ประวัติละครไทย โดย ครูชิน นายกฤษณพงศ์ จงเทพ รายวิชานาฏศิลป์ ศ 16101 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
คำนำ หนังสือ E-Bookเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชานาฏศิลป์ เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวของ ประวัติละครไทยโดยได้ศึกษาผ่านแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ อาทิ ตำรา หนังสือ ห้องสมุด และแหล่งความรู้จากเว็ปไซต์ต่าง ๆ หนังสือ E-Book เล่มนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของละคร ประเภทของละครไทยและคุณค่าทางด้าน งานในส่วนของละครไทย ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำหนังสือ E-Book เล่มนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการ เรียนรู้ไม่มากก็น้อยต่อผู้สนใจในเรื่องประวัติละครไทย กฤษณพงศ์ จงเทพ
ความหมาย ละคร ละครเป็นการแสดงที่พัฒนามาจากการเล่านิทาน โดยให้ตัวละครในนิทานเป็นผู้เล่าเรื่องแสดบทบาท ออกท่าทางและคำพูดมีเพลงและดนตรีประกอบเข้ามาให้เกิดความไพเราะน่าชมและน่าสนใจมากขึ้น เพราะ นอกจากนิทานจะให้ความสนุกสนานบันเทิงแล้ว การถ่ายทอดเรื่องราว ประสบการณ์ตำนานที่มีความหมาย เพราะผู้คนในสมัยโบราณยังอ่านเขียนได้น้อยเมื่อผู้เล่านิทานได้พัฒนาการเล่าเรื่องให้เป็นแบบแผนเขียนขึ้น เป็นบทเป็นโคลงเป็นกลอนซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นวรรณคดีที่สำคัญมีการขับร้อง ทำนองเพลงดนตรีเสริม เข้ามาและใช้คนเล่นบทบาทตามเนื้อหาแทนตัวบุคคลในเรื่องในที่สุดเราจึงมีละครเกิดขึ้นและเล่นกันสืบมา
เส้นทางวิวัฒนาการประวัติละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบัน สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี สมัยน่านเจ้า สมัยสุโขทัย อดีต
สมัยน่านเจ้า
สมัยน่านเจ้า สมัยอาณาจักรน่านเจ้า ไทยมีนิยายเรื่องหนึ่งคือ “มโนห์รา” ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังมี หนังสือที่เขียนบรรยายถึงเรื่องของชาวจีนตอนใต้ และเขียนถึงนิยายการเล่นต่างๆ ของจีนตอนใต้ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ชื่อเหมือนกับนิยายของไทย คือเรื่อง “นามาโนห์รา” และ อธิบายไว้ด้วยว่าเป็นนิยายของพวกไต ซึ่งจีนถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อยอยู่ทางใต้ของประเทศจีน ไตเป็นน่านเจ้า สมัยเดิม คำว่า “นามาโนห์รา”เพี้ยนมาจากคำว่า “นางมโนห์รา” นอกจากเรื่องมโนห์รา ยังมีการแสดงระบำต่างๆ เช่น ระบำหมวก ระบำนกยูง ซึ่งปัจจุบันจีนถือว่าเป็นการละเล่นของชนกลุ่มน้อยในประเทศของเขา
สมัยสุโขทัย
สมัยสุโขทัย สมัยสุโขทัยเรื่องละคร ฟ้อนรำ สันนิษฐานได้จากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ ๑ กล่าวถึง การละเล่นเทศกาลกฐินไว้เป็นความกว้างๆ ว่า “ เมื่อจักเข้าเวียงเรียงกัน แต่อรัญญิกพู้นท่านหัวลาน ดํบงคํกลอยด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อย เสียงขับ ใครจักมักเหล้น เหล้น ใครจักมัก หัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน” สมัยสุโขทัย ได้คบหากับชาติที่นิยมอารยธรรมของอินเดีย เช่น พม่า มอญ ขอม และละว้า เมื่อไทยได้รับวัฒนธรรมด้านการละครของอินเดียเข้ามา ศิลปะแห่งการละเล่นพื้นเมืองของไทย คือ รำ และระบำ ก็ได้วิวัฒนาการขึ้น มีการกำหนดแบบแผน แห่งศิลปะการแสดงทั้ง ๓ ชนิดไว้เป็นที่แน่นอน และบัญญัติคำเรียกศิลปะแห่งการแสดงดังกล่าวว่า “ โขน ละคร ฟ้อนรำ ”
สมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยาบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมีการติดต่อค้าขายและ ขยายอาณาจักร อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเมืองนครศรีธรรมราช และ อาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งเป็นต้นแบบโนราห์-ชาตรี ซึ่งกรุงศรีอยุธยาได้ มีการแสดง ละครชาตรีกันอย่างแพร่หลาย ละครชาตรีแบบดังเดิมนั้นมีผู้แสดง 3 คน ตัวพระ ตัวนาง และตัวตลก โดยใช้ผู้แสดงเป็นผู้ชายล้วน แต่เดิมมีละครชื่อขุนศรัทธา เป็นละครในสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วน ระบำหรือฟ้อนเป็นศิลปะโดยอุปนิสัยของ คนไทยสืบต่อกันมา ละครรำของไทยเรา มี 3 อย่าง คือ ละครชาตรี ละครนอก และละครใน ละครชาตรี เป็นละครเดิม ละครนอก เกิดขึ้นโดยแก้ไขจากละครชาตรี แต่ละครในนั้นคือละครผู้หญิง เมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช ยังไม่มีปรากฏ มาปรากฏว่ามีละครผู้หญิงในหนังสือ บุณโณวาทคำฉันท์ ซึ่งในระหว่าง 70 ปีนี้ รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ มีละครผู้หญิงเล่นคือเรื่อง “อิเหนา” ซึ่งเป็นละครในสำหรับละครผู้หญิงของหลวงครั้งกรุงเก่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์จะทอดพระเนตรละคร จึงห้ามหาผู้ชายเข้าไปเล่นเมื่อพิเคราะห์ดูทางตำนาน ดูเหมือนละครผู้หญิงของหลวงซึ่งมีขึ้นครั้งกรุงเก่าจะได้เล่นอยู่ไม่ช้านานเท่าใดนักก็ถึงเวลาเสียกรุงแก่พม่า
สมัยกรุงธนบุรี
สมัยกรุงธนบุรี สมัยนี้เป็นช่วงต่อเนื่องหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. 2310 เหล่าศิลปินได้กระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ เพราะผลจากสงคราม บางส่วนก็เสียชีวิต บางส่วนก็ถูก กวาดต้อนไปอยู่พม่า ครั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ปราบดาภิเษกในปีชวด พ.ศ. 2311 แล้วทรงส่งเสริมฟื้ นฟูการละครขึ้นใหม่ และรวบรวมศิลปินตลอดทั้งบทละครเก่า ๆ ที่กระจัดกระจายไปให้ เข้ามาอยู่รวมกัน ตลอดทั้งพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร เรื่องรามเกียรติ์ขึ้นอีก 5 ตอน คือ ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานริน ตอนท้าวมาลีวราชว่า ความ ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกลด (เผา รูปเทวดา) ตอนพระลักษณ์ถูกหอกกบิลพัท ตอนปล่อยม้าอุปการ มีคณะละครหลวง และเอกชน เกิดขึ้นหลายโรง เช่น ละครหลวงวิชิตณรงค์ ละครไทยหมื่นเสนาะภูบาล หมื่นโวหารภิรมย์ นอกจากละครไทยแล้ว ยังมีละครเขมรของหลวงพิพิธวาที
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 7 การละครสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากเป็นเวลาที่บ้านเมือง เจริญรุ่งเรือง มีความร่มเย็น เป็นสุขด้วยบุญบารมี ของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ให้ความสนพระทัยส่งเสริม ศิลปวัฒนธรรม แต่งบทละครและมีคณะละครอยู่ในวังหลวง
สมัยรัชกาลที่ 1
สมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงฟื้ นฟูรวบรวมสิ่งต่างๆที่สูญเสีย และกระจัดกระจายให้สมบูรณ์ ในรัชสมัยนี้ได้มีการรวบรวมตำราฟ้อนรำ ขึ้นไว้เป็นหลังฐานสำคัญที่สุดในประวัติการละครไทย มีบทละครที่ปรากฏตามหลักฐานอยู่ 4 เรื่อง คือ บทละครเรื่องอุณรุฑ บทละครเรื่องรามเกียรติ์ บทละครเรื่องดาหลัง และบทละครเรื่องอิเหนา
สมัยรัชกาล ที่ 2
สมัยรัชกาลที่ 2 สมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นสมัยที่วรรณคดี เจริญรุ่งเรื่อง เป็นยุคทองแห่งศิลปะการละคร มีนักปราชญ์ราชกวีที่ปรึกษา 3 ท่าน คือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กรมหลวงพิทักษ์มนตรี และสุนทรภู่ มีบทละครในที่เกิดขึ้น ได้แก่ เรื่องอิเหนา ซึ่งวรรณคดีสโมสรยกย่องว่าเป็นยอดของบทละครรำ และเรื่องรามเกียรติ์ ส่วนบทละครนอก ได้แก่ เรื่องไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ์ สังข์ทอง และมณีพิชัย
สมัยรัชกาลที่ 3
สมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกละครหลวง จึงทําให้การละครไทย แพร่หลายในหมู่ประชาชนมากขึ้น มีการละครของเจ้าขุนมูล ฝึกหัดละคร แสดงเป็นอาชีพจน มีรายได้จากการแสดงมากมาย เช่น ละครพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ละครเจ้ากรับ จะเห็นได้ว่า การแสดงละครทําให้เจ้าของคณะละครมีฐานะรํ่ารวย จึงเกิด ศรัทธาในการสร้างวัด ที่มีชื่อเสียงกับการละคร เช่น วัดละครทํา วัดนายโรง มีหลักฐานที่วัดนายโรงริมคลองบางกอกน้อยว่าท่าน เจ้ากรับเจ้าของคณะละครนอกเป็นผู้สร้าง ในสมัยรัชกาลที่3
สมัยรัชกาลที่ 4
สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้ นฟูละครหลวงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งออกประกาศสำคัญเป็นผลให้การ ละครไทยขยายตัวอย่างกว้างขวาง ดังมีความโดยย่อ คือ พระราชทานพระบรมราชานุญาติ ให้คน ทั่วไปมีละครชาย และหญิง เพื่อบ้านเมืองจะได้ครึกครื้น เป็นเกียรติยศแก่แผ่นดิน แม้จะมี ละครหลวง แต่คนที่เคยเล่นละครก็ขอให้เล่นต่อไป ห้ามบังคับผู้คน มาฝึกละคร ถ้าจะมาขอให้มา ด้วยความสมัครใจ สำหรับละครที่มิใช่ของหลวง มีข้อยกเว้นคือ ห้ามใช้รัดเกล้ายอด เครื่องแต่งตัว ลงยา และพานทองหีบทองเป็นเครื่องยกบททำขวัญห้ามใช่แตร สังข์ หัวช้างห้ามทำสีเผือก ยกเว้น หัวช้างเอราวัณ มีประกาศกฎหมายภาษีมหรสพ พ.ศ. 2402 เก็บ จากเจ้าของคณะละครตาม ประเภทการแสดง และเรื่องที่แสดง มีบทพระราชนิพนธ์ใน พระองค์เรื่อง รามเกียรติ ตอนพระรามเดินดง บทเบิกโรง เรื่อง นารายณ์ปราบนนทก
สมัยรัชกาลที่ 5
สมัยรัชกาลที่ 5 การละครในยุคนี้เริ่ม มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการละครแบบตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู้วง การนาฏศิลปะ ทำให้เกิดบท ละครประเภทต่างๆขึ้นมากมาย เช่น ละครพันทาง ละครดึกดำบรรพ์ ละครร้อง ละครพูด และ ลิเก ทรงส่งเสริมการละครโดยเลิกกฎหมายการเก็บอากรามโหรสพ เมื่อ พ.ศ. 2450 ทำให้กิจการ ละครเฟื่ องฟูขึ้นกลายเป็นอาชีพได้ เจ้าของโรงละครทางฝ่ายเอกชนมีหลายราย นับตั้งแต่เจ้านาย มาถึงคนธรรมดา อาจกล่าวได้ว่าสมัยของพระองค์ การละครมีการพัฒนารูปแบบเป็นอย่าง มากจากที่พระองค์ทรงประพาสยุโรป โดยมี เจ้าพระยาเทเวศร์ วงศ์วิวัฒน์ และสมเด็จเจ้าฟ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และข้าราชบริภาร ตามเสด็จด้วยได้ไปพบเห็นการแสดงของประเทศยุโรป เช่น โอเปร่า เรียกว่า ละครดึกดําบรรพ์ และละครของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ ธํารง มีโรงละครที่แสดงแล้วเก็บเงินจากผู้ชม เป็นคณะแรก ชื่อโรงละคร ปริ้นเซียเตอร์
สมัยรัชกาลที่ 6
สมัยรัชกาลที่ 6 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงโปรด การละครเป็นอย่างยิ่ง ทรงพระราชนิพนธ์บทละครไว้หลายเรื่อง เช่น เรื่อง พระร่วง สกุนตลา ท้าวแสนปม เป็นต้น พระองค์ได้ใช้การละครเป็นกุศโลบาย ในการสอน ข้าราชบริวารในเรื่องความสามัคคี ความรักชาติ และความชื่อสัตย์ที่ท่านสนใจคือ การทําคําพังเพย หรือ สุภาษิตไทยมาเป็นหัวข้อในการ แสดงเพื่อให้ผู้ชมได้ทายละครชนิดนี้มีชื่อว่า “ละครปริศนา” พระองค์ทรงโปรดให้ตั้งกรมมหรสพ และโรงเรียนฝึกหัดศิลปะทางโขน ละคร และปี่ พาทย์ ชื่อว่า “โรงเรียนทหารกระบี่กระบอง” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนพรานหลวง ผู้ใดที่มีความรู้ความสามารถทางด้าน ดนตรี-นาฏศิลป์ และการละครจะได้รับ บรรดาศักดิ จ์ ากแต่งตั้งเป็นคุณหลวงคุณพระเจ้าพระยา และท่านเจ้าพระยา
สมัยรัชกาลที่ 7 สมัยนี้เป็นช่วงต่อของการเปลี่ยนแปลงทางด้านของคนไทย ละครก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นสมัยใหม่มากขึ้นเกิดละครหลวงวิจิตรวาทการ เป็นละครปลุกใจให้รักชาติ มีความเสียสละ และการแสดงให้เห็นถึงพลัง ความสามัคคี เช่น เรื่องเลือดสุพรรณ อานุภาพแห่งความรัก อานุภาพแห่ง ความเสียสละ และอานุภาพพ่อขุนรามคําแหง เป็นต้น เกิดละครร้อง ซึ่งเป็นคณะละครเอกชนมากมาย ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ละครจันทโรภาส ของตามจองจันทร์จันทรคณา หรือตามปากกา ว่า พรานบูรณ์
สมัยรัชกาลที่ 8 สมัยรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล สมัยนี้พันตรีหลวงวิจิตรวาทการ ได้ให้กำเนิดละครหลวงวิจิตรซึ่งเป็นละครปลุกใจ ให้รักชาติ และสร้างแรงจูงใจให้ คนไทยหันมาสนใจนาฏศิลป์ไทยส่งเสริมทำนุบำรุงเผยแพร่ นาฏศิลป์ไทยให้เป็นที่ยกย่องนานาอารยประเทศ ทำให้ศิลปะโขน ละคร ระบำ รำ ฟ้อน ยังคงสืบทอดเป็นแนวทางในการอนุรักษ์ และพัฒนาสืบต่อมา สมัยรัชกาลที่ 9 สมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช นาฎศิลป์และ การละคร อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล คือ กระทรวงวัฒนธรรม มีการส่งเสริมให้ผู้เชี่ยวชาญ นาฎศิลป์ไทยคิดประดิษฐ์ท่ารำชุดใหม่ๆ และการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ
ประเภทของละคร
ประเภทของละครไทย อดีตละครไทยหมายถึงละครรำ แต่ต่อมาภายหลังได้เกิดละครร้องและละครพูดขึ้นปลาย รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) จึงได้มีการบัญญัติคำขึ้น เพื่อใช้แบ่งประเภทของละครไทย โดยยึดหลักในการแสดงเป็นสำคัญ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ ละครรำแบบเดิม และละครรำที่ปรับปรุงใหม่
ละครรำแบบดั้งเดิม ละครที่ใช้ศิลปะการร่ายรำในการดำเนินเรื่อง ได้แก่ ละครชาตรี ละครนอกและละครใน 1 ละครชาตรี ละครชาตรี เป็นรูปแบบละครรำที่เก่าแก่ของไทยที่ได้รับการฟื้ นฟูจนถึงทุกวันนี้ เรื่องของละครชาตรีมีกำเนิดมาจากเรื่องมโนราห์ การแสดงโนราเป็นที่นิยมอยู่ทาง ภาคใต้ ส่วนละครชาตรีมีความนิยมทางภาคกลาง ซึ่งมักหาดูได้ในงานแก้บน แบบแผนการ แสดงโนรา ชาตรีคล้ายคลึงกับละครของทางมลายูที่เรียกกันว่า “มะโย่ง” แสดงเป็นชายล้วนมีเพียง 3 คนเท่านั้น ได้แก่ นาย โรง ซึ่งแสดงเป็นตัวพระ อีก 2 คน คือ ตัวนาง และตัวจำอวด
2 ละครนอก ละครนอก มีการดำเนินท้องเรื่องที่รวดเร็ว กระชับ สนุก การแสดงมี ชีวิตชีวา ส่วนมากใช้ ผู้ชายแสดง และมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เข้าใจว่าละครนอกมี วิวัฒนาการมาจากละคร ชาตรี เพราะมุ่งที่จะให้คนดูเกิดความขบขัน ผู้แสดงละครนอกแต่เดิมมีผู้ แสดงอยู่เพียง 2-3 คน เช่นเดียวกับละครชาตรีละครนอกที่นิยมเล่นได้แก่เรื่อง สังข์ทอง ไกรทอง สุวรรณหงส์ พระอภัยมณี 3.ละครใน รูปแบบของละครนอกที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นตัวละครในวัง ผู้แสดงหญิง ล้วนแบบอย่างละคร ในนี้ได้สงวนไว้เฉพาะในวังหลวงเท่านั้น เพราะว่าผู้ชายนั้นจะถูกห้ามให้เข้า ไปในพระราชฐานชั้นใน บริเวณตำหนักของพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะประกอบไปด้วยดนตรีที่มี เสียงไพเราะอ่อนหวาน ใช้บทร้อยกรองได้อย่างวิจิตรบรรจง ทั้งดนตรีที่นำมาผสมผสานอย่าง ไพเราะ รวมทั้งจะมีท่าทาง สง่างาม ไม่มีการสอดแทรกหยาบโลนหรือตลก และอนุรักษ์ วัฒนธรรมและคุณลักษณะที่เป็น ประเพณีสืบทอดกันมาเรื่องที่ใช้แสดงละครในนั้นมีอยู่ 4 เรื่อง ได้แก่ รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา
ละครรำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ ละครที่นำแบบแผนละครชาตรี ละครนอก และละครใน มาเป็นพื้นฐานในการ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง พัฒนารูปแบบการแสดงขึ้น ละครรำแต่ละประเภทมีแบบแผนในการแสดง ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ ละครดึกดำบรรพ์ ละครพันทาง ละครร้อง ละครพูด และ ละครสังคีต 1.ละครดึกดำบรรพ์ เป็นการแสดงละครแบบหนึ่งในประเภทละครรำเกิดขึ้นในสมัย รัชกาลที่ 5เนื่องมาจากในสมัยรัชกาลที่ 5 มีเจ้านายชาวต่างชาติเข้าเข้าเฝ้าอยู่หลายครั้ง จึงโปรด ให้มีการละเล่นให้แขกบ้านแขกเมืองได้รับชมนิยมเล่น ได้แก่เรื่อง สังข์ทอง คาวี ฯลฯ การแสดงละครดึกดำบรรพ์แสดงในโรงปิดขนาดเล็ก ดนตรี ประกอบการ แสดง ใช้วงปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์ ดัดแปลงมาจากวงปี่ พาทย์ไม้นวมเครื่องใหญ่
2. ละครพันทาง ละครแบบผสม คือ การนำเอาลีลาท่าทีของชนต่างชาติ เข้ามาปรับปรุงกับท่ารำแบบไทย ๆ บทที่ใช้ มักเป็นบทที่กล่าวถึงตัวละครที่มี เชื้อชาติต่าง ๆ เช่น พม่า มอญ จีน ลาว บทที่นิยมนำมาเล่นในปัจจุบันมีเรื่องพระลอ และราชาธิราชตอนสมิงพระรามอาสา 3. ละครเสภา ละครที่มีลักษณะการแสดงคล้ายละครนอก รวมทั้งเพลงร้อง นำทำนองดนตรี และการแต่งกาย ของตัวละคร แต่มีข้อบังคับอยู่อย่างหนึ่งคือต้องมีขับเสภา แทรกอยู่ด้วยก่อนที่จะเกิด ละครเสภาขึ้นนั้นเรื่องที่นา ขับเสภาและนิยมกันอย่างแพร่หลายคือ เรื่องขุนช้างขุนแผน การขับเสภาตั้งแต่โบราณนั้นไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใด ประกอบ นอกจากกรับที่ผู้ขับขยับประกอบแทรกในทำนองขับของตน
4. ละครร้อง เป็นศิลปะการแสดงแบบใหม่ ที่กำเนิดขึ้นในตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปรับปรุงขึ้นโดยได้ รับอิทธิพลจากละคร ต่างประเทศต้นกำเนิดละครร้องมาจาก การแสดงของชาวมลายู เรียกว่า “บังสาวัน” ได้เคยเล่นถวายรัชกาลที่ 5 ทอดพระเนตรครั้งแรก ที่เมืองไทรบุรี และต่อมาละครบังสาวันได้เข้ามาแสดงใน กรุงเทพฯ โรงที่เล่นอยู่ที่ข้างวังบูรพา พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรง แก้ไขปรับปรุงเป็นละครร้องเล่นที่โรงละครปรีดาลัย คณะละครนี้ต่อมาได้เปลี่ยนเรียกชื่อว่า “ละครหลวงนฤมิตร”
5. ละครพูด เริ่มขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการแสดงละครพูด สมัครเล่นเป็นครั้งแรกเนื้อเรื่องละครพูดที่แสดงในสมัย นี้ดัดแปลงมาจากบทละครรำที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคทองของละครพูด ประชาชนให้ความสนใจต่อละคร ประเภทนี้มาก เพราะเห็นว่าเป็นของแปลกและแสดงได้ง่าย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง สนับสนุน ละครพูดอย่างดียิ่งทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดที่ดีเด่นเป็นจำนวนมาก และทรงร่วมในการแสดง ด้วยหลายครั้ง ละครพูดแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ
6. ละครสังคีต การรวมเอาการฟ้อนรำและการละคร พร้อมทั้ง ดนตรีทางขับร้อง และดนตรีทางเครื่องด้วย ละครสังคีตละครที่มีทั้งบทพูดและบทร้อง เป็นส่วนสำคัญเสมอจะตัดอย่างใดอย่างหนึ่งออกไม่ได้ละครสังคีต เป็นละครที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มขึ้น โดยมี วิวัฒนาการจากละครพูดสลับลำ ต่าง กันที่ละครสังคีตมีบทสำหรับพูด และบทสำหรับตัว ละครร้อง ในการดำเนินเรื่องเท่า ๆ กัน
สาระน่ารู้ โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์” เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ. ศ. 2477 นับเป็นสถาบันของชาติ แห่งแรกที่ให้การศึกษา ทั้งวิชาสามัญและวิชาศิลป ขึ้นอยู่กับกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้คือ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีคนแรกของกรมศิลปากร ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2478 ทางการมีความประสงค์ที่จะให้วิชาศิลปทางโขน-ละคร และดนตรี มารวมอยู่ในสังกัดเดียวกัน จึงได้โอนครู อาจารย์ทางนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ กับศิลปินประจำราชสำนักของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเครื่องดนตรี เครื่องโขนเครื่องละครของหลวงบางส่วนจากกระทรวงวัง ให้มาสังกัดกรมศิลปากร กรมศิลปากรจึงได้แก้ไข ปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2478 ได้มี คำสั่งตั้งโรงเรียนศิลปากร สอนวิชาช่างปั้ น ช่างเขียน และช่างรักขึ้นอยู่กับกรมศิลปากร และให้โรงเรียนนาฏ ดุริยางคศาสตร์ไปรวมเป็นแผนกหนึ่งของโรงเรียน ศิลปากรเรียกชื่อเฉพาะแผนกนี้ว่า “โรงเรียนศิลปากรแผนกนาฏดุริยางค์”
ประวัติละครไทย โดย ครูชิน นายกฤษณพงศ์ จงเทพ รายวิชานาฏศิลป์ ศ 16101 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: