Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปเล่มรายงานกลุ่มที่ 3 การจัดการชั้นเรียน การจัดบรรยากาศการจัดการชั้นเรียน การส่งเสริมภาวะผู้นำและผู้ตาม

รูปเล่มรายงานกลุ่มที่ 3 การจัดการชั้นเรียน การจัดบรรยากาศการจัดการชั้นเรียน การส่งเสริมภาวะผู้นำและผู้ตาม

Published by yeng5304, 2021-03-12 01:32:57

Description: รูปเล่มรายงานกลุ่มที่ 3 การจัดการชั้นเรียน การจัดบรรยากาศการจัดการชั้นเรียน การส่งเสริมภาวะผู้นำและผู้ตาม

Search

Read the Text Version

รายงาน วชิ าวทิ ยาการจดั การเรยี นรู้ ETP514 เรอ่ื ง การจดั การชนั้ เรยี น การจดั บรรยากาศการจดั การชนั้ เรียน การสง่ เสรมิ ภาวะผู้นาและผตู้ าม จดั ทาโดย นายจรี ะวฒั น์ ปนุ่ ตะคุ รหสั นักศึกษา 63B44640205 นางสาวณฐั นนั ท์ รอดศลิ ป์ รหสั นกั ศกึ ษา 63B44640209 นายธญั พสิ ษิ ฐ์ เทย่ี งเจรญิ รหสั นักศกึ ษา 63B44640213 นางสาวปทติ ตา เทศแกน่ รหสั นักศึกษา 63B44640216 นางสาวยภุ าพร ชาญวิทย์ รหสั นักศกึ ษา 63B44640221 หลักสตู รประกาศนียบตั รบณั ฑติ สาขาวชิ าชพี ครู เสนอ อ.ดร.เลอลักษณ์ โอทกานนท์ รายงานน้เี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของวชิ า วทิ ยาการจดั การเรียนรู้ รหสั วชิ าETP514 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์

รายงาน วชิ าวิทยาการจัดการเรยี นรู้ ETP514 เรอ่ื ง การจดั การชัน้ เรยี น การจดั บรรยากาศการจัดการชน้ั เรียน การสง่ เสรมิ ภาวะผู้นาและผู้ตาม จดั ทาโดย นายจรี ะวฒั น์ ปนุ่ ตะคุ รหัสนกั ศกึ ษา 63B44640205 นางสาวณัฐนนั ท์ รอดศลิ ป์ รหัสนักศกึ ษา 63B44640209 นายธญั พิสิษฐ์ เทย่ี งเจรญิ รหสั นกั ศกึ ษา 63B44640213 นางสาวปทติ ตา เทศแก่น รหัสนกั ศกึ ษา 63B44640216 นางสาวยภุ าพร ชาญวทิ ย์ รหสั นักศกึ ษา 63B44640221 หลกั สตู รประกาศนียบัตรบณั ฑติ สาขาวิชาชพี ครู เสนอ อ.ดร.เลอลักษณ์ โอทกานนท์ รายงานนเ้ี ปน็ สว่ นหน่ึงของวชิ า วทิ ยาการจัดการเรยี นรู้ รหสั วชิ าETP514 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์

คำนำ รายงานฉบับน้ีนาเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ที่ให้ความสาคัญการจัดการ ห้องเรยี นทีด่ ี มกี ารปฏิสัมพันธ์ และการระดมสมองเพ่อื คดิ คน้ หรอื พฒั นานวัตกรรมใหมใ่ นการจัดการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรยี นเปน็ สาคญั ตลอดจนคณุ ภาพของผเู้ รยี นเกดิ ขึ้นจากกระบวนการเรียนการสอนที่ดี ซ่ึงครูผู้สอน ทาหนา้ ทีเ่ ป็นผู้อานวยการเรยี นรแู้ ลกเปล่ยี นความคดิ ซึ่งกันและกนั และการมเี นื้อหา และสื่อการเรียนรู้ท่ีดีที่จะ ชว่ ยเสริมให้ผู้เรียนมคี วามพรอ้ มสาหรบั โลกยุคใหม่ กระทั่งตอ่ ยอดไปสู่การเรยี นรู้ตลอดชวี ิต คณะผ้จู ดั ทาขอขอบคุณ อาจารย์ ดร.เลอลักษณ์ โอทกานนท์ ท่ีให้คาปรึกษาและคาแนะนา ตลอดจน ขอขอบคุณเจ้าของเอกสาร และตาราเก่ียวกับการจัดการชั้นเรียน การจัดบรรยากาศการจัดการชั้นเรียน การสง่ เสรมิ ภาวะผ้นู าและผตู้ ามท่คี ณะผู้จัดทาได้นามาใช้ประโยชนใ์ นการศึกษา สุดท้ายนี้หากมีข้อผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทาต้องขออภัยเป็นอย่างสูง คณะผู้จัดทาหวังเป็น อย่างยงิ่ ว่ารายงานฉบบั น้จี ะเปน็ ประโยชน์ต่อผ้ทู ส่ี นใจศึกษาเกย่ี วกับการจัดการชั้นเรยี น การจัดบรรยากาศการ จดั การชน้ั เรียนการสง่ เสริมภาวะผู้นาและผู้ตาม คณะผ้จู ัดทา 10 มนี าคม 2564 ก

สารบญั หนา้ คานา ก สารบญั ข 1. ความหมายการบรหิ ารจดั การชน้ั เรยี น การจดั การชนั้ เรียน การจดั บรรยากาศในชั้นเรียน 2. คณุ ลกั ษณะของครทู ี่ดีในการจดั การช้นั เรียน 1 3. ลักษณะของการจดั การชัน้ เรียนทดี่ ี 4. รปู แบบการจดั การชน้ั เรยี น 1 5. การบรหิ ารจัดการชน้ั เรียนกบั มาตรฐานวชิ าชพี ครู 2 6. ตัวอย่างการกาหนดแนวทางการจัดการชน้ั เรยี น 11 12 6.1. ภายในหอ้ งเรียน 14 6.2 ภายนอกหอ้ งเรยี น 14 7. แนวทางปฏบิ ัตเิ พือ่ ปรบั พฤติกรรมของเดก็ ให้มวี นิ ยั ในหอ้ งเรยี น 16 8. ปัญหาและอปุ สรรคในการจัดการชัน้ เรียนให้มปี ระสทิ ธิภาพ 24 9. การส่งเสรมิ ภาวะผนู้ าและผูต้ าม 27 9.1 การสง่ เสรมิ ภาวะผู้นา 28 9.2 การส่งเสริมภาวะผู้ตาม 28 บรรณานกุ รม 33 37 ข

1. ความหมายการบรหิ ารจดั การชนั้ เรียน การจดั การชน้ั เรยี น และการจดั บรรยากาศในชนั้ เรยี น 1.1 การบริหารจัดการชน้ั เรยี น การบริหารจัดการชั้นเรียน หมายถึง วิธีการดาเนินการให้ช้ันเรียนได้อยู่ในสภาพความพร้อมท่ีจะ ดาเนินการเรียนการสอนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่าง แท้จรงิ เนอื่ งดว้ ยชน้ั เรียนเป็นแหลง่ การเรยี นรู้พื้นฐานในรายวชิ าต่างๆ ทั้งภาคทฤษฎแี ละภาคปฏบิ ตั ิ 1.2 การจัดการชั้นเรยี น การจัดการชั้นเรียน หมายถึง การสร้างและการรักษาสิ่งแวดล้อมของห้องเรียนเพ่ือเอ้ือต่อการเรียนรู้ ของนักเรยี น รวมทั้งวิธีการสร้างระเบียบวินัยในห้องเรียน เพื่อรักษาสภาพบรรยากาศในห้องเรียน ช่วยให้การ เรยี นการสอนดาเนินไปอย่างราบรน่ื นักเรียนเกดิ ความรว่ มมือในกิจกรรมการเรยี นรู้ 1.3 การจดั บรรยากาศในชน้ั เรียน การจัดบรรยากาศในชั้นเรียน หมายถึง การจัดสภาพแวดล้อมในช้ันเรียนให้เอื้ออานวยต่อการเรียน การสอน เพ่ือช่วยส่งเสริมให้กระบวนการเรียนการสอนดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างความ สนใจใฝร่ ู้ ใฝ่ศกึ ษา ตลอดจนชว่ ยสร้างเสรมิ ความมรี ะเบียบวนิ ัยใหแ้ ก่ผ้เู รียน 2. คณุ ลกั ษณะของครทู ด่ี ีในการจดั การช้ันเรียน 1. มีบุคลิกภาพดี คือ รูปร่างท่าทางดี แต่งกายสะอาด สุภาพเรียบร้อย พูดจา ไพเราะ และมีลักษณะ เปน็ ผนู้ า 2. มคี วามร้ดู ี มีความคดิ สรา้ งสรรค์ เชื่อมน่ั ในตนเอง กระตือรอื ร้น 3. การสอนดแี ละมกี ารปกครองชน้ั เรียนที่ดี คือ อธิบายได้แจ่มแจ้งชัดเจนครบทุกกระบวนความ สอน สนกุ สนาน ปกครองดแู ลนักเรียนใหอ้ ยู่ในระเบยี บวนิ ยั ทีด่ งี าม 4. ความประพฤติดี คือ ทาแต่ความดีทั้งกาย วาจา ใจ มีคุณธรรมและจริยธรรมสูง มีความซื่อสัตย์ เสยี สละ มีเมตตากรณุ า มีความยตุ ิธรรม และ มมี านะอดทน 5. มีมนุษย์สัมพันธ์อันดี คือ มีอัธยาศัยไมตรีกับคนทุกเพศทุกวัยและทุกฐานะ และมีน้าใจเป็น ประชาธิปไตย 1

3. ลกั ษณะของการจดั การช้นั เรียนทดี่ ี 1. ลกั ษณะของชน้ั เรยี นท่ีดีโดยทัว่ ไปสรปุ ได้ดังนี้ 1. ชั้นเรียนทีด่ คี วรมีสสี นั ทนี่ า่ ดู สบายตา อากาศถา่ ยเทไดด้ ี ถกู สขุ ลกั ษณะ 2. จัดโต๊ะเก้าอแ้ี ละสิง่ ทที่ ่อี ยู่ในชน้ั เรียนให้เออ้ื อานวยต่อการเรยี นการสอน และกิจกรรมประเภทต่างๆ 3. ให้นักเรียนได้เรยี นอย่างมีความสขุ มอี ิสรเสรีภาพ และมวี นิ ัยในการดูแลตนเอง 4.ใชป้ ระโยชนช์ ัน้ เรียนใหค้ ุ้มคา่ ครอู าจดดั แปลงใหเ้ ป็นห้องประชมุ ห้องฉายภาพยนตร์และอ่ืน ๆ 5. จัดเตรียมช้ันเรียนให้มีความพร้อมต่อการสอนในแต่ละคร้ัง เช่น การทางานกลุ่ม การสาธิตการ แสดงบทบาทสมมตุ ิ 6. สรา้ งบรรยากาศใหอ้ บอ่นุ ใหค้ วามเป็นกนั เองกับผู้เรยี น 2. ลกั ษณะการจดั การช้นั เรยี นตามประชาคมอาเซยี น คุณลกั ษณะของเด็กไทยในประชาคมอาเซียน กาหนดคณุ ลกั ษณะ 3 ดา้ น ดังน้ี 1. ด้านความรู้ 1. มคี วามรเู้ ก่ียวกบั ประเทศอาเซยี นในด้านการเมือง เศรษฐกจิ สงั คมและวัฒนธรรม 2. มีความรเู้ กี่ยวกบั อาเซยี น 2.1 จดุ กาเนดิ อาเซยี น 2.2 กฎบตั รอาเซยี น 2.3 ประชาคมอาเซียน 2.4 ความสมั พันธ์กับภายนอกอาเซยี น 2. ด้านทักษะ/กระบวนการ 1. ทกั ษะพน้ื ฐาน 1.1 ส่ือสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา (ภาษาอังกฤษ และภาษาประเทศเพื่อนบ้านอีกอย่างน้อย 1 ภาษา) 1.2 มีทักษะในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างสร้างสรรค์ 1.3 มีความสามารถในการแกป้ ญั หาอยา่ งสนั ตวิ ธิ ี 1.4 มคี วามสามารถในการทางานและอย่รู ่วมกบั ผ้อู ืน่ 2. ทกั ษะพลเมอื ง/ความรบั ผดิ ชอบทางสงั คม 2.1 เคารพและยอมรบั ความหลากหลายทางวฒั นธรรม 2.2 มภี าวะผนู้ า 2.3 เหน็ ปัญหาสังคมและลงมอื ทาเพื่อนาไปสกู่ ารเปลีย่ นแปลง 3. ทกั ษะการเรียนรแู้ ละพฒั นาตน 3.1 เห็นคุณค่าความเปน็ มนุษยเ์ ท่าเทยี มกัน 3.2 มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและแลกเปลยี่ นเรียนรู้ 2

3.3 มีความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์อยา่ งมเี หตุผล มีวิธคี ิดอย่างถกู ต้อง 3.4 มคี วามสามารถในการจัดการ / ควบคุมตนเอง 3. ดา้ นเจตคติ 1. มคี วามภมู ใิ จในความเปน็ ไทย/ ความเป็นอาเซียน 2. ร่วมกนั รบั ผดิ ชอบต่อประชาคมอาเซยี น 3. มคี วามตระหนักในความเป็นอาเซียน 4. มีวิถชี วี ติ ประชาธปิ ไตย ยึดม่นั ในหลกั ธรรมาภิบาล สันตวิ ิธี /สันติธรรม 5. ยอมรับความแตกต่างในการนับถอื ศาสนา 6. ดาเนินชวี ติ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 3. ลกั ษณะของการจัดการชัน้ เรียนในยคุ การศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 ในยุคการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 การบริหารจัดการช้ันเรียนต้องเปลียนไปจากยุคเดิม เพราะความ เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะทางด้านการเป็นยุคดิจิทัล ทาให้นักวิชาการทุกฝ่ายที่ เกี่ยวข้องกับการศึกษาต่างก็ต่ืนตัวท่ีจะพัฒนางานด้านการศึกษา คิดค้นนวัตกรรมต่างๆ เพื่อนาไปใช้กับระบบ การจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ซึ่งนวัตกรรมที่เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนรู้นั้นมีหลายประเภทแตกต่างกัน ออกไป นวตั กรรมในการบริหารจดั การช้ันเรยี นเพอ่ื พัฒนาผู้เรยี นให้มีทักษะในศตวรรษท่ี 21 มีหลายอย่าง เช่น ห้องเรียนกลับด้าน ห้องเรียนเสมือนจริง ห้องเรียนอัจฉริยะ ดิจิตอล การเรียนแบบผสมผสาน และการ บริหารจดั การช้ันเรียนเชงิ รกุ 1. หอ้ งเรยี นกลับดา้ น ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ครูมอบหมายให้นักเรียนศึกษาสื่อ การเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ก่อนการเรียนในชั้นเรียน จากน้ันเมื่ออยู่ในช้ันเรียนจริงนักเรียนจะได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อต่อยอดจากเน้ือหา ทาแบบฝึกหัดและถามตอบจากส่ิงที่ได้เรียนผ่านส่ือมาแล้ว และ โดยมีครเู ปน็ ผูช้ ้แี นะ ใหค้ าแนะนาหรอื ใหค้ วามช่วยเหลือ ประโยชนข์ องหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรูต้ ามศักยภาพของตนเอง สามารถแก้ไขปัญหา สาหรบั นกั เรยี นที่ขาดเรียนบ่อย นักเรียนที่เรียนอ่อนจะไม่ถูกทอดท้ิง โดยผู้สอนจะคอยชี้แนะ ให้กาลังใจ และ ช่วยเหลือผู้เรียน ทาให้รู้จุดอ่อน จุดแข็ง ของนักเรียนแต่ละคน นักเรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองทาให้รู้จั ก จัดการเวลา แบ่งเวลาเป็นและสามารถเรียนได้เมื่อไรก็ได้ตามความพึงพอใจของตนเอง อีกทั้งยังช่วยให้มี ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกัน และระหว่างเด็กกับครูเพ่ิมขึ้น และยังทาให้นักเรียนเรียนเพื่อตนเองไม่ใช่ เป็นการเรียนเพื่อทาตามคาส่ังครู หรือเพื่อคนอื่น ส่งผลให้นักเรียนเอาใจใส่ในการเรียน และเกิดเจตคติที่ดีใน การเรยี นรู้ 3

ภาพที่ 1 การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 2. หอ้ งเรียนเสมอื น ห้ อ ง เ รี ย น เ ส มื อ น เ ป็ น ก า ร ส อ น ที่ จ า ล อ ง แ บ บ เ ส มื อ น จ ริ ง น้ั น เ ป็ น น วั ต ก ร ร ม ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า ท่ี สถาบันการศึกษา ตา่ งๆ ทวั่ โลกกาลังให้ความสนใจและจะขยายตัวมากข้ึนในศตวรรษที่ 21 การเรียนการสอน ในระบบน้ีอาศัยสื่ออิเล็กทรอนิกส์โทรคมนาคม และเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นหลักท่ีเรียกว่า Virtual Classroom หรือ Virtual Campus บ้าง นับว่าเป็นการพัฒนาการ บริการทางการศึกษาทางไกลชนิดที่ เป็น รปู แบบใหมข่ องสถาบนั การศึกษาในโลกยคุ ไร้พรมแดน ภาพที่ 2 หอ้ งเรยี นเสมอื น 2. ประเภทของหอ้ งเรยี นเสมือนจรงิ ถูกจาแนกประเภทการเรยี นในห้องเรยี นเสมือนจรงิ ได้ 2 ลักษณะคือ 2.1 จัดการเรียนการสอนในห้องเรียนธรรมดา แต่มีการถ่ายทอดสดภาพและเสียงเก่ียวกับบทเรียน โดยอาศัยระบบโทรคมนาคมและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังผู้เรียนที่อยู่นอกห้องเรีย นนักศึกษาก็สามารถรับ ฟังและติดตามการสอนของผู้สอนได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองอีกทั้งยังสามารถโต้ตอบกับอาจารย์ ผสู้ อน หรอื เพื่อนกั ศกึ ษาในชั้นเรียนได้ หอ้ งเรยี นแบบนีย้ ังอาศัย สิ่งแวดล้อมทางกายภาพทเี่ ป็นจรงิ 4

2.2 การจัดห้องเรียนจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างภาพเสมือนจริงเรียกว่า Virtual Reality โดยใช้ สื่อที่เป็นตวั หนังสือ (Text-Based) หรือภาพกราฟิก(Graphical-Based) ส่งบทเรียนไปยังผู้เรียนโดยผ่านระบบ โทรคมนาคมและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ห้องเรียนลักษณะนี้เรียกว่า Virtual Education Environment ซึ่ง เปน็ Virtual Classroom ทแี่ ทจ้ ริง การจัดการเรยี นการสอนทางไกลท้ังสองลักษณะน้ีในบางมหาวิทยาลัยก็ใช้ ร่วมกัน คือมีท้ังแบบที่เป็นห้องเรียนจริง และห้องเรียนเสมือนจริง การเรียนการสอนก็ผ่านทางเครือข่าย คอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมโยงกันอยู่ท่ัวโลก เช่นอินเตอร์เน็ต ขณะนี้ได้มีผู้พยายามจัดตั้งมหาวิทยาลัยเสมือนจริงขึ้น แล้ว โดยเช่ือมโยงผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ท่ีให้บริการ ด้านการเรียนการสอนทางไกลแบบ Virtual Classroom ต่างๆ เข้าด้วยกัน และจดั บริเวณอาคาร สถานท่หี ้องเรยี น หอ้ งสมดุ ภาควิชาต่างๆ ศูนย์บริการต่างๆ ตลอดจน คณาจารย์ นักศึกษา กิจกรรมทุกอย่างเสมือนเป็นชุมชนวิชาการจริงๆ แต่ข้อมูลเหล่าน้ีจะอยู่ท่ีศูนย์ คอมพิวเตอร์ของแต่ละแห่งผู้ประสงค์จะเข้าร่วมในการเปิดบริการก็จะต้องจองเนื้อท่ีและเขียนโปรแกรมใส่ ข้อมูลเข้าไว้ เม่ือนักศึกษาติดต่อเข้ามา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็จะแสดงภาพ เสียง ภาพเคล่ือนไหว และ สามารถโต้ตอบได้เสมือนหน่ึงเป็นมหาวิทยาลัยจริงๆแม้ว่าต้นทุนในการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียน เสมือนจะสูงมาก แต่ถ้าหากมีการบริการจัดการจนมีประสิทธิภาพและเป็นท่ีแพร่หลายแล้ว ผลกาไรจะเกิด ขึ้นกับสังคมและประเทศชาติในรูปของคนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับความรู้ซ่ึงเป็นกาลังสาคัญในการพัฒ นา สว่ นต่างๆของประเทศใหม้ คี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ต่อไปในอนาคต 3. หอ้ งเรยี นอจั ฉรยิ ะ ห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom)หมายถึง ห้องเรียน หรือแหล่งการเรียนท่ีจัดทาข้ึนในลักษณะพิเศษที่ แตกตา่ งไปจากห้องเรียนปกตโิ ดยทั่วไป เพื่อใช้สาหรับการเสรมิ สรา้ งและพัฒนาประสบการณ์ทางการเรียนการ สอน, การฝกึ อบรมรวมทั้งการฝึกทักษะ และความรูใ้ นด้านต่าง ๆ ท่ีผูเ้ รียนจะสามารถนาไปปรับใช้ในอนาคตได้ โดยมจี ดุ เนน้ ในด้านของการมีปฏิสัมพนั ธ์ทางการเรียนร่วมกันกับเทคโนโลยีท่ีหลากหลายของส่ือในรูปแบบต่าง ๆ ท่กี ่อให้เกิดเปน็ การเรียนการสอนท้ังในระบบช้ันเรียนและนอกชั้นเรียนในการเรียนการสอนแบบทางไกลที่มี ประสทิ ธภิ าพ โดยผงั มโนทัศนข์ องหอ้ งเรยี นอจั ฉรยิ ะ ดงั น้ี Junfeng Yang (2013) ได้มีการกาหนดมโนทัศน์ ( Concept )ท่ีบ่งบอกถึงความหมายของคาว่า SMART Classroom ซึง่ มาจากคาสาคญั ท่ีแสดงให้เห็นในมิตใิ นด้านต่างๆดงั ต่อไปนี้ ( Huang et.al , 2014 ) (2) 5

ภาพท่ี 3 ผงั มโนทศั น์ของห้องเรียนอจั ฉรยิ ะ Junfeng Yang (2013) “Optimizing Classroom Environment to Support Technology Enhanced Learning” 1. S: Showing ความสามารถในการนาเสนอข้อมูลสารสนเทศในการเรียนการสอนผ่านสื่อเทคโนโลยี การสอน 2. M: Manageable ความสามารถในเชิงการบริหารจัดการด้านการจัดระบบการสอน, สื่อ,อุปกรณ์, ทรัพยากร, แหลง่ ทรัพยากร และสภาพแวดลอ้ มในห้องเรียนอัจฉริยะ 3. A: Accessible ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางการเรียนจากการใช้ส่ือ,เคร่ืองมือ และ อุปกรณ์ในห้องเรียนอัจฉริยะ 4. R: Real-time Interactive ความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์เชิงโต้ตอบขณะสร้างประสบการณ์ ทางการเรียนการสอน รวมท้ังการเรียนผ่านสื่อ, เคร่ืองมือ และอุปกรณ์เทคโนโลยีเชิงโต้ตอบในห้องเรียน อัจฉรยิ ะ 5. T: Testing ความสามารถด้านการทดสอบ หรือการตรวจสอบเชิงคุณภาพสาหรับการจัดกิจกรรม การเรยี นการสอน และการตรวจสอบพฤติกรรมทางการเรียนจากการใชห้ อ้ งเรียนอัจฉริยะ แนวคดิ ของการศึกษากับหอ้ งเรยี นอจั ฉรยิ ะ ห้องเรียนอัจฉริยะเป็นหน่ึงในนวัตกรรมท่ีสอดคล้องกับแนวคิดทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาสาหรับ การจดั การศึกษาไทยทางไกลรูปแบบหนงึ่ ที่ต้องการมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล ต่อการเรยี น โดยสามารถจัดการเรียนการสอนท่ีผู้เรียนสามารถเรียนได้ด้วยตนเองผ่านช่องทางของเทคโนโลยี ตา่ ง ๆ และระบบอินเตอร์เน็ต 4. การบรหิ ารจดั การห้องเรียนเชงิ รกุ การบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงรุก (Proactive Classroom Management) เป็นการดาเนินงานทาให้ เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนเป็นไปอย่างราบร่ืน มีการตัดสินใจท่ีตรงประเด็นและมีบรรยากาศ โดยรวมเหมาะสม โดยผู้สอนจะมีการเตรียมการในระดับท่ีซับซ้อนอย่างระมัดระวังเพ่ือป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา หรือถูกขัดจังหวะในขณะจัดการเรียนการสอน เพ่ือให้การเรียนรู้แก่ผู้เรียนมีความหมายสามารถเกิดขึ้นได้ 6

ความรู้ทักษะและความสามารถในการบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงรุก จะส่งผลให้การปฏิบัติงานในหน้าที่ท่ี รับผิดชอบมีประสิทธิภาพและบรรลุผลสาเร็จเป็นที่ยอมรับประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดรูปแบบ ห้องเรียน 2) การตั้งค่าความคาดหวัง การต้ังกฎและกาหนดข้ันตอนการเรียน 3) การช้ีแจงกฎระเบียบ 4) ความสัมพันธ์ระหวา่ งนกั เรยี นและครู 5) กลยทุ ธ์การสอนอยา่ งหลากหลาย และ 6) การประเมินและตรวจสอบ พฤตกิ รรม ดว้ ยรปู แบบการบริหารจดั การช้นั เรยี นแบบโปรแอคทฟี นผ้ี เู้ รยี นจะมีการลงมอื ปฏิบตั ิงานจนเกิดเป็น ประสบการณจ์ รงิ 5. พืน้ ทก่ี ารเรยี นรู้ (Learning Space) พ้ืนท่ีการเรียนรู้แนวใหม่ที่จัดขึ้นสนับสนุนภารกิจของสถานศึกษาด้านการเรียนการสอน และการ เรียนร้ขู องผ้เู รียนในการศกึ ษาหาความร้รู ว่ มกนั ทน่ี อกเหนือจากห้องเรียนปกติ โดยสถานศึกษาจัดสถานท่ีและ สภาพแวดล้อมที่มีส่ิงอานวยความสะดวกท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้นอกห้องเรียน และสอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้เรียนท่ีมีความสามารถในการใช้ส่ือเทคโนโลยี จัดหาส่ิงอานวยความ สะดวก สื่อการเรียนรู้รูปแบบต่างๆที่มีสาระวิชาการแทรกผ่านทางสื่อต่างๆท้ังในรูปของหนังสือ ดนตรี ภาพยนตร์ และ สื่อมัลติมีเดีย เพ่ือให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้ด้วยตนเองโดยการทดลอง ค้นคว้า ปฏิบัติจริง รวมท้ังส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกับผู้อ่ืน และเป็นแหล่งสาหรับกลุ่มผู้สนใจในเร่ืองคล้ายกันได้แลกเปลี่ยนความรู้ ร่วมกัน ทางด้านวิทยาศาสตร์มีพื้นท่ีการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ (Science Learning Space) เป็นพ้ืนท่ี การเรียนรู้สาหรับผู้สนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยสามารถเข้าศึกษาด้วยตนเองเพิ่มเติม ทาง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดทา ศูนย์เรียนรู้ดิจิทัลระดับชาติด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี สสวท. (IPST Learning Space) เป็นแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยรวบรวมสื่อการเรียนรู้ท่ีมีมาตรฐาน คัดกรองคุณภาพและความถูกต้อง โดย ผู้เช่ียวชาญและสอดคล้องกับหลักสูตรในโรงเรียนไว้อย่างครบถ้วน ภายใต้การดาเนินงานของสถาบันส่งเสริม การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) ศนู ยน์ มี้ งุ่ ยกระดับคุณภาพการศึกษา และขยายโอกาสการเรียนรู้ เช่ือมโยงผู้คน ข้อมูลข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้สู่ทุกคนอย่างเท่าเทียมเพ่ือให้นักเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผปู้ กครองและบคุ คลท่ัวไปสามารถเข้าถงึ แบ่งปันและเรยี นร้ไู ดท้ ุกทีใ่ นทุกเวลา ศูนย์เรียนรู้ดิจิทัลระดับชาติด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี สสวท. มีระบบหลัก 5 ระบบ คือ 1) ระบบอบรมครู 2) ระบบการสอนออนไลน์ 3) ระบบคลังความรู้ 4) ระบบการเรียนรู้ร่วมกัน และ 5) ระบบสานักพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ศูนย์เรียนรู้ดิจิทัลระดับชาติด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และ เทคโนโลยี สสวท. มีความสาคัญในการลดความเหล่ือมล้าในด้านโอกาสการเรียนรู้และเป็นการเพิ่มคุณภาพ การศึกษาดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นคณิตศาสตร์ และด้านเทคโนโลยี โดยการจัดพื้นที่การเรียนรู้ให้แก่ทุกคนอย่าง เทา่ เทยี มและมีประสทิ ธภิ าพ IPST Learning Space เปน็ แหลง่ เรยี นรอู้ อนไลน์ที่รองรบั การยกระดับคุณภาพ การศกึ ษา ขยายโอกาสและเพ่ิมความเท่าเทียมในการเรียนรู้ โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถ เข้าถึงสื่อที่ได้มาตรฐาน คัดกรองคุณภาพและความถูกต้องโดยผู้เช่ียวชาญ สอดคล้องกับหลักสูตรในโรงเรียน 7

ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ และเรียนรู้ร่วมกันได้โดยไม่มีข้อจากัดทั้งเวลา สถานที่ ค่าใชจ้ ่าย การจัดพ้ืนที่การเรียนรู้สาหรับสถานศึกษาควรจัดพื้นท่ีท่ีผู้เรียนสามารถใช้พ้ืนที่แห่งน้ันในการศึกษา คน้ คว้าไดส้ ะดวก มีอปุ กรณท์ ่ีใช้ในการศึกษาคน้ คว้าสนบั สนนุ อาจเป็นหนังสือ อุปกรณ์ทดลอง และอุปกรณ์ คน้ ควา้ ออนไ์ ลน์ มสี ัญญาณไวไฟเขา้ ถงึ ไดเ้ พยี งพอ 6. ชว่ั โมงอัจฉรยิ ะ (Genius Hour) ชั่วโมงอัจฉริยะ เป็นเวลาสาหรับนักเรียนในการทากิจกรรมร่วมกัน ของกลุ่มที่สนใจในเร่ืองเดียวกันในการ สารวจและสร้างสรรค์ผลงานในสิ่งทีต่ นเองหลงไหลสนใจอยากร้อู ยากสร้างผลงานในเรอื่ งนนั้ อยา่ งแทจ้ รงิ ภาพท่ี 4 หลักการ 6 ประการของชวั่ โมงอจั ฉรยิ ะ ชัว่ โมงอัจฉริยะมีหลกั การทเ่ี กยี่ วขอ้ งอยู่ 6 ประการคอื 1) กฎ 80/20 (80/20 rule) กฎ 80/20 เป็นโครงสร้างเวลาตามแนวคิดของ Google ท่ีอนุญาตให้วิศวกรหรือพนักงานใช้เวลา 20% ในการทางานในโครงการท่ตี นเองสนใจชืน่ ชอบ ซ่ึงมีการกล่าววา่ 50% ของผลติ ภณั ฑ์ของ Google ได้รับ การสร้างข้ึนในลักษณะน้ี Genius Hour ของนักเรียน เป็นเวลาท่ีให้นักเรียนได้ใช้เวลา 20% ได้ศึกษาในสิ่งที่ นักเรยี นสนใจ 2) การขัดเกลาทางสังคม (Socialization) ครูช่วยสนบั สนุนใหผ้ ู้เรยี นและเพ่อื นไดว้ างแผนเพอื่ ผลติ ผลงานเพื่อการเรยี นรู้ นอกจากนใ้ี ห้ผู้เรียนได้มี โอกาสไดร้ บั ความช่วยเหลือจากผเู้ ช่ยี วชาญและสมาชิกในชุมชนเพื่อใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคใ์ นการทางาน 3) การสร้างสรรค์ (Create) การสรา้ งสรรค์ผลงานเปน็ หวั ใจหลักของช่ัวโมงอัจฉริยะ (Genius Hour) การมีผลิตภัณฑ์หรือผลงาน ท่ีมองเหน็ ได้ ให้ผเู้ รยี นได้สรา้ งสรรค์ขนึ้ อย่างสม่าเสมอในการเรยี นรู้ 8

4) การสบื สวนสอบสวนและการนาทาง (Inquiry & Navigation) การสารวจความเป็นไปได้ของเน้ือหาที่ไม่มีการกรองการรวบรวมข้อมูลและการวิจัยท่ีแคบลงทาให้ นักเรียนรู้สึกได้ถึงความคิดที่สาคัญสาหรับพวกเขา ในการนาทางและการสืบสวนสอบสวน การสารวจความ เป็นไปได้นี้นาไปสู่การวิจัยและการวิจัยแบบแคบมากขึ้น ด้วยวิธีน้ีการเรียนรู้แบบน้ีมีความสาคัญกับชั่วโมง อจั ฉรยิ ะ (Genius Hour) 5) การออกแบบ (Design) เนื้อหาท่ีสนใจและเนื้อหาในการทาโครงงานนักเรียนจะต้องออกแบบประสบการณ์การเรี ยนรู้ด้วย ตวั เอง 6) วัตถุประสงค์ ผู้เรียนต้องค้นหาความความต้องการของตนในการกาหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่ผู้เรียนต้องการเรียนรู้ ทาความเขา้ ใจหรอื ส่ิงท่ตี ้อการประดิษฐ์สรา้ งข้ึน 7. แอปพลิเคชันสาหรับการจัดการชนั้ เรียนสาหรบั ครู โลกดิจิทลั สมัยใหม่ไดเ้ ปลยี่ นแปลงทุกส่งิ ทุกอยา่ งโดยเฉพาะอย่างย่ิงสาหรับครู ในอดีตครูมักต้องพึ่งพา เทคโนโลยที ีล่ ้าสมัยเช่นจดหมายกระดาษโทรศพั ทร์ ายงานบตั รประจาตวั และสมุดบันทึกและอื่น ๆ อีกมากมาย เพยี งเพือ่ ทาหน้าที่ดูแลผู้เรียน แต่วันนี้การปฏิวัติแบบดิจิทัลได้ขยายออกไปแล้ว การจัดการชั้นเรียนและแอป พลเิ คชันการสอื่ สารสมัยใหมช่ ว่ ยใหค้ รปู ระหยัดเวลาและสะดวกช่วยให้การบริหารจัดการช้ันเรียนง่ายข้ึนและมี ประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ แอพพลิเคชนั การจดั การชนั้ เรยี นทีไ่ ดร้ ับความนิยมสูงสาหรับครู เชน่ ClassDoJo ClassDojo เป็นแอปพลิเคชันแบบรวมการใช้งานหลายด้านไว้ด้วยกัน เพ่ือช่วยในการบริหารจัดการ กับนักเรยี นและผู้ปกครอง เป็นทางเลือกทดี่ ี เหมาะสาหรบั ช่วยใหค้ รูสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ท่ีดี ข้ึนสาหรับเด็ก ๆ โดยมี ฟังชัน microsites สามารถใช้เฉพาะสาหรับสือสารกับผู้เรียนแต่ละคน และสามารถ ใหผ้ ปู้ กครองเขา้ เยี่ยมชมในสว่ นทีแ่ สดงผลงานของผเู้ รียน โดยเสนอเป็นภาพถ่ายและข้อมูลอ่ืน ๆ ได้ วิธีน้ีช่วย ใหพ้ ่อแม่มคี วามสัมพันธก์ ับการศึกษาของเด็กมากขน้ึ และช่วยในการศึกษาท่ีมีประสิทธิภาพ ครูสามารถกระตุ้น การมีส่วนร่วมด้วยเครื่องมือการจัดการในระดับที่มีประสิทธิภาพและสามารถติดตามกา รมีส่วนร่วมของ 9

นกั เรียนแต่คนได้ สุดท้าย ClassDojo ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถส่ือสารกับครูโดยตรงผ่านทางแอปพลิเคชันได้ โดยไม่ตอ้ งใชโ้ ทรศพั ท์สว่ นตวั 4. ลกั ษณะการจัดการชนั้ เรียนตามนโยบายลดเวลาเรยี น เพิ่มเวลารู้ นโยบาย“ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนซ่ึงเป็นอนาคตของชาติให้มีความสมดุลท้ัง ด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตาม ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมขุ มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติที่จาเป็น ต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพ้ืนฐานความ เช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ และมีความพร้อมในการแข่งขันระดับ นานาชาติ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ปรับการบริหารจัดการหลักสูตรและแนวทางการ ดาเนินงานตามนโยบาย “ลดเวลาเรยี น เพิ่มเวลารู้” ดงั น้ี 1. ปรับโครงสร้างเวลาเรียน ระดับประถมศึกษา มีเวลาเรียนรวมไม่เกิน 1,000 ชั่วโมงต่อปีระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น มเี วลาเรยี นรวมไม่เกิน 1,200 ช่ัวโมงต่อปี 2. กาหนดตวั ช้วี ัดที่ตอ้ งรู้ และควรรู้ของ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ เพ่ือลดความซ้าซ้อนของเนื้อหาภาระ งาน/ชน้ิ งาน ลดเวลาเรียน และเป็นกรอบในการประเมนิ ผลผู้เรียนระดับชาติ 3. จดั กิจกรรมการเรยี นรูป้ ระวัติศาสตรแ์ ละภมู ิศาสตร์อยา่ งเข้มข้น 4. ปรบั เปลี่ยนการจดั กจิ กรรมเพิม่ เวลารู้ใหม้ งุ่ เน้นเปา้ หมาย ดงั นี้ 4.1 พัฒนา 4H คือ Head (กิจกรรมพัฒนาสมอง), Heart (กิจกรรมพัฒนาจิตใจ), Hand (กิจกรรมพัฒนาทักษะการปฏบิ ตั )ิ และ Health (กิจกรรมพัฒนาสุขภาพ) 4.2 ให้เชอื่ มโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะ อันพงึ ประสงค์และค่านิยมทีด่ งี ามของคนไทย 4.3 พฒั นาทักษะการเรยี นรูส้ าหรับศตวรรษท่ี 21 4.4 พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ตามแนวการประเมินผลผู้เรียนนานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) 4.5 ผู้เรียนมีความสุขกบั การเรียนรู้ 5. ให้เวลาของการจดั กจิ กรรมเพมิ่ เวลารู้รวมอย่ใู นโครงสรา้ งเวลาเรียนตามที่กาหนดในขอ้ 1 6. กจิ กรรมเพมิ่ เวลาร้มู ีทง้ั กจิ กรรมทกี่ าหนดใหเ้ รยี น และกจิ กรรมให้เลอื กเรียน นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายปรับเวลาเรียน ในระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-3 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) จากเวลาเรียน 40 ช่ัวโมงต่อปี เป็น 200 ชั่วโมงต่อปีและเวลา เรียนรวมของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ และการ งานอาชพี และเทคโนโลยี เป็น 160 ช่ัวโมงต่อปี ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาและการ จัดกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้เช่ือมโยงสัมพันธ์กัน แต่ยังคงหลักการท่ีจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมี 10

ความสุขและมีความหมายต่อชีวิตของผู้เรียน สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จึงได้จัดทาคู่มือ บริหารจัดการเวลาเรียนตามนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการของ สถานศกึ ษา 4. รูปแบบการจัดการชนั้ เรียน การจัดการช้ันเรียน จัดได้หลายรูปแบบ โดยจัดให้เหมาะสมกับบทเรียน กิจกรรมการเรียนการสอน จานวนนกั เรียน สภาพแวดล้อมในชั้นเรียน ขนาดของห้องเรียน เป็นต้น ครูควรได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของการ จัดโต๊ะ เก้าอี้ มุมวิชาการ และมุมต่าง ๆ ในห้องเรียน เพื่อสร้างบรรยากาศของห้องเรียนให้น่าสนใจไม่ซ้าซาก จาเจ ไม่น่าเบอ่ื หนา่ ย นักเรียนจะเกดิ ความกระตอื รือร้นและกระฉบั กระเฉงในการเรียนดีขึ้น การจัดชั้นเรียนถ้า แบง่ ตามวธิ ีการสอนจะได้ 2 แบบ คือ แบบธรรมดาและแบบนวตั กรรม 1. ชั้นเรียนแบบธรรมดา ชั้นเรียนแบบธรรมดาเป็นช้ันเรียนท่ีมีครูเป็นศูนย์กลาง เป็นผู้นาการเรียนรู้ โดยมีผู้เรียนเป็นผู้รับความรู้จากครู การจัดช้ันเรียนแบบน้ีจะมีโต๊ะครูอยู่หน้าช้ันเรียน และมีโต๊ะเรียนวางเรียง กนั เปน็ แถว โดยหนั หนา้ เข้าหาครูแสดงดงั รูป 1.1 ลักษณะการจัดชั้นเรียน การจัดช้ันเรียนแบบธรรมดานี้ โต๊ะเรียนของนักเรียน อาจเป็น โต๊ะเด่ียวหรอื โตะ๊ คู่กไ็ ด้ ผนงั หอ้ งเรียนอาจจะมีกระดานปา้ ยนิเทศ หรือส่ือการสอนเช่น แผนภูมิ รูปภาพ แผนท่ี ติดไว้ ซึ่งสื่อการสอนเหล่าน้ีจะไม่เปล่ียนบ่อยนัก การตกแต่งผนังห้องเรียนจะแตกต่างกันออกไปตามแต่สถาน ที่ต้ังของโรงเรียน โรงเรียนที่อยู่ในตัวเมืองอาจจะมีการตกแต่ง มากกว่าโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลออกไปตมชนบท เพราะหาสื่อการสอนได้ยากกว่า บางห้องเรียนอาจจะมีมุมความสนใจ แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นส่วนหน่ึงของ กระบวนการเรยี นการสอน 1.2 บทบาทของครูและนักเรียน บทบาทของครูและนกั เรยี นในช้ันเรียนแบบธรรมดาน้ี ครูจะ เปน็ ผรู้ อบรู้ในด้านต่างๆ ใช้วิธีการสอนแบบป้อนความรู้ให้แก่นักเรียนโดยการบรรยาย และอธิบายให้นักเรียน ฝังอยู่ตลอดเวลา ครูจะเป็นผู้แสดงกิจกรรมต่างๆ เอง แม้กระทั่งการทดลองอย่างง่ายๆ ไม่เปิดโอกาสให้ นักเรียนได้ยบิ จับ หรือแตะต้องส่ือการสอนท่ีครูนามาแสดง นักเรียนจึงต้องฟังครู มีมีโอกาสได้พูด หรือทางาน เป็นกล่มุ เพือ่ คน้ หาคาตอบใดๆ สือ่ การสอนทีใ่ ชส้ ว่ นมาก ได้แก่ ชอลก์ กระดานดา และแบบเรียน 2. ช้ันเรียนแบบนวัตกรรม ช้ันเรียนแบบนวัตกรรม เป็นชั้นเรียนที่เอ้ืออานวยต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนโดยใช้เทคนิควิธีการแบบสอนใหม่ๆ เช่น การเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบโฟร์แมท แบบสตอรี่ไลน์ แบบโครงงาน เปน็ ต้น ซึ่งทาให้นักเรียนจะมีอิสระในการเรียน อาจเรียนเป็นกลุ่ม หรือเป็นรายบุคคล โดยมีครู เป็นผู้ใหค้ าปรึกษา การจัดชนั้ เรียนจึงมรี ูปแบบการจัดโตะ๊ เก้าอีใ้ นลกั ษณะต่างๆ ไม่จาเป็นต้องเรียงแถวหันหน้า เข้าหาครู เช่น จัดเป็นรปู ตัวที ตวั ยู วงกลม หรอื จดั เปน็ กลุ่ม 2.1 ลกั ษณะการจัดชนั้ เรียน การจัดชัน้ เรียนแบบนวัตกรรมนี้ โต๊ะครูไม่จาเป็นต้องอยู่หน้าช้ัน อาจเคลื่อนย้ายไปตามมุมต่างๆ การจัดโต๊ะนักเรียนจะเปล่ียนรูปแบบไปตามลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนของครู สว่ นใหญน่ ิยมจัดโต๊ะเป็นกลุ่ม เพื่อให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมร่วมกัน มีการจัดศูนย์สนใจ มีสื่อ 11

การสอนในรูปของชุดการสอน หรือเคร่ืองช่วยสอนต่างๆ ไว้ให้นักเรียนศึกษาด้วยตนเอง หรือศึกษาร่วมกับ เพือ่ น มกี ารตกแต่งผนงั ห้องและเปล่ยี นแปลงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกบั เรอื่ งทน่ี กั เรียนกาลังเรยี น 2.2 บทบาทของครูและนักเรียน การจัดช้ันเรียนแบบนี้ครูจะเป็นผู้กากับและแนะแนว นักเรียนเป็นผู้แสดงบทบาท ครูจะพูดน้อยลง ให้นักเรียนได้คิด ได้ถาม ได้แก้ปัญหา และได้ทากิจกรรมด้วย ตนเอง นักเรียนอาจจะเรียนด้วยตนเองจากส่ือประสม เช่น บทเรียนแบบโปรแกรม ชุดการสอน คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ครูจะเป็นผู้ให้คาแนะนา และช่วยเหลือเมื่อจาเป็น ดังนั้น การจัดชั้นเรียนแบบน้ีจึงเป็นการจัดช้ัน เรียนท่ีสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลักสูตรท่ีต้องการให้ผู้เรียนได้คิดค้นคว้า วิเคราะห์วิจารณ์ และลงมือ ปฏิบตั ิจริงทกุ ขั้นตอน จนสามารถเรยี นร้ไู ด้ตนเอง 5. การบริหารจัดการช้นั เรียนกบั มาตรฐานวิชาชพี ครู 1. มาตรฐานวิชาชีพครูและจรรยาบรรณวิชาชีพครู (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 สาระสาคัญของ ขอ้ บงั คับครุ ุสภา วา่ ดว้ ยมาตรฐานวชิ าชีพ มาตรฐานความรูแ้ ละประสบการณว์ ชิ าชพี มาตรฐานที่ 6 จาก 11 มาตรฐาน การจดั การเรยี นรแู้ ละการจดั การชั้นเรยี น มาตรฐานความรู้ สาระความรู้ สมรรถนะ การจัดการเรยี นรู้ 1) ทฤษฎกี ารเรยี นรู้และการสอน 1) สามารถนาประมวลรายวิชามา 2) รูปแบบการเรียนรู้ และการ จดั ทาแผนการเรียนรู้ รายภาคและ พัฒนารปู แบบการเรยี นการสอน ตลอดภาค 3) การออกแบบและการจัด 2) สามารถออกแบบการเรียนรู้ ท่ี ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ เหมาะสมกบั วยั ของผเู้ รยี น 4) การบูรณาการเนื้อหาในกลุ่ม 3) สามารถเลือกใช้พัฒนาและ สาระการเรียนรู้ ส ร้ า ง ส่ื อ อุ ป ก ร ณ์ ท่ี ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร 5) การบูรณาการการเรียนรู้ เรียนรู้ของผูเ้ รียน แบบเรยี นรวม 4) สามารถจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริม 6) เทคนิคและวิทยาการจัดการ การเรียนรู้ของผู้เรียนและจาแนก เรียนรู้ ระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนจาก 7) การใช้และการผลิตสื่อและการ การประเมินผล พฒั นานวตั กรรมในการเรียนรู้ 8) การจัดการเรยี นรู้แบบยึดผู้เรียน เป็นสาคญั 9) การประเมินผลการเรยี นรู้ 12

มาตรฐานความรู้ สาระความรู้ สมรรถนะ การบรหิ ารจัดการห้องเรยี น 1) ทฤษฎีและหลักการบริหาร 1) มภี าวะผนู้ า จดั การ 2) สามารถบริหารจัดการในชั้น 2) ภาวะผนู้ าทางการศึกษา เรยี น 3) การคิดอย่างเปน็ ระบบ 3) สามารถส่ือสารได้อย่างมี 4) การเรยี นรวู้ ัฒนธรรมองคก์ ร คณุ ภาพ 5) มนุษยสมั พันธ์ในองค์กร 4) สามารถในการประสาน ประโยชน์ 6) การตดิ ต่อสือ่ สารในองค์กร 5) สามารถนานวัตกรรมใหม่ๆ มา 7) การบรหิ ารจัดการชน้ั เรียน ใช้ในการบรหิ ารจัดการ 8) การประกนั คุณภาพการศึกษา 9) การทางานเปน็ ทมี 10) กา รจัด ทาโ ครง งาน ทา ง วิชาการ 11) การจัดโครงการฝกึ อาชพี 12) การจัดโครงการและกิจกรรม เพอ่ื พัฒนา 13) การจัดระบบสารสนเทศเพ่ือ การบริหารจดั การ 14) การศกึ ษาเพือ่ พัฒนาชมุ ชน 2. มาตรฐานวิชาชีพครูและจรรยาบรรณวิชาชีพครู (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 สาระสาคัญของ ขอ้ บังคับครุ สุ ภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชพี มาตรฐานการปฏิบัตงิ าน ผู้ประกอบวิชาชพี ครู ต้องมีมาตรฐานการปฏิบตั งิ าน ดงั น้ี ข) การจัดการเรยี นรู้ (1) พัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษา การจัดการเรยี นรู้ สื่อ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ (2) บรู ณาการความรู้ และศาสตรก์ ารสอน ในการวางแผนและจดั การเรียนรูท้ ่สี ามารถพัฒนาผู้เรียนให้ มปี ัญญารคู้ ดิ และมคี วามเปน็ นวัตกร (3) ดูแล ช่วยเหลือ และพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคลตามศักยภาพ สามารถรายงานผลการพัฒนา คุณภาพผู้เรยี นไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ (4) จัดกิจกรรมและสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียน โดยตระหนักถึงสุข ภาวะของผเู้ รียน (5) วิจยั สรา้ งนวัตกรรม และประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยี ดจิ ทิ ลั ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อการเรียนรขู้ องผู้เรียน 13

(6) ปฏบิ ตั งิ านรว่ มกบั ผ้อู น่ื อยา่ งสร้างสรรคแ์ ละมีส่วนร่วมในกิจกรรมการพัฒนาวชิ าชีพ 6. ตวั อยา่ งการกาหนดแนวทางการจัดการชนั้ เรยี น จัดบรรยากาศท้ังภายในและภายนอกห้องเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก เพ่ือส่งเสริมให้เด็กได้ เรียนรตู้ ามธรรมชาติ สอดคลอ้ งกับพฒั นาการของเด็กแตล่ ะวัยเรียนรู้ผ่านการเล่นที่น่าสนใจ สนุกสนาน โดยได้ ดาเนนิ การพฒั นาและปรบั ปรงุ ดังน้ี 6.1. ภายในหอ้ งเรียน เน้นความสะอาด สวยงาม ปลอดภัย ภายในจะมีมุมประสบการณ์ พร้อมส่ืออุปกรณ์ เพื่อให้เด็กได้ เรียนรู้จากการใช้สัมผัสทั้ง 5 มุมประสบการณ์ เช่น มุมบ้าน มุมหนังสือ มุมดนตรีเป็นต้น นอกจากนี้ ทาง โรงเรยี นได้จดั ทาหอ้ งน้าห้องส้วมไวภ้ ายในห้องเรยี น เพอื่ ความสะดวกและความปลอดภยั ของเด็ก สภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน 1. ห้องเรียนและอุปกรณ์การเรียน ได้แก่ ห้อง พื้นห้อง ผนัง ประตู หน้าต่าง ขนาดและพื้นท่ีว่าง ภายในหอ้ งเรียน โต๊ะ เก้าอ้ี กระดานดา อุปกรณ์ตกแต่งหอ้ งเรยี น เช่น แจกนั ดอกไม้ ภาพวาด เป็นตน้ 2. แสงสว่าง ไดแ้ ก่แสงธรรมชาติจากดวงอาทิตย์ และแสงประดิษฐ์ ซึง่ เปน็ แสงจากหลอดไฟประดิษฐ์ 3. เสียง ได้แก่ เสียงบรรยายของผู้สอน เสียงการสนทนาระหว่างผู้สอนและผู้เรียนหรือผู้เรียนกับ ผู้เรยี น เสียงจากเคร่ืองขยายเสียง เหลา่ น้จี ะตอ้ งมรี ะดับความดงั ที่พอเหมาะ 4. อุณหภูมิ ได้แก่ ระดับความช้ืนของอากาศ การถ่ายเทของอากาศ การระบายอากาศโดยธรรมชาติ และการ ระบายอากาศจากอปุ กรณ์อานวยความสะดวก ได้แก่ พัดลม เคร่อื งปรบั อากาศ เปน็ ตน้ การจัดโต๊ะเรยี นและเกา้ อ้ขี องนกั เรยี น - ให้มขี นาดเหมาะสมกับรูปร่างและวัยของนักเรียน - ใหม้ ีช่องวา่ งระหวา่ งแถวทนี่ กั เรยี นจะลุกนั่งไดส้ ะดวก และทากิจกรรมไดค้ ลอ่ งตวั - ให้มีความสะดวกต่อการทาความสะอาดและเคลือ่ นยา้ ยเปลย่ี นรูปแบบท่ีนัง่ เรียน - ให้มีรูปแบบที่ไม่จาเจ เช่น อาจเปล่ียนเป็นรูปตัวที ตัวยู รูปคร่ึงวงกลม หรือ เข้ากลุ่มเป็นวงกลมได้ อยา่ งเหมาะสมกบั กจิ กรรมการเรียนการสอน - ให้นักเรยี นที่นง่ั ทุกจดุ อ่านกระดานดาได้ชดั เจน - แถวหน้าของโต๊ะเรียนควรอยู่ห่างจากกระดานดาพอสมควร ไม่น้อยกว่า 3 เมตร ไม่ควรจัดโต๊ะติด กระดานดามากเกินไป ทาให้นักเรียนต้องแหงนมองกระดานดา และหายใจเอาฝุ่นชอล์กเข้าไปมาก ทาให้เสีย สุขภาพ 14

การจดั โต๊ะครู - ใหอ้ ยใู่ นจดุ ทีเ่ หมาะสม อาจจดั ไวห้ นา้ หอ้ ง ขา้ งห้อง หรือหลังห้องก็ได้ งานวิจัยบางเร่ืองเสนอแนะให้ จัดโต๊ะครูไว้ด้านหลังห้องเพ่ือให้มองเห็นนักเรียนได้อย่างท่ัวถึง อย่างไรก็ตาม การจัดโต๊ะครูน้ันขึ้นอยู่กับ รูปแบบการจดั ที่นงั่ ของนกั เรยี นดว้ ย - ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งบนโต๊ะและในลิ้นชักโต๊ะ เพื่อสะดวกต่อการทางานของครู และ การวางสมดุ งานของนกั เรยี น ตลอดจนเพื่อปลูกฝงั ลกั ษณะนิสัยความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยแก่นกั เรยี น การจดั ป้ายนิเทศ จดั ป้ายนเิ ทศ ไว้ท่ีฝาผนังของหอ้ งเรยี น ส่วนใหญ่จะตดิ ไวท้ ี่ข้างกระดานดาท้ัง 2 ข้าง ครูควรใช้ปา้ ย นิเทศทีเ่ ปน็ ประโยชน์ต่อการเรียนการสอน โดย - จดั ตกแตง่ ออกแบบให้สวยงาม นา่ ดู สร้างความสนใจให้แก่นักเรยี น - จัดเน้ือหาสาระให้สอดคล้องกับบทเรียน อาจใช้ติดสรุปบทเรียน ทบทวนบทเรียน หรือเสริมความรู้ ให้แก่นกั เรียน - จัดใหใ้ หมอ่ ยู่เสมอ สอดคลอ้ งกบั เหตกุ ารณ์สาคัญ หรอื วันสาคัญต่าง ๆ ท่นี ักเรียนเรียนและควรรู้ - จัดติดผลงานของนักเรียนและแผนภูมิแสดงความก้าวหน้าในการเรียนของนักเรียนจะเป็นการให้ แรงจงู ใจทน่ี า่ สนใจวิธหี น่งึ การจัดมุมตา่ ง ๆ ในห้องเรียน - มุมหนังสือ ควรมีไว้เพ่ือฝึกนิสัยรักการอ่าน ส่งเสริมให้นักเรียนอ่านคล่อง ส่งเสริม การค้นคว้าหา ความรู้ และการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ครูควรหาหนังสือหลาย ๆ ประเภท ท่ีมีความยากง่าย เหมาะสม กับวัยของนักเรียนมาให้อ่าน และควรหาหนังสือชุดใหม่มาเปลี่ยนบ่อยๆ การจัดมุมหนังสือควรจัดให้เป็น ระเบยี บเรียบรอ้ ยเพ่อื สะดวกตอ่ การหยิบอ่าน - มมุ เสริมความรูก้ ลุม่ ประสบการณ์ต่าง ๆ ควรจัดไว้ให้น่าสนใจ ช่วยเสรมความรู้ ทบทวนความรู้ เช่น มมุ ภาษาไทย คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ สังคมศกึ ษา มมุ ความรขู้ ่าว เหตกุ ารณ์ ฯลฯ - มมุ แสดงผลงานของนกั เรยี น ครูควรติดบนปา้ ยนเิ ทศ แขวนหรอื จดั วางไว้บนโต๊ะ เพื่อให้นักเรียนเกิด ความภมู ใิ จในความสาเร็จ และมกี าลงั ใจในการเรียนต่อไป อีกท้ังยังสามารถแก้ไขพัฒนาผลงานของนักเรียนให้ ดีข้นึ โดยลาดับไดอ้ ีกด้วย - ตู้เก็บส่ือการเรียนการสอน เช่น บัตรคา แผนภูมิ ภาพพลิก กระดาษ สี กาว ฯลฯ ควรจัดไว้ให้เป็น ระเบียบ เป็นสัดส่วน สะดวกต่อการหยิบใช้ อุปกรณ์ช้ินใดที่เก่าเกินไปหรือไม่ใช้แล้วไม่ควรเก็บไว้ในตู้ให้ดูรก รงุ รัง 15

- การประดับตกแตง่ หอ้ งเรยี น ครสู ่วนใหญ่มกั นยิ มประดับตกแต่งหอ้ งเรียนด้วยสิ่งต่างๆ เช่น ม่าน มู่ล่ี ภาพ ดอกไม้ คาขวญั สุภาษติ ควรตกแตง่ พอเหมาะไม่ใหด้ รู กรุงรงั สสี นั ทใ่ี ชไ้ ม่ควรฉดู ฉาด หรอื ใช้สีสะท้อนแสง อาจทาให้นักเรียนเสียสายตาได้ การประดับตกแต่งห้องเรียน ควรคานึงถึงหลักความเรียบง่าย เป็นระเบียบ ประหยัด มุง่ ประโยชน์ และสวยงาม - มุมเก็บอปุ กรณท์ าความสะอาด ตลอดจนชัน้ วางเครื่องมือเคร่ืองใช้ของนักเรียน เช่น แปรงสีฟัน ยาสี ฟัน แกว้ นา้ กล่องอาหาร ป่ินโต ฯลฯ ควรจัดวางไว้อยา่ งเปน็ ระเบยี บ และหม่นั เช็ดถูให้สะอาดเสมอ 6.2. ภายนอกห้องเรียน จัดตกแต่งสภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียน ด้วยพันธุ์ไม้ต่างๆ หน้าอาคารเรียนจัดให้มีสระน้าเพื่อ เล้ียงปลา และมีสวนหย่อมด้านหน้าเพ่ือความสวยงาม ความเพลิดเพลิน เอื้อต่อการพัฒนาการของเด็กหลัก สาคัญในการจัดตอ้ งยดึ หลกั การสะอาด ปลอดโปร่ง ร่มรนื่ ทัง้ ภายในและภายนอกหอ้ งเรียน และคานึงถึงความ ปลอดภยั เปา้ หมายการเรียน ความเปน็ ระเบียบ สวยงาม ความเป็นตัวของเด็กเอง ให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่น มั่นใจ และมคี วามสขุ ซ่ึงอาจจัดแบ่งพื้นที่ให้เหมาะสมกับการประกอบกิจกรรมตามแนวการจัดประสบการณ์ได้ ดังน้ี ก. พน้ื ทจ่ี ัดเตรียมเครอ่ื งอานวยความสะดวกต่าง ๆ ให้เด็กและครู เช่น มุมแสดงผลงานของเด็ก มุมไว้ เคร่อื งใช้กระเปา๋ รองเทา้ เด็ก มุมจดั ความร้ตู ามแผน (หนว่ ย) มุมแขวนผ้าเช็ดมือ – แก้วน้า มุมปิดประกาศ มุม เก็บอปุ กรณ์ มุมสขุ สนั ตว์ ันเกิด มมุ เกบ็ แฟ้มสะสมงานของเด็ก ข. พ้ืนที่ปฏิบัติกิจกรรมและการเคล่ือนไหว ซึ่งจะเป็นที่ว่างสาหรับเด็ก อยู่รวมกลุ่มกันได้ เช่น กิจกรรมวงกลม กิจกรรมเคลื่อนไหวจังหวะ และอาจใชเ้ ป็นทนี่ อนของเด็กในเวลากลางวันไดด้ ว้ ย ค. มุมต่างๆ ในกิจกรรมหลักและกิจกรรมเสรี เช่น มุมสร้างสรรค์ เกมการศึกษา มุมบ้านหรือ มุม บทบาทสมมุติ มุมบลอ็ ค มุมหนังสือ มุมอ่าน – เขียน มุมฟังและเล่นเทป และมุมวิทยาศาสตร์ เป็นต้น การจัด มุมต่างๆ เหล่านี้ครูสามารถจัดได้ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพห้องเรียน เน้ือหาตามแผนการจัด ประสบการณ์หรือจัดตามความสนใจของเด็ก และอย่างน้อยในแต่ละวันควรมีมุมที่จัดให้เด็กอย่างน้อยที่สุด 4 มุม และมุมทค่ี วรมปี ระจา คอื มมุ บ้าน มุมบล็อกและมุมหนังสือ การจัดมุมต่าง ๆ ควรจัดชิดกับแถบผนังในแต่ ละด้านเพ่ือให้เหลอื เนือ้ ท่จี ดั กิจกรรมมากท่ีสุด โดยใช้ช้ันหรือฉากกั้นในแต่ละมุม มีอุปกรณ์ประกอบให้เด็กเล่น ด้วยกนั เปน็ กลุ่มเด็กๆ ดงั ตวั อยา่ งการจดั มุมเลน่ ดังนี้ มุมบล็อก เปน็ มุมท่เี ด็กไดเ้ ลน่ กับวสั ดุรปู ทรงต่าง ๆ ซ่ึงทาด้วยไม้ พลาสติก ผา้ ฟองน้า หรอื กระดาษ โดยไม่มีใครต้องสอน เด็กจะสร้างทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวเขาตามจินตนาการในโลกของเด็กเชื่อมโยงกับ ประสบการณเ์ ดิม และความคดิ สร้างสรรค์ ต้ังแตข่ ั้นพน้ื ฐานจนถึงข้นั คิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ เด็กจะเร่ิมการ เล่นขั้นสารวจตัวบลอ็ กเพียงอันเดยี ว ทดลองขว้าง โยน ผลักดนั เหยยี บ จนถงึ ข้ันสุดท้าย อายุประมาณ 5 ขวบ 16

ขึ้นไป การเล่นบล็อกจะเร่ิมที่จะเป็นการสร้างส่ิงใหม่ ๆ หรือแสดงถึงโครงสร้างท่ีเป็นจริง ครูผู้ดูแลเด็กควรจัด วางอุปกรณ์เพ่ือช่วยเสริมความคิดสร้างสรรค์ระหว่างการเล่น เช่น กล่อง หลอดด้าย ขวดพลาสติก อิฐ หิน หุ่นจาลอง ไม้ไผ่ เศษผ้า ยางยืด เป็นต้น ครูผู้ดูแลเด็กควรมีข้อตกลงกับเด็กทุกครั้งท่ีเล่นแล้วให้เก็บเข้าท่ีครู ผู้ดูแลเด็กสามารถจัดให้เด็กช่วยทาความสะอาดบล็อกโดยจัดแบ่งหน้าที่ และกาหนดเวลา ที่จะทางานนี้ให้ สาเร็จประมาณ 10 นาที และหากทาไมส่ าเร็จ เพมิ่ เวลาให้อกี ครง้ั ละ 5 นาทจี นทาสาเรจ็ วัตถปุ ระสงค์ ในการจดั มุมบล็อก 1. ให้เด็กไดเ้ ลน่ อย่างสนกุ สนาน มกี ารวางแผนและแกป้ ัญหาดว้ ยตนเองหรือโดยกลุ่ม 2. ใหเ้ ด็กได้ใชส้ รรี ะเคลือ่ นไหวอย่างอสิ ระ 3. ให้เด็กได้พัฒนาการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเน้ือใหญ่ และกล้ามเน้ือเล็ก โดยการทางาน และ สรา้ งงานดว้ ยบล็อก 4. ให้เด็กไดเ้ ล่นบทบาทสมมติ สถานการณ์ต่าง ๆ 5. ให้เด็กได้เรียนรู้ท่ีจะแบ่งปันความคิด และการทางานร่วมกันเป็นกลุ่มในขณะท่ีผลัดเปล่ียนกันใช้ บล็อก 6. เพ่ือพฒั นาการยอมรบั อย่างจรงิ ใจในงานของคนอื่น 7. เพื่อพัฒนาการความคิดรวบยอดทางด้าน คณิตศาสตร์การคานวณ เช่น ด้านใหญ่ เล็ก มากกว่า นอ้ ยกว่า เท่ากัน รปู ร่าง ขนาด และจานวน 8. พัฒนาความเข้าใจเรือ่ งดา้ นหรอื เหลี่ยมตรงขา้ มทเี่ หมือนกนั 9. เพื่อใช้เป็นอุปกรณส์ ร้างสรรค์ตามความคิดของเด็กตามท่ีเด็กมองเห็น 10. เพื่อให้เด็กค้นหาการเคลื่อนท่ีและความสมดุลจากส่ิงที่เขาสร้างข้ึนมา มุมบล็อก สามารถจัดทาได้ งา่ ยและเป็นประโยชนก์ ับเดก็ หลายประการ และควรให้โอกาสเด็กในการแสดงผลงานต่อเพอ่ื น ๆ มุมบา้ น เปน็ มมุ ทเ่ี ด็กเล่นเลยี นแบบชวี ติ จริง ซง่ึ มปี ระสบการณ์เคยไดพ้ บเหน็ มา แต่อาจไม่ เคยได้ทดลอง ดงั น้นั เด็กอาจจะมีความตอ้ งการซอ่ นเร้นอยู่ และหากจดั สถานการณ์จาลองสนองความต้องการ ของเด็ก ก็จะทาให้มคี วามสุข ครผู ้ดู แู ลเดก็ อาจจัดบทบาท สมมตไิ ว้ในมุมบ้าน หรอื จัดไว้ใกล้ๆ กัน เด็กจะแสดง บทบาทสมมติตามท่เี ดก็ เกิดจินตนาการ เด็กจะสรา้ งความสัมพันธ์ทางสังคม จะพัฒนาภาษาพูดแก้ปัญหาท่ีเกิด และใหค้ วามร่วมมอื ในการเล่นกับเพื่อน ดังน้ัน ควรจัดเส้ือผ้าเครื่องแต่งกายเลียนแบบผู้ใหญ่ หรือชุดละครท่ีมี หนา้ กากหลายรปู แบบ จัดกระจกเคร่ืองแต่งหน้า เครือ่ งครวั โต๊ะอาหาร ฯลฯ วตั ถุประสงค์ ของการจัดมมุ บา้ น 1. เพ่อื แสดงเลียนแบบชวี ติ ตามที่ไดพ้ บเห็นมา 2. เพ่ือแสดงออกทางอารมณ์ และความรู้สกึ โดยทีร่ บั การยอมรับจากผใู้ หญ่ 17

3. เพื่อมปี ฏสิ ัมพนั ธห์ ลายบทบาท 4. เพ่ือมปี ฏิสมั พนั ธก์ บั เด็กและผใู้ หญ่ในสถานการณห์ ลาย ๆ ไมเ่ ปน็ ทางการ 5. เพอื่ พัฒนาภาษาพดู โดยแสดงออกทางสรา้ งสรรค์ 6. เพื่อเลียนบทบาทจากนทิ าน ภาพยนตร์ หรือโทรทศั น์ 7. เพอ่ื ใหเ้ ด็กเกิดความกลา้ ทีจ่ ะแสดงออกในเชงิ สร้างสรรคใ์ นขณะทีใ่ ส่หน้ากาก 8. เพ่อื พฒั นาเทคนคิ การแก้ปัญหาด้วยตนเอง 9. เพอ่ื สรา้ งความสมั พันธท์ างสงั คมใหป้ รากฏชดั 10. เพื่อให้เด็กเกิดความสุขสนุกสนานในขณะที่เล่นกับเพ่ือนมุมหนังสือ เป็นมุมสงบควรจัดให้อยู่ห่าง จากมุมบ้าน หรือมุมบล็อค จัดท่ีนั่งหรือท่ีนอนสบาย ๆ เพ่ือให้เด็กมีสมาชิกและใช้ความคิด มีเสื่อ ผ้าปูรองน่ัง หมอนอิงเพ่ือสร้างบรรยากาศ มีช้ันจัดวางหนังสือให้เป็นระเบียบ สามารถเลือกดูหนังสือได้ง่ายจัดหนังสือไว้ หลายประเภท เชน่ หนังสือนิทาน หนงั สอื ภาพ หนังสือการ์ตูน แมกกาซีน และแคตตาลอค สวยงาม เพื่อจูงใจ ให้เด็กอยากจับต้องเปิดดู เป็นการปูพื้นฐานนิสัยรักการอ่านให้กับเด็ก ควรเล่านิทาน หรือเล่าเรื่องให้เด็กฟัง แล้วจัดวางหนังสือไว้เพื่อให้เด็กหยิบไปอ่านได้ จัดทาโครงการหมุนเวียนหนังสือกันอ่าน โดยให้เด็กนาหนังสือ มาจากบ้านหรอื ยืมจากท่ีโรงเรียนไปอ่านท่ีพัก เพ่ือให้คุณพ่อ คุณแม่ มีส่วนร่วมในการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ซ่ึง เดก็ สามารถจะฟังหนังสอื เร่อื งเดียวกนั หลายครั้งหากเด็กชอบ นอกจากน้นั ควรจดั ใหม้ มี มุ ฟงั โดยมีเครือ่ งเลน่ เทป เทป วทิ ยุ และหฟู งั เป็นตน้ อาจจัดโต๊ะรักการอ่าน และเขียนไว้ข้างๆ มุมหนังสือ โดยจัดเตรียมอุปกรณ์ประกอบ เช่น ดินสอ ไม้บรรทัด สี กรรไกร สก็อตเทป ท่ี เย็บกระดาษ กาว กระดาษ เพื่อให้เด็กหัดสร้างหนังสือและเก็บไว้อ่านภายในห้องเรียน ต่อไปภายหน้า หากมี จานวนหนงั สอื มากพออาจพัฒนาเปน็ หอ้ งสมุดเล็ก ๆ ภายในห้องเรียน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การเลือกใช้และยืม หนงั สอื จากห้องสมุด ไดเ้ รียนรู้หลักเกณฑแ์ ละมารยาทในการใชห้ อ้ งสมุด วตั ถปุ ระสงค์ 1. ให้เดก็ รักการอา่ น - เขยี น 2. รจู้ กั ใชว้ ธิ แี ละดแู ลรักษาหนังสอื 3. มีมารยาทและสมาธิในการอ่านหนังสือ 4. มีความรบั ผิดชอบและรกั ษาระเบียบการใช้หนงั สอื 5. เรียนรคู้ วามหลากหลายของภาษาของตนเอง เชน่ คากลอน คาโฆษณา ขา่ วสารต่างๆ เปน็ ต้น สาหรับมุมอ่ืนๆ อาจจัดได้ตามความต้องการเรียนรู้ของเด็กหรือจัดให้สอดคล้องกับแผนการ สอน โดยต้องคานึงพัฒนาการตามวัยของเด็ก ศักยภาพท่ีแตกต่างกัน และหลักการเรียนรู้โดยยึด หลักการการเรียนการเล่นให้เกิดประสบการณ์ ให้เด็กคิดค้นคว้าทดลองหาความจริงในลักษณะกลุ่ม 18

หรอื รายบคุ คล เด็ก และควรมีกิจกรรมร่วมกัน มีการยอมรับในศักดิ์ศรีและความคิดเห็นของเด็ก และ ภายใต้กฎเกณฑท์ รี่ ว่ มกนั สร้างขึน้ (ทมี่ า : http://www.dla.go.th/work/e_book/eb6/eb6_3/3km9.pdf) 3.การจัดการชน้ั เรยี นตามแนวคดิ CCE (Child-Centred Education) การจดั การชั้นเรยี นในห้องเรียนระดบั ประถมอาจฟังดูเป็นเร่ืองยากของครูประถมด้วยจุดประสงค์ท่ีทา ให้ห้องเรียนเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่การจัดการชั้นเรียนในแบบCCE นั้น มีรายละเอียดมากกว่าจุดประสงค์ ของการทาให้ห้องเรียนมีระเบียบ เพราะยังส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติตามข้อตกลงในห้องเรียน ซึ่งเป็น ทักษะพน้ื ฐานในการอยู่รว่ มกันในสงั คม การจัดการช้ันเรียนตามแนวคิด CCE สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ด้าน คือ ด้านสภาพแวดล้อม ด้าน นกั เรยี น และดา้ นครู 1. ด้านสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งท่ีมักถูกมองข้ามเมื่อพูดถึงการจัดการช้ันเรียน แต่ สภาพแวดลอ้ มเปน็ ปจั จัยที่ช่วยให้ครสู ามารถจดั การชน้ั เรยี นได้งา่ ยและมปี ระสทิ ธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ จัดห้องเรียนให้มีบรรยากาศที่ปลอดภัย ผ่อนคลายและอบอุ่น จัดอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ง่ายต่อการใช้งาน การจัด มุมต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับกจิ กรรม พ้นื ทแี่ ละการใช้งานจะเปน็ ส่วนชว่ ยในการตีกรอบพฤติกรรมของนักเรียนได้ ในระดบั หนึง่ 2. ด้านนักเรียน โดยส่วนใหญ่ครูจะตั้งกฎกติกาเพ่ือให้นักเรียนปฏิบัติตามแต่สาหรับห้องเรียนตาม แนวคดิ CCE นนั้ ครสู ามารถดึงนกั เรยี นให้มีส่วนร่วมในการจดั การชั้นเรียนได้เช่นกัน เพราะเม่ือนักเรียนมีส่วน ร่วมกับกิจกรรมใดพวกเขาจะปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อสงสัย ในการให้นักเรียนมีส่วนช่วยในการคุมช้ันเรียนน้ัน ไม่ใช่การให้สทิ ธิน์ ักเรยี นในการทาหนา้ ทแ่ี ทนครู แต่เป็นความร่วมมือของครูกบั นักเรียนในการวางข้อตกลง กฎ กติกา ของห้องร่วมกนั เมื่อมกี ารวางกฎรว่ มกนั นักเรียนจะรู้สึกมีส่วนร่วมในข้อตกลงนั้นและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ของหอ้ งเรยี น เมอื่ ได้ข้อตกลงเรียบร้อยแล้วอาจให้นักเรียนมีส่วนช่วยในการทาป้ายและติดข้อตกลงน้ันในห้อง บริเวณท่สี ามารถมองเหน็ ไดช้ ัดเจน รวมถึงควรมีการเนน้ ขอ้ ตกลงของห้องเรียนอย่างสม่าเสมอ และครูสามารถ เลือกใชก้ ารเสริมแรงในวธิ ีตา่ ง ๆ เมอ่ื นกั เรยี นปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลงที่ต้งั ใจ ขอ้ ควรระวังในการสรา้ งข้อตกลง มีดงั นี้ - ต้องเป็นข้อตกลงท่ีตกลงร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนเพื่อสร้างความรู้สึกของการมีส่วนร่วมของ นกั เรียน - ภาษาท่ีใช้ในการต้ังกฎกติกา ควรหลีกเลี่ยงภาษาท่ีเป็นเชิงลบ เช่น “ห้าม”“อย่า” “ไม่” แต่ให้ใช้ ภาษาในเชงิ บวก เชน่ “พูดจาไพเราะ” แทนคาว่า “ห้ามพูดคาหยาบ”“ค่อย ๆ เดิน” แทนคาว่า “ไม่ว่ิง” หรือ “คยุ กนั เบา ๆ เวลาทางาน” แทนคาว่า “อยา่ พดู เสยี งดงั ” เปน็ ตน้ 19

3. ด้านครู บทบาทหลกั ของการจัดการช้ันเรียนจะตกอยู่กับคุณครู ห้องเรียนตามแนวคิด CCE คุณครู จะไมส่ ง่ั ให้นกั เรยี นทาโน่นทานี่ ไมด่ ุ หรอื ตวาดเสียงดัง เม่ือนักเรียนทาพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสม ไม่ใช้ภาษาเชิง ลบหรือความรนุ แรงในการจัดการชนั้ เรยี น แตค่ รจู ะใช้ภาษาเชิงบวก ใหก้ าลงั ใจ เพ่ือให้นักเรียนเกิดความรู้สึกดี ต่อการทากิจกรรมและชมเชย เพื่อให้ติดตามความภาคภูมิใจในผลงานของตน รวมถึงครูจะสวมบทบาทการ เป็นผู้อานวยความสะดวกเพ่ือให้นักเรียนทากิจกรรมได้อย่างราบร่ืน ส่ิงที่สาคัญอีกส่ิงหน่ึง คือ การที่ครูรู้จัก นักเรียนเป็นรายบุคคล รู้ว่านักเรียนแต่ละคนมีจุดเด่นจุดด้อยอะไร เพ่ือจะช่วยส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพท่ี เหมาะสมกบั ความต้องการของนักเรียน ข้อเสนอแนะของบทบาทครู คือ ควรหลีกเล่ียงการใช้เสียงดัง น้าเสียง เข้มงวด และอารมณ์รุนแรง เพราะพฤติกรรมครูเหล่าน้ีนอกจากจะไม่กระตุ้นพฤติกรรมพึงประสงค์แล้วยังจะ ทาให้นักเรยี นเกดิ ความหวาดกลวั หรอื อาจทาให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมทีต่ รงข้ามกับพฤติกรรมท่ีครูต้องการ (กรี ติ ควุ สานนท์, 2560: 20-22) ตัวอยา่ งการจดั การช้ันเรยี นจากกรณีศึกษา จะทาอยา่ งไรให้เด็กกล้าพูดออกมา??? Generation Gap ทาให้บางครั้งเด็กไม่กล้าพูดเร่ืองราวบางอย่างกับเรา วันนี้คุณครูจุ๊บแจงจะมา นาเสนอหนงึ่ วิธที ีจ่ ะช่วยลดชอ่ งว่างตรงนี้ ต้องยอมรับเลยว่าเด็กบางส่วนเวลามีปัญหามักจะเก็บเงียบไม่พูด ไม่ กล้าบอกกล่าวว่าตัวเขานั้นประสบปัญหา การเปิดใจเล่าเรื่องบางอย่างอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสาหรับทุกคน แมก้ ระทง่ั คุณครูเองทบ่ี างครัง้ ก็อยากจะเข้าไปพดู คุยกบั นักเรียนแต่ไม่รวู้ ่าจะเริ่มพดู อย่างไร ให้เด็กกล้าที่จะเปิด ใจคุยกับเรา วันนี้จึงอยากมาเสนอแนวทางเล็ก ๆ ท่ีนอกจากจะเป็นกิจกรรมให้เด็ก ๆ ได้ทา ก็ยังสามารถทาให้ คุณครูหลาย ๆ ท่านได้ลองนาไปประยกุ ต์ในการพดู คยุ กับเด็ก “ถา้ ฟงั คาถามแลว้ เหน็ ดว้ ยลองออกมายืนที่เสน้ แบ่งตรงกลางดสู ิ” ก่อนอ่ืนเลยอยากเล่าว่ากิจกรรมน้ีเป็นกิจกรรม Warm-up ก่อนเร่ิมบทเรียนเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกัน เคารพสิทธิของตัวเราเองและผู้อื่นของนักเรียนชั้นม.2 ซ่ึงคุณครูไม่ได้สนิทกับเด็กนักเรียนในช้ันน้ีเลย อีกทั้งยัง ไมเ่ คยได้สอน แต่ไดเ้ ข้าไปสอนแทนเน่ืองจากคุณครเู ดมิ ท่สี อนเด็กชน้ั ม.2 นน้ั วนั นไ้ี ม่อยู่ เริม่ ตน้ ดว้ ยทเ่ี ราจะชวนให้นักเรียนมาเล่นยืนล้อมวงกัน ทักทายกัน แล้วใช้เส้นแบ่งกระดาษกาวตียาว แบ่งนักเรียนเป็นสองฝั่ง หลังจากน้ันเราจะให้เด็กนักเรียนหญิงและชายยืนคนละแถว ระหว่างเส้นกระดาษ กาวตรงข้ามกนั แลว้ เรมิ่ คาถามแรก ถ้านกั เรยี นคนไหนเหน็ ดว้ ย รสู้ กึ วา่ ใช่ตัวเองมาที่สุดก็ให้เดินออกมายืนบน เส้นกระดาษกาว “คอ่ ย ๆ ไต่คาถามไปทลี ะระดบั ” 20

เพราะเด็กรุ่นนี้มีปัญหาเร่ืองเก่ียวกับการหยอกล้อ การแกล้งกันภายในห้องเรียน ทาให้มีเด็กบางส่วน อาจจะรู้สกึ ไม่ดีทเี่ กิดขึน้ แต่มันยากใช่ไหมละคะ? เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางครั้งถ้าเราไปจ้ีเขาอาจจะ หนี แต่ถ้าเขาไม่พูดเราก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร หรือต่อให้เราช่วยได้ เพื่อนคนอ่ืนจะเข้าใจเขามากกันแค่ไหนนะ? ดังนั้นคาถามที่คุณครูเตรียมมาวันน้ีจึงเป็นคาถามจากเรื่องท่ัวไป ความสุขในการเรียน ชอบวิชาไหน ชอบ คุณครปู ระจาชั้นไหม และทุก ๆ คาถามที่มีเด็กออกมายืนนน้ั เรากจ็ ะถามตอ่ วา่ ทาไม เพราะอะไร *สาหรับคาถามที่ใช้ถามนักเรียนชั้นม.2 นี้น้ัน เป็นคาถามถูกเลือกจาก เรื่องท่ีมีการ Bully กันมาก ท่ีสุดในชั้น เปน็ ส่งิ ท่เี กิดขนึ้ จริง เม่ือถามคาถามไล่ไปเรื่อย ๆ จากความชอบเป็นความไม่ชอบ ไม่ประทับใจอะไร ร้องไห้กับเรื่องไหน ใครท่ีชอบรังแกเพ่ือน จนถึงคาถามสุดท้ายท่ียกมาคือ ใครเคยเสียใจกับพฤติกรรมมากสุด และในตอนนี้เองท่ี เด็กบางคนออกมา ซง่ึ เป็นนกั เรยี นที่โดนแกล้ง ลอ้ เลียน หลังจากน้ันคุณครูก็ได้ให้นักเรียนเชื่อมประเด็นต่าง ๆ บนกระดานดา ว่าทาไมเพ่ือนถึงเสียใจขนาดน้ี พร้อมท้งั เลือก 1 ประเด็น เพื่อมาวเิ คราะหส์ าเหตุ ว่าเกิดจากสาเหตุใด กระทบใครบ้าง แล้วเก่ียวข้องกับสังคม ใด เพื่อทีจ่ ะใหเ้ ดก็ ๆ ไดล้ องนาเสนอกนั “การสง่ คาถามกับเด็ก จะทาใหเ้ ขากล้าท่ีจะตอบ อย่าจี้ถาม” จะช่วยให้เขากล้าท่ีจะตอบคาถาม กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะบางคร้ังการไปจ้ีถามเขามาก ๆ จะทาให้เขาไม่กล้า ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปกับการตอบคาถามของเด็ก และอย่าลืมทา “Refection” กับเด็ก ตอนสุดท้าย. ก่อนออกจากห้องเรียน แสดงให้เห็นว่าคุณครูประทับใจอะไร และเรียนรู้อะไร นาไปใช้อย่างไร เพ่ือให้เด็กคิดว่าเขาจะไม่แกล้งเพื่อนแล้ว และคิดว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร พร้อมท้ังเม่ือจบกิจกรรมให้พวกเขา ได้ขอบคุณ ขอโทษกันและกนั จะได้เป็นการทลายกาแพงของเด็ก ไมอ้ อ่ นดัดง่าย วางเงือ่ นไขใหป้ ลอดภยั ตอ่ การเรยี นรู้ ‘การวางเงื่อนไข’ เป็นส่ิงสาคัญมาก เราควรมีการลงโทษและเสริมแรงให้เหมาะสมถูกทาง มิเช่นนั้น เด็กจะทาพฤติกรรมท่ีไม่ดีซ้า หรือเลิกทาพฤติกรรมที่ดีเพราะขาดกาลังใจ ไม่รู้ว่าสรุปต้องทาแบบไหนถึงจะ ไดร้ บั การยอมรับ “อย่าไปชมมาก เดย๋ี วเหลงิ ” “ทาดีกแ็ ค่เสมอตวั แต่ถา้ ทาไมด่ ีกโ็ ดนด่า” คือสิง่ ท่เี ราไดย้ ินมาตลอดตงั้ แต่เรายังเด็ก ห้องเรยี นของเราอยูบ่ นชั้นสอง ดังน้นั ส่ิงท่ีติดกับหน้าต่างนักเรียนคือหลังคากันสาด และฝ่ังหน้าห้องมี ระเบยี งยืน่ เปน็ กนั สาด ปญั หาขยะถูกท้งิ บรเิ วณระเบียงกันสาดน้ันมองเห็นได้ง่ายและมีมาเร่ือย ๆ เราต้องคอย ให้นักเรียนท่ีเป็นเวรประจาวันนาขยะตรงบริเวณน้ันไปท้ิงอยู่เสมอ แต่วันน้ีเป็นวันแรกท่ีเราได้เดินไปสอดส่อง 21

มุมนอกหน้าต่างฝ่ังติดหลังคากันสาด นาทีแรกท่ีเห็นแทบกร๊ีด เพราะขยะกองมหึมาถูกท้ิงสะสมไว้เป็น เวลานาน ทงั้ เกา่ และใหม่ คิดวา่ จะทาอยา่ งไร หรือควรให้นกั เรยี นหลบั ตาแลว้ ค่อยยกมือจะได้ไม่อายเพื่อน แต่ แล้วจะเอาไงต่อดี.. สุดท้ายด้วยความไว้วางใจในนักเรียนที่ปรึกษาของตนเองพอสมควรเน่ืองจากดูแลกันมา ตัง้ แต่เข้าใหม่จนถึงตอนน้ีก็เกือบครบปีแล้ว ผ่านบทเรียนระหว่างกันมาหลายเหตุการณ์เราจึงเลือกที่จะเช่ือใจ และสอื่ สารตามตรงวา่ .. “ใครเคยทงิ้ ขยะออกนอกหนา้ ต่างและบริเวณระเบยี งบ้าง ยกมอื ข้นึ ” … นักเรยี นเรม่ิ ยกมอื คนสองคน.. “แคค่ รัง้ เดยี วกต็ อ้ งยกนะลูก” นกั เรียนเร่ิมยกมือเพมิ่ .. “ช้นิ เล็กใหญแ่ คไ่ หนก็ยกนะลูก เป็นลูกครู เรารู้ตวั เอง กล้าทากล้ารับ” .. นักเรียนยกมือรวมกันไดส้ ิบคน “ขอเลขทคี่ นทีย่ กมอื อยทู่ ีละคนนะคะ 18 1 6 17 … (เช็คไปเร่ือย ๆ)” “ดมี าก ครูภมู ใิ จทเี่ ราพดู คยุ กันได้งา่ ย ซือ่ สัตย์กับครู ไม่โทษกนั ไปมา.. ฉะนัน้ ขอให้ทุกคนปรบมือใหเ้ พ่ือนทท่ี าแลว้ กลา้ หาญมากทีย่ อมรบั ครูจะ +1 คะแนนให้กับทุกคนทท่ี าผดิ แลว้ ยอมรบั ผิด แตค่ ราวหน้าไมท่ าอีกนะลูก” “โหค่ รู ง้นั หน/ู ผมทิ้งดว้ ย”.. เสยี งเจ้ือยแจว้ ดงั โตต้ อบมา “เปล่าครับ 1 คะแนนนี้ไม่ได้ให้เฉย ๆ ครูให้เพื่อเป็นตัวอย่างว่าถ้าใคร ซ่ือสัตย์ กล้าหาญ ก็ควรได้รับ การชืน่ ชมวา่ ส่ิงนด้ี ี ไมไ่ ดใ้ หค้ ะแนนเลยตอนนี้ แต่จะให้หลังจากที่เพื่อนทั้ง 10 คนน้ีได้ทาความสะอาดระเบียงและหลังคา กนั สาดท้ังหมดแลว้ สาหรับคนอื่น ๆ ก็ทาความสะอาดแค่เฉพาะส่วนท่ีอยู่ในห้องเรียน เรายังมีโอกาสอ่ืน ๆ แสดงตัวตน มากมายให้ครไู ด้เห็น ไม่ใช่แค่เร่ืองวันนี้ โอกาสหน้า เราทาอะไรดีดีน่าชื่นชม ครูก็ต้องให้คะแนนเป็นรางวัลหนู บา้ งเหมอื นกนั แฟร์ไหมลูก?” สีหน้าทกุ คนเปลีย่ น ทงั้ สองฝ่ายพึงพอใจพยักหนา้ ตอบรบั ขานรับ.. “แฟรค์ รบั / แฟรค์ ่ะ” ปรากฏว่า วันน้ันเด็ก ๆ ขอครูช่วยเพื่อนทาความสะอาด ขอทาความสะอาดส่วนท่ีครูไม่ได้ส่ังเดินหา อุปกรณ์ทาความสะอาดมาเพิ่มเองคนละไม้คนละมือ เป็นภาพที่น่ารักมาก ๆสุดท้าย เราเลยชื่นชมพวกเขา บอกว่าเราภูมิใจในตัวเขา แล้วให้คะแนนทุกคนในห้องตอนน้ีผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว บริเวณรอบห้องสะอาด ข้ึนเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือคุณครู การจะทาให้เด็ก ๆ ประพฤติตัวอย่างไรน้ัน ‘การวางเง่ือนไข’ เปน็ สิ่งสาคัญมาก เวลาเด็กทาอะไรก็ตาม ควรมีการลงโทษและการเสริมแรงให้เหมาะสมถูกทางมิเช่นน้ัน เด็ก จะทาพฤติกรรมท่ีไม่ดีซ้า หรือเลิกทาพฤติกรรมท่ีดีเพราะขาดกาลังใจ ไม่รู้ว่าสรุปต้องทาแบบไหนถึงจะได้รับ 22

การยอมรบั ช่นื ชมจากสงั คม จากเหตกุ ารณ์เดียว มนั มพี ฤติกรรมทับซ้อนหลายอย่าง ขอให้พยายามแยกออกมา มองท้งั สง่ิ ทีด่ แี ละส่ิงทที่ าผิดไป ทาดีแม้เล็กน้อยก็ต้องช่ืนชม ระบุการกระทาให้ชัดเจนว่าส่วนไหนท่ีดี ดีอย่างไร และถา้ ทาผิดก็ตกั เตอื น ระบุให้ชัดเจนว่าส่วนไหนผิด ผิดยังไง คุยด้วยเหตุผล แล้วให้โอกาสเขาใหม่ เพราะเด็ก ๆ ตา่ งกาลังเรยี นร้เู พ่อื การเติบโต ครูไวท์ สุวิมล คุณธรรมสกลุ โรงเรยี นนา้ พองศกึ ษา จ.ขอนแกน่ ครผู นู้ าการเปลยี่ นแปลง รนุ่ ท่ี 6 จากมูลนธิ ิ Teach for Thailand The Second Chance Card เปลีย่ นจากการลงโทษโดยการหกั คะแนนความประพฤติ ดุว่าเป็นการทา Reflection ที่ทั้งครูและเด็ก จะได้เรียนร้รู ่วมกนั และได้พูดคุยกันมากข้ึน ไอเดียจากทีม คิดไมอ่ อก ในงาน insKru Hackathon โฮมรูมโฮมใจ ฝกึ ให้เด็กๆ ได้คิดและสรา้ งสรรค์ แบบง่ายๆ แต่ทาเป็นวิถี ในขณะเดียวกันก็เห็นสภาวะความรู้สึกของ กันและกัน นาไปสคู่ วามเข้าใจ และความสมั พนั ธ์ที่ดดี ว้ ย ไอเดยี คอื เราจะใช้ คาบโฮมรูม (๒๐-๓๐ นาที) ทุกเช้าก่อนเรียนคาบแรก เป็นพื้นที่ครูและนักเรียนจะ ล้อมวง น่ังพื้นอย่างเท่าเทียมกัน แบ่งปัน สุข ทุกข์ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างกัน เตรียม ปรับใจ ปลุกพลังเร้ากุศลก่อนเรียนทุกเช้า เป็นพ้ืนท่ีปลอดภัย มากไปกว่านั้นคือการเติบโตด้านจิตใจ หรือปัญญาด้าน ใน ของทุกคน แลว้ เราทาอะไรกันบ้างนะ ในเวลาเท่าน้ี เอาจริงเราทาทุกอย่างเลย ที่จะทาให้ทุกคนรู้สึกดี และมีพลัง แต่ส่วนใหญ่ก็จะเริ่มจากการ Check in เสมอ คือการให้ทุกคนได้บอกความรู้สึก อารมณ์ ความคิด ท่ีเป็น นามธรรม แล้วเปรียบเทียบกับ สิ่งที่เป็นรูปธรรม เพ่ือให้แปรเปลี่ยนพลังงาน ให้เห็นภาพ และฝึกการคิด เชื่อมโยง และการส่ือสาร เช่น เปรียบอารมณ์ เป็น สี,ผลไม้,ประเภทกีฬา ,เปอร์เซ็นต์ของพลังงานแบตตารี, สตั ว์,เทศกาล,ประเภทของหนัง,ดอกไม,้ เมนูอาหาร,ยานพาหนะ ฯลฯ 23

ส่ิงนี้ เราว่ามันคือการ ฝึกให้เด็กๆ ได้คิดและสร้างสรรค์ แบบง่ายๆ แต่ทาเป็นวิถี ในขณะเดียวกันก็ เห็นสภาวะความรสู้ กึ ของกันและกนั นาไปสู่ความเขา้ ใจ และความสัมพนั ธ์ที่ดีดว้ ย ฮโี รแ่ ห่งหอ้ งเรียน เพื่อสร้างการเคารพตัวเอง สอนให้นักเรียนมีความรับผิดชอบ และสร้างให้เด็กมีความเป็นผู้นา ผ่าน การรบั หนา้ ทีจ่ ดั การในช้ันเรียนด้วยการสถาปนาตาแหนง่ และหน้าทก่ี ารเปน็ \"ฮีโร่\" วัตถุประสงค์ เพ่อื สรา้ งการเคารพตวั เอง และช่วยใหน้ ักเรียนภมู ิใจในตัวเอง เพื่อสอนใหน้ กั เรียนมคี วามรับผดิ ชอบ และสร้างให้เดก็ มีความเป็นผู้นา กิจกรรม 1.ให้เด็กช่วยกิจกรรมในห้องเรียน เช่นรดน้าต้นไม้ หาเน้ือหาในหนังสือแก่เพ่ือน ๆ หรือหน้าท่ีอะไรที่ ทาไดง้ า่ ย ๆ 2.เปล่ียนชื่องานต่าง ๆ เหล่านี้ให้ชื่อดูเหมือนเป็นฮีโร่สาหรับเด็ก ๆ เช่นเปล่ียนหน้าท่ีรดน้าต้นไม้เป็น ตาแหน่งเจา้ แห่งสายฝน เปลยี่ นหนา้ ที่หาหนงั สือเป็นตาแหน่งเจ้าแหง่ ปัญญา ทาให้เด็ก ๆ รู้สึกพเิ ศษ การให้ตาแหน่งสาหรับเด็ก ๆ ทาให้ตื่นเต้นท่ีจะช่วย และยังให้เด็ก ๆ ตั้งใจ และรู้สึกดีกับตัวเองมาก ขึ้น สามารถทาได้ทุกวัน หรือผลัดกัน 2-3 คร้ัง แล้วแต่คุณครู จากนั้นสร้างตารางเวร ผลัดการเป็นผู้นาให้ เด็ก ๆ ทุกคนเห็น และปรับเปล่ียนกันไปในแต่ละครั้งเพ่ือให้เด็ก ๆ ได้ลองทาทุกหน้าท่ี อายุที่เหมาะสมใน กจิ กรรมนี้คอื 7 - 12 ปี (ทม่ี า : www.inskru.com) 7. แนวทางปฏบิ ัตเิ พอื่ ปรบั พฤติกรรมของเดก็ ใหม้ ีวนิ ยั ในหอ้ งเรียน 1. ทาข้อตกลงในการปฏิบัติตนภายในห้องเรียน เพื่อเด็กจะได้ทราบความคาดหวังของพฤติกรรมเด็ก โดยข้อตกลงต้องเป็นการพิจารณารวมกันระหว่างครูผู้ดูแลเด็กและเด็ก เมื่อมีการทาผิดข้อตกลง ก็มีการ ทบทวนด้วยวิธีการใหม่ เพื่อจะได้ไม่เป็นการบ่น พูดซ้าซากพร่าเพรื่อ ทาให้เกิดความเบื่อหน่าย และมีอารมณ์ อยากตอ่ ต้าน 2. เมอ่ื มีพฤตกิ รรมทเ่ี ป็นปัญหาเกิดขึ้น ศึกษาสาเหตุให้ชัดเจน แล้วช่วยกันคิดหาแนวทางในการแก้ไข ปัญหา มีวถิ ีทางในการแกป้ ญั หาหลากหลาย โดยมุง่ ไปทีจ่ ุดหมายเดียวกัน คือ แก้ปัญหานั้นได้เพ่ือเป็นแนวทาง ในการให้เด็กคิดแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองต่อไป พฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาเกิดข้ึนได้ตลอดเวลา ถ้ากิจกรรมใน ห้องเรียนทาส่ิงท่ีซ้าๆ ไม่น่าสนใจ ต่ากว่าความสามารถของเด็ก หรือสูงกว่าความสามารถของเด็กท่ีจะทาได้ 24

สาเร็จ เด็กก็จะหาทางออกไปทาอย่างอื่น ท่ีก่อให้เกิดปัญหาพฤติกรรมตามมา ดังนั้น ต้องศึกษาหาสาเหตุของ พฤติกรรมให้พบกอ่ นจึงจะแก้ปญั หาไดต้ รงจุด 3. ครผู ู้ดูแลเด็กต้องเป็นแบบอย่างให้กับเด็ก มีข้อตกลงในการปฏิบัติอย่างไร ครูผู้ดูแลเด็กควรจะเป็น ตวั อยา่ งในเรอ่ื งเหลา่ นัน้ สาหรบั เด็กได้ 4. ครูผู้ดูแลเด็กต้องมีความสม่าเสมอในการปฏิบัติต่อเด็กทุกคนโดยเท่าเทียมกัน มีความยุติธรรมใน การตดั สินปัญหาตา่ งๆ ด้วยเหตุผลหลกั การ 5. ใหเ้ ด็กรู้แผนงานในแตล่ ะวัน แต่ละสัปดาห์ เพ่ือเด็กจะได้มีความรู้สึกม่ันคง เพราะได้รู้ว่าเขาต้องทา กิจกรรมอะไรบา้ งในวนั นน้ั สัปดาห์นัน้ ชว่ ยให้ไดเ้ ตรียมตวั เตรยี มใจในการทากจิ กรรมไดด้ ี 6. เม่ือมีพฤติกรรมต่างๆ เกิดขึ้นที่เรียกร้องความสนใจจากครูผู้ดูแลเด็กตลอดเวลา ครูผู้ดูแลเด็ก อาจจะต้องใช้วิธีการเมินเฉยไม่สนใจ ถ้าครูผู้ดูแลเด็กทราบว่าพฤติกรรมนั้นไม่ได้มีอันตรายใดๆ เด็กทาเพื่อ อยากให้ครูผู้ดูแลเด็ก อยากให้เพ่ือนสนใจ การไม่ให้ความสนใจ บางคร้ังก็ช่วยหยุดพฤติกรรมน้ันๆ ได้ ใน ทานองเดียวกันถ้ามีพฤติกรรมอะไร ที่ครูผู้ดูแลเด็กเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อเด็ก ต่อบุคคลอ่ืน ก็ต้องเข้าไป จัดการทันที หยุดพฤติกรรมนั้น เม่ือเด็กสงบแล้วจึงพูดคุยด้วย สอบถามสาเหตุและช่วยกันคิดหาแนวทางใน การแก้ปญั หาน้นั ๆ นอกจากวิธีข้างต้น ยังมีการสร้างวินัยเชิงบวกท่ีช่วยในการปรับลด/แก้ไขพฤติกรรมของเด็กได้ การสร้างวินัยเชิงบวก เป็นวิธีจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ของเด็กอย่างสร้างสรรค์โดยไม่ใช้วิธีการ ลงโทษ จะมีจุดมุ่งหมายให้เด็กรู้จักควบคุมพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ของตัวเอง มากกว่าที่จะโดนบังคับ เพ่ือให้เดก็ เกดิ การปรับพฤติกรรมไปในแนวทางทด่ี ขี ึ้นและมผี ลต่อเนื่องไปในอนาคต การสรา้ งวนิ ัยเชิงบวกนัน้ มีความแตกตา่ งจากการลงโทษปกติ เพราะการลงโทษโดยทั่วไปน้ัน เป็นการ บังคับให้หยุดพฤติกรรมจากภายนอก ซึ่งสามารถหยุดพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ของเด็กได้ทันที แต่ไม่อาจจะ ทาใหเ้ ด็กสานกึ ได้ด้วยตัวเอง และยิ่งลงโทษมากเท่าไหร่ การแสดงพฤติกรรมต่อต้านของเด็กก็มีมากขึ้นเท่าน้ัน ซึ่งแตกต่างจากการสร้างวินับเชิงบวกท่ีเน้นการพูดคุย ปรับความเข้าใจระหว่างกัน เพ่ือหาทางแก้ปัญหาใน พฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ของเด็ก ถึงแม้ว่าวิธีนี้อาจต้องใช้เวลาในการปรับพฤติกรรมนานกว่าวิธีแรก แต่ถ้า สามารถทาให้สาเร็จ จะทาให้เดก็ มวี นิ ัยจากใจของตวั เองและจะเปน็ ผลที่ดตี ่อเด็กไปในระยะยาว การสร้างวินัยเชิงบวก เป็นวิธีการที่สอดคล้องกับธรรมชาติการรับรู้และการเรียนรู้ของเด็ก กล่าวถึง เด็กจะรับรู้สิ่งที่เราส่ือสารได้ดีเม่ือเราตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางร่างกายและจิตใจของเด็กก่อน แล้ว สมองของเด็กจึงจะเปิดรับส่ิงท่ีเราต้องการส่ือสาร และเด็กจะเรียนรู้สิ่งท่ีเราสื่อสารได้ดีเมื่อเราสร้างและรักษา สมั พนั ธภาพทดี่ ีกับเดก็ กอ่ น แล้วสมองของเด็กจะพร้อมทาความเขา้ ใจ 25

เทคนิคของการสรา้ งวินัยเชิงบวก 1. ควรชมเชยนกั เรียนแบบเฉพาะเจาะจงตามสมควร เพอื่ ให้เขารู้สึกว่าตวั เองมีความสาคญั 2. ในการพดู คุยกบั นักเรยี น ครผู ูส้ อนควรยืนในระดับสายตากบั นกั เรียน ซึ่งจะทาให้นักเรียนรู้สึกได้รับ ความใส่ใจ มีคณุ ค่าและเช่ือใจ 3. เปิดโอกาสให้นักเรียนมีทางเลือกในเชิงบวก โดยไม่ใช้การสั่งหรือการบังคับ เช่น มีข้อเสนอให้ นกั เรียนเลอื กว่า จะให้จัดสอบหรอื จะทารายงานมาสง่ เกบ็ คะแนน ซงึ่ สิ่งจะช่วยให้นักเรียนรู้จักคิดและตัดสินใจ เลอื กส่งิ ทเี่ หมาะสมกบั ตวั เอง 4. ใช้วิธีการเบ่ียงเบนพฤติกรรมแทนการส่ังให้หยุดหรือห้าม เช่น นักเรียนบางคนที่ชอบเหม่อลอย ออกไปนอกหน้าต่าง ก็อาจเปลี่ยนที่น่ังให้ใกล้ชิดคุณครูหรือให้ห่างจากหน้าต่างแทนการไปดุต่อว่านักเรียน ซ่ึง จะทาให้นกั เรียนมคี วามรูส้ ึกต่อตา้ นได้ 5. ควรให้ความสาคัญกับนักเรียนทุกคน ในฐานะเขาเป็นส่วนหนึ่งของช้ันเรียน เขาควรมีสิทธิ์ในการ นาเสนอแนวคิดเกีย่ วกับช้นั เรยี นและควรมอบหมายหนา้ ท่ใี ห้เขาดูแลตามสมควร 6. ใช้โทนเสียงปกติในการพูดคุยกับนักเรียน ไม่ตะโกนใส่ ซึ่งจะทาให้ชั้นเรียนมีความสัมพันธ์ที่ดี นักเรียนก็พร้อมท่ีจะตั้งใจฟังครู และพฤติกรรมท่ีดีของครูก็จะเป็นแบบอย่างที่ดีของนักเรียนต่อไป เพราะไม่มี ใครชอบคนทตี่ ะโกนใสต่ วั เอง ดงั นัน้ จงึ ควรพดู คยุ กับเด็กด้วยโทนเสียงปกติ 7. สอนให้เด็กรจู้ ักเลือกทีจ่ ะทาอะไรก่อนและหลัง 8. กาหนดเวลาในการทากจิ กรรมต่าง ๆ ในช้ันเรียน และกาชับใหน้ กั เรยี นคานงึ ถึงการรกั ษา เวลาอยู่เสมอ 9. ครูควรมโี อกาสบอกความรู้สกึ ของตวั เองกับนกั เรยี น ถึงส่ิงทีน่ กั เรียนกาลังกระทาอยู่ว่า ครูชอบและ ช่ืนชมในสิ่งท่ีเขาทาดี หรือรู้สึกเสียใจกับพฤติกรรมไม่ดีของเขา ซ่ึงจะทาให้เขาได้เรียนรู้ว่าทุกการกระทาของ เขาส่งผลต่อความรสู้ กึ ของคนอน่ื 10. ส่งเสริมให้นักเรียนทาความเข้าใจตัวเอง ซ่ึงแต่ละคนล้วนมีความแตกต่าง และแม้จะคนเดียวกัน แต่ในแต่ละวันก็มีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน เราจึงควรสอนให้นักเรียนรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของ ตัวเอง เพอื่ ท่ีจะไดจ้ ัดการกับอารมณค์ วามรูส้ ึกของตัวเองได้อย่างเหมาะสม คอื สามารถกากับตวั เองไดน้ น่ั เอง การใชค้ าพดู เปน็ กญุ แจสาคัญของการสรา้ งวนิ ยั เชิงบวก จากเทคนิคการสรา้ งวินยั เชิงบวกจะเหน็ ได้ว่า เปน็ วธิ ที ี่ส่งเสริมให้ครูได้ใช้วิธีการเพื่อการสอน มากกว่าการสั่ง ซ่ึงคีย์เวิร์ดท่ีสาคัญในเร่ืองของการสร้างวินัยเชิงบวกนี้คือ เร่ืองของการเลือ กใช้คา โดย ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ได้บอกถึงแนวทางในการตรวจสอบคาพูดของตัวเองว่า ช่วยให้นักเรียนมีวินัยเชิงลบ หรอื เชงิ บวกหรอื ไม่ ไดแ้ ก่ 26

1. คาพูดนั้น เป็นการส่ัง หรือ การสอน การสั่งคือ การบังคับให้ทา ส่วนการสอนคือการบอกและ ส่งเสริมให้นักเรียนได้ทาด้วยตัวเอง ซึ่งการสอนนั้นส่งผลต่อสภาพจิตใจของนักเรียนได้ดีกว่าการส่ังหรือการ บงั คับ 2. คาพูดนัน้ เปน็ สงิ่ ท่ีพูดถึงอดตี ปจั จุบัน หรืออนาคต เราควรจะพูดถงึ พฤติกรรมของ นักเรียนในเรื่องของปัจจุบัน ไม่ควรจะยกเรื่องในอดีตหรืออนาคตมากล่าวถึง เช่น เราพบว่านักเรียนหลั บ ระหวา่ งเรียนหนงั สอื เราควรจะพูดคุยกับเขาเฉพาะพฤติกรรมดังกล่าว และไม่ควรต่อว่าเด็กถึงการมาสายของ เด็กเมอ่ื หลายวันก่อน หรอื พดู ถงึ เรื่องท่เี ราคดิ วา่ เขาจะทา แต่เขายงั ไมไ่ ด้ทา เปน็ ต้น 3. คาพูดน้นั เขา้ ใจยากหรอื ง่ายสาหรับนกั เรยี นหรอื ไม่ นักเรยี นแต่ละระดับ มีระดับความ เขา้ ใจในการส่ือสารแตกต่างกัน การเลือกใช้คาให้เหมาะสมกับวยั ของนักเรียนจึงเปน็ เรื่องทสี่ าคัญ 4. คาพดู ลักษณะของคาพูด ควรเปลย่ี นจาก “ห้าม ไม่ อยา่ หยุด” ซ่งึ เป็นคาทท่ี าใหส้ มอง ต้องประมวลผล 2 รอบ ให้เป็นการบอกสิ่งท่ีต้องการให้ทาไปตรงๆ เช่น แทนท่ีจะบอกว่า “อย่าว่ิง” ให้ เปล่ียนเปน็ “คอ่ ยๆ เดิน” เปน็ ต้น จะเหน็ ได้วา่ การเลือกใช้คาและการแสดงออกอย่างเหมาะสมต่อนักเรียนนั้น มีความสาคญั อย่างมากในการสร้างวินัยเชิงบวก ซึ่งแน่นอนว่า ในช่วงแรกอาจเป็นเรื่องที่ยากลาบากในการจัดการชั้นเรียน แต่ถ้าสามารถดาเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การสร้างวินัยเชิงบวกน้ีจะทาให้การจัดการช้ันเรียนไป เรอ่ื งท่งี ่ายดายขน้ึ และส่งผลดีกบั นักเรยี นเพราะจะทาให้เขาเป็นคนที่รู้จักควบคุมตัวเอง มีเหตุผล และพร้อมท่ี จะรับฟงั ความคิดเหน็ ของคนอืน่ ๆ ซง่ึ ส่งิ เหลา่ นี้ล้วนเป็นทักษะที่สาคัญอย่างมากในยุคไทยแลนด์ 4.0 นี้เลยก็ว่า ได้ (ทมี่ า :http://www.trueplookpanya.com) 8. ปญั หาและอุปสรรคในการจดั การชน้ั เรยี นให้มีประสิทธภิ าพ 1. ข้อจากัดทางด้านงบประมาณ ไม่มีงบประมาณในการส่งเสริมการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ เน่ืองจากการจัดการตกแต่งห้องเรียนในแต่ละครั้งอาจจะต้องอาศัยงบประมาณในการจัดซ้ืออุปกรณ์ตกแต่ง ตา่ งๆ 2. ขาดความร่วมมือของบุคลากรและผู้เรียน ในบางห้องเรียนครูผู้สอนและนักเรียนเกิดความขัดแย้ง และมองไมเ่ หน็ ความสาคญั ของการจดั การบริหารช้นั เรยี น 3. ครูไม่มีเวลา ไม่มีความรู้ ครูบางท่านมีภาระการสอนในหลายชั้นเรียน ทาให้ไม่มีเวลาในการ ปรบั ปรุงหรอื ตกแตง่ ภายในห้องเรยี น อีกท้งั ขาดประสบการณ์ในการจดั การบรหิ ารหอ้ งเรียน 27

4. ผบู้ รหิ ารไม่สนบั สนุน ผบู้ รหิ ารในบางโรงเรียนไม่เห็นความสาคัญและขาดความเข้าใจในการจัดการ บริหารช้ันเรียน(ที่มา : https://sites.google.com/site/darunsitpattanarangsan/sara-na-ru/kar- prakan-khunphaph-sthan-suksa) 9. การสง่ เสรมิ ภาวะผูน้ าและผ้ตู าม 9.1 การส่งเสรมิ ภาวะผนู้ า 1. ความหมายของภาวะผ้นู า ภาวะผู้นา หมายถึงคุณลักษณะเฉพาะตัวที่เกิดข้ึนในตัวบุคคลที่มีอิทธิพลต่อบุคคลอ่ืนในการท่ีจะให้ ความร่วมมอื ทากิจกรรมตา่ ง ๆ ตามท่ีผู้นาต้องการ ซึ่งคุณลักษณะความเป็นผู้นาน้ีไม่มีเฉพาะผู้ที่ดารงตาแหน่ง เป็นหัวหน้าเท่าน้ัน แต่บุคคลทุกอาชีพ ทุกสถานภาพก็สามารถมีภาวะผู้นาได้ตามเวลา โอกาส สถานท่ี เช่น บดิ ามีภาวะความเป็นผ้นู าในฐานะหัวหน้าครอบครัวที่มผี ลต่อผตู้ ามคอื ภรรยาและบุตร เปน็ ต้น 2. องค์ประกอบของภาวะผ้นู า ภาวะผนู้ านั้นมปี ัจจยั ทีเ่ ปน็ องคป์ ระกอบหลกั 4 ปจั จยั ได้แก่ 1. ผู้นา (Leader) หมายถึง ตัวบุคคลที่นากลุ่ม มีบุคลิกอุปนิสัยในการเป็นผู้นาเพื่อให้ผู้ตามเกิดความ ไวว้ างใจ และสามารถกระต้นุ ผตู้ ามให้กระทาการต่างๆ ให้ประสบความสาเรจ็ 2. ผู้ตาม (Followers) หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีรับอิทธิพลจากผู้นา ที่ต้องการรูปแบบภาวะ ผนู้ าท่ีแตกตา่ งกันขึ้นอยู่กบั พนื้ ฐานความเขา้ ในในธรรมชาตขิ องมนุษย์ 3. การส่ือความหมาย (Communication) หมายถึง การสื่อความหมายสองทางไม่เพียงแต่การใช้ คาพูด ยงั รวมถงึ การทาให้ดูเป็นตัวอยา่ ง 4. สถานการณ์ (Situation) หมายถงึ เหตุการณ์และสภาพแวดล้อมท่ีเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่าง กนั จงึ ตอ้ งใชว้ จิ ารณญาณท่เี หมาะสมกบั แตล่ ะสถานการณ์ 3. ประเภทของภาวะผู้นา ประเภทของภาวะผู้นา แบง่ เป็น 3 ประเภท 1. ผู้นาแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) หมายถึง ผู้นาท่ีเน้นถึงการบังคับบัญชาและการออก คาสั่ง (commanding and order giving) เป็นสาคัญ ผู้นาชนิดน้ีมักจะทาการตัดสินใจด้วยตนเองเป็น สว่ นมาก และจะไม่คอ่ ยมอบหมายอานาจหน้าท่ีให้แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามากนัก สถานภาพของผู้นาชนิดนี้จะ เป็นไปในลักษณะท่ีว่าเป็นเจ้านาย (boss) อย่างเด่นชัด ในการบังคับบัญชาหรือควบคุมงานของผู้นาชนิดน้ี 28

ผู้นาดังกล่าวจะกระทาโดยมีการใช้อานาจเป็นอย่างมากและจะสร้างบรรยากาศของความเกรงกลัวต่อผู้อยู่ใต้ บงั คับบญั ชาเสมอ ทั้งน้ีเพราะผนู้ านิยมใชก้ ารให้รางวลั และลงโทษ 2. ผู้นาแบบประชาธิปไตย (Democratic Leader) ผู้นาชนิดนี้จะมีลักษณะตรงกันข้ามกับผู้นาชนิด แรก ผู้นาแบบประชาธิปไตยจะให้ความสาคัญกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามากกว่า และจะไม่เน้นถึงการใช้อานาจ หน้าท่ี หรือก่อให้เกิดความเกรงกลัวในตัวผู้บังคับบัญชา หากแต่จะเปิดโอกาสให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีโอกาส แสดงความคิดเห็นและพดู คุยด้วย ในการปฏิบัติงานบริหารของผู้นาชนิดนี้มักจะเป็นไปในทานองที่ว่า ส่ิงต่างๆ เป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาต่างๆ จึงมักให้โอกาสทุกฝ่ายเข้ามาร่วมพิจารณา ซึ่ง อาจจะกระทาโดยมกี ารประชมุ หรือจัดตั้งคณะกรรมการ เป็นต้น ผู้นาชนิดน้ีจะพยายามส่งเสริมให้คนงานออก ความคดิ เหน็ ได้ และมีโอกาสร่วมตัดสินใจในปญั หาตา่ ง ๆ ได้ด้วย 3. ผู้นาแบบเสรีนิยม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ผู้นาชนิดนี้จะแตกต่างจากผู้นาแบบ ประชาธิปไตยที่ว่าจะมีการปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีอิสรเสรีเต็มที่ หรือปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามี อานาจกระทาการใด ๆ ตามใจชอบได้ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนได้จะถูกมอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตัดสินใจ อยา่ งเตม็ ท่ี ผู้ใต้บังคบั บัญชาอาจจะไดร้ ับสทิ ธใิ นการจัดทาแผนงานตา่ ง ๆ ได้ตามใจชอบ 4 คณุ ลกั ษณะของภาวะผนู้ า 4. 1 คุณลกั ษณะด้านบทบาท หน้าที่ แบง่ ออกเปน็ 2 ลักษณะ ดงั น้ี 1.ผู้นาแบบเป็นทางการ (Formal Leaders) หมายถึง ผู้บังคับบัญชาในหน่วยงาน เพราะว่า ผู้บังคับบัญชานั้นคือผู้ท่ีได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้ดารงตาแหน่งหัวหน้าหรือให้มีอานาจ หน้าท่ีใน การดาเนินการอย่างหน่ึงอย่างใดตามกฎระเบยี บขององคก์ าร 2. ผู้นาแบบไม่เป็นทางการ (Informal Leaders) คือผู้นาที่ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา เพราะไม่มี ตาแหน่งเป็นหัวหน้าในองค์การ แต่สมาชิกในหน่วยให้การยอมรับ และยกย่องให้เป็นผู้นา เพราะเขามี คุณสมบัติบางประการที่หน่วยงานหรือสมาชิกในองค์การ ต้องการ ให้การยอมรับ หรือให้ความไว้วางใจ เช่น ประสบการณ์ ความรคู้ วามสามารถ มนษุ ยส์ ัมพนั ธ์ เปน็ ต้น 4.2 คณุ ลกั ษณะด้านบุคลกิ ภาพ มลี ักษณะดงั น้ี 1. เป็นบคุ คลทท่ี าใหอ้ งค์การประสบความก้าวหน้า และบรรลุผลสาเร็จ 2. เป็นผู้ทีม่ ีบทบาททีส่ ามารถสร้างความสมั พันธ์ระหว่างบุคคลท่ีเปน็ ผใู้ ตบ้ งั คับบัญชา 3. การจูงใจผู้อื่นให้ปฏิบัติตาม การติดต่อส่ือสาร และมีอิทธิพลเหนือผู้ใต้บังคับบัญชาตาม อานาจหนา้ ทข่ี องการบริหารทีด่ ารงตาแหน่งอยู่ 29

4. ผู้นามีส่วนทาให้เกิดวิสัยทัศน์ขององค์การและของพนักงาน ซ่ึงรวมถึงผู้นาท่ีสามารถใช้ อานาจ อทิ ธพิ ลตา่ ง ๆ ทั้งทางตรงและทางออ้ มเพอื่ นากลุ่มประกอบกิจกรรมใดกจิ กรรมหนึ่งด้วย 5. ผู้นายังเปน็ บคุ คลท่มี ีอิทธิพลตอ่ กลมุ่ และสามารถนากลุ่มใหป้ ฏบิ ตั ิงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุ เปา้ หมายขององคก์ าร 5. ภาวะผนู้ าของครู 5.1 ความหมายของภาวะผู้นาของครู ภาวะผนู้ าของครู หมายถึง ครทู ม่ี ีการครองตน ครองคน ครองงานเป็นแบบอย่างท่ีดี และจัดการเรียน การสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถโน้มน้าว จูงใจให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจ ร่วมมือในการเรียนรู้และ พฒั นาตนเองไดอ้ ย่างมคี วามสุขโดยมีภาวะผูน้ า (LEADERSHIP) ดงั นี้ 1. Learner คอื เป็นบุคคลท่ีมกี ารเรยี นรูอ้ ยู่เสมอ ใฝเ่ รยี นรเู้ พ่มิ พนู คณุ ค่าความเป็นมนษุ ย์ 2. Example คือ ครองตนเป็นแบบอย่างได้ มีเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี มีความมั่นคงในชีวิต เช่ือถือได้และ ได้รบั การยอมรบั นบั ถอื 3. Attempt คือ มีความเพียรพยายามท่ีจะสร้างและพัฒนาคน ตามวิถีชีวิตท่ีถูกทางตามวิถี วฒั นธรรมท่ีดี มุ่งมั่นสร้างสงั คมใหน้ ่าอยู่ 4. Drive คือ มีแรงขับ จุดประกาย ใจเบิกบาน ในแนวทางวิถีชีวิตท่ีบริสุทธ์ิ มีวิธีการคิดที่ถูกต้อง มี จนิ ตนาการไปสจู่ ดุ หมายท่ีชดั เจน 5. Expert คอื มีความชานาญมมี าตรฐานและคุณภาพ สามารถเช่ือมต่อมีความสุขท่ีถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ เพื่อศิษย์ได้ 6. Responsibility คอื มีความรับผดิ ชอบการเรียนการสอน อยากเห็นรอยย้ิมในความสาเร็จของลูก ศิษย์ บูรณาการการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย เกิดประโยชน์ ต่อส่วนตน ครอบครัว หน่วยงาน ชุมชนและสงั คม 7. Self-confidence คือ มีความเชื่อม่ันในวิชาชีพครู มีความมั่นใจในการถ่ายทอดวิชาความรู้ และ ประสบการณ์ดว้ ยวธิ กี ารสอนทีม่ ีประสทิ ธภิ าพ 8. Human relation คือ มมี นษุ ยสัมพันธ์ มีทัศนะที่กว้างไกล เข้าใจตนและผู้อื่น ให้ความร่วมมือใน การทางานกับคนอนื่ ๆ 9. Intelligence คอื มปี ัญญา ฉลาด สรา้ งองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้ 10. Personality คอื มบี ุคลกิ ภาพทด่ี ี มีภาวะผู้นา ปฏบิ ัติตนทเี่ หมาะสมกบั กาลเทศะ 30

5.2 บทบาทในการเป็นผู้นาของครู ครเู ปน็ ผ้ทู ม่ี บี ทบาทมากที่สุดในชั้นเรียน เป็นผู้สร้างบรรยากาศในช้ันเรียนให้มีสภาพน่าเรียนรู้ อบอุ่น หรอื วา่ ตงึ เครียดนา่ กลัว โดยครูต้องทราบความคาดหวังที่นักเรียนมีต่อครู และครูมีต่อนักเรียน โดยครูต้องเป็น แบบอย่างทด่ี ใี นการแสดงออกทางพฤตกิ รรมนัน้ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การทาความเคารพการพูดการจา การตรงต่อเวลา เป็นต้นบทบาทในการเป็นผู้นาของครูแต่ละประเภทจะมีผลต่อความรู้สึกของนักเรียนท่ีมีต่อ โรงเรียนและย่ิงไปกว่าน้นั อาจมีผลตอ่ ความร้สู กึ ของนักเรียนที่มีต่อผ้อู น่ื หรือต่อตนเอง 5.3 บุคลิกภาพทีส่ ง่ ผลต่อการเปน็ ผนู้ าของครู ครูท่ีมีบุคลิกภาพดี เช่น การแต่งกาย การยืน การเดิน ท่าทาง น้าเสียง การใช้คาพูด การแสดงออก ทางสหี น้า แววตา เหมาะสมกบั การเปน็ ครู จะชว่ ยส่งเสรมิ บรรยากาศการเรยี นรู้ได้ดี บุคลิกภาพของครูมีผลต่อ ความรสู้ กึ ของนกั เรียน ดังน้ี ครูประเภทที่ 1 ถา้ ครูแสดงความเป็นมติ ร นกั เรยี นจะอบอุ่นใจ ถ้าครยู มิ้ แย้ม นักเรียนจะแจม่ ใส ถ้าครมู ีอารมณ์ขนั นักเรยี นจะเรยี นสนกุ ถา้ ครูกระตอื รือรน้ นกั เรียนจะกระปรี้กระเปร่า ถา้ ครมู นี าเสียงนมุ่ นวล นกั เรยี นจะสภุ าพออ่ นนอ้ ม ถ้าครแู ต่งตวั เรยี บรอ้ ย นกั เรยี นจะเคารพ ถา้ ครใู ห้ความเมตตาปรานี นกั เรียนจะมีจติ ใจออ่ นโยน ถ้าครูให้ความยุตธิ รรม นักเรยี นจะศรัทธา จากบุคลิกของครสู รปุ ได้ว่า ครูประเภทที่ 1 จะสรา้ งบรรยากาศแบบประชาธิปไตย นักเรียนและครูจะ ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น ได้แลกเปล่ียนความคิดเห็น ได้รู้จักทางานร่วมกัน รู้จักสิทธิและหน้าท่ีของตนเอง มีเหตุมีผล นักเรียนจะรู้สึกสบายใจในการเรียน เป็น บรรยากาศทส่ี ง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การเรียนร้ทู ด่ี ี ครูประเภทท่ี 2 ถ้าครเู ข้มงวด นกั เรยี นจะหงดุ หงิด ถ้าครหู นา้ นิ่วค้ิวขมวด นกั เรยี นจะรู้สกึ เครียด ถ้าครฉู นุ เฉียว นักเรยี นจะอดึ อดั ถา้ ครูปนั้ ป่งึ นกั เรียนจะกลวั 31

ถา้ ครูแต่งกายไมเ่ รียบรอ้ ย นักเรียนจะขาดความเคารพ ถา้ ครูใช้น้าเสยี งดดุ ัน นกั เรียนจะหวาดกลัว จากบุคลิกของครูสรุปได้ว่า ครูประเภทท่ี 2 จะสร้างบรรยากาศแบบเผด็จการ นักเรียนไม่ได้แสดง ความคิดเห็น ครูจะเข้มงวด ครูเป็นผู้บอกหรือทากิจกรรมทุกอย่าง นักเรียนไม่มีโอกาสคิด หรือทากิจกรรมท่ี ตอ้ งการ นักเรียนจะรสู้ กึ เครยี ดอึดอัด นักเรียนจะขาดลักษณะการเป็นผู้นา ขาดความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ เป็น บรรยากาศทีไ่ มส่ ่งเสริมให้เกิดการเรยี นรูท้ ด่ี ี ครปู ระเภทที่ 3 ถา้ ครทู อ้ ถอย นักเรยี นจะทอ้ แท้ ถ้าครเู ฉยเมย นักเรียนจะเฉอื่ ยชา ถา้ ครูเช่ืองชา้ นกั เรยี นจะหงอยเหงา ถา้ ครใู ชน้ ้าเสยี งราบเรยี บ นกั เรียนจะไม่สนใจฟัง ถา้ ครูปล่อยปละละเลย นักเรียนจะขาดระเบียบวนิ ัย ถ้าครแู ตง่ กายไม่เรียบรอ้ ย นักเรยี นจะขาดความเคารพ จากบุคลิกของครูสรุปได้ว่า ครูประเภทที่ 3 จะสร้างบรรยากาศแบบตามสบาย เป็นบรรยากาศที่น่า เบอื่ หนา่ ย นกั เรยี นยอ่ ท้อ สบั สนวุน่ วาย ขาดระเบียบวนิ ยั ไม่มีความคงเสน้ คงวา ครไู ม่สามารถควบคุมชั้นเรียน ให้อยใู่ นความสงบเรียบรอ้ ยได้ เป็นบรรยากาศที่ไม่สง่ เสริมให้เกิดการเรยี นรู้ที่ดี จากครูท้ัง 3 ประเภทที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ครูประเภทท่ี 1 มีลักษณะความเป็นผู้นาแบบ ประชาธิปไตย ก็จะสร้างบรรยากาศแบบประชาธิปไตย ทาให้นักเรียนรู้สึกสบายใจที่จะเรียน มีความ กระตอื รือรน้ ในการเรียนมากกวา่ ประเภทอืน่ ๆ บุคลิกภาพของครูจงึ มีส่วนสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ได้อย่าง มาก 6. ภาวะผ้นู าของนักเรยี น ภาวะผู้นาของนักเรียน คือ ทักษะ ท่ีสามารถฝึกฝนได้กับนักเรียนในทุกระดับช้ันผ่านกิจกรรมง่ายๆ เร่ิมจากการท่ีครูมีความเช่ือว่านักเรียนทุกคนมีภาวะความเป็นผู้นาอยู่ในตัวเอง โดยคุณครูเป็นผู้ ‘มอบการ ตดั สนิ ใจ’ ให้นกั เรียน และใหน้ ักเรียนเป็นผ้เู ลือก ผู้ทา และเรยี นร้ดู ว้ ยตัวเองอยา่ งสมา่ เสมอ 7. การสร้างภาวะความเป็นผ้นู าในห้องเรยี นให้กบั นักเรียน 1. ให้นักเรียนเลือกทาในสิ่งท่ีอยากทา ในกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีนักเรียนสามารถทาได้ เช่น การจัดเวร ประจาวัน ท่ีต้องการหลายบทบาทหน้าที่ นักเรียนบางคนอยากทาหน้าที่ปัดกวาดห้อง หรือบางคนอยากช่วย เก็บการบ้านของเพ่ือนไปส่งครูตอนท้ายคาบ เป็นต้น หากนักเรียนยังไม่สามารถบอกความต้องการของตัวเอง ได้ คุณครอู าจจะให้ตวั เลือกแกน่ กั เรียน เพอื่ ให้นักเรียนเหน็ บทบาทท่ีเขาพอจะทาได้ 32

2. เปล่ียน ‘ช่อื ’ บทบาทท่ีดูธรรมดาใหพ้ เิ ศษย่ิงข้ึน เช่น นกั เรยี นที่อยากทาหน้าท่ปี ดั กวาดหอ้ ง อาจจะ เปลีย่ นชอ่ื เป็น ‘ผ้พู ิทกั ษ์ความสะอาด’ เพ่ือใหน้ กั เรยี นรู้สึกต่ืนเตน้ และร้สู ึกดีกบั ตวั เองให้มากข้นึ 3. ชื่นชม หรือขอบคณุ นกั เรียนในบทบาททไ่ี ดร้ บั โดยระบไุ ปท่พี ฤติกรรมท่ีเห็นชัด เช่น ขอบคุณนะจ๊ะ ทช่ี ว่ ยปดั กวาดห้องเรียนใหส้ ะอาดข้นึ เปน็ ตน้ 4. จัดตารางและสลับสบั เปลย่ี นให้นักเรยี นทกุ คนได้ลองทาทุกหน้าที่ และรู้สึกว่า ‘บทบาททุกบทบาท มคี วามสาคญั ’ ไมแ่ พก้ นั 9.2 การส่งเสรมิ ภาวะผตู้ าม 1. ความหมายของผู้ตามและภาวะผตู้ าม (Follower) 1.1 ความหมายของผู้ตาม ผู้ตาม หมายถึง ผู้ท่ีแสดงบทบาทเป็นผู้ปฏิบัติในงาน เพื่อตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ขององค์กร และ เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อความสาเร็จของผู้นาและองค์กร (Kelly, 1998,Rose, 1995) ส่วน Chaleff, 1995 ได้ให้ ความหมายของผู้ตามว่า หมายถึง ผู้ที่มีความมุ่งหมายเดียวกับผู้นามีความเชื่อในเป้าหมายองค์กรท่ีตนร่วมอยู่ มุ่งจะบรรลุและหวังให้ทงั้ ผู้นาและองคก์ รของตนบรรลผุ ลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายและเปา้ หมายนัน้ ผู้ตาม หมายถงึ บุคคลทแ่ี สดงบทบาทผูช้ ว่ ยเหลือและสนับสนุนผูน้ า รวมทง้ั รบั คาสั่งและรับมอบหมาย งานจากผู้นา เพ่ือนามาปฏิบัติให้บรรลุผู้สาเร็จ (บุญใจ ศรีสถิตนรากูร, 2551อ้างอิงใน สุกัญญา มีสมบัติ, 2557) ผู้ตาม หมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติงานในองค์กรท่ีมีหน้าท่ีและความรับผิดชอบร่วมกับเพื่อนร่วมงาน รวมทั้ง ช่วยเหลือสนบั สนุนผู้นาในการปฏิบัติงานให้บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายขององค์กร (วรางคณา กาญจนพาที, 2556) ผู้ตาม หมายถึง บุคคลที่เป็นผู้ปฏิบัติงานในองค์กรท่ีมีศักยภาพ ปฏิบัติภารกิจร่วมกับบุคคลอ่ืนใน องคก์ ร และให้การสนับสนนุ ช่วยเหลือผู้นาในการบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร (สามารถ อัยกร, ประภัสสร ดา วะเศรษฐ์, สายปา่ น จักษจุ ินดา และชาญชยั ศุภวจิ ติ รพันธ์ุ, 2560) จากนักวิชาการหลายท่านข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ผู้ตาม (Follower) หมายถึง บุคคลผู้ท่ีมีหน้าท่ี ปฏิบัติงานในองค์กร โดยใช้ศักยภาพ ความรู้และสติปัญญาท่ีมีมาทางาน รวมท้ังเป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อ หนา้ ที่ทีไ่ ด้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาและนามาสู่การปฏิบัติงานให้ประสบความสาเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ อีกท้งั ยังเปน็ ผูส้ นับสนุน สง่ เสรมิ และมอี ทิ ธิพลต่อความสาเร็จของผูน้ า ผูบ้ ริหารและองคก์ ร 1.2 ความหมายของภาวะผตู้ าม (Followership) ภาวะผู้ตาม หมายถึง ผู้กระทาการหรือแสดงออกโดยใช้สติปัญญาอย่างเป็นอิสระมีความกล้าหาญ และมีสานึกแห่งจริยธรรมสงู (Kelly, 1992) 33

ภาวะผู้ตาม หมายถึง คุณลักษณะของบุคคลที่เป็นผู้ตามท่ีมีความรับผิดชอบในงาน สามารถปฏิบัติ หน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคิดเป็นของคนเอง กล้าแสดงออก และสนับสนุนการสร้างความสาเร็จตาม เป้าหมายร่วมกบั องค์กร (พนดิ า ขวญั พรหม, 2553) ภาวะผู้ตาม หมายถึง คุณลักษณะของบุคคลท่ีเป็นผู้ปฏิบัติงาน ในการทางานและสามารถปฏิบัติ หน้าท่ี ท่ไี ดร้ บั มอบหมายจากผูน้ าให้บรรลุผลสาเร็จ (วรางคณา กาญจนพาที, 2556) จากความหมายของภาวะผู้ตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้สามารถสรุปได้ว่า ภาวะผู้ตามเป็นเหมือน คณุ ลกั ษณะ หรือลักษณะเฉพาะของแตล่ ะบุคคลในตัวของผู้ตาม ในการท่ีจะสามารถรับผิดชอบและปฏิบัติงาน ต่างๆ ท่ีได้รับมอบหมายจากผู้บังคบั บัญชาใหบ้ รรลผุ ลสาเรจ็ ได้ 2. ประเภทของผู้ตาม (Follower Style) นกั วิชาการได้ทาการศึกษาและจาแนกภาวะผตู้ ามออกตามลักษณะต่างๆ ของผตู้ าม ดังต่อไปนี้ Townsend (1999) ได้ทาการศกึ ษาและจาแนกภาวะผู้ตามออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) ผู้ตามแบบ ผูส้ นอง (Passive Follower) และ 2) ผ้ตู ามแบบผู้ริเริ่ม (Active Follower) (1) ผู้ตามแบบผู้สนอง (Passive Follower) คือ ผู้ตามที่มีลักษณะตามภาพลักษณ์ของผู้ตาม โดยเปน็ ผตู้ ามที่มคี วามภกั ดีเช่ือฟังตามคาแนะนาจากผู้บังคับบัญชา และสนบั สนุน ทาตามผู้บังคับบัญชา กล่าว อีกนัยหน่งึ ว่าเปน็ ผูต้ ามท่มี ุง่ เน้นการปฏบิ ตั ติ ามผู้นาไม่คอ่ ยแสองออกซ่งึ ความคดิ เห็น (2) ผูต้ ามแบบผูร้ เิ ริ่ม (Active Follower) คอื ผตู้ ามทมี่ คี วามสัมพนั ธ์กับผู้นาในลักษณะเป็นผู้ ตามท่ีส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจกันและกันระหว่างผู้ตามเองและผู้นา ผู้ตามแบบผู้ริเร่ิมนี้มักจะเสนอความ คิดเหน็ เมื่อมีโอกาสแต่อย่างไรก็ดี ผู้ตามก็ยังคงเช่ือฟังและยอมรับแนวทางของผู้นาอยู่เพ่ือสร้างความสาเร็จใน การทางาน 3 .รูปแบบของผูต้ าม การจาแนกรูปแบบผตู้ าม(Followership pattern) เปน็ 5 รปู แบบ ดงั น้ี 1) ผู้ตามแบบเฉื่อยชา(Sheep) หมายถึงผู้ตามที่เชื่องช้า ไม่กระตือรือร้น ไม่มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ไม่พยายามพ่ึงพาตนเอง ทางานตามคาแนะนาและคาส่ังท่ีได้รับมอบหมายโดยไม่คิดท่ีจะเร่ิม เอง ทางานให้แล้วเสร็จในลักษณะ “เช้าชาม เยน็ ชาม” เป็นผูต้ ามท่ถี ูกชกั จงู ไดง้ า่ ย 2) ผู้ตามแบบยอมตามเห็นด้วยเสมอ(Conformist หรือYes people) หมายถึงผู้ตามที่มีความ กระตือรือร้นในการทางาน แต่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์และไม่มีความคิดริเร่ิม รวมทั้งพยายาม หลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา จึงเห็นด้วย คล้อยตาม น้อมรับ และทาตามคาสั่งของ ผบู้ ังคบั บญั ชาโดยมโิ ต้แย้งใดๆ ไม่ตดิ ตามผลลัพธ์และผลกระทบท่เี กิดขน้ึ จากการท่ตี นเองไดก้ ระทา 3) ผู้ตามแบบรู้รักษาตัวรอด(Survivors) หมายถึงผู้ตามที่ทาตัวเหมือนน้า คอยปรับตนเองให้อยู่รอด อย่างปลอดภยั ในทกุ ๆสถานการณ์ เข้าทานอง “รรู้ ักษาตวั รอดเป็นยอดด”ี 34

4) ผู้ตามแบบปรปักษ์(Alienated followers) หมายถึงผู้ตามท่ีชอบอิสระ พยายามพ่ึงพาตนเอง มี ความคิดสร้างสรรค์และความคิดริเร่ิม แต่ขาดศิลปะในการแสดงบทบาทของผู้ตามให้เหมาะสมกับ กาลเทศะ โดยแสดงความคดิ เห็นขดั แย้งกับผู้บังคับบัญชา ไมป่ ระนีประนอม คอยจับผิดและวิจารณ์ ผ้บู ังคับบัญชา 5) ผู้ตามท่ีมีประสิทธิผล(Effective followers) หมายถึงผู้ตามท่ีมีความเพียรพยายาม ชอบอิสระ สามารถพ่ึงพาตนเอง สามารถแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการงานท่ีรับผิดชอบอย่างมี ประสิทธิภาพ คานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ตนเอง มีพฤติกรรมกล้า แสดงออก มีความสามารถในงาน พัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง มีความภักดี ให้ความร่วมมือ มี ความคิดสร้างสรรค์และมีความคิดริเริ่มสูง จึงเป็นท่ีชื่นชอบของผู้ร่วมงานและผู้บังคับบัญชา ผู้ตาม ประเภทน้ีเป็นบุคคลท่ีมีภาวะผู้ตาม(Followership) หรือเป็นผู้ตามที่เป็นแบบอย่าง(Exemplary followers)... ลกั ษณะผู้ตามท่ีเป็นแบบอยา่ ง(Exemplary followers) 1. มีความสามารถในการจัดการตนเอง(Self Management) หมายถึง สามารถควบคุม ตนเอง พ่ึงพาตนเอง และสามารถทางานด้วยตนเองโดยปราศจากการนิเทศใกล้ชดิ จากผ้บู งั คับบัญชา 2. ม่งุ มนั่ ในการทางาน อทุ ศิ ตนเพือ่ งาน และตง้ั ใจทางาน (Commitment) 3. พัฒนาตนเองให้มีสมรรถนะเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเนื่องและทางานอย่างเต็มกาลังความสามารถเพื่อให้ ผลงานมีคณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพสูงสุด (Build competence and Focus effort) 4. มีความกล้า (Courageous) หมายถึงกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น กล้าตัดสินใจและ กล้ายอมรบั ความผิดพลาดท่ีตนเองเปน็ ผู้กระทา รวมทงั้ พร้อมรับคาวิจารณจ์ ากผอู้ ่ืน…” 4 การส่งเสริมภาวะผตู้ ามในชนั้ เรยี น การปฏิบัติตัวในฐานะผู้นาและผู้ตามที่ดีนั้นมีความจาเป็นอย่างมากเพราะโรงเรียนเป็นสถานท่ีท่ีให้ ความรู้ ซ่ึงเราตอ้ งอย่รู ่วมกบั คนอน่ื ๆ ไมว่ า่ จะเป็น ครผู ู้สอน เพื่อนร่วมชั้นเรียน ดังน้ันเราจึงจาเป็นต้องปฏิบัติ ตามกฎ ระเบยี บของห้องเรยี นและโรงเรยี น เพ่อื ทีจ่ ะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และเกิดความเป็นระเบียบ เรยี บร้อย ตวั อย่างการเป็นผ้ตู าม ท่ดี ี ดังน้ี 1. ต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบของโรงเรียน เช่น แต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบ มาให้ทันเข้าแถว เคารพธงชาตใิ นตอนเช้า 2. ปฏิบัติตามคาสั่งของครูหรือหัวหน้าช้ัน เช่น เราต้องช่วยกันรักษาความสะอาดในห้องเรียน และ ในบริเวณต่าง ๆ ของโรงเรยี น ทงิ้ ขยะลงในถงั ขยะที่โรงเรียนจัดให้ 3. ให้ความเคารพเชื่อฟังครูอาจารย์ ตั้งใจเรียนหนังสือ รวมทั้งทางานต่าง ๆ ที่ครูมอบหมายด้วย ความต้ังใจและเอาใจใส่ 4.จะต้องพรอ้ มทจ่ี ะเรยี นรู้สงิ่ ใหมๆ่ อย่เู สมอ 5. แสดงความคดิ เหน็ หรือให้ขอ้ เสนอแนะทีเ่ ปน็ ประโยชน์ต่อหวั หน้าชนั้ หรอื ครผู ู้สอน 35

นอกจากน้ีเราควรปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดีของห้องเรียนและโรงรียน เช่น ปฏบิ ัติในการเปน็ ผู้ตามที่ดจี ะตอ้ งมคี วามจรงิ ใจเปิดเผย ต้องรู้ว่าเมอื่ เราเปน็ ผู้นาในการทากิจกรรมต่าง ๆ ควร ปฏิบัตติ นอยา่ งไร และเม่ือเป็นผู้ตามควรปฏิบตั ติ นอยา่ งไร ร้จู กั แสดงความคิดเหน็ ตามสทิ ธิของตนเอง รวมท้ัง รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน และเคารพข้อตกลงของคนส่วนใหญ่ถ้าเกิดข้อขัดแย้งกัน ให้แก้ปัญหาด้วย หลักเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์หรือพละกาลังในการแก้ปัญหา เพราะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่กลับจะทาให้ เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ในการแข่งขันทากิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน เช่น การแข่งกีฬา การประกวดใน ด้านตา่ ง ๆ ต้องฝึกฝนตนเองใหเ้ ป็นผรู้ ูจ้ กั แพ้ ชนะ และใหอ้ ภัย 36

บรรณานกุ รม กฤษณา สาเร็จ. (2555). ผู้ตามทด่ี .ี ..(ก็มีซะดว้ ย). เรยี กใชเ้ มอ่ื 10 มีนาคม 2564 จาก Gotoknow: https://www.gotoknow.org/posts/266468 กีรติ คุวสานนท.์ (2560). การจดั การเรยี นรสู้ ู่วถิ ีผู้เรยี นเปน็ สาคญั . ปทมุ ธาน:ี กรมสง่ เสริมการปกครองทอ้ งถ่นิ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ . เรยี กใชเ้ มอื่ 1 มีนาคม 2564 จาก http://www.dla.go.th/work/e_book/eb6/eb6_3/3km9.pdf ครูเชียงราย. (2562). การบรหิ ารจดั การชน้ั เรียน. เรียกใชเ้ ม่ือ 25 กุมภาพันธ์ 2564 จาก ครเู ชียงราย: https://www.kruchiangrai.net/2019/09/16/%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0 %B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8% 81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0 %B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/#:~:text=%E0%B8%81 %E0%B8% ครสู มาร์ทดอทคอม. (2564). ข้อบงั คับคุรุสภา วา่ ดว้ ยมาตรฐานวิชาชพี (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2562 มาตรฐาน วิชาชีพครู ลา่ สดุ และมาตรฐานฯ สอบ ป.บณั ฑิตครู. เรยี กใช้เมอื่ 10 มีนาคม 2564 จาก ครูสมารท์ ดอทคอม: http://www.krusmart.com/teacher-standards-2562/ ครอู าชีพ. (2563). การสร้างภาวะความเป็นผ้นู า. เรียกใชเ้ ม่ือ 5 มนี าคม 2564 จาก ครูอาชีพ: https://www.kruachieve.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E 0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9 %88%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88/%E0%B8%81% E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8 %87%E0%B8%A0%E จักรกริช ทองแชม่ . (2558). การปฏบิ ัตติ ามหนา้ ท่ีในฐานะสมาชิกของครอบครัว. เรียกใชเ้ มื่อ 10 มนี าคม 2564 จาก Wix.com. จีราวุฒ กก๊ ใหญ.่ (2557). ลกั ษณะของครทู ่ดี ี. เรยี กใชเ้ ม่ือ 8 มีนาคม 2564 จาก Google sites: https://sites.google.com/site/krutubtib/khru/laksna-khxng-khru-thi-di 37

เจนจิรา จาปี. (2558). การบริหารจัดการช้นั เรียน. เรียกใชเ้ มื่อ 23 กุมภาพนั ธ์ 2564 จาก Google sites: https://sites.google.com/site/darunsitpattanarangsan/sara-na-ru/kar-prakan- khunphaph-sthan-suksa ณัฐนนท์ ซนุ่ สน้ั . (ม.ป.ป.). การเป็นผู้นาและผตู้ ามท่ีดี. เรยี กใชเ้ ม่ือ 10 มีนาคม 2564 จาก Google sites: https://sites.google.com/site/dekthiyrunhim/bthbath-hnathi-phlmeuxng/kar-pen- phuna-laea-phu-tam-thi-di ทวศี กั ดิ์ จินดานรุ กั ษ์. (2561). การบรหิ ารจัดการชน้ั เรยี นเพื่อพัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21. เรยี กใช้ เมือ่ 10 มนี าคม 2564 จาก adacstou. ปาริชาติ บุญนิธ.ิ (2559). การจัดบรรยากาศในชนั้ เรียน. เรยี กใชเ้ มื่อ 25 กุมภาพนั ธ์ 2564 จาก porplacm: https://porplacm.wordpress.com/2016/03/26/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3 %e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0% b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b9%83%e0%b8%9 9%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a3/ มาฆพร กรานตเ์ จริญ. (2561). ปัจจยั ภาววะผูต้ ามแบบมีประสิทธิผลและแรงจูงใจทมี่ ีอทิ ธิพลต่อประสิทธิภาพ การปฏิบตั ิงานของพนักงานในองค์กร ด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศขนาดใหญ.่ กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ เรยี กใชเ้ มอื่ 10 มีนาคม 2564 จาก http://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2018/TU_2018_6002036181_9793_9869.pd f รชั ดาวัลย์ สวนจนั ทร.์ (2555). ภาวะผู้ตาม (Followship). เรยี กใช้เม่อื 10 มนี าคม 2564 จาก Gotokmnow: https://www.gotoknow.org/posts/288480 โรงเรียนเทพศริ นิ ทร.์ (2556). คณุ ลกั ษณะเด็กไทยในประชาคมอาเซียน. เรียกใช้เม่ือ 10 มนี าคม 2564 จาก โรงเรียนเทพศิรนิ ทร:์ https://www.debsirin.ac.th/news/view462.html วรรณวิภา ยมุ ังกูร และคณะ. (2560). มาตรฐานวชิ าชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู พ.ศ.2556. เรยี กใช้ เมอ่ื 10 มีนาคม 2564 จาก Google sites: https://sites.google.com/site/kruphathomnpru123/home/matrthan-kar-dan-khwam-ru- laea-prasbkarn-wichachiph วไิ ล พินิจพงศ์. (2558). ภาวะผนู้ าทางการศึกษา. เรียกใช้เมื่อ 23 กุมภาพนั ธ์ 2564 จาก thirasakchodcham: https://thirasakchodcham.wordpress.com/category/classroom- 38

management/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0% B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87 %E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0% B8%A9%E0%B8%B2/ สุวิมล คุณธรรมสกุล. (2564). ไม้อ่อนดัดง่าย วางเงือ่ นไขให้ปลอดภัยตอ่ การเรียนรู้. เรยี กใชเ้ มอ่ื 4 มีนาคม 2564 จาก Inskru: www.inskru.net อนนั ท์ งามสะอาด. (2556). ภาวะผนู้ าของครู (Teacher Leadership). เรยี กใช้เมอ่ื 23 กมุ ภาพันธ์ 2564 จาก วิทยาลัยชุมชนพจิ ติ ร: http://www.pcc.ac.th/pccweb/doc/130506-1.pptx Google sites. (2558). ภาวะผูน้ าและการสร้างแรงจูงใจ. เรียกใชเ้ มอ่ื 23 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จาก Google sites: https://sites.google.com/site/phawaphunalaeakarsrang/home/bth-thi-3-rup- baeb-phawa-phuna Inskru. (2562). The Second Chance Card. เรยี กใช้เมื่อ 4 มีนาคม 2564 จาก Inskru: www.inskru.net Krittaporn Asavasamrit. (2564). จะทาอย่างไรให้เด็กกล้าพูด. เรียกใชเ้ ม่ือ 4 มนี าคม 2564 จาก inskru: www.inskru.net Krupatom. (2560). การ บริหารจัดการชน้ั เรยี น : ความหมายของการบรหิ ารจดั การชน้ั เรียน. เรยี กใช้เมอ่ื 25 กุมภาพันธ์ 2564 จาก Krupatom: https://www.krupatom.com/education_146 Pisit Noiwangklang. (2562). ฮีโร่แห่งห้องเรียน. เรยี กใช้เมอ่ื 4 มีนาคม 2564 จาก Inskru: www.inskru.net Sanya Makarin. (2561). โฮมรูม โฮมใจ. เรียกใชเ้ มื่อ 4 มีนาคม 2564 จาก inskru: www.inskru.net Trueplookpanya. (2560). คมู่ อื บริหารจัดการเวลาตานโยบายลดเวลาเรียน เพมิ่ เวาลารู้. เรียกใชเ้ มื่อ 10 มีนาคม 2564 จาก Trueplookpanya: http://www.trueplookpanya.com/blog/content/55585/-teaartspe-teaart- Trueplookpaunya. (2562). เทคนคิ การสร้างวินัยเชงิ บวกในชน้ั เรยี น. เรยี กใชเ้ มื่อ 4 มนี าคม 2564 จาก Trueplookpaunya: https://www.trueplookpanya.com/education/content/71919/- teaartedu-teaart-teamet- 39