Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2565_พระมหาชาญ อชิโต

2565_พระมหาชาญ อชิโต

Published by E-Library, Buddhist Studies, MCU Surin, 2023-06-27 06:36:30

Description: 2565_พระมหาชาญ อชิโต

Search

Read the Text Version

ศกึ ษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปรู่ ิม รตนมุนี วดั อทุ มุ พร อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรนิ ทร์ A STUDY OF ROLE IN COMMUNITIES DEVELOPMENT OF LOUNG PUR RIM RATANAMUNI, WAT UTHUMBHORN, PRASAT DISTRICT, SURIN PROVINCE พระมหาชาญ อชิโต (สรอ้ ยสวุ รรณ) วิทยานพิ นธน์ เ้ี ป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษา ตามหลกั สูตรปรญิ ญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๕

ศกึ ษาบทบาทการพฒั นาชุมชนของหลวงป่รู มิ รตนมนุ ี วัดอทุ มุ พร อำเภอปราสาท จงั หวดั สรุ นิ ทร์ พระมหาชาญ อชิโต (สรอ้ ยสุวรรณ) วทิ ยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลกั สูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศกั ราช ๒๕๖๕ (ลขิ สทิ ธเิ์ ปน็ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย)

A Study of Role in Communities’ Development of Loung Pur Rim Ratanamuni, Wat Uthumbhorn, Prasat District, Surin Province Phramaha Chan Ajito (Soisuwan) A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Master of Arts (Buddhist Studies) Graduate School Mahachulalongkornrajavidyalaya University C.E. 2022 (Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)



ก ชื่อวิทยานพิ นธ์ : ศึกษาบทบาทการพัฒนาชมุ ชนของหลวงปูร่ มิ รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรนิ ทร์ ผวู้ จิ ัย : พระมหาชาญ อชโิ ต (สร้อยสุวรรณ) ปรญิ ญา : พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพทุ ธศาสนา) คณะกรรมการควบคุมวทิ ยานพิ นธ์ : พระราชวิมลโมล,ี ผศ. ดร., ป.ธ. ๙, พธ.บ. (สงั คมวทิ ยา), อ.ม. (บาลแี ละสันสกฤต), พธ.ด. (พระพุทธศาสนา) : ดร.ธนรัฐ สะอาดเอ่ียม, พธ.บ. (สงั คมศึกษา), M.A. (Buddhist Studies), M.Phil. (Buddhist Studies), Ph.D. (Buddhist Studies) วันสำเร็จการศกึ ษา : ๑๓ กันยายน ๒๕๖๕ บทคัดย่อ วิทยานิพนธ์เรื่อง “ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์” มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดการพัฒนา ชุมชนในพระพุทธศาสนา (๒) เพื่อศึกษาบทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน และ (๓) เพื่อศึกษา บทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็น การศึกษาเชงิ คณุ ภาพ และสัมภาษณ์เชงิ ลึก แล้วนำเสนอเชงิ พรรณนาวิเคราะห์ ดังน้ี ผลการศึกษาพบวา่ ๑) การพัฒนาชุมชนในพระพุทธศาสนา สำคัญที่สุด คือ การพัฒนาจิต รวมถึงการพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนสุขภาพจิต ในชนบทหลายแหง่ พระสงฆ์ไดเ้ ป็นผนู้ ำในการพัฒนา และวัด เปน็ ศูนย์กลางของการพัฒนา หลกั ธรรมในการพัฒนาได้แก่ ภาวนา ๔ คือ กายภาวนา การพัฒนากาย , ศีลภาวนา การพัฒนาศีล, จิตตภาวนา การพัฒนาจิต, และปัญญาภาวนา การพัฒนาปัญญา พระสงฆ์เป็นผู้นำชาวบ้านในชุมชนช่วยกันพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้นเจ้าอาวาสผู้มีหน้าที่บริหารและ ปกครองวัด, เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดชาวบ้าน การพัฒนามุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงในตัวมนุษย์รวมถึง ศักยภาพของมนุษย์ ด้านความรู้ความสามารถของประชาชนในชุมชน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการ ช่วยเหลอื ตนเอง ๒) บทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน สงเคราะห์ คือ การยึดเหนี่ยวจิตใจ ประสานหมู่ ชนไว้ให้รวมเป็นอนั หนึง่ อันเดยี วกัน พระสงฆ์ได้ทำหน้าที่เกื้อกูลประชาชนในสังคมตลอดมาจะเหน็ ได้ จากบทบาทของพระสงฆ์ ในการสร้างถนน สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ทำเขื่อนกั้นน้ำ ที่พักคน ริมทาง และการช่วยเหลือเกื้อกูลครอบครัวที่ลำบากการครองชีพในสังคม พระสงฆ์ต้องพัฒนาตนเอง ในด้านปริยตั ิและปฏิบัติ และสามารถนำคุณธรรมแนวทางอันดีงามเข้าสู่ชมุ ชนได้ สามารถเป็นที่พึ่งของ

ข ชุมชนได้ การประกาศพระสัทธรรมของพระพุทธองค์ทรงเลือกสงเคราะห์ด้วยการให้บุคคลรู้จัก ประพฤติดี ประพฤตชิ อบ และประพฤติตามธรรมะ ๓) บทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี หลวงปู่เป็นพระสงฆ์ที่คุณวุฒิ วัยวุฒิ สูง เป็นพระเกจิอาจารย์ท่ีมลี กู ศิษย์เปน็ จำนวนมาก หลวงปูท่ ราบปญั หาเยาวชนขาดศลี ธรรม คณุ ธรรม จากปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ทำให้หลวงปู่มีความสนใจและพร้อมที่จะเสียสละในเรื่องการพัฒนา รวมทง้ั พฒั นาพระสงฆ์ภายในตำบลทุ่งมน ใหม้ กี ารศึกษานำหนา้ เป็นตัวอยา่ งของประชาชน ด้วยการ มีเมตตา กรุณา เป็นผู้นำในการทำงานพัฒนาชุมชน หลวงปู่มีภาวะผู้นำสูง มีคุณความดี สติปัญญา ความรู้ความสามารถเฉพาะตัวท่าน ชักนำให้คนในชุมชนมีความสามัคคีธรรม เป็นผู้นำท่ี “ได้ใจ ได้ งาน” รู้คิด รู้ทัน และรู้ทำ ในการพัฒนาชุมชนมี ๓ ด้าน พัฒนาพฤติกรรม พัฒนาจิตใจ และพัฒนา ปัญญา เพื่อให้คนในชุมชนมีความสงบสุข ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุข ท่านได้สร้างผืนป่า รักษาธรรมทำ ป่าชุมชน ผืนแรกชื่อว่า “ป่าชุมชนคีรีวงคต”เป็นที่ปฏิบัติธรรม และเข้าใจปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ ปา่ ไม้ ท่ีดิน แหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ สร้างสะพาน สร้างโรงเรยี น สรา้ งสถานีอนามัย ส่ิงเหล่านี้ล้วน เกดิ จากการมเี มตตาธรรมของหลวงปู่ ท่ีไมย่ ึดติดในสิ่งของภายนอก แต่เสียสละกำลังกาย กำลังทรัพย์ เพอ่ื คนหมมู่ าก

ค Thesis Title : A Study of Role in Communities Development of Loung Pur Rim Ratanamuni, Wat Uthumbhorn, Researcher Prasat District, Surin Province : Phramaha Chan Achito (Soisuwan) Degree : Master of Arts (Buddhist Studies) Thesis Supervisory Committee : Phraratchawimonmoli, Asst. Prof. Dr., Pali IX, B.A. (Sociology), M.A. (Pali and Sanskrit), Ph.D. (Buddhist Studies) : Dr. Thanarat Sa-ard-iam, B.A. (Social Studies), M.A. (Buddhist Studies), M.Phil. (Buddhist Studies), Ph.D. (Buddhist Studies) Date of Graduation : September 13, 2022 Abstract The thesis title is “A study of role in Communities Development of Loung Pur Rim Ratanamuni, Wat Uthumbhorn, Prasat District, Surin Province.” This research has three main objectives, (1) to study the concept of community’s development in Buddhism, (2) to study the roles of monks in communities’ development, and (3) to study the role in communities’ development of Loung Pur Rim Ratanamuni, Wat Uthumbhorn, Prasat District, Surin Province. This research is field qualitative research. This research collected data from academic documents and in-depth interviews. The key informants are; monks, academics, local leaders, local wisdom persons, and the general person. The data analysis and present the descriptive analysis style. The results have found that: - 1) Community development in Buddhism is the most important aspect of mental development, including moral, ethical, and mental health development. In many rural areas, monks have taken the lead in development and the monastery is the center of development. The principles of development are Bhavana 4 namely: Kaya-bhavana: Physical development, Sila-bhavana: morality development, Citta-bhavana: mental development, and Pañña-bhavana: wisdom development. The Buddhist monks are

ง leading the villagers in the community, helping each other to improve the community. The abbot, who is responsible for administering and ruling the temple, is the one who is close to the villagers. The development focuses on changes in the human body, as well as human potential. Knowledge and ability of people in the community to gain confidence in self-help. 2) The roles of monks in communities’ development are: connecting the mind and uniting the masses into one. Monks have always served to support the people in society, as evidenced by the roles of monks in building roads, building schools, building hospitals, making barrages, sheltering people on the sidelines as well as helping to support the struggling kitchens of living in society. The Buddhist monks must develop themselves in education and the Dhamma's practice and be able to bring good morality into the community can be a refuge for the community. At this point, the Buddha’s proclamation of the Dhamma chooses relief by giving a person a good job, and behaving like and following the Dhamma. 3) The role in the community development of Loung Pur Rim Ratanamuni found that Luang Pur Rim Ratanamuni was a Buddhist monk, who was high in qualification and elderly. At this point, he was a Buddhist expert who has a large number of disciples. He well knew that youth lacked morality and morality. Therefore, From the problems that arise in the community, he is interested and ready to sacrifice in matters of development, including the development of the Buddhist monks in Tungmon sub-district to have education preceded by the example of the people, with Metta (loving-kindness) and Karuna (compassion), as well as be a leader in community development work. Luang Pur Rim Ratanamuni Was highly leadership, goodwill, intelligent, unique knowledge, and abilities. Have the ability to induce people in the community to be harmonious. He was a leader, “Get a heart, get a job”, cognition, cognition as well as knowing doing. There are three aspects of community development: behavioral development, mental development, and intellectual development consequently that people in the community can have peace and not be related to the causes of ruin. He has created forests to preserve the Dhamma. He made the first community forest called “Khiri Wong Kot’s Community Forest”. It is a place to practice the Dhamma and understand natural resource issues, forests, lands, public water, bridges, Building schools, and community hospitals. These are all due to his

จ benevolence. He was not attached to external objects but sacrificed his physical strength and strength for the communities.

ฉ กติ ติกรรมประกาศ วทิ ยานิพนธ์ฉบับน้ี สำเร็จได้ด้วยความเมตตาอนุเคราะหจ์ ากหลายท่านหลายฝ่ายดว้ ยกันท่ี กรุณาแนะนำและใหก้ ำลงั ใจด้วยดีตลอดมา ผ้วู จิ ยั จึงขอขอบพระคุณทกุ ทา่ น ดงั นี้ ผู้วจิ ัยขออนุโมทนาขอบคุณ ผู้บริหารทุกท่าน คณาจารย์หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต ทกุ รูป ทุกท่าน ในมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสรุ ินทร์ ที่ประสิทธิประสาทให้ ความรู้โดยเฉพาะ พระราชวิมลโมลี, ผศ.ดร. และ ดร.ธนรัฐ สะอาดเอี่ยม อาจารย์ท่ีปรึกษาการทำ วิทยานิพนธ์ในคร้ังนี้ ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ท่ีได้เมตตาให้คำปรึกษาแนะนำ ปรับปรุงแก้ไข วิทยานิพนธ์จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี รวมถึงนางสาวจิรารัตน์ พิมพ์ประเสริฐ นักวิชาการศึกษา และ นางสาวลัดดาวัลย์ คงดวงดี นักการจัดการงานท่ัวไป ประจำบัณฑิตศึกษาศึกษา วิทยาลัยสงฆ์สุรินทร์ ทีค่ อยให้คำแนะนำ ชว่ ยเหลอื งานเอกสารตา่ ง ๆ จนงานสำเร็จดว้ ยดี ผู้วิจัยขอขอบคุณ พระครูสุพัฒนกิจ รองเจ้าคณะอำเภอปราสาท ที่ให้ความอุปถัมภ์ดูแล ในทุก ๆ เรื่อง พระครูปริยัติกิตติวรรณ เจ้าคณะตำบลทุ่งมน-สมุด คณะสงฆ์ตำบลทุ่งมน ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านและอุบาสกอุบาสิกาวัดอุทุมพร ท่ีให้ความรู้คำปรึกษาแนะนำ ให้สัมภาษณ์ จนงาน แล้วเสร็จสมบูรณ์ และช่วยเหลืออุปถัมภ์ในเร่ืองของทุนการศึกษามาโดยตลอดด้วยดีจนสำเร็จ การศกึ ษา ผู้วิจัยขอบูชาคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ตลอดจน ผู้มีอุปการะคุณท้ังหลายนับต้ังแต่ บิดา มารดา ครูอาจารย์ ผู้ประสิทธปิ์ ระสาทวิชาให้ผู้วิจัยท้ังในอดีต และปัจจุบันทุกรูป/คน รวมท้ังครอบครัวของผู้วิจัย ซ่ึงสนับสนุนส่งเสริมให้กำลังใจมาโดยตลอด ขอ ความมุ่งหวังเจตนาด้วยความพากเพียรของผู้วิจัย จงมีส่วนสนับสนุนให้พระพุทธศาสนา ให้มีความ เจริญรงุ่ เรอื งสืบไป สุดท้ายน้ี ขอคุณความดี บุญกุศล ความรู้ ท่ีเป็นประโยชน์อันเกิดจากวิทยานิพนธ์เล่มนี้ ผวู้ ิจัยขออุทิศแกผ่ ู้ให้กำเนิด และบูชาคุณหลวงปู่รมิ รตนมุนี เป็นอาจริยบชู า ขอทกุ ๆ ท่าน จงมสี ่วน รว่ มแห่งกุศลนี้ดว้ ย เทอญฯ พระมหาชาญ อชโิ ต (สร้อยสวุ รรณ) ๗ กันยายน ๒๕๖๕

สารบัญ ช เรอ่ื ง หน้า บทคดั ย่อภาษาไทย บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ก กิตติกรรมประกาศ สารบัญ ค คำอธบิ ายและสญั ลกั ษณ์ย่อ ฉ บทท่ี ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา ช ๑.๒ คำถามวิจยั ๑.๓ วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ฎ ๑.๔ ขอบเขตการวจิ ัย ๑.๕ นิยามศพั ท์เฉพาะท่ีใชใ้ นการวิจยั ๑ ๑.๖ ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รบั ๑ ๓ บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎีและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข้อง ๓ ๒.๑ แนวคดิ เรอื่ งการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ๓ ๔ ๒.๑.๑ แนวคดิ เกีย่ วกับบทบาท ๔ ๒.๑.๒ วิธีการเผยของพระพุทธเจา้ ๒.๑.๓ พุทธวธิ ีในการเผยพระพุทธศาสนา ๕ ๒.๑.๔ วธิ ีการสอนแบบต่าง ๆ ๕ ๒.๑.๕ กลวิธแี ละอบุ ายประกอบการสอน ๕ ๒.๑.๖ ลีลาในการสอน ๑๐ ๒.๑.๗ กัลยาณมิตรธรรม ๑๑ ๒.๒ แนวคิดเรอ่ื งการพฒั นาชมุ ชนในพระพุทธศาสนา ๑๒ ๒.๒.๑ บทบาทการพัฒนาชุมชนในพระพทุ ธศาสนา ๑๔ ๒.๒.๒ วัดกับการพัฒนาชมุ ชน ๑๗ ๒.๓ แนวคิดเรื่องการพัฒนาชุมชน ๑๙ ๒.๓.๑ การพัฒนาชมุ ชนของพระสงฆ์ ๒๐ ๒๐ ๒๒ ๒๖ ๒๖

๒.๓.๒ การพัฒนากับสงเคราะหช์ ุมชน ซ ๒.๓.๓ พระสงฆก์ บั การพัฒนาสงเคราะห์ ๒.๓.๔ พระสงฆ์กับการพฒั นาด้านจติ ใจ ๒๙ ๒.๓.๕ หลักธรรมในการพัฒนาชุมชน ๓๑ ๒.๔ ประวตั แิ ละผลงานของปู่รมิ รตนมุนี ๓๒ ๒.๕ งานวิจยั ที่เก่ียวข้อง ๓๗ ๒.๖ กรอบแนวคิดในการวจิ ัย ๔๐ ๔๕ บทที่ ๓ วิธีดำเนนิ การวจิ ัย ๕๖ ๓.๑ รูปแบบการวจิ ยั ๓.๒ ข้นั ตอนผู้ให้ขอ้ มลู สำคัญ ๕๗ ๓.๓ เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจัย ๕๗ ๓.๓.๑ ข้ันตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๕๗ ๓.๓.๒ แบบสมั ภาษณ์แบบก่ึงโครงสรา้ ง ๕๘ ๓.๔ การแจกแบบสัมภาษณ์ ๕๘ ๓.๔.๑ ข้ันตอนการจดั การวิเคราะห์ข้อมูล ๕๘ ๓.๔.๒ ขน้ั ตอนนำเสนอผลการศกึ ษา ๕๙ ๓.๕ การวเิ คราะห์ข้อมลู ๕๙ ๕๙ บทท่ี ๔ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ๕๙ ๔.๑ การพฒั นาชมุ ชนในพระพทุ ธศาสนา ๖๐ ๔.๑.๑ พฒั นาชุมชนตามหลักพุทธธรรม ๖๐ ๔.๑.๒ พระสงฆก์ ับการพฒั นาชุมชน ๖๑ ๔.๒ บทบาทพระสงฆ์กบั การพฒั นาชุมชน ๖๒ ๔.๒.๑ ปญั หาชุมชนในปจั จบุ ัน ๖๔ ๔.๒.๒ บทบาทพระสงฆ์กับการแกป้ ญั หาชมุ ชน ๖๔ ๔.๒.๓ แรงจูงใจใหพ้ ระพระสงฆ์พฒั นาชมุ ชน ๖๖ ๔.๒.๔ หนา้ ท่พี ระสงฆใ์ นการพฒั นา ๖๗ ๔.๒.๕ บทบาทพระสงฆแ์ ละความสำคญั พัฒนาวัด ๖๙ ๔.๒.๖ บทบาทของพระสงฆต์ อ่ การพฒั นาชมุ ชนเขม้ แขง็ ๗๐ ๗๒

๔.๓ บทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปรู่ มิ รตนมนี ฌ ๔.๓.๑ ความเปน็ ภาวะผูก้ ารพฒั นาของหลวงป้รู ิม รตนมนี ๔.๓.๒ ภาวะผู้นำท่ดี ีไดท้ ้งั คนและไดง้ านไมเ่ สียหลกั การ ๗๔ ๔.๓.๓ หลวงปู่ริม รตนมนุ ี ผู้นำการพฒั นาท่ดี ี ๗ ด้าน ๗๕ ๔.๓.๔ การพฒั นาชมุ ชนของหลวงปรู่ มิ รตนมุนี ๗๖ ๔.๓.๕ บทบาทการเผยแผ่และพัฒนา ๖ ดา้ นของปรู่ มิ รตนมนุ ี ๗๗ ๗๙ ๔.๔ บทบาทการพัฒนาดา้ นส่งิ แวดล้อม ๘๐ ๔.๔.๑ หลวงปสู่ ร้างผนื ปา่ รกั ษาธรรม ๘๕ ๔.๔.๒ หลวงปูร่ มิ รตนมุนีพฒั นาวัดใหเ้ ปน็ สปั ปายะ ๘๕ ๘๗ ๔.๕ บทบาทการพัฒนาด้านคณุ ธรรมและจริยธรรม ๙๐ ๔.๕.๑ พฒั นาคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม ๙๐ ๔.๕.๒ การพัฒนามนุษยท์ ี่ยัง่ ยืน ๙๔ ๔.๕.๓ การพัฒนาสาธารณประโยชน์ ๙๖ ๙๘ ๔.๖ วเิ คราะหจ์ ดุ แขง็ - จดุ อ่อนและอุปสรรค ๙๘ ๔.๗ องคค์ วามรู้ทไี่ ดร้ ับจากการวจิ ัย ๑๐๐ บทที่ ๕ สรปุ อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ ๑๐๐ ๕.๑ สรุปผลการวิจยั ๑๐๑ ๕.๒ อภปิ รายผลการวจิ ยั ๑๑๖ ๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ ๑๑๖ ๑๑๖ ๕.๓.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑๑๗ ๕.๓.๒ ขอ้ เสนอแนะในการนำผลวจิ ัยไปใช้ ๕.๓.๓ ขอ้ เสนอแนะสำหรับการวจิ ัยคร้ังต่อไป ๑๑๘ บรรณานกุ รม ๑๒๔ ๑๒๕ ภาคผนวก ๑๒๙ ภาคผนวก ก. รายนามผ้เู ชี่ยวชาญหรอื ผใู้ หข้ ้อมูลสำคญั ๑๓๙ ภาคผนวก ข. รายนามผใู้ ห้สมั ภาษณ์ ๑๔๘ ภาคผนวก ค. ประมวลภาพจากการศกึ ษาภาคสนาม/การสัมภาษณ์ ภาคผนวก ง. แบบสัมภาษณก์ ารทำวิจัย

ประวัติผูว้ ิจัย ญ ๑๕๓

ฎ คำอธิบายสญั ลักษณแ์ ละคำย่อ อักษรย่อในวิทยานิพนธ์ฉบับน้ี ใช้อ้างอิงจากพระไตรปิฎกภาษาบาลี และพระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๙ ส่วนคัมภีร์อรรถกถาภาษาไทย ใช้ฉบับ มหาฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย การอ้างอิงพระไตรปิฎกจะระบุ เล่ม/ข้อ/หน้า หลงั อักษรย่อชอ่ื คัมภรี ์ เชน่ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๔๓๙/๓๘๘ หมายถึง สุตฺตนฺตปิฏก มชฌฺ มิ นิกาย มูลปณณฺ าสกปาลิ ภาษาบาลี เลม่ ๑๒ ข้อ ๔๓๙ หน้า ๓๘๘ และ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๓๙/๔๗๒. หมายถงึ สตุ ตันตปิฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณั ณาสก์ ภาษาไทย เล่ม ๑๒ ข้อ ๔๓๙ หน้า ๔๗๒ ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ๒๕๓๙ ส่วนคัมภรี ์อรรถกถา จะระบุชื่อคมั ภรี ์ ลำดับเล่ม (ถ้าม)ี /หน้า เช่น ข.ุ ป.อ. (ไทย) ๑/๗๓/ ๓๑๗. หมายถึง ขุททกนิกาย สทั ธรรมปกาสินี ปฏิสมั ภทิ ามรรคอรรถกถา ภาษาไทย เล่ม ๑ ข้อ ๗๓ หนา้ ๓๑๗ ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๑.คำอธบิ ายคำย่อในภาษาไทย ก. คำยอ่ ชื่อคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก พระวนิ ัยปิฎก คำยอ่ ชอ่ื คัมภีร์ ภาษา (ภาษาไทย) วิ.ม. (ไทย) = วินยั ปิฎก มหาวรรค พระสุตตันตปิฎก คำย่อ = สตุ ฺตนฺตปิฏก ชอ่ื คัมภีร์ มหาวคคฺ ปาลิ ภาษา ท.ี ม. (บาล)ี = สตุ ตนั ตปิฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค (ภาษาบาล)ี ท.ี ม. (ไทย) = สุตตฺ นตฺ ปฏิ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวคคฺ ปาลิ (ภาษาไทย) ท.ี ปา. (บาลี) = สตุ ตนั ตปิฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค (ภาษาบาลี) ที.ปา. (ไทย) = สตุ ตฺ นฺตปิฏก ทฆี นิกาย มูลปณณฺ าสกปาลิ (ภาษาไทย) ม.มู. (บาล)ี = สุตตันตปิฎก มชฌฺ มิ นกิ าย มูลปณั ณาสก์ (ภาษาบาลี) ม.ม.ู (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก มัชฌิมนิกาย มชั ฌิมปณั ณาสก์ (ภาษาไทย) ม.ม. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก มัชฌิมนกิ าย สคาถวรรค (ภาษาไทย) สํ.ส. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก สังยตุ ตนกิ าย ทุกนิบาต (ภาษาไทย) อง.ฺ ทกุ . (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย ติกนบิ าต (ภาษาไทย) องฺ.ตกิ . (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตกุ กนิบาต (ภาษาไทย) อง.ฺ จตุกฺก.(ไทย) องั คุตตรนิกาย (ภาษาไทย)

องฺ.อฏฺ ก.(ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก องั คตุ ตรนิกาย อฏั ฐกนบิ าต ฏ องฺ.ทสก. (บาลี) = สตุ ฺตนตฺ ปฏิ ก องฺคตุ ตฺ รนิกาย ทสกนปิ าตปาลิ องฺ.ทสก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก องั คุตตรนิกาย ทสกนิบาต (ภาษาไทย) ข.ุ ข.ุ (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ (ภาษาบาล)ี ข.ุ ธ. (บาลี) = สตุ ตฺ นตฺ ปฏิ ก ขทุ ฺทกนกิ าย ธมมฺ ปทปาลิ (ภาษาไทย) ข.ุ ธ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนกิ าย ธรรมบท (ภาษาไทย) ขุ.ส.ุ (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาต (ภาษาบาล)ี ข.ุ ว.ิ (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ (ภาษาไทย) ขุ.เปต. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวตั ถุ (ภาษาไทย) (ภาษาไทย) (ภาษาไทย) ข. คำย่อชื่อคมั ภรี ์อรรถกถา อรรถกถาพระสตุ ตันตปิฎก คำย่อ = มัชฌิมนกิ าย ช่ือคมั ภีร์ มูลปณั ณาสกอรรถกถา ภาษา ม.ม.ู อ. (ไทย) = ขทุ ทกนิกาย ปปัญจสทู นี ขุททกปาฐอรรถกถา (ภาษาไทย) ข.ุ ข.ุ อ. (ไทย) = ขุททกนิกาย ปรมตั ถโชติกา (ภาษาไทย) ข.ุ ธ.อ. (ไทย) = ขุททกนิกาย ธรรมบทอรรถกถา วมิ านวัตถุอรรถกถา (ภาษาไทย) ขุ.วิ.อ. (ไทย) = ขุททกนิกาย ปรมัตถทปี นี ปฏิสัมภิทามรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ข.ุ ป.อ. (ไทย) สทั ธรรมปกาสนิ ี (ภาษาไทย) อรรถกถาพระอภธิ รรมปฎิ ก ภาษา (ภาษาไทย) คำยอ่ ช่อื คัมภรี ์ อภิ.สง.ฺ อ. (ไทย) = อภิธรรมปฎิ ก ธมั มมสังคณี อัฏฐสาลนิ ีอรรถกถา

บทท่ี ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา บทบาทของพระสงฆ์ในสังคมไทย จะเห็นได้ชัดเจนมากเพราะสังคมไทยมีความใกล้ชิด กับพระพุทธศาสนาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต โดยจะมีความเก่ียวข้องกับพระสงฆ์อยู่เสมอไม่ว่าจะ เปน็ งานมงคล และอวมงคล บางแห่งพระอาจเปน็ หมอกลางบ้านเปน็ เจ้าของตำราหมอยาพื้นบ้านตาม ภมู ิปัญญาชาวบ้าน บทบาทก็มีความชัดเจนมากข้ึน แต่อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงแนวคิดของบุคคลหน่ึง ท่มี ีความสนใจในงานของพระสงฆ์ เกี่ยวกบั บทบาทพระสงฆ์และพยายามที่ผลกั ดนั บทบาทพระสงฆ์ให้ เป็นประโยชน์ต่อสังคม และให้สังคมมองเห็นประโยชน์นั้นเด่นชัดมากย่ิงข้ึน ด้วยระบบการพัฒนาที่ ย่ังยืนมีอยู่ ๓ ประการ คือ “(๑) การพัฒนามนุษย์ ที่มีหลักการที่ควรให้ความสำคัญสูงสุด โดยมุ่งให้ การศึกษา และจัดสรรปัจจัยเกอ้ื หนุน เพอ่ื ช่วยให้มนุษย์ แต่ละชีวติ เจรญิ งอกงาม (๒) การพัฒนาสังคม ระบบต่าง ๆ ทางสังคมนั้น ว่าโดยพื้นฐาน เป็นการจัดต้ังวางรูปแบบขึ้น เพ่ือให้เป็นเครื่องมือ เป็นส่ือ ช่วยอำนวยผลดีแก่หมู่มนุษย์ มีระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น (๓) ระบบธรรมชาติ เป็นระบบท่ีเกื้อกูลต่อ มนุษย์ ในสังคมมนุษย์มีการจัดต้ังวางสมมุติต่าง ๆ ข้ึน เพื่อเป็นหลักประกันความสัมพันธ์ให้อยู่อย่าง สันติสุข และชอบธรรม”๑ พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงอุปถัมภ์ การทำสังคายนาคร้ังท่ี ๓ หลังจาก เสร็จสน้ิ การทำสงั คายนาแล้ว ไดส้ ่งพระสงฆไ์ ปประกาศพระพทุ ธศาสนา ในดินแดนต่าง ๆ รวม ๙ สาย ในบรรดา ๙ สายน้ัน พระโสณะ และพระอุตตระ เปน็ อกี สายหนึ่ง ทนี่ ำพระพทุ ธศาสนาไปประดิษฐาน ในอาณาจกั รสุวรรณภูมิ ซ่ึงสนั นิษฐานกันว่าได้แก่ จังหวัดนครปฐม โดยมโี บราณสถานและโบราณวตั ถุ ตา่ ง ๆ เชน่ พระปฐมเจดีย์ เป็นต้น๒ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา คือ ผู้ท่ปี ระพฤติปฏบิ ัติตามพระธรรมวนิ ยั บำเพ็ญพรตปฏิบตั ิ ภาวนาอยู่แต่ในอารามนั้น แต่ในความเป็นจริงพระสงฆ์มีชีวิตท่ีเกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์อยู่เสมอ เพราะ ปัจจัยในการดำรงชีพของพระสงฆ์นั้นขึ้นอยู่กับชาวบ้าน ด้วยชีวิตท่ียังต้องเก่ียวข้องกับผู้อื่นท่ีเป็น ชาวบ้าน หรือคฤหัสถ์ จึงเป็นความจริงท่ีต้องยอมรับว่า พระสงฆ์ไม่ได้หนีไปจากสังคมแต่ประการใด ๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), การพัฒนาที่ย่ังยืน, พิมพ์คร้ังที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มลู นธิ ิโกมลคีมทอง, ๒๕๕๖), หน้า ๒๕๓- ๒๕๕. ๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, พิมพ์คร้ังที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์พระพทุ ธศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๕), หนา้ ท่๑ี ๔๓.

๒ บทบาทหน้าที่ที่สำคัญของพระสงฆ์คือ การตอบแทนแก่ชาวบ้าน ซ่ึงการตอบแทนแก่ชาวบ้านน้ัน พระสงฆ์จะทำตอบแทนอย่างไร แค่ไหน จึงจะเห็นสมควรเหมาะสม พอดีและพองาม ประเด็นท่ีควร พิจารณาเพ่ือกระตุ้นเตือนจิตใต้สำนึก หลวงปู่ริม รตนมุนี เป็นพระสงฆ์ท่ีพัฒนาชุมชน ให้เกิดการ เปล่ียนแปลงในชุมชนตำบลทุ่งมน มาเป็นระยะยาวนาน มีการพัฒนาในด้านวัตถุ ประโยชน์สังคม นานับประการ เป็นพระสงฆ์ผนู้ ำพฒั นาชุมชนและทพ่ี ึ่งของชมุ ชน เช่น การพัฒนาวัดอุทุมพร สร้างวัด สะเดารัตนาราม และวัดอื่น ๆ เป็นผู้นำในการก่อตั้งหรือสร้างโรงเรียนบ้านทุ่งมน (ริมราษฎร์นุสรณ์) สรา้ งสถานอี นามัยตำบลทุง่ มน สรา้ งสะพานข้ามแม่น้ำชี ขุดสระน้ำ ขุดบ่อน้ำ สรา้ งถนนหนทาง และ สถานท่ีอ่ืน ๆ ให้เป็นสาธารณะประโยชน์หลายแห่ง พัฒนาด้านจิตใจ เป็นพระสงฆ์รูปแรกท่ีสร้าง ช่ือเสียงให้วัดอุทุมพร ซ่ึงเป็นท่ีรู้จักและเคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนจากทั่วไป ได้วางศิลาฤกษ์ อุโบสถจตุรมุขหลังใหม่ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๕ และยกเสาเอกเมื่อวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๐ โดยมี ขนาดความกว้าง ๓๒ เมตร ความยาว ๓๖ เมตร และได้สร้างจนถึงปี พ.ศ.๒๕๒๖ หมดงบประมาณ ขณะน้ัน ๒๖ ล้านกว่า ในด้านพัฒนาการพัฒนาจิตใจ ไดส้ รา้ งสถานที่ปฏิบตั ิธรรมเรียกว่า เขาคีรวี งกต ซึง่ เป็นสถานท่ีปฏิบัติธรรมของพระสงฆส์ ามเณร และอุบาสกอุบาสิกา มีการจดั ปฏิบัติธรรมเป็นประจำ ของพระสงฆ์ ที่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ดังเช่นการมีส่วนร่วมมีการร่วมประชุมในชุมชน ใน เทศกาลและประเพณีต่างๆเช่นประเพณีสงกรานต์งานขึ้นปีใหม่ ตักบาตรทำบุญการเทิดพระเกียรติ เป็นต้น พัฒนาไปสู่การแก้ไขปัญหาอ่ืนๆ ท่ีเกิดขึ้นในชุมชน ทำให้ชุมชนมีความสามารถท่ีพึ่งตนเองได้ และมีคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน เป็นแบบอย่างท่ีดีแก่สังคม พรอ้ มกับการพัฒนาความสมั พันธ์ กับสังคมด้วย การพฒั นา การส่งเสริมกจิ กรรมท่ีดมี ีคณุ ค่าใหต้ ่อเนื่อง และต้องยดึ หลักการในการพัฒนาคือความเป็น กลางทางการเมืองเป็นผู้ให้สติและปัญญาแก่ส่ังคม และต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง พร้อมกับการสร้าง ภูมิภูมิกันให้สังคม ด้วยการใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในการป้องกันความขัดแย้งท่ีอาจเกิดข้ึน ใหมใ่ นอนาคต ดังน้ันบทบาทของพระสงฆ์จึงมีให้เห็นได้ ทุกยุคสมัยในการพัฒนาชุมชน การพัฒนาทาง จิต และส่งเสริมการศึกษา บทบาทหน้าท่ีในการเผยแผ่หลักธรรมของวัดหรือพระสงฆ์ ส่วนมากเป็น การจัดการเทศนาอบรมสั่งสอนประชาชน ใหเ้ กิดศรัทธาเล่ือมใสในพระพทุ ธศาสนาแลว้ ต้งั อยู่ในสมั มา ปฏิบัติเพื่อเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ ซึ่งเปน็ หน้าท่ีของเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจา้ คณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด จะต้องมีบทบาททำหน้าที่การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษา เรื่อง “การศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่รมิ รตนมุนี วดั อุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัด สุรินทร์”

๓ ๑.๒ คำถามการวิจัย ๑.๒.๑ แนวคิดการพัฒนาชมุ ชนในพระพทุ ธศาสนา เปน็ อยา่ งไร ๑.๒.๒ บทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชมุ ชน เปน็ อยา่ งไร ๑.๒.๓ บทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวดั สรุ ินทร์ เปน็ อยา่ งไร ๑.๓ วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั ๑.๓.๑ เพื่อศกึ ษาแนวคิดการพัฒนาชมุ ชนในพระพุทธศาสนา ๑.๓.๒ เพอื่ ศึกษาบทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน ๑.๓.๓ เพ่ือศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอ ปราสาท จงั หวดั สุรินทร์ ๑.๔ ขอบเขตการวิจัย การวิจัยในครงั้ นี้เป็นการวิจัยผสมผสานเชิงคุณภาพ และภาคสนาม ด้วยการสัมภาษณ์เชิง ลึก (In-debt Interview) ซง่ึ มที ้งั การวิจยั แบบภาคสนาม ได้กำหนดขอบเขตดา้ นต่าง ๆ ไว้ดังน้ี ก. ขอบเขตด้านเน้ือหา ๑) เอกสารช้ันปฐมภูมิ (Primary sources) ได้แก่ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย ปีพุทธศกั ราช ๒๕๓๙ ๒) เอกสารชั้นทุติยภูมิ (Secondary sources) ได้แก่เอกสารในการทำบุญ วิธีการ ทำบุญ และรายงายการวิจัย บทความวิพากษ์วิจารณ์ บทสัมภาษณ์ และเอกสารอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้องทั้ง ทางตรงและทางออ้ ม เชน่ งานวิจยั เอกสารท่เี กย่ี วข้องกับวธิ กี ารทำบญุ ตา่ ง ๆ ขอบเขตด้านพื้นท่ี ในการทำการวิจัยเรื่อง “ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัด อุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์” ศึกษาเฉพาะเขตวัดอุทุมพร ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จงั หวัดสรุ ินทร์ ๑.๔.๑ ประชากรกลุ่มตัวอย่าง ๑) การศึกษาครง้ั น้ีไดศ้ ึกษาจากประชากรท่ใี ช้ในการวิจัย ภายในตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวัดสุรินทร์ ๑.๔.๒ กลุ่มประชากรใหข้ อ้ มลู การวิจัยครั้งน้ี สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญพระสงฆ์ ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านมีทั้งส้ิน จำนวน ๒๑ รูป / คน ประกอบด้วย ๑) พระสงฆ์ระดับพระสงั ฆาธิการและระดับเจา้ อาวาส จำนวน ๖ รูป

๔ ๒) ปราชญช์ าวบา้ น จำนวน ๕ คน ๓) ผนู้ ำชมุ ชนจำนวน ๘ คน ๔) ชาวบา้ นจำนวน ๒ คน ๑.๕ นยิ ามศัพท์ที่ใชเ้ ฉพาะในการวิจยั บทบาท หมายถึง ภาระหน้าท่ีท่ีทำอยู่เป็นประจำ การทําท่าทางตามบท การรําตามบท โดยปริยายหมายความว่า การทําตามหน้าท่ที กี่ าํ หนดไว้ เช่น บทบาทของพ่อแม่ บทบาทของครู ในท่ีน้ี หมายถึงบทบาทในการเผยแผ่พุทธศาสนาของหลวงปู่ริม รตนมุณี ใน ๖ ด้าน ได้แก่ บทบาทการ ปกครอง, บทบาทการศาสนศึกษา, บทบาทการศึกษาสงเคราะห์, บทบาทการเผยแผ่, บทบาท สาธารณปู การ, และบทบาทสาธารณสงเคราะห์ การพฒั นาชมุ ชน หมายถึง การสร้างความเจริญ ดา้ นวัตถุ และดา้ นจติ ใจแนะนำ สัง่ สอน อบรม ประชาชนให้เข้าใจในศาสนพิธีและการปฏิบัติ เทศนาสั่งสอนประชาชนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรม ที่ อยู่อาศัยในชุมชนเขตตำบลทงุ่ มน อำเภอปราสาท จังหวัดสรุ ินทร์ วัดอุทุมพร หมายถึง วัดในพระพุทธศาสนาที่ต้ังอยู่ในเขตตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสรุ นิ ทร์ ๑.๖ ประโยชนค์ าดว่าไดร้ บั ๑.๖.๑ ได้ทราบแนวคิดการพัฒนาชมุ ชนในพระพทุ ธศาสนา ๑.๖.๒ ไดท้ ราบบทบาทพระสงฆ์ในการพฒั นาชมุ ชน ๑.๖.๓ ได้รับรู้บทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอ ปราสาท จังหวดั สรุ ินทร์

บทท่ี ๒ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกีย่ วข้อง การศึกษาวิจัยเร่ือง “ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์” ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเก่ียวแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือเชื่อมโยงให้เห็นถึงบทบาทการพัฒนาชุมชนในพระพุทธศาสนา ของหลวงปู่ริม รตนมุณี วัด อทุ มุ พร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรนิ ทร์ และหลักธรรมที่ ได้ทำการสั่งสอนตามหลักพระธรรมของพระ พุทธองค์ ซ่ึงจะนำเสนอดังตอ่ ไปน้ี ๒.๑ แนวคดิ เร่อื งการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ๒.๒ แนวคดิ เรือ่ งการพัฒนาชมุ ชนในพระพทุ ธศาสนา ๒.๓ แนวคิดเรอื่ งการพัฒนาชุมชน ๒.๔ ประวัติและผลงานของหลวงปรู่ ิม รตนมนุ ี ๒.๕ งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ๒.๖ กรอบแนวคดิ การวิจัย ๒.๑ แนวคดิ เรอื่ งการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกับบทบาทการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่นักวิชาการ หลายสำนัก และปราชญ์ ผู้รูไ้ ด้กล่าวเอาไว้ ผู้วจิ ัยได้ประมวลนำมาเสนอ แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับ บทบาทท่ีมคี วามหลากหลาย ดงั น้ี ๒.๑.๑ แนวคิดเก่ียวกบั บทบาท ราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า บทบาทการทำตามบท, การทำตามบท, โดยปริยาย หมายความว่า การทำตามหน้าทีท่ ่กี ำหนดไว้ เชน่ บทบาทของพ่อ แม่ บทบาทของครู๑ ไพบูลย์ ชา่ งเรยี น ให้ความหมายของคำว่า บทบาท ไว้ว่า โดยท่ัวไปจะพิจารณาได้สองนัย คือ นัยแรกพิจารณาโครงสร้างสังคมท่ีมีช่ือเสียงแตกต่างกันไป ซ่ึงแสดงคุณลักษณะและกิจกรรมของ บคุ คลที่ครองตำแหน่งน้ัน และอีกนัยหน่ึงพิจารณาในด้านการแสดงบทบาทหรือปฏิสัมพันธ์ทางสังคม บทบาท หมายถึง ผลสืบเน่ืองที่มีแบบแผนของการกระทำท่ีเกิดจากการเรียนรู้ของบุคคลท่ีอยู่ใน ๑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, พิมพ์คร้ังที่๒, (กรุงเทพมหานคร: บรษิ ทั ศิรวิ ฒั นาอนิ เตอร์พริ้น จำกดั (มหาชน), ๒๕๕๖), หนา้ ๖๔๘.

๖ สถานการณ์แห่งการปฏิสัมพันธ์น้ัน บทบาทตามนัยแรกเป็นการจำแนกชนิดของบุคคลที่อยู่ในสังคม ซึ่งถูกจำแนกโดยคุณสมบัติและพฤติกรรมของเขาท่ีมีปทัสถาน ตามนัยหลังบทบาทเป็นวิธีการแสดง พฤติกรรมของบุคคลว่าการปฏิบัติอย่างไร หรือคาดหวังว่าบุคคลอ่ืนจะปฏิบัติต่อตนอย่างไร บทบาท ของบุคคลในสังคมย่อมข้ึนอยู่กับสถานภาพที่ตนครองอยู่ และคุณสมบัติส่วนตัวของเขา บทบาทของ บุคคลจึงแตกต่างกันออกไปตามลักษณะ สถานภาพ อุปนิสัย ความคิด ความรู้ความสามารถ มูลเหตุ จูงใจ การอบรมความพอใจ๒ ลือชา ธรรมวินัยสถิต ในแง่ทางโครงสร้างของสังคมว่า บทบาท หมายถึง ภาระหน้าท่ีที่ บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะพงึ กระทำตามสถานภาพที่ตนดำรงอยู่ เมื่อบุคคลใดได้เขา้ ไปมีสถานภาพหน่ึง ๆ แล้วย่อมแสดงบทบาทตามสถานภาพนั้น ๆ สถานภาพและบทบาทจึงเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน เปรียบได้ กับเหรียญท่ีต้องมี ๒ ด้านเสมอ ดังนั้นบทบาทจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของโครงสร้างทางสังคม ประการหนึง่ ๓ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) กล่าวว่า การสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว และเป็นประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ชาวโลกเป็นหน้าท่ีของพระภิกษุสามเณรทุกรูป ที่จะต้อง ปฏิบัติตามกำลังความสามารถ โดยฐานานุรูปเพราะภิกษุ สามเณร มีความสำนึกและปฏิบัตกิ ันมาโดย ลำดับ พระพุทธศาสนาจึงเป็นมรดกสืบมาถึงทุกวันน้ี โลกวิวัฒนาการมากข้ึน การปฏิบัติหน้าที่สืบต่อ พระพุทธศาสนา จึงมีวิธีการต่างๆ ที่เหมาะสม โดยไม่ทิ้งหลักการ คือ พระธรรมวินัย เป็นที่น่าช่ืนชม ยินดี ท่ีพระสงฆ์แห่งสังฆมณฑลไทย ที่ออกไปประกาศพระศาสนาในประเทศต่างๆ มีความรู้ ความสามารถสูง จึงปฏิบัตหิ นา้ ทข่ี องผปู้ ระกาศพระศาสนา (พระธรรมทูต) ไดด้ ังท่ีปรากฏอยทู่ ั่วโลก๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) กล่าวไว้ว่า พระเจ้าอโศกมหาราชทรงมี บทบาทในการ อุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ ๓ ณ พระนครปาฏลีบุตร หลังจากเสร็จสิ้นการสังคายนาแล้ว ได้ทรงส่ง พระสงฆ์ไปประกาศพระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ รวม ๙ สาย ในบรรดา ๙ สายน้ัน พระโสณะ เถระและพระอุตตระเถระ เป็นสายหน่ึง(คัมภีร์สมันตปาทาสาทิกา อรรถกถาแห่งพระวินัยปิฎก นับเป็นสายท่ี๘ แต่คัมภีร์ศาสนวงศ์นับย้อนเป็นสายที่ ๒) ได้นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานใน อาณาจักรสุวรรณภูมิ ซึ่งสันนิษฐานกันว่า ได้แก่จังหวัดนครปฐม โดยมีโบราณสถานและโบราณวัตถุ ๒ ไพบูลย์ ช่างเรียน, สารานุกรมศัพท์ทางสังคมวิทยา, (กรงุ เทพมหานคร: แพร่วิทยา, ๒๕๑๖), หน้า ๑๐๒. ๓ ลือชา ธรรมวินัยสถิต, มนุษย์กับสังคม, (เพชรบุรี: ภาควิชาสังคมวิทยา คณะมนุษยศาสตร์แล สงั คมศาสตร์ สถาบันราชภฏั เพชรบุรี, ๒๕๓๙), หนา้ ๔๗. ๔ สมเด็จพระพฒุ าจารย์ (เก่ยี ว อปุ เสโณ), พระธรรมทูตสายต่างประเทศรนุ่ ที่ ๑๔, (กรุงเทพมหานคร: นติ ธิ รรมการพิมพ์, ๒๕๕๑), หนา้ ๕.

๗ ต่างๆ เช่นพระปฐมเจดีย์ เป็นต้น เป็นประจักษ์พยานอยู่จนบัดนี้ (พม่าว่าสุวรรณภูมิ ได้แก่ เมือง สะเทมิ ในพม่าตอนใต้)๕ พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงบทบาทพระสงฆ์ไว้ว่า การที่พระสงฆ์มี บทบาทอย่างไรนั้น คงอยู่ที่หลักการ อันมีอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว คือในฝ่ายตนเอง ก็มี หน้าท่ีในการศึกษาปฏิบัติ คือ ศึกษาเพื่อให้ตนปฏิบัติได้ถูกต้อง และพร้อมท้ังสามารถแนะนำผู้อ่ืนได้ ดว้ ย ในฝ่ายความสัมพันธ์กับสังคมของคฤหัสถ์ ก็มีหน้าทใี่ ห้การศึกษา การเผยแผ่ และการสงเคราะห์ พร้อมกับการปฏบิ ัติหน้าทท่ี างสมณเพศของตน รกั ษาเกียรตแิ ละความบรสิ ุทธ์ขิ องสถาบนั สงฆ์ไว้ด้วย๖ พระธรรมกิตติวงศ์ กล่าวว่า การเทศน์ ก็คือ บทบาทการแสดงธรรม การช้ีแจง การบอก กล่าว น่ีเรียกกันว่าเทศน์ สมัยปัจจุบันน้ี เราก็นำวิธีการเทศน์นั้นมาปรับเปล่ียนให้เข้ากับยุคสมัย การ เทศน์นั้นก็ยังคงอยู่ แต่ว่าหนักไปทางพิธีการ และเป็นพิธีการท่ีศักด์ิสิทธิ์ น่ันคือการเทศน์แบบเดิม ปรับเปลี่ยนมาเป็นปาฐกถา เรียกว่า “ปาฐกถาธรรม” พูดธรรมะ เปล่ียนเป็นบรรยายธรรม ก็คือพูด ธรรมะ เปล่ียนเป็นอภิปรายธรรม ก็คือการบรรยายธรรมเหมือนกัน แต่บรรยายหลายคน ปรับเปล่ียน เป็นการเทศน์ปุจฉา-วิสัชนา สองธรรมาสน์ สามธรรมาสน์ ปรบั เปล่ียนไปตามยุคตามสมัย น้ีก็เปน็ การ ทำหน้าท่ีเหมือนกัน ที่นี้ทำอย่างไรถึงจะได้ผล น้ีคือตัวหลัก และนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งท่ีนิมนต์ท่าน ท้ังหลายมาประชุมกันนี้ เพื่อท่ีจะได้รู้แนวทางในการเผยแผ่ธรรมในฐานะท่ีเป็นพระธรรมทูต ให้รู้จัก แนวทางให้รู้จกั วิธกี าร๗ พุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ชุมชนเร่ืองสั้นว่า หัวใจท่ีแท้มีเพียงอันเดียว หมายความว่า ทั้งสามน้ันเป็นอันเดียวกัน ตรงกันกับลักษณะเอกานุภาพของ Trinity ของ คริสตศาสนา ของท่ีว่ามีสิ่งเดียวน้ัน คือพระธรรม คนเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็เพราะพระธรรมซึ่งมีอยู่ใน ตน และตนค้นพบด้วยตน พระธรรมคือสภาพที่มีอยู่เองทั่วไป ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ไม่ เป็นอดีต อนาคต หรือเป็นปัจจุบันกะใครได้ เพราะเป็นเพียงตัวกฎความจริงที่ครอบงำโลกอยู่ โดยทั่วไปเท่านั้น เข้าไปสงิ อยูใ่ นบุคคลผูใ้ ด ผู้น้นั ก็แปรรูปจากเดิมทันที พระธรรมท่ีตนน้อมนำมาใสต่ น ๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พระพุทธศาสนาในเอเซีย, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๔๐), หน้า ๑๔๓. ๖ พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ), บทบาทหนา้ ท่ขี องพระสงฆ์, (กรุงเทพมหานคร: มูลนธิ ิโกมลคีม ทอง, ๒๕๒๗), หนา้ ๒๗๔-๒๗๕. ๗ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต), การเผยแผ่พระพุทธศาสนา, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา: http://www.digitalschool.club/digitalschool/social1_1_1/social1_1/more/page3_6.php [๒๒ สงิ หาคม ๒๕๖๓].

๘ ตามวิธที ่ีพระพุทธเจ้าสอนให้ เช่นกับท่ีพระองค์ทำแก่พระองค์เอง จึงไมม่ ีอะไรแตกแยกออกไปจากกัน ได๘้ พระธรรมปฏิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้กล่าวไว้ในหนังสอื พุทธธรรมว่า แม้จะดูเหมือนแปลกไป จากคัมภีร์และตำราต่าง ๆ เท่ามีอยู่ ในหลายส่วนและหลายลักษณะ แต่ความจริงก็ดำเนินอยู่ใน หลักการเดิมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ คอื อริยสัจ ๔ นน่ั เอง มิไดผ้ ิดแปลกไปโดยประการใด ส่วน เนื้อความท่ีดูแปลกไป เช่น ปรโตโฆสะ และโยนิโสมนสิการ พร้อมท้ังหลักธรรมต่าง ๆ ท่ีรู้จักกันดีอยู่ แล้ว มีหลายอย่างท่ีนำมาอธิบายพิเศษในหนังสือเล่มน้ี ที่กล่าวถึงบ่อย ๆ ในพระไตรปิฎก อย่างไรก็ ตาม ผเู้ ขียนหนงั สือน้ีมีความม่ันใจพอสมควร ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มน้ี ใกล้เคยี งมากกบั อตั ราส่วนที่เป็นจริงในพระบาลี คือ พระไตรปิฎกท่เี ปน็ แหล่งคำสอนหลกั ดงั้ เดิม๙ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โต)ได้กล่าวไว้ในหนังสือธรรมนูญชีวิตไว้ว่า ข้อความบาง ตอนในหมวด ๔ เร่ืองคนกับมรรคว่า ผู้ที่ทำหน้าท่ีสอนธรรมและเผยแผ่ ให้การศึกษาแก่ผู้อ่ืน โดยเฉพาะครู อาจารย์ พึงประกอบด้วยคุณสมบัติ และพฤติกรรมตามหลักปฏิบัติ ต้ังใจประสิทธิ์ ความรู้ โดยต้ังตนอยู่ในธรรมของผู้แสดงธรรมที่เรียกว่า ธรรมเทศนา ๕ ประการ ได้แก่อนุปุพพิกถา คือสอนให้มีข้ันตอนถูกตามลำดับ ปริยายทัสสาวี คือจับจุดสำคัญมาขยายให้เข้าใจเหตุผล อนุทยตา คือต้ังจิตเมตตาสอนด้วยความปรารถนาดี อนามิสันดร คือไม่มีจิตเพ่งเล็งมุ่งเห็นอามิส อนุปหัจจ คือ วางจิตตรงไมก่ ระทบตนเองและผูอ้ ื่น๑๐ วศิน อินทสระ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ หลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนา สรุปว่า อริยสัจ ๔ อันเป็นแก่นสำคัญของปฐมเทศนา พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่าจักรคือธรรมที่พระพุทธองค์ หมุนไปแล้วน้ี ใคร ๆ จะหันกลับไม่ได้ ใครหมุนกลับก็เป็นการหมุนไปสู่ทางผิด พระปัญญาตรัสรู้ของ พระองค์ เป็นความจริงสากลอันมีรากฐานอยู่ที่เหตุผล และเป็นความจริงอันจำเป็นท่ีสุด คือใคร ขัดแย้งความจริงน้ี ผ้ขู ดั แย้งก็เปน็ ผู้ผดิ เอง๑๑ ๘ พุทธทาสภิกขุ, ชุมชนเรื่องส้ัน, พิมพ์คร้ังที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, ๒๕๓๗), หนา้ ๘๙. ๙ พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์คร้ังที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หน้า ๙๒๐. ๑๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, พิมพ์คร้ังท่ี ๓๖, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท สหธรรมกิ จำกดั , ๒๕๔๘), หนา้ ๖๔. ๑๑ วศนิ อนิ ทสระ, หลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศสนา, พิมพ์ครัง้ ที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๐), หนา้ ๒๖๒.

๙ สุรีย์ มีผลกิจ และวิเชียร มีผลกิจ ได้กล่าวถึงการบำเพ็ญพุทธกิจของพระพุทธเจ้า ไว้ใน พุทธกิจ ๔๕ พรรษา พอสรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธกิจ ๕ ประการ ด้วยพุทธจริยา คือ ทรง บำเพ็ญประโยชน์แก่โลก ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่พระประยูรญาติ ทรงบำเพ็ญประโยชน์ทุกประการ ในฐานะพระพุทธเจ้า ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพียงใด พระองค์มิได้ทรงคำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อย หรือลำบากแต่ประการใด นับตั้งแต่ตรัสรู้จนกระท่ังเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นเวลาถึง ๔๕ พรรษา๑๒ รงั สี สุทนต์ ได้กล่าวไว้ในหนังสอื พุทธกจิ กิจท่ีพระพุทธเจา้ ทรงกระทำพอสรปุ ได้วา่ พุทธกิจ ๕ อย่างคือ พระจริยาวัตรท่ีพระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติเป็นประจำ ๕ ระยะกาล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ คือพระพุทธในอดีต พระพทุ ธในอนาคต พระพุทธในปัจจุบัน ประทบั อย่ทู ี่ใด ก็ตามจะไม่ละกิจ ๕ อย่าง พระองค์ทรงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตลอดกาลเวลาท้ังปวงในการบำเพ็ญ พุทธกิจ ๕ ระยะกาลเวลา กิจท้ัง ๕ นี้พระพุทธเจ้าทรงกระทำทุกวันกิจ ๒ ข้อแรก ปุเรภัตตกิจ ปัจฉา ภัตตกิจ เป็นกิจช่วงกลางวัน กิจอีก ๓ ข้อ คือ ปุริมยามกิจ มัชฌิมยามกิจ ปัจฉิมยามกิจ คือ เป็นกิจ ชว่ งกลางคืนทีต่ อบปญั หาแก่เทวดาทง้ั หลาย๑๓ สุพัตรา สุภาพ ได้กล่าวไว้ว่า บทบาท คือ การปฏิบัติตามสิทธิและหน้าท่ีของสถานภาพ (ตำแหน่ง) ซึ่งมนุษย์แต่ละคนจะมีหลายบทบาท และแต่ละบทบาทจะมีความสมบูรณ์หรือสมดุลกัน พอควร นอกจากนี้ยังได้กล่าวไว้ว่า บทบาทจะกำหนดความรับผิดชอบของงานต่างๆ ท่ีปฏิบัติ ซึ่งจะ ช่วยให้บคุ คลมพี ฤติกรรมอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ๑๔ พัทยา สายหู ได้ให้ความหมายไว้ว่า บทบาทคือขอบเขตอำนาจหน้าท่ีและสิทธิในการ กระทำตามบทบาทของแต่ละงาน ท่ีเรามีต่อผู้อ่ืน โดยสังคมเป็นตัวกำหนดไว้ด้วยวิธีการต่างๆ ที่ไม่ใช่ เฉพาะกฎหมาย หรือข้อบังคับเท่านั้น แต่อาศัยความต้องการ และการยอมรับร่วมกันในหมู่ผู้ท่ี เก่ียวข้องเป็นส่ิงสำคัญ ดังน้ันความหมายของบทบาท อาจเปล่ียนไปได้ตามกาลเวลาหรือความ ปรารถนาของผู้ร่วมใช้บทบาท ส่วนสถานภาพก็คือฐานะตำแหน่ง ที่บุคคลได้จากการปฏิบัติตาม บทบาทน้ันๆ เมือ่ เทยี บกับฐานะตำแหนง่ ของผอู้ ืน่ ตามบทบาทอ่นื ๑๕ ๑๒ สุรีย์ มีผลกิจ และวิเชียร มีผลกิจ, พุทธกิจ ๔๕ พรรษา, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทคอมฟอร์ม, ๒๕๔๙), หนา้ ๙๙. ๑๓ รงั สี สุทนต์, พุทธกจิ : กิจท่ีพระพุทธเจ้าทรงกระทำ, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลง กรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๗๘. ๑๔ สุพัตรา สุภาพ, สังคมวิทยา, พิมพ์ครั้งท่ี ๑๙, (กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๐), หน้า ๒๔. ๑๕ พัทยา สายหู, สถานภาพทางสงั คม, (กรุงเทพมหานคร: อักษรเจริญทศั น์, ๒๕๒๙), หน้า ๕๖.

๑๐ สรปุ บทบาทการทำตามหนา้ ที่ของพระสงฆ์ ในดา้ นการพฒั นาชุมชน บทบาทจึงเกี่ยวขอ้ ง สัมพันธ์กัน เปรียบได้กับเหรียญที่ต้องมี ๒ ด้านเสมอ และเพื่อให้ตนปฏิบัติได้ถูกต้อง และสามารถ แนะนำผอู้ ่ืนได้ ตามหลักพระธรรมวนิ ัย เป็นการปฏบิ ัติตามสิทธิและหน้าที่ของสถานภาพของพระสงฆ์ ทพ่ี ึงทำไดต้ ามพระธรรมวนิ ัย และตามพทุ ธโอวาท ๒.๑.๒ วิธีการเผยแผข่ องพระพุทธเจา้ พระพุทธองค์มีหลักการเผยแผ่พระพุทธศาสนา อย่างยอดเย่ียม นักปราชญ์และ พุทธศาสนิกชนท้ังหลายเคารพบูชา และยกย่องเทิดทูนพระพุทธองค์ ในฐานะทรงเป็นนักสอนท่ี ย่งิ ใหญ่ท่สี ุด ทรงพระปรีชาสามารถอย่างยอดเยี่ยมในการการอบสั่งสอน ซึ่งเป็นการเผยแผ่ในขยายวง กวา้ งในยคุ พุทธกาล การเผยพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ามีวิธีการหลายอย่าง ในการนำธรรมะสู่อุบาสก อบุ าสิกา วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า หรือวิธีการเผยแผ่ของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ ๗ ประการด้วยกัน เท่าท่ีท่านค้นคว้าไว้นานแล้ว คือ (๑) อุปนิสินนกถา (๒) ธรรมีกถา (๓) โอวาทกถา (๔) อนุสาสนีกถา (๕) ธรรมฉากัจฉากถา (๖) ปุจฉาวิสัชชนากถา (๗) ธรรมเทศนากถา ในเร่ืองน้ีจะไม่กล่าวถึง รายละเอียด ก็ให้รู้ว่าวิธีเผยแผ่ของพระพุทธเจ้าก็คือการเทศน์ การเทศน์คืออะไร การเทศน์ก็คือการ แสดงธรรม การชี้แจง การบอกกล่าว น่ีเรียกกันว่าเทศน์ สมัยปัจจุบันน้ี เราก็นำวิธีการเทศน์นั้นมา ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคเข้ากับสมยั การเทศน์นั้นก็ยงั คงอยู่ แต่วา่ หนัก ไปทางพิธีการ และเป็นพธิ ีการ ทศี่ ักดส์ิ ทิ ธิ์ นนั่ คือการเทศนแ์ บบเดิม ปรบั เปลย่ี นมาเป็นปาฐกถา เรยี กวา่ “ปาฐกถาธรรม” พูดธรรมะ เปล่ียนเป็นบรรยายธรรม ก็คือพูดธรรมะ เปล่ียนเป็นอภิปรายธรรม ก็คือการบรรยายธรรมเหมือนกัน แต่บรรยายหลายคน ปรับเปลี่ยนเป็นการเทศน์ปุจฉา-วิสัชนา สองธรรมาสน์ สามธรรมาสน์ ปรับเปล่ียนไปตามยุคตามสมยั น้ีกเ็ ปน็ การทำหน้าท่ีเหมือนกัน ทีนี้ทำอยา่ งไรถึงจะได้ผล น้ีคือตัวหลัก และน้ีก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งท่ีนิมนต์ท่านทั้งหลายมาประชุมกันนี้ เพื่อท่ีจะได้รู้แนวทางในการเผยแผ่ ธรรมในฐานะที่เปน็ พระธรรมทูต ให้รู้จกั แนวทาง รู้จกั วิธกี าร สว่ นรายละเอยี ด เน้ือหาสาระน้ันก็คงจะ พูดอะไรกันไม่ได้ ธรรมะน้ันเป็นเรื่องใหญ่ ท่านทั้งหลายต้องมีทุนเดิมกันอยู่แล้ว น่ันก็คือต้องมีความรู้ ด้านธรรมะ ได้ศกึ ษานักธรรมบ้าง บาลีบ้าง อา่ นหนงั สอื ดว้ ยตนเองบ้าง เป็นตน้ ๑๖ ดงั คำอาราธนาของ ทา้ วสหมั บดีพรหมวา่ “อุปมาเหมือนในกออุบล ในกอปทุม หรือในกอบุณฑริก ดอกอุบล ดอกปทุมดอก บุณฑริก บางดอกท่ีเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ ดอกอุบล ดอกปทุม ดอก บุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำอยู่เสมอน้ำ ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บาง ๑๖ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต), การเผยแผ่พระพุทธศาสนา, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://www.digitalschool.club/digitalschool/social1_1_1/social1_1/more/page3_6.php [๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๓].

๑๑ ดอกท่ีเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ขึ้นพ้นน้ำ ไม่แตะน้ำ ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูโลกด้วย พุทธจักษุ ได้เห็นสัตวท์ ้ังหลาย ผู้มีธุลีใน ตาน้อย มีธุลีในตามาก มีอินทรยี ์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม สอนให้รู้ได้ง่าย สอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมักเห็นปรโลกและโทษว่า เป็นส่ิงน่ากลัวก็มี บางพวกมกั ไมเ่ หน็ ปรโลกและโทษวา่ เป็นสงิ่ น่ากลวั ก็มี ฉันนนั้ ” ๑๗ บุคคลผู้อยู่ในโลกนี้ มีปัญญาหลายระดับเหมือนดอกบัว ท่ีอยู่ในน้ำและมีการเจริญเติบโต ยดื ยาวตามนำ้ ที่ขึน้ สูง น้ำลง บางดอกก็ไม่เจริญงอกงาม กจ็ ะอยู่ในโคลนตม เป็นอาหารแก่สัตวท์ อ่ี ยู่ใน น้ำ มีปลา และเต่า เป็นต้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่ีแสดงไปแล้ว มีบุคคลพิจารณาตามกระแสธรรม กจ็ ะเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม หากไม่พิจารณาไตร่ตรองตามกระแสธรรมก็ไมอ่ าจรไู้ ด้ เพราะธรรมะเป็น ของละเอยี ดออ่ น ๒.๑.๓ พุทธวธิ ใี นการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติข้ึนในยุคท่ีชมพูทวีป เป็นถิ่นของนักปราชญ์ เต็มไปด้วยอาจารย์ เจ้าลัทธิต่าง ๆ เป็นอันมาก แต่ละเจ้าลัทธิล้วนมีช่ือเสียง และมีความสามารถเป็นอย่างย่ิง ผู้ท่ีเผชิญ พระองค์น้ัน มีท้ังมาดีและมาร้าย มีท้ังแสวงหาความรู้ มาลองภูมิ๑๘ และต้องการมาข่มมาปราบแต่ พระองคก์ ท็ รงประกาศพระพุทธศาสนา ใหแ้ ผ่ไพศาลได้ในเวลาอันรวดเรว็ อย่างทีไ่ ม่มใี ครทำได้ เพราะ พระพทุ ธองค์มีหลักการประกาศพระพุทธศาสนา ๔ ประการ คอื ๑) ทรงยอมรับนบั ถือคำสอนของนักปราชญ์ต่าง ๆ ท่ีมีกอ่ นหรอื ร่วมสมัยกบั พระพุทธองค์ ในกรณคี ำสอนน้นั เปน็ เรือ่ งจรงิ ในธรรม มปี ระโยชนแ์ ก่ผปู้ ฏบิ ตั ิ ๒) ปฏิวัติ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงแบบตรงกันข้าม เช่น คนในสมัยน้ัน ถือว่าการ ทรมานตนให้ได้รับความลำบาก กับการแสวงหาความสุขจามกามคุณ เป็นทางแห่งความสุข ความ หลุดพ้นพระองคท์ รงปฏเิ สธ ต้ังแต่พระธรรมเทศนาคร้ังแรกวา่ เปน็ หนทางที่บรรพชิตไม่ควรเสพ หรือ เขาถือว่าเป็นการทรมานตนเป็นตบะ แต่ทรงแสดงว่าขันติเป็นบรมตบะ เขาสอนว่า การอยู่ร่วมกับ ปรมาตมัน ปรพรหม พระพรหมว่าเป็นบรมธรรม ทรงแสดงว่า นิพพานเปน็ บรมธรรม เขาสอนว่า การ ฆ่าสตั วเ์ พ่อื บูชายญั เป็นบญุ ทรงแสดงวา่ การฆา่ สตั วท์ ุกชนดิ เป็นบาป เป็นต้น ๓) ปฏิรูป คือ การเปลี่ยนแปลงหลักการ เจตจำนง และวธิ ีการท่ีมีอยู่ก่อนแล้ว เช่น เร่ือง การจำพรรษา การลงอุโบสถ เป็นข้อปฏิบัตทิ ่ีทำกันมาก่อน ทรงปฏิรูปเข้ามาใช้ในพระพทุ ธศาสนา คำ เรียกนักบวชในพระพุทธศาสนาว่า ภิกษุ สมณะ บรรพชิต นักบวช เป็นต้น ทรงปฏิรูปโดยนิยาม ความหมายเสียใหม่ เพราะการเผยแผ่ศาสนาจำต้องอาศัยถ้อยคำ ที่เขาพูดกันในสมัยนั้น จึงต้องใช้ ๑๗ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๙/๑๔. ๑๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธวิธีในการสอน, (กรุงเทพมหานคร: สถาบันบันลือธรรม, ๒๕๔๗), หนา้ ๑๐.

๑๒ ตามโดยการนยิ ามเสยี ใหม่ คำในพระพทุ ธศาสนาเปน็ อันมากทที่ รงแสดง จึงต้องมีการไขความให้เข้าใจ ตามหลักพระพุทธศาสนา หลกั การปฏริ ูปจึงหมายถึงการกระทำ ความเช่อื นั้น ๆ มสี ว่ นดอี ยู่บา้ ง แต่ยัง มีความบกพร่องอยู่ จงึ ทรงปรับปรุงให้ดีขน้ึ เพือ่ ใหเ้ กิดผลในการปฏิบัตสิ มบูรณข์ น้ึ ๔) การต้ังหลักขึ้นใหม่ คือ เรื่องน้ีไม่มีการสั่งสอนกันในสมัยน้ัน เช่น หลักอริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท อนัตตา นิพพาน เป็นตน้ ๑๙ ซ่ึงการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์ในครั้งนั้น เรียกได้ว่า “บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น” ลักษณะพเิ ศษอีกประการหน่ึง ของพระพุทธศาสนาก็คอื ปฏิเสธเรอ่ื งวรรณะ ท่ีพวกพราหมณ์สอน โดย กล่าวว่า บุคคลไม่ได้เป็นคนดีคนช่ัวเพราะกำเนิด การกระทำของตนเองต่างหากที่ทำให้เขาเป็นคนดี คนชว่ั สงู หรอื ต่ำในพระไตรปิฎกมีพระสูตรหลายสูตร เช่น อัสสลายนสูตร และวชั รสจู ิ เป็นต้น ท่แี สดง ว่าพระพุทธเจ้าได้ตอบปัญหานี้กับพราหมณ์ ผู้มีชอ่ื เสยี งและในทสี่ ุดพราหมณเ์ หล่านั้น ก็ย่อมรับนับถือ แนวความคิดของพระองค์ ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่า พระพทุ ธศาสนาประสบความสำเรจ็ ดว้ ยวธิ ีโต้ตอบปัญหา น้ีประการหนึง่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ ในการประกาศพระศาสนาทั้ง ๔ ประการนี้ สามารถทำใหส้ ังคมที่กำลงั เขม้ ข้นไปด้วยการถือชนชั้นวรรณะ ในชมพูทวปี ขณะนั้นเบาบาง ลงได้ ชนิดที่เรียกว่า บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น แต่การกระทำเช่นนี้เห็นที่จะทำได้เพียงพระพุทธเจ้า เท่านั้น สงฆ์สาวกผู้ทำหน้าที่เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาคงยากที่จะทำได้ ฉะนัน้ แลว้ พระพุทธองค์จึงทรงมี วิธีการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือการสั่งสอนพระธรรม วินัยของพระองค์ โดยที่สงฆ์สาวกจะ ไดน้ ำไปปฏิบัติได้ ๒.๑.๔ วิธกี ารสอนแบบต่าง ๆ วิธีการสอนของพระพุทธองค์ มีวิธีการหลายอย่างท่ีทำการสอน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ เข้าใจ ในหลักธรรม และนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ พระพุทธเจ้าได้รับยกย่องว่า ทรงเป็น “พระ บรมครู”หรือ “ศาสดาเอก” ในโลกเพราะพระองค์ทรงมวี ิธีสอนท่ดี ีเย่ียม ทำให้ผู้ฟงั เขา้ ใจแจ่มแจง้ มี คำกล่าวว่า ถ้าพระพุทธองค์ทรงตัดสินพระทัยจะแสดงธรรมโปรดใครเขาผู้น้ันย่อมได้บรรลุมรรคผล ไม่ระดับใดก็ระดับหน่ึง ในพระไตรปิฎกไดก้ ลา่ วถึงวธิ ีการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมท้ังโดยตรงและ โดยอ้อม ในที่นี้กล่าวถึง หลักการสอน วิธีสอนธรรม และเทคนิควิธีสอนธรรมของพระพุทธองค์ ๔ ประการ ๑) แบบสากัจฉา หรือสนทนา วิธนี ี้เปน็ วิธีที่ใช้บอ่ ยไม่น้อยกว่าวธิ ใี ดๆ โดยเฉพาะในเมื่อผู้ มาเฝ้าหรือทรงพบนัน้ ยังไมไ่ ด้เลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนา ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจหลกั ธรรม ในการสนทนา ๑๙ พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ), ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๒๙), หนา้ ๕๐-๕๑.

๑๓ พระพุทธเจา้ มักจะทรงเป็นฝ่ายถามนำคสู่ นทนาเข้าสูค่ วามเขา้ ใจธรรมและความเล่ือมใสศรทั ธาในที่สุด แม้ในหมู่พระสาวกพระองค์ก็ทรงใช้วิธีนี้ไม่น้อย และทรงส่งเสริมให้สาวกสนทนาธรรมกัน อย่างใน มงคลสตู รว่า “กาเลน ธมฺมสากจฉฺ า เอตมมฺ งคฺ ลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมตามกาลเปน็ มงคลสงู สุด” ๒) แบบบรรยาย วิธสี อนแบบน้ี น่าจะทรงใช้ในทป่ี ระชุมใหญ่ในการแสดงธรรมประจำวัน ซ่ึงมีประชาชน หรือพระสงฆ์จำนวนมากและส่วนมากเป็นผู้ที่มีพ้ืนความรู้ความเข้าใจกับมีความ เลื่อมใสศรัทธาอยู่แล้ว มาฟังเพ่ือหาความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติม และหาความสงบสุขทางจิตใจ นับได้ ว่าเป็นคนประเภท และระดบั ใกล้เคียงกนั พอจะใชว้ ิธีบรรยายอนั เป็นแบบกว้างๆได้ ลักษณะพเิ ศษของ พุทธวิธีสอนแบบน้ีท่ีพบในคัมภีร์บอกว่า ทุกคนท่ีฟังพระองค์แสดงธรรมอยู่ในท่ีประชุมน้ัน แต่ละคน ร้สู ึกว่าพระพุทธเจ้าตรัสอยู่กับตัวเองโดยเฉพาะ ซ่ึงนับว่าเป็นความสามารถอัศจรรย์อีกอย่างหน่ึงของ พระพุทธเจา้ ๓) แบบตอบปัญหา ผู้ท่ีมาถามปัญหานั้น นอกจากผู้ท่ีมีความสงสัยข้องใจในข้อธรรม ต่างๆแล้ว โดยมากเป็นผู้นับถือลัทธิศาสนาอื่น บ้างก็มาถามเพื่อต้องการรู้คำสอนทางฝ่าย พระพุทธศาสนาหรอื เทยี บเคียงกบั คำสอนในลัทธิของตน บา้ งก็มาถามเพ่ือลองภูมิ บา้ งก็เตรยี มมาถาม เพื่อข่มปราบให้จน หรือให้ได้รับความอับอาย ในการตอบพระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณลักษณะ ของปัญหาและใช้วิธีตอบให้เหมาะสม ในสังคีติสูตร ท่านแยกประเภทปัญหาไว้ตาม ลักษณะวิธีตอบ เปน็ ๔ อยา่ ง คือ (๑) เอกังสพยากรณียปัญหา ปัญหาท่ีพึงตอบตรงไปตรงมาตายตัว พระอรรถกถา จารยย์ กตวั อย่างเช่น ถามวา่ จักษุเป็นอนจิ จงั หรือ พงึ ตอบตรงไปได้ทเี ดียวว่า ถูกแลว้ (๒) ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาที่พึงย้อนถามแล้วจึงแก้ ท่านยกตัวอยา่ งเช่น เขาถามว่าโสตะก็เหมือนจักษุหรือ พึงย้อนถามก่อนว่า ที่ถามนั้นหมายถึงแง่ใด ถ้าเขาว่า ในแง่เป็น เครอ่ื งมองเหน็ พงึ ตอบว่า ไม่เหมอื น ถ้าเขาว่า ในแงเ่ ป็นอนิจจงั จงึ ควรตอบรับว่า เหมอื น (๓) วิภัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาที่จะต้องแยกความตอบ เช่น เมื่อเขาถามว่า สิ่งท่ีเป็นอนิจัง ได้แก่ จักษุใช่ไหม พึงแยกความออกตอบว่า ไม่เฉพาะจักษุเท่าน้ัน ถึงโสตะ ฆานะ ก็ เปน็ อนจิ จัง (๔) ฐปนียปัญหา ปัญหาท่ีพึงยับยั้งเสีย ได้แก่ ปัญหาที่ถามนอกเรื่อง ไร้ประโยชน์ อันจักเป็นเหตุให้เขา ยึดเยื้อ สิ่งเปลืองเวลาเปล่า พึงยับยั้งเสีย แล้วชักนำผู้ถามเข้าสู่แนวเร่ืองที่ ประสงคต์ อ่ ไป ๔) แบบวางกฎข้อบังคับ เม่ือเกิดเร่ืองมีภิกษุกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นครั้ง แรก พระสงฆ์หรือประชาชนเล่าลือโพนทะนาติเตียนกันอยู่ มีผู้นำความมากราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์ก็จะทรงเรียกประชุมสงฆ์ สอบถามพระภิกษุผู้กระทำความผิดเมื่อเจ้าตัวรับได้ความเป็นสัตย์ จริงแล้ว ก็จะทรงตำหนิ ชี้แจงผลเสียหายท่ีเกิดแก่ส่วนรวม พรรณนาผลร้ายของความประพฤติไม่ดี

๑๔ เหมาะสมกัน กับเรื่องน้ัน จากน้ันจะตรัสให้สงฆ์ทราบว่า จะทรงบัญญัติสิกขาบท โดยทรงแถลง วัตถุประสงค์ในการบัญญัติให้ทราบ แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทข้อนั้นๆไว้ โดยความเห็นชอบพร้อมกัน ของสงฆ์ ในท่านกลางสงฆ์ และโดยความรับทราบรว่ มกันของสงฆ์ต๒๐ ในการสอนแบบน้ี พึงสังเกตว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทโดยความเห็นชอบของ สงฆ์ ซึ่งบาลีใช้คำว่า สงฺฆสุฏฺฐุตาย แปลว่า เพ่ือความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ท่านอธิบายความหมายว่าทรง บัญญัติโดยช้ีแจงให้เห็นแล้วว่าถ้าไม่รับจะเกิดผลเสียอย่างไร เม่ือรับจะมีผลดีอย่างไร จนสงฆ์รับคำ ของพระองค์วา่ ดีแลว้ ไม่ทรงบังคบั เอาโดยพลการ ๒.๑.๕ กลวธิ ีและอบุ ายประกอบการสอน การสอนของพระพุทธเจ้ามีหลักการหลายอย่าง ท่ีจะเรียกความสนใจจากผู้ฟัง ผู้เรียน เพ่ือให้การเรียนการสอนเป็นไปดว้ ยความสนุก สนาน และรา่ เริงแจ่มใส ซ่ึงเป็นกลอุบายในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาให้กระจายได้อย่างรวดเร็ว และสงฆ์สาวกได้ยึดเป็นแนวทางในการเรียน การสอนใน ยุคปจั จุบัน ๑) การยกอุทาหรณ์ และการเล่านิทานประกอบ การยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย และการเล่านิทานประกอบการสอน ช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน ช่วยให้จำแม่น เห็นจริง และเกิดความเพลิดเพลิน ทำให้การเรียนการสอนมีรสยิ่งข้ึน ตวั อย่างเช่น เมื่อจะอธิบายให้เห็นว่า คน มีความปรารถนาดี อยากช่วยทำประโยชน์ แต่หากขาดปัญญา อาจกลับทำลายประโยชน์เสียก็ได้ ก็ เล่านิทานชาดกเร่ือง ลิงเฝ้าสวน หรือ คนขายเหล้า เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงใช้อุทาหรณ์และนิทาน ประกอบการสอนมากมายเพยี งใด จะเห็นได้จากการทีใ่ นคัมภรี ต์ ่างๆ ๒) การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซ้ึงเข้าใจยาก ปรากฏ ความหมายเด่นชัดออกมา และเขา้ ใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะมกั ใช้ในการอธิบายสิ่งท่ีเป็นนามธรรม เปรียบ ให้เห็นชัดด้วยส่ิงที่เป็นรูปธรรม หรือแม้เปรียบเรอื่ งที่เป็นรูปธรรมดว้ ยข้ออุปมาแบบรปู ธรรม ก็ช่วยให้ เนื้อความหนักแน่นเข้า เช่น “ภูเขาศิลาล้วน เป็นแท่งทึบ ย่อมไม่หว่ันไหวด้วยแรงลม ฉันใด บัณฑิต ท้ังหลาย ย่อมไม่หว่ันไหวเพราะคำนินทาและสรรเสริญ ฉันนั้น” การใช้อุปมาน้ี น่าจะเป็นกลวิธี ประกอบการสอนที่พระพทุ ธองคท์ รงใชม้ ากทสี่ ดุ มากกวา่ กลวธิ ีอืน่ ใด ๓) การใช้อุปกรณก์ ารสอน ในสมัยพทุ ธกาล ยอ่ มไมม่ อี ุปกรณก์ ารสอนชนิดตา่ งๆ ทจ่ี ดั ทำ ขึ้นไว้เพ่ือการสอนโดยเฉพาะเหมือนสมัยปัจจุบัน เพราะยังไม่มีการจัดการศึกษาเป็นระบบขึ้นมาอย่าง แพร่หลายกว้างขวาง หากจะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็คงต้องอาศัยวัตถุส่ิงของท่ีมีในธรรมชาติ หรือเคร่ืองใช้ ต่างๆ ทผ่ี ู้คนใช้กันอยู่ อกี ประการหนึ่ง คำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีบันทึกไว้ก็มักเป็นคำสอนท่ีตรัสแก่ ๒๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธวิธีในการสอน, (กรุงเทพมหานคร: สถาบันบันลือธรรม, ๒๕๔๗), หน้า ๕๔-๕๘.

๑๕ ผู้ใหญ่ และเป็นเร่ืองเกี่ยวกับหลักธรรม ท้ังสอนเคล่ือนที่ไปในดินแดนแว่นแคว้นต่างๆ อย่างอิสระ ชนิดที่ผู้สอนไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัว ด้วยเหตุน้ี ความจำเป็นที่จะใช้อุปกรณ์จึงมีน้อย และโอกาสที่จะ อาศัยอุปกรณ์ก็เป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ดี มีตัวอย่างการที่พระพุทธเจ้าทรงใช้อุปกรณ์การสอน ใน กรณีสอนผู้เรียนท่ีอายุน้อยๆ ซ่ึงเข้าใจจากวัตถุได้ง่ายกว่านามธรรม โดยทรงใช้เคร่ืองใช้ที่มีอยู่ จึง ปรากฏเร่ืองท่ีพระองค์ทรงสอนสามเณรราหุลเม่ืออายุ ๗ ขวบว่า วันหน่ึงพระผู้มีพระภาคเสด็จมา ณ ที่อยู่ของสามเณรราหุล สามเณรมองเห็นแล้ว ก็ปูลาดอาสนะและจัดน้ำล้างพระบาทไว้ พระผู้มีพระ ภาคล้างพระบาทแล้ว ทรงเหลือน้ำไว้ในภาชนะหน่อยหน่ึง เม่ือสามเณรถวายบังคมน่ังเรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้ตรัสถามว่า “ราหุล เธอเห็นน้ำท่ีเหลอื อยู่หน่อยหน่ึงในภาชนะนีห้ รือไม่” สามเณรราหลุ ทูล ว่า เห็น จงึ ตรัสว่า “คนท่ีพดู เท็จทั้งท่ีรู้อยู่ ก็มคี ุณธรรมของสมณะเหลืออยู่น้อยเหมอื นอย่างนั้น” เสร็จ แล้วทรงเทน้ำนั้นเสีย ตรสั ถามว่า “เธอเห็นเราเทนำ้ หน่อยหน่ึงนั้นทิ้งไปแล้วไหม” สามเณรทูลวา่ เห็น จึงตรัสว่า “คนที่ไม่มีความละอายในการกล่าวเท็จท้ังที่รู้อยู่ ก็เป็นผู้เทคุณธรรมของสมณะออกท้ิงเสีย เหมือนอย่างน้นั ” ในการสอนสามเณรน้ี บางทีก็ทรงใช้วิธีทายปัญหา ซ่ึงคงจะช่วยให้เกิดความรู้สึกสนุก สำหรับเด็ก อย่างเร่ืองสอนธรรมยากๆ ด้วยสามเณรปัญหาว่า “อะไรเอ่ย มีอย่างเดียว, อะไรเอ่ย มี สองอย่าง, อะไรเอย่ มีสามอยา่ ง” ๔) การทำเป็นตัวอย่าง วิธีสอนที่ดีท่ีสุดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในทางจริยธรรม คือการทำ เป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็นการสอนแบบไม่ต้องกล่าวสอน เป็นทำนองการสาธิตให้ดู แต่ที่พระพุทธเจ้าทรง กระทำนั้นเป็นไปในลักษณะที่ทรงเป็นผู้นำท่ีดี การสอนโดยทำเป็นตัวอย่าง ก็คือพระจริยาวัตรอันดี งามท่ีเป็นอยู่โดยปกติน่ันเอง แต่ที่ทรงปฏิบัติ เช่น คราวหน่ึงพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอานนท์ตาม เสด็จ ขณะเสดจ็ ไปตามเสนาสนะที่อยขู่ องพระสงฆ์ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง อาพาธเป็น โรคท้องร่วง นอนจมกองมูตรและคูถของตน ไม่มีผู้พยาบาลดูแล จึงเสด็จเข้าไปหา จัดการทำความ สะอาด ให้นอนโดยเรยี บร้อย เสรจ็ แลว้ จึงทรงประชุมสงฆ์ ทรงสอบถามเรอ่ื งนั้น และตรสั ตอนหนึ่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่มีมารดา ไม่มีบิดา ผู้ใดเล่าจะพยาบาลพวกเธอ ถ้าพวกเธอไม่พยาบาล กันเอง ใครเลา่ จักพยาบาล ผใู้ ดจะพงึ อุปัฏฐากเรา ขอให้ผู้นัน้ พยาบาลภกิ ษุอาพาธเถดิ ” ๕) การเล่นภาษา เล่นคำ และใช้คำในความหมายใหม่ การเล่นภาษาและเล่นคำ เป็น เรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ ข้อน้ีก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงพระปรีชา สามารถของพระพุทธเจ้าท่ีมีรอบไปทุกด้าน เมื่อผู้ใดทูลถามมาเป็นคำร้อยกรอง พระองค์ก็ทรงตอบ เป็นคำร้อยกรองไปทันที ทำนองกลอนสด บางทีเขาทูลถามหรือกล่าวข้อความโดยใช้คำท่ีมี ความหมายไปในทางไม่ดีงาม พระองค์ก็ตรัสตอบไปด้วยคำพูดเดียวกันน้ันเอง แต่เป็นคำพูดใน ความหมายท่ีต่างออกไปเป็นฝ่ายดีงาม คำสนทนาโต้ตอบแบบน้ี มีรสอยู่แต่ในภาษาเดิม แปลออกสู่

๑๖ ภาษาอ่ืนย่อมเสียรสเสียความหมาย ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่นในภาษาไทยว่า “ปากกาหัก” “ฟัน ตาตกน้ำ” อาจใช้ในความหมายตา่ งกนั ไดใ้ นภาษาไทย แต่เม่อื แปลเป็นภาษาอนื่ ย่อมเสยี รส ๖) อุบายเลือกคน และการปฏิบตั ิรายบคุ คล การเลอื กคนเป็นอบุ ายสำคัญในการเผยแพร่ พรศาสนา ในการประกาศธรรมของพระพทุ ธเจ้า เริม่ แต่ระยะแรกประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนา จะเห็น ได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงดำเนินพุทธกิจด้วยพระพุทโธบายอย่างที่เรียกว่า การวางแผนท่ีได้ผลย่ิง ทรง พจิ ารณาวา่ เมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นใดถ่ินหนึ่งควรไปโปรดใครก่อน เมื่อตรัสรใู้ หม่ๆ ได้ เสดจ็ ไปโปรดเบญจวคั คีย์ ผทู้ ี่อยู่ใกล้ชิดพระองค์เม่ือคร้ังออกแสวงธรรมก่อน ข้อนี้พิจารณาได้ทั้งในแง่ ทเี่ บญจวคั คีย์เป็นผู้ใฝ่ธรรม มอี ุปนิสัยอยู่แล้ว หรอื ในแงท่ ่ีเป็นผเู้ คยมีอปุ การะกนั มา หรอื ในแง่ที่ว่าเป็น การสร้างความมั่นใจ ทำให้ผู้เคยเกี่ยวข้องหมดความคลางแคลงในพระองค์ ตัดปัญหาในการที่ท่าน เหล่าน้ีอาจไปสร้างความคลางแคลงใจขึ้นแก่ผู้อื่นต่อไปด้วย คร้ันเสร็จสั่งสอนเบญจวัคคีย์แล้ว ก็ได้ โปรด ยสกุมาร พร้อมท้ังเศรษฐผี ู้บิดา และญาติมติ ร และเมื่อจะเสดจ็ เข้าแคว้นมคธ พระองคก์ เ็ สด็จไป โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมทั้งบริวารทั้งพัน เร่ิมด้วยชฎิลคนพี่ใหญ่เสียก่อน แล้วนำชฎิลเหล่านี้ ผู้ กลายเป็นสาวกแล้ว เข้าสู่นครราชคฤห์ ประกาศธรรม ณ พระนครนั้น ได้พระราชาเป็นสาว ก เป็นอันว่าพอเรม่ิ ต้นประกาศพระศาสนา ก็ได้ท้ังนักบวชผู้ใหญ่ เศรษฐี และราชา ซึ่งเป็นคนชั้นสูงสมัย นัน้ เป็นสาวก เป็นการทำทางเสดจ็ เผยแผใ่ ห้ปลอดโปรง่ ต่อไป ๗) การรู้จักจังหวะและโอกาส ผู้สอนต้องรู้จักใช้จังหวะและโอกาสให้เป็นประโยชน์ เมื่อ ยงั ไมถ่ ึงจังหวะ ไม่เปน็ โอกาส เช่น ผเู้ รียนยังไม่พร้อม ยังไม่เกิดปริปากะแห่งญาณหรืออินทรีย์ กต็ ้องมี ความอดทน ไม่ชงิ หักหาญหรือดงึ ดันทำ แต่กต็ ้องต่ืนตวั อยู่เสมอ เม่ือถงึ จงั หวะหรือเป็นโอกาส ก็ตอ้ งมี ความฉับไวที่จะจับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ปล่อยให้ผ่านเลยไปเสียเปล่า แม้ในการเผยแพร่ธรรมแก่ คนส่วนใหญ่ พระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิบัติตามจังหวะและโอกาสด้วย เช่น ในระยะแรกประกาศพระ ศาสนา ณ วันมาฆบรู ณมี หลังตรัสรู้ ๙ เดือน เมื่อประทบั อยู่ ณ เวฬุวนั พระสงฆ์สาวกมาชุมนมุ พรอ้ ม กัน ณ ท่ีน้ัน และเป็นโอกาสเหมาะ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์สำหรับเป็นหลักยึดถือ รว่ มกนั ของสงฆ์ ที่จะแยกย้ายกันไปบำเพญ็ ศาสนกิจ ๘) ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิ เสียได้ ก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ สุดแต่จะใช้กลวธิ ีใดใหก้ ารสอนได้ผลดีที่สุด ก็จะ ทำในทางนัน้ ไม่กลัวว่าจะเสียเกยี รติ ไม่กลัวจะถกู รู้สกึ ว่าแพ้ บางคราวเมื่อสมควรกต็ ้องยอมให้ผู้เรียน ร้สู ึกตัววา่ เขาเกง่ บางคราวสมควรข่มก็ข่ม บางคราวสมควรโอนอ่อนผ่อนตาม ก็ยอมตาม สมควรขดั ก็ ขดั สมควรคล้อยก็คล้อย สมควรปลอบก็ปลอบ มีพุทธพจน์ว่า “เราย่อมฝึกคนด้วยวิธีละมุนละไมบ้าง ดว้ ยวิธรี นุ แรงบา้ ง ดว้ ยวธิ ีที่ทงั้ ออ่ นละมนุ ละไม และท้ังรุนแรงปนกันไปบา้ ง” ๙) การลงโทษและให้รางวัล มีคำสรรเสริญพระพุทธคุณที่ยกมาแสดงข้างต้นแล้วว่า “พระผู้มีพระภาคทรงฝึกอบรมชุมชนได้ดีถึงเพียงน้ี โดยไม่ต้องใช้อาชญา” ซึ่งแสดงว่า การใช้อำนาจ

๑๗ ลงโทษ ไม่ใช่วิธีการฝึกคนของพระพุทธเจ้า แม้ในการแสดงธรรมตามปกติพระองค์ก็ทรงแสดงไปตาม เนอื้ หาธรรม ไมก่ ระทบกระท่งั ใคร อย่างที่วา่ “ทรงแสดงธรรมในบริษัท ไม่ทรงยกย่องบริษัท ไม่ทรงรุกรานบริษัท ทรงชี้แจงให้บริษัทเห็น แจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมิกถา” ข้อน้ี ตีความไปได้ถึงว่า ไม่ใช้ท้ังวิธีลงโทษและ ให้รางวัล แม้ว่าพระพทุ ธเจ้าจะทรงใช้การชมเชยยกย่องบ้าง กเ็ ป็นไปในรูปการยอมรบั คุณความดีของ ผ้นู ้ัน กล่าวชมโดยธรรม ให้เขามน่ั ใจในการกระทำความดขี องตน แตไ่ มใ่ ห้เกิดเปน็ การเปรียบเทียบข่ม คนอืน่ ลง ๑๐) กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นต่างคร้ังต่างคราว ย่อมมี ลักษณะแตกต่างกันไปไม่มีที่สุด การแก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ยอ่ มอาศยั ปฏิภาณ คือ ความสามารถในการ ประยุกตห์ ลัก วิธีการ และกลวธิ ีต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็นเรื่องเฉพาะคร้ัง เฉพาะคราวไปอย่างไรก็ ดี การได้เห็นตัวอย่างการแก้ปัญหาเช่นน้ี อาจช่วยให้เกิดความเข้าใจในแนวทางท่ีจะนำไปใช้ปฏิบัติได้ บ้าง ในการประกาศพระศาสนา พระพุทธเจ้าได้ทรงประสบปัญหาเฉพาะหน้าตลอดเวลา และทรงแก้ สำเร็จไปในรูปต่างๆ กัน ตัวอย่างเช่น พราหมณ์คนหนึ่งในเมืองราชคฤห์ ตนไม่ได้นับถือ พระพุทธศาสนา แต่ภรรยาเป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าอย่างแรงกล้า มักเปล่งอุทานว่า “นโม ตสฺส” พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ฆ่าความโกรธเสียได้ก็จะนอนเป็นสุข ฯลฯ” และทำให้พราหมณ์เลื่อมใส ได๒้ ๑ อยา่ งไรก็ดี พระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา ใช้ความสามารถและปัญญาอันลุ่มลึก ที่มีเฉพาะพระองค์ สงฆ์สาวกจะปฏิบัติตามได้ ต้องอาศัยความพยายามปฏิบัติตามข้อดังกล่าวมาแล้ว และใช้สติปญั ญาอยา่ งสงู และอธบิ ายใหช้ ดั เจน แจ่มแจ้ง เพื่อใหพ้ ุทธศาสนิกชนไดเ้ ข้าใจในความหมาย ของหลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา ๒.๑.๖ ลีลาในการสอน การสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง จะดำเนินไปจนถึงผลสำเร็จ และเกิดประโยชน์ต่อ ผ้สู นใจ เพราะมกี ารชแ้ี จ้ง จูงใจ สรา้ งกำลังใจ ปลอบปโลมใจให้ร่าเริง ชวนใหเ้ รียน ดงั นี้ ๑) สันทัสสนา อธบิ ายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจง้ เหมือนจงู มือไปดเู ห็นกับตา ๒) สมาทปนา จูงใจให้เหน็ จรงิ ด้วย ชวนใหค้ ล้อยตาม จนตอ้ งยอมรับและนำไปปฏบิ ตั ิ ๓) สมุตเตชนา เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน ม่ันใจว่าจะ ทำให้สำเรจ็ ได้ ไมห่ วน่ั ระยอ่ ตอ่ ความเหนอ่ื ยยาก ๒๑ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พุทธวธิ ีในการสอน, หน้า ๕๙-๗๓.

๑๘ ๔) สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มช่ืน ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบ่ือ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเหน็ คณุ ประโยชนท์ จ่ี ะได้รบั จากการปฏิบตั ิ๒๒ หลักการทั่วไปของการสอน ด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า แจ่มแจ้ง-จูงใจ-หาญกล้า-รา่ เริง ที่เรยี กว่า หลักการท่ัวไป ก็เพราะไม่ละเอียด เพียงบอกกว้างๆ ว่าการสอนท่ีดีนั้น จะต้องสอนให้แจ่มแจ้ง โน้ม น้าวจิตใจให้ผู้ฟังเกิดความกล้าหาญ ร่าเริง แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าอย่างไร มีขั้น มีตอนอย่างไร เพราะนั่นจะไปอยู่ในเทคนคิ วิธีการสอน ซ่งึ จะพูดถึงต่างหาก เม่ือพระพุทธองค์ทรงสอนเวไนยสัตว์นั้น พระองค์ทรงใช้หลักการสอนท้ัง ๔ ขอ้ น้คี รบถ้วน ดังเรื่องดงั ตอ่ ไปนี้ พระพุทธองค์ต้อนรับพราหมณ์เฒ่าคนหนึ่ง พราหมณ์เฒ่าคนน้ีถือว่าตนเป็นผู้ทรงไตร เพท ด้วยวัยวุฒิ พูดง่าย ๆ ว่าถือว่าตนแก่กว่าพระพุทธเจ้า จึงหวังว่าเม่ือพบกัน พระพุทธเจ้าต้องลุก ขึ้นต้อนรับแสดงความเคารพคน ในฐานะท่ีตนมีอาวุโสกว่า แต่เม่ือเห็นพระองค์ประทับเฉยอยู่ พราหมณ์จึงขัดใจด่าพระพุทธองค์เป็นชุด ๆ เลยว่า คนไม่มีรสมีชาติ คนฉิบหาย คนเผาผลาญ คนไม่ ผุดไม่เกิด ขออภัย คำด่าคงไม่ไพเราะอย่างนี้ดอก คงจะเป็น “ไอ้คนไม่มีรส มีชาติ ไอ้ฉิบหาย ไอ้ล้าง ผลาญ ไอ้ไมผ่ ดุ ไมเ่ กิด” อะไรทำนองน้ีมากกว่าพระพทุ ธองค์ทรงอธบิ ายใหพ้ ราหมณเ์ ฒ่าแจ้งตามลำดับ ดงั น้ที ี่ทา่ นว่าเรา “ไมม่ รี สมชี าติ” นนั้ ถกู ต้องแล้ว เราตถาคตเป็นคนที่ไมม่ ีรสชาติจริงๆ เพราะรสชาตทิ ่ี ชาวโลกเขายอมรับและยกย่องกันคอื รปู เสยี ง กลิ่น รส สัมผัสนัน้ เราตถาคตละไดห้ มดส้ินแล้ว เราไม่ มสี ่ิงเหล่าน้ีแลว้ จึงเป็นคนไมม่ รี สมชี าติ ว่าเราตถาคต “ฉิบหาย” นั้นก็จริงอีก เพราะเราตถาคตสอนธรรม เพื่อทำลายกิเลสคือ โลภ โกรธ หลง ใหม้ นั ฉบิ หายไป คำสอนของเราทง้ั หมดกเ็ พ่ือจดั ประสงค์จะทำลายกเิ ลสอาสวะไปจาก จิตใจเวไนยสัตว์ เพราะฉะน้ัน เราจึงเป็นคนฉิบหายโดยแท้ ท่ีว่าเราเป็น “คนล้างผลาญ” ก็จริงคือ เพราะเราสอนวธิ ลี ้างผลาญ โลภ โกรธ หลง จากใจของคนทั้งปวง เราวางหลักคำสอนเพอ่ื ให้ประชาชน นำไปปฏิบัติ เพ่ือล้างผลาญกิเลสทุกขั้นตอน ต้ังแต่ระดับต้นๆ จนข้ันสูง เราจึงควรได้สมญานามว่าคน ลา้ งผลาญแท้จริงท่ีว่าเรา “ไม่ผุดไม่เกิด” ก็จริงอีก เพราะคนที่จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏน้ัน ต้องมีกเิ ลสตัณหา อันเปน็ เสมือนเช้ือท่ีทำให้ไฟลุกไหม้ กิเลสตัณหาเหล่าน้ัน เราตถาคตละได้หมดแล้ว ดบั สนิทแล้วจดุ ไฟหมดเชอ้ื ๒๓ ไมม่ เี หตจุ ะต้องเวยี นว่ายตายเกิดอีกตอ่ ไป เราจึงควรได้นามว่าผู้ไมผ่ ดุ ไม่เกิดอีกตอ่ ไป ความจริงพราหมณ์เฒ่าต้องการด่าวา่ พระพทุ ธ องค์ไม่รู้จักคารวะต่อผู้เฒ่าผู้แก่ พระองค์เป็นคนไม่มีรสชาติ คือ ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของคนท่ีเจริญ แล้ว พูดอีกนัยหน่ึงพราหมณ์ต้องการด่าให้แสบว่า “พ่อแม่ตายต้ังแต่เล็กหรอื อย่างไร” จงึ ไม่มีเวลาสั่ง สอนว่าเวลาผู้นอ้ ยพบผู้ใหญค่ วรทำตนอย่างไร ชา่ งไมม่ รี สนิยมของอารยชนเอาเสยี เลยพระองค์กท็ ราบ ว่าพราหมณ์หมายความว่าทำนองนั้น แต่ทรงตีความไปอีกทางหน่ึง แล้วก็อธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้งไป ๒๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พุทธวธิ ีในการสอน, หน้า ๕๓. ๒๓ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๔/๘๔.

๑๙ เลย พราหมณ์แก่ต้องการด่าว่าคนที่ไม่รู้จักสัมมาคารวะ เป็นคนล้างผลาญขนบธรรมเนียมอันดี เป็น คนทำใหข้ นบธรรมเนียมอันดงี ามท่สี ืบทอดมาแต่บรรพบุรุษฉบิ หาย คนอยา่ งน้ีไม่มีวันผุดวันเกิดในชาติ ต่อไป ๒.๑.๗ กลยั าณมิตรธรรม กลั ยาณมติ ร หมายถึง เพ่อื นทด่ี ีหรอื ผู้ทค่ี อยแนะนำ ให้คำปรกึ ษา ชกั จูงเราไปสู่สิง่ ที่ดี เป็น บุคคลท่ีคอยช่วยเหลือ สนับสนุน รวมทั้งคอยเก้ือหนุนเค้าจุนให้ชีวิตของเราดำเนินไปได้ด้วยดี โดย ปราศจากความอิจฉาริษยา ความเบียดเบียน เอารดั เอาเปรยี บ หรือความเห็นแก่ตัว มีหลายคนท่ีคบ เพื่อนดีชีวิตก็พบเจอแต่ความสุขความเจริญ แต่ก็มีอีกหลายคนที่คบเพื่อนไม่ดีก็มีชีวิตที่ตกต่ำเพราะ เลือกท่ีจะอยู่หรือคลุกคลีกับคนไม่ดี อยู่ในสังคมท่ีไม่ดีหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีเป็นแหล่งอโคจร นน่ั เอง กัลยาณมิตรธรรม ๗ องคห์ รอื คุณสมบัตขิ องมติ รแท้ มีดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) ปิโย แปลว่า น่ารัก หมายถึง เป็นท่ีสบายใจเม่ือเข้าใกล้ คือเมื่อได้พบเจอครั้งใดก็มี ความสขุ มีแต่ความสดช่นื แจ่มใส ร่าเริงเบิกบานใจอยูเ่ ป็นนติ ย์ ย่ิงได้เขา้ ใกลไ้ ด้สนทนาพูดคุยด้วยแล้ว ยิ่งสบายใจ ชวนใหป้ รึกษาไต่ถาม ๒) ครุ แปลว่า น่าเคารพ หมายถึง เป็นผู้ที่อุดมไปด้วยคุณธรรมความดีจนเป็นท่ีทราบ โดยทั่วไป เม่ือหมู่ญาติได้พบเห็นก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความเคารพด้วยความช่ืนชม นอกจากนี้แล้ว กัลยาณมิตรยังเป็นผู้วางตนได้อย่างเหมาะสมตลอดเส้นทางการทำหน้าท่ีกัลยาณมิตร จนทำให้หมู่ ญาติทั้งหลายเกิดความมั่นใจ อบอุ่นใจ เช่ือมั่นอย่างสนิทใจว่า กัลยาณมิตรจะเป็นที่พึ่งท่ีปรึกษาได้ อยา่ งแนน่ อน ๓) ภาวนีโย แปลว่า น่าเทิดทูน หมายถึง ความรู้สึกช่ืนชมท่ีเกิดขึ้นภายใน และอดไม่ได้ที่ จะเอาคุณธรรมความดีของกัลยาณมิตรมากล่าวเล่าขาน ให้หมู่ญาติท้ังหลายได้รับฟังอย่างไม่รู้เบ่ือ อยากจะชักชวนหมูญ่ าติท้งั หลายใหไ้ ด้ไปพบเจอ ได้ไปฟงั ธรรมจากกัลยาณมติ ร เพราะเชื่อมั่นว่า ไม่ว่า หมญู่ าตจิ ะมปี ัญหา ยุง่ ยาก หนักหนาเพียงใด กัลยาณมติ รยอ่ มแกไ้ ขให้ไดห้ มดทง้ั สิน้ ๔) วตั ตา จะ แปลว่า ฉลาดพร่ำสอนให้ไดผ้ ล หมายถึง มีความสามารถพูดโน้มน้าวให้หมู่ ญาติหรือคนรอบข้างทำตามในสิ่งที่ดีงาม ชี้แจงพร่ำสอนด้วยความกรุณาปรารถนาดีอย่างจริงใจและ ต่อเนื่อง ๕) วจนักขโม แปลว่า อดทนตอ่ ถ้อยคำของหมู่ญาติหรือคนรอบข้าง หมายถึง พร้อมท่ีจะ รบั ฟังคำปรึกษาซักถามอยู่เสมอ อดทนฟังได้แม้เรื่องการระบายความทุกข์ ความคับแค้นใจจากสภาพ ครอบครัว การทำงาน หรอื การดำเนนิ ชีวิต หรือคำกา้ วรา้ วหยาบคายของคนท่ีไมเ่ ข้าใจความปรารถนา ดี โดยไมต่ อบโตก้ ลบั ด้วยความฉนุ เฉียวโกรธ ๖) คัมภีรัญจะ กะถัง กตั ตา แปลว่า สามารถแถลงเรอ่ื งท่ลี ึกลำ้ หมายถึง สามารถนำเร่ือง ที่ยากมาอธิบายให้เห็นภาพพจน์เข้าใจได้ง่าย ทำให้หมู่ญาติท้ังหลายสิ้นความเคลือบแคลงสงสัยใน

๒๐ ปัญหาเร่ืองโลกและชีวิต หรือหัวข้อธรรมะต่าง ๆ มีความเข้าใจจนสามารถนำไปแก้ไขปัญหาท่ีประสบ อยู่ให้คลายทกุ ข์ ความกังวลไปสู่ความสขุ ไดโ้ ดยงา่ ย ๗) โน จัฏฐาเน นิโยชะเย แปลว่า ไม่ชักนำไปในทางเสื่อม หมายถึง ประพฤติตนอยู่ใน ทำนองคลองธรรม ไม่ยอมทำเรื่องท่ีเป็นความเสื่อม ท้ังในเร่ืองการงานครอบครัว และการทำหน้าท่ี กัลยาณมิตร มีภูมิปัญญาท่ีจะแยกแยะออกได้ว่า ส่ิงใดถูก-ผิด ส่ิงใดชั่ว-ดี สิ่งใดควร-ไม่ควร และเต็ม เปี่ยมไปด้วยหิริโอตตปั ปะ คือความละอายบาป กลัวบาป ไม่ยอมกระทำความชั่วแม้มีโอกาสหรือในท่ี ลับตาคน๒๔ อย่างไรก็ดี การมีมิตรที่ดีช่วยนำพาชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง ที่มีความพรั่งพร้อมแห่งคุณธรรม ความดีงาม เป็นผู้ห่างไกลจากสิ่งอันเป็นข้าศึก ในการพัฒนาศักยภาพชีวิต และต้ังตนอยู่อย่าง เหมาะสมแหง่ การเคารพ รวมทั้งยังเป็นผสู้ รา้ งสรรคป์ ระโยชน์สุข และคณุ ธรรมความดีงามต่างๆให้แก่ เพื่อนหรือคนรอบข้างด้วยความเข้าใจ จนเป็นแรงเหน่ียวนำให้เพื่อนหรือคนรอบข้างเกิดการ เปลี่ยนแปลง และการพัฒนาไปสู่สังคมที่ดี และมีประโยชน์ เป็นความสุขในระดับต่างๆ โดยไม่หวังส่ิง ใดตอบแทน ตลอดจนยินดีในการช่วยเหลือ เกื้อกูล ส่งเสริม และการพัฒนาชีวิตผู้อื่น ดังนี้จึงเรียกว่า กลั ยาณมติ ร หรือ มติ รแท้ ๒.๒ แนวคิดเรอื่ งการพัฒนาชุมในพระพทุ ธศาสนา การมีส่วนร่วมของประชาชน (people’s participation) การมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นคำที่เร่ิมใช้กันเม่ือประมาณ ๓๐ ปีที่ผ่านมา เพ่ือแสดงว่าโครงการพัฒนาต่างๆ ที่นำไปให้ชาวบ้าน ในชุมชนต่างๆน้ัน ประชาชนในพ้ืนท่ีมีส่วนร่วม บ้าง ก็บอกว่ามีส่วนร่วมในการดำเนินงานใน พระพุทธศาสนา มีพระสงฆ์ ทำหนา้ ที่เป็นพระธรรมทตู ก็คือเปน็ ผู้แทนของพระพุทธเจ้า เมื่อเปน็ ผแู้ ทน ของพระพุทธเจ้า ในฐานพระธรรมทูตมีหน้าที่ในการพัฒนาชุมชนเผยแผ่ธรรม มีหน้าที่หลักก็คือการ เผยแผ่ธรรม และการพัฒนา การเผยแผ่ธรรม มีหลายวิธี วิธีแรกที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติก็คือการ เทศน์ และถือว่าเป็นวิธีหลักท่ีพระพุทธเจ้าทรงถือปฏิบัติด้วยพระองค์เองมาโดยตลอด ๔๕ ปี พระพุทธเจ้าเทศนไ์ มห่ ยดุ เลย ส่วนวิธอี น่ื เชน่ พูดคุย ปาฐกถา บรรยาย เปน็ ตน้ ๒.๒.๑ บทบาทการพฒั นาชมุ ชนในพระพุทธศาสนา สังคมไทยปัจจุบันมีปัญหามากมาย หาความสงบมิได้ ท้ังที่เป็นแดนแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อพิจารณาถึงเหตุที่แท้จริงแล้วจะพบว่า มูลเหตุของปัญหามีจุดกำเนิดมาจากความเสื่อมทางจิตใจ ของคนในสงั คม เปน็ เพราะการขาดคณุ ธรรมประจำใจ ดงั น้ันการแก้ปญั หาท่ีถูกต้องที่สุด คือการทำให้ คนในสังคม มีศีลธรรมประจำใจ การปลูกฝังศีลธรรมให้เกิดข้ึนในจิตใจได้ดังน้ันจำเป็นต้องมีปัจจัยอยู่ ๒๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๒, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจฬู าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๖), หนา้ ๒๐๔.

๒๑ หลายประการข้อสำคัญท่ีสุดก็คือ “การมีแบบอย่างที่ดีของสังคม”การมีแบบอย่างที่ดีของสังคม หมายถึง คณุ ความดีทค่ี นไทยทุกคนสมควรนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้ทั้งหมด มีอยู่แล้ว ใน หลกั พุทธธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโต) ได้กล่าวถึงพระพทุ ธศาสนา เปน็ หลักนำทางในการพัฒนา ไว้อย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันน้ี ได้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า การที่จะพัฒนาประเทศให้สำเร็จผลดี บรรลุจุดหมายที่ต้องการได้อย่างแท้จริงนั้น จะพัฒนาเพียงด้านวัตถุอย่างเดียวเท่าน้ันไม่เพียงพอ ประสบการณใ์ นการพัฒนา ตลอดเวลายาวนานที่ผา่ นมา ได้สอนให้เป็นตระหนกั ว่า การม่งุ พัฒนาวัตถุ ภายนอกอย่างเดียวน้ัน แม้จะระดมทุนลงไปอย่างมากมาย ก็ไม่ทำให้สังคมบรรลุความม่ังคั่งรุ่งเรือง และสนั ติสุขท่แี ท้จริงได้ ตามวตั ถปุ ระสงค์ กลับสร้างปญั หาอยา่ งมากมาย เชน่ ๑) ปัญหาความยากจน ปรากฏว่ามีคนยากจนแร้นแค้นแผ่ขยายท่ัวไปท้ังในเมืองและ ชนบท การกระจายรายได้ของประชากรไม่ดำเนินไปด้วยดีฐานะทางเศรษฐกิจของคนกลับห่างไกลกัน มากขน้ึ ๒) ปัญหาด้านสุขภาพ ประชากรขาดแคลนแม้กระทั่งสาธารณสุขข้ันมูลฐาน เกิดโรค ระบาดท่ีร้ายแรง นอกจากสุขภาพทางกายไม่ดีแล้ว สุขภาพทางจิตก็เสื่อมโทรมลง ชีวิตคนในถิ่นที่ เรียกวา่ เจรญิ มลี กั ษณะสับสนวุน่ วาย คนมีทกุ ขใ์ จมากขน้ึ เปน็ โรคจิตโรคประสาทมากขึน้ ๓) ปัญหาด้านการศึกษา ความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาก็ยังอยู่ในภาวะสัมฤทธ์ิ ผลไดย้ าก เกดิ ความล้มเหลวในการจัดการศึกษา ก่อให้เกิดปัญหามากมายในสังคม เช่น ปัญหาการฉ้อ ราษฎรบ์ ังหลวง ความไม่ซื่อตรง เป็นตน้ ๔) ปัญหาทางการเมือง การพฒั นาประชาธิปไตยก้าวหน้าไปไดไ้ ม่มากกว่าถอยหลงั ๕) ปัญหาด้านจรยิ ธรรมคุณธรรม ผู้คนไม่มีระเบียบวินัย เข่น ระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ ถนน อุบัติเหตุมีสถิติสูงอย่างน่ากลัวย่ิง เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จนทำให้คน ส่วนมากเกิดความหวาดกลัว อาชญากรรมยังแพร่หลาย คดีปล้น ฆ่า ข่มขืน ท่ีร้ายแรงปรากฏข้ึนบ่อย เปน็ ต้น ๖) ปัญหาดา้ นวัฒนธรรม มีความเสอื่ มโทรมทางด้านวัฒนธรรม มีคา่ นิยมท่ีไมพ่ ึงปรารถนา และไมเ่ ออ้ื ตอ่ การพัฒนา เชน่ ค่านยิ มบรโิ ภคและความนิยมฟุ้งเฟ้อแผ่กระจายท่วั ไป ๗) ปัญหาทางเพศและอบายมขุ มีปัญหาทางเพศเพ่ิมสูง มีอัตราคนถูกข่มขนื สูง อัตราการ หย่าร้างสูงข้ึน อบายมุขระบาดท่ัวไป ทั้งในกรุงและชนบทประชากรฝากความหวังไว้กับการพนันใน รูปแบบต่างๆและหมกมุ่นจนยากที่จะแก้ไขเยาวชนมากมายทำลายอนาคตของตนเองและก่อปัญหา แกส่ ังคมโดยเปน็ ผลสืบเนื่องจากการตดิ ยาเสพติด ๘) ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม มีปัญหาด้านส่ิงแวดล้อมทวีสูงขึ้น ป่าไม้ถูกทำลายไปมาก ต้น น้ำลำธารร่อยหรอลง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แผ่นดินแห้งแล้ง ทำให้ทำการเกษตรยากลำบากมาก

๒๒ ขึ้น ส่งผลต่อความยากกจนแร้นแค้นยิ่งข้ึนไปอีก ประสบปัญหาทางการตลาด มีการเอารัดเอาเปรียบ กันมาก เกิดมลภาวะท้ังในดิน ในน้ำ และท้องฟ้า ให้เปล่ียนความคิดใหม่ คือ ทุกคนพูดเหมือนกันว่า จะแก้ปัญหาให้การพัฒนาเป็นการพัฒนาท่ีย่ังยืนได้ จะต้องเปลี่ยนแนวความคิด ต่อไปนี้จะต้องมอง มนุษยเ์ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อม๒๕ โดยเฉพาะตัวคนซ่ึงเป็นผู้ร่วมในกระบวนการพัฒนาและได้รับผลจากการพัฒนาโดยตรง จะต้องได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี และในการพัฒนาคนนั้นส่วนสำคัญที่สุดก็คือ จิตใจ ดังน้ันในยุค ปัจจุบัน งานพัฒนาจึงหันมาให้ความสนใจแก่การพัฒนาจิตใจมากขึ้น การพัฒนาจิตใจนั้น รวมถึงการ พัฒนา คณุ ธรรม จริยธรรม ตลอดจนสุขภาพจติ โดยท่ัวไป การพัฒนาจติ ใจ ตลอดจนการพฒั นาคนนั้น เป็นหน้าท่ีหลักของพระพุทธศาสนา และพระสงฆ์มีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติมา โดยตลอด โดยเฉพาะในอดีตและแม้ปัจจุบัน ในชนบทหลายแห่งพระสงฆ์ได้เป็นผู้นำในการพัฒนา และวัดได้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพราะพระสงฆ์เป็นผู้นำทางจิตใจ และปญั ญาของชุมชน และ วัดก็เป็นศูนย์กลางของชุมชน เริ่มแต่บทบาทสำคัญท่ีสุด คือ เป็นศูนย์กลางการศึกษาของประชาชน โดยมีพระสงฆ์เป็นครู-อาจารย์ ศิลปวัฒนธรรมด้านต่างๆ พัฒนาขึ้นในวัด หรือออกไปจากวัด เม่ือไป อยู่ในชุมชนก็ใช้ความรู้วิชาการอื่น ๆ ที่ได้ศึกษาจากวัดน้ัน เป็นเครื่องนำครอบครัวและชุมชน ในการ ดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพการงานให้เจริญก้าวหน้าและอยู่ร่วมกันด้วยดี มีความร่มเย็นเป็นสุข ควรแก่ความประพฤตปิ ฏิบตั ิ ๒.๒.๒ วดั กับการพฒั นาชมุ ชน เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมจากประเทศตะวันตกแพร่หลายเข้ามา และระบบ การต่างๆ แบบตะวันตกได้รับการยอมรับ และแนวทางการพัฒนาก็เปลี่ยนแปลงไป วัดก็เหินห่าง ออกไปจากกระบวนการพัฒนาตามลำดับ โดยเฉพาะเม่ือการพัฒนามุ่งเน้นด้านวัตถุ บทบาทของวัด พระสงฆ์และพระพุทธศาสนาก็ยิ่งลางเลือนลง เหลือแต่บทบาทในด้านการเอ้ือต่องานพัฒนา เช่น อำนวยสถานที่และอุปกรณ์ของวัด การให้กำลังใจและคำกล่าวสอนสนับสนุนในคราวชุมนุมอย่างมี พิธีกรรม เป็นตน้ ครั้นมาถึงปัจจุบัน เมื่อแนวโน้มของการพัฒนาเปล่ียนแปลงไปอีก โดยหันมาเน้นการ พัฒนาจิตใจและการพฒั นาด้านคนมากข้ึน ก็เปน็ โอกาสท่ีวดั และพระสงฆ์หรือพระพทุ ธศาสนาทงั้ หมด จะได้ร้ือฟื้นบทบาทในการพัฒนาและบทบาทของผู้นำในการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยปรับตัวปรับวิธีการ และปรับบทบาทนั้นใหเ้ ข้ากับสภาพปัจจุบันการท่ีจะนำทางพัฒนาและรับบทบาทต่างๆ ในการพัฒนา ให้ได้ผลดี จะต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทท่ีเหมาะสม และขอบเขตของการดำเนิน ๒๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), การพัฒนาที่ย่ังยืน, พิมพ์ครง้ั ท่ี ๑๓, (กรงุ เทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มูลนธิ ิโกมลคีมทอง, ๒๕๕๖), หนา้ ๑๑๙.

๒๓ บทบาทของวัดและพระสงฆ์แล้ว สิ่งสำคัญก็คือ จะต้องมีหลักธรรมนำทาง สำหรับช้ีแนวทางของการ พัฒนาอย่างชดั เจน หลกั ธรรมในการพัฒนาไดแ้ ก่ ภาวนา ๔ คือ ๑) กายภาวนา แปลวา่ พฒั นากาย ได้แก่ การพฒั นาร่างกายใหแ้ ขง็ แรง ไร้โรค มสี ุขภาพดี และท่ีสำคัญก็คือ การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เริ่มแต่ปัจจัย ๔ เป็นต้นไป อย่างถูกต้องดีงาม ในทางท่ีเป็นคุณประโยชน์ เช่น สัมพันธ์กับอาหาร โดยการกินเพ่ือช่วยให้ร่างกายมี กำลัง มีสุขภาพดี ไม่ใช่เพื่อมุ่งความอร่อย อวดโก้ แสดงฐานะ สัมพันธ์กับโทรทัศน์ โดยดูเพ่ือติดตาม ข่าวสาร แสวงหาความรู้ ส่งเสริมปัญญา มิใช่เพ่ือหมกมุ่นในความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือเอาเป็น เครอื่ งมอื เล่นการพนัน เปน็ ตน้ ๒) ศีลภาวนา แปลว่า พัฒนาศีล หมายถึง การพัฒนาความสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมทาง สังคมใหเ้ ป็นไปด้วยดี เริ่มแต่ไม่ก่อการเบียดเบียน ไมท่ ำความเดือดร้อนแก่ผู้อืน่ และสังคม ประพฤติใน ส่ิงท่ีเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อผู้อ่ืนต่อสงั คม มีระเบียบวินัย ประกอบสัมมาชีพด้วยความขยันหม่ันเพียร ฝกึ ฝนอบรมกายวาจาของตนให้ประณีต ปราศจากโทษ ก่อคุณประโยชน์และเป็นเครือ่ งสนับสนุนการ ฝึกอบรมจิตใจยิ่งขน้ึ ไป ๓) จิตภาวนา แปลว่า พัฒนาจิต คือ พัฒนาจิตใจให้มีคุณสมบัติงามพร่ังพร้อม ซึ่งอาจ แบ่งออกเปน็ ๓ ด้าน ดังน้ี คือ (๑) คุณภาพจิต คือให้มีคุณธรรมต่างๆ ที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม เป็นผู้มีจิตใจสูง ละเอียดอ่อน เช่น มีเมตตา มีความรัก ความเป็นมิตร มีกรุณา อยากช่วยเหลือปลดเปล้ืองความทุกข์ ของผู้อื่น มีจาคะ คือมีน้ำใจสูง ละเอียดอ่อน เช่น มีเมตตา มีความรัก ความเป็นมิตร มีกรุณา อยาก ชว่ ยเหลือปลดเปล้ืองความทุกขข์ องผอู้ ่นื มจี าคะ คือมีน้ำใจเผอ่ื แผ่ มคี ารวะ มคี วามกตัญญู เปน็ ตน้ (๒) สมรรถภาพจิต คอื ให้เปน็ จิตทมี่ ีความสามารถ เช่น มีสติ มวี ิริยะ คอื ความเพยี ร มีขันติ คือความอดทน มีสมาธิ คือจิตตั้งม่ันแน่วแน่ มีสัจจะ คือ ความจริงจัง มีอธิฐาน คือ ความเด็ด เด่ียวแน่นอนต่อจุดมุ่งหมาย เป็นจิตใจท่ีพร้อมและเหมาะที่จะใช้งานโดยเฉพาะงานทางปัญญา คือ การคดิ พิจารณาใหเ้ ห็นความจริงแจม่ แจ้งชัดเจน ๔) ปัญญาภาวนา แปลว่า พัฒนาปัญญา คือ พัฒนาความรู้ความเข้าใจ ให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริง และใช้ความรูแ้ ก้ปัญหา ทำให้เกดิ สุขได้ เริ่มแต่รู้ เข้าใจศิลปวิทยา เรียนรู้ถูกต้องตามเป็นจริง ไม่บิดเบือนหรือเอนเอียงด้วยอคติ (ความลำเอียง) คิดวินจิ ฉัยใช้ปัญญาโดยบรสิ ุทธิ์ใจ รูเ้ ข้าใจโลกและชี วิตามเป็นจริง รู้จักแก้ไขปัญหาและทำการให้สำเร็จตามแนวทางของเหตุปัจจัย ตลอดจนรู้เท่าทัน ธรรมดาของสังขาร ถึงข้ันทท่ี ำให้มจี ติ ใจเปน็ อสิ ระหลดุ พ้นจากกเิ ลสและความทกุ ข์โดยสิ้นเชงิ ๒๖ ๒๖ พระธรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๒, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๗๐.

๒๔ ๑) สงฆ์ต้องเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยไว้เพื่อให้พระสงฆ์ อยู่ร่วมกันเป็นชุมชน มีการพบปะกันเป็นประจำ ไม่ปลีกตัวอยู่ผู้เดียว มีความเอื้ออาทรต่อกันมีวิธี พูดจาปฏิบัติต่อกันท่ียังความเป็นปึกแผ่นของหมู่คณะ วัตถุประสงค์ของการบวช คือ เพ่ือการเรียนรู้ ฉะนั้นสงฆ์คือชุมชนแห่งการเรียนรู้ การเรียนรู้หรือการศึกษา (สิกขา) น้ันก็ทรงวางไว้เป็นหลักแล้วว่า ประกอบด้วย ศลี ลิกขา สมาธิสกิ ขา และปัญญาสิกขา ซ่งึ สงฆ์ควรปฏิบัติใหค้ รบถว้ นในสกิ ขาทั้ง ๓ นอกจากนั้น ในสังคมปัจจุบัน การเรียนรู้ของสงฆ์ควรจะเรียนรู้ใน ๓ เรื่องใหญ่ คือ (๑) เรยี นร้พู ุทธธรรม ให้ลกึ ซ้งึ ทีส่ ดุ ทั้งทางปริยตั ิและปฏบิ ัติ (๒) เรียนรู้สังคมปัจจุบันให้รู้เท่าทันสังคมปัจจุบันเพื่อประโยชน์ในการสอน (๓) เรียนรู้การติดต่อสื่อสาร ให้เป็นท่ีสนใจของผู้คน ให้จับใจผู้คน ให้มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือที่เรียกว่ามีอนุสานีปาฏิหาริย์น่ันเอง ในข้อน้ีรวมทั้งการใช้เคร่ืองมือ ติดตอ่ สอ่ื สารสมยั ใหม่ดว้ ย ๒) การศึกษาของพระสงฆ์ การศึกษาของพระสงฆ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซ่ึงควรที่จะเป็น เรื่องท่ีอยู่ในนโยบายของรัฐบาล ในแผนการศึกษาแห่งชาติ มีการคิดหลักสูตรสำหรับการศึกษาของ คณะสงฆ์ ๓) การทำวดั ให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและส่งเสรมิ ความเข้มแข็งของชุมชน ความสำคัญ สูงสุดของวัดคือ การเปน็ สว่ นหน่ึงของชมุ ชนและส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน เพราะถ้าเปน็ ดังน้ี ก็ เท่ากับวัดเป็นส่วนหน่ึงของโครงสร้างสังคมท่ีเข้มแข็ง ซ่ึงความสำคัญท่ีสุดต่อการบังเกิดข้ึนของ ศีลธรรมในสังคมดังกล่าวแล้ว พระสงฆ์จะต้องเป็นผู้นำชุมชนด้วยการปรึกษาหารือ การสง่ั สอนและท่ี สำคัญก็คือสั่งสอนให้ประชาชนเรียนรู้จากการวิเคราะห์ปัญหา วนิ ิจฉัยปัญหา วิเคราะห์ทางเลือกและ ตดั สินใจเลือกทางเลือกท่ีถกู ต้อง ซึ่งการส่งเสริมให้ชมุ ชนเขม้ แขง็ น้ันจะต้องอาศัยสมาชิกในชุมชน เช่น พระ ครู ผู้นำชาวบ้าน หมออนามัย เกษตรตำบล พัฒนาการตำบล เป็นต้น ร่วมมือกันสร้างความ เข้มแข็งของชมุ ชน ซงึ่ เม่ือชมุ ชนเขม้ แข็งก็ยอ่ มแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จติ ใจ สงั คม วัฒนธรรม สง่ิ แวดล้อม และการเมอื งพร้อมกันไป ๔) วัดกับการจัดการศึกษา การศึกษาโดยท่ัวไปของไทยยังไม่เป็นการศึกษาท่ีผลิตคนที่มี ความเข้มแข็งทางปญั ญาและทางศลี ธรรม โดยมีกระบวนการเรียนร้ทู ่ีใหค้ วามสุขกบั ผู้เรียน การศึกษา กำลงั รอการปฏิรูปให้เกดิ การะบวนการเรียนรทู้ ่ีพัฒนาคนให้เต็มศกั ยภาพของความเป็นมนุษย์ วัดบาง วัดท่ีมีความพร้อมโดยมีพระสงฆ์ที่สนใจและมีความสามารถควรจะจัดให้มีโรงเรียน โดยพยายามคิด หลักสูตรท่ีดีท่ีสุดควรเป็นอย่างไร แสวงหาคำตอบต่อคำถามน้ี ปรับปรุงให้ดีข้ึนๆ อย่างต่อเน่ือง วัดก็ สามารถทำประโยชน์ทส่ี ำคัญต่อสังคมอย่างยิ่ง ๕) พระสงฆ์กบั การแกไ้ ขความขัดแย้งดว้ ยสนั ตวิ ธิ ี ขณะน้คี วามรุนแรงกำลงั เปน็ ปัญหาใหญ่ ทั่วโลก พระสงฆ์ควรศึกษาให้เข้าใจถึงความหมายของความรุนแรง ขอบเขต ประเภท สาเหตุ วิธีการ

๒๕ ป้องกันและแก้ไข จะแก้ไขด้วยวิธใี ดท่ีได้ผลและจะพฒั นาวธิ ีป้องกนั และแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้นได้อย่างไร เป็นต้น ดังน้ันพระสงฆ์จะต้อง “การจัดการการแก้ความขัดแยง้ ” ที่จะเป็นผู้เข้าไปช่วยไกลเ่ กล่ียเข้าใจ สถานการณ์ตามที่เปน็ จริง เข้าไปอยู่ในใจและเข้าใจความรู้สกึ และความคิดของแต่ละฝ่าย สามารถชัก จูงให้มีการเจรจากันได้ เหล่านี้ต้องการความรู้และต้องการการฝึกอบรมให้มีความชำนาญ จึงจะ สามารถแกค้ วามขดั แยง้ ด้วนสนั ติวธิ ีได้ ๖) วัดกับการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม วิกฤติการณ์ส่ิงแวดล้อมกำลังเป็นปัญหาใหญ่ท่ีสุดต่อ ความอยู่รอดของมนุษยชาติ กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นกระแสใหญ่ของโลกและจะใหญ่มากขึ้น จะใหญ่จนดึงปรัชญา ศาสนา วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การ ปกครอง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเข้ามาเช่ือมโยง จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นท่ีศาสนาจะต้อง เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ท่ีดีท่ีสุด คือ พระสงฆ์พยายามศึกษาให้เข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ปัญหาส่ิงแวดล้อม และวิธีแก้ไข และในด้านปฏิบัติท่ีใกล้ตัวที่สุดคือภายในบริเวณวัดต้องมีสิ่งแวดล้อมท่ีสงบ สะอาด ร่มเย็น เป็นต้น นอกจากน้ีพระสงฆ์และวัดยังอาจหนุนช่วยขบวนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่กำลังมี กจิ กรรมต่างๆ ในทางทีเ่ หมาะสมแกส่ มณสารปู ๗) การบริหารจัดการวัด พระสงฆ์จะต้องบริหารจัดการวัด โดยให้ก่อประโยชน์สูงสุดแก่ สังคมตามอุดมการณ์ทางพระพุทธศาสนาโดยความร่วมมอื กันระหวา่ งพระสงฆ์กับชมุ ชน เป็นต้น วดั เปน็ ศูนย์กลางของชุมชนในสังคมไทยมาตง้ั แต่อดตี อทิ ธพิ ลของพระพุทธศาสนาเปน็ ปัจจัยสำคัญ ในการกำหนดวิถีชีวิตของชาวไทย โดยเฉพาะอย่างย่ิงเป็นแหล่งท่ีรวบรวมงานศิลปะวิทยากรและ ความรู้มากมายหลายสาขา ตลอดจนเป็นแหล่งรวมของศิลปกรรมที่มีค่า เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ จิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งงานศิลปกรรมต่างๆ เหล่าน้ี นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า และเป็นเสมือนเอกลักษณ์ของ ความเป็นชาติไทย ปัจจุบันวัดมีบทบาทเพิ่มมากข้ึนกว่าเดิมคือ การ เป็นแหล่งท่องเท่ียวประเภทศาสนสถานท่ีสำคัญ เพราะภายในวัดประกอบไปด้วยศิลปวัฒนธรรมที่ สะท้อนให้เห็นอารยธรรมและความเจริญของชาติอันเปน็ แหล่งรวมทส่ี ามารถศึกษาย้อนกลบั ได้ในดา้ น ประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี วัฒนธรรม ศิลปกรรมสถาปตั ยกรรม๒๗ การพัฒนาชุมชนเอามีวดั เป็นศนู ย์กลาง พระสงฆ์เป็นผูน้ ำชาวบ้านในชุมชนช่วยกันพัฒนา ชุมชนให้ดีข้ึน เจ้าอาวาสผู้มีหน้าท่ีบริหารและปกครองวัดท่ีอยู่ใกล้ชิดชาวบ้านมากท่ีสุด พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง ก็เพราะความเลื่อมใสของชาวบ้าน เจ้าอาวาสย่อมเป็นตัวจักรสำคัญ ในความเจริญของพระพุทธศาสนา ดังน้ัน การพัฒนาวัดให้เปน็ ศูนย์กลางของชุมชน เจ้าอาวาสจะต้อง เปน็ บคุ คลทป่ี ระชาชนเคารพนบั ถอื เปน็ ท่ศี รทั ธาของประชาชน ๒๗ จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์, สังคมวิทยาศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: แพร่วิทยา, ๒๕๒๕), หน้า ๑๔๕- ๑๕๒.

๒๖ ๒.๓ แนวคิดเร่ืองการพฒั นาชุมชน แนวคิดการพัฒนาชุมชน เป็นบทบาทหน้าท่ีของพระสงฆ์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐสนับสนุน เคร่ืองมือ มีชาวบ้านเป็นผู้กระทำ หรือผู้ใช้แรงงาน ท่ีมีจิตอาสาเพื่อพัฒนาชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ให้เกิด ความสะดวกสบาย เช่น การก่อสร้างถนน ขุดสระน้ำ เดินท่อน้ำประปา ขุดท่อระบายน้ำท้ิง เป็นต้น ซึ่ง แนวความคดิ เก่ียวกบั การพฒั นาตา่ งกันออกไปหลายแนวความคดิ ซึ่งสามารถจำแนกออกได้ดังตอ่ ไปน้ี ๒.๓.๑ การพัฒนาชมุ ชนของพระสงฆ์ พระสงฆ์กับชุมชน มีความเก่ียวข้องกันมาทุกยุคสมัย ต่างก็พึ่งพากันและกัน จะแยกออก จากกันไม่ได้ มีการเกื้อกูลกันมาโดยตลอด การพัฒนาชุมชนจึงเป็นหน้าท่ีของพระสงฆ์ เน่ืองจาก พระสงฆต์ อ้ งอาศัยชาวบา้ น จงึ มีแนวคดิ ดงั นี้ ๑) แนวคิดด้านมนุษย์นยิ ม เปน็ การอธิบายแนวคิดพืน้ ฐานการพฒั นาของมนษุ ยท์ ี่เน้นเรอื่ ง ค่านิยมกับจริยธรรม โดยมองวา่ เปา้ หมายสุดทา้ ยของการพฒั นาอย่ทู ม่ี นษุ ย์และคา่ นิยม ดา้ นจริยธรรม เป็นส่ิงสำคัญในสังคมมนุษย์ ตามแนวคิดนี้ถือว่าคนเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคนเป็นผู้บันดาลให้ ส่ิงต่าง ๆ ในเกิดข้ึนหรือดับสลายได้ จุดหมายปลายทางสูงสุดของการพัฒนาคือการพัฒนาคนซ่ึง หมายถึงการทำให้คนมีทงั้ คุณภาพและคุณธรรม ๒) แนวคิดทางดา้ นเศรษฐกิจ เป็นการอธิบายถึงความเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจซ่ึงจะเน้น ไปในเร่ืองของการออมและการลงทุน มองว่าการพัฒนาเปรียบเสมือนการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ โดยถือว่าเม่ือมีกระบวนการพัฒนาเกิดข้ึนแล้ว ผลแห่งการพัฒนาจะแพร่กระจายไปยังประชาชนทีละ น้อยและประชาชนจะพัฒนาตามไปด้วย ซ่ึงผลประโยชน์ของการเจริญเติบโต จะกระจายไป ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ในรูปของงานและโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยผลของการกระจาย น้ีจะเพ่ิม ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจใหแ้ ก่กลมุ่ ทย่ี ากจนกวา่ ๓) แนวความคิดด้านความจำเป็นขั้นพ้ืนฐาน เป็นผลมาจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของ หลายๆ ประเทศและประเทศต่าง ๆ เร่ิมตระหนักว่าการดำเนินการพัฒนาท่ีผ่านมาไม่ได้ส่งผลให้ ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศมีคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน โดยการพัฒนาควรจะถูกกำหนดให้ไปสู่แนวคิด ความจำเป็นขั้นพื้นฐาน เช่น อาหาร ที่อย่อู าศยั เคร่ืองนุ่งห่ม การศึกษาและสุขภาพอนามัย รวมไปถึง ความต้องการด้านต่าง ๆ ของประชาชนเป็นอันดับแรก แทนการมุ่งลงทุนในด้านอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงสิทธมิ นุษยชน การมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการพัฒนาและแนวทาง ในการปฏบิ ัติแลว้ การพัฒนาจะมุง่ ไปทีส่ วัสดกิ ารของประชาชนเพอ่ื ลดความยากจนลดการว่างงานและ ลดความไม่เท่าเทียมกนั ดว้ ย ๔) แนวความคิดแบบการปฏิบัติการทางสังคม เป็นแนวคิดที่เกิดจากรฐั บาล ของประเทศ ต่างๆ พยายามที่จะปรับปรุง แก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในรูปของการวางแผนและ

๒๗ ปฏิบัติการ เช่น การปฏิรูปท่ีดิน การสหกรณ์ การพัฒนาชนบท เป็นต้น และเรียกวิธีการน้ีว่า การพัฒนา ๕) แนวคิดแบบความขัดแย้งทางสังคม เป็นแนวคิดของการพัฒนาประเทศด้วยระบอบ สังคมนิยมท่ีนำทฤษฎีความขัดแย้งมาใช้เป็นแนวทางในการเปล่ียนแปลงโครงสร้างและระบบสังคม โดยถือวา่ การนำระบอบสงั คมนิยมเขา้ มาใช้แทนระบบท่ใี ช้อยูเ่ ดมิ ถือเป็นการพัฒนาในแนวความคิดนี้ ๖) แนวคิดแบบการพัฒนาชุมชน เป็นแนวคิดท่ีองค์การสหประชาชาตินำไปใช้เป็น แนวทางในการพัฒนาท่ีกล่าวมาแล้วในเรื่องความเป็นมาของการพัฒนา กล่าวคือการให้คนและ กลุ่มคนในชุมชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและเป็นผู้ได้รับผลของการพัฒนาตามหลักการและ วธิ ีการพฒั นาชมุ ชน ๗) แนวคิดแบบการพัฒนาท่ียั่งยืน เป็นแนวคิดที่องค์การสหประชาชาติเรียกร้อง ให้ประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลกได้ตระหนักถึงผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยจนเกินขีดจำกัด ของทรัพยากรโลก เป็นแนวคิดการพัฒนาท่ตี ้องคำนึงถึงความเปน็ องค์รวมของทุกด้านอย่างสมดลุ ใน ๕ ด้าน คือด้านส่ิงแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรม ด้านสังคมและด้านการเมืองจากแนวคิด หลกั ในการพฒั นาทัง้ ๗ ประการดังกลา่ ว การพฒั นาชุมชนถือเปน็ แนวคดิ หน่งึ ทีม่ ลี กั ษณะเฉพาะ คือ มุง่ เน้นไปท่กี ารเปล่ียนแปลงใน ตัวมนุษย์รวมถึงศักยภาพของมนุษย์เป็นหลักกล่าวได้ว่าการที่จะทำความเข้าใจความหมาย ลักษณะ และแนวคิดเก่ียวกับการพัฒนานั้นจำเป็นจะต้องตระหนักในความจริงท่ีว่า การพัฒนาเป็นแนวคิดเชิง บรรทัดฐาน การกำหนดความหมายทิศทางและแนวทางของการพัฒนานั้น ยอ่ มจะแตกต่างกันไปตาม ค่านิยมและความเช่ือพ้ืนฐานหรืออุดมการณ์ของสังคมและกาลเวลา ดังน้ันแนวทางการพัฒนาของ ประเทศท่ีมีความยึดมั่นในอุดมการณ์ทุนนิยมจงึ อาจจะแตกต่างจากประเทศอุดมการณส์ ังคมนิยมและ เน่อื งจากปทสั ถาน ท่ีมองเหน็ วา่ เปน็ ส่งิ ทป่ี รารถนาเปลย่ี นแปลงได้ตามกาลเวลา การเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนน้ัน พระสงฆ์จะถูกกำหนด บทบาทจากหน้าท่ี ที่พึงจะเป็น ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างจริงจัง บำเพ็ญประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมด้วยความเสียสละพระสงฆ์เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือ พฒั นาชุมชนทีอ่ าศยั นัน้ ๆ ทั้งในรูปแบบของนามธรรม และรูปธรรม ดงั ตอ่ ไปนี้ ๒๘ การพัฒนาคุณภาพชวี ิตด้านการศึกษา การเรียนการสอนในสมยั ก่อนทจี่ ะมีเป็นแบบแผน เป็นรปู ช้ันเรียนมกี ำหนดแน่นอนตายตัวอย่างโรงเรยี น ในความหมายในปัจจุบนั ยงั ไม่มีทีท่ัวไปเป็นการ เรียนการสอนอย่างไม่เป็นระบบข้ึนอยู่กับครูผู้สอน และตามแต่สถานที่ส่ิงแวดล้อมจะอำนวย สว่ นมากลูกชาวบ้านเมื่อมาเรียนก็สามารถอ่านเขียนตัวพยัญชนะ และแจกลูกถึงตัวแม่เกยได้ ก็มักจะ ๒๘ พระครูปลัดเถรานุวัตร (สุเทพ สุเทวฺเมธี), “พระสงฆ์กับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชน”, บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ , ปีท่ี ๑๔ ฉบับท่ี ๓ (กันยายน – ธันวาคม ๒๕๖๑): ๑๓๕.

๒๘ ลาพระอาจารย์กลับไปอยู่บ้านเพื่อช่วยพ่อแม่ประกอบอาชีพ ถ้าพ่อแม่มีกำลังก็ให้ลูกเรียนต่อไปจน ครบอายุบวชก็บวชเรยี นพระธรรมวินัยต่อไปจะได้เรยี นหนังสอื ขอม หรือภาษาบาลีบ้าง และหากไม่ บวชแต่สมัครใจเรียนวชิ าชีพไดพ้ อ่ แมก่ ม็ ักนำไปฝากพระสงฆท์ ีม่ ีความร้วู ชิ านั้น ๆ เมื่อชาวบ้านนิมนต์ พระที่มีความรู้ไปทำอะไร ลูกศิษย์มักจะได้ความรู้และจดจำไว้จนชำนาญในท่ีสุดและเมื่อไม่ได้เรียน หนังสือไมไ่ ดร้ ับราชการทเี่ กย่ี วกับหนงั สอื ในวงั ก็ไม่ร้วู า่ จะเอาความรู้ไปทำอะไรนานเขา้ ก็ลมื หมด การส่งเสริมให้มีการศึกษาพระพุทธศาสนากำหนดเป็นนโยบายในการจัดการศึกษา ส่งเสริมสนับสนุนให้เรียน บุคลากรของสถาบันได้ศึกษาพระพุทธศาสนา มีการสอนศีลธรรมใน สถานศึกษาต่าง ๆ เชญิ ชวนเยาวชนมาเรียนธรรมศึกษาตรี โท เอก ในวัด เปิดสอนธรรมศึกษาภายใน วัด และกำหนดให้เป็นวิชาบังคับสำหรับเด็กได้การศึกษาตั้งแต่เยาว์วัยมีการวัดผลโดยวิธีต่าง ๆ วัด พฤติกรรมทั้งให้ถือเป็นวิชาท่ีสำคัญท่ีสุด และเมื่อจบมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนทุกคนจะต้องสอบ ธรรมศึกษาเอกให้ได้เป็นอย่างน้อย จัดระบบการศึกษาให้มีหลักสูตร ท่ีมีการเรียนการสอน พระพุทธศาสนาในสถานศึกษาท้ังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างเป็นรูปธรรม ให้เด็กเยาวชน และ ประชาชนศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจแล้วนำความรู้ท่ีศึกษานั้นไปปฏิบัติให้เกิดผล สนับสนุนให้ โรงเรียนทำกิจกรรมส่งเสริมการให้ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะเน้นกันใน เร่ืองการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปด้วย จัดเป็นหลักสูตรนอกโรงเรียนให้กับผู้นำท้องถ่ินหรือองค์การ บริหารส่วนท้องถ่ิน รวมท้ังบุคลากรภายในวัด ได้แก่๒๙จัดอบรมแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาให้ ไวยาวัจกรอย่างมีระบบ โดยเฉพาะส่งเสริมให้เข้าวัดและเรียนธรรมะ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะใน สถานศึกษาน้ัน เรียนไปทำพิธที างพระพุทธศาสนาในวนั สำคัญต่าง ๆ ท่ีวัด กำหนดให้การรับราชการ ต้องผ่านการสอบภาคความรู้ความสามารถท่ัวไปของการสอบคัดเลือก ก.พ. ให้มีการสอบวดั ระดับของ ความรู้ด้านคณุ ธรรมจริยธรรม การพัฒนาชุมชน คือ การพัฒนาความรู้ความสามารถของประชาชนในชุมชน เพื่อให้เกิด ความเช่ือมั่นในการช่วยเหลือตนเอง เพ่ือนบ้านและชุมชนให้มีมาตรฐานความเป็นอยู่ดีขึ้น โดยการ รว่ มมอื กันระหว่างประชาชนกับรัฐบาล การพฒั นาชุมชนเป็นวิธีการที่นำเอาบรกิ ารของรัฐบาล ผนวก เข้ากับความต้องการของประชาชน เพ่ือยกระดับคุณภาพของชีวิตของประชาชนให้ดีข้ึน และการ พัฒนาชุมชน เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งของรัฐบาล ท่ีนำมาใช้เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือน ยั่วยุและ ๒๙ ชาญชัย ฮวดศร, “บทบาทของพระสงฆ์ในการส่งเสริมคุณธรรมและจรยิ ธรรมในชุมชนเขตปกครอง คณะสงฆ์ภาค ๙”, รายงานวิจัย, (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย: วิทยาเขตขอนแก่น, ๒๕๔๙), หน้า ๖๒-๖๓.

๒๙ ส่งเสริมให้ประชาชนในชนบทเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเสริมสร้างท้องถิ่นให้ก้าวหน้าท้ังใน ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการดูแลตนเองตามระบบประชาธิปไตย๓๐ ดังนั้นการพัฒนาชุมชนจึงเป็นกระบวนการหลาย ๆ ด้าน เพ่ือให้คนในชุมชนมีความ เป็นอยู่ที่ดีข้ึน มีการดำเนินชวี ิตได้อย่างสะดวกปลอดภัย พระสงฆ์เป็นบุคคลท่ีอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน ท่ีจะย่ืนมือเข้าไปช่วยในอันดับแรก ทางราชการเป็นอันดับรองลงมาสนับสนุนด้านเคร่ืองมือ และ เสบียงปจั จัยอนั สำคญั ๒.๓.๒ การพัฒนาชมุ ชนดว้ ยการสงเคราะห์ ความหมายสังคมสงเคราะห์ คือ สังคมสงเคราะห์ หมายถึง การยึดเหนี่ยวจิตใจ ประสาน หมู่ชนไว้ให้รวมเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน หรือการให้สังคมเกาะกลุ่ม คุมกันอยู่เป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ไม่แตกไม่กระจัดกระจาย ดังนั้น ความมุ่งหมายของสังคมสงเคราะห์ จึงไม่เป็นเพียงเอาอะไรไปให้เขา ไม่ใช่เอาบริการไปให้ เอาทรัพย์สินเงินทองไปให้ แต่หมายถึงการทำให้ สังคมรวมใจกันผนึกยึดเหนี่ยว กันไว้ได้ การสังคมสงเคราะห์ เป็นการช่วยเหลือเพ่ือนมนุษย์ท่ีช่วยเหลือ ตนเองไม่ได้ เพื่อให้เขา สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ซ่ึงมีความเกี่ยวข้องกับหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้า ทรงวางหลัก แห่งการสงเคราะห์ไว้ สามารถนำมาใช้ในงานสังคมสงเคราะห์ได้เป็นอย่างดี ใน ขณะเดียวกันก็ได้กล่าวเชิงสรุปเกี่ยวกับพุทธศาสนากับงานสังคมสงเคราะห์ดังน้ี การสังคมสงเคราะห์ คือการสงเคราะห์สังคมแต่ถ้าแปลให้ลึกกว่านั้น ก็มีความหมายทางธรรม สงเคราะห์ คำบาลีเป็น สงฺคห (สังคะหะ) แปลว่า ประมวล รวบรวม จับมารวมเข้าด้วยกัน ยึดเหน่ียวใจให้ รวมกันเป็นหนึ่ง ผกู ใจกันไว้ ด้านการสงเคราะห์ทางการศึกษาของพระสังฆาธิการ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มีอำนาจหน้าที่ในการ ปกครอง คณะสงฆ์ในเขตปกครองของตน คือ บริหารการคณะสงฆ์และการพระศาสนาตามที่กำหนด ไว้ กฎมหาเถรสมาคมฉบับท่ี ๒๓ (พ.ศ.๒๕๔๑) ซ่ึงได้กล่าวถึงอำนาจหน้าท่ี (ภารกิจ) ของคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้าน ไว้ในระเบยี บการปกครองคณะสงฆ์ ได้กล่าวถงึ การศกึ ษาสงเคราะห์ เป็นการจัดการศึกษาเพ่ือ ช่วยเหลือ เก้ือกูลแก่เด็ก และเยาวชนของชาติ ทั้งด้านการศึกษา การอบรมศึกษา การให้ที่อยู่อาศัย และอาหาร ทำใหเ้ ดก็ ๆ มคี วามอบอุ่นและมีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจการศึกษาทีพ่ ระภกิ ษุสงฆ์ได้ ดำเนินการ ในลักษณะนม้ี ี ๕ ประการ๓๑ คือ ๓๐ นันทิยา หุตานุวัตร และคณะ, เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหารจัดการชุมชน, (นนทบุรี: สำนักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๑), หน้า ๑-๗. ๓๑ กองการศึกษาสงเคราะห์, ระเบียบการรับเด็กเข้าเรียน ณ โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์, (กรงุ เทพมหานคร: กรมสามัญศึกษา, ๒๕๔๑), หนา้ ๑๒-๑๓.

๓๐ ๑) โรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ท่วี ัดหรือมูลนธิ ิวัดจดั ตั้งขึ้น เพ่ือช่วยเหลือ เกื้อกูลเด็กและเยาวชนที่ยากจน บางแห่งมีนักเรียนเฉพาะชายหญิง และบางแห่งมีนักเรียนพระภิกษุ สามเณรเรียนร่วมด้วย กระทรวงศึกษาธิการได้ออกระเบียบว่าด้วยการจัดต้ังโรงเรียนการกุศลของวัด ในพระพุทธศาสนา พ.ศ. ๒๕๓๒ มีท้ังระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษาปัจจุบันสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ๒) โรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจนตามพระราชประสงค์ ต้ังตามพระราชประสงค์และอยู่ ในพระบรมราชานุเคราะห์ และอยู่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ปัจจุบันมี จำนวน ๓ แห่ง คือ โรงเรียนวัดศรีจันทร์ จังหวัดสมุทรปราการ โรงเรียนวัดบึงเหล็ก จังหวัดนครพนม และโรงเรียนนันทบุรวี ทิ ยา จังหวดั นา่ น ๓) ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ วัดจัดต้ังข้ึนเพ่ือให้การศึกษาอบรมปลูกฝัง ศีลธรรม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามแก่เด็กและเยาวชน สอนเฉพาะวันอาทิตย์ จัดตั้งตาม ระเบียบกรมการศาสนาว่าด้วยศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ พ.ศ. ๒๕๓๔ และอยู่ในอุปถัมภ์ ของสำนกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๔) ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัดจัดต้ังขึ้นเพื่ออบรมเด็กเล็กก่อนวัยเรียนมีท้ังชายหญิง วัดจัดตงั้ ขึ้นตามระเบียบกรมการศาสนาว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อบรมเด็กกอ่ นเกณฑ์ในวดั พ.ศ. ๒๕๓๗ และอยใู่ นสังกัดสำนกั งานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติ ๕) โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์/พระราชูปถมั ภ์เป็นโรงเรียนอยู่ในสังกัดสำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาเอกชน และอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปัจจุบันมีเพียงแห่งเดียว คือโรงเรียนวินิต ศกึ ษา เปน็ โรงเรียนระดบั มธั ยมศึกษา พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ให้แนวคิดเกี่ยวกับการให้การศึกษาของ พระสงฆ์ว่า การศึกษาสงเคราะห์ของพระสงฆ์เป็นการทำให้พระพุทธศาสนาครองความเป็นเสียงข้าง มากในประเทศมาได้อย่างยาวนาน พระสงฆ์ในอดีตได้ทำการเผยแผ่เชิงรุกด้วยการทำหน้าที่เป็นครู สอนเด็กและเยาวชน วัดในอดีตทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการศึกษา พระสงฆ์ไม่ได้สอนแต่วิชา พระพุทธศาสนาเท่านั้นยังได้สอนวิชาต่าง ๆ อีกมาก ประชาชนเป็นศิษย์จึงเคารพเชื่อฟังพระสงฆ์ ดงั นั้น จึงเรียกการที่พระสงฆ์สอนในโรงเรียนว่า การศึกษาสงเคราะห์และการสอนพระปริยัติธรรมแก่ พระภิกษุสามเณร ว่าศาสนศึกษา การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอดีตใช้การศึกษาสงเคราะห์เป็นตัวนำ นับวา่ เป็นกลยทุ ธ์ หนึ่งในการนำพุทธศาสนาเข้าหาประชาชนที่ได้ผลย่ิง๓๒ ๓๒ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมมฺ จติ ฺโต), การเผยแผ่เชิงรุก, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๘), หนา้ ๑-๑๕.

๓๑ พระสงฆ์ได้ทำหน้าที่อนุเคราะห์ เกื้อกูลกับประชาชนในสังคมตลอดมาจะเห็นได้จาก บทบาทของพระสงฆ์ในการช่วยเหลือเก้ือกูลคนในสังคมนับต้ังแต่สมัยพุทธกาล สุโขทัย อยุธยา มา จนถึงปัจจุบัน พระสงฆ์ยังทำหน้าท่ีสงเคราะห์ในด้านต่างๆ การจัดการศึกษาสงเคราะห์เป็นอีกหน้าที่ หนึ่งของพระสงฆ์ท่ีได้มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเกิดความ อบอ่นุ และมคี วามสุขทง้ั ร่างกาย และจติ ใจเปน็ คนดีของสงั คมในอนาคตต่อไป ๒.๓.๓ พระสงฆ์กบั การพฒั นาสงเคราะห์ การศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนามนุษย์ พัฒนาประเทศ เพราะการศึกษาช่วยส่งเสริม ยกระดับจิตใจให้สูง ประเทศชาติจะมั่นคง หากเยาวชนมีการศึกษา พระสงฆ์เป็นผู้ท่ีมีจิตใจเมตตาต่อ เยาวชนของชาติ การเผยแผ่ คือ การทำให้ขยายออกไป การทำให้ขยายวงกว้างออกไป ทำให้ แพร่หลาย ออกไป การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงได้แก่ การดำเนินงานเพ่ือให้หลักธรรมคำส่ังสอนใน พระพุทธศาสนาแพร่หลายออกไปในทุกสารทิศ มีผู้ศรัทธาเล่ือมใส เคารพ ยำเกรง ในพระรัตนตรัย น้อมนำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไปประพฤตปิ ฏบิ ัติ มหี ลกั การใหญ่ ๆ ดงั นี้ ๑) หลักประโยชน์ ๓ การประกาศพระพุทธศาสนาโดยยึดหลักประโยชน์ และความสุข ของมหาชนเป็นที่ต้ัง ถือเป็นวัตถุประสงค์หลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดังท่ีพระพุทธเจ้า ทรง ประทานโอวาทให้แก่เหล่าพระสาวกชุดแรกท่ีทรงส่งให้ไปประกาศพรหมจรรย์ว่า“พวกเธอ จงเที่ยว จาริก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพ่ืออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เก้ือกูลและ ความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าได้ไปร่วมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงาม ใน เบ้ืองต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมท้ังอรรถทั้งพยัญชนะ ครบ บริบูรณ์ บรสิ ุทธ์.ิ .”๓๓ ๒) หลักไตรสิกขา หลักการท่ีสำคัญอีกประการคือ ไตรสิกขา คือ ส่ิงท่ีเรียกว่าความงาม ในเบ้ืองต้น ได้แก่ ศีล งามในท่ามกลางได้แก่ สมาธิ งามในที่สุด ได้แก่ ปัญญา ปรากฏใน พระดำรัสที่ ส่งสาวกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนารุ่นแรก ซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา การดำเนินงานเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ฟงั ได้นั้น หลักนถี้ ือเป็นหลกั ใหญท่ ่ี ครอบคลุมการปฏิบัติ ให้บรรลุประโยชน์ท่ีตนพึงปรารถนา ดังปรากฏในเมตตาสูตร ขุททกนิกาย ว่า“ผู้ฉลาด ในประโยชน์ มุ่งหวังบรรลุสันตบท ควรบำเพ็ญกรณียกิจ ควรเป็นผู้อาจหาญ ซื่อตรง เคร่งครัด ว่าง่าย อ่อนโยน และไม่เย่อหย่ิงควรเป็นผู้สันโดษ เลี้ยงง่าย มีกิจน้อย มีความประพฤติ เบา มีอินทรีย์สงบ มีปัญญา รักษาตน ไม่คะนอง ไมต่ ิดในตระกูลทั้งหลาย อนงึ่ ไม่ควรประพฤติความเสยี หายใด ๆ ที่จะเป็นสาเหตุ ให้วิญญชู นเหลา่ อน่ื ตำหนิเอาได้…”๓๔ ๓๓ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๓๔ ขุ.ข.ุ (ไทย) ๒๕/๑๖-๒/๒๐.

๓๒ ๓) ศักยภาพของมนุษย์ พระพุทธเจ้าถือหลักว่า มนุษย์เป็นผู้ฝึกได้ มนุษย์สามารถที่จะรู้ ตามได้ ถ้าเขาได้ฝึกฝนตนตามหลักการท่ีแสดง การมองเช่นนี้ เปน็ การมองที่ศักยภาพทางปัญญา ของ มนุษย์มากกว่ามองในแง่ความแตกต่างในด้านทางร่างกาย ซ่ึงถือเป็นหลักใหญ่หลักหน่ึง ท่ีนำไปสู่การ รับสมาชิก การพยายามท่ีจะทำให้เห็นอุดมการณ์ท่ีเป็นเหมือนการมองมนุษย์ทุกคน ที่จิตใจ มากกว่า มองรูปลักษณ์ที่แสดงออกมาภายนอก อันจะนำไปสู่การรับฟังคำสอนและนำไปปฏิบัติ ให้เกิด ประโยชนส์ ูงสดุ ตามท่ีพระพทุ ธองคท์ รงแสดงไว้ พระพุทธเจ้าทรงแยกวิเคราะห์ผู้รับสารตามระดับปัญญา ซึ่งแตกต่างไปจากหลักการ สือ่ สาร ของนกั วิชาการตะวันตกทีว่ ิเคราะห์ ผ้รู ับสารตามหลักพนื้ ฐานง่ายๆ เช่น ลกั ษณะทางกายภาพ จิตใจ เช่น หลักทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล ที่ให้ข้อคิดว่าบุคคลมีความแตกต่างกันในด้าน บุคลิกภาพ สภาพจิตวิทยา ทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อ แตกต่างกัน เนื่องจากมีการเรียนรู้จาก สภาพแวดล้อมท่ีแตกต่างกัน แต่สำหรับพระพุทธองค์ ทรงแบ่งบุคคลที่จะส่ังสอน ตามระดับปัญญา ซึ่งลึกซ้ึงกว่านักวิชาการตะวันตก พระองค์จะทรงแสดงธรรม (หรือสื่อสาร) ตามความเหมาะสม ของ บุคคล ๒.๓.๔ พระสงฆ์กบั การพัฒนาด้านจติ ใจ บทบาทสงเคราะห์การพัฒนาจิตใจ เป็นงานที่สำคัญมาก คือ เป็นการฝึกอบรมให้จิตเป็น สมาธิม่ันคง ไม่หว่ันไหวฟุ้งซ่าน มีความตื่นตัวในการทำงาน มีสุขภาพจิตดี และมีความฉลาด รู้ และ เข้าใจเรื่องราวปัญหา รวมถึงวิธีแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องตามแนวทางพระพุทธศาสนา ในเรื่องนี้มี นักวชิ าการทา่ นไดใ้ หห้ ลักการและอธิบายไวด้ ังน้ี พระสงฆ์ในฐานะเป็นผู้มีบทบาท นำทางด้านจิตวิญญาณของประชาชน และชุมชนจำเป็น อย่างย่ิงท่ีจักต้องมีการพัฒนาจิตวิญญาณของประชาชน และชุมชน ให้มีสภาพจิตท่ีมั่นคง มี สมรรถภาพในการท่ีสามารถแก้ปัญหา ที่เกิดขึ้นกับตนเองในชีวิตประจำวันได้ สำหรับหลักการที่ พัฒนาจิตใจทางพระพุทธศาสนา เรียกวา่ ภาวนา หรือ กรรมฐาน พระพุทธองค์ตรสั ว่า เป็นธรรมควร เจรญิ มีอยู่ ๒ อย่าง คือ ๑) สมถภาวนา คือ การฝกึ อบรมจติ ใจใหเ้ กิดความสงบ (ละราคะ) ๒) วิปัสสนาภาวนา คือการฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งตามความเป็นจริง (ละ อวิชชา) พุทธทาสภิกขุ ได้เสนอแนวคิดเร่ืองธัมมิกสังคมนิยมเพื่อการแก้ปัญหาทางจิตใจและการ พัฒนาว่าคือ ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาความยากจน และปัญหายาเสพติด เกิดจากความเห็นแก่ตัว ของมนุษย์เป็นพื้นฐาน ความเห็นแก่ตัวทำให้คนเราต้องสนองความยากของตนเองจนปราศจากการ คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อ่ืน และปฏิเสธหน้าท่ีอันพึงปฏิบัติของตนเอง เช่น ความเห็นแก่ตัวของ พ่อค้าที่ฉวยโอกาสข้ึนราคาสินค้า ความเห็นแก่ตัวของนักการเมือง ท่านพุทธทาสได้เสนอแนวคิดธัม

๓๓ มกิ สังคมน้ี อันเป็นหลักการในการสร้างความเจริญแก่ชุมชน สังคม ประเทศชาติ บนพ้ืนฐานของพุทธ ธรรม ในธรรมนีส้ มาชิกทกุ คนตอ้ งปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ถกู ตอ้ งเพื่อส่วนรวมเพ่ือขจดั ความเห็นแก่ ตัวที่พอกพูนอยู่ในจิตใจของตนการเสียสละทรัพย์เพียงเล็กน้อย แต่เพิ่มคุณค่ามหาศาลสำหรับผู้ท่ี ยากไร้ ด้อยโอกาสในการศกึ ษาก็ดี ในการประกอบอาชีพก็ตาม เงนิ ที่ท่านผใู้ จบุญเสียสละบริจาคไป น้ัน จะไปต่อยอดของผู้ทีอ่ ดยากลำบากได้มหาศาล ไปเติมใหเ้ ตม็ และเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ใหท้ ุก คนเสียสละประโยชน์ของตนเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม ไม่หวงกบั สิ่งท่ีเกินมา ควรแบ่งปันแก่ส่วนรวม ใหเ้ ป็นประโยชน์มากที่สุด๓๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงหลักการพ่ึงตนเอง เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ ชมุ ชนอาจจะแยกแยะโดยยึดหลกั สำคัญ ๕ ประการ คือ ๑) ดา้ นจิตใจ ทำตนใหเ้ ป็นที่พึ่งของตนเอง มีจติ ใจสำนึกทด่ี ี สรา้ งสรรค์ใหต้ นเองและชาติ โดยรวม มจี ติ เอ้อื อาทร ประนีประนอมเห็นประโยชนส์ ่วนรวมเป็นท่ตี ง้ั ๒) ด้านสังคม แต่ละชุมชนต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายชุมชนที่ เขม้ แขง็ เป็นอสิ ระ ๓) ด้านทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม ใหใ้ ช้และจดั การอย่างฉลาด พร้อมทั้งหาทาง เพิ่มมูลค่า โดยให้ยดึ อยบู่ นหลกั การของความยั่งยนื ๔) ด้านเทคโนโลยี จากสภาพแวดล้อมที่เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีท่ีเข้ามา ใหม่มีทั้งดีและไม่ดี จึงต้องแยกแยะบนพื้นฐานของภูมิปัญญาชาวบ้านและเลือกใช้เฉพาะท่ีสอดคล้อง ความต้องการ และสภาพแวดลอ้ ม ๕) ด้านเศรษฐกิจ แต่เดิมนักพัฒนามักมุ่งท่ีการเพิ่มรายได้ และไม่มีการลดรายจ่ายในเวลา เช่นนจี้ ะต้องปรบั ทศิ ทางใหม่ คือจะต้องมุง่ ลดรายจ่ายก่อนเป็นสำคญั และยืดหลกั พออยู่ พอกนิ ๓๖ อำนาจ บัวศิริ ได้ให้ทัศนะข้อคิดเห็นที่เกี่ยวกับบทบาทพระสงฆ์ในด้านการพัฒนาจิตใจว่า วัดเป็นศูนย์กลางของสังคม เป็นศูนย์กลางท่ีรวมจิตใจของประชาชน ส่วนพระสงฆ์ท่ีเป็นตัวแทนของวัด เป็นผู้นำทางจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเชื่อถือ การร่วมมือกันเป็นท่ีประกอบพิธีกรรม หรือให้บริการด้านน้ี แต่สิ่งท่ีสำคัญที่สุดคือความรู้สึกของประชาชนต่อพระสงฆ์ว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญา รอบรู้วิชาการต่าง ๆ ทุกอย่างเหนือประชาชนทั่วไป สามารถเป็นท่ีปรึกษาแนะนำชาวบ้านเป็นเคร่ือง รักษาความเคารพนับถือได้ย่ังยืนมั่นคง ยิ่งปัจจัยท้ัง ๔ อย่างที่เชิดชูฐานะของพระสงฆ์ในสังคม คือ ความ บรสิ ุทธ์ิ ๓๕ พุทธทาส ภิกขุ, รากฐานท่ีมั่นคงแห่งความเป็นมนุษย์, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๒๑), หน้า ๙๕. ๓๖ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), การพฒั นาทยี่ ัง่ ยืน, (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก, ๒๕๓๙), หน้า ๒๗.

๓๔ สถาบันศาสนาสำหรับคนในชนบทไทยนับได้ว่า เป็นสถานท่ีบริการท่ีมีความสมบูรณ์อยู่ มากโดยเฉพาะในสมัยก่อน วัดนอกจากจะทำหน้าท่ีทางศาสนาแล้ว ยังทำหน้าท่ีเป็นโรงเรียนของ ชมุ ชนเพราะท่านเป็นครูสอนอย่างดี เอาใจใส่เป็นพิเศษยงิ่ กว่าครอู าชพี ในปจั จุบัน ทง้ั นเี้ พราะทา่ นเป็น คนในหมู่บา้ นเกิดและโตขน้ึ มาในส่ิงแวดล้อมเดียวกบั นักเรียน เขา้ ใจปัญหาของชมุ ชนมคี วามผกู พันกับ ชุมชนอย่างลึกซ้ึงจนแยกไม่ออก ในบางแห่งจะเห็นว่าพระสงฆ์ท่านยังทำหน้าที่เป็นแพทย์หรือ จติ แพทย์อย่างดีทส่ี ามารถรักษา โรคภัยไข้เจ็บของชาวบ้านให้หายไดด้ ้วยเวทย์มนต์คาถา น้ำมนต์หรือ ความขลัง ท่ีชาวบ้านให้ความเคารพนับถือจนเกิดศรัทธาท่ีแก่กล้า เช่ือว่าโรคนั้นจะหายหากหลวงพ่อ ทา่ นไดใ้ ชเ้ วทย์มนต์หรือพรหมน้ำมนต์ มีบทบาทเปน็ ผู้นำทางด้านจิตใจของชาวชนบทในท้องถน่ิ จึงเป็น หลักแห่งการยึดเหน่ียวและมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการพัฒนาท้องถ่ินชนบท เช่น การสร้างโรงเรียน ศาลาประชาชน หรอื การสรา้ งบอ่ น้ำสาธารณะ๓๗ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึง บทบาทการพัฒนาตามหลักพุทธบัญญัติว่า หลักการพัฒนาตามพุทธบัญญัติคำนึงถึงการพัฒนาทั้งทางความคิดจิตใจและทางวัตถุ โดยให้พัฒนาการ ทางจิตใจนำพัฒนาการทางวัตถุและให้พระสงฆ์มีบทบาทในการอนุเคราะห์ชาวบ้านแต่ในขณะเดียวกันก็ ให้รกั ษาพระธรรมวนิ ัย ไม่ช่วยเหลือชาวบ้านโดยฝ่าฝืนวินัย และไมค่ ลุกคลกี ับชาวบ้านจนเกิดอุปสรรคใน การแสวงหาความรู้พน้ ทุกข์ของตน หลักการพฒั นาตามพุทธอาจสรปุ ได้ดังน้ี ก. การพัฒนาจติ ใจเปน็ พนื้ ฐาน ข. การพัฒนาเพอื่ พ้นทุกข์ ค. การทำลายกิเลสตัณหา ง. การส่งเสรมิ การทำหนา้ ท่ีและ จ. การสง่ เสริมการพ่ึงตนเอง หลักธรรมพุทธศาสนาถือว่าการแก้ไขปัญหาและการปรับปรุงคุณภาพชีวิตทุกระดับต้องเริ่ม ท่ีจิตใจเป็นพ้ืนฐาน หากจิตใจยังไม่พัฒนายังมีความหลงผิด และยังเป็นอกุศล ย่อมไม่อาจนำไปสู่การ พฒั นาทางวัตถุและการสร้างสรรค์งานภายนอกให้บรรลุเป้าหมายได้ ในฐานะท่ีพระสงฆ์เป็นที่ยอมรับนับ ถือท่ัวไปว่าเป็นผู้นำชุมชน พระสงฆ์จึงควรพัฒนาให้ได้ก่อนเข้าไปพัฒนาชุมชน มีจิตใจที่พัฒนา เพ่ือให้ เกิดคุณภาพชีวิตท่ีมีธรรมะอยู่ใจของประชาชน และเป็นท่ีอิสระจากกิเลสตัณหา ทำให้สามารถนำ คณุ ธรรมและแนวทางอันดีงามมาสู่ชมุ ชนได้ และสามารถเป็นที่พึง่ ของชมุ ชน ฉะน้ันการพัฒนาดา้ นจิตใจ จึงเป็นภาระของพระสงฆ์ที่ต้องสงเคราะห์ให้แก่ประชาชน เพื่อเป็นการปูพื้นฐานให้ชุมชนในด้านความ ๓๗ อํานาจ บัวศิริ, รวบรวมความคิดเห็นและงานวิจัยที่เก่ียวข้องในเร่ืองบทบาทของพระสงฆ์ด้าน การพัฒนา, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พก์ รมการศาสนา, ๒๕๒๘), หน้า ๑๓๖.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook