ิ ต้น การยอ้ มโดยวิธีย้อมเย็นเพ่ือให้การซมึ เข้าของสีสม่ำเสมอ จากนั้นจึงใชค้ วามร้อนในการเพิ่มอณุ หภูมิประมาณ 90-95 องศาเซลเซียส ย้อมนานประมาณ 30 นาที จากนั้นนำเสน้ ไหมท่ีย้อมเสรจ็ แลว้ มาทำการลา้ งด้วยนำ้ 2-3 ครงั้ เพื่อล้างสสี ว่ นเกินออกใหห้ มด ซ่ึงจะทำใหผ้ ้าไหมไม่ตกสี นำเส้นไหมที่ลา้ งน้ำแล้วบีบนำ้ ออกแล้วนำไปผึง่ ตากใหแ้ หง้ (2) สีนำ้ เงิน เป็นสีท่ีได้มาจากเน้ือคราม วธิ กี ารเตรยี ม คอื จะต้องมีการกอ่ หมอ้ ครามกอ่ นเพือ่ ทนี่ ำน้ำ ย้อมสีครามนั้นมาใชใ้ นการเตรียมนำ้ ย้อมสีคราม เมื่อไดน้ ้ำยอ้ มสนี ำ้ เงนิ แลว้ นำเสน้ พุ่งท่ีตอ้ งการย้อมสนี ้ำเงิน มาทำการย้อม โดยกรรมวธิ กี ารยอ้ มสคี รามจะเปน็ การย้อมเยน็ โดยการนำเส้นไหมลงย้อมในน้ำยอ้ ม แลว้ ใชม้ ือ บบี นวดเส้นไหมเพื่อให้สสี ามารถซึมเขา้ ได้ทว่ั ถึง การย้อมครามอาจจะตอ้ งทำการยอ้ มซำ้ 2-3 ครัง้ ขนึ้ อยู่การ การตดิ สีของครามและระดบั ความเขม้ ของสีท่ีต้องการ (3) สแี ดง เป็นสที ่ีไดจ้ ากครั่ง วธิ กี ารเตรยี มนำ้ ยอ้ มสีแดงที่มาจากครงั่ นำครง่ั มาตำใหล้ ะเอียด จากนั้น นำไปแชน่ ้ำนานประมาณ 1 คืน ทำการกรองนำ้ ย้อมสดี ว้ ยผ้าบาง ปรมิ าณคร่งั ทใ่ี ชใ้ นการเตรยี มน้ำย้อม ประมาณ 5 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตรต่อเสน้ ไหม 1 กิโลกรัม นำเสน้ ไหมทเี่ ตรียมไว้มาทำการย้อม โดยเร่ิมจาก การการย้อมเยน็ เพื่อใหน้ ้ำยอ้ มสสี ามารถซึมเข้าไปในเสน้ ไหมได้อยา่ งทั่วถึง และสมำ่ เสมอ ป้องกนั การเกดิ สี ดา่ งบนเส้นไหม เม่ือนำ้ ย้อมได้ซมึ เข้าเส้นไหมจนทว่ั แลว้ กใ็ ห้ยกหมอ้ ต้มย้อมข้นึ ตั้งบนเตาเพือ่ เพมิ่ ความร้อน จนกระท่ังอุณหภูมิอยทู่ ่รี ะดบั 90-95 องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรอื สงั เกตไดจ้ ากการทน่ี ำ้ ย้อม จะใส จากนัน้ ให้นำเส้นไหมท่ียอ้ มสีเรียบร้อยแลว้ ไปลา้ งน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง แลว้ ทำการบีบน้ำให้แห้ง ทำการ ตามผงึ่ ให้แห้ง (4) สเี ขียว เป็นสีท่ีได้จากการใช้สี 2 สี คือ สีเหลืองจากแก่นเข และสนี ้ำเงินจากคราม นำเสน้ พุง่ ท่ี ตอ้ งการจะย้อมสเี ขียวมาทำการยอ้ มสีเหลอื งก่อน และลา้ งสสี ่วนเกนิ ออกใหห้ มดก็จะได้เสน้ ไหมที่ย้อมสเี หลือง ให้นำเส้นไหมสเี หลอื งท่เี ตรียมไว้ไปยอ้ มทบั ดว้ ยสีน้ำเงินกจ็ ะทำใหเ้ ส้นทีย่ ้อมเปน็ สีเขียว นำเส้นไหมท่ีย้อมสเี สรจ็ เรียบร้อยแลว้ มาทำการล้างสีส่วนเกนิ ออกใหห้ มด โดยลา้ งน้ำ 2-3 ครง้ั จากนน้ั บบี น้ำออก ทำการผึ่งตากแหง้ ซึ่งทุกคร้ังจะต้องทำการกระตุกเส้นไหมใหเ้ รยี งกันเรยี บร้อย
รปู ท่ี 7 กระบวนการเตรียมเส้นพุง่ 7.1 การกรอเสน้ พ่งุ เข้าหลอด การกรอเสน้ พุ่งเขา้ หลอด นำเสน้ ไหมท่ีย้อมสตี ่าง ๆ แล้วมาเข้ากง แลว้ ทำการกรอเสน้ ไหมเขา้ หลอด เพื่อเตรยี มเปน็ เส้นพุ่งเพื่อใชใ้ นการเกาะลาย และใสก่ ระสวยในการทอขดั รปู ที่ 8 กระบวนการกรอเส้นพุ่งเขา้ หลอด
7.2 การเกบ็ เขาลาย / การเก็บตะกอลายขดั การทำลายบนผืนผ้าแพรวา ใชไ้ มเ้ กบ็ ขดิ มีลกั ษณะแบน กว้างประมาณ 7-8 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร ปลายแหลมในการเก็บขิดลายผ้าแพรวาโบราณในแต่ละผืนจะมี จำนวนลายหลกั แตล่ ะผนื ไมเ่ ท่ากัน ประด้วยไมล้ ายหรอื ตะกอกวา่ 1,000 เขา /ตะกอ ซึง่ การทำลายบนผืนผา้ แพรวาโบราณจะทำโดยใชไ้ ม้เก็บขดิ ลายเก็บลายก่อน แลว้ ใช้ไมย้ กลายหรอื ไมเ้ ผา่ สอดเข้าจนหมดหนา้ ฟืม โดย ใหย้ กไมย้ กลายทีส่ อดเข้าไปให้อยใู่ นแนวตั้ง จากน้นั ใชน้ ว้ิ ก้อยในการล้วงเกาะเสน้ ไหมสตี ่าง ๆตามลายท่ีกำหนด ไปจนสุดขอบผา้ แลว้ จึงเหยียบไมเ้ หยียบตะกอฟืมเพื่อสอดกระสวย แลว้ ใช้ฟมื กระทบเส้นไหมเพ่ือใหผ้ นื ผ้า แน่น ไมห้ นึ่งเกาะ 2 เทยี่ ว เพื่อใหล้ ายนูนเดน่ ในการทอผ้าแพรวาจะต้องมีการเกบ็ ลายไปตลอดการทอ การทอ ผา้ แพรวาลวดลายผ้าจะอยู่ด้านลา่ งของกที่ อผา้ ซง่ึ จะมีความแตกต่างจากการทอผา้ มัดหมหี่ รือผ้าอนื่ ๆและ ดา้ นลา่ งของผนื ผ้าแพรวา จะมที อ่ นไม้เล็ก ๆ แบน ๆดนั ยดึ รมิ ผ้าท้ัง 2 ดา้ นใหต้ รงและตงึ ตลอดเวลาเรียกวา่ ไม้ คันผงั โดยมีหนา้ ที่ยึดผา้ ทท่ี อใหข้ อบผืนผ้าตรงและตึงตลอดเวลา ทำใหล้ วดลายบนผ้าสวยงามผ้าแพรวาชนดิ นี้ เรยี กวา่ แพรวาเกาะ ซึง่ เปน็ แพรวาทม่ี ีความสวยงามมาก ค่อนขา้ งทำยากและใช้เวลาในการทอค่อนข้างนาน สง่ ผลทำให้ต้นทุนการผลติ สงู ตามไปด้วย รูปที่ 9 กระบวนการเกบ็ เขาลาย
7.3 การทอผ้าแพรวาแบบประยุกต์ ปัจจุบนั การทอผา้ แพรวาไดม้ ีการประยกุ ต์เพ่ือให้เหมาะกบั สภาพ การของเศรษฐกิจและความต้องการของตลาด เช่น ผา้ แพรวาชนิดแพรวาล่วง คอื ใช้กระสวยพงุ่ ตามลายที่ได้ เกบ็ ขิดลายไว้ ส่วนใหญแ่ พรวาชนดิ น้ีจะมีสี 2 สี คือ สพี ้ืน สีลวดลายบนผืนผา้ หรือหากจะมีการเพ่ิมสีสนั ก็จะมี การเตมิ ลายเล็ก ๆ หรือลายท่ีเป็นลายเกสรเล็ก ๆ เพ่ือเพ่ิมสีสนั ให้มคี วามสวยงาม ทงั้ นเี้ พอ่ื เป็นการ ประหยดั เวลา ทำได้งา่ ย สามารถลดตน้ ทุนการผลติ ได้ดว้ ยซง่ึ ผา้ แพรวาชนดิ นี้เรยี กวา่ แพรวาจก รปู ท่ี 10 กระบวนการทอผา้ ไหมแพรวาแบบประยกุ ต์ 3.3 ลักษณะของผ้าไหมแพรวา ผ้าแพรวา เปน็ ผ้าทอจากเส้นใยไหม ที่มีลักษณะลวดลายผสมกนั ระหวา่ งลายขดิ และจกบน ผืนผา้ ในกระบวนการขดิ จะใชว้ ธิ เี กบ็ ลายขิดบนผ้าผนื เรยี บ ใชไ้ ม้เก็บขดิ คดั เกบ็ ขดิ ยกลาย โดยต้องนับจำนวน เส้นไหม แล้วใช้ไมล้ ายขิดสายเป็นลายเก็บไว้ ในการทอเก็บลายจะแบ่งเปน็ ช่วง แต่ละชว่ งเกบ็ ลายไมเ่ หมือนกนั 3.4 เอกลักษณข์ องผ้าไหมแพรวา จดุ เด่นและความเป็นเอกลักษณข์ องผ้าแพรวาคอื ลวดลายสีสัน และความมรี ะเบียบ ความ เรยี บ ความเงางามของผืนผา้ ในผ้าแพรวาผนื หนงึ่ จะมอี ย่ปู ระมาณ ๑๐ หรอื ๑๒ ลาย ใชเ้ ส้นไหมในการทอ ตงั้ แต่ 2-9 สี สอดสลับในแตล่ ะลายแต่ละแถว ลวดลายทปี่ รากฏจะประณตี เรียบเนียนเป็นเนอ้ื เดียวกันตลอด ทงั้ ผนื
สรปุ ผ้าแพรวา นบั เปน็ ผ้าไทยอกี รูปแบบหนึง่ ทีไ่ ดร้ บั ความนยิ มสูงในหมูผ่ นู้ ยิ มผ้าไทย ทง้ั ที่อยใู่ น ประเทศและตา่ งประเทศ ที่บ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวดั กาฬสินธ์ุ เปน็ พ้ืนทที่ ่มี ีการทอผ้าไหมแพรวาท่ี งดงาม และมีช่อื เสียงระดบั ประเทศและมีเอกลักษณ์เฉพาะอกี ดว้ ย
บรรณานกุ รม ศภุ ชัย สงิ หย์ ะบศุ ย์. (2545). รปู แบบศิลปะและการจดั การผา้ ทอทสี่ ่งผลต่อความเขม้ แข็งและการ พึง่ ตนเองของชุมชน ทอ้ งถิน่ : ศกึ ษากรณีผา้ ไหมแพรวาสายวฒั นธรรมผู้ไทจังหวัดกาฬสนิ ธ.ุ์ มหาสารคาม. จำ รญู ลักษณ์ กุลศรี. (2543). ภมู ปิ ญั ญาไทย. หนังสือพมิ พ์กรุงเทพธุรกิจ. ฉบบั วนั ท่ี 22 สิงหาคม พ.ศ. 2543 (หน้าพเิ ศษ 2). ชมพิศ ป่นิ เมือง. (2554). ผ้าไหมแพรวาบ้านโพน ของดีอีสานสแู่ บรนด์ดังอติ าลี. หนังสอื พิมพก์ รุงเทพ ธรุ กจิ . ฉบบั วันท่ี 17 หนังสือพิมพม์ ตชิ นรายวนั . (2556). สมเด็จพระราชนิ ี พระผทู้ รงนำผา้ ไหมไทย สู่ เวทีโลก. ฉบับวันศุกรท์ ่ี 9 สงิ หาคม 2556. วภิ าดา รตั นโรจนา. (2556). กลมุ่ ผผู้ ลิตผา้ ไหมแพรวา ต่างสำนึกในพระมหากรณุ าธิคุณต่อองค์สมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกติ ิ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงทำให้มีรายได้พออยู่พอกนิ มากว่า 30 ปี. http://pr.prd.go.th/kalasin/ewt_news. สืบคน้ 10 เมษายน พ.ศ. 2560. ศรศี กั ร วลั ลิโภดม. พิพิธภัณฑ์ทอ้ งถ่นิ . กระบวนการเรียนรูร้ ่วมกันในเอกสารประกอบการ สมั มนา พิพิธภณั ฑ์ไทยในศตวรรษใหม่. (กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานุษยวิทยาสิรนิ ธร, 2544), หน้า 2. ชูชาติ ผวิ สวา่ ง. (2548). การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการวางแผนพัฒนาท้องถ่ิน ตำบลน้าอ้อม จังหวดั ยโสธร. ภาคนิพนธ์ สาขารฐั ศาสตรแ์ ละรฐั ประศาสนศาสตร์. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ พชั ราพร ทวยสงฆ.์ (2556). ปัจจัยท่สี ง่ ผลให้เกิดการมีส่วนร่วมของบุคคลในองค์กร. สาขา มนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตรแ์ ละศิลปะ. มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. สรฤทธ์ิ จันสขุ . (2552). การศึกษาตวั ชว้ี ัดการพัฒนาชมุ ชนตามแนวทางปรชั ญา เศรษฐกิจพอเพียง, วารสารวชิ าการมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. ปีท่ี 11 ฉบบั ที่ 1.
ภาคผนวก
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: