Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือฐานการเรียนรู้สัตว์ป่าน่ารู้

คู่มือฐานการเรียนรู้สัตว์ป่าน่ารู้

Published by กนกวรรณ จิปิภพ, 2019-06-09 05:07:22

Description: คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ฐานสัตว์ป่าน่ารู้ ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นิทรรศการ ของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสระแก้ว

Keywords: สัตว์ป่าน่ารู้

Search

Read the Text Version

นางสาวกนกวรรณ จปิ ภิ พ ศูนยว์ ิทยาศาสตร์เพ่อื การศกึ ษาสระแกว้

ฐานการเรียนรู้ เร่อื ง สตั ว์ป่านา่ รู้ ประกอบด้วยแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง สตั วป์ า่ น่าร้จู านวน 15 นาที

แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรือ่ ง สัตวป์ า่ น่ารู้ แนวคดิ สัตว์ป่าน่ารู้เป็นฐานการเรยี นรู้ผ่านนิทรรศการเกี่ยวกับประเภทสัตว์ปา่ และขอ้ มลู สัตว์ปา่ ทจี่ ัดแสดง และประโยชน์ของสัตวป์ ่า โดยสตั วป์ ่าจัดแสดงในรูปหุ่นจาลองปนู ปั้น พร้อมปา้ ยขอ้ มูล เป็นการจุดประกาย ความคดิ ทางด้านวิทยาศาสตรใ์ ห้กบั ผรู้ ับบรกิ าร โดยผู้รบั บรกิ ารสามารถแลกเปลีย่ นเรียนรรู้ ว่ มกนั กบั สอื่ การ เรยี นรู้จริง ทาใหผ้ ู้รบั บรกิ ารเหน็ ความสาคญั ของการเรียนรู้ดา้ นวิทยาศาสตรท์ ส่ี อดคลอ้ งกบั ชวี ิตประจาวนั วัตถปุ ระสงค์ แลกเปล่ียนเรียนรู้เก่ยี วกบั ประเภทสตั ว์ป่า และข้อมูลสตั ว์ป่าทจ่ี ัดแสดง เนือ้ หา 1. ประเภทสตั วป์ า่ 1.1 สัตว์ป่าสงวน 1.2 สตั ว์ปา่ คุ้มครอง 1.2.1 สัตวป์ ่าคุ้มครองจาพวกสตั ว์เลย้ี งลูกด้วยนม 1.2.2 สัตวป์ ่าคมุ้ ครองจาพวกนก 1.2.3 สัตว์ป่าคมุ้ ครองจาพวกสัตว์เล้อื ยคลาน 1.2.4 สัตวป์ ่าคุ้มครองจาพวกสัตวส์ ะเทนิ น้าสะเทินบก 1.2.5 สตั ว์ป่าคุ้มครองจาพวกปลา 1.2.6 สัตว์ป่าคมุ้ ครองจาพวกแมลง 1.2.7 สตั วป์ า่ คมุ้ ครองจาพวกสตั วไ์ มม่ กี ระดูกสนั หลงั 1.3 สตั ว์ปา่ นอกคมุ้ ครอง 1.4.1 สตั วป์ า่ นอกคมุ้ ครองจาพวกสัตวเ์ ล้ียงลูกด้วยนม 1.4.2 สตั วป์ ่านอกค้มุ ครองจาพวกนก 1.4.3 สตั ว์ปา่ นอกคุม้ ครองจาพวกสัตว์เลอ้ื ยคลาน 1.4.4 สตั ว์ป่านอกคุ้มครองจาพวกสัตวส์ ะเทินน้าสะเทนิ บก 2. ข้อมูลสัตวป์ า่ ที่จดั แสดง

ขั้นตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ ตอนท่ี 1 กิจกรรมการเรียนรูป้ ระสบการณท์ างวิทยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผจู้ ัดกิจกรรมทักทายและแนะนาตนเองกับผรู้ ับบริการ รวมทง้ั ชแ้ี จงวัตถปุ ระสงคข์ องฐานการเรียนรู้ ผ่านนิทรรศการ เร่อื งสัตว์ป่าน่ารู้ ซงึ่ ฐานการเรียนรู้ผา่ นนิทรรศการมีวตั ถุประสงค์เพ่อื ให้ผรู้ ับบรกิ าร แลกเปลี่ยนเรยี นรูเ้ กีย่ วกับประเภทสตั ว์ป่า และขอ้ มูลสตั ว์ป่าท่ีจัดแสดง 2. ผจู้ ัดกิจกรรมแจกเอกสารประกอบการชมนิทรรศการ 3. ผูจ้ ัดกิจกรรมแนะนารายละเอียดภาพรวมของเนือ้ หาในฐานการเรียนรู้ผ่านนทิ รรศการ เรื่องสตั วป์ ่า นา่ รู้ ตามใบความรู้สาหรับผจู้ ดั กิจกรรม เรื่อง “แนะนารายละเอยี ดภาพรวมของเนอื้ หาในฐานการเรยี นรู้ผา่ น นิทรรศการ เรอื่ ง สตั ว์ปา่ ข้ันตอนที่ 2 กจิ กรรมการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรท์ ่ีท้าทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผู้จัดกิจกรรมบรรยายให้ความรู้ และอธบิ ายวิธกี ารใช้เครื่องมือผ่านนิทรรศการ เร่ืองสัตว์ป่าน่ารู้ ตามใบความรู้สาหรบั ผจู้ ดั กจิ กรรม เรอ่ื งสัตว์ป่านา่ รู้ 2. เปิดโอกาสใหผ้ ู้รบั บรกิ ารพดู คุย ซกั ถาม และแลกเปลยี่ นเรียนรู้รว่ มกัน 3. ผูจ้ ดั กิจกรรมและผู้รบั บริการสรุปสิง่ ที่ได้เรียนร้รู ว่ มกัน ขัน้ ตอนท่ี 3 กิจกรรมการสรุปผลการนาวทิ ยาศาสตร์ไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั (I : Implementation Conclusion Activity) 1. .ผู้จดั กจิ กรรมสุ่มผู้รับบริการ จานวน 1 – 2 คน ที่สมัครใจ ให้ตอบคาถามในประเด็น “ท่านได้รับ ความรู้อะไรบ้างผ่านนิทรรศการในฐานการเรียนรู้ เร่ือง สัตว์ป่าน่ารู้ น้ี ” และ “ท่านคิดว่าจะนาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ทไี่ ด้รบั ไปใช้ในชวี ิตประจาวนั ของทา่ นไดอ้ ยา่ งไร ” 2. ผู้จัดกิจกรรมและผูร้ บั บรกิ ารสรุปส่ิงทีไ่ ด้เรยี นรูร้ ่วมกัน 3. ผู้จัดกิจกรรมให้ผู้รับบริการประเมินความพึงพอใจท่ีมีต่อฐานการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่าน นทิ รรศการ เรอ่ื ง สัตว์ป่าน่ารู้ สื่อ วสั ดอุ ปุ กรณ์ และแหลง่ การเรียนรู้ 1. เอกสารประกอบการชมนิทรรศการ 2. ฐานการเรียนรู้ เรอ่ื งสตั ว์ป่านา่ รู้

การวัดและประเมินผล 1. สงั เกตพฤติกรรมการมีส่วน ความตงั้ ใจ ความสนใจของผรู้ บั บริการ 2. ผลการประเมินความพงึ พอใจทม่ี ตี ่อการจัดกจิ กรรมการเรียนรผู้ า่ นนทิ รรศการ เร่อื ง สตั วป์ ่านา่ รู้

บนั ทกึ ผลหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผลการใชแ้ ผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. จานวนเนือ้ หากบั จานวนเวลา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. การเรยี งลาดบั เนอื้ หากบั ความเข้าใจของผู้รบั ริการ  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. การนาเขา้ สูบ่ ทเรียนเนือ้ หาแต่ละหัวขอ้  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. วิธกี ารจดั กิจกรรมการเรียนรู้กับเนอ้ื หาในแตล่ ะข้อ  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. การประเมนิ ผลกับวัตถุประสงค์ในแต่ละเนอ้ื หา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ผลการเรียนรูแ้ ละผ้รู ับบริการ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรขู้ องผจู้ ักจิ กรรม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบความรสู้ าหรบั ผจู้ ดั กจิ กรรม เรอ่ื ง สตั วป์ า่ น่ารู้ วัตถปุ ระสงค์ อธบิ ายประเภทสตั วป์ ่า และข้อมูลสัตว์ปา่ ที่จัดแสดง ประเภทของสัตวป์ ่า สตั วป์ า่ คือ สัตว์ทุกชนดิ ไมว่ า่ สัตวบ์ ก สตั ว์น้า สัตวป์ ีก แมลง หรือแมง ซ่ึงโดยภาพธรรมชาติย่อมเกิด และดารงชีวติ อยู่ในปา่ หรือในน้าและให้หมายความรวมถึงไขข่ องสัตวป์ า่ เหล่าน้นั ทุกชนดิ ดว้ ย แต่ไม่หมายความ รวมถึงสัตว์พาหนะที่ได้จดทะเบียนทาตั๋วรูปพรรณตามกฎหมาย ว่าด้วยสัตว์พาหนะแล้วและสัตว์พาหนะ ทไี่ ด้มาจากการสบื พนั ธุ์ของสัตว์พาหนะ ดังกล่าว ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ป่าไม้ อันเป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัยของ สตั ว์ปา่ ไดถ้ ูกทาลายลงไปมาก ตลอดจนการไล่ลา่ ของมนุษยจ์ งึ ทาใหป้ ริมาณสัตว์ป่ามีจานวนลดน้อยลงทุกปีจน บางชนิดสูญพันธุ์บางชนิดก็ใกล้จะสูญพันธ์ุเพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติจึงจาเป็นที่เราจะต้อง ช่วยกัน อนรุ กั ษส์ ตั ว์ป่าไวโ้ ดยเรง่ ด่วน เพือ่ เปน็ การปกปอ้ งรกั ษาสัตว์ปา่ ให้มชี วี ิตสืบตอ่ ไปถงึ อนชุ นรุ่นหลังจึงมีการออกพระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ภูมิพลอดุลเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันท่ี 19 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นปีท่ี 47 ใน รชั กาลปจั จุบัน แบ่งสตั วป์ ่าออกเป็น 2 ประเภท คือ สัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุมครอง แต่สานักอนุรักสัตว์ป่า ไดม้ ีการแบง่ ประเภทสัตวป์ ่าออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. สัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าสงวน เป็นสัตว์ป่าท่ีหายากและปัจจุบันมีจานวนน้อยมากบางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว จงึ ห้ามลา่ หรอื มีไวใ้ นครอบครอง ทงั้ สัตว์ที่ยงั มีชวี ิตหรือซากสัตว์ เว้นแต่กระทาเพ่ือการศึกษาวิจัยทางวิชาการ หรือเพ่ือกิจการสวนสาธารณะ โดยได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมป่าไม้เป็นกรณีพิเศษ มีอยู่ 15 ชนิด คือ นก เจ้าฟา้ หญิงสริ นิ ธร แรด กระซู่ กปู รหี รือโคไพร ควายป่า ละองหรือละม่ัง สมันหรือ เน้ือสมัน เลียงผา นกแต้ว แล้วท้องดา นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสรจ็ เกง้ หม้อและพะยนู หรอื หมูน้า 2. สตั ว์ป่าคุ้มครอง สัตว์ป่าคุม้ ครอง หมายถึง สตั ว์ปา่ ทกี่ ฎหมายกระทรวงกาหนดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเพ่ือเป็น การป้องกนั มิใหส้ ตั วป์ ่าบางชนิดต้องสูญพันธ์ุ แบ่งได้ 7 จาพวก 2.1 เปน็ สัตว์เลี้ยงลกู ดว้ ยนม 201 ชนดิ 2.2 นก 952 ชนิด 2.3 สัตวเ์ ลอ้ื ยคลาน 91 ชนิด 2.4 สตั วส์ ะเทินนา้ สะเทนิ บก 12 ชนิด 2.5 ปลา 14 ชนิด 2.6 แมลง 20 ชนิด 2.7 สัตวไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลัง 12 ชนดิ

3. สตั ว์ปา่ ที่คุ้มครองทอ่ี นญุ าตให้เพาะเลีย้ ง จากบทบญั ญตั ใิ นมาตรา 5 และ มาตรา 17 แห่งพระราชบัญญตั ิสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 จงึ ไดอ้ อกกฎกระทรวงกาหนดชนดิ ของสัตวป์ า่ ค้มุ ครองใหเ้ ปน็ สตั วป์ า่ ชนดิ ทีเ่ พาะพนั ธไ์ุ ด้ พ.ศ.2546 แบ่งเป็น 5 จาพวก ได้แก่ 3.1 สัตว์ปา่ ท่ีคมุ้ ครองทีอ่ นญุ าตให้เพาะเลยี้ ง จาพวกสตั ว์เลย้ี งลูกด้วยนม 3.2 สตั วป์ ่าที่คุ้มครองท่อี นุญาตให้เพาะเล้ยี ง จาพวกนก 3.3 สตั ว์ป่าที่คุม้ ครองที่อนุญาตให้เพาะเลยี้ ง จาพวกสตั วเ์ ลื้อยคลาน 3.4 สตั วป์ า่ ทค่ี ุ้มครองที่อนญุ าตใหเ้ พาะเล้ียง จาพวกสตั ว์สะเทนิ นา้ สะเทนิ บก 3.5 สตั วป์ า่ ที่คมุ้ ครองทีอ่ นุญาตใหเ้ พาะเลยี้ ง จาพวกปลา 4. สตั วป์ า่ นอกคมุ้ ครอง แบ่งเปน็ 4 จาพวกได้แก่ 4.1 สัตวป์ ่านอกคมุ้ ครอง จาพวกสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม 4.2 สัตวป์ ่านอกคมุ้ ครอง จาพวกนก 4.3 สัตว์ปา่ นอกค้มุ ครอง จาพวกสตั ว์เล้อื ยคลาน 4.4 สัตวป์ ่านอกค้มุ ครอง จาพวกสตั ว์สะเทินนา้ สะเทินบก

ข้อมูลสัตวป์ า่ ท่จี ดั แสดง กวางปา่ ชอื่ สามัญ : Sambar deer ช่ือวิทยาศาสตร์ : Rusa unicolor วงศ์ : Cervidae ประเภท : สตั วป์ า่ คุ้มครอง ลักษณะ : เป็นกวางที่มีขนาดใหญ่ มีความยาวลาตัวถึงหัว 180 – 200 เซนติเมตร หางยาว 25 28 เซนตเิ มตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย ขนส้ันหยาบสีน้าตาลแกมเหลือง บางตัวน้าตาลแกมแดง สีจะเข้มขึ้น เมือ่ มีอายมุ ากขน้ึ ในช่วงฤดูหนาวสีขนอาจซดี จางลงกว่าปกติ ลูกกวางที่เกิดใหม่จะมีขนสีน้าตาลปนแดงและมี จดุ สีขาวจาง ๆ เมอื่ โตขนึ้ จุดน้จี ะหาย ในตัวท่มี อี ายมุ ากอาจมขี นแผงคอคลา้ ยขนแผงคอม้า ตัวผูม้ ีกิ่งเขาข้างละ 3 กา้ น ลกู กวางตวั ผู้มีเขาเม่ืออายุ 2 ปี แต่เขาไม่แตกก่ิงก้านเหมือนตัวโตเต็มวัย โดยก่ิงเขาจะแผ่กว้างออกไป เม่ืออายมุ ากขึน้ ปกติกวางป่ามขี นลาตวั เป็นมนั เงา ดวงตาแจ่มใส จมูกช้ืน มูลเป็นเม็ดไม่มีกลิ่น ปัสสาวะใส ไม่ แยกตวั ออกจากฝูง ร่างกายไมผ่ อมผิดปกติ กวางป่ามักมีโรคประจาตัวเป็นเร้ือน ซ่ึงเป็นแผลถลอกเป็นวงกลม ขนาดไมใ่ หญใ่ ตค้ อ เรยี กวา่ “เร้อื นกวาง” พฤตกิ รรม : ชอบหากินตามทุ่งโล่งชายป่าในตอนเช้าตรู่และพลบค่า กลางวันจะหลับนอนตามพุ่มไม้ ใกล้ชายป่า กินพืชทัง้ ใบ ยอด และดินโป่ง ในธรรมชาติชอบอย่ตู ัวเดยี วหรอื อยเู่ ป็นกลุ่มเล็ก ๆ พร้อมลูก ๆ เป็น สตั วท์ ม่ี กี ารระวังภยั สูงมาก มอี าการตื่นกลัวและระมดั ระวงั อันตรายจนเป็นนิสัยตลอดเวลา สามารถได้ยินเสียง ต่าง ๆ และดมกลิ่นได้ดี มปี ระสาทสมั ผสั ว่างไวทาให้หลบลีกจากการถูกลา่ ได้ดี เมอื่ ได้ยินหรือเห็นส่ิงผิดปกติจะ ชูคอและใบหูทง้ั สองขา้ งหนั ไปยังทิศทางที่ได้ยินหรือเห็น ห่างชี้ข้ึน ยืนนิ่งเงียบ จากน้ันจะส่งเสียงร้องแหลมดัง ถ้าอยู่กันหลายตัวจะไปยืนรวมกันเม่ือมีตัวใดตัวหน่ึงต่ืนและวิ่งจะทาให้ตัวอื่นทั้งหมดวิ่งตามได้ เมื่อโกรธและ ต้องการทาการต่อส้จู ะกดั ฟนั เสยี งดงั กรอด ๆ ร่องใตต้ าทัง้ สองข้างเบิกลึกกว้างพร้อมกับเดินส่ายหัวเข้าหาศัตรู อยา่ งช้าๆ แลว้ ก้มหัวลงเพื่อให้ปลายเขาชี้เข้าหาศัตรู ว่ายน้าเก่งสามารถว่ายน้าได้เป็นระยะทางไกลๆ เม่ือพบ กับศัตรู จะวิ่งหนีลงไปแช่น้าในน้าลึก กวางตัวผู้จะผลัดเขาปีละ 1 ครั้ง ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน หลงั จากน้ันเขาออ่ นจะคอ่ ย ๆ งอกมาแทนที่

การสืบพันธุ์ : ในฤดูผสมพันธุ์ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม ตัวผู้จะมีกลิ่นฉุนจากสารที่ขับออกมา จากตอ่ มกลิน่ นสิ ัยดรุ ้าย หงุดหงดิ คึกคะนอง ชอบเอาเขาควิดต้นไมเ้ ปน็ การแสดงความแข็งแกร่งและเป็นกลับ เขา ตวั เมียตง้ั ท้องประมาณ 8 เดือน ออกลกู คร้งั ละ 1 ตัว ลกู กวางคลอดใหม่เมอ่ื ดูดนมแม่แล้วใน 1 - 2 ชั่วโมง แรกจะแยกตวั ออกไปนอนนิ่งอยใู่ นพงหญา้ หรอื บริเวณที่มกี งิ่ ไม้ใบไม้รกทึบ แม่กวางจะมาให้ลูกกินนมเป็นครั้ง คราวตลอดช่วงเวลา 1 – 2 สัปดาห์เพ่ือเป็นการพรางตัวจากสัตว์อ่ืน ๆ เม่ืออายุได้ 2 – 3 สัปดาห์ลูกกวางจะ เดนิ ตามแมไ่ ปเขา้ ฝูงได้ เม่ืออายุ 1 ปี จงึ แยกตัวออกไปและพร้อมผสมพันธ์ุเมื่ออายุ 18 เดอื น มอี ายยุ ืน 15 - 20 ปี ถ่ินอาศัย : มีถิน่ กาเนดิ ในศรลี ังกา อนิ เดีย พม่า ไทย จีน ไตห้ วนั สุมาตรา ชวา บอร์เนียว และซีลิเบส ชนดิ ท่มี ีในไทยเป็นชนดิ ย่อย Cervus unicolor eguinus ซึ่งพบอยู่ตามป่าดงดิบทุกภาคทั้งป่าในระดับต่าและ ป่าสงู

ไกฟ่ ้าพญาลอ ชือ่ สามัญ : Siamese fireback , Diard's fireback ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Lophura diardi วงศ์ : Phasianidae ประเภท: สัตวป์ า่ ค้มุ ครอง ลกั ษณะ : เปน็ ไก่ขนาดกลางในวงศไ์ ก่ฟ้า และนกกระทาที่มีความสวยงามที่สุดชนิดหน่ึงของประเทศ ไทย ตัวยาวประมาณ 60 เซนติเมตร ตวั ผมู้ ีหนา้ กากสีแดงสด บนหัวมีเส้นขนแตกพุ่มตรงปลายสีดาเหลือบน้า เงนิ ยาวโค้งไปด้านหลัง ปากสีเหลืองขุ่น รอบคางใต้หน้ากากลงมามีขนสีดา ลาตัวด้านบน อก คอ และปีกมีสี เทา ขนตอนท้ายของลาตวั ใกลโ้ คนหางสีเหลอื งแกมสีทองเห็นได้ชัดเจนขณะกระพือปีก ขนคลุมโคนหางมีสีดา เหลอื บน้าเงิน ขอบสีแดงอฐิ ซ้อนกนั หลายชั้น หางมีสีดาเหลือบเขียวยาวและโค้งลง ขนคลุมปีกมีลายสีดาขอบ ขาว ท้องสีดา แข้งสีแดงมเี ดอื ย ตัวเมียหนา้ สีแดง บริเวณหน้าอก คอ หลังมีสีน้าตาลแกมแดง ท้องมีลายเกล็ด น้าตาลแดงขอบสีขาว ปีกมีสีดาสลับด้วยลายสีขาวตามแนวขวาง หางคู่บนสีดาสลับขาวส่วนคู่ล่างถัดลงมาสี น้าตาลแกมแดง แข้งสีแดงไม่มีเดือย หากินตามพื้นดิน ใช้น้ิวช่วยเขี่ยใบไม้ตามพ้ืนดิน ใช้ปากจิกหาอาหาร ได้แก่ เมล็ดหญา้ เมล็ดพืช ผลไม้ร่วง ขุยไผ่ แมลง ตัวหนอน ไสเ้ ดอื น ชอบกนิ พวกสตั ว์มากกวา่ พืช พฤติกรรม : ในธรรมชาติไก่ฟ้าพญาลอมีนิสัยป้องกันอาณาเขต ตัวผู้ชอบอาศัยอยู่โดดเด่ียว จับคู่หา กินกับตัวเมียในฤดูผสมพันธ์ุ ส่วนตัวเมียพบอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ออกหากินตอนกลางวันและขึ้นคอนนอนตาม ตน้ ไม้สูงในเวลากลางคนื ไก่ฟา้ พญาลอบินได้ดีพอสมควร แตบ่ ินได้ไมไ่ กลและไม่สูงนกั

การสืบพันธุ์ : เป็นสัตว์จับคู่ประเภทผัวเดียวเมียเดียว ตัวผู้จะเกี้ยวตัวเมียโดยการโก่งคอส่งเสียงดัง พรอ้ มกระพือปีก เมื่อผสมพันธ์ุแล้วตัวเมียจะเริ่มสร้างรังโดยการขุดดินเป็นแอ่ง นาใบหญ้าใบพืชมารองพื้นรัง ปกตมิ ไี ข่ 4 – 6 ฟองต่อรัง ไข่แต่ละฟองจะไม่คงที่ ขนาดและรูปร่างไข่จะอ้วนป้อมคล้ายลูกข่าง แม่นกจะทา หน้าทฟี่ กั ไขใ่ ช้เวลา 23 - 25 วัน สว่ นพ่อนกทาหน้าทีเ่ ป็นผเู้ ฝา้ ระวงั ภยั อย่บู ริเวณรงั ลูกนกแรกเกดิ สามารถเดิน ไดเ้ ลย พวกมนั จะเดนิ ตามแมน่ กไปหาอาหาร โดยท่ีพ่อนกยังคงทาหน้าที่เฝ้าระวังภัยให้จนกว่าลูกนกจะโตพอ จงึ จะแยกออกไปหากินตามลาพัง เมื่ออายุเข้าปที สี่ ามจึงเร่ิมผสมพันธ์ุ ถิน่ อาศยั : พบในกมั พชู า ลาว เวยี ดนาม ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉยี งใต้ อาศัยตามป่าทึบ เชน่ ปา่ ดงดิบแล้ง ปา่ ดงดิบชืน้ และป่าดงดบิ เขา แต่บางคร้งั พบ อยูต่ ามปา่ โปร่ง ปา่ เต็งรัง ปา่ เบญจพรรณในระดับความสงู ไม่เกิน 800 เมตรจากระดับน้าทะเล มีสถานภาพ เปน็ นกประจาถน่ิ หายาก

สมเสร็จ ชื่อสามญั : Tapir ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Tapirus indicus วงศ์ : Tapiridae ประเภท: สัตว์ปา่ สงวน ลกั ษณะ : เปน็ สัตว์ดกึ ดาบรรพช์ นดิ หนึ่ง มีสายเลอื ดใกล้เคียงม้าและแรด หนักประมาณ 250 – 300 กิโลกรัม เป็นสัตว์กบี เด่ียว มีลกั ษณะของสตั วห์ ลายชนดิ อยรู่ ่วมกนั ในตวั ได้แก่ รูปร่างอ้วนตันคล้ายหมู กีบเท้า คลา้ ยแรด เทา้ หลงั มีกีบน้วิ ข้างละ 3 กบี ประสาทสัมผัสของจมูกและหไู วมาก ริมฝีปากมนยาวยื่นออกมาคล้าย งวงช้าง หางสนั้ คล้ายหางหมี หเู ลก็ สั้นกลม ตาเลก็ ลูกสมเสร็จที่เกิดใหม่จะตวั ลาย มีสีน้าตาลสลับขาวคล้ายผล แตงไทย ลายน้ีจะเลือนหายไปเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน โดยจะเร่ิมมีสีขาวเทาในช่วงกลางลาตัว ส่วนอ่ืนจะ เป็นสีดาเช่นเดียวกับพ่อแม่ ดูเหมือนมันนุ่งกางเกงในรัดรูปสีขาว เมื่อมันยืนนิ่ง ๆ อาจดูเหมือนก้อนหินก้อน หนึ่งเท่าน้ัน พฤติกรรม : ชอบใช้ชีวิตสันโดษ หากินเวลากลางคืนเป็นหลัก อาศัยอยู่ตามป่าดิบรกทึบและเย็นช้ืน ไม่ชอบอากาศรอ้ นจึงมกั อาศัยอยู่ใกลแ้ หล่งน้า วา่ ยนา้ และดาน้าเกง่ สามารถกบดานและเดินไปตามพื้นใต้น้าได้ คลา้ ยกบั ฮิปโปโปเตมัสของแอฟริกา แต่ไม่ชอบนอนแช่ปลกั โคลนอย่างแรด มักถ่ายมลู รวมไว้เป็นท่ีเป็นทาง กิน หญ้า พืชน้า ใบไม้ ยอดไม้ ผลไม้และไม้พุ่มเต้ียเป็นอาหาร ใช้จมูกดมกล่ินและใช้หูฟังเสียงมากกว่าจะใช้ตาดู เน่ืองจากตามีขนาดเล็กและอยู่ด้านข้างของหัวสายตาจึงไม่ดีมองเห็นภาพได้ไม่ไกลนัก ปกติออกหากินตอน กลางคนื ชอบเลอื กหาทางใหมโ่ ดยการก้มหัวลมตา่ ใช้จมกู ทเ่ี ปน็ งวงดมกลน่ิ นาทางและใช้หนังคอท่ีด้านแข็งดัน มุดเปิดทาง เม่ือถูกรบกวนหรือตื่นตกใจจะร้องเสียงแหลมเบา ๆ คล้ายเสียงเด็กเล็กและว่ิงมุดหาทางหนีกลับ แหลง่ นา้ ใกล้สดุ อย่างรวดเร็ว แล้วกบดานอยู่ใตน้ า้ ได้เปน็ เวลานาน ๆ จนพน้ ภัยจงึ จะโผลข่ ึ้นมา

การสืบพันธุ์ : จับคู่ผสมพันธุ์กันในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม ตั้งท้องนาน 390 – 395 วัน ออกลูกท้องละ 1 ตัว แม่จะเฝ้าเล้ียงดูลูกจนอายุประมาณ 6 – 8 เดือน ลูกสมเสร็จจะย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เมอ่ื อายปุ ระมาณ 2 – 3 ปขี นึ้ ไป ตัวเมยี มักมีการผสมพันธ์และตงั้ ทอ้ งไดท้ ุก 2 ปี มอี ายยุ นื ประมาณ 30 ปี ถ่ินอาศัย : ในทวีปอเมริกาพบตั้งแต่เม็กซิโกลงมาจนถึงอเมริกาใต้ ในเอเชียพบต้ังแต่แถบเทือกเขา ตะนาวศรขี องไทยลงไปจนถงึ คาบสมุทรลายา สุมาตรา สถานภาพในปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหน่ึงใน 15 ชนดิ ของประเทศไทย และตามอนุสัญญา CITES จัดสมเสร็จไว้ใน Appendix I เป็นสัตว์ท่ีใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S. Endengered Species Act.

กระทงิ ช่ือสามัญ : Gaur, Indian Bison ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Tapirus indicus วงศ์ : Tapiridae ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง ลักษณะ : มีรูปร่างใหญ่โตล่าสัน คุณยาวสีน้าตาลเข้มจนถึงดา เว้นตรงหน้าผากและครึ่งล่างของขา และทัง้ ส่ขี าเปน็ สขี าวเทาหรอื เหลืองทองเหมือนใส่ถุงเท้า ส่ีคนบริเวณหน้าผากและถุงเท้าเกิดจากคราบน้ามัน ในเหงอื่ ซ่งึ เปน็ ลักษณะเฉพาะของสตั วช์ นดิ น้ี ขอสน้ั และมฟี ืม (เหนยี งคอ) หอ้ ยยาวลงมาจากใตค้ อ หลงั คอเป็น โหนกสูงเกิดจากส่วนของกระดกู สนั หลงั ท่ยี ืนยาวออกไป เขามสี เี ขยี วเขม้ ปลายเขามีสีสด บริเวณโคนเขามีรอย ย่น ซ่ึงรอยน้ีจะมีมากข้ึนตามอายุของมัน มีความยาวหัวถึงลาตัว 2.5 - 3.3 เมตร หางยาว 0.7 - 1.05 เมตร ความสูงที่หัวไหล่ 1.65 - 2.2 เมตร น้าหนัก 650 - 900 กิโลกรัม มีเขาท้ังตัวผู้และตัวเมีย ตัวผู้ใหญ่กว่าและ หนักกว่าตัวเมีย ลูกท่ีเกิดใหม่จะมีสีน้าตาลแก้มแดงเหมือนสีขนของเก้ง มีเส้นสีดาพาดกลางหลัง ลูกกระทิง ขนาดเล็กจะยังไม่มีถุงเท้าเหมอื นตัวโต พฤติกรรม : ชอบอาศัยหากินอยู่ในทุ่งหญ้าพ้ืนที่สูง อยู่รวมกันเป็นฝูงโดยสูงหนึ่งมีสมาชิกตั้งแต่ 2 - 60 ตวั ประกอบดว้ ยตัวผเู้ ต็มวัยหน่งึ ตัว ตัวเมียและลกู ตวั ผู้มกั อาศัยอย่ตู ามลาพงั แต่จะเข้าไปอยู่รวมสูงเมื่อถึง ฤดผู สมพนั ธ์ุ เสียงรอ้ งเตอื นภัยของกระทงิ เป็นเสยี งพ่นฟดื ฟัด และเสียงมอ คือเสียงเรียกให้หยุดหรือเรียกรวม ฝูง เสียงกูร่ ้องอาจยาว นานนบั ช่วั โมงในช่วงผสมพันธ์ุ ฝูงกระทิงจะเดินหากินสลับไปกับการนอนหลับพักผ่อน ตลอดท้ังวัน โดยบางตัวจะนอนหลับท่ายืนหรือนอนราบกับพ้ืน มัคหากินอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ามากนัก เนื่องจากอดนา้ ไม่เกง่

การสืบพันธุ์ : กระทิงผสมพันธ์ุไดต้ ลอดปี ออกลูกได้ทุก 12 - 15 เดือน คาดการเป็นสัตว์ประมาณ 3 สัปดาห์ ระยะเวลาเป็นสัดตั้งแต่ 1 - 4 วนั แมก่ ระทงิ ตง้ั ท้องนาน 9 เดือน เมื่อใกล้ออกลูกแม่กระทิงจะปลีกตัว ออกจากฝูง ออกลูกคร้ังละ 1 ตัว ลูกแรกเกิดหนัก 23 กิโลกรัม แม่กระทิงจะเลี้ยงดูลูกเป็นเวลานานราว 9 เดือน รปู กระทิงสาวถึงวยั เจรญิ พนั ธไ์ุ ดเ้ มอ่ื อายุ 2 - 3 ปี กระทงิ มีอายุยืน 25 - 30 ปี ถน่ิ อาศยั : เคยพบตลอดทั้งแผ่นดนิ ใหญ่ของเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศรีลังกา ปัจจุบัน ยังพบอยู่ในภูฏาน กัมพูชา จีน อินเดีย ลาว มาเลยเซีย (เฉพาะคาบสมุมรมลายู) พม่า เนปาล ไทย และ เวียดนาม สถานภาพในประเทศไทยปัจจุบันพบกระจายอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า และใน อทุ ยานแห่งชาตเิ ขาใหญ่ ในธรรมชาติเปน็ สตั วป์ า่ ท่ีอาจสญู พนั ธ์ุ

ชา้ งปา่ ชอ่ื สามญั : Asian elephant ชื่อวิทยาศาสตร์ : Elephas maximus วงศ์ : Elephantidae ประเภท : สัตวป์ ่าคมุ้ ครอง ลกั ษณะ : ช้างตัวผู้มีงาเรียก \" ช้างพลาย \" ถ้าไม่มีงาเรียก \" ช้างสีดอ \" ตัวเมียปกติไม่มีงาเรียก \" ช้างพัง \" แต่บางตัวอาจมีงาส้ัน ๆ เรียกว่า \" ขนาย \" หนังบริเวณลาตัวหนา 1.9 - 3.2 เซนติเมตร เป็นสัตว์ กระเพาะเดยี ว มีฟนั 26 ซ่ี งานคือฟันตัดที่เปลี่ยนแปลงไป จมูกเป็นงวงยาว ปายงวงมีต่ิง หลังโก่งโค้งเป็นรูป โดมตลอดแนวหลงั เทา้ หนา้ มีเลบ็ 5 เลบ็ เทา้ หลงั มี 4 เลบ็ นา้ หนักประมาณ 3 - 4 ตัน ชามเดก็ ตัวผู้เม่ือโตจนมี อายไุ ด้ 6 - 7 ปี กจ็ ะออกจากโครงไปหากนิ โดยลาพงั เม่ืออายุได้ 20 ปี ก็จะเริ่มผสมพันธ์ุได้ เม่ือช้างตัวผู้อยู่ใน อาการพร้อมผสมพันธุ์ ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ในเลือดจะสูงขึ้นกว่าปกติถึง 20 เท่า ช้างในช่วงน้ีจะดุร้าย กลดั มนั เรยี กว่าอาการ \"ตกมนั \" ช่วงตกมนั อาจกนิ ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ พฤติกรรม : ชอบอยู่รวมกนั เปน็ โขลง แต่ละโขลงจะมีตัวเมียเป็นจ่าโขลง ส่วนใหญ่ออกหากินในเวลา กลางวันคืน โดยจ่าโขลงจะเป็นผู้นาโครงในการออกหาอาหารหาแหล่งน้าหรือนาโขลงหนีศัตรู กินพืชเป็น อาหาร เป็นสัตวท์ ี่กินจุมากและใช้เวลากินนานมาก คือในขณะที่ตื่นอยู่ช้างจะกินอาหารเกือบตลอดเวลา ช้าง ท้ังโขลงมนี ิสัยชอบทาอะไรพร้อม ๆ กัน คือเม่ือถึงเวลาออกหาอาหารก็จะออกหาอาหารพร้อม ๆ กัน เมื่อจะ หยดุ กจ็ ะหยุดพรอ้ ม ๆ กนั ชา้ งจะยืนนอน แตม่ บี า้ งเหมอื นกันท่นี อนตะแคงหลบั

การสืบพันธ์ุ : ชา้ งเปน็ สัตว์เล้ียงลกู ด้วยนมขนาดใหญ่ ช้างเอเชยี ผสมพนั ธ์ุได้เมือ่ มอี ายไุ ด้ 8 - 12 ปี ตั้ง ทอ้ งนาน 19 - 21 เดือน ออกลกู ครั้งละ 1 ตัว แม่ช้างเชือกหนึ่งอาจจะมีลูกได้ 3 - 4 ตัว ตลอดชีวิตของมัน มี ลูกห่างกันประมาณ 3 ปี ลกู ชา้ งในฝูงอาจดดู นมจากแม่ชา้ งตวั อ่นื ในโขลง ทม่ี ีนา้ นมให้ดูดก็ได้ ช้างมีอายุยืน 70 ปี ถน่ิ อาศัย : ชา้ งเอเซียพันธ์อุ ินเดยี (Elephas maximus indicus Cuvier) ที่อาศัยอยู่ในป่าตาม ธรรมชาติ พบไดใ้ นประเทศในปาล ภฏู าน อนิ เดีย พมา่ ลาว เวยี ดนาม กัมพชู า แคว้นยูนนาน และมาเลเซยี สาหรับประเทศไทยพบกระจายอย่ทู ว่ั ทกุ ภาค ปจั จุบันบัญชแี ดงของ IUCN จับช้างเอเชยี ไวไ้ หนประเภท มี ความเส่ยี งสงู ที่จะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติและ CITES จดั ไวใ้ นบัญชีหมายเลข 1

เป็ดกา่ ชอื่ สามญั : White – winged duck, White– winged ชื่อวิทยาศาสตร์ : Asarcornis scutulata วงศ์ : Anatidae ประเภท : สตั วป์ ่าคมุ้ ครอง ลักษณะ : เปน็ สัตว์ปกี ชนดิ หนงึ่ จานวนนกเปด็ น้าเพียงชนิดเดยี วเทา่ นนั้ ท่ีอยู่ในตระกูล Asarcornis มี ขนดลาตวั ยาวถงึ 81 เซนตเิ มตร ลักษณะเด่น คือมีแผ่นขาวบริเวณหัวปีกเห็นได้ชัดท้ังในระหว่างเกาะพักและ ขณะบิน ตัวผู้มีลาตัวเป็นมันขนออกดาและน้าตาลแดงเหลือบเขียว ตัดกับส่วนหัวและลาตัวท่ีมีสีขาว ตาสี เหลืองส้มและจะงอยปากสีส้ม มีลายกระสีดา รูปร่างเทอะทะ ในฤดูผสมพันธุ์โคนปากของตัวผู้จะพองออก แถบสีฟ้าบนปีกมีขลิบสีดาหนาทางด้านหน้าแข้งและเท้าสีเหลืองส้ม ส่วนเป็ดตัวเมียมีขนาดลาตัวย่อมกว่า มี ม่านตาสีน้าตาเข้ม จะงอยปากสีเหลืองเข้มหรือสีส้ม มีประดาเป็นหย่อมๆ ลูกเป็ดอายุน้อยสีไม่เด่นชัด โดยสี ลาตวั ออกสีนา้ ตาลเป็นส่วนใหญ่ พฤติกรรม : เป็ดก่ามีอุปนิสัยแปลกไปจากนกชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน มักอาศัยอยู่ในป่าดิบทึบใกล้ แหลง่ น้าเรม่ิ ออกบนิ ในตอนพลบค่ามุ่งไปสู่แหล่งหากินในบริเวณท่ีโล่งของลาน้าและบึงหนอง หากินอยู่ตลอด ท้ังคนื แล้วบนิ กลับแหลง่ อาศัยก่อนเช้ามดื โดยจบั กิ่งไมส้ งู ๆ ใช้เปน็ ท่หี ลับนอน มักจับคเู่ ปน็ กล่มุ เล็กๆ 5 – 6 ตัว ในแหล่งน้าท่ีสงบปราศจากการรบกวน เป็ดก่าแม้จะมีรูปร่างเทอะทะแต่ฏ็สามารถบินได้ดีและบินหลบหลีก ต้นไม้ตา่ งๆในป่าดบิ ไดเ้ ปน็ อย่างดี

การสืบพนั ธ์ุ : ในฤดูผสมพันธ์ุ เป็ดกา่ จะสง่ เสยี งร้องขณะบิน การจบั คผู่ สมพนั ธ์ุอาจเป็นรปู แบบผวั เดียวเมียเดียว แตย่ ังไม่เป็นทย่ี ืนยัน วางไข่ครงั้ ละ 6 – 13 ฟอง สีของไขเ่ ปน็ สีเหลอื งอมเขยี ว มักทารังตามโพรง ตัวเมียเทา่ นั้นท่ีกกฟักไข่ ระยะเวลาฟกั ประมาณ 33 – 35 วัน ขณะฟกั ไข่หรอื เลี้ยงลกู ออ่ น ตวั ผจู้ ะอยู่พวั พัน เพียงหา่ ง ๆ เท่านน้ั ถ่ินอาศยั : พบกระจายพันธ์ุตั้งแต่ประเทศอนิ เดยี บังกลาเทศ เนปาล พม่า ไทย จนถึงหลาย ๆ ประเทศในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ สาหรับในประเทศไทยถือเป็นนกในวงศ์ Anatidae ชนดิ ที่มีขนาด ใหญท่ ี่สุด สถานภาพถอื เป็นเปด็ ป่าทห่ี ายากและเพาะขยายพันธุ์ได้ยากชนดิ หนึง่ ในธรรมชาติพบจานวนไม่มาก นกั ในบรเิ วณป่าที่ห่างไกล ตามชายแดนดา้ นทศิ ตะวนั ตกและทิศตะวนั ออก ปัจจุบนั สถานีเพาะเล้ียงสตั ว์ป่าช่อง กลา่ บน อาเภอวัฒนานคร จังหวดั สระแกว้ สามารถเพาะเลย้ี งได้สาเร็จเป็นจานวนมาก

หมีหมา หรอื หมีคน ชอ่ื สามญั : Malayan sun bear, Honey bear ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Ursus malayanus วงศ์ : Ursidae ประเภท : สัตวป์ ่าคมุ้ ครอง ลกั ษณะ : เปน็ หมที มี่ ขี นาดเล็กที่สุด เมื่อยืนสองขามีความสูงราว 100 – 120 เซนติเมตร หูกลมเล็ก ขนสดี า ส้นั เกรียน ทหี่ นา้ อกมีเส้นสีครีมเป็นรูปตัวยู (U) บางตัวอาจมีลายแบบอื่น เช่น เป็นวงหรือเป็นขีดโค้ง ตีนทั้งส่ีมีเล็บยาวโค้งแหลมคม เล็บอาจยาวได้ถึง 6 น้ิว เขี้ยวยาวกว่าหมีชนิดอ่ืน ล้ินยาวมาก บริเวณใบหน้า และจมูกมีสีขาว เหลือง หรือน้าตาลอ่อน หางสั้นราว 2 นิ้ว มีนิสัยดุร้ายโมโหง่ายและขึ้นต้นไม้เก่ง ตัวผู้หนัก ประมาณ 30 - 60 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 20 – 40 กิโลกรัม ตีนขงหมีหมาชี้เข้าเช่นเดียวกับหมีสล็อท (Melursus ursinus) ทาใหท้ า่ เดนิ ดูคิกขแุ บบนกพิราบ พฤติกรรม : หมหี มาหรือหมคี นสายตาไมค่ ่อยดีแตจ่ มกู มีประสทิ ธิภาพดมี าก มักอกหากนิ ตามลาพัง เวลากลางคนื แตบ่ างครงั้ หากนิ เป็นคู่ อาศัยหลับนอนบนต้นไม้เปน็ หลกั โดยหักใบไม้มากองเป็นพืน้ ท่ีเขตและ นอนทบั ไว้ ชอบอยใู่ นปา่ พนื้ ทตี่ ่ากว่าหมีควาย เช่น ป่าเตง็ รัง ปา่ ดิบชน้ื หมีหมาจะสง่ เสียงรอ้ งคลา้ ยสุนขั จึง เรียกว่า “หมหี มา” เวลาสงสัยหรืไดก้ ล่ินแปลกปลอมจะลกุ ข้ึนยืน 2 ขา ยนื ตวั ตรงและมีจมกู สดู ดมจึงเรียกว่า “หมีคน” กนิ อาหารไดห้ ลายประเภท เชน่ ลกู ไม้ ใบไมอ้ อ่ น แมลง ปลวก ไส้เดอื น นอกจากนย้ี งั ชอบกิน เนอื้ ออ่ นของมะพร้าว อาหารท่ชี อบที่สดุ คือนา้ ผ้งึ โดยเฉพาะนา้ ผงึ้ โพรง บทบาทของหมีในระบบนเิ วศจงึ ทา หนา้ ที่เปน็ ตวั สร้างโพรงรังใหก้ บั นก หรือสตั ว์เล้ียงลูกด้วยนมบางชนดิ จะพบวา่ โพรงรังบนต้นไมใ้ หญข่ องนก เงอื กหรือกระรอกบินสว่ นใหญ่เคยเปน็ รงั ผ้งึ ทีห่ มหี ากินมากอ่ น

การสืบพนั ธ์ุ : ช่วงผสมพันธ์ุหมีหมาจะมีพฤติกรรมคล้ายการกอด ต่อสู้แบบเล่น ๆ การส่ายหัวไปมา เอาหวั ไปถูหวั ถูไหลแ่ ละมีการเห่า สามารถผสมพนั ธุ์ได้ตลอดท้ังปหี ากไม่มกี ารต้ังทอ้ ง ช่วงผสมพนั ธ์ใุ นแต่ละครั้ง ยาวนาน 2 วัน ถึง 1 สปั ดาห์ การตง้ั ท้องของหมามีความแตกต่าง และ หลากหลายข้ึนอยู่กับแต่ละตัว โดยจะ กินระยะเวลา 95 - 240 วนั ลูกหมหี มาครอกหน่ึงมี 1 - 2 ตัว สูงสุด 3 ตัว ลูกหมีแต่ละตัวน้าหนัก 280 - 325 กโิ ลกรมั ลูกหมหี มาเม่อื แรกเกดิ จะเอายังมองไม่เห็น ไมม่ ขี น ผิวหนังบอบบางและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง ได้ การใชช้ วี ติ จะขึ้นอยู่กับแม่ของมันโดยสิ้นเชิง มันจะดูดนมแม่ประมาณ 18 เดือน เมื่ออายุ 1 - 3 เดือน ลูก หมหี มาสามารถวงิ่ เลน่ และออกหาอาหารบริเวณใกล้ ๆ แม่และแยกไปอยู่ลาพังเมื่อโตเต็มวัยอายุ 2 ปี ตัวเมีย เจรญิ พันธุเ์ มอ่ื อายุ 3 ปี ตวั ผู้ 4 ปี มอี ายุยนื ยาว 25 - 30 ปี ถ่ินอาศยั : หมหี มาหากนิ ในป่าฝนเขตร้อน พบในจนี ตอนใต้ รัฐอสั สัมของอินเดยี พมา่ บงั กลาเทศ มาเลเซยี ลาว กัมพชู า เวยี ดนาม เกาะสุมาตราและบอร์เนียว ส่วนในประเทศไทยพบมากทางภาคใต้ ปัจจุบัน หมีในธรรมชาตพิ บเหน็ ตวั ได้ยากมาก เพราะถกู มนษุ ย์ตามลา่ เพอื่ เอาตนี และองุ้ ตีนไปขาย

จระเข้น้าจืด ชื่อสามัญ : Freshwater หรือ Siamese Crocodile ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ : Crocodylus siamensis วงศ์ : Crocodylidae ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง ลกั ษณะ : จระเข้นา้ จืด หรอื จระเขบ้ ึง หรือ จระเข้สยาม เป็นจระเข้ขนาดปานกลาง มีความยาว 3 -4 4 เมตร ตัวผ้มู ีขนาดเล็กกวา่ ตวั เมียเล็กน้อย แต่มีหางยาวกว่าและมักมีเกรดที่ห่างมากกว่า จระเข้น้าจืดมีหัวทู่ สนั้ กว่าจระเขน้ ้าเคม็ และมเี กลด็ ทา้ ยทอย 4 เกรด็ เรยี งใหเ้ ห็นชัด เท้าหลังมพี ังผดื เลก็ น้อย มีหางแข็งแรงใช้โบก ไปมาเพื่อช่วยในการวา่ ยนา้ และใชเ้ ปน็ อาวธุ ฟาดใส่คนหรือสตั ว์ พฤติกรรม : จระเข้น้าจืดชอบอยู่ตัวเดียว ตามแหล่งน้าน่ิงซึ่งมีความลึกไม่เกิน 5 ฟุตและมีท่ีร่ม ในชว่ งอากาศรอ้ นจะแช่ตวั ในน้า ถ้าอากาศหนาว จะขึ้นมาผ่ึงแดดบนบกในตอนกลางวัน เป็นสัตว์น้าจืดขนาด กลางทกี่ ินสัตว์เปน็ อาหาร เช่น ปลา กบ นก รวมทง้ั สตั ว์เลยี้ งลูกด้วยนมขนาดเล็ก ถ้าอาหารมีขนาดใหญ่มันจะ คาบอาหารแล้วเหวี่ยงไปมาทาให้อาหารขาดออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนกิน มีระบบย่อยอาหารอย่างช้า ๆ ทาให้ไม่ ตอ้ งกินอาหารนานประมาณ 15 - 30 วัน หลังจากนัน้ จึงกินอกี ครง้ั หนึ่ง

การสบื พนั ธุ์ : ผสมพนั ธุก์ นั ในฤดูหนาว โดยตัวผู้จะต่อสู้กันเพ่ือแย่งชิงเป็นเจ้าของตัวเมีย ผสมพันธ์ุปี ละครงั้ แมจ่ ระเขจ้ ะเร่ิมวางไข่โดยขุดดินที่อยู่ใกล้น้าท่ีเป็นดินทรายกว้าง 40 - 50 เซนติเมตร แล้วออกไข่ครั้ง ละ 20 - 40 ฟอง เม่ือวางไข่เสร็จแล้ว แม่จระเข้จะกวาดใบไม้รอบหลุมไข่มากองรวมพูนกองบนรังไข่ เพื่อ ป้องกนั ฝน จากระยะออกไข่จนฟกั เป็นตัว นาน 68 - 85 วัน ระยะนจ้ี ระเข้จะดุร้ายมาก ศัตรูตามธรรมชาติของ ไข่จระเข้นา้ จดื นอกจากคนแล้วก็มีเห้ีย ตะกวด ชะมด อีเห็น ที่ชอบลักไข่ของมันไปกิน เมื่อฟักไข่ครบกาหนด แลว้ จระเขต้ วั อ่อน ก็จะเจาะเปลือกไข่ออกมาเอง จากนั้นแม่จระเข้จะอยู่ดูแลลูก ๆ อีก 2 - 3 สัปดาห์ก่อนจะ ท้ิงพวกมนั ไป ถนิ่ อาศัย : จระเขน้ า้ จืดเคยมีชุกชุมในแหลง่ น้าทั่วทุกภาคของประเทศไทย แต่ในปัจจุบันสายพันธุ์แท้ ของจระเข้น้าจืดหายากมาก เพราะถูกนาไปผสมสายพันธุ์กับจระเข้สายพันธุ์อ่ืนเพ่ือการค้าจนหมดส้ิน แต่ใน ต่างประเทศยังคงมีอยู่ เช่น ที่ทะเลสาบเขมร ประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะทิวเขาพนมกระวาน มีการค้นพบ จระเขน้ ้าจืดนบั รอ้ ยตัว อาศัยอยโู่ ดยไม่พงึ่ พาอาศัยมนษุ ย์

หมูป่า ชือ่ สามญั : Wild boar, Wild pig ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Sus scrofa วงศ์ : Suidae ประเภท : สตั วป์ า่ นอกค้มุ ครอง ลกั ษณะ : หมปู า่ เปน็ ตน้ สายพันธุ์ของหมูบ้านในปัจจุบัน ลาตัวยาวประมาณ 135 – 150 เซนติเมตร หางยาว 20 – 30 เซนติเมตร น้าหนักประมาณ 75 – 200 กิโลกรัม รูปร่างเพรียว ขาเล็กเรียว กีบเล็ก หน้า แหลมเลก็ หูเล็กตาโตสีดา จมูกอ่อนแต่แข็งแรงมาก ใช้ขุดค้นหาอาหาร ขนยาวยาวแข็งสีน้าตาลเข้มหรือสีดา ปนเทา มขี นยาวเปน็ แพบนสนั คอและหลัง มเี ขีย้ วยาวแหลมโง้งงอนข้ึนไปนอกปาก ตัวเมียมีหัวนม 12 หัว ลูก หมูป่าที่เกิดใหม่มีจุดและลายตามลาตัวคล้ายผลแตงไทย เม่ือโตขึ้นลายน้ีจะจางหายไป หมูป่ามีประสาทรับ กล่นิ ทไ่ี วมากแต่มีประสาทตาไม่ค่อยดี รวมทั้งประสาทหูก็ไม่ดีด้วย จมูกจึงเป็นเสมือนเครื่องรับประกันความ ปลอดภยั ในธรรมชาตหิ มปู า่ ชอบอาศยั ในป่าชน้ื ชอบตีแปลงคลกุ โคลนเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกาย และป้องกัน แมลงรบกวน บางครงั้ อาจเกลือกปสั สาวะของตวั เองเพอ่ื ลดอุณหภมู ิร่างกาย หมูป่าไวต่ออุณหภูมิแวดล้อมมาก อากาศทร่ี อ้ นเกินไปอาจทาให้เป็นลมแดดได้ สว่ นใหญ่หากนิ เวลากลางคืน พนื้ ทีห่ ากนิ ของตัวผู้จะกว้างกว่าของ ตัวเมียราวสองเท่า พฤติกรรม : เป็นสัตว์ที่กินได้ท้ังพืชและเนื้อสัตว์ อาหารของมัน ได้แก่ พืชผักต่างๆ หน่อไม้ หญ้า ขา้ วโพด ข้าวฟา่ ง หัวเผือกมัน รากพืช แมลง ลกู ไมป้ า่ งู หนู ไส้เดือน ซากสัตว์เน่า ไข่และลูกนกท่ีทารังบนดิน จ้งิ จก กบ เขยี ด ปลา ปู หอย เรยี กว่ากนิ เกือบทุกอย่างท่ีกินได้ เวลาออกหากินมีเสียงเอะอะดังมาก เป็นเสียง ไลก่ ัดกนั และกดั กินอาหาร แย่งกนั กินอาหารหรือเกลือกกลิ้งเล่นกัน เสียงเหล่านี้สามารถได้ยินในระยะไกล ๆ

แต่ถ้าหากมันสงสัยหรือระแวงเหตุร้ายขึ้นมา หมูป่าจะกลายเป็นสัตว์ท่ีเงียบที่สุด ชอบอยู่เป็นฝูง ออกหากิน ตอนเช้าหรอื เยน็ หรือกลางคืน กลางวนั มกั หลบซ่อนตวั เพ่ือพักผ่อนอยูต่ ามพุ่มไม้ ปลกั ตมหรือลาธาร การสบื พันธุ์ : ช่วงฤดผู สมพันธุ์ตัวผู้จะต่อสู้กันอย่างดุร้ายเพ่ืออย่างตัวเมีย หมูป่าผสมพันธ์ุได้ตลอดปี แต่จะผสมพันธกุ์ ันสงู สดุ ในช่วงเดอื นธันวาคมถึงมกราคม เรมิ่ ผสมพันธุ์ไดเ้ มื่อมีอายุราว 9 – 10 เดือน ตัวเมียตั้ง ท้องนาน 101 – 130 วัน เฉล่ียราว 115 วัน ออกลูกครั้งละ 3 – 12 ตัว เป็นสัตว์เล้ียงลูกด้วยนม ลูกหย่านม เมอื่ อายุ 3 – 4 เดอื น มีอายยุ นื ประมาณ 10 – 20 ปี ถ่ินอาศัย : พบในยุโรป เอเชีย แอฟริกาเหนือ อเมริกาเหนือ ประเทศไทยพบทุกภาคและมีมากใน ภาคใต้ ชอบอาศัยยู่ตามป่าดิบแล้งและป่าเต็งรัง ท่ีราบตามไหลเขา ตามหนองน้า ประชากรหมู่ป่าในเขต กระจายพันธ์ุ ตามธรรมชาติมีความสาคัญต่อระบบนิเวศหลายอย่าง เป็นผู้พรวนดินธรรมชาติในการเปิดนา พน้ื ท่ีสาหรบั ตน้ ไม้รุ่นใหม่ในป่า รวมท้ังเป็นผู้แพร่กระจายเมล็ดพันธุ์พืช

ชะนมี งกุฎ หรือ ชะนีเอย๊ี มดา ชอ่ื สามัญ : Pileated gibbon ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hylobates pileatus วงศ์ : Hylobatidae ประเภท : สัตวป์ า่ คุ้มครอง ลักษณะ: ชะนีมงกุฎจะมีสีขนแตกตา่ งกนั ไปตามเพศและชว่ งอายุ ลูกชะนีมงกฎุ เมื่อแรกเกิดมสี ีขาวขุ่น หรือสคี รมี ทง้ั สองเพศ เม่ือเริม่ โตขึน้ ใบหน้าจะมีสีดาเข้มขึ้น ขนท่ีหน้าอกเร่ิมเป็นสีดารูปสามเหลี่ยมคล้ายเอี๊ยม ขนบนหวั มสี ดี าเป็นหย่อม จากน้ันจะมีการเปล่ียนแปลงลักษณะและอีกขน ท่ีแตกต่างกันระหว่างตัวผู้หรือตัว เมยี ตัวผใู้ นช่วงวัยรุ่นจะมีสีขนเหลือง เมื่ออายุ 3 - 4 ปีจะเปลี่ยนเป็นสีดาทั่วตัว ยกเว้นคิ้ว ถุงอัณฑะ หลังมือ หลงั เท้าและวงรอบใบหน้าซงึ่ จะเป็นขนสขี าวดังเดิม รอบจุดดาบนหวั จะมขี นสีขาวยาวเป็นลอน แซมข้ึนมาเห็น เด่นชดั สว่ นตัวเมียมีขนสีขาวนวลหรอื สีเทาดาเหมือนเดิม แต่ท่ีหน้าอกและบนหัวจะมีสีดา ขนหน้าอกดูคล้าย ผูกเอ๊ยี มดา สว่ นบนหวั ดูคล้ายเป็นมงกุฎสีดา ขนรอบจุดดาบนหวั เปน็ ลอนยาวสีขาวเชน่ เดยี วกับตัวผู้ พฤติกรรม : ชะนีมงกุฎมักอาศัยในป่าดิบที่มียอดไม้สูงและรกชัฏ หากินบนต้นไม้เวลากลางคืน กิน ผลไมเ้ ปน็ อาหารหลกั กินใบไมบ้ าง บางครงั้ อาจกินสัตว์เล็ก ๆ ด้วย ดื่มน้าโดยวิธีการเลียตามขนตัวเองและหา ตามโพรงไม้ การสืบพันธ์ุ : เหมอื นชะนที ่วั ไปแต่มนี สิ ยั ดรุ า้ ยเม่อื โตเต็มท่ี อายุ 7 – 8 ปจี ึงผสมพนั ธไุ์ ด้ เม่ือผสมพันธ์ุ กนั แลว้ จะอาศยั อยูร่ ว่ มกันเป็นคู่ โดยจับคู่เพียงครั้งเดียวตลอดชีวิต แม่ชะนีตั้งท้องทุกสองสามปี อุ้มท้องนาน 240 วัน ออกลูกคราวละ 1 ตัว เมื่อลกู ชะนีอายุได้ 1 ปีจะเร่ิมออกจากอกแม่ห้อยโหนไปมาด้วยตนเอง เม่ือลูก อายไุ ด้ 2 – 3 ปีแม่ชะนจี ะเริ่มผสมพันธ์ุอีกครั้ง ลกู ชะนโี ดยเฉพาะตัวผ้จู ะถูกขับไลอ่ กจากฝูงเร็วกวา่ ตัวเมีย และ อยู่ลาพังจนกระท่งั หาคูผ่ สมพันธ์ไุ ด้

ถนิ่ อาศยั : พบอาศยั ในประเทศลาว กัมพชู า ทางด้านตะวนั ตกของแมน่ า้ โขง สาหรบั ในประเทศไทย พบทางภาคตะวันออก เชน่ จังหวัดสุรินทร์ บรุ ีรัมย์ ปราจนี บุรี จันทบรุ ี ตราด และที่อทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาใหญ่ นับเป็นสถานท่แี หง่ เดยี วในโลกทีม่ ชี ะนีมงกุฏและชะนีมือขาว อาศัยอยู่ในพื้นทีเ่ ดยี วกนั ทาให้มกี ารผสมข้าม พนั ธ์จุ นเกดิ เป็นชะนีลูกผสมท่มี ลี ักษณะรปู รา่ งท่แี ตกตา่ งออกไป

ลงิ แสม ช่อื สามญั : Long-tailed macaque , Crab-eating macaque ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Macaca fascicularis วงศ์ : Cercopithecidae ประเภท : สตั ว์ป่าคมุ้ ครอง ลกั ษณะ : ลิงแสมจัดเป็นลิงขนาดกลาง มีหางยาวใกลเ้ คียงกบั ความยาว จากหวั ถึงลาตัว ขนมี 2 สี คือ สเี ทาน้าตาลและสแี ดง สีขนจะเปลย่ี นแปลงไปตามอายุ ฤดูกาล และถ่ินที่อยู่อาศัย ลิงแสมในป่าจะมีสีเข้มกว่า ลิงแสมท่อี ยบู่ ริเวณป่าชายเลน ซง่ึ มเี กลอื ในอากาศและสมั ผสั กับแสงแดดมากกว่า ลงิ แสมมีหางกลม ขนบริเวณ หัวสั้นตัง้ ชี้ ไปด้านหลงั ลินอายนุ ้อยหัวจะมขี นเป็นหงอนและจะยดื ยาวออกเมอื่ มีอายมุ ากขึน้ พฤตกิ รรม : ออกหากินในเวลากลางวนั ชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ โดยบางฝูงอาจจะมีสมาชิก รวมกันถึง 80 ตัว สามารถว่ายน้าและดานา้ ไดเ้ กง่ ขณะดานา้ จะลืมตาจับเหยือ่ ชอบลว้ งมอื เข้าไปสารวจอาหาร ตามรู ชอบกนิ สัตว์นา้ ขนาดเลก็ เชน่ ก้งุ ปู หอย สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก แมลง ไข่นกบางชนิด พืชผัก ผลไม้ ต่าง ๆ เวลากินอาหารชอบเก็บไว้ข้างแก้ม แล้วค่อย ๆ เอามือดันอาหารท่ีเก็บไว้ออกมากินทีละน้อย ลิงแสม เปน็ สัตวท์ ่ฝี ึกได้ สามารถเรียนรู้ได้งา่ ยและรวดเรว็ ถา้ นามาฝกึ ตัง้ แต่ยงั เล็ก การสืบพันธ์ุ : สามารถผสมพันธ์ไุ ด้เม่อื มอี ายไุ ด้ 4 - 5 ปี ระยะในการตั้งท้อง 5 - 6 เดือน ออกลูกครั้ง ละ 1 ตวั ลูกที่มีอายุน้อยจะเกาะตดิ แม่เสมอ ลิงแสมมีอายุยืนถึง 30 ปี ถ่นิ อาศัย : พบไดแ้ ทบทกุ ภูมิประเทศในประเทศไทย เป็นลงิ ทีป่ รับตวั ใหส้ ามารถอยู่ในพนื้ ทนี่ ้นั ๆ ได้ มีการแพรก่ ระจายพันธุ์ท่ีคอ่ นข้างกว้าง โดยพบต้ังแตป่ ระเทศอินเดยี พม่า ไทย คาบสมุทรมลายู เกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนยี ว เกาะลูซอน เกาะมนิ ดาเนาของฟิลปิ ปนิ ส์ ลาว กมั พูชา และเวยี ดนาม ทาให้มีชนิดย่อยมากถึง 10 ชนดิ

นกแก้วโมง่ ชอื่ สามัญ : Alexandrine parakeet , Alexandrine parrot ชื่อวิทยาศาสตร์ : Psittacula eupatria วงศ์ : Psittacidae ประเภท : สัตวป์ ่าคุ้มครอง ลกั ษณะ : เป็นนกตระกูลนกแก้วขนาดเล็ก - กลาง แต่เป็นนกแก้วขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ชื่อ สามญั คอื Alexandrine parakeet ตง้ั ขนึ้ เพอื่ เป็นเกียรติแด่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อครั้งยาตราทัพ เข้ามาสู่ทวีปเอเซีย นกแก้วโม่งมีความยาวจากหัวถึงปลายหาง 51 - 58 เซนติเมตร หัวและลาตัวมีสีเขียว จะงอยปากอวบอูมมีลักษณะงุ้มใหญ่สีแดงสด บริเวณหัวไหล่มีแถบสีแดงแต้มอยู่ทั้งสองข้าง ตัวผู้และตัวเมีย แยกเพศได้เม่ือนกโตเต็มท่ี โดยตัวผู้จะปรากฏแถบขนสีดาและสีชมพูรอบคอ เรียกว่า \"Ring Neck\" ซ่ึงตัว เมยี จะไม่มีเส้นรอบคอดงั กล่าว ตวั เมยี มขี นาดเล็กกวา่ ใต้หางสีเหลอื งคลา้ ใบหนา้ และลาคอสีปนเหลือง อาหาร ของนกแก้วโมงในธรรมชาติ ประกอบด้วยเมล็ดพืช ผลไม้ ใบไม้อ่อน นกแก้วโม่งจัดเป็นนกแก้วท่ีมีเสียงร้อง ค่อนข้างดัง มักเลือกท่ีจะทารังตามโพรงไม้ใหญ่ ๆ โดยใช้วิธีแทะหรือขุดโพรงไม้จาพวกไม้เน้ืออ่อนหรืออาจ เลอื กใชโ้ พรงไมเ้ ก่าต่าง ๆ พฤตกิ รรม : สามารถใชจ้ ะงอยปากเกาะเกย่ี วเคลื่อนตัวไปตามกิ่งไม้ได้ดี หากินอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ นอนบนตน้ ไม้เปน็ กล่มุ ใหญ่ ๆ ส่งเสยี งรอ้ งกนั ระงม สามารถพูดไดเ้ มอื่ นามาเลี้ยงให้เช่ือง เวลาบินจะบินเป็นฝูง เล็กๆ 8 - 10 ตัว ชอบเกาะตามยอดไม้ การสืบพันธุ์ : นกแก้วโม่งมีฤดูผสมพันธุ์แตกต่างกันตามลักษณะสายพันธุ์ย่อย อันเก่ียวเนื่องกับ อณุ หภมู ิและสภาพทางภูมศิ าสตร์ แต่โดยเฉลี่ยจะเริม่ ผสมพันธุ์จากเดือนพฤศจิกายน ถึงปลายเมษายน โดยใน ระหว่างฤดูผสมพันธุ์ ตัวเมยี จะค่อนขา้ งแสดงอาการดุและก้าวรา้ วมากขนึ้ วางไขป่ ลี ะ 1 ครัง้ ๆ ละ 2 - 4 ฟอง ถน่ิ อาศัย : พบในอนิ เดีย ชอบอยอู่ าศัยบริเวณป่าดบิ แล้ง ป่าเต็งรงั ปา่ รนุ่ เขตแพร่กระจายสามารถ พบเห็นได้ทพ่ี มา่ อันดามัน ลาว อินโดจีน ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค รวมทง้ั ยงั พบไดต้ ามหมเู่ กาะในทะเลอัน ดามัน ยกเว้นภาคใต้

นกยงู ชือ่ สามญั : Peacock , Peafowl ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Pavo muticus วงศ์ : Phasianidae ประเภท : สัตว์ป่าคมุ้ ครอง ลกั ษณะ : เป็นสตั วป์ ีกจาพวกไก่ฟ้าขนาดใหญ่ท่ีสุดในวงศ์เดียวกัน มีจุดเด่น คือ เพศผู้มีขนหางยาวมี สีสันสวยงามเป็นอย่างยิ่งเม่ือแผ่ขยายออกเพ่ืออวดเพศเมีย เรียกว่า “ราแพน” นกยูงแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ นกยงู อินเดยี (Pave cristatus) มีหงอนบนหัวแผเ่ ป็นพัด หนงั ขา้ งแกม้ เป็นสขี าว ขนสว่ นคอและอกด้านบนเป็น สีนา้ เงิน ส่วน นกยูงไทย (Pave muticus) มหี งอนบนหัวตัง้ ตรงเปน็ กระจกุ หนงั ข้างแก้มเป็นสีฟ้าและสีเหลือง ขนส่วนคอ หลงั ตลอดไปถึงปลายหางเป็นสีเขียว นกยูงมอี ายุยืนไดถ้ งึ 40 – 50 ปี นกตัวผมู้ ีหงอนเป็นพู่สูงและ มแี ผ่นหนงั ท่ีหน้าสฟี ้าสลับสีเหลืองเห็นได้ชัดเจน ขนลาตัวสีเขียวเป็นประกายแววเหลือบสีน้าเงินบนปีกและสี ทองแดงทางดา้ นขา้ ง ลาตวั ดุเปน็ ลายเกล็ดแพรวพราวไปทั้งตัว ขนปีกบนสีน้าตาลแดง ขนคลุมโคนหางสีเขียว ยน่ื ยาวมากมีจุดดวงตากลมขลิบด้วยสีฟ้าและสีน้าเงิน นกตัวเมียโดยทั่วไปคล้ายนกตัวผู้ แต่ขนสีเหลือบเขียว นอ้ ยกวา่ และมีประสีน้าตาลเหลืองอยู่ท่ัวไป ขนคลุมโคนหางไม่ย่ืนยาวเหมือนตัวผู้ นกยูงในธรรมชาติเป็นสัตว์ ตกใจง่ายและข้ีอาย ถ้าตกใจหรอื ถูกทารา้ ยจากสตั วช์ นดิ ใดมันจะจดจา เมื่อจวนตัวหรือโกรธจะต่อสู้ป้องกันตัว ด้วยการเตะไปข้างหน้าพร้อมท้ังจิก เป็นนกท่ีกินได้ทั้งพืชและสัตว์ ได้แก่ พวกเมล็ดหญ้า เมล็ดของไม้ยืนต้น ธัญพืช ผลไม้สุกท่ีหล่นจากต้น ยอดอ่อนของหญ้า แมลง ตัวหนอน ไส้เดือน งูและสัตว์ขนาดเล็ก หากินตาม พืน้ ดนิ เช่นเดยี วกนั กบั ไก่ฟา้ และไก่ปา่ พฤติกรรม : ในฤดูผสมพันธ์ุ นกยูงตัวผู้จะมีขนคลุมโคนหางดานบนหงอกยาว จะแพนออกเป็น วงกลมตัง้ ข้นึ เวลาเกี้ยวพาราสตี วั เมีย เม่ือพ้นช่วงฤดูผสมพันธ์แล้วตัวผู้จะสลัดขนคลุมโคนหางทาให้ดูคล้ายตัว เมีย ตัวเมยี ตัวเลก็ กว่าตวั ผ้เู ล็กน้อยและสีไมส่ ดใสเทา่

การสบื พันธ์ุ : นกยูงตวั เมียอายุ 2 ปี จะเจริญเต็มวัยพร้อมผสมพันธ์ุได้ ส่วนตัวผู้ต้องมีอายุอย่างน้อย 3 ปี ฤดผู สมพนั ธุ์ประมาณเดอื นธนั วาคม – พฤษภาคม ตวั ผู้จะผสมพนั ธุ์กบั ตวั เมียหลายตัว หากมีนกยูงตัวเมีย ผ่านเข้าไปในเขตแดนของตวั ผู้ มนั จะเดินเขา้ ไปหาและราแพนหางเพ่ือโอ้อวด บางคร้ังก็ส่ันขนหางให้เกิดเสียง ดังเป็นช่วงๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมีย ถ้าตัวเมียสนใจก็จะเดินเข้าไปหาและย่อตัวให้ตัวผู้ข้ึนผสม พันธ์ หลังผสมพันธ์ุตัวเมียจะทารังวางไข่บนพื้นดินตามท่ีโล่งใต้ซุ้มกอพืชหรือซุ้มไม้โดยมีหญ้าหรือใบไม้แห้ง รองรับ แม่นกออกไข่แต่ละรุ่น 3 – 6 ฟอง ไข่สีเนื้อถึงน้าตาลอ่อน บางฟองมีลายแต้มสีน้าตาลหรือสีน้าตาล แกมแดง มีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่ ใช้เวลาฟัก 26 – 28 วัน ถน่ิ อาศัย : นกยงู มเี ขตแพร่กระจายจากเหนือของประเทศอินเดียไปทางทิศตะวันออก ผ่านพม่าและ ตอนใต้ของประเทศจีน ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซียและชวา ในประเทศไทย พบในภาคเหนือและภาค ตะวันตก

ไก่ฟ้าหลงั ขาว ชอ่ื สามัญ : Silver pheasant ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Lophura nycthemera วงศ์ : Phasianidae ประเภท : สตั วป์ ่าค้มุ ครอง ลกั ษณะ : เปน็ นกในวงศไ์ กฟ่ ้าและนกกระทา มชี ่อื อื่นวา่ ไก่ ฟา้ หลังเงิน หรือ ไกฟ่ ้าสีเงิน เป็นนกที่มี ขนาดกลางถึงใหญ่ ในประเทศไทยพบ 2 ชนิดย่อย คือ ไก่ฟ้าหลังขาวธรรมดา หรือ ไก่ฟ้าหลังขาวเหนือ ชื่อ วิทยาศาสตร์ Lophura nycthemera jonesi (Oates) และ ไก่ฟ้าหลังขาวจันทบูร ช่ือวิทยาศาสตร์ Lophura nycthemera lewisi (Delacour and Jabouille) ตัวผู้มีหางยาวมาก หัวมีพุ่มหงอนสีดางอกยาว ไปด้านหลงั ใบหน้ามแี ผน่ หนังสีแดง ลาตัวด้านล่างสีดา แข้งและนิ้วสีแดง มีเดือยแหลมข้างละ 1 อัน ตัวเมีย ท้ังสองชนิดย่อยหางสั้น แข้งสีแดง ไม่มีเดือย หัวมีพุ่มหงอนขนสีน้าตาลเข้ม ลาตัวด้านบนสีน้าตาลแกมเทา ขนาดเล็กกวา่ ตัวผู้ ไก่ฟ้าหลังขาวธรรมดา ลาตัวด้านบนและทางมีสีขาว มีรายบั้งสีดา ลาตัวด้านล่างสีเทาเข้ม มีลายบ้ัง เลก็ ๆ สีขาว ไกฟ่ ้าหลังขาวจันทบรู ลาตัวด้านบนและหางสีเทาเข้ม มีลายบ้ังสีขาว ลาตัวด้านล่างสีน้าตาลอ่อน มีลายบัง้ เลก็ ๆ สีนา้ ตาลจาง ตวั เมียลาตัวด้านบนสนี า้ ตาลแกมเขยี ว ผวั มีผูห้ งอนสีดาขนาดเลก็ พฤติกรรม : ชอบอาศัยอยู่ตามป่าเขา มักอยู่กันเป็นคู่หรือฝูงเล็กๆ เดินหากินอยู่ตามพื้นดินตอนเช้า และพลบค่า อาหารหลกั ได้แก่ ขุยไผ่ เมล็ดหญ้า ผลไม้สุกที่ร่วงหล่น แมลง ตัวหนอน ไส้เดือนและสัตว์ขนาด เลก็ ชนดิ ตา่ ง ๆ ในเวลากลางคืนจะจบั คนู่ อนตามก่งิ ไม้หรือก่งิ ไผ่

การสืบพันธ์ุ : ไก่ฟ้าหลังขาวเร่ืองผสมพนั ธุ์ไดเ้ มอื่ มีอายุ 3 ปี โดยจะจบั คู่สร้างรงั วางไข่ในช่วงฤดูหนาว ต่อฤดูรอ้ น โดยตัวผหู้ น่งึ ตวั จะจับคู่กับตวั เมยี หลายตัว เมื่อจับคู่แล้วตัวเมียจะสร้างรังโดยการขุดดินให้เป็นแอ่ง อาจนาใบไม้ใบหญ้ามารองรัง ปกติมีไข่ 4 - 6 ฟองต่อรัง แม่นกจะทาหน้าท่ีฟักไข่เพียงตัวเดียว ใช้เวลา ประมาณ24 - 25 วนั ตัวผูห้ ลงั จากผสมพันธุ์แล้วจะแยกไปจับคู่กับตัวเมียตัวอ่ืน ลูกนกเม่ือแรกเกิดมีขนอุยปก คล้มุ ทวั่ ตวั เมือ่ ขนแหง้ กส็ ามารถเดนิ ตามแม่ไปหาอาหารกินไดเ้ ลย ลกู นกจะยงั คงติดตามแม่นกอยู่จนกว่าจะโต พอและหาแมลงกนิ เองได้จึงจะแยกออกไปหากินตามลาพงั ถ่ินอาศัย : พบในประเทศจีน พม่า อินโดจีน ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก

นกกก หรือ นกกาฮัง หรือ นกกะวะ ชอื่ สามัญ : Great hornbill ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Buceros bicornis วงศ์ : Bucerotidae ประเภท : สตั ว์ป่าค้มุ ครอง ลกั ษณะ : จัดเป็นนกเงอื กชนดิ ใหญ่สดุ ขนาดลาตวั ประมาณ 130 - 150 เซนติเมตร ใบหน้ามีสีดาค่ะสี ขาว ลาตัวด้านบนสีดา อกสีดา คอและท้องสีขาว ปากและโหนกแก้มสีเหลือง โหนกแข็งมีขนาดใหญ่ ด้านบน แบนหรือนนู เลก็ นอ้ ย สว่ นท้ายเวา้ สว่ นหน้าแตกออกเป็นสองกิ่ง ปลายก่ิงทู่ ปีกสีดาพาดเหลือง ปลายปีกขาว หางสขี าวพาดดา ตัวผ้มู นี ัยนต์ าสแี ดง ตวั เมียมนี ัยนส์ ขี าว ด้านหน้าโหนกไม่มีสีด ตัวผู้แตกต่างจากตัวเมียตรงที่ มขี นาดใหญ่กวา่ เปน็ นกท่มี อี ายยุ ืน นกในกรงเลย้ี งสามารถมอี ายุไดถ้ ึง 50 ปี พฤติกรรม : อยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดเล็กจนกว่าจะโตเต็มที่และหาคู่ได้ มีฤดูผสมพันธ์ุระหว่างเดือน มกราคม - พฤษภาคม อาหารหลักเป็นผลไม้ เช่น ไทร หว้า ตาเสือใหญ่ ยางโอน ปอ และส้านเล็ก กินอาหาร ด้วยการใช้ปลายปากปลิดผลไม้ออกจากก่ิง โยนผลไม้ข้ึนกลางอากาศแล้วอ้าปากรับผลไม้กลืนลงคอท้ังผล นอกจากนยี้ งั จับงู กง้ิ ก่า หนูและลูกนกกนิ เป็นอาหารเสริม เม่ือถึงฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะเป็นฝ่ายเก้ียวพาราสีตัว เมยี และเสาะหาโพรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่ที่นกหรือสัตว์อ่ืนท้ิงไว้ ตัวเมียจะใช้เวลาตัดสินใจเข้าโพรงนาน ตัวเมีย เมื่อเข้าไปในโพรงแล้วจะปิดปากโพรง ด้วยมูล เศษอาหาร เศษไม้ เหลือเพียงช่องพอให้ปากของตัวผู้ซ่ึงทา หนา้ ทห่ี าอาหารมาป้อนสง่ อาหารไดเ้ ทา่ นั้น ตัวเมยี จะวางไข่ 1 - 2 ฟอง ใชเ้ วลาฟกั ไข่ประมาณ 1 เดือน เม่ือลูก นกฟักเป็นตัว พ่อนกต้องออกหาอาหารมาป้อนตัวเมียและลูกมากย่ิงข้ึน ส่วนแม่นกจะสอนลูกปิดปากโพรง เพื่อป้องกันอนั ตรายและเม่ือลูกเร่ิมฝึกบินแม่นกจะออกจากโพรไปช่วยพ่อนกหาอาหารมาป้อนลูกนก ซ่ึงเป็น

พฤตกิ รรมทแ่ี ตกต่างจากนกเงือกชนดิ อ่นื ลกู นกจะฝึกปดิ รงั และฝึกบินในรังต่ออีกประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ พ่อ แมก่ จ็ ะชว่ ยกนั เปิดปากโพรงใหล้ ูกนกออกมาได้ รวมเวลาอยู่ในโพรงรงั 80 - 90 วัน ถน่ิ อาศยั : พบตามปา่ ชน้ื ดบิ แล้ง และป่าดิบเขา ในระดบั สงู ไมเ่ กิน 1,500 เมตรจากระดับนา้ ทะเล จากอินเดียตะวันออกเฉยี งใตถ้ ึงพม่า ไทย และเกาะสุมาตรา ในประเทศไทยพบได้เกือบทกุ ภาคยกเว้นภาค กลาง สถานภาพประเทศไทย :จดั เปน็ นกประจาถนิ่ ใกล้สญู พันธุ์ พบในถิ่นอาศัยทเ่ี หมาะสม

นกเงือกกรามชา้ ง หรือ นกกูก๋ ี๋ ช่อื สามัญ : Wreathed Hornbill , Bar-pouched wreathed hornbill ช่อื วิทยาศาสตร์ : Aceros undulatus วงศ์ : นกเงอื ก (Bucerotidae) ประเภท : สัตวป์ า่ คมุ้ ครอง ลักษณะ : เป็นนกป่าขนาดใหญ่ มีจุดเด่นคือจะงอยปากหนาที่ใหญ่ มีโหนกทางด้านบนเป็นโพรง ภายในโพลงมเี นื้อเย่ือคลา้ ยฟองน้า ตวั เตม็ วยั มขี นาดเลก็ กวา่ นกกกเล็กนอ้ ย โหนกแบนมีลอนหยัก จานวนลอน บ่งบอกถึงอายุของนก คืออายุ 1 ปี มี 1 ลอน เคยพบจานวนลอนมากที่สุดคือ 10 ลอน ตัวและปีกสีดา หาง ขาวปลอด ปากดา้ นขา้ งมรี อยหยัก ตัวผู้มีส่วนท้ายทอยสีน้าตาลเข็ม หน้า ขมับและคอขาว ถุงใต้คอสีเหลืองมี ขีดดา ตัวเมียมีสีดาตลอดตัวยกเว้นหางขาวปลอด ถุงใต้คอสีฟ้า ตัววัยรุ่นเหมือนตัวเต็มวัย จานวนลอนของ โหนกไม่เกิน 3 ลอน ปากดา้ นขา้ งมีรอยหยักน้อยหรอื เกือบไมม่ ีเลย ลูกนกตอนแรกมีสีขนเหมือนตัวผู้ ถุงใต้คอ สเี หลอื งมรี อยสดี าเปน็ ขีดจาง ๆ พฤติกรรม : นกเงือกกรามช้างบนิ ไดไ้ กลมาก หากนิ ได้ทัว่ ปา่ จนได้ช่ือว่าเป็น “ยิปซีแห่งพงไพร” นอก ฤดูผสมพันธุช์ อบอย่รู วมกนั เป็นฝูงใหญ่ ที่อทุ ยานแห่งชาติเขาใหญ่ไม่เคยนบั ได้ถงึ กว่าพันตัว เสียงร้อง เอก เอิ๊ก เอก เอิ๊ก ชอบผลไม้เป็นอาหารหลัก เช่น ไทร ยางโอน หว้า ตาเสือเล็ก สุรามะริด ตาเสือใหญ่ มะอ้า พิพวน มะเก้ิม ส้มโมงและกินสัตว์เลื้อยคลานเล็ก ๆ เป็นอาหารเสริม ทารังในโพรงไม้ ตัวเมียจะเข้าไปกกไข่ในโพรง โดยใช้โคลนและมูลปิดปากโพรงไว้เหลือเพียงช่องพอให้ตัวผู้ส่งอาหารเข้าไปได้ เมื่อลูกนกโตพอแล้วจึงเจาะ โพรงออกมา การสืบพันธุ์ : นกเงือกเป็นนกผัวเดียวเมียเดียว มีลักษณะการทารังท่ีแปลกจากนกอื่น คือเมื่อถึง ฤดูกาลทารัง นกค่ผู ัวเมียจะพากนั หารงั ซึ่งไดแ้ กโ่ พรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นยางท่ีอยู่ในที่ลับตา ตัวเมียเมื่อ เข้าไปอยใู่ นโพรงจะทาความสะอาดแล้วเริ่มปิดปากโพรงด้วยวัสดุ เช่น ดิน เปลือกไม้ และขังตัวเองอยู่ภายใน โพรงเพ่ือออกไข่และเล้ียงลูก ท่ีอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นกเงือกเร่ิมทารังในเดือนมกราคม ลูกนกออกจาก

โพรงรงั ในเดือนพฤษภาคมหรอื มถิ ุนายน พ่อนกจะเลย้ี งดแู มน่ กและลูกนก (father care) เพยี ง 1 ตวั ส่วนแถบ เทอื กเขาบโู ด (นราธิวาส) นกกูก๋ จ๋ี ะเร่มิ ทารงั ราวเดอื นมีนาคม – เมษายน ลูกนกออกจากรงั ราวเดอื นกรกฎาคม ถิ่นอาศัย : ชอบอาศัยอยู่ตามดงดิบ และป่าผสมผลัดใบจากท่ีราบจนถึงที่สูง 1,800 เมตรจาก ระดับนา้ ทะเล แต่อาจพบในปา่ เบญจพรรณและตามเกาะต่าง ๆ ในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน ซึ่งเป็นช่วง นอกฟดูผสมพันธ์ุ ในพ้ืนทบ่ี างแห่งจะพบการรวมฝูงกนั ของนกเงอื กกรามช้างเปน็ จานวนหลายร้อยตัว

ไก่ฟา้ หลงั เทา ชือ่ สามญั : Kalij pheasant ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Lophura leucomelanos วงศ์ : Phasianidae ประเภท : สัตว์ป่าคมุ้ ครอง ลักษณะ : ในประเทศไทยพบ 2 ชนิด คือ ไก่ฟ้าหลังเทาแข้งแดง (Crawfurd's Kalij : Lophura leucomelanos crawfurdii) และไก่ฟ้าหลังเทาแข้งเทาหรือแข้งตักั่ว (Lineated Kalij : Lophura leucome-lanos lineata) ตัวผูแ้ ละตวั เมยี มลี กั ษณะไม่เหมอื นกัน ตัวผ้มู หี นงั หนา้ กากสีแดง ขนบนหัวสดี าเป็น พ่มุ หงอนยาวชไี้ ป ดา้ นหลงั ลาตัวดา้ นบนมีขนสดี าสลับขาวเห็นเป็นสีเทาเข้ม บริเวณหลังตอนท้ายและตะโพก อาจมี ลายแตม้ ขาว ลาตัวด้านล่างสีดา หาคู่กลางสีขาว โคนปีกมีขนสีขาวแซมอยู่ชัดเจน ตัวเมียใบหน้าสีแดง ขนจุกหงอนสีนา้ ตาลชีไ้ ปด้านหลัง ลาตวั ด้านบนสนี า้ ตาลบริเวณรอบคอตลอดจนลาตวั ดา้ นล่างมลี ายบั้งรูป ตัว V ไก่ฟ้าหลงั เทาแข้งเทา มแี ข้งและน้ิวเท้าสีเทา ไกฟ่ ้าหลังเทาแขง้ แดง มแี ข้งและน้วิ เท้าสีแดง พฤตกิ รรมและการสืบพนั ธุ์ : ผสมพนั ธ์ุในชว่ งเดือนมนี าคม - พฤษภาคม ชอบทารงั ตามแอง่ บนพ้ืนดิน ใต้กอไม้รก ๆ โดยตวั เมียฟกั ไขเ่ พียงตัวเดยี ว ลกู นกแรกเกิดมขี นอยุ ปลกุ คมุ ทั่วตวั หลังออกจากไข่ 3 - 4 ชั่วโมง หรอื เมื่อขนแห้ง จะเดนิ ตามแม่นกไปหาอาหารได้ อาหารได้แก่ แมลง ตัวหนอน ไส้เดือน สัตว์ขนาดเล็ก และ เมล็ดพืชบางชนิด เช่น ขยุ ไผ่ เมล็ดหญา้ ผลไมส้ ุก ถิน่ อาศยั : พบในเทอื กเขาหมิ าลัย จีน ไทย และพม่า ในประเทศไทยพบไก่ฟ้าหลังเทาทางภาคเหนือ ดา้ นตะวนั ออก และภาคตะวันตกเรอ่ื ยไปถงึ คอคอดกระในภาคใต้ โดยพบอาศัยอยู่ตามป่าดงดิบแล้งและป่าดง ดิบเขา

ละอง หรอื ละม่ัง ชอ่ื สามญั : Eld's deer , Thamin , Brow-antlered deer ชื่อวิทยาศาสตร์ : Panolia eldii วงศ์ : Cervidae ประเภท : สตั ว์ปา่ สงวน ลักษณะ : ละองและละมัง่ เป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน ละองคือตัวผู้ ละม่ังคือตัวเมีย เป็นกวางขนาดกลาง เลก็ กวา่ กวางปา่ มรี ปู รา่ งสวยงามมาก สงู ที่หวั ไหลป่ ระมาณ 110 เซนติเมตร ความยาวหัว - ลาตัว 150 - 180 เซนตเิ มตร หนัก 150 กโิ ลกรมั หางยาว 20 - 30 เซนตเิ มตร ไม่มีวงก้น คอค่อนข้างเรียว ขนกลางสันหลังสีดา ในฤดูร้อนขนมีสีน้าตาลแดง แต่ในฤดูหนาวสีจะเปลี่ยนเป็นน้าตาลเข้ม ละอง สีเข้มกว่าละมั่ง เล็กน้อย ขน หยาบ โดยเฉพาะบรเิ วณคอของละอง ละองมเี ขาโค้ง ยาวไปด้านหลงั แล้วตวี งม้วนมาด้านหน้า เขาบางตัวอาจ ยาวถึง 2 เมตร มีก่ิงส้ัน ๆ ท่ีปลายเขา ส่วนใหญ่มี 12 กิ่ง แต่บางตัวอาจมีมากถึง 20 กิ่ง ก่ิงรับหมา (ก่ิงแรก brow tine) ยาวมาก ผลดั เขา ปีละครัง้ เขาจะโตเต็มทเ่ี ม่อื อยู่ในฤดูผสมพันธ์ุ พฤติกรรม : ละองและละม่ัง รวมฝูง แยกเพศกัน แต่ละฝูงอาจมีมากถึง 50 ตัว ตัวผู้มีเขตหากิน ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร ตัวเมียมีเขตหากินเพียงหน่ึงในส่ีและอยู่ในพ้ืนที่ของตัวผู้ มักหากินตอนกลางคืน กนิ อาหารหลายชนิด เช่น พืชนา้ หญ้า และยอดไม้ ชอบกนิ ดนิ โป่งเชน่ เดยี วกับกวางปา่ การสบื พันธ์ุ : ผสมพนั ธุ์ระหวา่ งเดอื นกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ฝูงละองจะเข้ามารวมกับฝูงละมั่ง ละ องจะ ตอ่ สกู้ ันเพ่ือแยง่ ชงิ สทิ ธิ ในการผสมพนั ธุแ์ ละครอบครองฝูงละม่ัง ละม่ัง ตั้งท้องนานราว 220 - 240 วัน ออกลกู ครง้ั ละตวั ลูกวางแรกเกดิ มลี ายจุดทั่วตัว เมื่อโตข้ึนจุดบนลาตัวค่อยจางไป หย่านมเม่ืออายุได้ 7 เดือน เม่อื อายุ 18 เดือน กเ็ ข้าสู่วัยเจรญิ พนั ธุ์ ละองและละมงั่ มีอายรุ าว 10 ปี

ถ่ินอาศัย : พบในเอเชียต้ังแต่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย กระจายลงไปพม่า ไทย ลาว กมั พชู า เวียดนาม และเกาะไหหลา ของประเทศจีน ละม่ังพันธุ์ไทยพบการกระจาย แถบเทือกเขาพนมดงรัก กมั พชู า ลาว และเกาะไหหลา ในประเทศไทยพบท้ังพนั ธุ์ไทยและพันธพ์ ม่า สถานภาพประเทศไทย : จากการจัดสถานภาพโดย IUCN(2004) ละมั่งมี สถานภาพเป็นสัตว์ที่ใกล้ สูญพันธ์ุ (Endangered) และจากการคุ้มครองโดยอนุสัญญา CITES (2005) ละมั่ง จัดอยู่ในบัญชี 1 (Appendix l)

ใบงาน เรือ่ ง ประเภทของสตั ว์ป่า คาช้แี จง 1. ผู้จัดกิจกรรมแบง่ ผ้รู บั บริการออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4-6 คน ศึกษาวิธีทากิจกรรม สารวจและ ค้นหาประเภทสตั วป์ า่ โดยจับสลากเลือกประเภทสัตวป์ า่ ทั้ง 4 กลุ่ม 2. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มแข่งกันหาข้อมูลชื่อสัตว์ป่าแต่ละประเภทท่ีกลุ่มตัวเองได้ มาเรียงให้ ถกู ต้อง ภายในเวลา 2 นาที พรอ้ มกับบนั ทึกช่ือสัตวป์ า่ ลงในใบงาน 3. ตัวแทนแต่ละกลุ่มรายงานชือ่ สตั วป์ า่ ทีส่ มาชิกในกลุ่มช่วยกันหามารายงานว่ามีช่ือสัตว์อะไรบ้าง โดยผ้จู ดั กิจกรรมเฉลยคาตอบไปพร้อมด้วย ประเภทสตั ว์ปา่ …………………………………………………………………………. สัตว์ปา่ ตัวที่ 1 ชื่อ................................................................................................................ สัตวป์ ่าตวั ที่ 2 ชื่อ................................................................................................................ สัตว์ป่าตัวท่ี 3 ชอื่ ................................................................................................................ สัตวป์ ่าตวั ที่ 4 ช่อื ................................................................................................................ สตั วป์ า่ ตวั ท่ี 5 ชื่อ................................................................................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook