Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2564_พระครูปริยัติกิตติวรรณ

2564_พระครูปริยัติกิตติวรรณ

Published by E-Library, Buddhist Studies, MCU Surin, 2023-06-27 06:34:59

Description: 2564_พระครูปริยัติกิตติวรรณ

Search

Read the Text Version

การสรา้ งและการดำเนนิ งานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวดั สะเดารตั นาราม ตำบลทุง่ มน อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรินทร์ CREATION AND OPERATION DIVISIONMERIT OF WATSADAOTTANARAM TEMPLE MORAL FUND NETWORK THUNGMON SUBDISTRICT PRASAT DISTRICT SURIN PROVINCE พระครูปริยตั ิกติ ติวรรณ กติ ตฺ ิวณโฺ ณ (ไดท้ ุกทาง) วิทยานพิ นธน์ เ้ี ป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษา ตามหลกั สตู รปรญิ ญาพุทธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พทุ ธศักราช ๒๕๖๔

การสร้างและการดำเนนิ งานเครอ่ื ข่ายกองบญุ คณุ ธรรมวัดสะเดารตั นาราม ตำบลทุง่ มน อำเภอปราสาท จังหวดั สุรนิ ทร์ พระครปู รยิ ตั ิกิตตวิ รรณ กติ ตฺ วิ ณโฺ ณ (ไดท้ กุ ทาง) วทิ ยานพิ นธ์นี้เปน็ ส่วนหนึ่งของการศกึ ษา ตามหลกั สูตรปริญญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ลิขสทิ ธิ์เป็นของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั )

Creation and Operation Division Merit of Watsadaorattanaram Temple Moral Fund Network Thungmon Subdistrict Prasat District Surin Province Phrakhru Pariyadkittiwan Kittivaṇṇo (Daithukthang) A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Master of Arts (Buddhist Studies) Graduate School Mahachulalongkornrajavidyalaya University C.E. 2021 (Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)



ก ช่ือวิทยานพิ นธ์ : การสร้างและการดำเนนิ งานเครอื ข่ายกองบุญคณุ ธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสรุ ินทร์ ผวู้ ิจัย : พระครปู ริยตั กิ ิตติวรรณ กิตฺติวณฺโณ (ไดท้ ุกทาง) ปรญิ ญา : พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต (พระพุทธศาสนา) คณะกรรมการควบคุมวทิ ยานิพนธ์ : รศ. ดร.ทวีศักด์ิ ทองทิพย,์ พธ.บ. (ศาสนา), ศศ.ม. (ภาษาสันสกฤต), พธ.ด. (พระพุทธศาสนา) : พระครูใบฎีกาเวียง กติ ฺตวิ ณโฺ ณ, ผศ. ดร., พธ.บ. (การสอนสงั คมศกึ ษา), M.A. (Pali Literature), Ph.D. (Pali & Buddhist Studies) วันสำเร็จการศกึ ษา : ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ บทคัดยอ่ วิทยานิพนธ์น้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภูมิหลังและการสร้างเครือข่ายกองบุญคุณธรรม ศึกษาการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรม และศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาการ ดำเนนิ งานเครือข่ายกองบญุ คุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบลทงุ่ มน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคณุ ภาพ เก็บข้อมลู จากเอกสาร การสงั เกต และการสัมภาษณ์ ผลการวิจยั พบวา่ ภูมิหลังกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนารามได้พัฒนาต่อยอดมาจากกองทุนเฉลี่ยบุญที่วัด สะเดารัตนารามจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ กองทุนเฉลี่ยบุญมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิกร่วมทำบุญ ประจำเดือนและนำเงินที่ได้จากการทำบุญมาตั้งเป็นกองทุนช่วยเหลือญาติโยมที่อุปถัมภ์วัดและแบ่ง เงินกองทุนอีกส่วนหนึ่งมาเป็นค่าใช้จ่ายในวัดด้วย ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เจ้าอาวาสวัดสะเดารัตนาราม ขณะนั้นมีโอกาสได้เรียนรู้งานสวัสดิการชุมชน จึงนำแนวคดิ สวัสดิการชุมชนมาประยุกตใ์ ช้และจัดตั้งกอง บุญคุณธรรมขั้นมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชน สร้างชุมชน กัลยาณมิตร มีหลักธรรมาภิบาล นำหลักธรรมไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ชุมชนมีการแบ่งปัน ลดความ เหลื่อมล้ำ ใช้กองบุญคุณธรรมเป็นเครื่องมือพัฒนาชุมชน บูรณาการกับงานสาธารณสงเคราะห์คณะสงฆ์ และการอนรุ กั ษป์ ระเพณีวัฒนธรรมท่ดี งี ามทอ้ งถิ่นไวด้ ้วย การสร้างเครือข่ายกองบุญคุณธรรม วัดสะเดารัตนารามได้นำโปรแกรมและเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการบันทึกข้อมูลเพื่อใช้ในการดำเนินงานเครือข่าย ทำให้เกิด ความคล่องตัว มีความแม่นยำ รวดเร็ว ประหยัดเวลา เกิดความคุ้มค่า การดำเนินงานเครือข่ายกอง บญุ คณุ ธรรม แบง่ เปน็ ๘ ดา้ น คือ ๑) บทบาทและหน้าท่ขี องสมาชิก ๒) การสร้างความรสู้ กึ ทด่ี รี ว่ มกนั ๓) การจัดกระบวนการเรยี นรู้ ๔) ระบบการจัดการข้อมลู และการตดิ ต่อข่าวสาร ๕) ผลการดำเนินการท่ีผา่ นมา

ข ๖) ความเสมอภาคและความเท่าเทียมของสมาชิก ๗) การรักษาสัมพันธภาพที่ดีและช่วยเหลือกัน และ ๘) การบริหาร ตามหลกั ธรรมมาภิบาล ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรม ควรเพิ่มบทบาท หนา้ ทข่ี องกรรมการและสมาชิกใหช้ ดั เจน ควรจัดกิจกรรมเพอื่ เสริมสรา้ งการมีส่วนรว่ มทีเ่ ปน็ ทางการและไม่ เป็นทางการแก่สมาชิก การจัดการเครือข่ายกองบุญคุณธรรม จะต้องนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้เป็น เครือ่ งมือ มกี ารยึดหลกั กฎหมาย คุณธรรม ความโปร่งใส การมีสว่ นร่วม รับผดิ ชอบ และความคมุ้ คา่

ค Thesis Title : Creation and Operation Division Merit of Watsadaorattanaram Temple Moral Fund Network, Researcher Tungmon Sub-district, Prasat District, Surin Provinece Degree : Phrakhrupariyadkittiwan (Kittivaṇṇo Daithukthang) : Master of Arts (Buddhist Studies) Thesis Supervisory Committee : Assoc. Prof. Dr. Thaweesak Thongthip, B.A. (Religion), M.A. (Sanskrit Language), Ph.D. (Buddhist Studies) : Phrakrubaideka Weang Kittiwanno, Dr., B.A. (Teaching Social Studies), M.A. (Pali Literature), Ph.D. (Pali & Buddhist Studies) Date of Graduation : February 3, 2022October 15, 2019 Abstract This thesis aims to study the background and networking of merit divisions, the operation of the merit division network, and recommendations on solutions to the moral merit division network operation problems of Watsadaorattanaram temple moral fund network Tungmon sub-district, Prasat district, Surin province. This research is qualitative and collected data from documents, observations, and interviews. The research findings were as follow: - The background of Watsadaorattanaram temple moral fund was developed from and expanded from average merit fund which Wat Sadaorattanaram was established in 2542 B.E. The objectives of the average merit fund are for members to make monthly merits and use the proceeds from goodness to be set up as a fund to help relatives who patronize the temple and divide another fund into temple expenses. Later, in 2007, the Abbot of Watsadaorattanaram temple, at the time, had the opportunity to learn community welfare work, adopted the concept of community welfare, and established a merit-based division in 2012 intending to connect the temple with the community. A creating a good friend community (Kalayanamit), good governance, implement principles in everyday life. The community is shared. Reduces the depth of the merit-making division as a community development means

ง integrating with Sangha public works and preserving local good cultural traditions. Wat Sadaorattanaram’s creation of the moral fund network uses computer technology as a data recording tool for network operation. Streamlines mobility accuracy, speed saves time, and value for money. The moral Fund network’s operation is divided into eight dimensions, namely: 1) The roles and duties of members, 2) creating a shared sense of goodness, 3) organizing learning processes, 4) information management systems and contacting news, 5) past results, 6) equality and equality of members, 7) maintaining good relationships and helping each other, and 8) governance management. Suggestions of solutions to the moral fund network’s management should increase the roles and members. Members’ roles and the honest fund network’s operation must adopt good governance as a tool, with adherence to the law, morality, transparency, engagement, accountability, and value.

จ กิตตกิ รรมประกาศ วิทยานิพนธ์ เรื่องการสร้างและการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนา รามนี้ ได้ช่วยวางแนวทางให้ผู้วจิ ยั ได้พัฒนาศกั ยภาพในการคิด วางแผน และการแก้ไขปัญหาได้อย่าง มาก เกิดสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีทั้งการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมและการเขียนวิทยานิพนธ์ ด้วยคุณธรรมในพรหมวิหารธรรม ๔ ของคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์อันประกอบด้วย รศ.ดร.ทวศี ักดิ์ ทองทิพย์ และพระครใู บฎกี าเวยี ง กิตตฺ วิ ณโฺ ณ ผศ. ดร. ทไ่ี ดใ้ หค้ ำปรึกษา แนะนำ ดแู ล เอาใจใส่ ให้ความช่วยเหลือในการปรับปรุง แก้ไข วิทยานิพนธ์จนสำเร็จเป็นรูปเล่มสมบูรณ์ ถูกต้อง และสวยงาม ด้วยดีตลอดมาตั้งแต่เริ่มตั้งชื่อเรื่องจนถึงสุดท้าย ความสำเร็จครั้งนี้ขอยังประโยชน์ถึง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตสรุ ินทรด์ ้วยทุกประการ ขอกราบขอบพระคุณประธานและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจสอบ วิทยานิพนธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่กรุณาเสียสละเวลาเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง ทั้ง ด้านภาษา เนื้อหาระเบียบวิธีวิจัย และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยช่วยแนะนำแก้ไขให้สมบูรณ์ และ สำเรจ็ ไดด้ ้วยดี ขอเรียนขอบคุณพระอธิการเอกลักษณ์ สุจิณฺโณ เจ้าอาวาสวัดเพชรบุรี พระศักดิ์สิทธิ์ สิทธฺ คิ โุ ณ รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดประทุมทอง พระสมชาย สมจิตฺโต พร้อมคณะสงฆ์ตำบลทุ่งมน ที่สนับสนุนให้ความร่วมมือในการศึกษา และขออนุโมทนาบุญกับ อุบาสก อุบาสิกา กรรมการ สมาชกิ กองบุญคณุ ธรรม ทีใ่ ห้ความอนุเคราะห์ชว่ ยตอบคำสมั ภาษณ์ คณุ ค่าและประโยชนใ์ ด ๆ อนั พึงมจี ากวทิ ยานพิ นธฉ์ บบั น้ี ผู้วจิ ยั ขอนอ้ มบูชาเป็นกตเวทิตา คุณแก่ หลวงปู่ริม รตนมุณี ผู้ให้กำเนิดวัดสะเดารัตนารามและวางรากฐานการพัฒนาชุมชนทุ่งมน หลวงปู่หงษ์ พฺรหฺมปญฺโญ พระอุปัชฌาย์พระผู้เสียสละเพื่อญาติโยมและชุมชน พระครูพิพิธประชา นาถ (หลวงพ่อนาน สุทธสีโล) พระผู้เตือนสติไม่ให้ลืมคุณข้าวแดงแกงร้อน พระสงฆ์อีกหลายรูปที่ ทำงานเพื่อสร้างสังคมสันตสิ ุข โยมพ่อรัน ได้ทุกทาง โยมพ่อที่ปลูกฝังอุดมการณร์ ักถิ่นบ้านเกิด ครูบา อาจารย์ บิดามารดา พี่น้องญาติสนิทมิตรสหาย ที่ร่วมงานร่วมให้กำลังใจสนบั สนุนทุก ๆ เรื่องรวมทัง้ ทางตรงและทั้งอ้อม รวมถึงคนทำงานสวัสดิการชุมชนทุกระดับ ขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดสุรินทร์ เครือขา่ ยภาคพี ัฒนาจังหวัดสรุ ินทร์ และผูม้ ีพระคณุ ทกุ ทา่ นทไ่ี ดร้ ่วมกนั สรา้ งงานวจิ ยั ฉบบั นี้ให้แก่ผู้วิจัย ประสบผลสำเร็จลุลว่ งดว้ ยดี พระครปู รยิ ตั ิกติ ตวิ รรณ กิตฺติวณฺโณ (ได้ทุกทาง) ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๔

สารบัญ ฉ เรื่อง หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาองั กฤษ ค กิตติกรรมประกาศ จ สารบัญ ฉ สารบัญตาราง ฌ สารบัญภาพ ฎ คำอธิบายสญั ลกั ษณ์และคำย่อ ณ บทท่ี ๑ บทนำ ๑ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา ๑ ๑.๒ คำถามวิจัย ๘ ๑.๓ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๙ ๑.๔ ขอบเขตการวิจัย ๙ ๑.๕ นิยามศพั ท์เฉพาะทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ๑๐ ๑.๖ ประโยชนท์ ไ่ี ด้จากการวิจยั ๑๒ บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยท่ีเกยี่ วข้อง ๑๓ ๒.๑ แนวคดิ ทฤษฎี ทเี่ กีย่ วข้อง ๑๓ ๑๓ ๒.๑.๑ หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ๒๖ ๒.๑.๒ ทฤษฎีเครอื ขา่ ยสงั คม ๓๔ ๒.๑.๓ ทฤษฎกี ารมีส่วนรว่ ม ๔๐ ๒.๑.๔ ทฤษฎีเกย่ี วกับหลกั ธรรมาภิบาล ๔๖ ๒.๑.๕ แนวคดิ สวสั ดกิ ารชุมชน ๕๐ ๒.๑.๖ แนวคดิ กองบญุ คณุ ธรรมสวสั ดิการชมุ ชนจังหวดั สรุ นิ ทร์

สารบัญ (ต่อ) ช เร่ือง หนา้ ๒.๒ งานวจิ ยั ท่เี กยี่ วข้อง ๑๐๘ ๒.๒.๑ เรื่องเครือข่ายและความเข้มแข็งของชมุ ชน ๑๐๘ ๒.๒.๒ เร่ืองธรรมาภิบาล ๑๑๔ ๑๒๐ ๒.๓ กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ๑๒๑ บทที่ ๓ วธิ ดี ำเนินการวจิ ัย ๑๒๑ ๓.๑ รูปแบบการวิจัย ๑๒๒ ๓.๒ กลุม่ เปา้ หมาย/ผูใ้ ห้ขอ้ มลู หลัก ๑๒๓ ๓.๓ เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวิจยั ๑๒๔ ๓.๔ การเก็บรวบรวมข้อมลู ๑๒๖ ๓.๕ การวิเคราะห์ขอ้ มลู ๑๒๗ บทท่ี ๔ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ๑๒๗ ๔.๑ ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลพน้ื ฐานภาคสนาม ๑๓๖ ๔.๒ ผลการวเิ คราะหต์ ามวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั ๑๕๙ ๔.๓ องค์ความรจู้ ากการวิจัย ๑๖๗ ๔.๔ กรอบองค์ความรจู้ ากการวิจัย ๑๖๘ บทท่ี ๕ สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ๑๖๘ ๕.๑ สรุปผลการวจิ ยั ๑๗๑ ๕.๒ อภปิ รายผลการวจิ ัย ๑๗๕ ๕.๓ ข้อเสนอแนะ ๑๗๕ ๑๗๕ ๕.๓.๑ ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย ๑๗๖ ๕.๓.๒ ข้อเสนอแนะในการนำผลวจิ ยั ไปใช้ ๕.๓.๓ ข้อเสนอแนะสำหรบั การวจิ ัยคร้ังตอ่ ไป

สารบัญ (ต่อ) ซ เร่อื ง หน้า บรรณานกุ รม ๑๗๗ ภาคผนวก ๑๘๕ ๑๘๖ ภาคผนวก ก รายนามผ้ทู รงคณุ วฒุ ิตรวจเคร่อื งมอื วจิ ัย ๑๙๐ ภาคผนวก ข หนงั สอื ขอความอนุเคราะหใ์ นการสมั ภาษณ์ ๒๑๗ ภาคผนวก ค เคร่อื งมือวิจยั ๒๒๓ ภาคผนวก ง ภาพการสนทนากลมุ่ ๒๒๖ ภาคผนวก จ ภาพทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับงานวิจยั ๒๗๓ ประวตั ิผู้วจิ ยั

ฌ สารบัญตาราง ตารางที่ หนา้ ตารางที่ ๒.๑ ลำดบั การปรับเปลย่ี นระเบียบกองบุญเพื่อพฒั นาวัด ชุมชน สงั คมและ ๘๓ ลดความเหลือ่ มล้ำทางเศรษฐกิจ ตารางที่ ๒.๒ ลำดบั การปรบั เปลย่ี นระเบียบกองบุญเพ่ือพัฒนาวัด ชมุ ชน สังคมและ ๙๐ ลดความเหลอื่ มลำ้ ทางเศรษฐกิจ (ตอ่ ) ตารางท่ี ๒.๓ ลำดับการปรบั เปลยี่ นระเบียบกองบุญเพ่ือพฒั นาวดั ชมุ ชน สังคม และลด ๙๑ ความเหล่ือมลำ้ ทางเศรษฐกจิ (ตอ่ ) ตารางท่ี ๒.๔ ลำดบั การปรับเปลี่ยนระเบยี บกองบุญเพื่อพัฒนาวดั ชุมชน สงั คม และลด ๙๕ ความเหลอ่ื มล้ำทางเศรษฐกจิ (ต่อ) ตารางท่ี ๒.๕ ภาพรวมสมาชกิ กองบุญคุณธรรมวัดสะเดารตั นาราม ๙๙ ตารางที่ ๒.๖ ภาพรวมจำนวนเงนิ กองบญุ กองบญุ คุณธรรมวดั สะเดารตั นาราม ๑๐๐ ตารางที่ ๒.๗ ระดบั อายุของสมาชิกกองบุญเพ่ือพฒั นาวดั ชุมชน สังคมและเพ่ือลด ๑๐๐ ความเหลอื่ มล้ำทางสงั คม ในจำนวนสมาชิกทั้งหมด ๑,๔๗๐ คน ตารางท่ี ๒.๘ รปู แบบการทำสาธารณสงเคราะห์ กรณีการช่วยงานศพ ๑๐๔ ตารางที่ ๓.๑ แสดงกลมุ่ ผใู้ ห้ข้อมลู หลกั วิธกี ารได้มา และการเกบ็ ข้อมลู ๑๒๒ ตารางท่ี ๓.๒ ๑๒๒ ตารางท่ี ๔.๑ แสดงกลุ่มเป้าหมาย/ผู้ให้ข้อมูลหลกั วิธีการได้มา และการเกบ็ ข้อมลู ๑๔๒ ตารางที่ ๔.๒ ๑๔๓ ตารางท่ี ๔.๓ โครงสร้างคณะกรรมการกองบุญคณุ ธรรมวดั สะเดารตั นาราม ๑๔๕ ตารางท่ี ๔.๔ ๑๔๖ ตารางที่ ๔.๕ มิติของการสรา้ งความรสู้ กึ รว่ มกนั ของกองบุญคณุ ธรรม ๑๔๗ ตารางท่ี ๔.๖ ๑๔๙ ตารางท่ี ๔.๗ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ของกองบญุ คุณธรรม ๑๔๙ ตารางที่ ๔.๘ ๑๕๐ ตารางท่ี ๔.๙ ระบบการจดั การข้อมลู ของกองบญุ คุณธรรมทผ่ี ่านมา ๑๕๐ การตดิ ต่อข่าวสารของกองบุญคุณธรรมที่ผ่านมา ด้านการจดั เก็บข้อมูล ด้านการสอ่ื สารเรยี นรู้ ด้านการตดิ ต่อประสานงาน ดา้ นการดแู ลและตอบสนองความตอ้ งการ

ตารางท่ี ๔.๑๐ ด้านการแกไ้ ขปญั หา ญ ตารางท่ี ๔.๑๑ ความเสมอภาคและความเท่าเทยี มของสมาชกิ ตารางที่ ๔.๑๒ การรักษาสัมพันธภาพทีด่ รี ะหว่างเพอ่ื นสมาชกิ ดว้ ยการช่วยเหลือกัน ๑๕๑ ตารางที่ ๔.๑๓ การบริหารเครือขา่ ยกองบุญคุณธรรมที่ผา่ นมา ๑๕๒ ตารางที่ ๔.๑๔ ช่วงเวลา ภูมิหลงั การสรา้ ง การจัดการ ข้อเสนอแนวทางแก้ปญั หา ๑๕๓ ๑๕๔ ๑๖๑

สารบัญภาพ ฎ ภาพที่ หน้า ภาพที่ ๒.๑ บวรเกื้อกูล ๒๕ ภาพที่ ๒.๒ กรอบแนวความคดิ ของการวจิ ยั ๑๒๐ ภาพท่ี ๔.๑ แผนทใ่ี นรัศมีสง่ คลืน่ วทิ ยุ ๒๐ กิโลเมตร ๑๒๗ ภาพที่ ๔.๒ องค์ความร้จู ากการวิจัย ๑๖๗

ฏ คำอธิบายสญั ลักษณ์และคำย่อ ในงานวิจัยฉบับนี้ ใช้พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย ฉบับมหาจุฬาเตปิฎก พ.ศ. ๒๕๐๐ และ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นหลกั การอา้ งอิงพระไตรปฎิ กใช้ระบุ เล่ม/ขอ้ /หน้า เช่น วิ.ม. (บาล)ี ๔/๓๒/ ๒๗ หมายความว่า การอ้างอิงนี้ระบุถึง วินยปิฎก มหาวคฺคปาลิ ฉบับภาษาบาลี พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ ข้อที่ ๓๒ หน้าที่ ๒๗ หรือ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐ หมายความว่า การอ้างอิงนี้ระบุถึง วินัยปิฎก มหาวรรค ฉบบั ภาษาไทย พระไตรปฎิ ก เล่มท่ี ๔ ข้อท่ี ๓๒ หนา้ ที่ ๔๐ เปน็ ต้น ๑.คำอธิบายคำยอ่ ในภาษาไทย ก. คำยอ่ ชื่อคัมภีร์พระไตรปิฎก พระวนิ ัยปิฎก คำย่อ ช่ือคมั ภรี ์ ว.ิ ม. (บาล)ี = วินยปิฎก มหาวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี) วิ.ม. (ไทย) = วนิ ัยปฎิ ก มหาวรรค (ภาษาไทย) พระสุตนั ตปฎิ ก คำยอ่ ชื่อคมั ภรี ์ ที.ม. (ไทย) = สตุ ตนั ปฎิ ก ทีฆนกิ าย มหาวรรค (ภาษาไทย) ท.ี ปา. (ไทย) = สตุ ตนั ปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย) ส.ํ สฬา. (ไทย) = สตุ ตนั ปฎิ ก สงั ยุตตรนกิ าย สฬายตนกวรรค (ภาษาไทย) อง.ตกิ . (ไทย) = สตุ ตนั ปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกบบิ าต (ภาษาไทย) พระอภิธรรมปิฎก คำยอ่ ชื่อคมั ภีร์ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) = อภิธรรมปิฎก วภิ งั ค์ (ภาษาไทย)

บทท่ี ๑ บทนำ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา ผู้วิจัยมีทัศนคติว่า ๑) บุคคลจำนวนมากในวัฒนธรรมไทยหรือสังคมไทย หรือบรรยากาศ แบบไทย ๆ ขาดกระบวนการเรยี นรทู้ ่สี ำคญั คอื การจดบันทึกข้อมูล การจัดเก็บข้อมูล การนำข้อมูล ที่มีนำมาทบทวนบ่อย ๆ อย่างสอดคล้องกับหลักธรรมอิทธิบาท ๔ ที่มีการแนะนำสอนเน้นตลอดใน สงั คม สู่การปฏบิ ตั ใิ ห้เต็มความสามารถ แมก้ ารดำเนินกจิ กรรมใด ๆ ทส่ี ำคัญต่อการแกป้ ัญหาและการ พัฒนาชุมชน พัฒนาสังคม ส่วนมากบุคคล กลุ่มคน องค์กร มีความอ่อนแออย่างไม่สอดคล้องและไม่ ทนั ตอ่ ปัญหาความทกุ ขท์ เี่ กิดข้นึ ๒) กระบวนการเรยี นรู้แบบแยกสว่ นหรอื ศกึ ษาลงลึกเฉพาะด้าน ใน ยุคปัจจุบันอาจไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ หรือการปรับตัวของบุคคล การเรียนรู้ที่ลึก ท่ี กว้าง ที่ไกล มีความจำเป็นมากขึ้น ๆ เพราะปัญหาของโลกมีความซับซ้อนเกินเปรียบ ๓) คนไทย ได้รับการตำหนิว่า ขาดการทำงานเป็นทีม ซึ่งมีกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน สังคม ที่มีสภาพล้มเลิก ล้มเหลว ไม่สามารถทำงานด้วยกันได้ หรือเกดิ ความไว้วางใจกันในการทำงาน เพราะมีการทำงานบน ความคิดที่ต้องการทำดี เน้นความดีจากภายในจิตใจ หรืออ้างความรู้สกึ วา่ เจตนาดีกด็ ีที่สุดแล้ว แต่มี ความอ่อนดา้ นหลกั ฐาน ขอ้ มูล การแลกเปล่ยี นขอ้ มูลเชิงประจักษ์ ๔) การฝึกบุคคลให้มีความต้ังใจใน การทำงาน ในการแก้ไขปัญหา การเกาะติดงาน ตามหลักธรรมอิทธิบาท ๔ หรือหลักอธิษฐานธรรม หรือการพัฒนาจิตใจให้มีกำลังพละ ๕ ยังไม่มากพอ ๕) ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากสังคมการศึกษาว่า งานวิจัยต่าง ๆ ในสถาบันการศึกษาไทยเป็นงานวิจัยที่ขึ้นหิ้ง การทำวิทยานิพนธ์เพื่อให้ได้วุฒิ การศึกษาเปน็ จำนวนมากกวา่ ผวู้ ิจัยเพ่อื คณุ ภาพ จากทัศนคติทีแ่ สดงไว้เปน็ ตวั อยา่ งดงั กล่าวนี้ เป็นทัศนคติซึ่งเหมอื นจะเปน็ เชิงลบ แต่เป็น ทศั นคตลิ บทก่ี อ่ ให้เกิดพลังความคดิ สร้างสรรค์ได้หรอื เป็นความคิดทเ่ี ป็นไปในแนวทางการแก้ไขปัญหา เชงิ พุทธ คือหลักอรยิ สจั ๔ มองใหเ้ ห็นทกุ ขส์ ัจจะเปน็ เบื้องตน้ ผู้วิจยั จึงมคี วามตง้ั ใจที่จะช่วยลดทอน ความดอ้ ยของสังคมไทยในโอกาสท่มี ี โอกาสที่เกดิ ขึ้น ซึ่งมีความสอดรบั กับทักษะประสบการณ์ของ ผ้วู จิ ัยนน้ั ผวู้ ิจยั ไดท้ ดลองเรียนร้ลู งพืน้ ทส่ี งั คมมอี งค์กรดา้ นการแก้ไขปัญหาชมุ ชน สังคม จำนวนหลาย องค์กร โดยเฉพาะงานสวัสดิการชุมชน ผู้วิจัยเห็นว่า สวัสดิการชุมชนเป็นหลักคิดแนวคิดที่เกิดข้ึน จากกลุ่มคนที่มีความคิดความอ่าน ความเห็น ท่ีได้รับการเพาะบ่มจากวัฒนธรรมชาวพุทธอย่าง ยาวนานและลึกซึ้ง สวัสดิการชุมชนจึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องถูกโน้มน้าวให้องค์กรชาวพุทธได้

๒ ทำการศึกษา เรียนรู้ นำสู่การแลกเปลี่ยน ขยายพื้นที่ ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบเชื่อมโยงบูรณาการ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนากับวิถีชีวิตจริง หรือการประยุกต์หลักธรรมสู่การสร้างวัฒนธรรมชาว พุทธที่เข้มแข็ง เมื่อผู้วิจัยทำการเลือกเรื่องที่จะวิจัย ย่อมเกิดขึ้นจากปัญหาที่มองเห็นในชุมชน สังคมไทย ซึ่งกล่าวกันว่านับถือพระพุทธศาสนามากที่สดุ ในประเทศ ปัญหาควรไดร้ บั การแก้ไข สังคม วัฒนธรรมชาวพุทธควรยกระดับให้มากกว่าการอยู่ร่วมกัน การทำงานด้วยกัน เพียงการเอาเจตนาดี เป็นตัวตั้งเท่านั้น เมื่อพิจารณาถึงงานสวัสดิการชุมชนทีใ่ ดที่มีความเหมาะสมแก่การทำวิจัย ควรแก่ การค้นหาคำตอบ หรือควรแก่การรวบรวมข้อมูล องค์ความรู้ ตลอดถึงการกระตุ้น การปลุกเร้า การ เสริมแรง ให้เตรยี มตวั ให้ปรับตัวเพ่ือหลีกเลี่ยงความผิดพลาด จะได้ไมใ่ หล้ ้มเลิกการดำเนนิ งาน เพราะ ถ้ามีการล้มกิจกรรมไป จะเป็นโทษต่อการทำงานขององค์กรด้านพระพุทธศาสนา ซึ่งจะนำสู่การเสยี ชอ่ื เสยี งของศาสนบุคคลและองค์กรทง้ั สว่ นแคบและกว้างตามลำดบั จะเกดิ การเร่งปฏิกริ ิยาให้สังคม ขาดความเชื่อถือต่อพระภิกษุสงฆ์ ก่อให้เป็นความทุกข์มวลรวมของสังคมได้ ในขณะท่ีกองบุญคุณ ธรรมวัดสะเดารัตนาราม กำลังอ่อนแอ มีสภาพแปรปรวนมากอันเกิดจากการรับสมัครสมาชิกที่ไม่ จำกัดคุณสมบัติตั้งแต่ต้น การทำการวิจัยกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนารามจึงอาจช่วยให้กอง บุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนารามเกิดความเข้มแข็ง มั่นคงมากขึ้น จนได้รับการเผยแพร่ การ ประชาสัมพันธ์ การเป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งศึกษาดูงานได้ จากนั้นจึงได้เห็นว่า กองบุญคุณธรรมวัด สะเดารัตนาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ มีความน่าสนใจมากด้วยเหตุว่า ๑) มีการดำเนินการผ่าน ๕ ปีแล้ว คงจะมีอะไรดีที่สามารถนำสู่การเขียนงานวิจัยได้ ข้อสงสัยว่า ดำเนินการมาได้อย่างไรในท่ามกลางข่าวการล้มเลิกกิจกรรม เลิกการดำเนนิ งานของกองทุนต่าง ๆ ใน หลายพนื้ ท่ี ๒) กจิ กรรมนี้เปน็ การดำเนินงานขององคก์ รทางพระพุทธศาสนา จากปัญหา ทักษะประสบการณ์ และเป็นประเด็นสำคัญที่สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมชาว พุทธ ผู้วิจัยเกิดแรงบันดาลใจในการทำวิทยานพิ นธ์ เรื่อง การสร้างและการดำเนินงานเครือข่ายกอง บุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสรุ ินทร์ โดยทำการวิจัยที่ตรง กับความสนใจและความถนัด เป็นงานวิจัยภาคสนาม การวิจัยแบบมีสว่ นร่วม การวิจัยที่ต้องฝังตัวไป กับงาน จากแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นต่อการทำวิจัยวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ ผู้วิจัยจะแสดงองค์ความรู้ที่มี ความสอดคล้อง สอดรับ แสดงการว่าเห็นว่า เรื่องสวัสดิการชุมชน หรือ กองบุญคุณธรรม ไม่ได้หลุด ลอย แตกแยก ขัดแย้งออกจากแนวคิดทางพระพุทธศาสนา และสอดรับกับนโยบายต่าง ๆ ใน สงั คมไทย การวจิ ัยเร่ืองทเี่ กยี่ วกับสวัสดิการชมุ ชนน้ันมีความจำเป็นต่อการทำความเข้าใจอย่างดีมาก ขึน้ ในองค์กรชาวพทุ ธ จึงนำองคค์ วามรตู้ อ่ ไปนีน้ ำมากล่าวไว้ดว้ ย คอื ๑) มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงมอบภารกิจหน้าที่แก่นักบวชในพระพุทธศาสนา ได้ช่วย แนะนำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เมื่อครั้งที่ส่งพุทธสาวกออกไปประกาศ พระพุทธศาสนาชุดแรกมีจำนวน ๖๐ องค์ พระพุทธองค์ไดต้ รัสวา่

๓ “จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทว มนุสสานํ มา เอเกน เทฺว อคมิตฺถ เทเสถ ภิกฺขเว ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณ”ํ “พวกเธอจงเทยี่ วจาริก เพือ่ ประโยชน์และความสุขแก่ ชนหมูม่ าก เพ่อื อนเุ คราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรม งามในเบอ้ื งตน้ งามในทา่ มกลาง งามในที่สดุ จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทัง้ อรรถท้ังพยัญชนะครบ บริบูรณ์ บริสุทธิ์”๑ ซึ่งเป็นพระพุทธโอวาทที่พระพุทธองค์แสดงไว้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ อัน ยงิ่ ใหญส่ ูงสุด พระพุทธเจา้ ต้องการใหส้ าวกที่มีอยู่จำนวนน้อยจำกัดได้ทุ่มเทได้แสดงศักยภาพ ในการ เผยแผ่คำสอนอันประเสริฐสู่ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ฟังได้เรียนรู้และนำไปประพฤติปฏิบัติ แก้ปัญหา ชีวิตให้หลุดพ้นจากปัญหาได้อย่างเป็นจริง พระพุทธเจ้ามีพุทธประสงค์ให้บุคลากรขององค์กรทำงานเต็ม ศักยภาพ เต็มกำลงั สุดความสามารถและรอบคอบรอบดา้ น ๒) สวัสดิการชมุ ชน มีความสอดคล้องกับภาพรวมทางพระพทุ ธศาสนา มีเป้าหมายสำคญั คือการพัฒนาคนสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไตรสิกขา๒ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ไตรสิกขาเป็น กรอบหลักในการพัฒนาบุคลากรในพระพุทธศาสนา ทั้งผู้ทำหน้าที่เผยแผ่และผู้รับฟังเลื่อมใสศรัทธา พระภิกษุที่ทำหน้าที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาหรือคำสอนอันประเสริฐ จำต้องถือวินัยเป็นสิ่ง กำกบั ตลอดเวลาเพ่ืออำนวยประโยชน์สำหรับการทำหน้าท่ีในการเผยแผ่ เมอื่ ใดท่วี ินยั (คำส่ัง) ที่กำกับนั้น เป็นอุปสรรคในการทำงานก็มีแนวทาง ในการพิจารณาคือยึดตามหลักธรรม (คำสอน) ที่จะนำสู่ แนวทางเป็นประโยชน์มากกว่า เป็นการปรับ การประยุกต์ ผ่อนปรน เรียกว่า หลักมหาปเทส ๔ ๓ เป็น ตน้ ๓) การที่พระพุทธศาสนาขยายไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้ กำหนดให้บทบาทของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีการแนะนำสั่งสอนประชาชนในโลก พระสงฆ์ ดำเนินการการเผยแผ่ศาสนาโดยมีหลักโอวาทปาฏิโมกข์ ๔ เป็นกรอบความคิด จึงได้รับการยอมรับ อยา่ งเปน็ สากลวา่ เป็นศาสนาเพือ่ สนั ตภิ าพโลก ๔) การดำเนินกิจกรรมสวัสดิการชุมชน คือกระบวนการแก้ปัญหาชีวิต ชุมชน สังคม ท่ีมี หลักคิดสำคัญสำหรับการออกจากปัญหาคืออริยสัจ ๔๕ เพราะการคิดแบบอริยสัจ ๔ เป็นกระบวน ความคิดที่ประกอบในเหตุผล มีการตั้งคำถามบ่อย ๆ พระสงฆ์ที่ทำงานด้านสังคมมีความตระหนัก ๑ ว.ิ ม. (บาลี) ๔/๓๒/๒๗., ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๒ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๗๒., อง.ฺ ติก. (ไทย) ๒๐/๘๒/๓๐๘-๓๐๙. ๓ วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๐๕/๑๓๙-๑๔๐. ๔ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐. ๕ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖/๒๓, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๑๘๙/๑๖๓.

๔ คณุ คา่ ของญาติโยมที่เสยี สละบรจิ าคต่อพระพุทธศาสนาและสังคม รวมถงึ ทกุ คนก็มีความปรารถนาให้ ถึงความสุขภายในใจของตนเช่นกันทุกชีวิตไม่เว้นใครสักคน ความกตัญญูกตเวทิตานี้เข้าใจถึงคุณค่า ความเป็นมนุษย์ที่ต้องรักษาอภิบาลให้ทรงอยู่มากขึ้น เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แก่ทุกชีวิต เคารพสิทธิมนุษยชนในทุกชวี ิต ความกตญั ญูทำใหโ้ ลกรอดได้ ๕) การดำเนินงานสวัสดิการชุมชนในสังคมจงั หวัดสุรนิ ทร์ นั้นมีบคุ คลต้นแบบ ก่อให้เกิด เป็นบทบาทวัด คณะสงฆ์ สำหรับต้นแบบพระสงฆ์นักพัฒนาในจังหวัดสุรินทร์นั้นมีจำนวนมาก ตัวอยา่ ง เช่น พระครพู พิ ธิ ประชานาถ (นาน สุทธสีโล)๖ วัดสามัคคี ตำบลท่าสวา่ ง อำเภอเมืองสุรนิ ทร์ เปน็ ผูน้ ำชาวบา้ นตัดถนน ทำนารวม ตง้ั ธนาคารข้าว จัดต้ังสหกรณ์ร้านค้าภายใต้ความคดิ เพือ่ ตอบแทนค่า ข้าวชาวบ้าน ท่านช่วยชาวบ้านสังคมตั้งแต่หมู่บ้านถึงระดับประเทศ มีการจัดตั้งองค์กรศาสนา ทำงานเพื่อสังคมขน้ึ มาหลายองค์กร พระครปู ระสาธน์สารกจิ (หลวงปู่โภค) เปน็ ศูนยร์ วมใจเป็นเหตุให้ มีการจัดตั้งมูลนิธิในวัดบัลลังก์ศิลาอาสน์ อำเภอปราสาท คณะสงฆ์อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ มี การจัดตั้งกลุ่มปราสาทพัฒนาขึ้นมาเพื่อทำงานสาธารณสงเคราะห์ในพื้นที่อำเภอปราสาท พระครู กิตติธีราภรณ์ วัดสีโควนาราม อำเภอปราสาท จัดตั้งศูนย์รับบริจาคและศูนย์ให้ยืมเครื่องมืออุปกรณ์ การแพทย์และสิ่งของต่าง ๆ เพื่อสาธารณสงเคราะห์ วัดสว่างอารมณ์ อำเภอปราสาท มีการจัดต้ัง สมาคมกู้ภยั วดั สว่างอารมณ์ ชว่ ยเหลืองานสาธารณสงเคราะห์ เป็นตน้ ๖) พระสงฆ์ในจังหวัดอื่น ๆ ที่ทำงานในลักษณะสังคมสงเคราะห์ หรือการจัดสวัสดิการ สังคม ตัวอย่าง เช่น พระอาจารย์สุบิน ปณีโต วัดไผ่ล้อม จังหวัดตราด ต้นแบบของการดำเนินงาน ด้านการออมทรัพย์ เรียก กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์๗ มูลนิธิสวนแก้ว จัดตั้งขึ้นในวัดสวนแก้ว ดำเนินการช่วยเหลอื คนท่ีไมม่ ีทางประกอบอาชีพ วัดพระพุทธบาทน้ำพุ มีการสงเคราะห์คนป่วย เป็น ตน้ คณะสงฆ์ วัด และพระสงฆ์ท่ีกล่าวมาน้ีท่านได้ดำเนินการอยู่ในบทบาทของสมณะ ตามหลักทิศ ๖ และ หลักสังคหวัตถุ ๔๘ คือ แนวทางแนะนำให้ประชาชนเริ่มห่างไกลทุกข์ โดยเริ่มปฏิบัติจากง่ายไป หายาก ด้วยการห่างจากอบายมุข เป็นเบื้องต้น สอนให้เริ่มห่างจากกิเลสระดับหยาบแรก ๆ ให้ เจริญในแนวทาน ศีล ภาวนา หรือฝึกตนตามหลักไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา พระสงฆ์ในที่อื่น ๆ ใน ประเทศไทยสามารถช่วยทำงานพัฒนาชุมชนให้เกิดความต่อเนื่อง อย่างยั่งยืน พระครูนนทมงคล วศิ ิษฐ์ ไดท้ ำการศึกษา ค้นพบวา่ ๖ สรุ ิยนต์ นอ้ ยสงวน, “โครงการสหบาลข้าวของพระครพู ิพิธประชานาถ”, วารสารศลิ ปะการจัดการ, ปที ่ี ๒ ฉบับที่ ๓ (กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑): ๑๕๓. ๗ พระมหานันทวิทย์ ธีรภทฺโท (แก้วบุตรดี) และคณะ, “สวัสดิการสังคมเชิงพุทธ : รูปแบบและการ สรา้ งพลงั ชมุ ชน”, วารสารสันติศกึ ษาปรทิ รรศน์ มจร, ปที ่ี ๖ ฉบับท่ี ๒ (เมษายน-มิถนุ ายน ๒๕๖๑): ๔๔๙. ๘ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๗๒-๒๗๓/๒๑๖-๒๑๗.

๕ “พระสงฆ์ในฐานะที่เป็น ส่วนหนึ่งของสังคม เป็นศูนย์กลางของชุมชน และเป็นที่ยอมรับ ของชุมชน จึงต้องนำวิกฤตนี้มาเป็นโอกาสเพื่อพัฒนาสังคม ให้เป็นที่พึ่งทางใจของประชาชน ช่วยอบรม ศีลธรรมให้สงั คมอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข มคี วามสามคั คเี ป็นท่ีตั้งดังนัน้ การพฒั นาสังคมให้มีความเจริญ อย่างยัง่ ยนื ”๙ ๗) บทบาทพระสงฆ์มีความสอดคล้องกับสาระสำคัญในยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ประกาศ บังคับใช้ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐ สำหรับยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพ ทรัพยากรมนุษย์ กำหนดให้ “การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม มุ่งเน้นให้สถาบันทางสังคมร่วม ปลูกฝังค่านิยม วัฒนธรรมที่พึงประสงค์ โดยบูรณาการร่วมระหว่าง “ครอบครัว ชุมชน ศาสนา การศึกษา และสื่อ” ในการหล่อหลอมคนไทยให้มีคุณธรรม จริยธรรม ในลักษณะที่เป็น “วิถี” การ ดำเนินชวี ติ ”๑๐ ๘) มีองค์ความรู้ ที่ผวู้ ิจยั ได้กำหนดว่า ชมุ ชนหมู่บ้านรอบ ๆ วัดสะเดารัตนาราม ตลอดกาล ที่ผ่านมาต้องประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ๔ ด้าน ๑) ด้านการผลิตสินค้า คือ (๑) ปัญหาปัจจัยการ ผลิต เช่น ที่ดินทำกินมีน้อย (๒) ปัญหาจากภัยธรรมชาติ เช่น ภัยจากฝนแล้ง ภัยจากน้ำท่วม (๓) ปัญหาหนี้สิน เช่น การกู้หนี้ ในระบบ การกู้หนี้นอกระบบ ๒) ด้านการจำหน่ายจ่ายแจก คือ (๑) ปัญหาการตลาด เช่น ขาดแหล่งแลกเปลี่ยนสินค้ากับสังคมนอกชุมชน (๒) ปัญหาสินค้ามีจำกัด เช่น สินคา้ ทชี่ ุมชนุ ผลิตได้มจี ำกัดและมีปริมาณน้อย (๓) ปัญหากำลงั ซื้อสินคา้ ในชุมชมมนี ้อย ๓) ด้านการ บริโภคใช้สอย คือ (๑) ปัญหาการบริโภคสินค้าในชุมชน เนื่องจากการผลิตสินค้าได้น้อย มีกำลังซื้อ สินค้าน้อย จึงทำให้การบริโภคสินค้าน้อย (๒) ปัญหาการใช้สอยสินค้าในชุมชน เนื่องจากการผลิต สินค้าได้น้อย มีกำลังซื้อสินค้าน้อยจึงทำให้การใช้สอยสินค้าน้อย ๔) ด้านการออม คือ (๑) ปัญหามี รายไดน้ ้อยหมดไปกบั การบริโภคใช้สอยไมม่ ีไว้ออม (๒) ปญั หาหน้ีสนิ พอกพนู ทรัพย์สินท่ีหาได้หมดไป กับการใชห้ น้ใี นระบบหรือนอกระบบทำให้ไม่มีเงนิ ออม จึงมปี ัญหาทางสงั คม ๒ ดา้ นคือ ๑) ด้านความ เหลื่อมล้ำ คือ (๑) ปัญหาความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เช่น มีนายทุนบางคนทำธุรกิจปล่อยหนี้เงินกู้ นอกระบบคิดดอกเบี้ยสูง (๒) ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา เช่น มีคนส่วนน้อยที่ได้รับ การศกึ ษาในระดบั สูง คนมคี วามรู้ดีมิไดอ้ ยู่พฒั นาชุมชนตนเอง ๒) ด้านหลกั ธรรมาภิบาล คอื ขาดการ สร้างเสริม เคารพ และใช้หลักธรรมาภิบาลในการอยู่ร่วมกัน เช่น การพิพาทเรื่องที่ดิน การกู้ยืมข้าว และเงิน ความล้มเหลวจากการรวมกลุ่มยุง้ ฉาง กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มร้านค้า ปัญหาเหล่าน้ีเกิดจากคน ๙ พระครูนนทมงคลวิศิษฐ์, “พระสงฆ์กับบทบาทการพัฒนาสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย”, วารสาร มจร การพัฒนาสังคม, ปีที่ ๑ ฉบบั ท่ี ๒ (พฤษภาคม-สงิ หาคม ๒๕๕๙): ๒๐. ๑๐“พระราชโองการ ประกาศ เรื่อง ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐)”, ราชกิจจานุเบกษา ๑๓๕ (ตลุ าคม ๒๕๖๑): ๓๕.

๖ ในชุมชนขาดการเคารพ และใช้หลักธรรมาภบิ าลในการอย่รู ่วมกนั สง่ ผลทำให้เกิดปัญหาการรวมกลุ่ม เพื่อทำกจิ กรรมที่สร้างสรรค์ดีงามให้กับชุมชุน เชน่ กลมุ่ ย้งุ ฉาง กลุม่ ออมทรัพย์ กลุ่มร้านค้าสวัสดิการ เป็นตน้ เกดิ ความลม้ สลายไปดว้ ย ๙) พระสงฆใ์ นทอ้ งถิน่ ท่ีชุมชนใหค้ วามเคารพศรัทธา คือ หลวงปรู่ ิม รตนมุณี๑๑ มีบทบาท ในการนำพาชุมชนแก้ปัญหาความเดือดร้อนในชมุ ชนหลายด้าน เช่น เป็นผู้นำในการสร้างสะพาน นำ จับจองที่ทำกิน โรงเรียน สถานีอนามัย ศูนย์พัฒนาตำบล วัดต่าง ๆ หลวงปู่หงษ์ พฺรหฺมปญฺโญ หรือ พระครปู ระสาทพรหมคุณ ๑๒ มีบทบาทด้านการอนรุ ักษ์ป่าและพัฒนาชุมชน พระมหาเถระในท้องถิ่น ตำบลทุ่งมนทั้ง ๒ รูปนี้ มีบทบาทสูงในการพัฒนาชุมชน และเป็นต้นแบบใกล้ชิด คือ หลวงปู่ริม รตน มุณี เป็นผู้สร้างวัดสะเดารัตนาราม และพระครูประสาทพรหมคุณเป็นพระอุปัชฌาย์ ของเจ้าอาวาสวัด สะเดารตั นาราม พระมหาเถระท้งั ๒ จึงอย่ใู นฐานะเปน็ ผูว้ างแนวทางการทำงานแก่พระสงฆ์ในท้องถ่ิน ถอื เปน็ แบบอยา่ งของการพฒั นาชมุ ชุนได้เปน็ อย่างดี ๑๐) เจ้าอาวาสวัดสะเดารัตนาราม ได้ผ่านการดำเนินกิจกรรมทางด้านสังคม อย่าง หลากหลายนับเริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ มีคำอธิษฐานเมื่อ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๗ ว่า “ตั้งจิตอธิษฐานวัด โรงเรยี นบา้ นสมานฉนั ท์ กอ่ เกดิ งานรว่ มกนั อันสรา้ งสรรค์ปัญญาชน เยาวชนคนของชาติเป็นเด็กฉลาด อาจกุศล ผนึกพลังพัฒน์ชุมชนให้รอดพ้นสิ่งอบาย”เดือนมีนาคม ๒๕๔๕ เมื่อได้รับโฉนดที่ดินเพ่ือ สร้างวัดได้เขียนลงในสำเนาโฉนดที่ดิน ว่า “สถานที่ปฏิบัติธรรม สร้างชุมชนกัลยาณมิตร” เมื่อ พฤษภาคม ๒๕๔๕ มกี ารประกาศคำว่า “เพยี รเพ่อื พุทธศาสน์ ปราชญ์เพือ่ ศาสนิก” ในวันเข้ารับพุทธ ศาสตรบัณฑิต จากการค้นพบสาเหตุปัญหาทางสังคม จึงได้กำหนดวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสมาคม บ้าน วัด โรงเรียน ตำบลทุ่งมน – สมุดน่าอยู่ ข้อ ๒ คือ พัฒนาชุมชนต้นแบบ “บวร” ความร่วมมือ ระหว่างบ้านวัดโรงเรียน และได้รับการอนญุ าตจัดตั้งสมาคม เมื่อ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๔๘ เพื่อจะสร้าง เสรมิ พลงั ในการแก้ไขปญั หาครอบครวั ชมุ ชน แนวคิดเจ้าอาวาสวัดสรุปว่า “ลัน่ วาจาบวช เพราะจะ มาพัฒนาวัด เพราะวัดจะร้าง หลักการสร้างวดั คือคนใกล้วัด ชุมชนข้างวดั จะต้องเป็นผู้สร้าง พัฒนา ทำนบุ ำรงุ อปุ ถัมภ์วัด” ขณะเดียวกันวดั จะต้องให้กำลงั สติปญั ญาแก่ญาตโิ ยมไปพร้อม ๆ ขณะท่ีญาติ โยมกำลังอปุ ถัมภ์วัด กำลงั ทำความดี ปัญญาควรไหลกลบั สจู่ ิตใจญาตโิ ยม เมื่อมกี ารจดั ต้ังกองบุญคุณ ธรรมต่าง ๆ ดำเนินการขึ้น จำเป็นต้องทำทุกวิธีการให้ยั่งยืนจนกระทั่งกลายเป็นประเพณีวิถีชุมชน ๑๑ วัดอุทุมพร, (๓ มกราคม ๒๕๕๗), “ชีวประวัติ หลวงปู่ริม รตฺนมุณี (แก้วกมล)”, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https://www.facebook.com/1453918048165230/posts/1453958758161159/ [๒๔ มกราคม ๒๕๖๓]. ๑๒ คอลมั พพ์ ระเคร่อื ง, (๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑), “อริยะโลกที่6:หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญอดีตพระเกจิ ดังเมอื งสุรนิ ทร”์ , ข่าวสด, [ออนไลน]์ , แหล่งทีม่ า: https://www.khaosod.co.th/amulets/news_746710 [๒๔ มกราคม ๒๕๖๓].

๗ อย่างเป็นระบบและมีส่วนรว่ มอย่างโปรง่ ใส ดว้ ยความเขา้ ใจถึงสัญชาตญาณสตั ว์ ๔ อยา่ ง คอื ๑) หิว ๒) นอน ๓) กลัวภัย ๔) สืบพันธุ์ บีบบังคับชีวิตอยู่ สัญชาตญาณ ๔ คือธรรมชาติที่บังคับร่างกายคน เพราะร่างกายนี้ต้องการการเจริญเติบโต ต้องการมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นร่างกายนี้จึงต้องกินอาหาร จึงต้อง นอนพักผ่อนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ที่ตาย ต้องกลัวภัยซึ่งครอบคลุมการกลัวหิว กลัวเจ็บ กลัวป่วย กลัว เหนื่อย กลัวถูกเอาเปรียบ กลัวตาย และสารพัดความกลัว เพราะการไม่ได้กิน ไม่ได้นอนพักผ่อนส่ิง เหล่าน้ีจะขัดขวางการดำรงอยู่ของชีวิต ความยากจนเป็นความทุกข์ของชีวิตจำต้องมีวิธีการท่ี หลากหลายในการแก้ทุกข์ ปัจจัย ๔ สิง่ จำเป็นในการแกไ้ ขความทุกข์ประจำวัน การใช้หลักวิทยาการ ให้ทนั ตอ่ ปัญหาความขาดแคลนในโลกปัจจบุ ัน ใหส้ อดรบั กบั สังคม ๔.๐ หรือยุคสังคม AI สอดคล้อง ไปกับแนวกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๙๑๓ “รัฐพึงจัดให้มีและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปะวิทยาการแขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม เพือ่ ความเข้มแข็งของสังคม และเสรมิ สรา้ งความสามารถของคนในชาต”ิ ยดึ คนเปน็ ศูนยก์ ลางในการ พัฒนา คนมีความพร่องกันทุกคน ได้แก่ ๑) พร่องสมบัติ ๒) พร่องกำลังใจ ๓) พร่องความรู้ ความสามารถ ๔)พร่องความปลอดภัย๑๔ ทางวัดจะเติมเต็มความบกพร่องดังกล่าวนี้กระทำได้โดย สร้างภาพลกั ษณ์ว่ากองบญุ คุณธรรมนเี้ ปน็ องค์กรแห่งการเป็นผใู้ ห้และให้โดยการสงเคราะห์ด้วยสังคห วัตถธุ รรม ไดแ้ ก่ ๑) ทาน ๒) ปิยวาจา ๓) อตั ถจรยิ า ๔) สมานัตตตา๑๕ จากปัญหา ทักษะประสบการณ์ ความสำคัญของเรื่องสวัสดิการชุมชน และองค์ความรู้ท่ี ไม่ขัดแย้งในบทบาทวัด บทบาทพระสงฆ์ ดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้ดำเนินการทำวิทยานิพนธ์ เรื่อง การ สร้างและการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนารามครั้งนี้ หวังอย่างยิ่งว่าการ ดำเนินการวิจัยเรื่องการสร้างและการจัดการเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนารามนี้ จะเก เป็นประโยชน์ เป็นผลดี ต่องานทางวิชาการในสถาบันการศึกษาไทย ได้รวบรวมข้อมูลก่อให้เกิดการ เรยี นรู้ใหแ้ ก่ผู้เกยี่ วข้องกับกองบญุ คุณธรรมวัดสะเดารตั นารามได้อยา่ งดีข้ึนตามลำดบั งานวิจัยเร่ืองนี้ จะได้เปน็ แรงผลักดันให้มีการนำองค์ความรู้นี้ไปใช้ในการพฒั นาชุมชนตำบลทงุ่ มนให้เห็นเป็นรูปธรรม จะก่อให้มีกระบวนการที่สำคัญในการหล่อหลอมผู้คนในชุมชนตำบลทุ่งมนและตำบลใกล้เคียงได้เกิด ความมน่ั ใจในการรวมตัวกันเขา้ เปน็ สมาชิก หรอื เข้าทำงานกลมุ่ เพื่อพัฒนาชุมชนอย่างสร้างสรรค์ จะ นำใหค้ นในชมุ ชนสามารถจดั การตนเองได้ดีขึ้น เกิดระบบการออม บคุ คลรูจ้ ักใชจ้ า่ ยทรัพย์ที่ออมไว้น้ี ๑๓ มาตรา ๖๙, “กฎหมายรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐”, ราชกิจจานุเบกษา ๑๓๔, (เมษายน, ๒๕๖๐): ๑๘. ๑๔ กองวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย, ทักษะการทำหน้าที่กัลยาณมิตร, (ปทุมธานี: มหาวิทยาลยั ธรรมกายแคลิฟอร์เนีย, ๒๕๔๙), หนา้ ๕. ๑๕ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๖.

๘ ถูกต้องเป็นประโยชน์ ยึดความจำเป็นสูงสุดของการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ตระหนักว่าการพัฒนา คุณภาพชีวิตตอ้ งเริ่มต้นทีก่ ารใช้สอยปัจจัย ๔ อย่างถูกต้อง การใช้สอยปจั จัย ๔ ที่ถูกต้องเป็นความจริงท่ี มุ่งไปสู่กระบวนการดูแลสุขภาพหรือรูปขันธ์ ร่างกายอันมีผลต่อจิตใจที่สถิตในกายตน ด้านสภาพ สังคมนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมขึ้นตามสมควร ขณะดำเนินงานเครือข่ายกองบุญ คุณธรรมในอนาคตไปมีการขับเคลื่อนงานด้วยการนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ผู้คนอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย ปลอดภัยทางร่าง ปลอดภัยทางทรัพย์สิน ปลอดภัยทางชื่อเสียง ปลอดภัยทางจติ ใจ จนเกิดพลังทางชุมชน ผลักดันให้มีการพัฒนาสังคมตามแนวทางของหลักธรรมาภิ บาลอย่างกว้างขวางและยัง่ ยืน ผู้วิจัยได้เห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ที่จะได้รับดังกลา่ ว จึงได้ทำ วิจยั ในเร่ืองน้ี ๑.๒ คำถามในการวจิ ัย ผูว้ จิ ยั ตอ้ งการคำตอบเกยี่ วกับปญั หาการวจิ ยั ท่กี ำหนดไว้ ๓ ข้อ ดังน้ี ๑.๒.๑ ภูมิหลังและการสร้างเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสรุ ินทร์ เป็นอย่างไร ๑.๒.๒ การดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวัดสรุ นิ ทร์ เป็นอยา่ งไร ๑.๒.๓ ข้อเสนอแนะแนวทางแกป้ ัญหาการดำเนินงานเครือข่ายกองบญุ คุณธรรมวัดสะเดา รตั นาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวดั สรุ ินทร์ มีอยา่ งไรบ้าง ๑.๓ วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั ผู้วจิ ยั ได้กำหนดวัตถปุ ระสงค์ของการวิจัยไว้ ๓ ข้อ ดังต่อไปนี้ ๑.๓.๑ เพื่อศึกษาภูมิหลังและการสร้างเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบลทงุ่ มน อำเภอปราสาท จงั หวดั สุรนิ ทร์ ๑.๓.๒ เพื่อศึกษาการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบล ทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวดั สุรินทร์ ๑.๓.๓ เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญ คุณธรรมวัดสะเดารตั นาราม ตำบลทงุ่ มน อำเภอปราสาท จังหวดั สุรนิ ทร์

๙ ๑.๔ ขอบเขตการวิจยั ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัยไว้ ๔ ด้าน ด้านเนื้อหาสาระ ด้านผู้ให้ข้อมูลหลัก ด้าน พื้นท่ี และด้านระยะเวลา ดงั ต่อไปนี้ ๑.๔.๑ ขอบเขตด้านเน้อื หาสาระการวจิ ยั ได้กำหนดขอบเขตเนื้อหาสาระการวิจัยไว้ ๔ เรื่อง ดังนี้ คือ ๑) ศึกษาภูมิหลังและการ สร้างเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ๒) ศึกษาการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ และ ๓) เสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัด สะเดารตั นาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จงั หวัดสรุ ินทร์ ๑.๔.๒ ขอบเขตดา้ นผใู้ ห้ข้อมูลหลัก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ จึงได้กำหนดขอบเขตกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักไว้ทั้งสิ้น จำนวน ๒๕ รูป/คน ประกอบด้วย คณะสงฆ์ จำนวน ๔ รูป อุบาสก อุบาสิกา วัดสะเดารัตนาราม จำนวน ๕ คน คณะกรรมการกองบุญคุณธรรม จำนวน ๖ คน และสมาชิกผู้รับผลตอบแทน จำนวน ๑๐ คน โดยมวี ิธกี ารคดั เลือกแบบเฉพาะเจาะจง และใช้วธิ ีการเก็บขอ้ มลู โดยการสนทนากล่มุ ย่อย ๑.๔.๓ ขอบเขตด้านพ้ืนที่ กำหนดขอบเขตของพื้นที่ในการศึกษา เป็นพื้นที่ตำบลทุ่งมน เลือกบุคคลที่สำคัญและ ใกล้ชดิ กับการดำเนินเครอื ข่ายกองบญุ คุณธรรมวดั สะเดารัตนาราม เน่อื งจากเป็นผ้เู หน็ เหตุการณ์ มาโดยตลอดซ่ึงสามารถยืนยนั ข้อมลู เกย่ี วกบั เร่อื งน้ไี ด้เปน็ อย่างดี ๑.๔.๔ ขอบเขตด้านระยะเวลา การวจิ ยั นใี้ ชเ้ วลา เร่มิ จาก วันที่ ๑ เดือน เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ สนิ้ สดุ วันที่ ๓๑ เดือน มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๔ รวมระยะเวลา ๑ ปี ๑.๕ นยิ ามศัพท์เฉพาะทใ่ี ชใ้ นการวิจัย ภมู หิ ลงั กองบุญคณุ ธรรมวดั สะเดารัตนาราม หมายถึง ความเปน็ มา เหตกุ ารณ์ กิจกรรม การงาน ความคิด หรือประสบการณ์การจัดสวัสดิการชุมชน จัดสวัสดิการสังคม การสร้างและการ จัดการเครอื ขา่ ยกองบญุ คุณธรรมเพื่อจดั สวัสดิการชุมชนท้องถ่นิ ระดบั จังหวดั และระดับตำบลท่ีเกิดข้ึน และมีการดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และ ระดับประเทศ เกิดขึ้นต่อเนื่องในระยะเวลายาวนานโดยลำดับ ที่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ ก่อภารกิจ รับผิดชอบ ก่อให้เกิดผลสืบเน่ือง และก่อให้เกิดการดำเนินงานการสร้างและการจัดการเครือข่ายกอง บุญคณุ ธรรมวัดสะเดารตั นาราม

๑๐ กองบุญคุณธรรม หมายถึง กองบุญคุณธรรม ๔ ประเภท ประกอบด้วย ๑) กองบุญคุณ ธรรมครอบครัวอบอุ่นชุมชนเข้มแข็ง ๒) กองบุญเพื่อพัฒนาวัด ชุมชน สังคม และลดความเหลื่อมล้ำ ทางเศรษฐกิจ ๓) กองบุญผูกญาติชว่ ยกันอยา่ งบูรณาการแบบใหม่ และ ๔) กองบุญไม่ทอดทิ้งกัน ฝึก ออมเงนิ ชว่ ยเหลอื กัน เกอ้ื กูลกนั กองบญุ คุณธรรม ๔ ประเภทนี้อยู่ภายใต้คำขวญั “ขอเขาเราให้ ให้ เขาเราได้” เครือข่าย หมายถึง สมาชิกกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนารามทั้งหมดของ ๔ กองบุญ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกระจัดกระจาย แต่ได้สมัครใจร่วมกัน ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และการดำเนินกิจกรรมร่วมกัน ทางกายภาพแบบสังคมดั้งเดิม หรือทางโลกเสมือนจริง ผ่าน อุปกรณ์สอื่ สาร ทางโลกออนไลน์ ผ่านโปรแกรมออนไลน์ การสร้างเครือข่าย หมายถึง การจัดตั้งกองบุญคุณธรรม การออกแบบ การระดมทุน ภายใน การสร้างเครื่องมือในการจัดการเอกสาร จัดการข้อมูล การทำให้มีการติดต่อ สนับสนุนให้มี การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและการร่วมมือกันด้วยความสมัครใจของเครือข่ายเครือข่ายกองบุญ คณุ ธรรมวัดสะเดารัตนารามท้ัง ๔ กองบญุ เริม่ ต้ังแตก่ ารตระหนักถึงปัญหา หรอื สำนึกการรวมตัวเป็น เครือข่ายการมีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกัน การสร้างความไว้วางใจในการทำงานร่วมกัน การแสวงหาแกน นำที่ดีที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินงานเครือข่าย ตลอดจนสร้างแนวร่วมสมาชิก เครือขา่ ย หรือขยายเครือข่ายใหแ้ พร่หลายและกว้างขวางมากข้ึน ดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม หมายถึง การแก้ไข การ ปรับปรุงระเบียบกองบุญคุณธรรมแต่ละกองบุญ การใช้โปรแกรมออนไลน์ในการจัดการเอกสาร จัดการข้อมูล การจัดระบบการทำงานเครอื ขา่ ยให้สามารถทำงานได้อย่างราบรนื่ และมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยเริ่มต้นแต่การจัดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในเครือข่าย การสร้างความรู้สึกร่วมในการทำงาน ร่วมกัน การจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน การจัดระบบข้อมูล ข่าวสารในการติดต่อข่าวสาร การ ดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเสมอภาคและเท่าเทียม การรักษาสัมพันธภาพที่ดี ระหว่างกันพร้อมทั้งการให้ความช่วยเหลือกันระหว่างเพื่อนสมาชิก โดยยึดหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาเป็นหลกั เป็นกรอบใหญ่สำหรบั การจดั การเครอื ขา่ ยกองบญุ คุณธรรม ธรรมาภิบาล หมายถึง การดำเนินกิจกรรมกองบุญคุณธรรม ตามองค์ประกอบ ๖ ประการ คอื หลักนิติธรรม หลกั คุณธรรม หลกั ความโปร่งใส หลกั การมสี ่วนรว่ ม หลักความรับผิดชอบ หลกั ความคุ้มค่า ยกระดบั องค์กรเครือขา่ ยสูค่ วามม่ันคงและการดำรงอยอู่ ย่างยั่งยนื หลักนิติธรรม หมายถึง กำหนดระเบียบของกองบุญคุณธรรมแต่ละกองบุญให้เกิดความ ชัดเจนถูกต้องเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับของสมาชิกถือปฏิบัติร่วมกันอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม คำนงึ ถึงสิทธเิ สรีภาพ ยุตธิ รรม คณุ ค่าความเปน็ มนษุ ยข์ องประชาชน

๑๑ หลักคุณธรรม หมายถึง แนวทางในดำเนินงานกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนารามที่นำ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซงึ่ มีหัวขอ้ ธรรมจำนวนมากแต่มคี วามสัมพันธ์เช่ือมโยงกันเป็นชุดธรรม มาประยกุ ตใ์ ช้ในขณะดำเนินการ ปฏบิ ัติการ ปฏบิ ตั งิ าน นำมาวางเปน็ กรอบความคดิ เปน็ กรอบยทุ ธศาสตร์ กระบวนการ วิธีการ หลักคิด โดยมุ่งหมายให้คณะกรรมการ ผู้ปฏิบัติงาน สมาชิกได้มีการประพฤติ ปฏิบัติดีทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นที่ยอมรับทั่วกัน เชื่อมั่นถึงความเป็นวัฒนธรรมชาวพุทธที่ถูกต้องดี งาม วดั สะเดารตั นารามทำการรณรงค์สรา้ งคา่ นิยมที่ดงี ามให้แก่สมาชิกกองบุญคุณธรรมถือปฏบิ ัติด้วย ความซื่อสัตย์สุจริต ความเสียสละ กตัญญูรู้คุณ มีความเมตตา กรุณา เอื้ออาทร ประหยัด อดทน ขยันหมนั่ เพียร มรี ะเบยี บวินัย เปน็ ต้น หลักความโปร่งใส หมายถึง การเปิดเผยข้อมูลกองบุญคุณธรรมอย่างตรงไปตรงมา สมาชิกหรือผู้เกี่ยวข้องกับกองทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก มีระบบหรือกระบวนการ ตรวจสอบและประเมนิ ผลที่มี ประสิทธิภาพ เปน็ ตน้ หลักการมีสว่ นร่วม หมายถงึ เปิดโอกาสให้ประชาชน สมาชิกมีสว่ นร่วมในการเสนอแนะ ความคดิ เหน็ ร่วมดำเนนิ กิจกรรม ร่วมรบั ผลประโยชน์ และรว่ มประเมนิ ผล ต่อกองบุญคุณธรรม หลักความรับผิดชอบ หมายถึง คณะกรรมการและสมาชิกกองบุญคุณธรรมตั้งใจปฏิบัติ ภารกจิ ตามหนา้ ทีอ่ ยา่ งดยี ิ่ง มีการอำนวยความสะดวกให้แก่ผมู้ ารับบริการ มคี วามรบั ผิดชอบต่อความ บกพรอ่ งในหนา้ ที่ซ่งึ ตนรบั ผดิ ชอบ และพรอ้ มท่จี ะปรบั ปรุงแกไ้ ขไดท้ นั ท่วงที หลักความคุ้มค่า หมายถึง ใช้ทุนและเวลาในการดำเนินการน้อยแต่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ สงู สดุ เกดิ ความประหยัดสดุ แต่กอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์สูง ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนา ราม หมายถึง ข้อเสนอแนะในการจัดระบบการทำงานเครือข่ายให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น และมีประสทิ ธภิ าพ หรือการมีส่วนร่วมในการแจ้งเตือนกองบุญคุณธรรมวดั สะเดารัตนารามถึงจุดขอ้ บกพร่อง จุดอ่อน ในการดำเนินงาน สอดคล้องตามหลักธรรมาภบิ าล เชน่ การจดั บทบาทหน้าท่ีของสมาชิกใน เครือข่าย การสร้างความรู้สึกร่วมในการทำงานร่วมกัน การจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน การ จัดระบบข้อมูล ข่าวสารในการติดต่อข่าวสาร การดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเสมอ ภาคและเท่าเทียม การรักษาสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกันพร้อมทั้งการให้ความช่วยเหลือกันระหว่าง เพื่อนสมาชิก

๑๒ ๑.๖ ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ หลังจากไดท้ ำวิจัยเร่อื งนีส้ ำเร็จแลว้ จะก่อใหเ้ กดิ ประโยชนด์ ังตอ่ ไปน้ี ๑.๖.๑ ประโยชนโ์ ดยตรง ๑.๖.๑.๑ ได้ทราบภมู ิหลงั และการสร้างเครือขา่ ยกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารตั นา ราม และข้อมูลพ้ืนฐานของวดั สะเดารัตนาราม อำเภอปราสาท จังหวัดสุรนิ ทร์ ๑.๖.๑.๒ ได้ทราบการดำเนนิ งานเครอื ข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารตั นาราม ตำบลทุง่ มน อำเภอปราสาท จังหวดั สุรินทร์ ๑.๖.๑.๓ ไดข้ ้อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาการดำเนนิ งานเครอื ขา่ ยกองบญุ คุณธรรมตามแนวของวดั สะเดารัตนาราม ตำบลท่งุ มน อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรนิ ทร์ ๑.๖.๒ ประโยชนโ์ ดยอ้อม ภายหลังจากได้ทำวิจัยเร่ืองนส้ี ำเร็จแลว้ งานวิจยั เลม่ นี้จะเปน็ เอกสารท่สี ำหรับการศึกษา เรียนรู้เรื่องสวัสดิการชุมชน หรือ กองบุญคุณธรรม สร้างความชดั เจนและเด่นชดั ของวัดสะเดารัตนา ราม ในด้านการดำเนนิ งานกองบญุ คุณธรรมวัดสะเดารตั นารามต่อสงั คม องคค์ วามร้จู ากการวิจัยจะเป็น ข้อมูลสำหรับการเผยแพร่จัดสัมมนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาหลักคิดสร้างเสริมพลังให้ชุมชน เกิด ความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการจัดตั้งกองทุน อื่น ๆ ในการดำเนินการกองทุนต่าง ๆ ในสงั คมทว่ั ไป ท่ตี อ้ งอาศัยการช่วยเหลือกันในหม่สู มาชกิ และ วิธีการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันที่สอดคล้องกับความเป็นชุมชน และงานวิจัยเรื่องนี้จะเสริม ภาพลักษณ์องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมนซึ่งได้รับการประกาศเกียรติคุณจากสถาบันพระปกเกล้า ว่าเป็นองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานดา้ นความโปรง่ ใสและส่งเสริมการมีส่วนรว่ ม ของประชาชนปี ๒๕๖๔ ได้เป็นองค์กรโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน ตลอดไป

บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่เี ก่ยี วขอ้ ง การวิจัยเรื่องการสร้างและการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภูมิหลังและการสร้างเครือข่าย กองบุญคุณธรรม การดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรม และเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาการ ดำเนนิ งานเครือข่ายกองบญุ คุณธรรมวัดสะเดารตั นาราม ผู้วจิ ัยไดค้ น้ คว้าแนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัย ทเี่ กยี่ วขอ้ งกับเรือ่ งท่ีทำวิจัยนจ้ี ากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพือ่ นำมาศึกษาและใช้ในการอ้างองิ ให้ผลงานวิจัย เกิดคุณค่าน่าเชื่อถือ เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ และจำเป็นต่อการดำเนินงาน ต่อการแก้ไขปัญหาและการ พัฒนากองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม ผู้วิจัยได้แบ่งหัวการศึกษาออกเป็น ๓ หัวข้อ คือ ๑) แนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้อง ๒) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๓) กรอบแนวคิดในการวิจัย แต่ละหัวข้อจะนำเสนอ รายละเอยี ดตามลำดบั ๒.๑ แนวคดิ ทฤษฎี ที่เกย่ี วขอ้ ง แนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัย แบ่งเป็น ๖ หัวข้อที่เกีย่ วข้อง คือ ๑) หลักคำสอนทาง พระพทุ ธศาสนา ๒) ทฤษฎีเครือขา่ ยสังคม ๓) ทฤษฎีการมสี ่วนร่วม ๔) ทฤษฎีเกยี่ วกับหลักธรรมาภิบาล ๕) แนวคิดสวัสดิการชุมชน ๖) แนวคิดกองบุญคุณธรรมสวัสดิการชุมชนจังหวัดสุรินทร์ แนวคิด ทฤษฎี ทั้ง ๖ ข้อ เป็นเร่ืองราวความสัมพันธ์ของคนกับคน เนื้อความจะเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันของคน ในสงั คมเป็นหลัก แนวคดิ ทฤษฎี ๖ หัวข้อนี้อาจจดั เข้าได้ในศลี สกิ ขาเป็นสำคัญ เพื่อใหเ้ กิดความเข้าใจ ถึงความเหมือนและความต่างจำต้องแจกแจงเนื้อความให้ครบทั้ง ๖ ข้อ แต่ละหัวข้อจะนำเสนอ เนื้อหาตามลำดับดังน้ี ๒.๑.๑ หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา สำหรับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญในการนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน ขับเคลื่อนองคาพยพทางสังคม ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และมีความสำคัญที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับการสร้าง และการดำเนินงานเครือข่ายกองบุญคุณธรรมวัดสะเดารัตนาราม นั้นมีหัวข้อธรรมจำนวนมากล้วน เชื่อมร้อยกนั ได้ภาพใต้หลกั ไตรสิกขา ในการวิจัยเร่ืองนี้จะนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เด่นชัด สามารถประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานทุกขั้นตอนอย่างกลมกลืน เป็นการดำเนินงานแบบวถิ ีพุทธ เป็น การทำงานแบบวัฒนธรรมพุทธจะได้นำเสนอหลักธรรมและแนวคิดที่สอดคล้องกับการดำเนินงาน เป็น ๑๒

๑๔ หัวข้อธรรม คือ (๑) อริยสัจ ๔ (๒) พรหมวิหาร ๔ (๓) สังคหวัตุ ๔ พร้อมหมวดธรรมในสิงคลกสูตร (๔) สา ราณียธรรม ๖ (๕) อปรหิ านยิ ธรรม ๗ (๖) สัปปุริสธรรม ๗ (๗) อทิ ธบิ าท ๔ (๘) ภาวนา ๔ (๙) ทิฏฐธรรม มิกัตถประโยชน์ ๔ (๑๐) ฆราวาสธรรม ๔ (๑๑) ความกตัญญูกตเวทิตา (๑๒) ความสนั โดษ และ (๑๓) หลกั ธรรมบวรเก้ือกูลแตล่ ะหวั ข้อนน้ั สามารถนำเสนอตามลำดับได้ดงั นี้ ๒.๑.๑.๑ หลกั ธรรมอรยิ สจั ๔ พระพุทธเจ้าตรัสกับเหล่าภิกษุ ว่า การได้เห็นความจริงในอริยสัจ ๔ หมดจดดีแล้วทำ ใหเ้ ป็นผู้ตรสั รู้ สัมมาสมั โพธิญาณอนั ยอดเยย่ี มในโลกครอบคลุมโลกทง้ั ๓ คือ เทวโลก มารโลกพรหมโลก มี ความสูงกว่า ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ญาณทัสสนะเกิดขึ้นทำให้พระองค์ หลุดพ้นแล้วชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายภพใหม่ไม่มีอีก๑ การเข้าถึงความเข้าใจในอริยสัจ ต้องปฏิบัติตาม มัชฌิมาปฏิปทา คือการปฏิบัติในอริยมรรคมีองค์ ๘ ครบสมบูรณ์ คือ ๑) สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) ๒) สัมมา สังกัปปะ (ดำริชอบ) ๓) สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) ๔) สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ) ๕)สัมมาอาชีวะ (เลี้ยง ชีพชอบ) ๖) สัมมาวายามะ (พยายามชอบ) ๗) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) และ ๘) สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่น ชอบ) โดยพระองค์ได้อธิบายให้เหล่าพระภกิ ษุได้เข้าใจยิ่งขึน้ ว่า มชั ฌมิ าปฏปิ ทา ท่ีตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว อัน เป็นปฏิปทา ก่อให้เกิดจักษุก่อให้เกิดญาณเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อพระ นิพพาน”๒ องค์มรรคแตล่ ะข้อมนี ยั พิสดาร ดงั นี้ ๑) สมั มาทิฏฐิ หมายถงึ เห็นอรยิ สัจ ๔ เห็นไตรลักษณ์ หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท ๒) สัมมาสงั กัปปะ หมายถึงความนึกคิดในทางสละปลอดจากกาม ความนกึ คิดปลอดจากพยาบาท และ ความนกึ คิดปลอดจากการเบียดเบยี น ๓) สมั มาวาจา หมายถงึ พูดคำสตั ย์ ไม่ส่อเสยี ด พดู คำออ่ นหวาน พดู มีสาระ ๔) สัมมากัมมันตะ หมายถึงไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๕) สมั มาอาชวี ะ หมายถงึ เว้นมิจฉาชีพ ประกอบสมั มาอาชีพ ๖) สัมมาวายามะ หมายถึงเพียรระวังความชั่วไม่ให้เกิดขึ้น เพียรกำจัด ความชั่วที่เกิดขึ้นแลว้ เพยี รทำความดีให้เกิด เพียรรกั ษาความดีไว้ ๗) สมั มาสติ หมายถงึ พิจารณาเหน็ กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจิต และธรรมในธรรม ๘) สัมมาสมาธิ หมายถงึ ฌาน ๔ ๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖/๒๓. ๒ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๑.

๑๕ มัชฌมิ าปฏปิ ทามรี ะบไุ วห้ ลายทีใ่ นหนงั สือพระไตรปิฎก เชน่ ท.ี ม. ๑๐/ ๓๒๙/๒๑๔,๔๐๒/๒๖๖, ม.อ.ุ ๑๔/๓๒๕/๒๙๗,๓๗๕/๓๑๙, อภิ.ว.ิ (แปล)๓๕/๒๐๕/๑๗๑,๔๘๖/ ๓๗๑,๔๘๘-๔๙๒/๓๗๓-๓๗๕,๔๙๘-๔๙๙/๓๗๗-๓๗๘,๕๐๔/๓๘๐๓ ในกาลนัน้ พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุ ถึงไตรสิกขา ว่ากิจทสี่ มณะควรทำ เป็นหน้าท่ี เป็นกิจที่สมณะควรทำ คือ การสมาทานอธิสีลสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง) การสมาทานอธิจิตตสิกขา (สิกขาคือจติ อนั ย่งิ ) การสมาทานอธปิ ญั ญาสกิ ขา (สกิ ขาคือปญั ญาอันย่ิง) กิจที่สมณะควรทำ พระพุทธ องค์ย้ำให้พระภิกษุได้พึงสำเหนียกสร้างความพอใจอย่างยิ่งในการสมาทาน อธิสีลสิกขามีความพอใจ อย่างยิ่ง ในการสมาทานอธิจิตตสิกขา มีความพอใจอย่างยิ่งในการสมาทานอธิปัญญาสิกขา๔ อริยสัจ ๔ เป็นหลักธรรมหลักคิดทฤษฎีหลักการสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ได้ยกย่องเชิดชูว่าเป็นทฤษฎี ความคิดที่ค้นพบโดยพระพุทธเจ้า เป็นหลักการเหตุและผลเป็นกระบวนการรูปแบบความคิดที่สั้น ชัดเจน ฉะนั้นการศึกษาอริยสัจ ๔ จึงสำคัญ อริยสัจ ๔ เป็นรูปแบบที่พึงขยายความพึงยกย่องให้เด่นชัด นำไปใช้ในสังคมให้มากขึ้นเป็นหลักคิดที่ควรไปอยู่กับทุกศาสตร์และศิลป์ หลักการสำคัญแห่งวิธีคิด ตามหลักอริยสัจ ๔ เป็นหลักการธรรมชาติ มีเวทนาขันธ์สัมผัสรับรู้อารมณ์เป็นเบื้องต้นแล้วจึงหา สาเหตทุ ี่กอ่ ให้เกดิ อารมณน์ นั้ หรือเวทนาน้นั เช่นอารมณ์รบั รู้ความทุกขเ์ บ้ืองต้นหรอื รับรู้ความทุกข์ง่าย สัมผัสง่ายที่สุดเมื่อเกิดความทุกข์แล้วอารมณ์เวทนาก็ปรุงแต่งถึงอารมณ์แห่งความสุขหรือความตรง ข้ามของความทุกข์ก็คือนิโรธ เป้าหมายความสุขหลายทางเมื่ออารมณ์รับรู้ความทุกข์อิ่มตัวและรับรู้ บรรยากาศแห่งความสุขอม่ิ ตัวดวงจติ มีพลงั ในการคิดค้นต่อว่าสาเหตขุ องทุกขค์ ืออะไร มาจากไหนและ ตน้ เหตทุ ีจ่ ะทำใหห้ ลุดพน้ จากความทุกข์ไปสูน่ ิโรธความสขุ ความหมดปญั หาต้องทำอย่างไรบ้าง การค้น คิดขบคิดในรูปแบบตามกรอบอริยสัจ ๔ เป็นกรอบคิดที่ก่อให้เกิดความชัดเจนทางปัญญาลดปัญหา ความซับซ้อนขั้นตอนของการปรุงแต่งหรือสังขารขันธ์ เมื่อสั่งสมการหาเหตุผลแบบอริยสัจ ๔ ยิ่ง กอ่ ใหเ้ กดิ ความคมทางความคิดหรือเรียกว่าปญั ญาทลี่ มุ่ ลึกได้ อรยิ สจั ๔ เปน็ กระบวนการคิดก่อให้เกิด ปญั ญาทเี่ ป็นรูปแบบทชี่ ัดเจนสัน้ มีเพียง ๔ บลอ็ กความคิดรวมเปน็ ๒ กลุ่ม คือเหตุและผลจะเป็น ๒ คู่ เหตุและผลด้านทุกเหตุและผลด้านสุขเกิดขึ้นโดยธรรมชาติแห่งสังขารขันธ์ในเบญจขันธ์ขันธ์ ๕ จิต ย่อมมองเห็นทุกข์ก่อนเหตุและผลด้านทุกข์ ๑ คู่เมื่อจิตสัมผัสทุกข์ จิตย่อมจินตนาการหาความ สุข ความปราศจากความเดือดเนื้อร้อนใจท่ีบีบคั้นอันเกิดจากการปรุงแต่งต้นเหตจุ ากรา่ งกายสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติบีบคั้นจิตใจบีบคั้นนิโรธเป็นผลคู่กับมรรคคู่หนึ่งกรอบความคิดอริยสัจ ๔ ๔ บล็อก ๔ ช่อง จึงไม่ซับซ้อนง่ายต่อการสร้างปัญญา อริยสัจ ๔ เป็นธรรมชาติที่เข้ากระบวนการทางจิตเป็นเบื้องต้น มธี รรมชาตจิ ับเอาผลกอ่ นหรือจับเวทนาข้นึ สู่การพจิ ารณาก่อน ทกุ ขเ์ ปน็ อาการแห่งนาม นโิ รธก็เป็น ๓ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๑. ๔ อง.ฺ ติก. (ไทย) ๒๐/๘๒/๓๐๘-๓๐๙.

๑๖ อาการแห่งนาม ผลทั้งด้านถูกใจและไม่ถูกใจเป็นผลที่เกิดที่จิต ส่วนสมุทัยและมรรคเป็นต้นตอหรือ เป็นเหตุแห่งทุกข์และเหตุแห่งสุข ซึ่งมีต้นเหตุจากรูปขันธ์เป็นสำคัญ ร่างกายและสิ่งแวดล้อมจัดไว้ใน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มรรคเป็นวิธีการดำเนินการไปสู่นิโรธ มรรคจึงเป็นด้านกรรมสุจริต ๓ ส่วนสมุทยั จดั เป็นทจุ ริต ๓ หรอื มิจฉาตรงขา้ มมรรคมีองค์ ๘ สรุป อริยสัจ ๔ เป็นหัวข้อธรรมหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนา การปฏิบัติการตามหลัก อริยสัจ ๔ เป็นการปฏิบัติการตามหัวข้อธรรมย่อย หรือหัวข้อธรรมที่จัดเป็นชื่ออื่น เช่น มรรค ๘ ไตรสกิ ขา ๓ กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ศลี ๕ ปธาน ๔ สุจรติ ๓ เปน็ ตน้ และเปน็ องค์รวมหลกั ธรรม ๓ ระดบั คอื สัจธรรม จรยิ ธรรม และ คณุ ธรรม ๒.๑.๑.๒ พรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร ๔ ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ, ธรรมประจำใจอันประเสริฐ, หลักความ ประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์, ธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและกำกับความประพฤติ จึงจะชื่อว่าดำเนิน ชีวิตหมดจด และปฏิบัติตนต่อมนุษย์สัตว์ทั้งหลายโดยชอบ ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความเป็นพรหม๕ ประกอบดว้ ย ๑.๑) เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิต อันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แกม่ นุษยส์ ัตวท์ ่ัวหนา้ ๑.๒) กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลด เปลือ้ งบำบดั ความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสตั ว์ ๑.๓) มุทิตา ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรดว้ ยอาการแชม่ ช่ืนเบกิ บานอยูเ่ สมอ ตอ่ สัตวท์ ้งั หลายผู้ดำรงในปกตสิ ุข พลอยยินดีดว้ ยเมื่อเขาได้ ดมี ีสขุ เจริญงอกงามยิ่งข้ึนไป ๑.๔) อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรม ตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเหน็ กรรมที่สัตว์ทง้ั หลายกระทำแล้ว อันควรไดร้ ับผลดหี รือชวั่ สมควรแกเ่ หตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความ รบั ผดิ ชอบของตน ผดู้ ำรงในพรหมวิหาร ยอ่ มชว่ ยเหลือมนษุ ย์และสัตวท์ ้ังหลาย ด้วยความเมตตากรุณา และ ยอ่ มรักษาธรรมไว้ไดด้ ้วยอุเบกขา ขณะเจรญิ กรุณาทจี่ ะชว่ ยเหลือปวงสตั ว์อยู่ ก็ต้องมีอุเบกขาด้วยที่จะ ๕ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, พิมพค์ รง้ั ท่ี ๓๔, (ม.ป.ท., ๒๕๔๑), หนา้ ๑๒๔-๑๒๗.

๑๗ มิให้เสียธรรม พรหมวิหาร บางทีแปลว่า ธรรมเครื่องอยู่ของพรหม, ธรรมเครือ่ งอยู่อย่างพรหม, ธรรม ประจำใจท่ีทำใหเ้ ปน็ พรหมหรือให้เสมอดว้ ยพรหม, หรอื ธรรมเคร่ืองอยู่ของท่านผมู้ ีคุณยิ่งใหญ่ พรหม วิหาร ๔ เรียกอีกอย่างว่า อัปปมัญญา ๔ เพราะแผ่สม่ำเสมอโดยทั่วไปในมนุษย์สัตว์ทั้งหลาย ไม่มี ประมาณ ไม่จำกัดขอบเขต นอกจากนี้ พรหมวิหาร คุณธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ เมื่อมีอยู่ในผู้ใด ย่อมทำให้ผู้นั้น ประพฤติปฏิบัติเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ด้วยสังคหวัตถุ เป็นต้น เมื่อพรหมวิหาร ๔ เป็นคุณธรรมภายในใจ การเขา้ ใจจติ ใจของตนจึงมีความสำคญั มาก ถา้ เขา้ ใจถูกต้อง จะปฏิบตั ิพรหมวหิ าร ๔ ไดถ้ ูกตอ้ ง แต่ถ้า จะสำคญั ผิด การปฏิบตั ิพรหมวหิ าร ๔ กผ็ ิดตาม จึงตอ้ งทราบรายละเอียดบางอยา่ ง โดยเฉพาะสมบัติ และวบิ ัตขิ องธรรม ๔ ประการนัน้ ดังนี้ ก) ความหมายหลกั ธรรมในพรหมวิหาร สามารถวิเคราะห์ศัพท์ ไดด้ งั นี้ ๑) เมตตา = (มีน้ำใจ) เยื่อใยใฝ่ประโยชน์สุขแก่คนทั้งหลาย หรือน้ำใจ ปรารถนาประโยชน์สขุ ที่เปน็ ไปตอ่ มิตร ๒) กรุณา = ทำความสะเทือนใจแก่สาธุชน เมื่อคนอื่นประสบทุกข์ หรือ ถา่ ยถอนทำทกุ ข์ของผู้อื่นใหห้ มดไป หรอื แผ่ใจไปรับรตู้ ่อคนสตั ว์ทง้ั หลายทีป่ ระสบทุกข์ ๓) มทุ ติ า = โมทนายินดตี ่อผปู้ ระกอบด้วยสมบัตหิ รือผลดีน้นั ๆ ๔) อุเบกขา = คอยมองดูอยู่ โดยละความขวนขวายวา่ สตั ว์ท้งั หลาย จงอย่า ผูกเวรกนั เปน็ ต้น และโดยเข้าถึงความเป็นกลาง ข) ลักษณะ หน้าที่หรอื กจิ (รส) ผลปรากฏ (ปจั จุปัฏฐาน) และปทสั ถาน (เหตใุ กล้) ๑) เมตตา = ในสถานการณ์ที่คนอื่นอยู่เป็นปกติ, ลักษณะ = เป็นไปโดย อาการเกื้อกูลแก่คนสัตว์ทั้งหลาย, หน้าที่ = น้อมนำประโยชน์เข้าไปให้แก่เขา, ผลปรากฏ = กำจัด ความอาฆาตแค้นเคอื งใหป้ ราศไป, ปทัสถาน = เหน็ ภาวะท่ีนา่ เจริญใจของคนสตั วท์ ัง้ หลาย ๒) กรุณา = ในสถานการณ์ท่ีคนอ่นื ตกทกุ ขเ์ ดอื ดร้อน, ลกั ษณะ = เป็นไปโดย อาการปลดเปลื้องทุกข์แก่คนสัตว์ทั้งหลาย, หน้าที่ = ไม่นิ่งดูดาย/ทนนิ่งอยู่ไม่ได้ต่อทุกข์ของคนสัตว์ ท้ังหลาย, ผลปรากฏ = ไม่เบียดเบียน/อวิหงิ สา, ปทสั ถาน = เห็นภาวะไร้ที่พ่ึง/สภาพน่าอนาถของคน สัตวท์ ง้ั หลายทถ่ี กู ทุกข์ครอบงำ ๓) มุทติ า = ในสถานการณ์ท่ีคนอน่ื มสี ขุ สำเร็จหรือทำอะไรก้าวไปด้วยดี, ลักษณะ = พลอยยินดี/ยินดีด้วย, หน้าที่ = ไม่ริษยา/เป็นปฏิปักษ์ต่อความริษยา , ผลปรากฏ = ขจัด ความริษยา ความไม่ยินดีหรือความทนไม่ได้ต่อความสุขสำเร็จของผู้อื่น, ปทัสถาน= เห็นสมบัติ/ ความสำเร็จของคนสัตว์ทง้ั หลาย ๔) อเุ บกขา = ในสถานการณ์รกั ษาธรรมตามความรบั ผดิ ชอบต่อกรรมท่ี เขาทำ, ลกั ษณะ = เปน็ ไปโดยอาการเป็นกลางต่อคนสัตว์ทง้ั หลาย, หน้าที่ = มองเห็นความเสมอภาค

๑๘ กันในคนสัตว์ทั้งหลาย, ผลปรากฏ = ระงับความขัดเคืองเสียใจและความคล้อยตามดีใจ, ปทัสถาน= มองเห็นภาวะท่ที ุกคนเปน็ เจ้าของกรรมของตนว่า สัตวท์ ง้ั หลายจกั ไดส้ ุข พ้นทุกข์ ไม่เสอ่ื มจากสมบัติที่ ได้ทถี่ งึ ตามใจชอบได้อย่างไร ค. สมบัติ (ความสมบูรณ์หรือความสัมฤทธิ์ผล) และวิบัติ (ความล้มเหลว หรือการ ปฏิบัติผิดพลาด ไม่สำเรจ็ ผล) ๑) เมตตา: สมบัติ = สงบหายไร้ความแค้นเคืองไม่พอใจ, วิบัติ = เกิด เสนห่ า ๒) กรณุ า: สมบตั ิ = สงบหายไร้วิหิงสา, วิบตั ิ = เกิดความโศกเศรา้ ๓) มุทิตา: สมบัติ = สงบหายไร้ความริษยา, วิบัติ = เกิดความ สนกุ สนาน ๔) อุเบกขา: สมบัติ = สงบหายไม่มีความยินดียินร้าย , วิบัติ = เกิด ความเกดิ ความเฉยดว้ ยไม่รู้ (เฉยโง่ เฉยเมย เฉยเมนิ ) ง. ขา้ ศกึ คอื อกศุ ลซึ่งเป็นศัตรคู ่ปู รบั ท่ีจะทำลายหรอื ทำธรรมน้นั ๆ ให้เสยี ไป ๑. เมตตา: ข้าศึกใกล้ = ราคะ, ข้าศึกไกล = พยาบาท คือความขัดเคือง ไมพ่ อใจ ๒. กรุณา: ข้าศึกใกล้ = โทมนัส คือความโศกเศร้าเสียใจ, ข้าศึกไกล = วหิ งิ สา ๓. มุทิตา: ข้าศึกใกล้ = โสมนัส (เช่น ดีใจว่าตนจะพลอยได้รับ ผลประโยชน์), ข้าศกึ ไกล = อรติ คอื ความไม่ยินดี ไม่ใยดี รษิ ยา ๔. อุเบกขา: ขา้ ศึกใกล้ = อญั ญาณเุ บกขา (เฉยไม่ร้เู รอื่ ง เฉยโง่ เฉยเมย), ขา้ ศึกไกล = ราคะ (ความใคร)่ และปฏิฆะ (ความเคือง) หรือชอบใจและขดั ใจ ๒.๑.๑.๓ สังคหวัตุ ๔ พร้อมหมวดธรรมในสิงคลกสตู ร เพื่อจะเข้าใจในสังคหวัตถุ ๔ พึงทำเข้าใจในภาพรวมของหลักธรรมกลุ่มนี้ ซึ่งอยู่ใน สิงคาลกสูตร เป็นสูตรหนึ่งที่ชาวพุทธจำต้องศึกษาทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อเป็นแนวทางในการ ดำเนินชีวิตแห่งตนให้ดีงาม มีความรับผิดชอบต่อตนเองสูงขึ้นตามลำดับ ลดการสร้างภาระให้ผู้อ่ืน โดยไม่จำเป็น เป็นการพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง ทั้งเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นและเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ด้วยหรือมคี วามรบั ผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคมส่วนรวมมากข้นึ เม่ือปฏิบตั ิตนรอบด้านตามคำ สอนในสิงคาลกสูตรจะเกิดความสอดคล้อง สอดรับกัน กลายเป็นบทบาท เป็นหน้าที่ที่มีผลต่อบุคคล ต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัวเรา เป็นการขยับสังคมแห่งการเกื้อกูล สังคมแห่งการเรียนรู้ มีการเคลื่อน องคาพยพอย่างมีพลัง เกิดสังคมสันติสุขร่วมกัน เรียกได้ว่า การปฏิบัติตนตามนี้ คือ กัลยาณมิตร

๑๙ ชุมชนกัลยาณมิตร สังคมกัลยาณมิตร ทางรอดของสังคมมนุษยชาติ พระผู้มีพระภาคตรัสกับคหบดี บุตร วา่ อรยิ สาวกละกรรมกเิ ลส(กรรมเคร่ือง เศรา้ หมอง) ๔ ประการได้แลว้ ไมท่ ำบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการ และไม่ข้องแวะอบายมุข (ทางเสื่อม) ๖ ประการ แห่งโภคะทั้งหลาย อริยสาวกนั้นเป็นผู้ ปราศจาก บาปกรรม ๑๔ ประการแล้ว ชอ่ื ว่าเปน็ ผู้ปิดปอ้ งทศิ ๖ เป็นผู้ครองโลกทงั้ ๒ ทำให้เกิดความ ยินดที ้ังโลกนแ้ี ละโลกหน้า หลงั จากตายแล้ว ย่อมไปเกิด ในสคุ ติโลกสวรรค์”๖ พระพุทธองค์ทรงตรัส ช้ีชวนใหร้ ักในการใหท้ าน แบง่ ปัน ให้กำลังใจกัน ให้เห็นความสำคญั ในการสงเคราะหก์ นั ช่วยเหลอื กนั เกื้อกูลกัน สังคมต้องอาศัยกันและกันทุกสังคมไป โลกนี้จะปราศจากการให้ไม่ได้ ผู้รู้จึงสรรเสริญการ ชว่ ยเหลอื กัน๗ ๒.๑.๑.๔ สาราณียธรรม ๖ สาราณียธรรมเป็นหลักธรรมที่นำไปสู่ความเสมอภาคของชุมชน๘ เกิดความ โปร่งใสทั้งทางกาย วาจา และใจ มี ๖ ประการ สามารถแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม ๓ ประการแรก คือ เมตตาทางกาย เมตตาทางวาจา และเมตตาทางใจ จัดเป็นกรรม ๓ ฝ่ายสุจริต ส่วน ๓ ข้อหลัง คือ แบ่งปันผลประโยชน์ อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขทางกายภาพ และ ความคิดเห็นตรงกัน มีความตรงกัน กับหลกั บญุ กิริยาวตั ถุ ๓ หรอื วธิ ีการทำบุญ ๓ ประกอบด้วย ทาน ศลี ภาวนาหลักธรรมสาราณียธรรม นอกจากจะนำไปสู่ความเสมอภาค โปร่งใสของสังคม ชุมชน ก็สามารถอธิบายประโยชน์ของ หลักธรรมขอ้ น้วี า่ จะนำไปสู่ความสามัคคี การมสี ่วนรว่ ม หรือความสงบสุขได้ ๒.๑.๑.๕ อปริหานิยธรรม ๗ อปริหานิยธรรม๙ เป็นธรรมที่ปฏิบัติแล้วปิดกั้นความเสื่อม ทำให้เจริญฝ่ายเดียว หลักธรรมพระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสแสดงไว้สำหรับผู้ปฏิบัติ ๒ กลุ่ม เป็นหลักธรรมสำหรับหมู่ชน ผบู้ รหิ ารบา้ นเมอื งกบั เปน็ หลกั ธรรมสำหรับพระภกิ ษนุ กั บวช มีอยู่ ๗ ขอ้ อปรหิ านิยธรรม ๗ มีความ ตรงกันสำหรับผู้ปฏิบัติทั้ง ๒ กลุ่ม คือข้อแรกถึงข้อสาม คือ ข้อ ๑ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ข้อ ๒ พรอ้ มเพียงกันประชุม พรอ้ มเพยี งกันเลิกประชุม แลว้ ก็พร้อมเพรียงกนั ทำกจิ ที่เกิดขึ้นจากการประชุม ข้อ ๓ เป็นการไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ คือ ไม่บัญญัติสิ่งใหม่ที่จะขัดกับหลักธรรมเดิม หลักการ เดิม ไม่ล้มล้างบัญญัติเดิม คือ ยึดหลักการเป็นสำคัญ ไม่เปลี่ยนแปลงหลักการ และเป็นหลักการท่ี ๖ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๔๔/๒๐๐. ๗ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๗๔/๒๑๘. ๘ พระสมหุ ์อมร อมโร (สดี ำ) และคณะ, “แนวทางการประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั สาราณยี ธรรมในการมีสว่ นร่วม ของชุมชนบ้านช่อง ตำบลช่อง อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง”, วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๔ (มิถนุ ายน ๒๕๖๒): ๑๗๓๔. ๙ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, หน้า ๒๑๑-๒๓๔.

๒๐ ถูกต้อง ดีงามแล้ว อีก ๔ ข้อ มีความต่างกันที่พยัญชนะ แต่มีความหมายที่เหมือนกันทั้งสองกลุ่ม คือ เรื่องของความเคารพสิทธิเสรภี าพ เคารพนับถือความเป็นผู้มีคุณค่า แล้วก็ไม่กดขี่ข่มเหงคนที่อ่อนแอ เปน็ หลักการทต่ี ้องสำนึกว่า ต้องปฏิบัติตอ่ บุคคลทมี่ ีคุณคา่ อยา่ งไร ต่อบคุ คลที่มีความอ่อนแออย่างไร แล้วจะปฏิบัติต่อส่ิงยึดเหนี่ยวทางจติ ใจหรือศูนย์รวมจิตใจอยา่ งไรที่ถูกต้อง ก็จะทำให้เจริญฝ่ายเดียว ไม่เส่ือมเลย ๒.๑.๑.๖ สปั ปุรสิ ธรรม ๗ สัปปุริสธรรม๑๐ แปลว่า ธรรมของสตั บรุ ุษ ธรรมทที่ ำให้เปน็ สัตบรุ ุษ เป็นคุณสมบัติ ของคนดี เป็นธรรมของผู้ดี มีอยู่ ๗ หัวข้อธรรมสำหรับคนที่เป็นสัตบุรุษ มีลักษณะ ๗ ข้อ ๗ องค์ประกอบ คือ ตอ้ งมีให้ครบ ๗ องคป์ ระกอบ คือ องค์ประกอบที่ ๑ การรู้จักธรรม รู้หลัก รู้จักเหตุ รู้หลักความจริง รู้หลักการ รู้ หลกั เกณฑ์ รู้กฎแหง่ ธรรมดากฎเกณฑ์เหตุผล รหู้ ลกั การท่ีทำใหเ้ กิดผล ภาษาธรรมวา่ ธัมมญั ญตุ า องค์ประกอบที่ ๒ การรู้จักอรรถ รู้จักความมุ่งหมาย คือ รู้จักผล รู้ความหมาย รู้ความ มงุ่ หมาย รู้ประโยชน์ทพ่ี ึงประสงค์ รู้จักผลท่เี กิดข้ึนสืบเนือ่ งจากการกระทำ รคู้ วามเป็นไปของหลักการ เรยี กว่าตคี วามแตก ภาษาธรรมวา่ อัตถัญญตุ า องค์ประกอบข้อ ๓ การรู้จักตน รู้ว่าตนเองมีฐานะ ภาวะ เพศ กำลัง ความรู้ ความสามารถ ความถนัด คุณธรรมเป็นอย่างไร มีความเหมาะสมอย่างไร จะปฏิบัติตนอย่างไร จะประพฤติ อย่างไรให้เหมาะสม จะแก้ไขตนอยา่ งไรต่อไป ภาษาธรรมเรียกวา่ อัตตัญญตุ า องค์ประกอบท่ี ๔ การรจู้ ักประมาณ รจู้ ักความพอดี รูจ้ ักประมาณในการรับในการ ใช้สอยปัจจยั สี่ ด้านคฤหัสถก์ ็รูจ้ ักในการใช้จา่ ยทรัพย์ นักปกครองก็รู้จักประมาณในการลงโทษในการ เก็บภาษี ภาษาธรรม เรยี ก มตั ตญั ญตุ า องค์ประกอบท่ี ๕ การรู้จักกาล รู้จักเวลาอันเหมาะ สมควร รู้จักระยะเวลาที่กำหนด มี ความตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอดีให้พอเหมาะกับเวลา เรื่องเวลาเป็นความดีสากล การ รู้จักตรงต่อเวลา ความดีสากลคนทั้งโลกปรารถนาเรื่องการ ใช้เวลาที่มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันเวลาเป็นสิ่ง สำคญั สำหรับการทำงานใหท้ ันตอ่ ปญั หา ภาษาธรรม เรยี ก กาลัญญุตา องค์ประกอบที่ ๖ การรู้จักบริษัท รู้จักชุมชน รู้จักที่ประชุม รู้จักการประพฤติ กิริยามารยาทต่อที่ชุมชน การเข้าหาการพูดคุย การแสดงปฏิสัมพันธ์กับชุมชน สังคม ภาษาธรรม เรียก ปริสัญญุตา และ องค์ประกอบขอ้ ๗ ข้อสดุ ท้าย การรู้จกั บคุ คล เขา้ ใจถึงความแตกตา่ งของตวั บุคคล แตล่ ะคนมีจรติ อธั ยาศัยต่าง ๆ กัน ตา่ งความสามารถ ตา่ งคณุ ธรรม ภาษาธรรม เรยี ก ปคุ คลัญญตุ า ๑๐ เร่อื งเดียวกนั , หน้า ๒๑๐.

๒๑ สรุป ผู้เป็นสัตบุรุษ จะประกอบด้วยสัปปุริสธรรม ๗ เพราะมีความรอบรู้รอบด้าน ทั้งหลักเหตุผล รู้จักตนเองอย่างดี บริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ทรัพย์อย่างคุ้มค่ า มี ปฏิสัมพันธก์ บั สังคม ชุมชน บคุ คล อยา่ งถกู ตอ้ ง เหมาะสม เกดิ ความรว่ มมือกันได้อยา่ งต่อเนอื่ ง ๒.๑.๑.๗ อทิ ธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔๑๑ คือความพอใจ ตั้งใจ(แข็งใจ) ใส่ใจ และเข้าใจ ครบ ๔ ขั้นตอนนี้ งานทุกงานสำเร็จตามความมุ่งหมายได้ เพราะเป็นคุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ คุณธรรมที่นำไปสู่ ความสำเร็จตามความมุ่งหมาย ภาษาธรรม เรียกว่า ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ฉันทะ เป็นความ พอใจ ความต้องการท่ีจะทำ ใส่ใจรักทีจ่ ะทำสิง่ น้ันอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ดยี ่ิงขึน้ ยิง่ ๆ ขึ้นไป วิริยะ คือความเพียรหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายามเข้มแข็ง อดทน เอาธุระ ไม่ท้อถอย ความคดิ มุ่งม่นั มงุ่ ไป ต้ังจิตรับรใู้ นสง่ิ ทที่ ำ จติ ตะ ทำสิง่ น้ันด้วยความคิดเอาใจฝักใฝ่ไม่ปล่อยใหฟ้ ุ้งซ่าน เลื่อนลอยไป อุทิศตัวอุทิศใจให้แก่สิ่งที่ตนทำ วิมังสา มีสภาวะแห่งการไตร่ตรอง ทดลอง หมั่น พิจารณาด้วยปัญญา ใช้สติปัญญาตรวจตราหาเหตุผล หาจุดบกพร่อง หาจุดแก้ไข วางแผน วัดผล ประเมินผล หาวิธีแก้ไขปรับปรุง กระบวนการหาจุดอ่อนจุดแข็งของการทำงานต่าง ๆ เป็นแนวทาง สำหรับงานพัฒนาในสังคมปจั จบุ นั เปน็ หลกั วชิ าการทีใ่ ช้ในการทำงานกลุ่ม งานองค์กร ๒.๑.๑.๘ ภาวนา ๔ สำหรับหลักธรรมสำหรับงานพัฒนาทางพระพุทธศาสนาที่มีความครบสมบูรณ์รอบ ด้าน เรียกว่า ภาวนา ภาวนามี ๔ ด้าน เป็นด้านการอบรมกาย ด้านอบรมศีล ด้านอบรมจิต ด้านอบรม ปัญญา๑๒ ภาวนา ๔ เปน็ การเจริญ, การทำให้เปน็ ใหม้ ขี ึ้น, การฝกึ อบรม, การพัฒนา๑๓ คือ ๑) กายภาวนา การเจริญทางกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้ รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างกายกับสิ่งทั้งหลายภายนอกที่ผ่านมาทางอินทรีย์ ๕ และปฏิบัติต่อสิ่ง ทั้งหลายภายนอกในทางที่เป็นคุณ ระวังมิให้เกิดโทษ แต่มุ่งให้กุศลธรรมงอกงาม ประสงค์ให้อกุศล ธรรมเส่ือมสญู , เปน็ การพฒั นาความสัมพนั ธก์ บั สงิ่ แวดล้อมทางกายภาพ ๒) สีลภาวนา การเจริญศีล ทำความปกติของการดำเนินชีวิตสอดคล้อง กับสัจธรรมให้มาก, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมตนให้อยู่ในศีล ให้ตั้งตนอยู่ในระเบียบวินัย ไมเ่ บียดเบียนหรือกอ่ ความเดือดร้อนเสยี หาย ไมก่ อ่ ความรำคาญ อยรู่ ่วมกบั ผู้อน่ื ได้ดว้ ยดี เกื้อกูลแก่กัน ๑๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๖๐. ๑๒ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๒๗/๑๕๔. ๑๓ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, หนา้ ๗๐-๗๑.

๒๒ ๓) จิตภาวนา การเจรญิ จติ , การพฒั นาจิต, การฝกึ อบรมจิตใจ ยกระดับ จิตใจ ให้เข้มแข็งมั่นคง เจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทางศาสนาอดทนมีสมาธิ และสดชื่นเบิกบานจิตเป็น สุขผอ่ งใส ๔) ปัญญาภาวนา การเจรญิ ปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรม ปัญญา ใหร้ ู้เขา้ ใจสิ่งทงั้ หลายตามเปน็ จริง ความจริงตามไตรลักษณ์ รเู้ ท่าทันโลก ร้เู ท่าทันธรรม เหน็ ชีวิตตามสภาวะธรรมชาติ สามารถทำจิตใหโ้ ปรง่ เปน็ อสิ ระ ทำจติ ให้บรสิ ุทธ์ิจากกิเลส และปลอดพ้น จากความทุกข์ แกไ้ ขปญั หาท่ีเกดิ ข้นึ ได้ดว้ ยปัญญา ภาวนา ๔ ท่ีถูกนำไปอธบิ ายในระบบสุขภาพ คอื สขุ ภาวะ ๔ มิติ๑๔ ๑) สุขภาพ หรือ Health ตามความหมายขององค์การอนามัยโลก หมายถึง สุขภาวะที่สมบรู ณใ์ ช้คำว่า Complete Well-Being ทางกายทางจิต Mental ทางสังคม Social และ ทางจติ วิญญาณ Spiritual ๒) สุขภาพคือความสมบูรณท์ ั้งร่างกายจิตใจสังคมและจิตวญิ ญาณที่เช่ือมโยง ซงึ่ กันและกนั ยงั แบ่งแยกไม่ได้การขาดความสมบูรณ์ในองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งย่อมส่งผลต่อ องค์ประกอบอื่นๆเสมอการดำรงภาวะสุขภาพแบบองค์รวมจึงต้องคำนงึ ถงึ การผสมผสานกลยุทธ์ท่จี ะ คงความสมดลุ ในทกุ องคป์ ระกอบโดยจะครอบคลุมถึงการดำเนนิ ชวี ิตทเี่ หมาะสมของบุคคลเป็นสำคัญ ๓) สุขภาพเป็นสุขภาวะทางร่างกายจิตใจสังคมและจิตวิญญาณไม่ เพียงแต่ปราศจากโรคและความพิการเท่านั้นสุขภาพมีความเป็นพลวัตจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นในแตล่ ะบคุ คลตลอดชวี ติ อยา่ งต่อเน่อื ง ๔) สุขภาพองค์รวม ความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายจิตใจสังคมและจิต วิญญาณ ๒.๑.๑.๙ ทิฏฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ ๔ ทิฏฐธัมมิกัตถะ๑๕ แปลว่า ประโยชน์ที่เกิดขึ้นด้วยตาเห็น หรือเป็นประโยชน์ ปัจจุบัน เป็นหลักธรรมอำนวยประโยชน์สุขขั้นต้น เป็นข้อปฏิบัติฆราวาส ผู้ครองเรือน มี ๔ องค์ประกอบ ในเบอื้ งต้นถึงพรอ้ มดว้ ยความหมน่ั ขยันหมั่นเพียรในการปฏิบตั ิหนา้ ที่การงาน ประกอบ อาชีพสุจรติ มีความชำนาญ รจู้ ักใช้ปัญญาตรวจตราสอดส่อง สามารถจดั การให้เกดิ ผลดี ขั้นท่ี ๒ ถึง พร้อมด้วยการรักษา รู้จักคุ้มครองเก็บรักษาโภคทรัพย์ หรือผลงานที่ตนเองขยันหมั่นเพียรหามาโดย ชอบ ด้วยกำลังแห่งตน ไม่ให้เป็นอันตราย ไม่ให้เสื่อม กระบวนการขั้นที่ ๓ คบคนดีเป็นมิตร รู้จัก ๑๔ ดวงจันทร์ ทิพย์ปรีชา และคณะ, “สุขภาวะและการออกกำลังกายของบุคลากรฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศริ ิราช”, รายงานวจิ ยั , (คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล: มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๔๗), หนา้ ๔-๕. ๑๕ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, หน้า ๑๑๖.

๒๓ กำหนดที่อยู่อาศัยอันเหมาะสม เลือกบริบท สิ่งแวดล้อมอยู่ในกลุ่มบุคคลผู้ปฏิบัติธรรม ผู้มีศรัทธา มี ศีล มีความเสียสละ และมีสติปัญญา รวมถึงบุคคลในครอบครัวก็ตอ้ งเลอื กเช่นกัน คบกับกัลยาณมิตร สร้างชมุ ชนกลั ยาณมติ ร ข้อสุดท้ายเรยี ก สมชีวติ า มีความเปน็ อย่ทู ีเ่ หมาะสม เปน็ เรื่องของการกำหนด รายได้รายจา่ ยพอดี ซงึ่ ในวิทยาการปัจจุบันจะเป็นเร่ืองของการทำบัญชีครวั เรือน การกำหนดรู้รายรับ รายจา่ ย และประเมนิ ตนเพือ่ ไมใ่ ห้ฝืดเคอื งไมใ่ ห้ขัดข้องไม่ให้เกิดความยากลำบาก ๒.๑.๑.๑๐ ฆราวาสธรรม ๔ องค์ธรรม ๔ ข้อ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เป็นหลักธรรมสำหรับผู้ครองเรือน ภาษา ธรรม เรียก ฆราวาสธรรม๑๖ สัจจะ ความจริงใจ พูดจริง ทำจริง เอาจริงเอาจัง จริงต่อตนเอง จริงตอ่ คนอื่น จริงต่อสิ่งแวดล้อม ความจริงใจเป็นสภาวะเดียวกันกับความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบเป็น สภาวะที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเห็นคุณค่าของคนอื่น สิ่งอื่น การเห็นคุณค่า ภาษาธรรมตรงกับความ กตัญญู ซ่ึงแปลวา่ รู้คณุ รู้ประโยชน์ รูค้ ่า ทมะ เปน็ การข่มใจ อดกลน้ั ใจน่งิ สขุ ุม ขนั ติ เป็นการอดทน ทางกาย การตรากตรำ จาคะเป็นความเสยี สละที่เกดิ เนื่องจากสัจจะ เพราะมคี วามรบั ผดิ ชอบจึงแสดง ความเสียสละตอบแทน ๒.๑.๑.๑๑ ความกตญั ญกู ตเวทิตา ความกตัญญู คือรู้คุณความเป็นผู้มีใจสว่าง มีสติมีปัญญาบริบูรณ์รู้อุปการะผู้อื่นท่ี ทำแล้วแก่ตน ผใู้ ดทำคุณแกต่ นไม่วา่ มากหรือน้อย ก็ระลกึ ถึงด้วยความซาบซ้ึงไม่ลืมเลย ความกตัญญู แบ่งได้ ๕ ประการ๑๗ ๑) กตัญญูต่อบุคคล ๒) กตัญญูต่อสัตว์ ๓) กตัญญูต่อสิ่งของ ๔) กตัญญูต่อ บุญ ๕) กตัญญูต่อตนเอง ความกตัญญู เป็นหลักธรรมในมงคลสูตร มงคลที่ ๒๕ ที่จัดอยู่ในมงคลหม่ทู ่ี ๗ การแสวงหาธรรมเบื้องต้นใส่ตัว๑๘ ความกตัญญูจัดอยู่ระดับการพัฒนาจิตใจภายในตัวบุคคล นับเป็นกระบวนการฝึกหัดขัดเกลาตนเอง มงคลหมู่ที่ ๗ คือการแสวงหาธรรมเบื้องต้นใส่ตัวน้ัน ประกอบด้วยมงคลที่ ๒๒ ความเคารพ มงคลที่ ๒๓ ความถ่อมตน มงคลที่ ๒๔ ความสันโดษ มงคลท่ี ๒๕ มคี วามกตัญญู และ มงคลที่ ๒๖ ฟงั ธรรมตามกาล ๒.๑.๑.๑๒ ความสันโดษ สันโดษ คือ ความยินดี ความพอใจ คือความรู้จักพอดี ความรู้จักพอเพียง เป็น คุณธรรมในมงคลหมู่ท่ี ๗ การแสวงหาธรรมเบื้องตน้ ใส่ตัว หมู่เดียวกันกับความกตญั ญู เป็นคุณธรรม ๑๖ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๑๑๓-๑๑๔. ๑๗ พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ, มงคลชีวิต ฉบับ \"ทางก้าวหน้า\", (กรุงเทพมหานคร: ชมรมพุทธ ศาสตร์สากล ในอปุ ถัมภ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์, ๒๕๔๗), หนา้ ๒๒๖-๒๒๘. ๑๘ กองวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย, สูตรสำเร็จการพัฒนาตนเอง, (ปทุมธานี: มหาวิทยาลยั ธรรมกายแคลิฟอร์เนีย, ๒๕๕๐), หน้า ๑๓๔-๑๓๗.

๒๔ ภายในจิตใจท่ีจะนำใหบ้ ุคคลนัน้ มคี วามอ่อนโยนต่อการใช้ทรัพย์อย่างคุ้มค่า รู้จักวางแผนการใช้ส่ิงของใช้ ทรพั ย์คมุ้ คา่ กบั ความยากลำบากที่หามา ความหมายสั้น ๆ คอื ร้จู กั พอ รู้จักประมาณ๑๙ ๒.๑.๑.๑๓ หลักธรรมบวรเกื้อกูล ในกรอบแนวคิดบวรเกื้อกูล๒๐ ประกอบด้วยหลักธรรม ๓ ส่วน ส่วนด้านในสุด คือ ธรรมะในใจ ส่วนขยายท่ามกลาง คือ ปฏิบัติการสู่ภายนอก และส่วนรอบนอก คือ มนุษยสัมพันธ์ ที่ยั่งยืน และประสานงานผู้คนสรา้ งความร่วมมือ ดังภาพที่ ๒.๑ ภาพท่ี ๒.๑ บวรเก้อื กูล ทม่ี า : พระครปู รยิ ัติกิตติวรรณ, กนั ยายน ๒๕๖๓. ด้านธรรมะในใจ มีองค์ประกอบ ๔ ประการ คือ (๑) เมตตา ปรารถนาดี (๒) ไม่นิ่งดู ดาย (๓) จับดีชื่นชม และ (๔) ซื่อตรงความจริง ด้านการปฏิบัติการสูภ่ ายนอก มีองค์ประกอบ ๔ ประการ ๑๙ พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ, มงคลชีวิต ฉบับ \"ทางก้าวหน้า\", (กรุงเทพมหานคร: ชมรมพุทธ ศาสตร์สากล ในอุปถัมภ์สมเดจ็ พระมหารัชมังคลาจารย์, ๒๕๔๗), หนา้ ๒๑๓-๒๒๓. ๒๐ พระครูปริยัติกิตติวรรณ, “การสร้าง “บวรเกื้อกูล”ผ่านการถวายเพลในพรรษากาล ของชุมชนสี่ ตำบล อำเภอปราสาท จังหวดั สรุ นิ ทร”์ , การประชุมวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ระดับชาติ ครั้งท่ี ๓ “New Normal New Life : กระบวนทศั น์ใหม่เพ่ือสืบสานอัตลกั ษณ์ สรา้ งสรรคภ์ ูมปิ ัญญาสู่การพัฒนาท้องถ่ิน ตามศาสตร์พระราชา”, (กนั ยายน ๒๕๖๓): ๖๙.

๒๕ คือ (๑) ให้ปัจจัย ๔ บำรุงกายสุขภาพแข็งแรง (๒) ให้วาจาเติมเต็มกำลังใจ (๓) ให้เวลาเสริมพลัง ศักยภาพ และ (๔) ให้ความเป็นมนุษย์ ทีมงานมั่นใจปลอดภัย ด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและ ประสานงานผู้คนสร้างความร่วมมือ มีองค์ประกอบ ๖ ประการ แบ่งเป็นมนุษยสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ๓ ประการ และประสานงานผู้คนสร้างความร่วมมือ ๓ ประการ จากกรอบแนวคิดบวรเกื้อกูลนี้มีความ สอดคลอ้ งตรงกันกบั หลกั ธรรมชือ่ พรหมวิหาร ๔ สงั คหวตั ถุ ๔ ในสงิ คลกสูตร และสาราณยี ธรรม ๖ สรุป หลักธรรมตามแนวคิดบวรเกื้อกูลเป็นกระบวนการพัฒนาชุมชน สังคม ท่ี กล่าวถึงคุณธรรมภายในจิตใจของผูด้ ำเนินการ กล่าวถงึ วิธีการ ๔ องค์ประกอบที่ผู้ดำเนินการใชห้ รือ กระทำต่อบุคคลอื่นที่ต้องอาศัยร่วมงาน และ พิจารณาถึงความปฏิสัมพันธ์การตอบกลับไปมาหากัน และกันระหว่างผ้ดู ำเนินการกบั ผู้เก่ยี วข้องในการต้องอาศัยพลัง อาศยั ความร่วมมือในการดำเนินงาน ๒.๑.๒ ทฤษฎเี ครือข่ายสงั คม เพื่อให้เกิดความชัดเจนในประเด็นของทฤษฎีเครือข่ายสังคม ผู้วิจัยได้แบ่งการศึกษาออกเป็น ๖ หวั ข้อ คอื ๑) ท่มี าของทฤษฎีเครือข่ายสังคม ๒) ความหมายเครอื ขา่ ยสังคม ๓) หลกั การสำคัญของ เครือข่ายสังคม ๔) ประเภทเครือข่ายสังคม ๕) วิธีการทำให้เกิดเครือข่ายสังคม ๖) การประยุกต์ใช้ ประโยชน์จากแนวคิดและทฤษฎีเครอื ข่ายสังคม แต่ละหวั ขอ้ จะไดน้ ำเสนอตามลำดบั ดงั นี้ ๒.๑.๒.๑ ทีม่ าของทฤษฎีเครอื ข่ายสังคม การก่อเกิดของเครือข่ายเกิดได้ ๓ แบบ คอื ๒๑ ๑) เครือข่ายที่เกิดโดยธรรมชาติ เกิดจากการที่ผู้คนมีใจตรงกัน ทำงาน คลา้ ยคลึงกนั หรือประสบกับปัญหาเดยี วกนั มาก่อนเขา้ มารวมตวั กนั แลกเปลยี่ นความคดิ และประสบการณ์ ร่วมกันแสวงหาทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า การดำรงอยู่ของกลุ่มสมาชิกในเครือข่ายเป็นแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้น ภายในตวั สมาชิกเอง เครอื ข่ายนม้ี ักเกิดข้นึ ในพ้ืนท่ี อาศยั ความเปน็ เครือญาติ เปน็ คนในชุมชน หรือมา จากภมู ิลำเนาเดียวกัน วฒั นธรรมความเปน็ อยูค่ ล้ายคลึงกนั อยู่รวมกนั เปน็ กลุ่มโดยจัดตั้งเป็นชมรมท่ี มีกิจกรรมร่วมกันก่อน เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้น จึงขยายพื้นที่ดำเนินการออกไป หรือมีการขยาย เป้าหมาย/วัตถุประสงค์มากขึ้น มักใช้เวลาสร้างตัวที่ยาวนาน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะเข้มแข็ง ยั่งยืน และมแี นวโนม้ ที่จะ ขยายตัวเพม่ิ ข้ึน ๒) เครอื ขา่ ยจดั ต้งั มักจะมคี วามเกย่ี วพันกบั นโยบายหรือการดำเนินงาน ของภาครัฐ อยู่ใน กรอบความคิดเดิมที่ใช้กลไกของรัฐผลักดันให้เกิดงานที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ส่วนมาก สมาชิกทีเ่ ขา้ รว่ มเครอื ขา่ ยมักจะไม่ได้มีพืน้ ฐานความต้องการ ความคดิ ความเข้าใจ หรอื มมุ มองในการ จัดตั้งเครือข่ายที่ตรงกันมา ก่อนที่จะเข้ามารวมตัวกัน เป็นการทำงานเฉพาะกิจชั่วคราวที่ไม่มีความ ๒๑ ธงชัย ธนสถิต, “เครือข่าย “Network” และการสร้างเครือข่าย “Networking””, เอกสาร ประกอบการบรรยายอบรม, (สำนักงานพัฒนาชมุ ชนจงั หวัดฉะเชิงเทรา, ม.ป.ป.). (อดั สำเนา)

๒๖ ต่อเนื่อง และมักจะจางหายไป ในที่สุด แม้ว่ากลุ่มสมาชิกจะยังคงรักษาสถานภาพของเครือข่ายไว้ได้ แตม่ แี นวโนม้ ทจ่ี ะลดขนาดของเครอื ขา่ ยลงเมื่อเปรยี บเทียบระยะก่อตั้ง ๓) เครือข่ายวิวัฒนาการ เป็นการถือกำเนิดโดยไม่ได้เป็นไปตาม ธรรมชาติและไม่ได้เกิดจากการจัดตั้งโดยตรง มีกระบวนการพัฒนาผสมผสานอยู่ เริ่มที่กลุ่มบุคคล/ องคก์ รมารวมกันด้วยวตั ถุประสงค์กว้างๆ ในการสนบั สนุนกันและ เรยี นรู้ไปด้วยกัน โดยยังไม่ได้สร้าง เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์เฉพาะที่ชัดเจนนัก หรือ อีกลักษณะหนึ่งคือถูกจุดประกายความคิดจาก ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการได้รับฟัง หรือ การไปได้เห็นการดำเนินงานของเครือข่ายอื่น ๆ มา แล้ว เกิดความคิดทีจ่ ะรวมตวั กัน สรา้ งพนั ธสญั ญาเปน็ เครือข่ายชว่ ยเหลือและพัฒนาตนเอง เครือข่ายน้ีแม้ จะไม่ได้เกิด จากแรงกระตุ้นภายในโดยตรงตั้งแต่แรก แต่ถ้าสมาชิกมีความตั้งใจจริงที่เกิดจาก จิตสำนึกที่ดี เมื่อได้รับการกระตุ้นและสนับสนุน ก็จะสามารถพัฒนาต่อไปจนกลายเป็น เครือข่ายที่ เข้มแข็งเหมือนกับเครือข่ายที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเครือข่ายในลักษณะนี้พบเห็นอยู่มากมาย เช่น เครือข่ายผู้สูงอายุ เครือข่ายโรงเรียนสรา้ งเสริมสขุ ภาพ การสร้างเครือข่ายในการทำงานเชิงพัฒนา มี แนวโน้มที่จะเป็นการสร้างเครือข่ายระหวา่ งองค์กรที่ทำงานพึ่งพิงซึ่งกันและกัน มากกว่าที่จะแข่งขัน กัน มีทฤษฎีและแนวคิดทอี่ ธบิ ายการสรา้ งเครือข่ายการทำงาน ไดแ้ ก่ ๑) ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน (Exchange Theory) อธิบายถึงการแลกเปลี่ยน ผลประโยชน์ระหว่างกัน ดังนั้นเหตุผลหลักที่จะทำให้เครือข่ายเกิดขึ้นได้โดยสมัครใจก็คือแต่ละฝ่าย มองเห็นประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากการเข้าร่วมเครือข่าย ซึ่งจะนำไปสู่ความเต็มใจที่จะประสานกัน หรอื เขา้ ร่วมเปน็ เครอื ขา่ ย ๒) แนวคิดการรวมพลัง (Synergy) เป็นการผนึกกำลังในลักษณะที่มากกว่า หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง แต่ต้องเปน็ หนึ่งบวกหน่ึงมากกว่าสอง หมายความว่าการรวมพลงั กนั ทำงาน นำไปสูผ่ ลลัพธ์ที่มีคณุ ค่าหรือเข้มแขง็ มากกว่าการที่แต่ละองคก์ รจะทำงานโดยโดดเดีย่ ว การสร้างเครือข่าย การทำงานเป็นวิธีการทำงานที่ได้รับความนิยมทั้งในภาคธรุ กิจ และในการทำงานเชิงพัฒนาสังคม ซึ่ง ในโลกธุรกิจนั้น แนวความคิดของระบบเครือข่ายได้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ โดยเริ่มจากธุรกิจของ การจดั หางานทำและการสรรหาบคุ คลท่ีเหมาะสม สรุป ที่มาของทฤษฎีเครือข่ายสังคม เครือข่ายสังคมเกิดขึ้นได้ ๓ แบบ แบบที่ ๑ เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันของผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดกันอยู่ไหนภูมิลำเนา เดยี วกนั ซึ่งมกั จะเป็นเครือญาติกนั เปน็ คนทีต่ ้องพ่ึงพาอาศยั กนั ในแตล่ ะวัน แบบท่ี ๒ เกิดขึ้นโดยการ จัดตั้ง เป็นการเกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหรือการดำเนินการของภาครัฐ เป็นการสร้างกลไกจาก ภายนอก โดยผลักดันจากภายนอก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายเร็วขึ้น แบบที่ ๓ เครือข่าย วิวฒั นาการ ถอื กำเนดิ ผสมผสานระหวา่ งตามธรรมชาตกิ ับการจัดตง้ั คือไม่ชา้ แบบธรรมชาติและไม่ถูก บังคับแบบจัดตั้ง เป็นความลงตัวของการก่อเกิดและการขยายตัวอย่างไหลลื่นตามความประสงค์ของ

๒๗ ชุมชนเครือข่าย มีการขยายตัวต่อเนื่องผสมผสานทั้งบุคคลทั้งองค์กรองค์ความรู้เป็นลักษณะการ เกิดขน้ึ อย่างแบบที่ ๑ กับอย่างแบบที่ ๒ ผสมผสานกันและการกอ่ เกดิ ของเครือขา่ ยสงั คมทั้ง ๓ แบบนี้ เป็นการเกิดขึ้นเพราะมีความจำเป็นในการแลกเปลี่ยนกัน แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน มองเห็นประโยชน์จึงเกิดเครอื ข่ายและการรวมตวั กันนีก้ ็เพอ่ื ให้เกดิ พลงั ทางการต่อรองทางสงั คม ๒.๑.๒.๒ ความหมายเครือข่ายสังคม เครือข่ายสังคม หมายถึง ระบบทางสังคมที่เชื่อมโยงกันด้วยความสัมพันธ์๒๒ คือ กลุ่มบุคคลหรือองค์กรในสังคมที่มีความเห็นใกล้เคียงกันมีการติดต่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน เครือข่ายสังคม (social network) บุคคลซึ่งสมาชิกภายในกลุ่มสื่อสารและสัมพันธ์กันในทางใดทาง หนึ่งอย่างสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มครอบครัวเดียวกัน กลุ่มเพื่อนร่วมงาน หรือกลุ่มเพื่อนนักศึกษาใน มหาวิทยาลยั เดยี วกัน เครือข่าย (Network) หมายถึง การเชื่อมโยงของคนของกลุ่ม หรือกลุ่มองค์กรท่ี สมัครใจ ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ร่วมกัน หรือทำกิจกรรมร่วมกัน โดยมีการจัดระเบียบ โครงการ ของคนในเครือข่ายด้วยความเป็นอิสระ เท่าเทียมกันภายใต้ พื้นฐานของความเคารพสิทธิ เชื่อถือ เออ้ื อาทรซ่งึ กนั และกนั ๒๓ เครือข่าย คือกลุ่มของคนหรือองค์กรที่สมัครใจแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลระหว่าง กนั หรือทำกิจกรรมรว่ มกนั ในลกั ษณะท่ีบุคคลหรือองค์กรสมาชิกยงั คงมีความเป็นอิสระในการดำเนิน กิจกรรมของตน ในความหมายนี้สาระสำคัญคือ ความสัมพันธ์ของสมาชิกในเครือข่ายต้องเป็นไปโดย สมัครใจ กิจกรรมที่ทำในเครือข่ายต้องมีลักษณะเท่าเทียมกันหรือแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และการ เป็นสมาชิกของเครือข่ายไม่มีผลกระทบต่อความเป็นอิสระหรือความเป็นตัวของตัวเองของคนหรือ องคก์ รนนั้ ๆ นอกจากนี้นักวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของประเทศไทยได้ให้คำ จำกัดความของ เครือข่ายในหลายมุมมองออกไป อาทิ๒๔ เครือข่าย หมายถึงการประสานงานรูปแบบหนึ่งที่โยงใยการทำงานของกลุ่มบุคคล หรือองคก์ รหลายองค์กร ซึง่ มที รัพยากร มีเป้าหมาย มีกลุ่มสมาชิกของตนเอง ทมี่ ีความคิด มีปัญหา มี ความต้องการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกันหรือคล้ายกัน มาติดต่อประสานงานหรือร่วมกันทำ กิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เพื่อแก้ไขปัญหาหรือสนองความต้องการในเร่ืองนั้นๆ โดย ๒๒ น้ำทิพย์ วิภาวิน, “เครือข่ายสังคมในสังคมเครือข่าย”, ว.วิจัยสมาคมห้องสมุด, ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘): ๑๒๑. ๒๓ ธงชยั ธนสถิต, เครอื ขา่ ย “Network” และการสร้างเครือข่าย “Networking”. (อัดสำเนา) ๒๔ อา้ งแลว้ .

๒๘ ยึดหลักการทำงานร่วมกันบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน เคารพซึ่งกันและกัน มากกว่าการเชื่อฟัง และปฏบิ ตั ติ ามผู้มีอำนาจสงั่ การ เครือข่าย คือการเชื่อมโยงของกลุ่มของคนหรือกลุ่มองค์กรที่สมัครใจที่จะ แลกเปล่ยี นข่าวสารร่วมกนั หรือทำกิจกรรมรว่ มกนั โดยมกี ารจดั ระเบยี บโครงสร้างของคนในเครือข่าย ด้วยความเป็นอิสระ เท่าเทียมกันภายใต้พื้นฐานของความเคารพสิทธิ เชื่อถือ เอื้ออาทร ซึ่งกันและกัน ประเด็นสำคัญของนิยามข้างต้น คือ ความสัมพันธ์ของสมาชิกในเครือข่ายต้องเป็นไปโดยสมัครใจ กิจกรรมที่ทำในเครือข่ายต้องมีลักษณะเท่าเทียมหรือแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน การเป็นสมาชิก เครอื ข่ายตอ้ งไม่มผี ลกระทบต่อความเปน็ อิสระหรอื ความเปน็ ตัวของตัวเองของคนหรือองคก์ รนน้ั ๆ เครือข่าย หมายถึง รูปแบบของการประสานงานกลุ่มของคนหรอื องค์กรที่สมัครใจ แลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลระหว่างกัน หรือทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือกัน โดยการติดต่ออาจทำได้ ทงั้ ท่ผี ่านศนู ย์กลางแม่ข่ายหรือแกนนำ หรอื อาจจะไม่มีแม่ข่ายหรือแกนนำแตจ่ ะทำการติดต่อโดยตรง ระหว่างกลุ่ม ซง่ึ จะมีการจดั รปู แบบหรอื จัดระเบยี บโครงสร้างท่คี นหรอื องค์กรสมาชกิ ยังคงมีความเป็น อิสระ โดยที่อาจมีรูปแบบการรวมตวั แบบหลวมๆ เฉพาะกิจ ตามความจำเป็นหรือเป็นโครงสรา้ งที่มี ความสัมพันธ์ชดั เจน สำหรับในทางสังคมวิทยา เครือข่ายเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคม (Social Network) อย่าง หนึ่ง ที่แตกต่างไปจากกลุ่ม โดยที่กลุ่มจะมีขอบเขตที่ชัดเจน รู้ว่าใครเป็นสมาชิก มีความ เปน็ รปู ธรรมมองเหน็ ได้ มีโครงสรา้ งทางสงั คมในระดบั หน่ึง แต่เครอื ขา่ ยเป็นรูปแบบความสัมพนั ธ์ทางสงั คม ที่ไม่มีขอบเขต การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกเครือข่ายอาจจะมองเห็นหรือมองไม่เห็น เป็น รูปธรรมก็ได้ ซ่งึ การเช่ือมโยงระหวา่ งกันท่ีจะเหน็ เปน็ รูปธรรมของเครอื ข่ายมี ๓ ลกั ษณะ คอื เครอื ขา่ ย การแลกเปลี่ยน เครอื ขา่ ยการติดตอ่ ส่ือสารและเครอื ข่ายความสัมพนั ธ์ในการอยู่รว่ มกัน สรุปความหมายเครือข่ายสังคม หมายถึง โครงสร้างทางสังคมที่เกิดขึ้นจาก ความสัมพนั ธก์ ันมีความเกี่ยวข้องกัน แบบกลุ่มย่อย ๆ กับกลมุ่ ใหญ่ ๆ องคก์ รย่อยกบั องค์กรใหญ่ โดย ธรรมชาตขิ องคนท่เี กี่ยวข้องกับเครือข่ายสังคมน้นั จะมีกลุ่มย่อยกลุ่มเล็กสำหรับพดู คยุ ปรึกษาหารือกัน อย่างใกล้ชิดกันเป็นเบื้องต้นเสมอ ภายในเครือข่ายจะมีการสือ่ สารแลกเปลี่ยนส่ิงของหรอื ข่าวสารกัน และกนั หลากหลายแบบ ทั้งแบบใกลช้ ิดแนบแนน่ โดยเครือญาติ หรือแบบปานกลางคือชมุ ชนเดียวกัน หรือแบบบางครงั้ บางคราวเช่นเครอื ข่ายเพ่ือการแลกเปลีย่ น เครือขา่ ยสังคมมกี ารเชอ่ื มโยงกนั ของผู้คน ภายในกลุ่มทางท่ีสมัครใจหรือเพราะมีความจำเป็น ทั้งนี้เพราะต้องพึ่งพาอาศัยกัน มีประโยชน์ร่วมกนั และกันหรอื มีเหตกุ ารณบ์ ังคับให้ต้องทำงานด้วยกันมีกจิ กรรมเดยี วกัน ๒.๑.๒.๓ หลักการสำคัญของเครือข่ายสังคม ลักษณะเครือข่ายมี ๕ ลักษณะ คือ ๑. โครงสร้างทางความคิด (Cognitive Structure) ใกล้เคยี งกนั ๒.ไม่มลี ำดับชน้ั (Non hierarchy) แต่ละองคก์ รเป็นอสิ ระต่อกัน ๓ แบ่งงานกนั ทำ (Division

๒๙ of Labor) ๔.ความเข้มแข็งขององค์กรที่รวมกันเป็นเครือข่ายนำไปสู่ความเข้มแข็งของเครือข่าย ๕. กำหนดการจัดการกันเอง (Self-regulate) สรุปว่า ความสำเร็จของเครือข่าย ต้องอาศัยระยะเวลาใน การบม่ เพาะ ความสมั พนั ธ์ ศรัทธา เชอื่ ใจเพือ่ ร่วมกนั แกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์๒๕ เครือข่ายไม่มีโครงสร้างแน่นอนตายตัว อาจมีการออกแบบโครงสร้างขึ้นมาทำ หน้าที่สานความสัมพันธ์ระหว่างคน กลุ่มองค์กรให้ต่อเนื่อง แต่ในเครือข่ายไม่มีใครบังคับให้ใครทำ อะไรได้ แต่ละคนหรือกลุ่มองค์กร ต่างก็เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายได้พอๆกัน ดังนั้นรูปแบบ ความสัมพนั ธ์ทางสังคมของเครือข่ายจึงมีความซับซ้อนกวา่ กลุ่มหรือองค์กรมากนัก (Boissevain and Mitchell, ๑๙๗๓ )๒๖ เงื่อนไขสำคัญในการรักษาและพัฒนาเครือข่าย คือการต้องมีระบบการ ตดิ ตอ่ สือ่ สารกนั อยา่ งสม่ำเสมอระหวา่ งสมาชิก อาจมีผู้ประสานซง่ึ เป็นตวั บคุ คล กลมุ่ องค์กรทำหน้าที่ ประสานงาน แต่ไม่ใช่การทำแทนสมาชิกไปเสียทุกเรื่อง ผู้ประสานเป็นผู้เชื่อมโยงและเอื้ออำนวยให้ เกิดกระบวนการเรียนรูแ้ ละพัฒนาไปดว้ ยกนั เป็นผูก้ ระตุ้นให้เกิดการเปลย่ี นแปลงและเปน็ ผสู้ รา้ งเสริม ให้เกิดความเป็นเครือข่ายต่อกัน พลังเครือข่ายกับพลังสาธารณะ เมื่อพูดถึงพลังชุมชนหรือพลั งทาง สังคม ในฐานะพลังงานสำหรับการเปลี่ยนแปลง อาจจำแนกความแตกต่างระหว่างคำต่าง ๆ ด้วย ประสบการณ์การทำงานภาคสนามเป็น ๒ กลุ่มที่มีความแตกต่างกัน กลุ่มหนึ่ง “พลังชุมชน” “พลัง มวลชน”หรือ “พลังเครือข่าย” คำเหล่านี้ มีความหมายเดียวกันซึ่งสามารถเลือกใช้ในโอกาสต่าง ๆ กล่าวคือเป็นพลังงานที่เกิดจากการรวมกลุ่ม รวมตัว ร่วมคิดร่วมทำและมีการจัดตั้งหรือการจัดการ อาจเป็นการจัดตั้งตนเอง หรือถูกจัดตั้งโดยผู้อื่นเช่น พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง องค์กรพัฒนา เอกชน หน่วยราชการ ภาคธรุ กจิ องค์กรศาสนา ฯลฯ ก็ได้เรามกั เหน็ พลังงานประเภทน้ี ถูกนำมาใช้ใน การผลักดัน ต่อสู้ต้านทาน รณรงค์สร้างสรรค์หรือปลุกระดมทำลายล้างกันในรูปแบบต่าง ๆ อยู่เสมอ อกี กล่มุ หนึ่ง “พลังสาธารณะ” หรือ “พลงั สังคม” คำว่าสาธารณะหรือสังคมนั้น คือความเป็นทั้งหมด ที่รวมอยู่ด้วยกันในสังคมที่มีขนาดใหญ่ และหลากหลาย คนบางส่วนอาจถูกจัดตั้งได้ แต่คนทั้งหมด หรือคนส่วนใหญ่นั้นไม่มีใครสามารถจัดตั้งได้สำเร็จ เพราะธรรมชาติของคนหมู่มากที่มีความ หลากหลายนัน้ ย่อมมีความต้องการ ความคดิ เห็นและสภาพปัญหาท่ีแตกต่างกัน พลังสังคม หรือพลัง สาธารณะจึงเป็นพลังงานของคนหมู่มากที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยไม่ได้เกิดจากการจัดตั้งสั่งการใด ๆ พลงั แบบน้ีมกั จะออกมาแสดงตัวตนเปน็ คร้งั เป็นคราว ซง่ึ แตล่ ะครง้ั กจ็ ะดำรงอยู่ไม่นาน ดงั น้ันบาง ทจี ึงถกู เรียกวา่ เปน็ “พลงั เงยี บ” กม็ ี๒๗ ๒๕ ธงชัย ธนสถิต, เครือข่าย “Network” และการสรา้ งเครอื ขา่ ย “Networking”. (อัดสำเนา) ๒๖ พลเดช ป่นิ ประทปี , การสร้างและบริหารเครือข่ายในยคุ ปัจจบุ ัน, [๘ มีนาคม ๒๕๖๓]. ๒๗ ธงชยั ธนสถิต, เครือขา่ ย “Network” และการสรา้ งเครือข่าย “Networking”. (อัดสำเนา)

๓๐ สรุปหลักการสำคัญของเครือข่ายสังคม คือ มีความคิดใกล้เคียงกัน ไม่เป็นองค์กร แบบสั่งการหรือองค์กรที่มีการบริหารด้วยอำนาจให้คุณให้โทษ เครือข่ายจะมีอิสระต่อกันเป็นสำคญั แบ่งหน้าที่บทบาทการทำงานยังหลวม ๆ ความเข้มแข็งของแต่ละองค์กรย่อยแต่ละกลุ่มย่อยจะมาประสาน เกิดความเข้มแข็งของเครือข่าย งานเครือข่ายจะต้องอาศัยเวลาในการเพาะบ่มความสัมพันธ์ความ ศรัทธา ความเชื่อใจ ร่วมกันสร้างสรรค์ ร่วมแก้ไขปัญหา จนเกิด“พลังชุมชน” “พลังมวลชน”หรือ “พลังเครือข่าย” “พลงั สาธารณะ” หรอื “พลังสงั คม” ๒.๑.๒.๔ ประเภทเครือข่ายสังคม องค์ประกอบของเครือข่าย ประกอบด้วย ๑) มีการรับรู้ หรือมีมุมมองที่เหมือนกัน ๒) การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ๓) มีความสนใจหรือผลประโยชนร์ ว่ มกัน ๔) การมีส่วนร่วมของสมาชกิ ทกุ คนในเครือข่าย ๕) มีการเสริมสร้างซึ่งกันและกัน ๖) การเกื้อหนุนพึ่งพากัน ๗) มีปฏิสัมพันธ์ในเชิง แลกเปลยี่ น๒๘ ประเภทของเครือข่ายไว้ ๓ ประเภท ดังน้ี๒๙ ๑) เครอื ข่ายเชิงพ้นื ท่ี (Area Network) โดยยึดเอาพนื้ ที่เป็นตวั ตั้ง ยึด ความสำเร็จในการทำงานร่วมกันของทุกฝา่ ย ไมแ่ ยกกลุม่ องค์กร เครือข่ายที่อาศยั พน้ื ท่ีดำเนนิ การ เปน็ ปัจจัยหลัก ในการทำงานร่วมกันเป็นกระบวนการพัฒนา เปน็ การพัฒนาแบบบรู ณาการท่ีไมแ่ ยก สว่ นตา่ ง ๆ ออกจากกัน ลักษณะและโครงสรา้ งของเครือขา่ ยเชงิ พน้ื ท่ี สามารถจัดไดห้ ลายระดบั ตาม พนื้ ทแ่ี ละกจิ กรรมทเี่ กดิ ขึน้ ๒) เครือข่ายเชิงประเด็นกิจกรรม (Issue Network) ยึดประเด็นงานเปน็ หลัก กิจกรรมหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยหลักในการรวมกลุ่มองค์กร โดยมองข้ามมิติ ในเชิง พ้นื ที่มงุ่ เนน้ การจัดการในประเด็นกจิ กรรมน้ันๆ อยา่ งจรงิ จงั และพฒั นาให้เกดิ ความร่วมมือ กับภาคี อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องลักษณะและโครงสร้างของเครือข่ายเชิงประเด็นกิจกรรม สามารถแบ่ง ได้อย่าง มากมายตามประเด็นกิจกรรมและความสนใจที่เกิดขึ้นของฝ่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาค ประชาชน โดยไม่ ยึดติดกับพื้นที่ดำเนินการ แต่ใช้หลักของกิจกรรมที่เกิดขึ้น เป็นตัวกำหนดความ เป็นเครอื ขา่ ย ๓) เครอื ข่ายแบง่ ตามโครงสรา้ งหนา้ ท่ี ยดึ วัฒนธรรมองคก์ ร เครือข่ายท่ี เกิดขึ้นโดยอาศัย ภารกิจ/กิจกรรมและการก่อตัวของกลุ่มผลประโยชน์ในสังคมเป็นแนวทางในการ แบ่งเครือข่าย ซึ่งอาจแบ่งเป็นเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน และภาคองค์กร ๒๘ ธงชยั ธนสถติ , เครอื ข่าย “Network” และการสร้างเครือขา่ ย “Networking”. (อัดสำเนา) ๒๙ ฐากร ชัยสถาพร, “แนวทางการสร้างเครือข่ายทางสังคม กรณีศึกษา ระบบทวิภาคี เพื่อยกระดบั คุณภาพแรงงานไทย”, รายงานวิจยั , (หลักสูตรการปอ้ งกนั ราชอาณาจกั ร, ๒๕๖๑), หน้า ๘-๑๐.

๓๑ พัฒนาเอกชน โดยเครือข่ายต่างๆ ดังกล่าวมุ่งเน้นการดำเนินการภายใต้กรอบแนวคิด หลักการ วัตถปุ ระสงค์ และเปา้ หมายหลกั ของหน่วยงาน หรือโครงสร้างหลักของกล่มุ ผลประโยชน์น้นั ๆ ชุมชน หมายถึง การที่คนจำนวนหนึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกันมีความเอื้ออาทรต่อกัน มี ความพยายามทำอะไรรว่ มกัน มกี ารเรยี นรูร้ ว่ มกันในการกระทำ ซึ่งรวมถึงการติดต่อส่ือสารกัน ความ เป็นชุมชนอยู่ที่ความร่วมกัน ความเป็นชุมชนอาจเกดิ ขึ้นในสถานท่ีและสถานการณ์ต่าง ๆ กัน เช่น มี ความเป็นชุมชนในครอบครัว มีความเป็นชุมชนในที่ทำงาน มีความเป็นชุมชนวิชาการ มีความเป็น ชุมชนสงฆ์ มีความเป็นชุมชนทางอากาศ เนื่องจากรวมตัวกันโดยใช้วิทยุติดต่อสื่อสารกันมีความเป็น ชุมชนทางอินเตอรเ์ น็ต เป็นตน้ ๓๐ การวิเคราะห์เครือข่ายสามารถนำมาใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่ง ต่าง ๆ ได้ ตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงระดับโลก สรรพสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายความสัมพันธ์ เราเรียกว่า จุด (Node) ถ้ามีการเชื่อมโยงระหว่างจุดต่างๆ ความสัมพันธ์ (Relationships) ของจุดเหล่านี้ก็คือ เครอื ข่าย (Network) ซึ่ง ความสมั พันธ์ทด่ี ี จะสามารถทำให้บคุ คลในองคก์ รมกี ารเชือ่ มโยงประสานงานกันและ กันที่ดีขึ้น รวมทั้งสามารถดึงทรพั ยากรของแต่ละองคก์ รมาประสานเชื่อมโยงกนั เพื่อให้เกดิ ประโยชน์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีองค์กรจำนวนมากตระหนักว่าเครือข่ายเป็นเครื่องมือที่มี คณุ คา่ ในการแบ่งปนั ข้อมูล ขา่ วสารระหวา่ งกนั ขององค์กรที่มวี ัตถุประสงค์คล้ายคลึงกันหรือเกี่ยวข้อง กันใหไ้ ด้ประโยชนส์ งู สดุ ภายใต้ทรพั ยากรทจี่ ำกดั ๓๑ องค์ประกอบในเครือขา่ ยอาจแบ่งลักษณะไดเ้ ปน็ ๓ แบบ ได้แก่๓๒ ๑) ปัจเจก (Individual) หมายถึงสมาชิกที่เป็นแบบตัวบุคคล ไม่มีกลุ่มหรือองค์กร ใดๆ รองรับ แต่ในความเป็นตัวบุคคลของเขาเหล่านน้ั อาจมีศักยภาพสูงต่ำแตกตา่ งกันไป บางคนอาจ มเี ครือข่ายความสมั พนั ธท์ ่กี วา้ งขวางย่ิงกวา่ กลุ่มองค์กรใดๆเสียอีก ๒) ชุมทางหรือองค์กรประสาน (Node) หมายถึงสมาชิกในเครือข่ายที่เป็นกลุ่ม องค์กรหรือสถาบันที่มีศักยภาพในการจัดการประสานเชื่อมโยงกับบุคคล กลุ่มหรือองค์การอื่นๆ อีก เป็นจำนวนมาก ๓) เครือข่าย (Network) หมายถึงสมาชกิ ท่ีมีเครือข่ายย่อยๆอกี มากมายอยขู่ ้างหลงั และพร้อมที่จะเข้ารว่ มกจิ กรรมสาธารณะตา่ งๆ ตามจงั หวะ โอกาสและประเด็นทสี่ นใจ สรุปประเภทเครือข่ายสังคม สามารถจัดแบ่งไดห้ ลายลักษณะ เช่น แบ่งประเภทเครือข่าย สังคมที่ยึดเรื่องของความรู้ ความเข้าใจ ความสนใจ เป็นหลัก แบ่งประเภทตามสภาพทางกายภาพมี ๓๐ พลเดช ปนิ่ ประทปี , การสรา้ งและบริหารเครือขา่ ยในยุคปจั จุบัน, [๘ มีนาคม ๒๕๖๓]. ๓๑ อา้ งแล้ว. ๓๒ อ้างแล้ว.

๓๒ การยดึ เป็นพ้นื ทีเ่ ปน็ ตวั ต้ัง ยดึ กิจกรรม ยึดโครงสร้างหน้าที่ หรือแบง่ เครือข่ายไปตามขนาดสังคม คือ ขนาดครอบครัว ขนาดชุมชนในที่ทำงาน ขนาดชุมชนวิชาการ ขนาดเป็นที่ชุมชนสงฆ์เครือข่ายที่มี ลักษณะเด่นแม้กว้างก็แนบแน่น ขนาดชุมชนทางอากาศ ขนาดชุมชนทางอินเทอร์เน็ต หรือจะเป็น จดั ประเภทลักษณะตามจำนวนมากน้อยของสมาชกิ ในเครือข่าย เชน่ ระดบั ปจั เจกบุคคล ระดบั เป็นองคก์ รเชงิ ประสาน หรือระดบั เป็นเครอื ข่าย ๒.๑.๒.๕ วธิ ีการทำใหเ้ กดิ เครือข่ายสังคม ขั้นตอนการสร้างเครือข่าย คือ มีมนุษยสัมพันธ์ (ยิ้ม ทักทาย จำชื่อ ฯ) สร้าง ประเด็นค้าถามเพื่อสร้างความสัมพันธ์ การให้ความช่วยเหลือ บันทึกชื่อ ที่อยู่ การติดต่อ รักษา ความสัมพันธ์: ด้วยการติดต่อ ส่งข่าวสาร บทความ สอบถามทุกข์สุข นัดพบปะบ้าง ๓๓ สรุปวิธกี ารทำให้เกดิ เครือข่ายสังคม เพือ่ ให้เกิดการเรียนรู้ เกดิ การงาน เกดิ กิจกรรม เกิด การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จึงมีการดำเนินการเครือข่ายต่าง ๆ ทั้งทางสังคมและทางธุรกิจ สำหรับใน ด้านธุรกิจการค้าขาย มุ่งเน้นเพื่อการแลกเปลี่ยน ซื้อขาย หารายได้ เป็นสำคัญ แต่ทั้ง ๒ ด้านล้วน อาศัยคุณลักษณะความสัมพันธ์ต่อกันที่ดีงาม ความเช่ือถือเชื่อใจ ความไว้วางใจกันและกัน คุณลักษณะนี้นำสู่วธิ กี ารที่กระทำต่อกันและกันหลาย ๆ วธิ ีการ ลว้ นสอ่ื ความหมายวา่ เราต่างสำคัญซึ่ง กันและกัน จึงเป็นวิธีการสำคญั ของการสรา้ งเครือขา่ ยสงั คม ๒.๑.๒.๖ การประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชน์จากแนวคดิ และทฤษฎีเครอื ขา่ ยสงั คม เทคนคิ การทำงานรว่ มกนั เปน็ เครือขา่ ย คือ สร้างความผกู พันและรบั ผดิ ชอบต่อการ สร้างเครือข่าย (ผู้ปฏิบัติงาน เอาด้วย) เตรียมตัวเตรียมใจว่าเครือข่ายต้องใช้เวลา (หากไม่มีเวลาพอ อย่าสร้างเครือข่ายกับใคร) เคารพและไว้วางใจระหว่างกันเป็นสิ่งสำคัญ พึงระลึกไว้เสมอว่าองค์กรที่ ร่วมเครือข่ายจะต้องได้รับประโยชน์จาก การสร้างเครือข่าย (อาจจะต้องเสียสละบางอย่างบ้างเพื่อ ความสำเร็จ) ต้องมีการสรุปบทเรียน วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง ควรตระหนักถึงปัญหาร่วมกันและมี ความยืดหยุน่ ต้องแน่ใจวา่ ทั้งองค์กรของทา่ นและองคก์ รทีเ่ ป็นเครอื ข่ายมคี วาม คาดหวังทีต่ รงกันใน การร่วมมือกันทำงานตลอดระยะเวลาที่ตกลง ร่วมงานกัน (ฝ่ายใดไม่สุข แปลว่าเตรียมตัวล้มเหลว) ยอมรับความแตกต่างทางวฒั นธรรมท้ังในดา้ นพื้นทแ่ี ละองคก์ ร ยอมรบั ความเป็น อสิ ระขององค์กรท่รี ว่ มเป็นเครอื ข่าย รบั ผดิ ชอบรว่ มกันทง้ั สำเรจ็ และลม้ เหลว ประโยชน์ของเครือข่าย ๑) ช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ๒) ช่วยลดการ ทำงานและการใช้ทรัพยากรซ้อน ๓) เกิดความเข้าใจมากขึ้น นำไปสกู่ ารทำงานร่วมกนั เพื่อประโยชน์ ๓๓ ธงชยั ธนสถิต, เครอื ขา่ ย “Network” และการสร้างเครือขา่ ย “Networking”. (อดั สำเนา).

๓๓ ของทุกฝ่าย ๔) สนองความต้องการของกลุ่ม/องค์กรเครอื ข่าย ๕) ช่วยชี้ให้เห็นปญั หาและการพัฒนา ของหม่บู า้ น/ชุมชน ๖) ช่วยเชอ่ื มโยงงานกบั ภาคตา่ ง ๆ ๗) ทำใหค้ นและองคก์ รได้รับความช่วยเหลอื ประโยชนข์ องการสร้างเครือข่าย เปน็ รปู แบบของการพัฒนาตนเองอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการแสวงหาโอกาสเพื่อรู้จักกับบุคคลใหม่ ๆ การสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลที่พึ่งรู้จัก การรักษา สัมพันธ์อนั ดกี ับบุคคลตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง ทัง้ ในแวดวงเดยี วกันและต่างแวดวง ประโยชน์ของการสร้างเครือข่าย เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ (แลกเปลี่ยน ความรู้ รู้กวา้ ง) ประมวลผลขอ้ มลู ได้ข้อมลู ที่ไมซ่ ำ้ ซ้อน เกดิ การยอมรบั ในเครือขา่ ย เกิดศรทั ธาไวใ้ จ มี ที่ปรึกษาเวลาเผชญิ ปัญหา จุดประกายความหวังใหม่ ๆ จูงใจ และการยอมรบั สรุปการประยุกต์ใชป้ ระโยชน์จากแนวคิดและทฤษฎเี ครือข่ายสังคม เครือข่ายทางสังคม ทั้งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หรือจัดตั้งขึ้น หรือจะเป็นวิวัฒนาการ ล้วนมีความจำเป็นในยุคปัจจุบัน มากยิ่งขึ้น เพราะประชากรผู้คนมีจำนวนมากในสังคม จำต้องมีกระบวนการการเรียนรู้ การ แลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ที่ไหลลื่น สอดประสาน สอดคล้องกัน ยิ่งมีความจำเปน็ ต่อการนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบเป็นระเบียบ สำหรับสังคมที่จะทำกิจกรรมร่วมกัน ที่จะ แบ่งปันประโยชน์ร่วมกัน ที่จะดูแลป้องกันซึ่งกันและกัน ผนึกกำลังในการทำงาน ทำกิจกรรมให้เกิด ระบบและมปี ระสทิ ธภิ าพ ๒.๑.๓ ทฤษฎกี ารมีสว่ นร่วม เพื่อให้เกิดความชัดเจนในประเด็นของทฤษฎีการมีส่วนร่วม ผู้วิจัยได้แบ่งการศึกษา ออกเป็น ๖ หัวข้อ คือ ๑) ที่มาของทฤษฎีการมีส่วนร่วม ๒) ความหมายการมีส่วนร่วม ๓) หลักการ สำคัญของการมีส่วนร่วม ๔) ประเภทการมีส่วนร่วม ๕) วิธีการมีส่วนร่วม ๖) การประยุกต์ใช้การมี สว่ นรว่ ม แตล่ ะหัวขอ้ จะได้นำเสนอตามลำดบั ดงั นี้ ๒.๑.๓.๑ ทีม่ าของทฤษฎกี ารมีสว่ นรว่ ม การมสี ว่ นร่วม (Participation) เป็นกระบวนการสอ่ื สารในระบบเปิด ซึง่ เปน็ การ สื่อสาร สองทางระหวา่ งบุคคล กลมุ่ บคุ คล ชมุ ชน หรอื องค์การ ในการดำเนนิ กิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึง หรือ หลายกิจกรรมทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งการมีส่วนร่วมจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนนิ งานพัฒนา ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมการดำเนินการ และร่วมรับผลประโยชน์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกันของกลุ่ม และเป็นการ เสริมสร้างความสามัคคี ความรสู้ ึกร่วมรับผดิ ชอบกับกล่มุ ดว้ ย๓๔ ๓๔ สมบัติ นามบุรี, “ทฤษฎีการมีส่วนร่วมในงานรัฐประศาสนศาสตร์”, วารสารวิจัยวิชาการ, ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-เมษายน ๒๕๖๒): ๑๘๓.

๓๔ สรุปที่มาของทฤษฎีการมีส่วนร่วม สังคมมนุษย์อยู่ร่วมกันมีความจำเป็นต้องพึ่งพา อาศยั กันและกัน ต้งั แตก่ ำลงั แรงงาน กำลงั ความคดิ ความเข้าใจ สำคญั สดุ คือดา้ นจติ ใจทจ่ี ำต้องมีความ ปรารถนาดีต่อกัน ในการอยู่ร่วมในสังคมจำต้องมีกิจกรรมการงานเพื่อตอบสนองความต้องการของ ชีวิต กิจกรรมการงานจะสำเร็จได้ต้องอาศัยผู้คนที่อยู่ร่วมกันนั้นได้ตกลงร่วมกัน ได้ตัดสินใจร่วมกัน ทจ่ี ะดำเนินงาน ความจรงิ ของสงั คมเป็นอย่างนจี้ งึ เกิดทฤษฎกี ารมสี ่วนร่วม ๒.๑.๓.๒ ความหมายการมีส่วนรว่ ม สถาบันพระปกเกล้า หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัฒนธรรมทางทาง การเมอื งทางปกครองแก่ประชาชนในชาติได้ให้ความหมาย “การมีสว่ นรว่ ม” หมายถงึ การเปดิ โอกาส ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน การพัฒนาทั้งในการแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหาโดยเปิด โอกาสให้มีส่วนร่วมในการคิดริเริ่ม ร่วมกำหนดนโยบาย ร่วมวางแผน ตัดสินใจและปฏิบัติตามแผน ร่วมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ ร่วมติดตามประเมินผลและรับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ อันมี ผลกระทบถงึ ประชาชน ชมุ ชนและเครอื ขา่ ยทกุ รูปแบบในพืน้ ท่ี๓๕ การมีส่วนร่วมเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการคิด ริเริ่ม การพิจารณา ตัดสินใจ การร่วมปฏิบัติและร่วมรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ อันมีผลกระทบถึงตัวประชาชนเอง การมี ส่วนร่วมเป็นการร่วมมือของประชาชน ไม่ว่าปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มคนที่เห็นพ้องต้องกันและเข้า มาร่วมรับผิดชอบเพื่อดำเนินการพฒั นาและเปลีย่ นแปลงไปในทิศทางทีต่ ้องการ กระทำผ่านกลุ่มหรือ องค์การ เพื่อให้บรรลุถงึ ความเปลี่ยนแปลงที่พึงประสงค์ การมีส่วนร่วมเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคล ได้มีส่วนช่วยเหลือระหว่างกัน ด้วยจิตใจและอารมณ์ของ แต่ละบุคคลในการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ ร่วมปฏิบัติงานและร่วมรับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ ที่มี ผลกระทบต่อส่วนรวมในการ บริหารจัดการ เพื่อให้บรรลุจดุ มุง่ หมายของสังคม การมีส่วนร่วม คือการที่ประชาชนจะตอ้ งเข้าไปมี ส่วนในการตัดสนิ ใจระดบั ตา่ งๆ ทางการจดั การ บริหารและทางการเมอื ง เพือ่ กำหนดความตอ้ งการใน ชมุ ชนของตน ความหมายของการมสี ว่ นรว่ มเป็นความหมายท่ีกวา้ งเกี่ยวข้องกับบุคคลในทุกระดับทุก ส่วน ดังที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดความหมายไว้เพื่อการกำหนดการดำเนินงานขององค์การ ว่าการมีส่วนรว่ ม หมายถงึ การ เปิดโอกาสให้สมาชกิ ทกุ คนในสงั คม ไมว่ ่าจะเป็นสงั คมเลก็ หรอื สงั คม ขนาดใหญ่ ได้มีส่วนช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ต่อสังคมนั้นๆ อันได้แก่ การที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการ ๓๕ สถาบันพระปกเกล้า, “การมีส่วนร่วม”, สถาบันพระปกเกล้า, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title [๘ มีนาคม ๒๕๖๓].


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook