แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้ ำและประเภทของไฟฟ้ ำ แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้ ำ คือ แหลง่ กำเนดิ พลงั งำนไฟฟ้ ำ เพ่อื ใช้ป้ อนให้อปุ กรณ์ไฟฟ้ ำตำ่ งๆ เป็ นกำรให้พลงั งำนแก่อเิ ลก็ ตรอนอิสระ ทำให้อิเลก็ ตรอนอิสระวงิ่ เคลอ่ื นที่ไปตำมอะตอมตำ่ งๆได้ เกิดกำรเปลย่ี นแปลงพลงั งำนไปในรูปตำ่ งๆเชน่ พลงั งำนกล พลงั งำนควำมร้อนพลงั งำนแสงเป็ นต้น ไฟฟ้ ำเกิดขนึ ้ ได้จำกแหลง่ กำเนดิ หลำยชนดิ แตกตำ่ งกนั ไปไฟฟ้ ำกบั ควำมเจริญของโลก ควำมเจริญก้ำวหน้ำของโลกมนษุ ย์ ทเ่ี ตม็ ไปด้วยอปุ กรณ์อำนวยควำมสะดวก และเทคโนโลยที ท่ี นั สมยั ตำ่ งๆ สว่ นทท่ี ำหน้ำทช่ี ว่ ยสนบั สนนุ ให้เกิดอปุ กรณ์อำนวยควำมสะดวก และเทคโนโลยใี หมๆ่ ขนึ ้ ได้ก็คือไฟฟ้ ำ เพรำะไฟฟ้ ำเป็ นพลงั งำนทส่ี ำมำรถผลดิ ขนึ ้ มำได้ นำมำใช้ประโยชน์ได้หลำกหลำย จนกลำยเป็ นปัจจยั ท่ีสำคญั ตอ่ กำรดำรงชีวติ อยขู่ องมนษุ ย์โลก โดยท่ีปัจจยั 4 เป็ นสง่ิ สำคญั ตอ่ กำรเป็ นอยขู่ องมนษุ ย์ต้องใชพั ลงั งำนไฟฟ้ ำในกำรผลติ ขนึ ้ มำ อปุ กรณ์อำนวยควำมสะดวกอปุ กรณ์ไฟฟ้ ำและเคร่ืองใช้ไฟฟ้ ำช่วยอำนวยควำมสะดวกไฟฟ้ ำเกิดขนึ ้ ได้จำกแหลง่ กำเนดิ แตกตำ่ งกนั แยกออกได้เป็ น 6 วิธีดงั น/ี ้/1.) เกิดจำกกำรเสยี ดสี2.) เกิดจำกกำรทำปฏิกิริยำทำงเคมี3.) เกิดจำกควำมร้อน4.) เกิดจำกแสงสวำ่ ง5.) เกิดจำกแรงกดดนั6.) เกิดจำกสนำมแมเ่ หลก็ไฟฟ้ ำเกิดจำกกำรเสยี ดสี ไฟฟ้ ำเกิดจำกกำรเสยี ดสี เป็ นไฟฟ้ ำท่ีถกู ค้นพบมำนำนกวำ่ 2,000 ปี แล้ว เกิดขนึ ้ ได้จำกกำรนำวตั ถตุ ำ่ งกนั 2 ชนดิมำขดั สกี นั เช่น จำกแทง่ ยำงกบั ผ้ำขนสตั ว์ แทง่ แก้วกบั ผ้ำแพร แผน่ พลำสตกิ กบั ผ้ำ และหวีกบั ผม เป็ นต้น ผลของกำรขดั สดี งั กลำ่ วทำให้เกิดควำมไมส่ มดลุ ขนึ ้ ของประจไุ ฟฟ้ ำในวตั ถทุ งั้ สอง เนื่องจำกเกิดกำรถำ่ ยเทประจไุ ฟฟ้ ำ วตั ถทุ งั้ สอง
จะแสดงศกั ย์ไฟฟ้ ำออกมำตำ่ งกนั วตั ถชุ นิดหนง่ึ แสดงศกั ญ์ไฟฟ้ ำบวก ( + ) ออกมำ วตั ถอุ ีกชนดิ หนงึ่ แสดงศกั ย์ไฟฟ้ ำลข(-) ออกมำ ไฟฟ้ ำเกดิ จำกกำรเสยี ดสี ไฟฟ้ ำเกิดจำกกำรทำปฏิกิริยำทำงเคมี เมือ่ นำโลหะ 2 ชนิดทแี่ ตกตำ่ งกนั เชน่ สงั กะสกี บั ทองแดงจ่มุ ลงในสำรละลำยอเิ ลก็ โทรไลท์ โลหะทงั้ สองจะทำปฏกิ ริยำเคมี กบั สำรละลำยอิเลก็ โทรไลท์ โดยอิเลก็ ตรอน(ประจลุ บ)จำกทองแดงจะถกู ดดู เข้ำไปยงั ขวั้ ของสงั กะสี เม่ือทองแดงขำดประจลุ บจะเปลย่ี นควำมตำ่ งศกั ย์ไฟฟ้ ำ เป็ นบวกทนั ทเี รียกวำ่ ขวั้ บวก สว่ นสงั กะสจี ะเป็นขวั้ ลบตำมควำมตำ่ งศกั ย์ สว่ นประกอบของไฟฟ้ ำเกิดจำกกำรทำปฏิกิริยำทำงเคมี แบบเบอื ้ งต้นนี ้ถกู เรียกวำ่ โวลตำอกิ เซลล์ (Voltaic Cell) ที่ปรำกฎ (ดงั รูป)สว่ นประกอบของโวลตำอกิ เซลล์ไฟฟ้ ำเกิดจำกกำรทำปฏิกิริยำทำงเคมี ทผ่ี ลติ ขนึ ้ มำใช้งำนจริงนนั้ ได้นำเอำหลกั กำรของโวลตำอกิ เซลล์ไปใช้งำน โดยกำรสร้ำงเซลลไ์ ฟฟ้ ำทใ่ี ห้ศกั ย์ไฟฟ้ ำสงู มำกขนึ ้ คือให้แรงดนั เพิ่มขนึ ้ ตวั อยำ่ งเชน่ แบตเตอรี และถำ่ นไฟฟ้ ำฉำย เป็ นต้น แสดงในรูปไฟฟ้ ำท่นี ำเอำมำใช้ได้จริง เชน่ แบตเตอร่ี ถำ่ นไฟฟ้ ำเกิดจำกควำมร้อน ไฟฟ้ ำเกิดจำกควำมร้อน เกิดขนึ ้ ได้โดยนำแทง่ โลหะหรือแผน่ โลหะตำ่ งชนดิ กนั มำ 2 แทง่ หรือ 2 แผน่ เช่นทองแดง และเหลก็ นำปลำยข้ำงหนงึ่ ของโลหะทงั้ สองตอ่ ติกกนั โดยกำรเช่ือมหรือยดึ ด้วยหมดุ ปลำยที่เหลอื อีกด้ำนนำไปตอ่ กบั เข้ำมเิ ตอร์วดั แรงดนั เมอ่ื ให้ควำมร้อนทป่ี ลำยด้ำนตอ่ ติดกนั ของโลหะทงั้ สอง สง่ ผลให้เกดิ กำรแยกตวั ของประจุไฟฟ้ ำ เกิดศกั ย์ไฟฟ้ ำขนึ ้ ทีป่ ลำยด้ำนเปิดของโลหะแสดงคำ่ ออกมำทม่ี ิเตอร์ ไฟฟ้ ำเกิดจำกควำมร้อนแสดงดงั รูป
ไฟฟ้ ำเกิดจำกควำมร้อนที่ถกู สร้ำงขนึ ้ มำใช้งำนจริง เป็ นอปุ กรณ์ที่มชี ่ือเรียกวำ่ เทอร์โมคปั เปิ ล(Thermocouple) ใช้เพือ่ วดั เก่ยี วกบั อณุ หภมู ิ จงึ มกั เรียกวำ่ ไพโรมิเตอร์ (Pyrometers) คือเป็นมเิ ตอร์สำหรับวดัอณุ หภมู ทิ เี่ ปลยี่ นแปลง โดยมีเทอร์โมคปั เปิ ลเป็ นตวั ตรวจวดั อณุ หภมู ิสง่ แรงดนั ไปแสดงผลที่มเิ ตอร์ ลกั ษณะเทอร์โมคปั เปิ ล แสดงในรูปเทอร์โมคปั เปิ ลไฟฟ้ ำเกิดจำกแสงสวำ่ ง สำรบำงชนดิ เม่ืออยใู่ นทมี่ ดื จะแสดงปฎกิ ิริยำใดๆออกมำ แตเ่ มือ่ ถกู แสงแดดแล้วสำรนนั้ สำมำรถทจี่ ะปลอ่ ยอิเลก็ ตรอน ได้ เป็ นเวลำหลำยสบิ ปี นกั วิทยำศำสตร์พยำยำมทจี่ ะเปลยี่ นแปงพลงั งำนไฟฟ้ ำแตย่ งั นำแสงสวำ่ งมำใช้ประโยชน์ได้น้อยมำก เชน่ อปุ กรณ์ชนิดหนงึ่ ทเ่ี รียกวำ่ โฟโตวอลเทอกิ เซลล์ ซงึ่ ประกอบด้วยวตั ถวุ ำงเป็ นชนั้ ๆ เมอ่ื ถกู กบัแสงสวำ่ งอเิ ลก็ ตรอน ท่ีเกิดขนึ ้ จะวิ่งจำกด้ำนบนไป สโู่ วลต์มิเตอร์แล้วไหลกลบั มำชนั้ ลำ่ งมือ่ ดทู เ่ี ขม็ ของโวลต์ โฟโต้เซลล์มเิ ตอร์จะเห็นเได้อยำ่ ง ชดั เจนวำ่ มีกระแสไฟฟ้ ำเกิดขนึ ้ ยงั มีหลอดอีกชนิดหนง่ึ ทเ่ี รียกวำ่ โฟโต-วอลเทอกิ เซลล์(อเิ ลก็ ตริกอำย หรือ พ.ี อ.ี เซลล)์ ซงึ่ ใช้ มำกในวงกำรอตุ สำหกรรม เช่น ในกล้องถ่ำยรูปทม่ี ีเครื่องวดั แสงโดยอตั โนมตั ิ ระบบไฟฟ้ ำอตั โนมตั ิหน้ำรถยนต์ เคร่ือง ฉำยภำพยนตร์ เสยี งสวิตช์ปิดเปิด ประตอู ตั โนมตั ิ โดยจะมหี ลกั กำรทำงำนแบบงำ่ ยๆ เมอื่ลำแสงมำกระทบโฟโตเซลล์กจ็ ะ เกิดอเิ ลก็ ตรอนไหลในวงจรนนั้ ๆได้รูปร่ำงของเซลลแ์ สงอำทิตย์3.6 ไฟฟ้ ำเกิดจำกแรงกดดนั
เมื่อเรำพดู ไปในไมโครโฟนหรือโทรศพั ท์แบบตำ่ งๆคลน่ื ของควำมแรงกดดนั ของพลงั งำนเสยี งจะทำให้แผน่ ไดอะ แฟรม เคลอื่ นไหว ซงึ่ แผน่ ไดอะแฟรมจะทำให้ขดลวดเคลอ่ื นทีผ่ ำ่ นสนำมแมเ่ หลก็ จงึ ทำให้เกิดพลงั งำนไฟฟ้ ำซง่ึ ถกู สง่ ไปตำมสำยจนถงึ เคร่ืองรับ บำงทไี มโครโฟนทีใ่ ช้กบั เครื่องขยำยเสยี งหรือเคร่ือง วิทยกุ ็ใช้หลกั กำรเช่นนเี ้หมอื นกนั อยำ่ งไรก็ตำมไมโครโฟนทกุ ชนดิ มหี ลกั กำรทำงำนที่เหมอื นกนั คือใช้เปลยี่ นคลนื่ แรงกดของเสยี งให้เป็ นไฟฟ้ ำโดยตรง นนั่ เอง ผลกึ ของวตั ถบุ ำงอยำ่ งถ้ำ ถกู กรดจะทำให้เกิดประจไุ ฟฟ้ ำขนึ ้ ได้ เชน่ หินเขยี ้ วหนมุ ำน หินทมู ำลนี และเกลอื โรเลล์ ซงึ่ แสดงให้ เห็นได้อยำ่ งดีวำ่ แรงกดเป็ นต้นกำเนดิ ไฟฟ้ ำถ้ำเอำผลกึ ที่ทำจำกวสั ดเุ หลำ่ นสี ้ อดเข้ำไประหวำ่ งโลหะ ทงั้ สอง นนั้ จะมำกน้อยเพยี งใดยอ่ มขนึ ้ อยกู่ บั แรงกดหรืออำจจะใช้ผลกึ นเี ้ปลยี นพลงั งำนไฟฟ้ ำเป็ นพลงั งำนกลได้โดยจ่ำยประจุ เข้ำทแี่ ผน่ โลหะทงั้สองเพรำะจะทำให้ผลกึ นนั้ หดตวั และขยำยตวั ออกได้ตำม ปริมำณของประจุ ต้นกำเนดิ ไฟฟ้ ำทีใ่ ช้แรง กดนนี ้ ำไปใช้ได้แตม่ ีขอบเขตจำกดั คอื ใช้ได้เฉพำะกบั อปุ กรณ์ ทใ่ี ช้กำลงั ตำ่ มำก เช่น ไมโครโฟนชนดิ แร่ หฟู ังชนดิ แร่ หวั เข็มรับเคร่ืองเลน่ จำนเสยี ง และเครื่องโซนำ่ ร์ซง่ึ ใช้สง่ คลน่ื ใต้นำ้ เหลำ่ นลี ้ ้วนแตใ่ ช้ผลกึ ทำให้เกิดไฟฟ้ ำด้วยแรงกด ทงั้ สนิ ้ ดงั นนั้ เวลำกรอกเสยี งพดูลงในไมโครโฟนหรือเคร่ืองโทรศพั ท์ แผน่ ไดอะแฟรมซง่ึ เชื่อมโยงตดิ กบั ครีสตอลจะเกิด แรงดนั ไฟฟ้ ำมำกน้อยแล้วแตจ่ งั หวะพดู ในขณะทเ่ี สยี งพดู กระทบแผน่ ไดอะแฟรมก็จะถกู เปลยี่ นเป็ นอำนำจแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ ำ ไหลเข้ำสเู่ คร่ืองขยำยเสยี ง เพอ่ื ให้ออกมำเป็ นเสยี งดงั ทำงลำโพงขยำยเสยี งตอ่ ไป3.7 ไฟฟ้ ำเกิดจำกสนำมแมเ่ หลก็ จำกกำรทดลองของไมเคลิ ฟำรำเดย์นกั วิทยำศำสตร์ชำวองั กฤษพบวำ่ เม่อื นำแทง่ แมเ่ หลก็ เคลอื่ นท่ีผำ่ น ขดลวดหรือนำ ขดลวดเคลอื่ นทผ่ี ำ่ นสนำมแมเ่ หลก็ จะเกิดแรงดนั ไฟฟ้ ำเหนย่ี วนำขนึ ้ ในขดลวดนนั้ และยงั สรุปตอ่ ไปได้อีกวำ่กระแสไฟฟ้ ำ จะเกิดได้มำกหรือน้อยขนึ ้ อยกู่ บั 1.จำนวนขดลวด ถ้ำขดลวดมจี ำนวนมำกก็จะเกิดแรงดนั ไฟฟ้ ำเหนย่ี วนำมำกด้วย 2.จำนวนเส้นแรงแมเ่ หลก็ ถ้ำเส้นแรงแมม่ จี ำนวนมำกกจ็ ะ เกิดแรงดนั ไฟฟ้ ำเหน่ยี วนำมำกด้วย 3.ควำมเร็วในกำรเคลอ่ื นที่ของแมเ่ หลก็ ถ้ำเคลอื่ นที่ผำ่ นสนำมแมเ่ หลก็ เร็วขนึ ้ ก็จะเกิดแรงดนั ไฟฟ้ ำเพ่มิ ขนึ ้ ซงึ่ ตอ่ มำได้ นำหลกั กำรนมี ้ ำคดิประดิษฐ์เป็ นเคร่ืองกำเนดิ ไฟฟ้ ำหรือเยนเนอเรเตอร์3.8 ประเภทของไฟฟ้ ำ ไฟฟ้ ำเกิดขนึ ้ ได้จำกแหลง่ กำเนดิ หลำยๆ แบบ ซงึ่ แบง่ เป็ น 2 แบบใหญ่ๆได้ดงั นี ้
1. ไฟฟ้ ำสถิต ( Static Electricity ) 2. ไฟฟ้ ำกระแส ( Current Electricity ) ไฟฟ้ ำสถิต คือ ไฟฟ้ ำทเี่ กิดจำกกำรเสยี ดสเี ม่อื เอำวตั ถบุ ำงอยำ่ งมำถกู นั จะทำให้เกิดพลงั งำนขนึ ้ ซงึ่ พลงั งำนนี ้สำมำรถ ดดู เศษกระดำษหรือฟำงข้ำวเบำๆได้ เชน่ เอำแทง่ ยำงแขง็ ถกู บั ผ้ำสกั หลำด หรือครั่งถกู บั ผ้ำขนสตั ว์ พลงั งำนท่ีเกิดขนึ ้ เหลำ่ นเี ้รียกวำ่ ประจไุ ฟฟ้ ำสถิต เมอื่ เกดิ ประจไุ ฟฟ้ ำแล้ว วตั ถทุ ่ีเกดิ ประจไุ ฟฟ้ ำนนั้ จะเก็บประจไุ ว้ แตใ่ นทีส่ ดุ ประจุไฟฟ้ ำ จะถ่ำยเทไปจนหมด วตั ถทุ ีเ่ ก็บประจไุ ฟฟ้ ำไว้นนั้ จะคำยประจอุ ยำ่ งรวดเร็วเมือ่ ตอ่ ลงดิน ในวนั ทม่ี ีอำกำศแห้งจะทำให้เกดิ ประจไุ ฟฟ้ ำได้มำก ซงึ่ ทำให้สำมำรถดดู วตั ถจุ ำกระยะทำงไกลๆได้ดี ประจไุ ฟฟ้ ำทเ่ี กิดมอี ยู่ 2 ชนดิ คือ ประจบุ วกและ ประจลุ บ คณุ สมบตั ิของประจไุ ฟฟ้ ำ คือ ประจไุ ฟฟ้ ำชนดิ เดยี วกนั จะผลกั กนั ประจไุ ฟฟ้ ำตำ่ งชนดิ กนั จะดดู กนั3.8.2 ไฟฟ้ ำกระแส ไฟฟ้ ำกระแสคือ กำรไหลของอิเลก็ ตรอนภำยใน ตวั นำไฟฟ้ ำจำกท่หี นง่ึ ไปอีกท่ีหนง่ึ เช่น ไหลจำก แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้ ำไปสแู่ หลง่ ทีต่ ้องกำรใช้กระ แสไฟฟ้ ำ ซง่ึ กอ่ ให้เกิด แสงสวำ่ ง เม่อื กระแส ไฟฟ้ ำไหลผำ่ นลวด ควำมต้ำนทำนสงู จะกอ่ ให้ เกดิควำมร้อน เรำใช้หลกั กำรเกิดควำมร้อน เช่นนมี ้ ำประดษิ ฐ์อปุ กรณ์ไฟฟ้ ำ เช่น เตำหงุ ต้ม เตำรีดไฟฟ้ ำ เป็ นต้นไฟฟ้ ำกระแสแบง่ ออกเป็ น 2 ชนดิ คือ – ไฟฟ้ ำกระแสตรง ( Direct Current หรือ D .C ) – ไฟฟ้ ำกระแสสลบั ( Alternating Current หรือ A.C. )ect Current หรือ D เป็ นไฟฟ้ ำที่มีทิศทำงกำรไหลไปทำงเดยี วตลอดระยะเวลำท่วี งจรไฟฟ้ ำปิ ดกลำ่ วคอื กระแสไฟฟ้ ำจะไหลจำกขวั้ บวกภำยในแหลง่ กำเนดิ ผำ่ นจำกขวั้ บวกจะไหลผำ่ นตวั ต้ำนหรือโหลดผำ่ นตวั นำไฟฟ้ ำแล้ว ย้อนกลบั เข้ำแหลง่ กำเนดิ ทข่ี วั้ ลบวนเวยี นเป็ นทำงเดยี วเชน่ นตี ้ ลอดเวลำ กำรไหลของไฟฟ้ ำกระแสตรงเช่นนี ้แหลง่ กำเนดิ ท่ีเรำรู้จกั กนั ดีคอื ถ่ำน-ไฟฉำยไดนำโม ดีซี เยนเนอเรเตอร์ เป็ นต้น
ไฟฟ้ ำกระแสตรงแบง่ ออกเป็ น 2 ประเภท1.1 ไฟฟ้ ำกระแสตรงประเภทสมำ่ เสมอ (Steady D.C) เป็ นไฟฟ้ ำกระแสตรง อนั แท้จริง คอื เป็ นไฟฟ้ ำกระแสตรงทีไ่ หลอยำ่ งสม่ำเสมอตลอดไปไฟฟ้ ำกระแสตรงประเภทนไี ้ ด้มำจำกแบตเตอร่ีหรือ ถำ่ นไฟฉำย1.2 ไฟฟ้ ำกระแสตรงประเภทไมส่ มำ่ เสมอ ( Pulsating D.C) เป็นไฟฟ้ ำกระแสตรงทีเ่ ป็ นช่วงคลน่ื ไมส่ ม่ำเสมอไฟฟ้ ำกระแสตรงชนดิ นไี ้ ด้มำจำกเคร่ืองไดนำโมหรือ วงจรเรียงกระแส (เรคตไิ ฟ )คณุ สมบตั ขิ องไฟฟ้ ำกระแสตรง(1) กระแสไฟฟ้ ำไหลไปทิศทำงเดียวกนั ตลอด(2) มคี ำ่ แรงดนั หรือแรงเคลอ่ื นเป็ นบวกอยเู่ สมอ(3) สำมำรถเก็บประจไุ ว้ในเซลล์ หรือแบตเตอร่ีได้ประโยชน์ของไฟฟ้ ำกระแสตรง(1) ใช้ในกำรชบุ โลหะตำ่ งๆ(2) ใช้ในกำรทดลองทำงเคมี(3) ใช้เชื่อมโลหะและตดั แผน่ เหลก็(4) ทำให้เหลก็ มอี ำนำจแมเ่ หลก็(5) ใช้ในกำรประจกุ ระแสไฟฟ้ ำเข้ำแบตเตอรี่
(6) ใช้ในวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์(7) ใช้เป็ นไฟฟ้ ำเดินทำง เชน่ ไฟฉำย3.10 ไฟฟ้ ำกระแสสลบั ( Alternating Current หรือ A.C. ) เป็ นไฟฟ้ ำทีม่ กี ำรไหลกลบั ไป กลบั มำ ทงั้ ขนำดของกระแสและแรงดนั ไมค่ งท่ี เปลย่ี นแปลงอยเู่ สมอ คือ กระแสจะไหลไปทำงหนงึ่ กอ่ น ตอ่ มำก็จะไหลสวนกลบั แล้ว ก็เร่ิมไหลเหมอื นครัง้ แรก ครัง้ แรกกระแสไฟฟ้ ำจะไหลจำกแหลง่ กำเนดิ ไปตำมลกู ศรเส้นหนกั เริ่มต้นจำกศนู ย์ แล้วคอ่ ยๆเพ่มิ ขนึ ้ เรื่อยๆจนถงึขีดสดุ แล้วมนั จะคอ่ ยๆลดลงมำเป็ นศนู ย์อีกตอ่ จำกนนั้ กระแสไฟฟ้ ำจะไหลจำกแหลง่ กำเนดิ ไปตำมลกู ศรเส้นปะลดลงเร่ือยๆจนถงึ ขดี ตำ่ สดุ แล้วคอ่ ยๆ เพ่ิมขนึ ้ เร่ือยๆ จนถงึ ศนู ย์ตำมเดมิ อกี เมื่อเป็ นศนู ย์แล้วกระแสไฟฟ้ ำจะไหลไปทำงลกู ศรเส้นหนกั อีกเป็ นดงั นี ้เร่ือยๆไปกำรท่กี ระแสไฟฟ้ ำไหลไปตำมลกู ศร เส้นหนกั ด้ำนบนครงั้ หนง่ึ และไหลไปตำมเส้นประด้ำนลำ่ งอีกครงั้ หนงึ่ เวยี น กวำ่ 1 รอบ ( Cycle ) ควำมถ่ี หมำยถงึ จำนวนลกู คลน่ื ไฟฟ้ ำกระแสสลบั ที่เปลย่ี นแปลงใน 1 วินำที กระแสไฟฟ้ ำสลบั ในเมืองไทยใช้ไฟฟ้ ำทีม่ ีควำมถี่ 50 เฮิรตซ์ ซง่ึ หมำยถงึ จำนวนลกู คลนื่ ไฟฟ้ ำสลบั ทเ่ี ปลย่ี นแปลง 50 รอบ ในเวลำ 1 วินำทีคณุ สมบตั ิของไฟฟ้ ำกระแสสลบั(1) สำมำรถสง่ ไปในท่ีไกลๆได้ดี กำลงั ไมต่ ก(2) สำมำรถแปลงแรงดนั ให้สงู ขนึ ้ หรือตำ่ ลงได้ตำมต้องกำรโดยกำรใช้หม้อแปลง(Transformer)ประโยชน์ของไฟฟ้ ำกระแสสลบั(1) ใช้กบั ระบบแสงสวำ่ งได้ดี
(2) ประหยดั คำ่ ใช้จำ่ ย และผลติ ได้ง่ำย(3) ใช้กบั เคร่ืองใช้ไฟฟ้ ำท่ีต้องกำรกำลงั มำกๆ(4) ใช้กบั เครื่องเชื่อม(5) ใช้กบั เคร่ืองอำนวยควำมสะดวกและอปุ กรณ์ไฟฟ้ ำได้เกือบทกุ ชนดิ กำรเกิดกระแสไหลในวงจรไฟฟ้ ำคือ กำรเคลอื่ นท่ขี องอเิ ลก็ ตรอน ดงั นนั้ ในกำรกลำ่ วถงึ กำรไหลของกระแสจงึหมำยถงึ อิเลก็ ตรอนเคลอื่ นที่ กระแสชนดิ นมี ้ ชี ่ือเรียกวำ่ กระแสอิเลก็ ตรอน (Electron Current) มที ศิ ทำงกำรไหลจำกศกั ย์ไฟฟ้ ำลบ (-) ไปยงั ศกั ย์ไฟฟ้ ำบวก (+) แตใ่ นบำงครัง้ กำรกลำ่ วถึงกระแสไหลอำจไมไ่ ด้หมำยถงึ อเิ ลก็ ตรอนเคลอ่ื นที่แตเ่ ป็ นโฮล (Hole) หรือรูเคลอ่ื นท่ี กระแสชนดิ นีม้ ีช่ือเรียกวำ่ กระแสนิยม (Conventional Current) มที ิศทำงกำรไหลของกระแสจำกศกั ย์ไฟฟ้ ำบวก (+) ไปยงั ศกั ย์ไฟฟ้ ำลบ (-) กำรทีโ่ ฮลหรือรูเคลอ่ื นท่ีได้เพรำะกำรเคลอ่ื นที่ไปของอิเลก็ ตรอนทำให้เกิดเป็ นรูหรือช่องวำ่ งขนึ ้ มำนนั่ คอื เกิดโฮล เมอื่ อิเลก็ ตรอนเคลอ่ื นทไี่ ปข้ำงหน้ำมผี ลให้เกิดโฮลเคลอื่ นทมี่ ำข้ำงหลงั มีทิศทำงสวนทำงกนั กำรอธิบำยทิศทำงกำรไหลของกระแสจะพบได้ทงั้ กระแสอเิ ลก็ ตรอนและกระแสนิยม ไมว่ ำ่ กระแสจะไหลด้วยกระแสอะไรก็ตำม ผลที่เกิดกบั อปุ กรณ์ไฟฟ้ ำหรือวงจรไฟฟ้ ำไมแ่ ตกตำ่ งกนั จึงกลำ่ วได้วำ่ คือกระแสไหลเหมือนกนั ลกั ษณะกำรไหลของกระแสอเิ ลก็ ตรอนและกระแสนยิ ม
Search
Read the Text Version
- 1 - 8
Pages: