Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรม-พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

พจนานุกรม-พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

Published by E-Library, Buddhist Studies, MCU Surin, 2023-08-05 23:28:34

Description: พจนานุกรม-พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

Search

Read the Text Version

หมวด 10 233 [319] [318] กิเลส 10 (สภาพท่ที ําใหจ ิตเศราหมอง — Kilesa: defilements) 1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed) 2. โทสะ (ความคดิ ประทุษราย — Dosa: hatred) 3. โมหะ (ความหลง, ความไมร ู, ความเขลา — Moha: delusion) 4. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit) 5. ทิฏฐิ (ความเหน็ ผิด — Diññhi: wrong view) 6. วิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสยั , ความเคลอื บแคลง — Vicikicchà: doubt; uncertainty) 7. ถนี ะ (ความหดห,ู ความทอแทถ ดถอย — Thãna: sloth) 8. อทุ ธัจจะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness) 9. อหิริกะ (ความไมละอายตอความชว่ั — Ahirika: shamelessness) 10. อโนตตปั ปะ (ความไมเกรงกลวั ตอความช่ัว — Anottappa: lack of moral dread) สบิ อยา งนี้ ในบาลีเดิมเรยี กวา กเิ ลสวตั ถุ (สิง่ กอความเศราหมอง) 10 Vbh.391. อภิ.ว.ิ 35/1026/528. [319] กุศลกรรมบถ 101 (ทางแหงกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความดี, กรรมดีอันเปน ทางนาํ ไป สูสคุ ติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วาโดยหัวขอ ยอ ดงั นี้ ก. กายกรรม 3 (การกระทาํ ทางกาย — Kàyakamma: bodily action) 1. ปาณาติปาตา เวรมณ*ี (เวน จากปลงชีวิต — Pàõàtipàtà veramaõã: abstention from killing) 2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากถือเอาของทีเ่ ขามไิ ดใหโดยอาการขโมย — Adinnàdànà ~: abstention from taking what is not given) 3. กาเมสุมจิ ฺฉาจารา เวรมณี (เวนจากประพฤติผดิ ในกาม — Kàmesumicchàcàrà ~: abstention from sexual misconduct) ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากพดู เท็จ — Musàvàdà ~: abstention from false speech) 5. ปสุณาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพูดสอเสียด — Pisuõàya vàcàya ~: abstention from tale-bearing) 6. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพดู คาํ หยาบ — Pharusàya vàcàya ~: abstention from harsh speech) 7. สมผฺ ปปฺ ลาปา เวรมณี (เวน จากพดู เพอ เจอ — Samphappalàpà ~: abstention from * เวรมณี แปลวา “เจตนาท่ที ําใหเวน” หรอื “เจตนาทีต่ รงขาม” เมือ่ จะแปลใหเตม็ ความ จึงควรแปลวา “การ กระทาํ ทวี่ างจากการคิดเบยี ดเบยี น” หรอื “การทําดีทตี่ รงขา มกบั การเบยี ดเบยี นชีวติ ” ดงั นเ้ี ปน ตน

[320] 234 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร vain talk or gossip) ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — Manokamma: mental action) 8. อนภชิ ฺฌา (ความไมค ดิ เพง เล็งอยากไดข องเขา — Anabhijjhà: non-covetousness) 9. อพยฺ าปาท (ความไมค ดิ รายตอ ผอู นื่ — Abyàpàda: non-illwill) 10. สมฺมาทิฏ ิ (ความเหน็ ชอบ ถูกตองตามคลองธรรม — Sammàdiññhi: right view) D.III.269,290. ที.ปา.11/360/284; 471/337. [320] กุศลกรรมบถ 102 (ทางแหง กศุ ลกรรม, ทางทําความด,ี กรรมดอี ันเปนทางนําไป สคู วามสขุ ความเจริญหรือสุคติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วา โดยขอธรรมสมบูรณ (แปลตัดเอาแตใจความ) ดงั น้ี ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — bodily action) 1. ปาณาติปาตํ ปหาย ฯเปฯ สพฺพปาณภตู หติ านกุ มฺป โหติ (ละการฆา การเบยี ดเบียน มี เมตตากรุณาชวยเหลือเก้ือกูลกัน — to avoid the destruction of life and be anxious for the welfare of all lives) 2. อทนิ นฺ าทานํ ปหาย ฯเปฯ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อนาทาตา โหติ (ละอทนิ นาทาน เคารพกรรมสิทธใ์ิ นทรัพยสนิ ของผอู ืน่ — to avoid stealing, not violating the right to private property of others) 3. กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย ฯเปฯ น จารติ ฺตํ อาปชฺชติ า โหติ (ละการประพฤติผดิ ในกาม ไมลว งละเมดิ ประเพณีทางเพศ — to avoid sexual misconduct, not transgressing sex morals) ข. วจีกรรม 4 (การกระทาํ ทางวาจา — verbal action) 4. มสุ าวาทํ ปหาย ฯเปฯ น สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติ (ละการพดู เทจ็ ไมย อมกลา วเท็จ เพราะเหตุตนเอง ผอู น่ื หรือเพราะเห็นแกผ ลประโยชนใดๆ — to avoid lying, not knowingly speaking a lie for the sake of any advantage) 5. ปสณุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ สมคคฺ กรณึ วาจํ ภาสติ า โหติ (ละการพดู คําสอเสียด ชวย สมานคนที่แตกราวกัน สงเสริมคนที่สมัครสมานกนั ชอบกลา วถอ ยคาํ ที่สรา งสามัคคี — to avoid malicious speech, unite the discordant, encourage the united and utter speech that makes for harmony) 6. ผรสุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ พหชุ นมนาปา ตถารปู  วาจํ ภาสิตา โหติ (ละคาํ หยาบ พูดแต คาํ สุภาพออ นหวาน — to avoid harsh language and speak gentle, loving, courteous, dear and agreeable words) 7. สมผฺ ปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ กาลวาที ภตู วาที อตถฺ วาที ธมมฺ วาที วนิ ยวาที นธิ านวตึ วาจํ ภาสติ า โหติ ฯเปฯ (ละการพูดเพอ เจอ พูดแตคาํ จริง มเี หตุผล มีสารประโยชน ถูก

หมวด 10 235 [321] กาลเทศะ — to avoid frivolous talk; to speak at the right time, in accordance with facts, what is useful, moderate and full of sense) ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — mental action) 8. อนภชิ ฺฌาลุ โหติ ฯเปฯ (ไมเพงเลง็ อยากไดข องผูอื่น — to be without covetousness) 9. อพยฺ าปนฺนจติ ฺโต โหติ ฯเปฯ สขุ ี อตฺตานํ ปริหรนฺตตู ิ (ไมม ีจิตคดิ ราย คิดปรารถนา แตว า ขอใหส ัตวท ้งั หลายไมมเี วร ไมเ บียดเบยี น ไมมีทกุ ข ครองตนอยเู ปน สขุ เถดิ — to be free from ill-will, thinking, ‘Oh, that these beings were free from hatred and ill- will, and would lead a happy life free from trouble.’) 10. สมมฺ าทฏิ  โิ ก โหติ ฯเปฯ สยํ อภิ ฺ า สจฉฺ กิ ตวฺ า ปเวเทนตฺ ตี ิ (มคี วามเหน็ ชอบ เชน วา ทานมผี ล การบชู ามผี ล ผลวบิ ากของกรรมดกี รรมชวั่ มี เปน ตน — to possess right view such as that gifts, donations and offerings are not fruitless and that there are results of wholesome and unwholesome actions) กศุ ลกรรมบถหมวดนี้ ในบาลีเรียกชือ่ หลายอยาง เชนวา ธรรมจริยา (ความประพฤติธรรม — righteous conduct) บา ง โสไจย (ความสะอาดหรอื เครอ่ื งชาํ ระตวั — cleansing) บา ง อรยิ - ธรรม (อารยธรรม, ธรรมของผเู จรญิ — virtues of a noble or civilized man) บา ง อรยิ มรรค (มรรคาอนั ประเสรฐิ — the noble path) บา ง สทั ธรรม (ธรรมด,ี ธรรมแท — good law; true law) บา ง สปั ปรุ สิ ธรรม (ธรรมของสตั บรุ ษุ — qualities of a good man) บา ง ฯลฯ M.I.287; A.V.266,275–278. ม.ม.ู 12/485/523; อง.ฺ ทสก.24/165/287; 168–181/296–300. [321] อกุศลกรรมบถ 10 (ทางแหง อกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความชว่ั , กรรมช่ัวอันเปน ทาง นาํ ไปสคู วามเสอ่ื ม ความทุกข หรือทุคติ — Akusala-kammapatha: unwholesome course of action) ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — Kàyakamma: bodily action) 1. ปาณาตบิ าต (การทาํ ชวี ติ ใหต กลว ง, ปลงชวี ติ — Pàõàtipàta: destruction of life; killing) 2. อทนิ นาทาน (การถือเอาของที่เขามิไดใ ห โดยอาการขโมย, ลกั ทรพั ย — Adinnàdàna: taking what is not given; stealing) 3. กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexual misconduct) ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action) 4. มุสาวาท (การพดู เทจ็ — Musàvàda: false speech) 5. ปสุณาวาจา (วาจาสอเสยี ด — Pisuõàvàcà: tale-bearing; malicious speech) 6. ผรสุ วาจา (วาจาหยาบ — Pharusavàcà: harsh speech) 7. สัมผัปปลาปะ (คาํ พดู เพอ เจอ — Samphappalàpa: frivolous talk; vain talk; gossip)

[322] 236 พจนานุกรมพุทธศาสตร ค. มโนกรรม 3 (การกระทําทางใจ — Manokamma: mental action) 8. อภิชฌา (เพง เลง็ อยากไดข องเขา — Abhijjhà: covetousness; avarice) 9. พยาบาท (คดิ รา ยผูอ่ืน — Byàpàda: illwill) 10. มจิ ฉาทิฏฐิ (เห็นผดิ จากคลองธรรม — Micchàdiññhi: false view; wrong view) D.III.269,290; A.V.264. ท.ี ปา.11/359/284; 470/337; องฺ.ทสก.24/165/285. [322] เถรธรรม 10 (คณุ ธรรมทีท่ ําใหพ ระเถระอยสู ําราญในที่ทุกสถาน — Thera- dhamma: qualities which make for happy living of an elder monk) 1. เถโร รตฺตฺู (เปนผูใหญ บวชนาน รเู ห็นกิจการ ทรงจาํ เรื่องราวไวไดมาก — Thero ratta¤¤å: to be an elder monk of long experience) 2. สลี วา (มศี ลี เครง ครดั ในสิกขาบททงั้ หลาย — Sãlavà: to be virtuous; to have good conduct) 3. พหุสฺสุโต (เปนพหสู ตู ทรงความรู — Bahussuto: to be much learned) 4. สฺวาคตปาฏิโมกโฺ ข (ทรงปาฏิโมกข รูห ลักแหงวินยั แคลวคลอ ง ชาํ นชิ ํานาญ สามารถ วินจิ ฉัยไดด วยดี — Svàgatapàñimokkho: to be well versed in the codes of discipline) 5. อธิกรณสมปุ ฺปาทวปู สมกุสโล (ฉลาดในการระงับอธกิ รณท ่ีเกิดขึน้ — Adhikaraõa- samuppàdavåpasamakusalo: to be skilled in settling a legal question that has arisen) 6. ธมฺมกาโม (เปน ผูใครธรรม รกั ความรู รักความจริง รจู ักรับฟงและรูจักพดู ทาํ ใหเ ปน ทีช่ ื่น ชมสนิทสนมสบายใจ นาเขาไปปรึกษาสนทนา และชอบศกึ ษา ยนิ ดปี รดี าในหลักธรรมหลักวินยั ที่ ยิง่ ๆ ขนึ้ ไป — Dhammakàmo: to love the Dhamma, be pleasant to consult and converse with, and find joy in the advanced teaching of both the Doctrine and the Discipline) 7. สนฺตฏุ โ  (เปนผสู ันโดษดว ยปจจยั สต่ี ามมีตามได — Santuññho: to be content with whatsoever supply of the four requisites he may get) 8. ปาสาทโิ ก (จะไปจะมา มีอาการกริ ิยานาเล่ือมใส แมเ ขาไปในละแวกบาน กส็ าํ รวมเปนอันดี — Pàsàdiko: to be charming and perfectly composed in his goings out and comings in and in sitting in the house) 9. ฌานลาภี (ไดแ คลวคลอ งในฌาน 4 ท่เี ปนเคร่ืองอยสู ขุ สบายในปจ จบุ ัน — Jhànalàbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions) 10. วิมุตฺโต (บรรลุเจโตวมิ ุตตปิ ญ ญาวิมุตติ สนิ้ อาสวะ — Vimutto: to have gained the Deliverance) A.V.201. องฺ.ทสก.24/98/215.

หมวด 10 237 [323] [323] ทศพลญาณ (บาลีเรยี ก ตถาคตพลญาณ 10 คอื พระญาณอันเปน กําลงั ของพระ ตถาคต 10 ประการ ทท่ี าํ ใหพระองคสามารถบันลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาไดมัน่ คง — Dasa-bala¤àõa: the Ten Powers of the Perfect One) 1. ฐานาฐานญาณ (ปรีชาหยง่ั รูฐ านะและอฐานะ คือ รูก ฎธรรมชาติเกย่ี วกับขอบเขตและขดี ขั้น ของส่ิงท้ังหลายวา อะไรเปนไปได อะไรเปน ไปไมไ ด และแคไ หนเพยี งไร โดยเฉพาะในแงความ สัมพนั ธระหวางเหตกุ บั ผล และกฎเกณฑทางจริยธรรม เกยี่ วกบั สมรรถวิสยั ของบุคคล ซ่งึ จะได รบั ผลกรรมท่ีดแี ละช่วั ตางๆ กัน — òhànàñhàna-¤àõa: knowledge of instance and no instance; knowledge of possibilities and impossibilities) 2. กรรมวปิ ากญาณ (ปรชี าหยง่ั รูผลของกรรม คอื สามารถกาํ หนดแยกการใหผ ลอยา งสลบั ซบั ซอน ระหวา งกรรมดกี บั กรรมช่ัว ทสี่ มั พันธก บั ปจ จยั แวดลอ มตา งๆ มองเห็นรายละเอียดและ ความสัมพันธภายในกระบวนการกอผลของกรรมอยางชัดเจน — Kammavipàka-¤àõa: knowledge of the ripening of action; knowledge of the results of kamma) 3. สัพพตั ถคามนิ ปี ฏิปทาญาณ (ปรชี าหยั่งรขู อปฏบิ ัตทิ ่ีจะนาํ ไปสูคติท้งั ปวง คอื สุคติ ทุคติ หรอื พน จากคติ หรอื ปรชี าหยง่ั รขู อ ปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะนาํ ไปสอู รรถประโยชนท ง้ั ปวง กลา วคอื ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ สมั ปรายิกตั ถะ หรอื ปรมัตถะ คอื รวู า เมอ่ื ปรารถนาจะเขาถงึ คติหรอื ประโยชนใด จะตองทําอะไร บา ง มรี ายละเอียดวิธีปฏิบตั อิ ยา งไร — Sabbatthagàminãpañipadà-¤àõa: knowledge of the way that leads anywhere; knowledge of the practices leading to all destinies and all goals) 4. นานาธาตญุ าณ (ปรีชาหย่ังรูสภาวะของโลกอันประกอบดว ยธาตตุ างๆ เปน อเนก คอื รู สภาวะของธรรมชาติ ทัง้ ฝายอปุ าทนิ นกสังขารและฝา ยอนปุ าทินนกสังขาร เชน รูจ กั สวนประกอบ ตา งๆ ของชีวติ สภาวะของสว นประกอบเหลานน้ั พรอ มท้งั ลกั ษณะและหนา ทข่ี องมนั แตล ะอยาง อาทิการปฏบิ ตั หิ นา ทข่ี องขันธ อายตนะ และธาตุตางๆ ในกระบวนการรับรู เปนตน และรเู หตุ แหงความแตกตา งกนั ของสิง่ ทัง้ หลายเหลา นั้น — Nànàdhàtu-¤àõa: knowledge of the world with its many different elements) 5. นานาธิมุตตกิ ญาณ (ปรีชาหย่งั รูอ ธมิ ตุ ิ คอื รอู ธั ยาศยั ความโนมเอียง ความเช่ือถือ แนว ความสนใจ เปนตน ของสัตวท้ังหลายที่เปนไปตางๆ กัน — Nànàdhimuttika-¤àõa: knowledge of the different dispositions of beings) 6. อนิ ทรยิ ปโรปริยตั ตญาณ (ปรีชาหย่ังรคู วามย่ิงและหยอ นแหง อนิ ทรยี ข องสัตวท ้ังหลาย คอื รวู า สตั วนนั้ ๆ มศี รัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แคไ หน เพียงใด มกี เิ ลสมาก กเิ ลสนอ ย มี อินทรียออน หรือแกกลา สอนงาย หรือสอนยาก มีความพรอมท่ีจะตรัสรูหรือไม — Indriyaparopariyatta-¤àõa: knowledge of the state of faculties of beings; knowledge of the inferiority and superiority of the controlling faculties of various beings; knowledge as regards maturity of persons)

[324] 238 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 7. ฌานาทสิ งั กิเลสาทิญาณ (ปรชี าหยง่ั รูความเศราหมอง ความผองแผว การออกแหง ฌาน วโิ มกข สมาธิ และสมาบตั ทิ ง้ั หลาย — Jhànàdisaïkilesàdi-¤àõa: knowledge of defilement, cleansing and emergence in the cases of the meditations, liberations, concen- trations and attainments) 8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหย่ังรูอันทําใหระลึกภพท่ีเคยอยูในหนหลังได — Pubbenivàsànussati-¤àõa: knowledge of the remembrance of former existences) 9. จตุ ูปปาตญาณ (ปรชี าหย่งั รูจุติและอุบัตขิ องสัตวท้ังหลายอนั เปน ไปตามกรรม — Cutå- papàta-¤àõa: knowledge of the decease and rebirth of beings) 10. อาสวักขยญาณ (ปรีชาหยง่ั รคู วามสนิ้ ไปแหงอาสวะทั้งหลาย — âsavakkhaya-¤àõa: knowledge of the exhaustion of mental intoxicants) M.I.69; A.V.33; Vbh.336. ม.ม.ู 12/166/140; อง.ฺ ทสก.24/21/35; อภิ.ว.ิ 35/839/454. [,,,] ทศพิธราชธรรม ดู [326] ราชธรรม 10. [,,,] ธรรมจริยา 10 เปนอกี ช่อื หน่งึ ของ [320] กุศลกรรมบถ 10 2. [,,,] ธรรมมีอุปการะมาก 10 ดู [324] นาถกรณธรรม 10. [324] นาถกรณธรรม 10 (ธรรมอนั กระทําท่พี ่งึ , ธรรมสรา งทพี่ ่งึ , คณุ ธรรมที่ทาํ ใหต น เปนที่พึง่ ของตนได — Nàthakaraõa-dhamma: virtues which make for protection) 1. สลี (ความประพฤตดิ งี ามสจุ รติ รกั ษาระเบยี บวนิ ยั มอี าชวี ะบรสิ ทุ ธิ์ — Sãla: good conduct; keeping moral habits) 2. พาหสุ จจฺ (ความเปนผไู ดศึกษาเลา เรียนมาก มคี วามรคู วามเขาใจลึกซ้ึง — Bàhusacca: great learning) 3. กลยฺ าณมติ ตฺ ตา (ความมกี ลั ยาณมติ ร, การคบคนดี ไดที่ปรกึ ษา และผแู นะนาํ ส่งั สอนทดี่ ี — Kalyàõamittatà: good company; association with good people) 4. โสวจสฺสตา (ความเปน ผูว างา ยสอนงาย รับฟงเหตผุ ล — Sovacassatà: amenability to correction; meekness; easy admonishability) 5. กงิ กฺ รณเี ยสุ ทกฺขตา (ความเอาใจใสชวยขวนขวายในกิจใหญน อ ยทุกอยางของเพอ่ื นรวม หมคู ณะ รจู ักพจิ ารณาไตรตรอง สามารถจดั ทําใหส าํ เร็จเรียบรอ ย — Kiïkaraõãyesu dakkhatà: willingness to give a helping hand; diligence and skill in managing all affairs of one’s fellows in the community) 6. ธมฺมกามตา (ความเปนผูใครธ รรม คอื รกั ธรรม ใฝความรใู ฝความจริง รูจกั พูดรูจ ักรับฟง ทําใหเกิดความพอใจ นารวมปรึกษาสนทนา ชอบศึกษา ยินดีปรีดาในหลักธรรมหลกั วินยั ท่ี ละเอยี ดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป — Dhammakàmatà: love of truth; to love the Dhamma, be

หมวด 10 239 [325] pleasant to consult and converse with and rejoice in the advanced teaching of both the Doctrine and the Discipline) 7. วริ ยิ ารมภฺ (ความขยนั หมนั่ เพยี ร คอื เพยี รละความชวั่ ประกอบความดี มใี จแกลว กลา บากบน่ั กา วหนา ไมย อ ทอ ไมท อดทง้ิ ธรุ ะ — Viriyàrambha: energy; effort; energetic exertion) 8. สนฺตฏุ  ี (ความสนั โดษ คอื ยนิ ดี มคี วามสขุ ความพอใจดว ยปจ จยั สที่ หี่ ามาไดด ว ยความเพยี ร อันชอบธรรมของตน — Santuññhã: contentment) 9. สติ (ความมสี ติ รจู ักกาํ หนดจดจํา ระลกึ การทที่ าํ คาํ ท่พี ูดไวได เปนอยูอ ยา งไมประมาท — Sati: mindfulness; ability to remember what one has done and spoken) 10. ปฺา (ความมีปญญาหย่งั รูเ หตุผล รูจกั คิดพิจารณา เขา ใจภาวะของสิ่งทงั้ หลายตามความ เปน จริง — Pa¤¤à: wisdom; insight) นาถกรณธรรมน้ี ทานเรียกวา เปน พหุการธรรม หรือ ธรรมมีอปุ การะมาก เพราะเปน กําลังหนนุ ในการบาํ เพญ็ คุณความดที ง้ั หลาย ยงั ประโยชนต นและประโยชนผ ูอน่ื ใหส ําเรจ็ ไดอ ยา ง กวางขวางไพบูลย D.III.266,290; A.V.23. ที.ปา.11/357/281; 466/334; องฺ.ทสก.24/17/25. [325] บารมี 10 หรอื ทศบารมี (ปฏปิ ทาอนั ยวดยิ่ง, คุณธรรมท่ีประพฤตปิ ฏบิ ตั ิอยา ง ยงิ่ ยวด คอื ความดที บ่ี าํ เพญ็ อยา งพเิ ศษ เพอื่ บรรลซุ ง่ึ จดุ หมายอนั สงู เชน ความเปน พระพทุ ธเจา และความเปนมหาสาวก เปน ตน — Pàramã: perfections) 1. ทาน (การให การเสียสละ — Dàna: giving; charity; generosity; liberality) 2. ศีล (การรกั ษากายวาจาใหอ ยูใ นหลกั ความประพฤติทเี่ ปนแบบแผนแหงภาวะของตน, ความ ประพฤตดิ งี ามถกู ตอ งตามระเบยี บวินยั —Sãla: morality; good conduct) 3. เนกขัมมะ (การออกบวช, ความปลีกตัวปลกี ใจจากกาม — Nekkhamma: renunciation) 4. ปญ ญา (ความรอบร,ู ความหยัง่ รเู หตุผล เขา ใจสภาวะของส่งิ ท้ังหลายตามความเปน จรงิ และ รจู ักแกไ ขปฏบิ ตั ิจัดการตางๆ — Pa¤¤à: wisdom; insight; understanding) 5. วิรยิ ะ (ความเพียร, ความแกลวกลา ไมเ กรงกลวั อปุ สรรค พยายามบากบ่นั อตุ สาหะ กา วหนา เร่อื ยไป ไมท อดทิ้งธุระหนาที่ — Viriya: energy; effort; endeavour) 6. ขันติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใชส ติปญ ญาควบคุมตนใหอ ยใู นอํานาจ เหตุผล และแนวทางความประพฤติหรือการปฏิบตั ิ ที่ตง้ั ไวเพือ่ จุดหมายอนั ชอบ ไมลุอํานาจกเิ ลส — Khanti: forbearance; tolerance; endurance) 7. สัจจะ (ความจริง คอื พูดจริง ทาํ จริง และจริงใจ — Sacca: truthfulness) 8. อธษิ ฐาน (ความตงั้ ใจม่นั , การตัดสินใจเด็ดเดีย่ ว วางจุดหมายแหงการกระทาํ ของตนไวแ น นอน และดาํ เนนิ ตามนัน้ แนว แน — Adhiññhàna: resolution; self-determination) 9. เมตตา (ความรักใคร, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกื้อกลู ใหผูอ่นื และเพ่ือนรวมโลกทั้งปวง

[326] 240 พจนานกุ รมพุทธศาสตร มีความสุขความเจริญ — Mettà: loving-kindness; friendliness) 10.อเุ บกขา (ความวางใจเปน กลาง, ความวางใจสงบราบเรยี บสมาํ่ เสมอ เทยี่ งธรรม และดาํ รงอยู ในธรรม ไมเอนเอยี งหรือหว่นั ไหวไปดวยความยินดียนิ รา ยชอบชังหรอื แรงเยา ยวนย่ัวยุใดๆ — Upekkhà: equanimity; indifference to praise and blame in the performance of duty) ทศบารมีนี้ เรยี งตามท่ถี ือวาไดบ ําเพญ็ ในทศชาติ (จดั แบบไทย) ดงั น้ี 1. พระเตมีย — เนกขัมมะ (ขอท่ี 3) 2. พระมหาชนก — วิริยะ (5) 3. พระสุวรรณสาม — เมตตา (9) 4. พระเนมิราช — อธษิ ฐาน (8) 5. พระมโหสถ — ปญ ญา (4) 6. พระภูริทัตต — ศีล (2) 7. พระจนั ทกมุ าร — ขนั ติ (6) 8. พระนารทะ — อุเบกขา (10) 9. พระวธิ ุระ — สจั จะ (7) 10. พระเวสสันดร — ทาน (1) บารมีน้นั ทานกลาววา จะบาํ เพ็ญใหบ รบิ ูรณ ตอ งครบ 3 ขั้น คือ 1. บารมี (ระดับสามญั เชน ทานบารมี ไดแ ก ใหทรัพยส นิ เงินทอง สมบัตนิ อกกาย — Pàramã: ordinary perfections) 2. อุปบารมี (ระดับรองหรือจวนจะสูงสุด เชน ทานอปุ บารมี ไดแก การเสียสละอวัยวะเปนทาน — Upapàramã: superior perfections) 3. ปรมตั ถบารมี (ระดับสูงสดุ เชน ทานปรมตั ถบารมี ไดแก การสละชีวิตเพอ่ื ประโยชนแกผู อ่ืน — Paramatthapàramã: supreme perfections) บําเพ็ญทั้ง 10 บารมี ครบ 3 ขน้ั น้ี เรียกวา สมตสึ ปารมี หรอื สมดึงสบารมี แปลวา “บารมี 30 ถว น”. Bv.6. ขุ.พทุ ธ.33/1/414; ขุ.จรยิ า.33/36/596. [,,,] บุญกิริยาวัตถุ 10 ดู [89] บุญกริ ิยาวตั ถุ 10. [,,,] ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณ 10 ดู [248] ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10. [,,,] มิจฉัตตะ ดู [334] มจิ ฉตั ตะ 10. [,,,] มูลเหตุการบัญญัติพระวินัย 10 ดู [327] วัตถุประสงคใ นการบัญญตั ิ พระวนิ ยั 10. [326] ราชธรรม 10 หรอื ทศพิธราชธรรม (ธรรมของพระราชา, กจิ วตั รทพ่ี ระเจา แผน ดนิ ควรประพฤต,ิ คณุ ธรรมของผปู กครองบา นเมอื ง, ธรรมของนกั ปกครอง — Ràjadhamma: virtues or duties of the king; royal virtues; virtues of a ruler) 1. ทาน (การให คอื สละทรพั ยส่งิ ของ บํารงุ เลยี้ ง ชวยเหลือประชาราษฎร และบําเพญ็ สาธารณประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity) 2. ศลี (ความประพฤติดงี าม คอื สํารวมกายและวจที วาร ประกอบแตก ารสุจริต รักษากิตติคุณ

หมวด 10 241 [327] ใหควรเปนตัวอยาง และเปนทเี่ คารพนบั ถอื ของประชาราษฎร มิใหมขี อทใ่ี ครจะดูแคลน — Sãla: high moral character) 3. ปรจิ จาคะ (การบรจิ าค คอื เสยี สละความสขุ สาํ ราญ เปน ตน ตลอดจนชวี ติ ของตน เพอ่ื ประโยชนส ขุ ของประชาชน และความสงบเรยี บรอ ยของบา นเมอื ง — Pariccàga: self-sacrifice) 4. อาชชวะ (ความซ่อื ตรง คือ ซอื่ ตรงทรงสัตยไ รม ารยา ปฏิบัตภิ ารกิจโดยสุจริต มีความจริงใจ ไมห ลอกลวงประชาชน — âjjava: honesty; integrity) 5. มัททวะ (ความออนโยน คือ มอี ธั ยาศยั ไมเยอหย่ิงหยาบคายกระดา งถือองค มคี วามงามสงา เกิดแตทวงทีกิริยาสุภาพนุมนวล ละมุนละไม ใหไดความรักภักดี แตมิขาดยําเกรง — Maddava: kindness and gentleness) 6. ตปะ (ความทรงเดช คือ แผดเผากเิ ลสตัณหา มใิ หเขามาครอบงาํ ยํา่ ยจี ติ ระงับยบั ยั้งขมใจได ไมย อมใหหลงใหลหมกมุน ในความสุขสําราญและความปรนเปรอ มีความเปนอยสู มาํ่ เสมอ หรือ อยา งสามญั มุงมนั่ แตจ ะบาํ เพ็ญเพียร ทาํ กิจใหบ รบิ ูรณ — Tapa: austerity; self-control; non-indulgence) 7. อักโกธะ (ความไมโกรธ คอื ไมก ริ้วกราดลอุ าํ นาจความโกรธ จนเปน เหตุใหว ินจิ ฉัยความและ กระทําการตา งๆ ผดิ พลาดเสยี ธรรม มเี มตตาประจําใจไวระงับความเคอื งขุน วินจิ ฉยั ความและ กระทาํ การดว ยจติ อันราบเรยี บเปน ตัวของตนเอง — Akkodha: non-anger; non-fury) 8. อวหิ งิ สา (ความไมเ บยี ดเบยี น คอื ไมบ บี คนั้ กดขี่ เชน เกบ็ ภาษขี ดู รดี หรอื เกณฑแ รงงานเกนิ ขนาด ไมห ลงระเรงิ อาํ นาจ ขาดความกรณุ า หาเหตเุ บยี ดเบยี นลงโทษอาชญาแกป ระชาราษฎรผ ใู ด เพราะอาศยั ความอาฆาตเกลยี ดชงั — Avihi§sà: non-violence; non-oppression) 9. ขันติ (ความอดทน คือ อดทนตองานท่ีตรากตรํา ถงึ จะลาํ บากกายนาเหนอ่ื ยหนา ยเพยี งไร ก็ ไมท อถอย ถึงจะถกู ย่ัวถกู หยันดวยคาํ เสยี ดสีถากถางอยา งใด ก็ไมห มดกาํ ลังใจ ไมย อมละทิง้ กรณยี ท ีบ่ าํ เพญ็ โดยชอบธรรม — Khanti: patience; forbearance; tolerance) 10. อวโิ รธนะ (ความไมค ลาดธรรม คอื วางองคเ ปน หลกั หนกั แนน ในธรรม คงทไี่ มม คี วามเอน เอยี งหวนั่ ไหวเพราะถอ ยคาํ ทด่ี รี า ย ลาภสกั การะ หรอื อฏิ ฐารมณ อนฏิ ฐารมณใ ดๆ สถติ มนั่ ในธรรม ทงั้ สว นยตุ ธิ รรม คอื ความเทย่ี งธรรม กด็ ี นติ ธิ รรม คอื ระเบยี บแบบแผนหลกั การปกครอง ตลอด จนขนบธรรมเนยี มประเพณอี นั ดงี าม กด็ ี ไมป ระพฤตใิ หเ คลอ่ื นคลาดวบิ ตั ไิ ป — Avirodhana: non- deviation from righteousness; conformity to the law) ราชธรรม 10 นี้ พงึ จดจาํ งา ยๆ โดยคาถาในบาลี ดงั นี้ ทานํ สีลํ ปรจิ ฺจาคํ อาชชฺ วํ มทฺทวํ ตป อกโฺ กธํ อวิหึสฺจ ขนฺติฺจ อวิโรธน.ํ J.V.378. ขุ.ชา.28/240/86. [327] วัตถุประสงคในการบัญญัติพระวินัย 10 (เหตุผลที่พระพุทธเจา

[327] 242 พจนานุกรมพุทธศาสตร ทรงปรารภหรือประโยชนท่ีทรงประสงค ในการทรงบัญญัติสิกขาบทแกพระสงฆสาวก — Sikkhàpada-pa¤¤atti atthavasa: reasons for laying down the course of training for monks; purposes of monastic legislation) ก. วา ดวยประโยชนแ กส งฆหรือสว นรวม 1. สงฺฆสุฏตุ าย (เพอื่ ความรบั วาดีแหง สงฆ คอื เพ่อื ความเรียบรอยดีงามแหงสงฆ ซ่ึงไดทรง ช้ีแจงใหมองเหน็ คณุ โทษแหง ความประพฤตนิ ัน้ ๆ ชัดเจนแลว จงึ ทรงบัญญตั สิ ิกขาบทข้นึ ไวโ ดย ความเหน็ ชอบรว มกนั — for the excellence of the unanimous Order) 2. สงฆฺ ผาสตุ าย (เพือ่ ความผาสุกแหง สงฆ — for the comfort of the Order) ข. วา ดวยประโยชนแกบุคคล 3. ทมุ มฺ งกฺ นู ํ ปคุ คฺ ลานํ นคิ คฺ หาย (เพอ่ื ขม บคุ คลผเู กอ ยาก คอื เพอ่ื กาํ ราบคนผดู า น ประพฤติ ทราม — for the control of shameless persons) 4. เปสลานํ ภกิ ขฺ นู ํ ผาสวุ หิ าราย (เพื่อความอยูผาสกุ แหง เหลาภิกษุผูม ศี ีลดีงาม — for the living in comfort of well-behaved monks) ค. วาดว ยประโยชนแ กความบริสทุ ธ์ิ หรอื แกช ีวิต ทัง้ ทางกายและทางใจ 5. ทฏิ  ธมมฺ กิ านํ อาสวานํ สวํ ราย (เพอ่ื ปด กนั้ อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในปจ จบุ นั คอื เพอ่ื ระวงั ปด ทางความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข ความเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมใี นปจ จบุ นั — for the restraint of the cankers in the present; for the prevention of temporal decay and troubles) 6. สมปฺ รายกิ านํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย (เพอื่ บาํ บดั อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในอนาคต คอื เพอื่ ปอ งกนั มใิ หเ กดิ ความเสอื่ มเสยี ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมมี าในภายหนา หรอื ภพหนา — for warding off the cankers in the hereafter; for protection against spiritual decay and troubles) ง. วา ดวยประโยชนแ กประชาชน 7. อปปฺ สนนฺ านํ ปสาทาย (เพอ่ื ความเลอ่ื มใสของชมุ ชนทยี่ งั ไมเ ลอ่ื มใส — for the confidence of those who have not yet gained confidence) 8. ปสนนฺ านํ ภยิ โฺ ยภาวาย (เพื่อความเล่ือมใสย่ิงข้นึ ไปของชมุ ชนทเี่ ล่ือมใสแลว — for the increase of the confidence of the confident) จ. วา ดว ยประโยชนแ กพ ระศาสนา 9. สทธฺ มมฺ ฏ ิตยิ า (เพอื่ ความตงั้ มนั่ แหง สทั ธรรม — for the lastingness of the true doctrine) 10. วนิ ยานคุ คฺ หาย (เพอ่ื อนเุ คราะหว นิ ยั คอื ทาํ ใหม บี ทบญั ญตั สิ าํ หรบั ใชเ ปน หลกั เกณฑจ ดั ระเบยี บ ของหมู สนบั สนนุ ความมวี นิ ยั ใหห นกั แนน มนั่ คงยง่ิ ขนึ้ — for the support of the discipline) Vin.III.20; A.V.70. วินย.1/20/37; องฺ.ทสก.24/31/74. [,,,] วิปสสนาญาณ 10 ดู [311] วปิ ส สนาญาณ 9.

หมวด 10 243 [329] [328] วิปสสนูปกิเลส 10 (อุปกิเลสแหง วปิ ส สนา, ธรรมารมณทเ่ี กิดแกผ ไู ดต รุณ- วิปสสนา หรอื วปิ ส สนาออ นๆ ทาํ ใหเขา ใจผิดวา ตนบรรลุมรรคผลแลว เปน เหตุขัดขวางใหไ มก า ว หนา ตอไปในวปิ ส สนาญาณ — Vipassanåpakilesa: imperfections or defilements of insight) 1. โอภาส (แสงสวาง — Obhàsa: illumination; luminous aura) 2. ญาณ (ความหยง่ั รู — ¥àõa: knowledge) 3. ปติ (ความอมิ่ ใจ — Pãti: rapture; unprecedented joy) 4. ปส สัทธิ (ความสงบเย็น — Passaddhi: tranquillity) 5. สขุ (ความสุขสบายใจ — Sukha: bliss; pleasure) 6. อธโิ มกข (ความนอมใจเช่อื , ศรทั ธาแกก ลา, ความปลงใจ — Adhimokkha: fervour; assurance; resolution) 7. ปคคาหะ (ความเพยี รท่พี อดี — Paggàha: exertion; well-exerted energy) 8. อุปฏ ฐาน (สตแิ กก ลา, สติชัด — Upaññhàna: established mindfulness) 9. อเุ บกขา (ความมีจิตเปน กลาง — Upekkhà: equanimity) 10. นกิ นั ติ (ความพอใจ, ติดใจ — Nikanti: delight) ดู [285] วิสทุ ธฺ ิ 7 โดยเฉพาะขอ 5 คือ มัคคามคั คญาณทัสสนวิสุทธิ Vism.633. วสิ ุทธฺ .ิ 3/267. [,,,] ศีล 10 ดู [242] ศีล 10. [329] สังโยชน 101 (กเิ ลสอันผกู ใจสัตว, ธรรมท่ีมดั สัตวไ วก ับวฏั ฏทกุ ข หรอื ผกู กรรมไว กบั ผล — Sa§yojana: fetters; bondage) ก. โอรัมภาคยิ สงั โยชน 5 (สงั โยชนเ บอ้ื งต่าํ เปนอยา งหยาบ เปน ไปในภพอนั ตํ่า — Oram- bhàgiya~: lower fetters) 1. สกั กายทฏิ ฐิ (ความเหน็ วา เปนตัวของตน เชน เห็นรปู เห็นเวทนา เหน็ วิญญาณ เปนตน เปนตน — Sakkàyadiññhi: personality-view; false view of individuality) 2. วิจิกจิ ฉา (ความสงสัย, ความลังเล ไมแนใ จ — Vicikicchà: doubt; uncertainty) 3. สลี พั พตปรามาส (ความถอื มนั่ ศลี พรต โดยสกั วา ทาํ ตามๆ กนั ไปอยา งงมงายเหน็ วา จะบรสิ ทุ ธ์ิ หลดุ พน ไดเ พยี งดว ยศลี และวตั ร — Sãlabbataparàmàsa: adherence to rules and rituals) 4. กามราคะ (ความกาํ หนดั ในกาม, ความตดิ ใจในกามคณุ — Kàmaràga: sensual lust) 5. ปฏฆิ ะ (ความกระทบกระทงั่ ในใจ, ความหงดุ หงดิ ขดั เคอื ง — Pañigha: repulsion; irritation) ข. อุทธัมภาคยิ สงั โยชน 5 (สังโยชนเ บือ้ งสูง เปน อยางละเอยี ด เปน ไปแมใ นภพอันสงู — Uddhambhàgiya~: higher fetters)

[330] 244 พจนานุกรมพุทธศาสตร 6. รปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแหง รูปฌาน หรอื ในรูปธรรมอนั ประณีต, ความปรารถนาใน รปู ภพ — Råparàga: greed for fine-material existence; attachment to realms of form) 7. อรปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแ หง อรปู ฌาน หรอื ในอรปู ธรรม, ความปรารถนาในอรปู ภพ — Aråparàga: greed for immaterial existence; attachment to formless realms) 8. มานะ (ความสาํ คัญตน คือ ถือตนวาเปน นั่นเปนน่ี — Màna: conceit; pride) 9. อุทธัจจะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness; distraction) 10. อวิชชา (ความไมร ูจริง, ความหลง — Avijjà: ignorance) สังโยชน 10 ในหมวดนี้ เปน แนวพระสตู ร หรือ สตุ ตนั ตนัย แตในบาลีแหงพระสตู รนัน้ ๆ มี แปลกจากทีน่ เ้ี ล็กนอ ย คือ ขอ 4 เปน กามฉนั ท (ความพอใจในกาม — sensual desire) ขอ 5 เปน พยาบาท (ความขดั เคือง, ความคิดรา ย — ill-will) ใจความเหมือนกัน ลาํ ดบั การละสงั โยชน 10 น้ี ใหดู [164] มรรค 4. S.V.61; A.V.13; Vbh.377. ส.ํ ม.19/349/90; อง.ฺ ทสก.24/13/18; อภ.ิ ว.ิ 35/976–7/509. [330] สังโยชน 102 (ธรรมที่มัดสตั วไวกับทุกข — Sa§yojana: fetters; bondage) 1. กามราคะ 2. ปฏฆิ ะ 3. มานะ 4. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: false views) 5. วจิ กิ จิ ฉา 6. สลี พั พตปรามาส 7. ภวราคะ (ความตดิ ใจปรารถนาในภพ — Bhavaràga: greed for existence) 8. อสิ สา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 9. มจั ฉรยิ ะ (ความตระหนี่ — Macchariya: meanness; stinginess) 10. อวชิ ชา สงั โยชน 10 ในหมวดนี้ เปนแนวพระอภิธรรม หรอื อภิธรรมนยั ไดแ สดงความหมายไว เฉพาะขอทตี่ า งจากหมวดกอ น Vbh.391. อภ.ิ ว.ิ 35/1029/528. [331] สัญญา 10 (ความกําหนดหมาย, แนวความคดิ ความเขาใจ สาํ หรับใชกาํ หนด พจิ ารณาในการเจริญกรรมฐาน — Sa¤¤à: perception; contemplation; ideas as objects of meditation) 1. อนิจฺจสฺา (กาํ หนดหมายความไมเ ทย่ี งแหงสังขาร — Anicca-sa¤¤à: contemplation on impermanency) 2. อนตตฺ สฺ า (กาํ หนดหมายความเปน อนตั ตาแหง ธรรมทง้ั ปวง — Anatta~: contemplation on impersonality) 3. อสภุ สฺ า (กาํ หนดหมายความไมง ามแหง กาย — Asubha~: contemplation on foulness or loathsomeness) 4. อาทนี วสฺา (กําหนดหมายโทษทกุ ขข องกายอนั มคี วามเจ็บไขตางๆ — âdãnava~: contemplation on the disadvantages of the body) 5. ปหานสฺา (กําหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรมท้ังหลาย — Pahàna~:

หมวด 10 245 [333] contemplation on abandonment or overcoming) 6. วริ าคสฺ า (กาํ หนดหมายวริ าคะวา เปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Viràga~: contemplation on detachment) 7. นโิ รธสฺา (กําหนดหมายนิโรธวาเปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Nirodha~: contem- plation on cessation) 8. สพพฺ โลเก อนภริ ตสฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า เพลดิ เพลนิ ในโลกทง้ั ปวง — Sabbaloke anabhirata~: contemplation on the non-delightfulness of the whole world) 9. สพพฺ สงขฺ าเรสุ อนฏิ  สฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า ปรารถนาในสงั ขารทง้ั ปวง —Sabba- saïkhàresu aniññha~: contemplation on the non-pleasantness of the whole world) 10. อานาปานสติ (สตกิ ําหนดลมหายใจเขาออก — ânàpànasati: mindfulness of in- and out-breathing) ในขอ 9. อนฏิ  สฺ า พระบาลีเดิมเปน อนจิ จฺ สฺ า บาง อนจิ ฉฺ าสฺ า บาง. D.III.291; A.V.109. ท.ี ปา.11/473/340; องฺ.ทสก.24/60/116. [332] สัทธรรม 10 (ธรรมอนั ด,ี ธรรมทแ่ี ท, ธรรมของสตั บุรษุ , หลักหรอื แกน ศาสนา — Saddhamma: true doctrine; essential Dharma) 1.–9. โลกุตตรธรรม 9 (มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 — Lokuttara-dhamma: the nine supermundane states, viz., the Four Paths, the Four Fruitions and Nibbàna) 10. ปริยตั ธิ รรม (ธรรมคอื คาํ สัง่ สอนอันจะตองเลาเรยี น กลา วคอื พทุ ธพจน — Pariyatti- dhamma: the text to be studied, i.e. the words of the Buddha) (ฉบบั อกั ษรโรมนั ยังไมไ ดพมิ พ) สงฺคห.ฏกี า 65. [333] สัมมัตตะ 10 (ภาวะทถ่ี กู , ความเปน สงิ่ ทถี่ กู — Sammatta: rightness; right states) 8 ขอ ตน ตรงกบั องคม รรค 8 ขอ คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ และเพม่ิ 2 ขอ คอื 9. สมั มาญาณ (รชู อบ ไดแ ก ผลญาณ และปจ จเวกขณญาณทงั้ 19 ประเภท — Sammà¤àõa: right knowledge; right insight) 10. สมั มาวมิ ตุ ติ (หลดุ พน ชอบ ไดแ ก อรหตั ตผลวมิ ตุ ติ — Sammàvimutti: right deliverance) ธรรมหมวดนี้ เรียกช่อื อีกอยางวา อเสขธรรม (ธรรมของพระอเสขะ — Asekhadhamma: qualities of the adept) ดู [293] มรรคมอี งค 8. D.III.271,292; M.I.42; A.V.212. ที.ปา.11/362/286; 475/342; ม.ม.ู 12/104/75; อง.ฺ ทสก.24/104/226; ม.อ.1/260; อง.ฺ อ.2/319,474,481.

[334] 246 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [334] มิจฉัตตะ 10 (ภาวะทผ่ี ดิ , ความเปน สง่ิ ทผ่ี ดิ —Micchatta: wrongness; wrong states) 1. มจิ ฉาทิฏฐิ (เห็นผดิ ไดแก ความเห็นผิดจากคลองธรรมตามหลักกศุ ลกรรมบถ และความ เห็นที่ไมนาํ ไปสูค วามพน ทุกข — Micchàdiññhi: wrong view) 2. มจิ ฉาสงั กปั ปะ (ดาํ รผิ ดิ ไดแ ก ความดาํ รทิ ี่เปน อกศุ ลท้งั หลาย ตรงขามจากสัมมาสงั กัปปะ — Micchàsaïkappa: wrong thought) 3. มิจฉาวาจา (วาจาผิด ไดแก วจีทจุ รติ 4 — Micchàvàcà: wrong speech) 4. มจิ ฉากัมมันตะ (กระทําผดิ ไดแก กายทุจริต 3 — Micchàkammanta: wrong action) 5. มิจฉาอาชีวะ (เล้ียงชีพผิด ไดแก เลี้ยงชีวติ ในทางทุจรติ — Micchà-àjãva: wrong livelihood) 6. มจิ ฉาวายามะ (พยายามผดิ ไดแ ก ความเพยี รตรงขามกบั สัมมาวายามะ — Micchà- vàyàma: wrong effort) 7. มิจฉาสติ (ระลกึ ผดิ ไดแก ความระลกึ ถึงเร่ืองราวท่ีลวงแลว เชน ระลกึ ถึงการไดท รัพย การ ไดยศ เปน ตน ในทางอกศุ ล อันจดั เปน สตเิ ทยี ม เปน เหตุชักนําใจใหเกิดกเิ ลสมีโลภะ มานะ อสิ สา มจั ฉริยะ เปน ตน — Micchàsati: wrong mindfulness) 8. มิจฉาสมาธิ (ต้ังจติ ผิด ไดแ ก ต้งั จติ เพง เล็ง จดจอ ปก ใจแนวแนในกามราคะ พยาบาท เปนตน หรือเจรญิ สมาธแิ ลว หลงเพลิน ตดิ หมกมนุ ตลอดจนนาํ ไปใชผ ดิ ทาง ไมเปน ไปเพ่ือ ญาณทสั สนะ และความหลดุ พน — Micchàsamàdhi: wrong concentration) 9. มจิ ฉาญาณ (รผู ิด ไดแก ความหลงผิดท่ีแสดงออกในการคดิ อบุ ายทาํ ความช่ัว และในการ พิจารณาทบทวนวา ความช่วั น้นั ๆ ตนกระทําไดอ ยางดแี ลว เปน ตน — Micchà¤àõa: wrong knowledge) 10. มิจฉาวิมุตติ (หลดุ พน ผดิ ไดแก ยงั ไมถ ึงวิมตุ ติ สาํ คญั วาถึงวิมตุ ติ หรือสําคญั ผดิ ในสิ่งท่ี มิใชวิมุตตวิ าเปน วมิ ตุ ติ — Micchàvimutti: wrong deliverance) D.III.290; M.I.42; A.V.212. ท.ี ปา.11/469/337; ม.มู.12/104/76; องฺ.ทสก.24/103/226; ม.อ.1/259; วิภงคฺ .อ.676. [,,,] อกุศลกรรมบถ 10 ดู [321] อกุศลกรรมบถ 10. [335] อนุสติ 10 (ความระลกึ ถงึ , อารมณอ นั ควรระลกึ ถงึ เนอื งๆ — Anussati: recollection; constant mindfulness) 1. พุทธานสุ ติ (ระลกึ ถงึ พระพุทธเจา คอื นอ มจติ ระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระองค — Buddhànussati: recollection of the Buddha; contemplation on the virtues of the Buddha) 2. ธมั มานสุ ติ (ระลกึ ถงึ พระธรรม คอื นอ มจติ ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระธรรม — Dhammà- nussati: recollection of the Dhamma; contemplation on the virtues of the Doctrine) 3. สังฆานุสติ (ระลึกถึงพระสงฆ คือ นอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ —

หมวด 10 247 [336] Saïghànussati: recollection of the Sangha; contemplation on the virtues of the Order) 4. สลี านสุ ติ (ระลกึ ถงึ ศลี คอื นอ มจติ ราํ ลกึ พจิ ารณาศลี ของตนทไี่ ดป ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ บรสิ ทุ ธ์ิ ไม ดา งพรอ ย — Sãlànussati: recollection of morality; contemplation on one’s own morals) 5. จาคานุสติ (ระลึกถึงการบริจาค คอื นอ มจิตระลึกถึงทานทตี่ นไดบรจิ าคแลว และพจิ ารณา เห็นคณุ ธรรมคอื ความเผื่อแผเ สียสละนที้ ม่ี ีในตน — Càgànussati: recollection of liberality; contemplation on one’s own liberality) 6. เทวตานสุ ติ (ระลึกถึงเทวดา คอื นอมจิตระลกึ ถึงเทวดาทง้ั หลายท่ีตนเคยรู และพจิ ารณา เหน็ คณุ ธรรมอนั ทาํ บุคคลใหเ ปนเทวดาน้นั ๆ ตามทีม่ ีอยใู นตน — Devatànussati: recollection of deities; contemplation on the virtues which make people become gods as can be found in oneself) 7. มรณสติ (ระลึกถงึ ความตายอนั จะตองมีมาถึงตนเปนธรรมดา พิจารณาทจ่ี ะใหเกิดความไม ประมาท — Maraõassati: mindfulness of death; contemplation on death) 8. กายคตาสติ (สติอันไปในกาย คือ กาํ หนดพิจารณากายนี้ ใหเหน็ วาประกอบดวยสวนตางๆ อันไมสะอาด ไมงาม นารังเกียจ เปนทางรูเ ทา ทนั สภาวะของกายนี้ มใิ หหลงใหลมัวเมา — Kàyagatà-sati: mindfulness occupied with the body; contemplation on the 32 impure parts of the body) 9. อานาปานสติ (สตกิ าํ หนดลมหายใจเขา ออก — ânàpànasati: mindfulness on breathing) 10. อปุ สมานสุ ติ (ระลกึ ถงึ ธรรมเปน ทส่ี งบ คอื ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระนพิ พาน อนั เปน ทรี่ ะงบั กเิ ลสและความทกุ ข — Upasamànussati: recollection of peace; contemplation on the virtue of Nibbàna) ดู [354] กรรมฐาน 40. A.I.30,41; Vism.197. อง.ฺ เอก.20/179–180/39–40; 224/54; วิสุทธฺ ิ.1/251. [,,,] อภิณหปจจเวกขณ 10 ดู [248] ปพพชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10. [,,,] อเสขธรรม 10 ดู [333] สัมมตั ตะ 10. [336] อสุภะ 10 (สภาพอนั ไมง าม, ซากศพในสภาพตา งๆ ซง่ึ ใชเ ปน อารมณแ หง สมถกรรมฐาน — Asubha: ten kinds of foulness; corpses at different stages of decay) 1. อทุ ธมุ าตกะ (ซากศพทเ่ี นา พองขนึ้ อดื — Uddhumàtaka: bloated corpse; swollen-up corpse) 2. วนิ ลี กะ (ซากศพทมี่ สี เี ขยี วคลาํ้ คละดว ยสตี า งๆ — Vinãlaka: bluish discoloured corpse; livid corpse) 3. วิปพุ พกะ (ซากศพทมี่ ีนาํ้ เหลืองไหลเยิ้มอยูตามทที่ ี่แตกปริออก — Vipubbaka: festering corpse) 4. วจิ ฉทิ ทกะ (ซากศพทีข่ าดจากกันเปน 2 ทอน — Vicchiddaka: split or cut up corpse;

[337] 248 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร disjoint corpse) 5. วิกขายิตกะ (ซากศพทถี่ ูกสตั ว เชน แรง กา สุนขั จกิ ท้ึงกัดกินแลว — Vikkhàyitaka: gnawed corpse) 6. วกิ ขิตตกะ (ซากศพท่กี ระจุยกระจาย มือเทา ศีรษะหลดุ ออกไปขา งๆ — Vikkhittaka: scattered corpse; mangled corpse) 7. หตวิกขิตตกะ (ซากศพที่ถกู สับฟน บั่นเปนทอ นๆ กระจายออกไป — Hatavikkhittaka: hacked and scattered corpse; mutilated and mangled corpse) 8. โลหิตกะ (ซากศพท่ีมโี ลหติ ไหลอาบเรย่ี ราดอยู — Lohitaka: blood-stained corpse; bleeding corpse) 9. ปฬุ วุ กะ (ซากศพท่ีมหี นอนคลาคล่ําเต็มไปหมด — Puëuvaka: worm-infested corpse) 10. อัฏฐกิ ะ (ซากศพทีย่ ังเหลืออยแู ตรางกระดกู หรือกระดกู ทอน — Aññhika: skeleton) ดู [354] กรรมฐาน 40. Vism.178. วิสทุ ธฺ .ิ 1/226. [337] อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเหน็ อันถอื เอาทสี่ ดุ , ความเหน็ ผิดทแ่ี ลน ไปสดุ โตง ขางใดขา งหนง่ึ — Antagàhika-diññhi: the ten erroneous extremist views) คอื เห็นวา 1. โลกเทย่ี ง (The world is eternal.) 2. โลกไมเ ที่ยง (The world is not eternal.) 3. โลกมีท่ีสดุ (The world is finite.) 4. โลกไมมีทีส่ ุด (The world is infinite.) 5. ชีวะก็อันนน้ั สรีระกอ็ ันนั้น (The soul and the body are identical.) 6. ชีวะกอ็ ยางหนึง่ สรีระกอ็ ยา งหนึง่ (The soul is one thing and the body is another.) 7. ตถาคตเบอ้ื งหนา แตตาย ยอมเปนอกี (The Tathàgata is, after death.) 8. ตถาคตเบื้องหนาแตต าย ยอมไมเ ปน อกี (The Tathàgata is not, after death.) 9. ตถาคตเบอ้ื งหนา แตตาย ยอมเปนอกี ก็ใช ไมเ ปนอกี ก็ใช (The Tathàgata both is and is not, after death.) 10. ตถาคตเบอื้ งหนาแตตาย ยอ มเปน อีก ก็มิใช ยอ มไมเปน อกี ก็มิใช (The Tathàgata neither is nor is not, after death.) คาํ วา ตถาคต ในทน่ี ี้ อรรถกถาบางแหงวา หมายถงึ “สัตว” (เชน ม.อ.3/135; สงฺคณ.ี อ.528) บาง แหงวา “อัตตา” หรอื “อาตมนั ” (อุ.อ.430) บางแหง วา “พระพุทธเจา” (สํ.อ.3/192) M.I.426; S.IV.392; A.V.193; ม.ม.13/147/143; สํ.สฬ.18/788/476; อง.ฺ ทสก.24/193/206; Ps.I.151; Vbh.392. ข.ุ ปฏ.ิ 31/337/226; อภ.ิ ว.ิ 35/1032/529.

อติเรกทสกะ — หมวดเกนิ 10 Groups of More Than Ten [338] กรรม 12 (การกระทําท่ีประกอบดวยเจตนา ดีกต็ าม ชว่ั กต็ าม, ในทีน่ ี้หมายถงึ กรรม ประเภทตา งๆ พรอ มทง้ั หลกั เกณฑเ กยี่ วกบั การใหผ ลของกรรมเหลา นน้ั — Kamma: karma; kamma; action; volitional action) หมวดท่ี 1 วาโดยปากกาล คือ จาํ แนกตามเวลาท่ีใหผ ล (classification according to the time of ripening or taking effect) 1. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในปจ จบุ นั คอื ในภพน้ี — Diññhadhamma-vedanãya- kamma: kamma to be experienced here and now; immediately effective kamma) 2. อปุ ปช ชเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพทจี่ ะไปเกดิ คอื ในภพหนา — Upapajja-vedanãya- kamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the next life) 3. อปราปรยิ เวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพตอ ๆ ไป — Aparàpariya-vedanãya-kamma: kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely effective kamma) 4. อโหสกิ รรม (กรรมเลกิ ใหผ ล ไมม ผี ลอกี — Ahosi-kamma: lapsed or defunct kamma) หมวดที่ 2 วา โดยกิจ คอื จําแนกการใหผ ลตามหนาที่ (classification according to function) 5. ชนกกรรม (กรรมแตง ใหเ กดิ , กรรมท่เี ปน ตวั นาํ ไปเกดิ — Janaka-kamma: productive kamma; reproductive kamma) 6. อุปตถมั ภกกรรม (กรรมสนบั สนนุ , กรรมท่เี ขาชว ยสนับสนุนหรือซํา้ เติมตอจากชนกกรรม — Upatthambhaka-kamma: supportive kamma; consolidating kamma) 7. อุปปฬกกรรม (กรรมบบี คัน้ , กรรมท่มี าใหผล บีบคน้ั ผลแหง ชนกกรรมและอปุ ตถัมภกรรม นนั้ ใหแ ปรเปลยี่ นทเุ ลาลงไป บน่ั ทอนวบิ ากมใิ หเ ปน ไปไดน าน — Upapãëaka-kamma: obstructive kamma; frustrating kamma) 8. อปุ ฆาตกกรรม (กรรมตดั รอน, กรรมทแ่ี รง ฝา ยตรงขา มกบั ชนกกรรมและอปุ ต ถมั ภกกรรม เขาตดั รอนการใหผลของกรรมสองอยางนัน้ ใหขาดไปเสยี ทีเดียว เชน เกิดในตระกูลสงู มง่ั คั่ง แตอ ายสุ ้ัน เปนตน — Upaghàtaka-kamma: destructive kamma; supplanting kamma) หมวดท่ี 3 วา โดยปากทานปริยาย คือ จําแนกตามความยักเย้อื งหรอื ลําดับความแรงใน การใหผล (classification according to the order of ripening) 9. ครกุ กรรม (กรรมหนกั ใหผ ลกอ น ไดแ ก สมาบตั ิ 8 หรอื อนนั ตรยิ กรรม — Garuka-kamma: weighty kamma) 10. พหุลกรรม หรอื อาจณิ ณกรรม (กรรมทํามากหรือกรรมชิน ใหผ ลรองจากครุกกรรม

[339] 250 พจนานุกรมพุทธศาสตร — Bahula-kamma or âciõõa-kamma: habitual kamma) 11. อาสนั นกรรม (กรรมจวนเจยี น หรอื กรรมใกลตาย คือกรรมทาํ เมือ่ จวนจะตายจบั ใจอยู ใหมๆ ถา ไมมี 2 ขอ กอน ก็จะใหผลกอนอื่น — âsanna-kamma: death-threshold kamma; proximate kamma) 12. กตตั ตากรรม หรอื กตตั ตาวาปนกรรม (กรรมสกั วา ทาํ , กรรมทท่ี าํ ไวด ว ยเจตนาอนั ออ น หรอื มใิ ชเ จตนาอยา งนน้ั โดยตรง ตอ เมอื่ ไมม กี รรมอน่ื ใหผ ลแลว กรรมนจ้ี งึ จะใหผ ล — Katattà- kamma or Katattàvàpana-kamma: reserve kamma; casual act) กฏตั ตากรรม กเ็ ขยี น กรรม 12 หรอื กรรมส่ี 3 หมวดนี้ มไิ ดมมี าในบาลใี นรปู เชนนโี้ ดยตรง พระอาจารยส มัยตอ มา เชน พระพทุ ธโฆษาจารย เปนตน ไดรวบรวมมาจดั เรยี งเปน แบบไวใ นภายหลงั . Vism.601; Comp.144. วิสทุ ธฺ .ิ 3/223; สงคฺ ห.28. [339] จักรวรรดิวัตร 5, 12 (วตั รของพระเจา จกั รพรรด,ิ พระจรยิ าทพ่ี ระจกั รพรรดพิ งึ ทรงบําเพ็ญสม่ําเสมอ, ธรรมเนียมการทรงบําเพ็ญพระราชกรณียของพระเจาจักรพรรดิ, หนาที่ ของนกั ปกครองผยู งิ่ ใหญ — Cakkavatti-vatta: duties of a universal king or a great ruler) 1. ธรรมาธปิ ไตย (ถือธรรมเปน ใหญ เคารพนบั ถอื บูชายาํ เกรงธรรม ยดึ ธรรมเปน หลัก เปน ธงชยั เปนธรรมาธปิ ไตย — Dhammàdhipateyya: supremacy of the law of truth and righteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law) (1) และ 2. ธรรมิการักขา (จัดการรักษาปองกันและคุมครองอันชอบธรรมและเปนธรรม — Dhammikàrakkhà: provision of the right watch, ward and protection) ก. อนั โตชน (แกช นภายใน ต้ังแตพ ระมเหสี โอรส ธิดา จนถงึ ผูปฏบิ ตั ริ าชการในพระองค ทงั้ หมด คอื คนในปกครองสว นตวั ตง้ั แตบ ตุ รธดิ าเปน ตน ไป ดว ยใหก ารบาํ รงุ เลย้ี งอบรม สงั่ สอนเปนตน ใหอยโู ดยเรยี บรอ ยสงบสุข และมีความเคารพนบั ถอื กัน — for one’s own folk) (2) ข. พลกาย (แกก องทพั คือ ปวงเสนาขาทหาร, ขา ราชการฝายทหาร — for the army; the armed forces; military personnel) (3) ค. ขัตติยะ (แกกษัตริยท้ังหลายผูอยูในพระบรมเดชานุภาพ, เจาเมืองข้ึน, ปจจุบัน สงเคราะหช นชัน้ ปกครองและนักบรหิ ารช้นั ผใู หญท ้ังหลาย, ขา ราชการฝา ยปกครอง — for colonial kings; administrative officers) (4) ง. อนุยนต (แกผ ูตามเสดจ็ คือ ราชบริพารทั้งหลาย, ปจจุบันควรสงเคราะหขา ราชการฝาย พลเรอื นเขา ทง้ั หมด — for the royal dependants; civil servants) (5) จ. พราหมณคฤหบดี (แกช นเจา พธิ ี เจา ตาํ รา พอ คา เจา ไรเ จา นา คอื ครอู าจารย นกั วชิ าการ หมอ พอคา ผูประกอบวิชาชีพตางๆ และเกษตรกร ดวยชวยจัดหาทุนและอุปกรณ เปน ตน — for brahmins and householders; the professional, traders and the agricultural) (6)

หมวดเกิน 10 251 [339] ฉ. เนคมชานบท (แกช าวนิคมชนบท คอื ราษฎรทั้งปวงทุกทอ งถิ่นตลอดถงึ ชายแดนทว่ั ไป ไมท อดทงิ้ — for town and country dwellers; townsmen and villagers; upcountry people) (7) ช. สมณพราหมณ (แกพ ระสงฆแ ละบรรพชติ ผทู รงศลี ทรงคณุ ธรรม — for the religious) (8) ญ.มิคปกษี (แกมฤคและปกษี คือ สตั วอ นั ควรสงวนทั้งหลาย — for beasts and birds) (9) 3. อธรรมการนเิ สธนา (หา มกนั้ มใิ หม กี ารอนั อธรรมเกดิ ขน้ึ ในพระราชอาณาเขต คอื จดั การปอ งกนั แกไ ข มใิ หม กี ารกระทาํ ความผดิ ความชวั่ รา ยเดอื ดรอ นเกดิ ขนึ้ ในบา นเมอื ง — Adhammakàra- nisedhanà: to let no wrongdoing prevail in the kingdom) (10) 4. ธนานุประทาน (ปนทรพั ยเฉล่ียใหแ กช นผไู รทรพั ย มใิ หม ีคนขัดสนยากไรในแวนแควน — Dhanànuppadàna: to let wealth be given or distributed to the poor) (11) 5. ปรปิ จุ ฉา (ปรึกษาสอบถามปญ หากบั สมณพราหมณ ผูประพฤตดิ ี ปฏิบัตชิ อบ ผไู มป ระมาท มัวเมา อยูเสมอตามกาลอันควร เพื่อใหรูชัดการอันดีช่ัว ควรประกอบหรือไม เปนไปเพื่อ ประโยชนส ุขหรือไม แลว ประพฤติปฏิบตั ิใหเปน ไปโดยถกู ตอ ง ขอ นปี้ จ จบุ ันสงเคราะหนกั ปราชญ นกั วิชาการผทู รงคณุ ธรรมเขา ดว ย — Paripucchà: to go from time to time to see and seek advice from the men of religious life who maintain high moral standards; to have virtuous counsellors and seek after greater virtue) (12) จักรวรรดิวัตรน้ี มาใน จักกวตั ตสิ ตู ร ตามทมี่ าทอ่ี าง ในพระบาลี คือพระไตรปฎ ก ทานไม ระบจุ ํานวนขอไว แตน บั ตามท่ีตรัสไว เปน หลักการทยี่ ึดถือหนึ่งขอ และหลกั ปฏบิ ัติ 4 ขอ จึงรวม เปน 5 ขอ อยางไรกด็ ี ขอ ยอยทแ่ี ยกออกไปจากขอ 2 (ธรรมิการักขา) แตละอยาง ในช้ัน อรรถกถาคงเหน็ วามคี วามสําคัญมาก และมีรายละเอยี ดวธิ ีปฏิบัตจิ าํ เพาะตา งกนั ออกไป จงึ จัด เปน วตั รแตล ะขอ เทา กนั หมด นับได 12 ขอ ตามตัวเลขในวงเล็บขา งหลัง แตใ นอรรถกถาแหง พระสูตรนเ้ี อง (ท.ี อ.3/46) ทา นจดั ตางออกไปดงั น้ี 1. อนฺโตชนสฺมึ พลกายสฺมึ (สงเคราะหช นภายใน และพลกายกองทหาร) 2. ขตฺติเยสุ (สงเคราะหกษัตริยเ มืองขึ้นท้งั หลาย) 3. อนุยนเฺ ตสุ (สงเคราะหเหลาเชอ้ื พระวงศ ผตู ามเสดจ็ เปน ราชบรพิ าร) 4. พรฺ าหฺมณคหปตเิ กสุ (คุม ครองพราหมณแ ละคฤหบดที งั้ หลาย) 5. เนคมชานปเทสุ (คมุ ครองชาวราษฎรพนื้ เมอื งทง้ั หลาย) 6. สมณพฺราหฺมเณสุ (คุมครองเหลาสมณพราหมณ) 7. มคิ ปกขฺ ีสุ (คุมครองเน้ือนกท่เี อาไวส ืบพนั ธุ) 8. อธมฺมการปฏกิ เฺ ขโป (หามปรามมิใหม ีการประพฤติการอนั ผิดธรรม)

[340] 252 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 9. อธนานํ ธนานุปปฺ ทาน (ทาํ นุบํารงุ ผขู ดั สนไรทรัพย) 10. สมณพรฺ าหมฺ เณ อปุ สงกฺ มติ วฺ า ปหฺ าปจุ ฉฺ น (เขา ไปหาและสอบถามปญ หากะสมณพราหมณ) 11. อธมมฺ ราคสสฺ ปหาน (เวนความกําหนดั ในกามโดยอาการไมเ ปน ธรรม) 12. วสิ มโลภสฺส ปหาน (เวน โลภกลา ไมเ ลอื กควรไมค วร) ที่จํากันมาสวนมาก ก็ถือตามนัยอรรถกถาน้ี อยางไรก็ดี ตามนัยน้ี ทานไมนับขอ ธรรมาธิปไตย เขา ในจํานวน 12 ขอ และเพม่ิ ขอ 11, 12 เขามาใหม ซ่ึงไมมีมาในบาลเี ดิม (ขอ 11, 12 นี้ โดยเหตผุ ลนาจะมอี ยูแลวในหลักทศพธิ ราชธรรม) ดู [326] ราชธรรม 10 ดวย. D.III.61. ท.ี ปา.11/35/65. [340] ปฏิจจสมุปบาท มอี งคหรอื หัวขอ 12 (การเกิดขน้ึ พรอ มแหงธรรมท้ังหลาย เพราะอาศยั กัน, ธรรมทีอ่ าศยั กันเกิดข้ึนพรอม, การที่สง่ิ ทง้ั หลายอาศัยกันๆ จงึ เกิดมีขนึ้ — Pañ icca-samuppàda: the Dependent Origination; conditioned arising) 1.–2. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะ อวิชชา เปน ปจจยั สังขาร จึงมี (Dependent on Ignorance arise Kamma-Formations.) 3. สงฺขารปจจฺ ยา วิฺาณํ เพราะสงั ขารเปนปจ จยั วิญญาณ จึงมี (Dependent on Kamma-Farmations arises Consciousness.) 4. วิฺาณปจฺจยา นามรปู  เพราะวิญญาณเปนปจ จัย นามรปู จงึ มี (Dependent on Consciousness arise Mind and Matter.) 5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรปู เปนปจ จัย สฬายตนะ จงึ มี (Dependent on Mind and Matter arise the Six Sense-Bases.) 6. สฬายตนปจจฺ ยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเปนปจจยั ผสั สะ จึงมี (Dependent on the Six Sense-Bases arises Contact.) 7. ผสฺสปจจฺ ยา เวทนา เพราะผัสสะเปนปจ จัย เวทนา จงึ มี (Dependent on Contact arises Feeling.) 8. เวทนาปจจฺ ยา ตณฺหา เพราะเวทนาเปน ปจ จัย ตณั หา จงึ มี (Dependent on Feeling arises Craving.) 9. ตณฺหาปจจฺ ยา อุปาทานํ เพราะตณั หาเปนปจจัย อุปาทาน จงึ มี (Dependent on Craving arises Clinging.) 10. อุปาทานปจจฺ ยา ภโว เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพ จงึ มี (Dependent on Clinging arises Becoming.) 11. ภวปจจฺ ยา ชาติ เพราะภพเปน ปจ จัย ชาติ จึงมี (Dependent on Becoming arises Birth.)

หมวดเกนิ 10 253 [340] 12. ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ เพราะชาตเิ ปนปจ จัย ชรามรณะ จึงมี (Dependent on Birth arise Decay and Death.) โสกปรเิ ทวทุกขฺ โทมนสสฺ ุปายาสา สมฺภวนตฺ ิ ความโศก ความครํา่ ครวญ ทุกข โทมนสั และความคบั แคนใจ ก็มีพรอ ม (There also arise sorrow, lamentation, pain, grief and despair.) เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสสฺ สมุทโย โหติ. ความเกิดขน้ึ แหง กองทกุ ขท ั้งปวงน้ี จงึ มดี ว ยประการฉะนี้ (Thus arises this whole mass of suffering.) แสดงตามลาํ ดับ จากตนไปหาปลายอยางนี้ เรียกวา อนโุ ลมเทศนา (teaching in forward order) ถาแสดงยอนกลับจากปลายมาหาตน วา ชรามรณะเปน ตน มเี พราะชาตเิ ปน ปจ จัย ชาตมิ ี เพราะภพเปน ปจ จยั ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเปนปจจยั เรยี กวา ปฏโิ ลมเทศนา (teaching in backward order) องค (factors) หรอื หัวขอ 12 นัน้ มคี วามหมายโดยสงั เขป ดังนี้ 1. อวชิ ชา (Avijjà: ignorance) ความไมรู คอื ไมรูใ นอรยิ สัจจ 4 หรอื ตามนัยอภิธรรมวา อวิชชา 8 ดู [208] อวิชชา 4; [209] อวิชชา 8 2. สังขาร (Saïkhàra: kamma-formations) สภาพที่ปรุงแตง ไดแ ก [120] สังขาร 3 2 หรือ [129] อภิสงั ขาร 3 3. วิญญาณ (Vi¤¤àõa: consciousness) ความรูแจงอารมณ ไดแ ก [268] วญิ ญาณ 6 4. นามรปู (Nàma-råpa: mind and matter) นามและรูป ไดแก เวทนา สญั ญา เจตนา ผัสสะ มนสกิ าร หรอื ตามนัยอภธิ รรมวา นามขนั ธ 3 + รปู ดู [216] ขนั ธ 5 (ขอ 2, 3, 4); [38] รปู 21, 28; [39] มหาภตู หรอื ภตู รปู 4; [40] อปุ าทารปู หรอื อปุ าทายรปู 24; [41] รปู 22 5. สฬายตนะ (Saëàyatana: six sense-bases) อายตนะ 6 ไดแก [276] อายตนะภายใน 6 6. ผสั สะ (Phassa: contact) ความกระทบ, ความประจวบ ไดแ ก [272] สัมผสั 6 7. เวทนา (Vedanà: feeling) ความเสวยอารมณ ไดแ ก [113] เวทนา 6 8. ตณั หา (Taõhà: craving) ความทะยานอยาก ไดแ ก ตัณหา 6 มีรปู ตัณหา เปนตน (ตณั หา ในรปู ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ) ดู [74] ตัณหา 3 ดวย 9. อปุ าทาน (Upàdàna: clinging; attachment) ความยดึ มน่ั ไดแก [214] อปุ าทาน 4 10. ภพ (Bhava: becoming) ภาวะชวี ติ ไดแ ก [98] ภพ 3 อกี นยั หนง่ึ วา ไดแ ก กรรมภพ (ภพ คอื กรรม — active process of becoming ตรงกบั [129] อภสิ งั ขาร 3) กบั อปุ ปต ตภิ พ (ภพคอื ทอ่ี บุ ตั ิ — rebirth-process of becoming ตรงกบั [98] ภพ 3) 11. ชาติ (Jàti: birth) ความเกิด ไดแก ความปรากฏแหง ขนั ธท ง้ั หลาย การไดอายตนะ 12. ชรามรณะ (Jarà-maraõa: decay and death) ความแกแ ละความตาย ไดแ ก ชรา (ความ

[340] 254 พจนานุกรมพุทธศาสตร เสอื่ มอาย,ุ ความหงอ มอนิ ทรยี ) กบั มรณะ (ความสลายแหง ขนั ธ, ความขาดชวี ติ นิ ทรยี ) ทง้ั 12 ขอ เปน ปจ จยั ตอ เนอ่ื งกนั ไป หมนุ เวยี นเปน วงจร ไมม ตี น ไมม ปี ลาย เรยี กวา ภวจกั ร (วงลอ หรอื วงจรแหง ภพ — Bhava-cakka: wheel of existence) และมขี อ ควรทราบเกยี่ วกบั ภวจกั รอกี ดงั น้ี ก.อัทธา 3 (Addhà: periods; times) คอื กาล 3 ไดแ ก 1) อดีต = อวชิ ชา สงั ขาร 2) ปจจบุ นั = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ 3) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) ข. สงั เขป หรอื สงั คหะ 4 (Saïkhepa or Saïgaha: sections; divisions) คอื ชวง หมวด หรือ กลุม 4 ไดแก 1) อดีตเหตุ = อวชิ ชา สังขาร 2) ปจจุบนั ผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา 3) ปจจบุ ันเหตุ = ตัณหา อปุ าทาน ภพ 4) อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) ค. สนธิ 3 (Sandhi: links; connection) คอื ขวั้ ตอ ระหวางสงั เขปหรอื ชวงท้งั 4 ไดแก 1) ระหวาง อดตี เหตุ กบั ปจจบุ นั ผล 2) ระหวาง ปจ จบุ นั ผล กบั ปจ จบุ นั เหตุ 3) ระหวาง ปจจบุ นั เหตุ กับ อนาคตผล ง. วฏั ฏะ 3 ดู [105] วัฏฏะ 3 จ. อาการ 20 (âkàra: modes; spokes; qualities) คอื องคป ระกอบแตละอยา ง อันเปนดุจ กาํ ของลอ จําแนกตามสวนเหตุ (causes) และสว นผล (effects) ไดแก 1) อดีตเหตุ 5 = อวชิ ชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน ภพ 2) ปจ จุบนั ผล 5 = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา 3) ปจ จุบันเหตุ 5 = อวิชชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน ภพ 4) อนาคตผล 5 = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา อาการ 20 นี้ ก็คือ หวั ขอท่ีกระจายใหเ ต็ม ในทกุ ชว งของสงั เขป 4 น่นั เอง ฉ. มลู 2 (Måla: roots) คอื กิเลสทีเ่ ปน ตวั มลู เหตุ ซึ่งกาํ หนดเปน จุดเร่มิ ตน ในวงจรแตละชว ง ได แก 1) อวิชชา เปนจุดเริ่มตน ในชว งอดตี สง ผลถึงเวทนาในชวงปจ จุบนั 2) ตณั หา เปน จดุ เร่ิมตนในชว งปจจุบัน สงผลถึงชรามรณะในชวงอนาคต พงึ สังเกตดว ยวา การกลาวถึงสว นประกอบของภวจักรตามขอ ก. ถึง ฉ. นี้ เปนคาํ อธิบายใน

หมวดเกิน 10 255 [340] คัมภีรรนุ หลงั เชน อภธิ มั มัตถสังคหะ เปน ตน การแสดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท ใหเ หน็ ความเกดิ ขน้ึ แหง ธรรมตา งๆ โดยอาศยั ปจ จยั สบื ทอดกนั ไปอยา งน้ี เปน สมทุ ยวาร คอื ฝา ยสมทุ ยั ใชเ ปน คาํ อธบิ ายอรยิ สจั จข อ ท่ี 2 (สมทุ ยั สจั จ) คอื แสดง ใหเ หน็ ความเกดิ ขนึ้ แหง ทกุ ข ปฏจิ จสมปุ บาททแี่ สดงแบบนี้ เรยี กวา อนโุ ลมปฏจิ จสมปุ บาท (direct Dependent Origination) การแสดงในทางตรงขา มกับขา งตน น้ี เปน นโิ รธวาร คอื ฝา ยนโิ รธ ใชอธิบายอริยสจั จข อที่ 3 (นิโรธสัจจ) เรียกวา ปฏิโลมปฏจิ จสมุปบาท (reverse Dependent Origination ซึ่งความจรงิ ก็ คือ Dependent Extinction น่ันเอง) แสดงใหเห็นความดบั ไปแหง ทกุ ข ดวยอาศัยความดับไป แหงปจจัยทั้งหลายสืบทอดกันไป ตัวบทของปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมน้ี พึงเทียบจากแบบ อนโุ ลมนั่นเอง เชน 1.–2. อวิชฺชาย เตวฺ ว อเสสวิราคนโิ รธา สงขฺ ารนโิ รโธ เพราะอวชิ ชาสํารอกดับไปไมเ หลือ สังขารจงึ ดบั (Through the total fading away and cessation of ignorance, cease kamma- formations.) 3. สงฺขารนโิ รธา วิฺาณนโิ รโธ เพราะสังขารดับ วญิ ญาณจึงดับ (Through the cessation of kamma-formations, ceases consciousness.) ฯลฯ 12. ชาตนิ โิ รธา ชรามรณํ เพราะชาตดิ ับ ชรามรณะ (จงึ ดบั ) (Through the cessation of birth, cease decay and death.) โสกปริเทวทกุ ขฺ โทมนสฺสุปายาสา นิรุชฌฺ นฺติ ความโศก ความครา่ํ ครวญ ทกุ ข โทมนสั ความคับแคนใจ ก็ดบั (Also cease sorrow, lamentation, pain, grief and despair.) เอวเมตสสฺ เกวลสฺส ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สฺส นิโรโธ โหต.ิ ความดับแหงกองทุกขทัง้ ปวงนี้ ยอ มมีดวยประการฉะน้ี (Thus comes about the cessation of this whole mass of suffering.) นี้เปน อนุโลมเทศนา ของปฏโิ ลมปฏิจจสมปุ บาท สวน ปฏิโลมเทศนา ก็พงึ แสดงยอ นวา ชรา มรณะ เปน ตน ดบั เพราะชาตดิ ับ ชาตดิ ับเพราะภพดับ ฯลฯ สงั ขารดบั เพราะอวิชชาดับ อยาง เดยี วกับในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ปฏจิ จสมปุ บาทนี้ มชี อื่ เรยี กอยา งอนื่ อกี ทสี่ าํ คญั คอื อทิ ปั ปจ จยตา (ภาวะทมี่ อี นั นๆ้ี เปน ปจ จยั — Idappaccayatà: specific conditionality) ธรรมนยิ าม (ความเปน ไปอนั แนน อนแหง ธรรมดา, กฎธรรมชาติ — Dhammaniyàma: orderliness of nature; natural law) และ ปจ จยาการ (อาการทสี่ ง่ิ ทง้ั หลายเปน ปจ จยั แกก นั — Paccayàkàra: mode of conditionality; structure of

[341] 256 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร conditions) เฉพาะชอื่ หลงั นเ้ี ปน คาํ ทน่ี ยิ มใชใ นคมั ภรี อ ภธิ รรม และคมั ภรี ร นุ อรรถกถา. Vin.I.1; S.II.1; Vbh.135; Vism.517; Comp.188 วินย.4/1/1; สํ.น.ิ 16/1/1; อภิ.วิ.35/274/185; วสิ ุทฺธ.ิ 3/107; สงฺคห.45. [,,,] ปจจยาการ 12 ดู [340] ปฏิจจสมปุ บาท. [,,,] สันโดษ 12 ดู [122] สันโดษ 3, 12 [341] อายตนะ 12 (สง่ิ ที่เชอื่ มตอ กันใหเกดิ ความรู, แดนตอ หรือแดนเกดิ แหง ความรู — âyatana: sense-fields; sense-spheres) 1. อายตนะภายใน 6 ดู [276] อายตนะภายใน 6. 2. อายตนะภายนอก 6 ดู [277] อายตนะภายนอก 6. Vbh.70. อภิ.ว.ิ 35/99/85. [342] ธุดงค 13 (องคคณุ เคร่ืองสลัดหรอื กําจัดกิเลส, ขอ ปฏบิ ตั เิ ขมงวด ที่สมคั รใจ สมาทานประพฤติประจําตวั ช่วั ระยะกาลส้นั หรอื ยาว หรือแมต ลอดชีวติ กไ็ ด เปนอบุ ายขัดเกลา กิเลส สง เสรมิ ความมักนอ ยสันโดษ เปน ตน — Dhutaïga: means of shaking off or removing defilements; austere practices; ascetic practices) หมวดที่ 1 จวี รปฏสิ งั ยตุ ต (เกยี่ วกบั จีวร — connected with robes) 1. ปงสุกูลิกังคะ (องคแหงผูถือทรงผาบังสุกุล คําสมาทานโดยอธิษฐานใจหรือเปลงวาจาวา “คหปติจวี รํ ปฏกิ ฺขปิ ามิ, ปส กุ ูลิกงคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “เรางดคฤหบดีจวี ร สมาทานองคแหง ผ—ู ” — Pa§sukålikaïga: refuse-rag-wearer’s practice) 2. เตจวี รกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื ทรงเพยี งไตรจวี ร คาํ สมาทานวา “จตตุ ถฺ จวี รํ ปฏิกฺขิปาม,ิ เตจวี รกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดจวี รผนื ท่ี 4 สมาทานองคแ หง ผ—ู ” —Tecãvarikaïga: triple-robe- wearer’s practice) หมวดท่ี 2 ปณ ฑปาตปฏสิ ังยตุ ต (เกีย่ วกับบณิ ฑบาต — connected with almsfood) 3. ปณฑปาติกงั คะ (องคแ หง ผูถ ือเที่ยวบิณฑบาต คําสมาทานวา “อตเิ รกลาภํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ, ปณ ฑฺ ปาติกงคฺ ํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจา งดอตเิ รกลาภ สมาทานองคแหง ผู—” — Piõóapàtikaïga: alms-food-eater’s practice) 4. สปทานจาริกังคะ (องคแหงผถู อื เท่ียวบณิ ฑบาตไปตามลาํ ดับ คําสมาทานวา“โลลปุ ปฺ จารํ ปฏกิ ฺขิปามิ, สปทานจาริกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดการเที่ยวตามใจอยาก สมาทาน องคแหง ผ—ู ” — Sapadànacàrikaïga: house-to-house-seeker’s practice) 5. เอกาสนกิ งั คะ (องคแหงผูถือนัง่ ฉนั ณ อาสนะเดียว คอื ฉนั วนั ละคร้งั เดียว ลกุ จากท่ี แลวไมฉ นั อีก คําสมาทานวา “นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขปิ ามิ, เอกาสนิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดการฉนั ณ ตา งอาสนะ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Ekàsanikaïga: one-sessioner’s practice)

หมวดเกนิ 10 257 [342] 6. ปตตปณ ฑกิ ังคะ (องคแหง ผูถ ือฉันเฉพาะในบาตร คือ ไมใชภาชนะใสอ าหารเกนิ 1 อยา งคอื บาตร คําสมาทานวา “ทุตยิ ภาชนํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ, ปตฺตปณ ฑฺ ิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดภาชนะที่สอง สมาทานองคแหงผ—ู ” — Pattapiõóikaïga: bowl-food-eater’s practice) 7. ขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื หา มภตั ทถี่ วายภายหลงั คอื เมอื่ ไดป ลงใจกาํ หนดอาหารที่ เปน สว นของตน ซง่ึ เรยี กวา หา มภตั ดว ยการลงมอื ฉนั เปน ตน แลว ไมร บั อาหารทเ่ี ขานาํ มาถวายอกี แมจ ะเปน ของประณตี คาํ สมาทานวา “อตริ ติ ตฺ โภชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ขลปุ จฉฺ าภตตฺ กิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดโภชนะอนั เหลอื เฟอ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Khalupacchà-bhattikaïga: later-food-refuser’s practice) หมวดที่ 3 เสนาสนปฏสิ งั ยตุ ต (เกยี่ วกบั เสนาสนะ — connected with the resting place) 8. อารญั ญิกังคะ (องคแ หงผถู อื อยปู า อยหู างบา นคนอยา งนอย 500 ชัว่ ธนู คือ 25 เสน คํา สมาทานวา “คามนตฺ เสนาสนํ ปฏิกขฺ ิปามิ, อารฺ กิ งฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขา พเจา งด เสนาสนะชายบาน สมาทานองคแ หง ผู—” — âra¤¤ikaïga: forest-dweller’s practice) 9. รกุ ขมลู กิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยโู คนไม คาํ สมาทานวา “ฉนนฺ ํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ รกุ ขฺ มลู กิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทมี่ งุ บงั สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Rukkhamålikaïga: tree-root- dweller’s practice) 10. อพั โภกาสกิ งั คะ (องคแหงผถู อื อยทู แี่ จง คาํ สมาทานวา “ฉนฺนฺจ รกุ ฺขมลู จฺ ปฏกิ ฺขิปามิ, อพโฺ ภกาสิกงคฺ ํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจา งดท่ีมุงบังและโคนไม สมาทานองคแหงผู—” — Abbhokàsikaïga: open-air-dweller’s practice) 11. โสสานิกังคะ (องคแหง ผถู ืออยปู าชา คาํ สมาทานวา “อสุสานํ ปฏิกฺขปิ าม,ิ โสสานกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทม่ี ใิ ชป า ชา สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Sosànikaïga: charnel- ground-dweller’s practice) 12. ยถาสนั ถตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยใู นเสนาสนะแลว แตเ ขาจดั ให คาํ สมาทานวา “เสนาสน- โลลปุ ปฺ  ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ยถาสนถฺ ตกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดความอยากเอาแตใ จในเสนาสนะ สมาทานองคแหง ผู—” — Yathàsanthatikaïga: any-bed-user’s practice) หมวดที่ 4 วิรยิ ปฏิสงั ยุตต (เก่ียวกับความเพียร — connected with energy) 13. เนสัชชกิ ังคะ (องคแหง ผถู อื การนัง่ คือเวนนอน อยดู วยเพียง 3 อิริยาบถ คําสมาทานวา “เสยยฺ ํ ปฏกิ ฺขปิ าม,ิ เนสชฺชิกงฺคํ สมาทยิ ามิ” แปลวา “ขา พเจา งดการนอน สมาทานองคแหง ผู— ” — Nesajjikaïga: sitter’s practice) ขอควรทราบเพิม่ เติมเกย่ี วกบั ธุดงค 13 ก. โดยยอ ธุดงคม ี 8 ขอ เทา น้ัน คอื 1) องคห ลัก 3 (สีสงั คะ — principal practices) คอื สปทานจาริกังคะ (เทากบั ไดร ักษา ปณ ฑปาตกิ งั คะดว ย) เอกาสนกิ งั คะ (เทา กบั ไดร กั ษาปต ตปณ ฑกิ งั คะ และขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ

[343] 258 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ดวย) และอัพโภกาสิกงั คะ (ทาํ ใหรุกขมูลกิ ังคะ กับยถาสนั ถติกังคะ หมดความจาํ เปน) 2) องคเ ดยี่ วไมค าบเกย่ี วขอ อนื่ 5 (อสมั ภนิ นงั คะ — individual practices) คอื อารญั ญกิ งั คะ ปง สกุ ลู กิ งั คะ เตจวี รกิ งั คะ เนสชั ชกิ งั คะ และโสสานกิ งั คะ ข. โดยนสิ สยั คอื ทอ่ี าศยั (dependence) มี 2 คอื ปจ จยั นสิ ติ 12 (อาศยั ปจ จยั — dependent on requisites) กบั วิริยนสิ ติ 1 (อาศัยความเพยี ร — dependent on energy) ค. โดยบุคคลผถู ือ 1) ภกิ ษุ ถอื ไดท ้งั 13 ขอ 2) ภิกษณุ ี ถอื ได 8 ขอ (คอื ขอ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 12, 13) 3) สามเณร ถอื ได 12 ขอ (คือเวนขอ 2 เตจวี รกิ ังคะ) 4) สิกขมานาและสามเณรี ถือได 7 ขอ (คอื ลดขอ 2 ออกจากท่ภี ิกษุณถี อื ได) 5) อุบาสกอบุ าสกิ า ถือได 2 ขอ (คอื ขอ 5 และ 6) ง. โดยระดับการถือ แตล ะขอ ถอื ได 3 ระดับ คือ 1) อยา งอุกฤษฎ หรืออยางเครง เชน ผถู อื อยูปา ตองใหไดอ รุณในปาตลอดไป 2) อยา งมธั ยม หรอื อยา งกลาง เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู น 4 เดอื น ที่ เหลืออยปู า 3) อยา งออ น หรอื อยา งเพลา เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู นและหนาว รวม 8 เดือน จ. ขอ 9 และ 10 คือ รกุ ขมูลกิ งั คะ และอพั โภกาสกิ งั คะ ถอื ไดเฉพาะนอกพรรษา เพราะวินยั กําหนดใหต องถอื เสนาสนะในพรรษา ฉ. ธุดงคไ มใ ชบ ทบญั ญัติทางวินยั ขึน้ กบั ความสมคั รใจ มีหลักทั่วไปในการถือวา ถา ถอื แลวชว ย ใหก รรมฐานเจรญิ หรือชวยใหกุศลธรรมเจรญิ อกุศลธรรมเสอื่ ม ควรถือ ถา ถือแลวทาํ ให กรรมฐานเส่อื ม หรอื ทาํ ใหกุศลธรรมเสอ่ื ม อกศุ ลธรรมเจรญิ ไมค วรถือ สวนผทู ่ีถอื หรอื ไมถ ือ กไ็ มท ําใหกรรมฐานเจริญหรือเส่ือม เชน เปน พระอรหันตแลว อยา งพระมหากัสสปะ เปนตน หรอื คนอน่ื ๆ กต็ าม ควรถอื ได ฝายแรกควรถือในเมอ่ื คดิ จะอนุเคราะหช ุมชนในภายหลงั ฝาย หลงั เพอื่ เปนวาสนาตอไป ช. ธุดงคทม่ี าในบาลเี ดิม ไมพบครบจํานวนในทเ่ี ดียว (ทีพ่ บจาํ นวนมาก คอื ม.อ.ุ 14/186/138; M.III.40 มขี อ 1, 3, 5, 8, 9, 10, 11, 12, 13; องฺ.ทสก.24/181/245; A.V.219 มีขอ 1, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13; ข.ุ ม.29/918/584; Nd1188 มขี อ 1, 2, 3, 4, 7, 8, 12, 13) นอกจากคมั ภีรปรวิ าร (วนิ ย.8/982/330; 1192/475; Vin.V.131,198) ซึ่งมหี ัวขอครบถวน สวนคําอธิบายทั้งหมดพึงดูในคัมภีรวสิ ทุ ธิมัคค. Vism.59–83. วสิ ุทธฺ .ิ 1/73–104. [343] กิจ หรอื วิญญาณกิจ 14 (กจิ ของวญิ ญาณ, หนา ทข่ี องจติ — Vi¤¤àõa-kicca: functions of consciousness; psychic functions)

หมวดเกิน 10 259 [344] 1. ปฏิสนธิ (หนา ทส่ี ืบตอภพใหม ไดแกจ ิต 19 คอื อเุ บกขาสนั ตรี ณะ 2 มหาวบิ าก 8 รปู วบิ าก 5 อรปู วิบาก 4 — Pañisandhi: re-linking; rebirth-linking) 2. ภวังคะ (หนาที่เปนองคของภพ ไดแ กจติ 19 อยางเดยี วกับปฏสิ นธิ — Bhavaïga: life- continuum; factor of being) 3. อาวัชชนะ (หนา ที่คํานึงอารมณใหม ไดแก จติ 2 คอื ปญจทวาราวัชชนะ และมโนทวารา- วชั ชนะ — âvajjana: apprehending; adverting) 4. ทัสสนะ (หนาท่ีเหน็ รูป ไดแ ก จักขวุ ิญญาณ 2 — Dassana: seeing) 5. สวนะ (หนาทไ่ี ดยนิ เสยี ง ไดแ ก โสตวิญญาณ 2 — Savana: hearing) 6. ฆายนะ (หนา ทีร่ กู ลิ่น ไดแก ฆานวิญญาณ 2 — Ghàyana: smelling) 7. สายนะ (หนา ทีล่ ิ้มรส ไดแก ชิวหาวิญญาณ 2 — Sàyana: tasting) 8. ผสุ นะ (หนา ทถี่ กู ตอ งโผฏฐพั พะ ไดแ ก กายวญิ ญาณ 2 — Phusana: contacting; touching) 9. สมั ปฏิจฉนะ (หนา ที่รบั อารมณ ไดแก สมั ปฏจิ ฉนะ 2 — Sampañicchana: receiving) 10. สันตรี ณะ (หนา ท่พี จิ ารณาอารมณ ไดแ ก สนั ตรี ณะ 3 — Santãraõa: investigating) 11. โวฏฐพั พนะ หรอื โวฏฐปนะ (หนา ทต่ี ดั สนิ อารมณ ไดแ ก มโนทวาราวชั ชนะ 1 — Voññhapana: determining) 12. ชวนะ (หนา ทแ่ี ลน เสพอารมณ อนั เปน ชว งทท่ี าํ กรรม ไดแ ก จติ 55 คอื กศุ ลจติ 21, อกศุ ล จติ 12, กริ ยิ าจติ 18 คอื เวน อาวชั ชนะทง้ั สอง โลกตุ ตรผลจติ 4 — Javana: apperception; impulsion) 13. ตทาลมั พนะ (หนา ที่รับอารมณต อจากชวนะกอ นตกภวงั ค ไดแก จติ 11 คอื มหาวิบาก 8 สันตรี ณะ 3 — Tadàlambana: retention; registration) 14. จตุ ิ (หนา ทเี่ คลอ่ื นจากภพปจ จบุ นั ไดแ ก จติ 19 อยา งเดยี วกบั ในปฏสิ นธิ — Cuti: decease; death; shifting) จดั โดยฐานทจ่ี ติ ทาํ กจิ 14 นี้ มี 10 คอื รวมขอ 4, 5, 6, 7, 8 เปน ขอ เดยี ว คอื ปญ จวญิ ญาณ- ฐาน (fivefold sense-impressions) นอกนนั้ คงชอื่ เดมิ กจิ 14 นี้ ในวิสุทธิมคั คเรียกวา วญิ ญาณปวตั ติ หรอื วิญญาณปวัตติอาการ (อาการที่ วญิ ญาณเปนไป — modes of occurrence of consciousness) ดู [356] จิต 89. Vism.457; Comp.114. วิสุทธฺ .ิ 3/29; สงฺคห.15 [344] จรณะ 15 (ความประพฤติ, ปฏิปทา, ขอ ปฏิบตั อิ นั เปนทางบรรลวุ ิชชา หรือนพิ พาน — Caraõa: conduct; course of practice) 1. สีลสมั ปทา (ความถงึ พรอ มดว ยศลี คอื ประพฤติถูกตอ งดงี าม สํารวมในพระปาฏิโมกข มี มารยาทเรยี บรอ ย ประพฤตเิ ครง ครดั ในสกิ ขาบททง้ั หลาย — Sãla-sampadà: accomplishment of

[345] 260 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร morals) 2. อปณณกปฏิปทา 3 ดู [128] อปณณกปฏปิ ทา 3 3. สัทธรรม 7 ดู [301] สปั ปรุ ิสธรรม 8 ขอ 1. 4. ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4 ในบาลที ่มี า ทานเรยี กวา เปน เสขปฏปิ ทา คอื ขอ ปฏบิ ตั อิ นั เปนทางดาํ เนนิ ของพระเสขะ (a learner’s course of practice) M.I.354. ม.ม.13/26/26. [345] ญาณ 16 หรอื โสฬสญาณ (ความหย่ังรู ในทน่ี ้หี มายถงึ ญาณท่เี กดิ ข้นึ แกผ ู เจรญิ วปิ ส สนาตามลําดับ ตั้งแตต น จนถงึ ทส่ี ดุ — Soëasa-¤àõa: insight; knowledge) 1. นามรปู ปรจิ เฉทญาณ (ญาณกาํ หนดจาํ แนกรนู ามและรปู คอื รวู า สงิ่ ทง้ั หลายมแี ตร ปู ธรรม และนามธรรม และกาํ หนดแยกไดว า อะไรเปน รปู ธรรม อะไรเปน นามธรรม —Nàmaråpa- pariccheda-¤àõa: knowledge of the delimitation of mentality–materiality) 2. ปจ จยปรคิ คหญาณ (ญาณกาํ หนดรปู จ จัยของนามและรูป คือรูวา รูปธรรมและนามธรรม ทง้ั หลายเกิดจากเหตปุ จจยั และเปน ปจจัยแกกัน อาศัยกัน โดยรูตามแนวปฏจิ จสมุปบาท ก็ดี ตามแนวกฎแหงกรรมก็ดี ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ดี เปน ตน — Paccaya-pariggaha-¤àõa: knowledge of discerning the conditions of mentality–materiality) 3. สมั มสนญาณ (ญาณกาํ หนดรูดว ยพิจารณาเห็นนามและรปู โดยไตรลักษณ คือ ยกรูปธรรม และนามธรรมทง้ั หลายขนึ้ พจิ ารณาโดยเหน็ ตามลกั ษณะท่เี ปน ของไมเท่ียง เปน ทกุ ข มิใชตวั ตน — Sammasana-¤àõa: knowledge of comprehending mentality–materiality as impermanent, unsatisfactory and not-self) 4.–12. ไดแ ก วิปสสนาญาณ 9 ดู [311] 13. โคตรภูญาณ (ญาณครอบโคตร คือ ความหยัง่ รูที่เปนหวั ตอแหง การขามพน จากภาวะ ปุถชุ นเขา สูภาวะอริยบุคคล — Gotrabhå-¤àõa: knowledge at the moment of the “Change-of-lineage”) 14. มคั คญาณ (ญาณในอรยิ มรรค คือ ความหย่งั รูที่ใหสําเรจ็ ภาวะอรยิ บุคคลแตละขนั้ — Magga-¤àõa: knowledge of the Path) 15. ผลญาณ (ญาณในอรยิ ผล คอื ความหย่งั รทู ่ีเปน ผลสําเร็จของพระอรยิ บุคคลช้ันนน้ั ๆ — Phala-¤àõa: knowledge of Fruition) 16. ปจจเวกขณญาณ (ญาณหย่งั รดู วยการพิจารณาทบทวน คอื สาํ รวจรมู รรคผล กเิ ลสท่ลี ะ แลว กิเลสท่เี หลืออยู และนิพพาน เวนแตวาพระอรหนั ตไมมีการพิจารณากเิ ลสท่ียังเหลืออยู — Paccavekkhaõa-¤àõa: knowledge of reviewing) ในญาณ 16 น้ี 14 อยาง (ขอ 1–13 และ 16) เปน โลกยี ญาณ, 2 อยาง (ขอ 14 และ 15)

หมวดเกนิ 10 261 [346] เปน โลกุตตรญาณ ญาณ 16 (บางทีเรยี กวา โสฬสญาณ ซ่ึงกแ็ ปลวาญาณ 16 นั่นเอง) ทจี่ ดั ลําดบั เปน ชุดและ เรียกชอื่ เฉพาะอยางน้ี มใิ ชม าในพระบาลีเดิมโดยตรง พระอาจารยใ นสายวงการวิปสสนาธุระได สอนสืบกนั มา โดยประมวลจากคัมภรี ป ฏิสมั ภิทามัคค และวิสุทธิมัคค ในกาลตอมา (พึงดู ขุ.ปฏิ.31/มาตกิ า/1–2 = Ps.1 และ วิสทุ ธฺ ิ.3/206–328 = Vism.587–678) [,,,] รูปพรหม หรอื พรหมโลก 16 ดู [351] ภมู ิ 4 หรือ 31. [,,,] โสฬสวัตถุกอานาปานสติ ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน [,,,] อานาปานสติ 16 ขั้น ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน [346] อานาปานสติ 16 ฐาน (สติกาํ หนดลมหายใจ, การเจริญอานาปานสติ คอื ใช สตกิ ําหนดลมหายใจเขา –ออก แบบท่เี ปน การเจรญิ สติปฏ ฐานไปดว ยครบทั้ง 4 — Soëasa– vatthuka-ànàpànassati: mindfulness of breathing with sixteen bases) จตุกกะที่ 1: กายานปุ สสนา 1) ทฆี ํ วา อสสฺ สนฺโต ‘ทฆี ํ อสฺสสาม’ี ติ ปชานาต,ิ ทีฆํ วา ปสฺสสนฺโต ‘ทฆี ํ ปสฺสสามี’ติ ปชานาติ; 2) รสสฺ ํ วา อสฺสสนโฺ ต ‘รสฺสํ อสฺสสามี’ติ ปชานาต,ิ รสสฺ ํ วา ปสฺสสนโฺ ต ‘รสฺสํ ปสฺสสาม’ี ติ ปชานาต;ิ 3) ‘สพฺพกายปฏสิ ํเวที อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ ‘สพพฺ กายปฏสิ เํ วที ปสฺสสิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ; 4) ‘ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ติ, ‘ปสฺสมภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ ปสฺสสิสฺสามี’ติ สกิ ฺขต.ิ 1) เม่อื หายใจเขายาว เธอกร็ ูชัดวา เราหายใจเขา ยาว หรอื เมอื่ หายใจออกยาว เธอก็รชู ดั วา เราหายใจออกยาว 2) เมื่อหายใจเขาสนั้ เธอก็รชู ัดวา เราหายใจเขาส้ัน หรือเมือ่ หายใจออกส้ัน เธอกร็ ูชดั วา เราหายใจออกสน้ั 3) เธอสําเหนยี กวา เราจกั รูท ่วั กาย(กองลม)ทง้ั หมด หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั รูท ่ัวกาย(กองลม)ทัง้ หมด หายใจออก 4) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั ผอนระงับกายสังขาร หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั ผอนระงับกายสงั ขาร หายใจออก 1. Breathing in long, he knows: “I am breathing in long”; or breathing out long, he knows: “I am breathing out long”.

[346] 262 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 2. Breathing in short, he knows: “I am breathing in short”; or breathing out short, he knows: “I am breathing out short”. 3. He trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe out”. 4. He trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe out”. จตกุ กะที่ 2: เวทนานปุ ส สนา 5) ‘ปต ิปฏสิ เํ วที อสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สิกขฺ ต,ิ ‘ปติปฏสิ ํเวที ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขต;ิ 6) ‘สขุ ปฏิสเํ วที อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ต,ิ ‘สขุ ปฏิสเํ วที ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกขฺ ต;ิ 7) ‘จติ ฺตสงฺขารปฏสิ ํเวที อสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ, ‘จติ ตฺ สงขฺ ารปฏสิ เํ วที ปสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ; 8) ‘ปสสฺ มฺภยํ จติ ตฺ สงฺขารํ อสสฺ สิสฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ ‘ปสฺสมฺภยํ จติ ตฺ สงขฺ ารํ ปสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ต.ิ 5) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั เสวยรูปติ หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรูปติ หายใจออก 6) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรคู วามสุข หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรูความสุข หายใจออก 7) เธอสําเหนยี กวา เราจกั เสวยรูจิตสังขารหายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจักเสวยรจู ิตสงั ขาร หายใจออก 8) เธอสาํ เหนียกวา เราจักผอนระงับจติ สังขาร หายใจเขา เธอสาํ เหนียกวา เราจักผอ นระงับจิตสังขาร หายใจออก 5. He trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe out”. 6. He trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe out”. 7. He trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe out”. 8. He trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe in”; he trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe out”.

หมวดเกนิ 10 263 [346] จตกุ กะท่ี 3: จติ ตานุปส สนา 9) ‘จติ ตฺ ปฏิสเํ วที อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ฺขต,ิ ‘จติ ฺตปฏิสํเวที ปสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ; 10) ‘อภิปปฺ โมทยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ, ‘อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ติ 11) ‘สมาทหํ จิตฺตํ อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ ‘สมาทหํ จิตตฺ ํ ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขต;ิ 12) ‘วโิ มจยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สิกขฺ ติ, ‘วโิ มจยํ จติ ตฺ ํ ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ. 9) เธอสําเหนียกวา เราจักรทู ว่ั ถงึ จิต หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั รทู ั่วถงึ จติ หายใจออก 10) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั ทาํ จิตใหรา เรงิ หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจักทาํ จิตใหราเรงิ หายใจออก 11) เธอสําเหนียกวา เราจกั ทําจติ ใหต งั้ มัน่ หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจกั ทําจิตใหต ั้งม่ัน หายใจออก 12) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปลื้องจติ หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปล้อื งจิต หายใจออก 9. He trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe out”. 10. He trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe out”. 11. He trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe out”. 12. He trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe in”; he trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe out”. จตุกกะที่ 4: ธัมมานุปส สนา 13) ‘อนิจจฺ านุปสฺสี อสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สกิ ฺขต,ิ ‘อนจิ จฺ านุปสฺสี ปสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สิกขฺ ต;ิ 14) ‘วิราคานปุ สสฺ ี อสสฺ สสิ ฺสาม’ี ติ สกิ ฺขติ, ‘วริ าคานุปสฺสี ปสฺสสสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขต;ิ 15) ‘นิโรธานุปสฺสี อสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขติ,

[346] 264 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ‘นิโรธานปุ สฺสี ปสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สิกขฺ ติ; 16) ‘ปฏินิสสฺ คคฺ านุปสฺสี อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ, ‘ปฏินิสฺสคคฺ านปุ สฺสี ปสฺสสิสฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ต.ิ 13) เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความไมเทย่ี ง หายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเห็นความไมเท่ียง หายใจออก 14) เธอสําเหนียกวา เราจกั พิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจเขา เธอสาํ เหนยี กวา เราจักพิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจออก 15) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความดบั กิเลส หายใจเขา เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเห็นความดับกิเลส หายใจออก 16) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเหน็ ความสลดั คนื ได หายใจเขา เธอสําเหนียกวา เราจักพจิ ารณาเห็นความสลดั คืนได หายใจออก 13. He trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe out”. 14. He trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe out”. 15. He trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe out”. 16. He trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe in”; he trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe out”. ขอ ควรทราบ: ก) คาํ วา หายใจเขา และ หายใจออก นนั้ พงึ ทราบวา เปน คาํ ทม่ี กี ารแปลตา งกนั คอื อรรถกถาแหง พระวนิ ยั แปล อสสฺ าส วา “หายใจออก” และ ปสสฺ าส วา “หายใจเขา ” สว นอรรถกถาแหง พระสตู รแปล กลบั ตรงขา ม คอื แปล อสสฺ าส วา “หายใจเขา ” และ ปสสฺ าส วา “หายใจออก” ในทนี่ ถ้ี อื ตามคาํ แปล ของอรรถกถาแหงพระสูตร ผศู ึกษาทราบอยา งน้แี ลว จะใชแบบใดกไ็ ด พึงเลอื กตามปรารถนา ข) “สําเหนยี กวา” เปนคําแปลตามสํานวนเกา หมายถึงคําบาลวี า สกิ ฺขติ จะแปลแบบทบั ศัพทเ ปน “ศึกษาวา ” กไ็ ด ค) ธรรมหมวดนี้ เรยี กตามบาลแี หง คมั ภรี ป ฏสิ มั ภทิ ามคั คว า โสฬสวตั ถกุ อานาปานสติ (เชน ข.ุ ปฏ.ิ 31/361/244; 386/260=Ps.I.162; 173 คาํ บาลเี ดิมเปน โสฬสวตฺถุกา อานาปานสฺสติ บาง โสฬสวตถฺ ุโก อานาปานสสฺ ตสิ มาธิ บา ง บางทอี รรถกถาก็เรยี กยกั เยือ้ งไปวา โสฬสวตฺถุกา อานาปานสสฺ ติ- สมาธภิ าวนา บา ง โสฬสวตถฺ ุกํ อานาปานสฺสตกิ มฺมฏานํ บาง) แปลแบบรักษาศัพทวา “อานา- ปานสตมิ วี ตั ถุ 16” แตในทนี่ ้เี ลือกแปลตามคาํ อธบิ ายในคัมภีร ปรมัตถมญั ชสุ า มหาฎีกาแหง วสิ ทุ ธิมคั ค (วิสุทธฺ .ิ ฏีกา2/34) วา “อานาปานสติ 16 ฐาน” เพราะในภาษาไทย คาํ วา ฐาน เปน คาํ ทค่ี นุ

หมวดเกนิ 10 265 [347] และชว ยสอ่ื ความหมายของคาํ วา วตั ถุ ในทนี่ ไี้ ดด ี แตจ ะแปลวา “อานาปานสติ 16 หลกั ” หรือ “อานาปานสติ 16 หวั ขอ (หรอื 16 ขอ )” กไ็ ด บางทกี เ็ รยี กใหฟ ง เปน ลาํ ดบั วา “อานาปานสติ 16 ขนั้ ” ง) 16 ฐาน หรือ 16 หลกั หรือ 16 หวั ขอ หรือ 16 ขอ หรอื 16 ขั้นนน้ั ทานจัดเปน 4 จตกุ กะ คือเปน หมวดส่ี 4 หมวด ดงั นี้ 1. กายานุปสสนาจตุกกะ (หมวดสี่แหงกายานปุ สสนา) 2. เวทนานปุ ส สนาจตุกกะ (หมวดสแ่ี หง เวทนานปุ สสนา) 3. จิตตานุปสสนาจตกุ กะ (หมวดสแ่ี หง จติ ตานปุ สสนา) 4. ธมั มานุปส สนาจตกุ กะ (หมวดสี่แหง ธมั มานุปส สนา) เปนการระบุชดั วา สว นไหนเปนสติปฏ ฐานขอใด จ) วาโดยไตรสกิ ขา ระหวา งปฏิบัตินัน้ • ความมีกายวาจาตั้งอยูในความสงบสํารวม โดยมีเจตนาอันปลอดจากการละเมิดหรือ เบียดเบียน (กายิกวาจสกิ อวตี กิ กมะ) เปน ศีล • การมีสตกิ าํ หนด ดวยจิตท่ตี ั้งม่ันมีอารมณหนงึ่ เดียวตามทีก่ าํ หนด (จติ ตสั เสกัคตา) เปน สมาธิ • ความมีสมั ปชญั ญะรูทั่วพรอม มองเห็นตามสภาวะ เปน ปญ ญา ฉ) ในการปฏบิ ตั ินี้ ศีลเปนเพียงฐานที่รองรบั อยู สวนธรรมท่ปี ฏบิ ัติซงึ่ จะเจรญิ ข้นึ ไป คือ สมาธิ และปญ ญา อนั ไดแ ก สมถะ และวิปส สนา ในขอตอ ไป ช) ในการปฏบิ ัติท้งั หมดน้ี สามจตุกกะแรก มที ้ัง สมถะ และ วิปสสนา แตจ ตกุ กะที่ ๔ เปน วิปส สนา ลวน ฌ) โสฬสวัตถกุ อานาปานสติ น้ี พระพทุ ธเจาตรัสแสดงบอย พบไดหลายแหงในพระไตรปฎก แตท ่ปี ระมวลเร่ืองเกี่ยวขอ งและขอความแวดลอมไวครบถวน ซ่ึงรูจกั กนั ดแี ละเปนทอี่ างอิงกนั ทว่ั ไป คอื อานาปานสติสตู ร (ม.อุ.14/282–291/190–202=MIII.78–88) นอกจากนั้นยังมคี าํ อธิบายโดย พสิ ดารในพระไตรปฎ ก ปรากฏใน ปฏสิ ัมภทิ ามคั ค (ข.ุ ปฏ.ิ 31/361–422/244-299; = Ps.I.162–196) สว นใน ชน้ั อรรถกถา กม็ อี ธบิ ายหลายแหง โดยเฉพาะทค่ี น ควา ไดส ะดวก คอื วสิ ทุ ธมิ คั ค (วสิ ุทธ .ิ 2/52-88= Vism.266–293) Vin.III.70; M.I.425; M.III.82; S.V.311; วนิ ย.1/178/132; ม.ม.13/146/140; ม.อุ.14/287/193; A.V.111; Ps.I.162. ส.ํ ม.19/1305/394; อง.ทสก.24/60/119; ข.ุ ปฏ.ิ 31/361/244. [347] อุปกิเลส หรอื จิตตอุปกิเลส 16 (ธรรมเครอ่ื งเศรา หมอง, สิง่ ทท่ี ําใหจ ติ ขุน มัว รบั คณุ ธรรมไดยาก ดุจผาเปรอะเปอนสกปรก ยอ มไมไดด ี — Upakkilesa: mental defilements) 1. อภชิ ฌาวสิ มโลภะ (คดิ เพง เลง็ อยากได โลภไมส มควร, โลภกลา จอ งจะเอา ไมเ ลอื กควรไม ควร — Abhijjhà-visamalobha: greed and covetousness; covetousness and

[348] 266 พจนานุกรมพุทธศาสตร unrighteous greed) 2. พยาบาท (คิดรา ยเขา — Byàpàda: malevolence; illwill) 3. โกธะ (ความโกรธ — Kodha: anger) 4. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ — Upanàha: grudge; spite) 5. มักขะ (ความลบหลูคุณทา น, ความหลคู วามดีของผอู ื่น, การลบลางปด ซอนคุณคา ความดี ของผอู น่ื — Makkha: detraction; depreciation; denigration) 6. ปลาสะ (ความตเี สมอ, ยกตวั เทยี มทาน, เอาตัวขึน้ ต้งั ขวางไว ไมยอมยกใหใครดกี วา ตน — Palàsa: domineering; rivalry; envious rivalry) 7. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy) 8. มัจฉรยิ ะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness) 9. มายา (มารยา — Màyà: deceit) 10. สาเถยยะ (ความโออวดหลอกเขา, หลอกดว ยคาํ โออ วด — Sàñheyya: hypocrisy) 11. ถมั ภะ (ความหวั ดือ้ , กระดา ง — Thambha: obstinacy; rigidity) 12. สารมั ภะ (ความแขง ด,ี ไมย อมลดละ มงุ แตจ ะเอาชนะกนั — Sàrambha: presumption; competing contention; contentiousness; contentious rivalry; vying; strife) 13. มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน — Màna: conceit) 14. อตมิ านะ (ความถอื ตัววา ย่ิงกวา เขา, ดูหม่ินเขา — Atimàna: excessive conceit; contempt) 15. มทะ (ความมัวเมา — Mada: vanity) 16. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเลอ — Pamàda: heedlessness; negligence; indolence) ขอ 2 มีตางออกไป คือ ในธมั มทายาทสตู ร เปน โทสะ (ความคิดประทษุ รายเขา — hatred) (ม.ม.ู 12/26/26) M.I.36. ม.มู.12/93/65. [348] ธาตุ 18 (ส่ิงท่ที รงสภาวะของตนอยเู อง ตามที่เหตุปจจัยปรุงแตง ขึ้น เปน ไปตามธรรม นยิ ามคือกาํ หนดแหงธรรมดา ไมม ผี สู รา งผบู นั ดาล และมีรูปลักษณะกจิ อาการเปน แบบจาํ เพาะ ตวั อันพึงกําหนดเอาเปนหลกั ไดแ ตละอยา งๆ — Dhàtu: elements) 1. จกั ขุธาตุ (ธาตคุ อื จกั ขปุ สาท — Cakkhu-dhàtu: eye element) 2. รูปธาตุ (ธาตุคือรูปารมณ — Råpa~: visible-data element) 3. จกั ขวุ ิญญาณธาตุ (ธาตุคือจักขวุ ญิ ญาณ — Cakkhuvi¤¤àõa~: eye-consciousness element) 4. โสตธาตุ (ธาตคุ อื โสตปสาท — Sota~: ear element)

หมวดเกิน 10 267 [349] 5. สัททธาตุ (ธาตุคอื สัททารมณ — Sadda~: sound element) 6. โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุคือโสตวิญญาณ — Sotavi¤¤àõa~: ear-consciousness element) 7. ฆานธาตุ (ธาตุคือฆานปสาท — Ghàna~: nose element) 8. คันธธาตุ (ธาตุคือคนั ธารมณ — Gandha~: odour element) 9. ฆานวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือฆานวญิ ญาณ — Ghànavi¤¤àõa~: nose-consciousness element) 10. ชวิ หาธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาปสาท — Jivhà~: tongue element) 11. รสธาตุ (ธาตุคอื รสารมณ — Rasa~: flavour element) 12. ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาวญิ ญาณ — Jivhàvi¤¤àõa~: tongue-consciousness element) 13. กายธาตุ (ธาตุคือกายปสาท — Kàya~: body element) 14. โผฏฐัพพธาตุ (ธาตุคอื โผฏฐัพพารมณ — Phoññhabba~: tangible-data element) 15. กายวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือกายวิญญาณ — Kàyavi¤¤àõa~: body-consciousness element) 16. มโนธาตุ (ธาตุคอื มโน — Mano~: mind element) 17. ธรรมธาตุ (ธาตุคอื ธรรมารมณ — Dhamma~: mental-data element) 18. มโนวิญญาณธาตุ (ธาตคุ ือมโนวิญญาณ — Manovi¤¤àõa~: mind-consciousness element) ขอ ควรสังเกต ก. ขอ 3, 6, 9, 12, 15 ไดแ ก ทวิปญจวญิ ญาณจิต รวมเปน จิต = 10 ข. ขอ 16 มโนธาตุ ไดแ ก สมั ปฏิจฉนะ 2 กบั ปญ จทวาราวชั ชนะ 1 รวมเปน จิต = 3 ค. ขอ 18 มโนวญิ ญาณธาตุ ไดแ ก จติ นอกเหนอื จากนนั้ อกี = 76 รวมเปนจติ ทัง้ ส้นิ = 89 ดู [356] จติ 89 หรอื 121. Vbh.87; Vism.484; Comp.183. อภิ.วิ.35/124/108; วสิ ทุ ฺธิ.3/65; สงคฺ ห.44. [349] อินทรีย 22 (ส่งิ ท่ีเปนใหญใ นการทํากจิ ของตน คือ ทําใหธ รรมอื่นๆ ที่เก่ียวขอ ง เปนไปตามตน ในกิจนนั้ ๆ ในขณะท่ีเปนไปอยูนนั้ — Indriya: faculties) หมวดที่ 1 1. จักขุนทรยี  (อินทรีย คอื จักขุปสาท — Cakkhundriya: eye-faculty) 2. โสตนิ ทรีย (อนิ ทรีย คือ โสตปสาท — Sotindriya: ear-faculty)

[349] 268 พจนานุกรมพุทธศาสตร 3. ฆานนิ ทรยี  (อินทรยี  คือ ฆานปสาท — Ghànindriya: nose-faculty) 4. ชวิ หินทรีย (อินทรีย คอื ชิวหาปสาท — Jivhindriya: tongue-faculty) 5. กายนิ ทรีย (อินทรีย คือ กายปสาท — Kàyindriya: body-faculty) 6. มนนิ ทรยี  (อินทรยี  คือ ใจ ไดแก จิต ทจี่ ําแนกเปน 89 หรือ 121 ก็ตาม — Manindriya: mind-faculty) หมวดที่ 2 7. อติ ถินทรีย (อนิ ทรยี  คอื อติ ถภี าวะ — Itthindriya: femininity faculty) 8. ปุริสินทรีย (อินทรยี  คอื ปุรสิ ภาวะ — Purisindriya: masculinity faculty; virility) 9. ชีวิตินทรยี  (อินทรยี  คอื ชีวิต — Jãvitindriya: life faculty; vitality) หมวดที่ 3 10. สขุ นิ ทรยี  (อนิ ทรีย คอื สขุ เวทนา — Sukhindriya: bodily-pleasure faculty) 11. ทกุ ขนิ ทรีย (อินทรีย คอื ทกุ ขเวทนา — Dukkhindriya: bodily-pain faculty) 12. โสมนสั สินทรยี  (อนิ ทรยี  คอื โสมนสั สเวทนา — Somanassindriya: joy faculty) 13. โทมนัสสนิ ทรีย (อินทรีย คือ โทมนสั สเวทนา — Domanassindriya: grief faculty) 14. อุเปกขินทรยี  (อินทรีย คอื อเุ บกขาเวทนา — Upekkhindriya: indifference faculty) หมวดที่ 4 15. สัทธนิ ทรีย (อนิ ทรยี  คือ ศรทั ธา — Saddhindriya: faith faculty) 16. วริ ิยินทรีย (อินทรยี  คือ วริ ยิ ะ — Viriyindriya: energy faculty) 17. สตินทรีย (อินทรยี  คอื สติ — Satindriya: mindfulness faculty) 18. สมาธินทรีย (อินทรีย คอื สมาธิ ไดแ ก เอกคั คตา — Samàdhindriya: concentration faculty) 19. ปญญนิ ทรีย (อินทรยี  คือ ปญ ญา — Pa¤¤indriya: wisdom faculty) หมวดที่ 5 20. อนัญญาตัญญสั สามตี นิ ทรยี  (อนิ ทรยี แหงผูป ฏบิ ัตดิ วยมุงวาเราจักรสู จั จธรรมทย่ี งั มิไดรู ไดแ ก โสตาปตติมัคคญาณ — Ana¤¤àta¤¤assàmãtindriya: ‘I shall come to know the unknown’ faculty, i.e. knowledge of the Stream-Entry Path.) 21. อัญญินทรยี  (อินทรยี  คอื อัญญา หรอื ปญ ญาอนั รูท ว่ั ถึง ไดแก ญาณ 6 ในทามกลาง คือ โสตาปต ตผิ ลญาณ ถงึ อรหัตตมคั คญาณ — A¤¤indriya: perfect-knowledge faculty, i.e. knowledge of the six intermediate Paths and Fruitions) 22. อญั ญาตาวนิ ทรีย (อินทรียแหง ทานผรู ูทั่วถงึ แลว กลา วคอื ปญญาของพระอรหันต ไดแก อรหัตตผลญาณ — A¤¤àtàvindriya: perfect-knower faculty, i.e. knowledge of the Fruition of Arahantship)

หมวดเกนิ 10 269 [350] อินทรยี  22 น้ี ท่ีมาในพระสูตร มกี ระจายอยูเ ปน หมวดๆ ในทหี่ ลายแหง ไมครบทง้ั 22 ในที่ เดยี วกัน เฉพาะทีม่ าสาํ คญั ไดแก อินทรยี สังยตุ ต (ส.ํ ม.19/843–1089/256–318; S.V.193–243) สวนทม่ี า ในพระอภิธรรม และปกรณพ ิเศษภายหลงั มี วิสทุ ธิมคั ค และ อภิธมั มัตถสังคหะ เปนตน มคี ํา อธิบายโดยพสิ ดาร Vbh.122; Vism.491; Comp.175. อภิ.ว.ิ 35/236/161; วิสทุ ธฺ ิ.3/72; สงฺคห.41. [350] ปจจัย 24 (ลักษณะหรอื อาการแหงความสัมพนั ธระหวา งสิง่ ทัง้ หลาย ที่ส่ิงหนง่ึ หรอื สภาวธรรมอยางหนึ่ง เปน องคประกอบท่ีชว ยเอ้ือ เกือ้ หนนุ คํา้ จุน เปน เหตุ หรือเปนเง่ือนไข ให สงิ่ อ่นื หรอื สภาวธรรมอยางอน่ื เกดิ ขนึ้ คงอยู หรอื เปน ไปอยางใดอยางหน่งึ — Paccaya: condition; mode of conditionality or relation) 1. เหตุปจ จยั (ปจจยั โดยเปนเหตุ — Hetu-paccaya: root condition) 2. อารัมมณปจ จยั (ปจ จัยโดยเปน อารมณ — ârammaõa-paccaya: object condition) 3. อธปิ ตปิ จ จยั (ปจ จยั โดยเปน เจา ใหญ — Adhipati-paccaya: predominance condition) 4. อนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเนือ่ งไมมีชองระหวา ง — Anantara-paccaya: immediacy condition) 5. สมนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเนื่องทันที — Samanantara-paccaya: contiguity condition) 6. สหชาตปจจัย (ปจจัยโดยเกิดรว มกัน — Sahajàta-paccaya: connascence condition) 7. อญั ญมญั ญปจ จัย (ปจจัยโดยอาศยั ซ่งึ กันและกนั — A¤¤ama¤¤a-paccaya: mutuality condition) 8. นสิ สยปจ จยั (ปจ จัยโดยเปนทอี่ าศัย — Nissaya-paccaya: dependence condition) 9. อปุ นสิ สยปจจยั (ปจจัยโดยเปน เครอื่ งหนนุ หรือกระตุนเรา — Upanissaya-paccaya: decisive-support condition; inducement condition) 10. ปุเรชาตปจจยั (ปจจยั โดยเกดิ กอน — Purejàta-paccaya: prenascence condition) 11. ปจ ฉาชาตปจจัย (ปจ จยั โดยเกดิ ทีหลงั — Pacchàjàta-paccaya: postnascence condition) 12. อาเสวนปจจัย (ปจจัยโดยการซํ้าบอยหรือทําใหชิน — âsevana-paccaya: repetition condition) 13. กรรมปจ จยั (ปจ จยั โดยเปน กรรมคอื เจตจาํ นง — Kamma-paccaya: kamma condition) 14. วปิ ากปจจัย (ปจ จยั โดยเปน วิบาก — Vipàka-paccaya: kamma-result condition) 15. อาหารปจ จัย (ปจ จยั โดยเปน อาหาร คือเปน เครื่องหลอ เล้ยี ง — âhàra-paccaya: nutriment condition) 16. อินทรียปจจัย (ปจ จัยโดยเปนเจาการ — Indriya-paccaya: faculty condition)

[351] 270 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 17. ฌานปจ จยั (ปจ จยั โดยภาวะจติ ทเ่ี ปน ฌาน — Jhàna-paccaya: absorption condition) 18. มรรคปจ จัย (ปจ จยั โดยเปนมรรค — Magga-paccaya: path condition) 19. สมั ปยุตตปจจยั (ปจจยั โดยประกอบกัน — Sampayutta-paccaya: association condition) 20. วปิ ปยตุ ตปจ จยั (ปจ จยั โดยแยกตา งหากกนั — Vippayutta-paccaya: dissociation condition) 21. อัตถิปจ จยั (ปจ จยั โดย[ตอง]มอี ยู — Atthi-paccaya: presence condition) 22. นตั ถปิ จจยั (ปจ จยั โดย[ตอ ง]ไมมีอยู — Natthi-paccaya: absence condition) 23. วิคตปจจัย (ปจจัยโดย[ตอง]ปราศไป — Vigata-paccaya: disappearance condition) 24. อวคิ ตปจจยั (ปจจยั โดย[ตอ ง]ไมปราศไป — Avigata-paccaya: non-disappearance condition) ปจ จยั 24 น้ี เปน สาระของคําอธิบายทัง้ หมดในคัมภีรปฏฐานแหง พระอภิธรรมปฎ ก คอื พระไตรปฎกบาลี 6 เลม ตง้ั แตเลม 40 ถึงเลม 45 Pañ.1 อภิ.ป.40/1/1 [,,,] รูป 28 ดู [38] รปู 28; [39] มหาภูต 4; [40] อุปาทารปู 24 [351] ภูมิ 4 หรอื 31 (ชนั้ แหง จติ , ระดบั จติ ใจ, ระดบั ชวี ติ — Bhåmi: planes of existence; planes of life) 1. อบายภมู ิ 4 (ภูมทิ ่ปี ราศจากความเจรญิ — Apàya-bhåmi: planes of loss and woe; unhappy planes) 1) นริ ยะ (นรก — Niraya: woeful state; hell) 2) ตริ ัจฉานโยนิ (กําเนดิ ดิรัจฉาน — Tiracchànayoni: animal kingdom) 3) ปตติวิสัย (แดนเปรต — Pittivisaya: ghost-sphere) 4) อสรุ กาย (พวกอสรู — Asurakàya: host of demons) 2. กามสคุ ตภิ มู ิ 7 (กามาวจรภมู ทิ เี่ ปน สคุ ต,ิ ภมู ทิ เี่ ปน สคุ ตซิ งึ่ ยงั เกยี่ วขอ งกบั กาม — Kàmasugati- bhåmi: sensuous blissful planes) 1) มนุษย (ชาวมนษุ ย — Manussà: human realm) 2) จาตุมหาราชิกา (สวรรคชน้ั ท่ที าวมหาราช 4 ปกครอง — Càtummahàràjikà: realm of the Four Great Kings) 3) ดาวดึงส (แดนแหง เทพ 33 มที า วสักกะเปนใหญ — Tàvati§sà: realm of the Thirty-three Gods) 4) ยามา (แดนแหงเทพผูปราศจากความทุกข — Yàmà: realm of the Yàma gods)

หมวดเกนิ 10 271 [351] 5) ดุสิต (แดนแหง เทพผูเ อิบอิม่ ดวยสริ ิสมบตั ิของตน — Tusità: realm of satisfied gods) 6) นมิ มานรดี (แดนแหงเทพผูยินดใี นการเนรมิต — Nimmànaratã: realm of the gods who rejoice in their own creations) 7) ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนแหงเทพผูยังอํานาจใหเปนไปในสมบัติที่ผูอื่นนิรมิตให — Paranimmitavasavattã: realm of gods who lord over the creation of others) ภมู ทิ ง้ั 11 ใน 2 หมวดน้ี รวมเปน กามาวจรภมู ิ 11 (ชนั้ ทท่ี อ งเทยี่ วอยใู นกาม — Kàmàvacara- bhåmi: Sensuous Planes) 3. รูปาวจรภมู ิ 16 (ชนั้ ทท่ี องเที่ยวอยใู นรปู , ชั้นรปู พรหม — Råpàvacara-bhåmi: Form Planes) ก. ปฐมฌานภูมิ 3 (ระดบั ปฐมฌาน — first-Jhàna planes) 1) พรหมปารสิ ชั ชา (พวกบริษัทบรวิ ารมหาพรหม — Brahmapàrisajjà: realm of great Brahmas’ attendants) 2) พรหมปโุ รหิตา (พวกปุโรหติ มหาพรหม — Brahmapurohità: realm of great Brahmas’ ministers) 3) มหาพรหมา (พวกทา วมหาพรหม — Mahàbrahmà: realm of great Brahmas) ข. ทุติยฌานภูมิ 3 (ระดบั ทุติยฌาน — second-Jhàna planes) 4) ปริตตาภา (พวกมีรัศมนี อ ย — Parittàbhà: realm of Brahmas with limited lustre) 5) อปั ปมาณาภา (พวกมรี ศั มปี ระมาณไมไ ด — Appamàõàbhà: realm of Brahmas with infinite lustre) 6) อาภสั สรา (พวกมีรัศมสี ุกปลงั่ ซา นไป — âbhassarà: realm of Brahmas with radiant lustre) ค. ตติยฌานภมู ิ 3 (ระดับตตยิ ฌาน — third-Jhàna planes) 7) ปริตตสุภา (พวกมลี าํ รศั มงี ามนอย — Parittasubhà: realm of Brahmas with limited aura) 8) อัปปมาณสุภา (พวกมีลาํ รศั มีงามประมาณมไิ ด — Appamàõasubhà: realm of Brahmas with infinite aura) 9) สุภกิณหา (พวกมีลาํ รัศมีงามกระจา งจา — Subhakiõhà: realm of Brahmas with steady aura) ง. จตตุ ถฌานภมู ิ 3–7 (ระดบั จตุตถฌาน — fourth-Jhàna planes) 10) เวหัปผลา (พวกมผี ลไพบูลย — Vehapphalà: realm of Brahmas with

[351] 272 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร abundant reward) 11) อสญั ญสี ตั ว (พวกสัตวไ มมสี ัญญา — Asa¤¤ãsattà: realm of non-percipient beings) (*) สุทธาวาส 5 (พวกมที ่อี ยูอนั บรสิ ุทธิ์ หรอื ทอี่ ยขู องทา นผูบ รสิ ทุ ธ์ิ คือ ท่เี กิดของ พระอนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) คอื 12) อวิหา (เหลาทา นผูไ มเสื่อมจากสมบัตขิ องตน หรือผูไมล ะไปเรว็ , ผคู งอยูนาน — Avihà: realm of Brahmas who do not fall from prosperity) 13) อตัปปา (เหลาทานผูไมท ําความเดอื ดรอนแกใคร หรอื ผูไมเดือดรอ นกับใคร — Atappà: realm of Brahmas who are serene) 14) สุทัสสา (เหลา ทานผูงดงามนาทศั นา — Sudassà: realm of Brahmas who are beautiful) 15) สทุ สั สี (เหลา ทานผมู องเหน็ ชดั เจนดี หรอื ผมู ที ศั นาแจมชัด — Sudassã: realm of Brahmas who are clear-sighted) 16) อกนฏิ ฐา (เหลาทา นผูไมมีความดอยหรือเล็กนอยกวา ใคร, ผูสงู สุด — Akaniññhà: realm of the highest or supreme Brahmas) 4. อรูปาวจรภมู ิ 4 (ช้นั ท่ที องเทีย่ วอยูในอรูป, ช้ันอรปู พรหม — Aråpàvacara-bhåmi: formless planes) 1) อากาสานญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมอี ากาศไมม ที สี่ ดุ — âkàsàna¤càyatana- bhåmi: realm of infinite space) 2) วญิ ญาณญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมวี ญิ ญาณไมม ที สี่ ดุ — Vi¤¤àõa¤càyatana- bhåmi: realm of infinite consciousness) 3) อากญิ จัญญายตนภมู ิ (ชน้ั ทีเ่ ขา ถงึ ภาวะไมมอี ะไร — âki¤ca¤¤àyatana-bhåmi: realm of nothingness) 4) เนวสัญญานาสญั ญายตนภูมิ (ชั้นท่เี ขา ถงึ ภาวะมีสัญญากไ็ มใช ไมมสี ัญญากไ็ มใช — Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana-bhåmi: realm of neither perception nor non- perception) ปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทาคามี ยอมไมเกิดในสทุ ธาวาสภมู ;ิ พระอรยิ ะไมเ กดิ ใน อสญั ญีภพ และในอบายภมู ;ิ ในภูมนิ อกจากน้ี ยอมมีทัง้ พระอริยะและมใิ ชอริยะไปเกิด. ในพระไตรปฎ ก ไมพบทใี่ ดแสดงรายชื่อภมู ิทงั้ หลายไวท ั้งหมดในทเ่ี ดียว บาลีแสดงรายชื่อ ภมู มิ ากท่สี ดุ (มีเฉพาะชน้ั สุคติภมู )ิ พบท่ี ม.อ.ุ 14/317–332/216–225 (M.III.99–103) กลา วตงั้ แตมนุษย ขึ้นไปจนถึงอรูปาวจรภูมิ.

หมวดเกิน 10 273 [352] ในบาลแี หงทีฆนกิ าย เปน ตน* แสดงคติ (ทไี่ ปเกดิ ของสัตว, แบบการดาํ เนนิ ชีวติ — Gati: destiny; course of existence) วามี 5 คือ นิรยะ ตริ ัจฉานโยนิ เปตตวิ สิ ัย มนษุ ย และเทพ (พวกเทพ — heavenly world ไดแกภ มู ิ 26 ต้ังแตจาตมุ หาราชกิ าข้นึ ไปทั้งหมด) จะเห็นวาภูมิ 31 สงเคราะหลงไดในคติ 5 ท้งั หมด ขาดแตอ สรุ กาย อยางไรก็ดี ในอรรถกถาแหง อติ ิวุตตกะ เปนตน** ทา นกลาววา อสรู สงเคราะหลงในเปตติวิสยั ดวย จงึ เปนอนั สงเคราะหล งไดบริบูรณ และในคติ 5 น้ัน 3 คติแรกจดั เปน ทุคติ (woeful courses) 2 คตหิ ลงั เปนสุคติ (happy courses). เนือ่ งดว ยภมู ิ 31 นจ้ี ดั ไดเ ปน 4 ระดับอยางทีก่ ลา วมา บางทจี งึ เรียกวา ภูมิ 4 อนง่ึ พงึ เทียบภมู ิ 31 หรอื ภมู ิ 4 หมวดนี้ กับ [162] ภูมิ 4 ท่มี าในพระบาลดี ว ย กลา วคอื ภมู ิ 31 หรอื 4 หมวดน้ี จดั เขา ในภูมิ 3 ขอตนใน [162] ภูมิ 4 ดงั น้ี อบายภูมิ 4 และ กามสุคติ- ภมู ิ 7 รวมเขาเปนกามาวจรภมู ิ (11) สว นรูปาวจรภูมิ (16) และ อรูปาวจรภูมิ (4) ตรงกนั รวม ภูมิทั้งหมด 31 น้ี เปน โลกยี ภูมิ พนจากน้ไี ปเปน โลกตุ ตรภูมิ ดู [162] ภมู ิ 4; [198] อบาย 4; [207] อรปู 4; [270] สวรรค 6. Comp.137. สงฺคห.25. [352] โพธิปกขิยธรรม 37 (ธรรมอนั เปนฝก ฝายแหง ความตรสั รู คือ เกอื้ กลู แกก าร ตรัสร,ู ธรรมท่ีเกื้อหนนุ แกอริยมรรค — Bodhipakkhiya-dhamma: virtues partaking of enlightenment; qualities contributing to or constituting enlightenment; enlightenment states) 1. สติปฏฐาน 4 ดู [182] 2. สมั มัปปธาน 4 ดู [156] 3. อิทธบิ าท 4 ดู [213] 4. อนิ ทรีย 5 ดู [258] 5. พละ 5 ดู [228] 6. โพชฌงค 7 ดู [281] 7. มรรคมีองค 8 ดู [293] โพธปิ ก ขยิ ธรรมน้ี ตามทท่ี ว่ั ไปในพระไตรปฎ ก ตรสั ไวเ พยี งเปน คาํ รวมๆ โดยไมไ ดร ะบชุ อ่ื องค ธรรม นอกจากในสงั ยตุ ตนกิ ายแหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทมี่ พี ทุ ธพจนต รสั ระบไุ วว า ไดแ ก อนิ ทรยี  5 (ส.ํ ม.19/1024/301; 1041–3/305; 1071–1081/313–5) และในคัมภีรว ิภังคแ หง พระอภธิ รรมปฎก ซง่ึ ไข ความวา โพธิปกขิยธรรม ไดแก โพชฌงค 7 (อภิ.วิ.35/611/336) * ที.ปา.11/281/246; ม.มู.12/170/148; องฺ.นวก.23/272/480 (D.III.234; M.I.73; A.IV.459) ** อุ.อ.174; อติ .ิ อ.168 (approx., UdA.140; ItA.101)

[353] 274 พจนานุกรมพุทธศาสตร ธรรมชุดน้ี เมอื่ ตรสั ระบชุ ือ่ ทง้ั ชดุ ในพระสูตร ทรงเรยี กวาเปน อภญิ ญาเทสิตธรรม เชน ที. ม.10/107/141; ที.ปา.11/108/140; ม.อุ. 14/54/51) คอื เปนอภิญญาเทสิตธรรม 37 และในพระอภธิ รรม ทา นแสดงไวว า ธรรม 37 ประการนีเ้ ปน สัทธรรม นอกจากน้ี ธรรม 37 ประการชดุ นี้ยังไดชอื่ วาเปน สันติบท คือ ธรรมท่เี ปน ไปเพ่ือการ บรรลุสนั ติ (รวมทง้ั เปน อมตบท และ นิพพานบท เปน ตน —ขุ.ม.29/701/414; ขุ.จ.ู 30/391/188) และเปน เสรีธรรม หรอื ธรรมเสรี (ข.ุ จู.30/681/340; 684/342) ในพระวนิ ยั ปฎ ก ทา นแสดงธรรม 37 ประการนไ้ี วเ ปน คาํ จาํ กดั ความของคาํ วา มรรคภาวนา (ดู วนิ ย.1/236/175; 2/308/212) ตอ มา ในคมั ภรี ช นั้ อรรถกถา รวมถงึ วสิ ทุ ธมิ คั ค จงึ ระบแุ ละแจกแจงไวช ดั เจนวา โพธปิ ก ขยิ ธรรม 37 ประการ ไดแกธ รรมเหลา นี้ (ดู อง.ฺ อ.1/77; อิติ.อ.287; ปฏิส.ํ อ.2/95, 196, 261; วสิ ุทฺธ.ิ 3/328) Vism.681. วิสทุ ธฺ .ิ 3/328. [353] มงคล 38 (สิง่ ทท่ี าํ ใหมโี ชคดี, ธรรมอันนํามาซ่งึ ความสขุ ความเจริญ — Maïgala: blessings; เรียกเต็มวา อดุ มมงคล คือมงคลอนั สงู สดุ — highest blessing) คาถาท่ี 1 1. อเสวนา จ พาลานํ (ไมคบคนพาล — Bàla-asevanà: not to associate with fools; to dissociate from the wicked) 2. ปณฺฑติ านฺจ เสวนา (คบบัณฑิต — Paõóitasevanà: to associate with the wise) 3. ปชู า จ ปูชนียานํ (บูชาคนทค่ี วรบชู า — Påjaneyyapåjà: to honour those who are worthy of honour) คาถาท่ี 2 4. ปฏริ ปู เทสวาโส จ (อยใู นปฏิรูปเทศ, อยใู นถิ่นมีส่งิ แวดลอ มดี — Pañiråpadesavàsa: living in a suitable region; good environment) 5. ปพุ เฺ พ จ กตปุฺตา (ไดท ําความดใี หพ รอมไวกอ น, ทาํ ความดีเตรียมพรอ มไวแตตน — Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritorious deeds) 6. อตฺตสมฺมาปณธิ ิ จ (ตั้งตนไวชอบ — Attasammàpaõidhi: setting oneself in the right course; right direction in self-guidance; perfect self-adjustment) คาถาที่ 3 7. พาหสุ จจฺ ฺจ (เลาเรียนศกึ ษามาก, ทรงความรูก วางขวาง, ใสใจสดบั ตรับฟงคน ควา หาความ รอู ยูเ สมอ — Bàhusacca: great learning; extensive learning) 8. สปิ ฺปฺจ (มีศลิ ปวทิ ยา, ชาํ นาญในวชิ าชีพของตน — Sippa: skill; knowledge of the arts and sciences)

หมวดเกนิ 10 275 [353] 9. วนิ โย จ สสุ ิกฺขโิ ต (มีวนิ ยั ทไ่ี ดศ ึกษาดีแลว , มีระเบียบวินัยดี, ไดฝก อบรมตนไวด ี — Vinaya: highly trained discipline) 10. สภุ าสติ า จ ยา วาจา (วาจาสภุ าษิต, รจู กั ใชว าจาพูดใหเ ปนผลดี — Subhàsitavàcà: well-spoken speech) คาถาที่ 4 11. มาตาปต อุ ปุ ฏ านํ (บาํ รงุ มารดาบดิ า — Màtàpitu-upaññhàna: support of mother and father) 12.–13. ปตุ ตฺ ทารสสฺ สงคฺ โห = ปตุ ตฺ สงคฺ ห (สงเคราะหบ ตุ ร — Puttasaïgaha: cherishing of children) และ ทารสงคฺ ห (สงเคราะหภ รรยา — Dàrasaïgaha: cherishing of wife) 14. อนากุลา จ กมฺมนฺตา (การงานไมอากลู — Anàkulakammanta: a livelihood which is free from complications)* คาถาที่ 5 15. ทานฺจ (รูจักให, เผ่ือแผแ บงปน, บรจิ าคสงเคราะหแ ละบําเพญ็ ประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity) 16. ธมมฺ จรยิ า จ(ประพฤตธิ รรม, ดาํ รงอยใู นศลี ธรรม — Dhammacariyà: righteous conduct) 17. าตกานฺจ สงฺคโห (สงเคราะหญาติ — ¥àtakasaïgaha: rendering aid to relations) 18. อนวชชฺ านิ กมฺมานิ (การงานทีไ่ มมีโทษ, กจิ กรรมที่ดงี าม เปนประโยชน ซ่งึ ไมเ ปน ทางเสีย หาย — Anavajjakamma: blameless actions; unexceptionable or beneficial activities)** คาถาที่ 6 19. อารตี วริ ตี ปาปา (เวน จากความชัว่ — Pàpavirati: abstaining from evils and avoiding them) 20. มชฺชปานา จ สฺโม (เวนจากการด่มื นํ้าเมา — Majjapànasa¤¤ama: abstinence from intoxicants) 21. อปฺปมาโท จ ธมเฺ มสุ (ไมประมาทในธรรมท้งั หลาย — Appamàda: diligence in virtue; perseverance in virtuous acts) * ทานอธิบายวา ไดแ ก อาชีพการงาน ทีท่ ําดวยความขยนั หม่นั เพยี ร เอาธรุ ะ รจู กั กาล ไมคงั่ คา งยอ หยอน — spheres of work which are free from such unprofitableness as dilatoriness and tardiness. (ขทุ ทฺ ก. อ. 153; KhA.139). **ทา นยกตัวอยางไว เชน การสมาทานอุโบสถ การบําเพญ็ สาธารณประโยชน สรางสวน ปลูกปา สรา งสะพาน เปนตน (ขทุ ฺทก.อ.156; KhA.141)

[353] 276 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร คาถาท่ี 7 22. คารโว จ (ความเคารพ, การแสดงออกทแ่ี สดงถึงความเปนผูร ูจักคุณคาของบุคคล ส่ิงของ สถานที่ หรอื กจิ การนั้นๆ และรูจักใหความสาํ คญั และความใสใจเอื้อเฟอ โดยเหมาะสม — Gà rava: reverence; respect; appreciative action) 23. นิวาโต จ (ความสภุ าพออนนอม, ถอ มตน — Nivàta: humility, courtesy; politeness) 24. สนตฺ ฏุ  ี จ(ความสนั โดษ, ความเอบิ อม่ิ พงึ พอใจในผลสาํ เรจ็ ทไี่ ดส รา งขน้ึ หรอื ในลาภทแ่ี สวงหา มาได ดว ยเรยี่ วแรงความเพยี รพยายามของตนโดยทางชอบธรรม —Santuññhã: contentment) 25. กตฺุตา (มคี วามกตญั ู — Kata¤¤utà: gratitude) 26. กาเลน ธมฺมสฺสวนํ (ฟง ธรรมตามกาล, แสวงความรูเ ก่ียวกบั หลกั ความจรงิ ความดีงาม และเร่ืองทเ่ี ปน ประโยชน — Dhammassavana: the opportune hearing of the Dhamma; listening to good advice and the teaching of Truth on due occasions) คาถาท่ี 8 27. ขนตฺ ี จ (มคี วามอดทน — Khanti: patience; forbearance; tolerance) 28. โสวจสฺสตา (เปนผูวางายสอนงาย, พูดกันงาย ฟงเหตุผล — Sovacassatà: amenability to correction; being easy to admonish) 29. สมณานฺจ ทสฺสนํ (พบเห็นสมณะ, เยีย่ มเยือนเขา หาทา นผูส งบกเิ ลส — Samaõa- dassana: seeing the monks or holy persons) 30. กาเลน ธมมฺ สากจฉฺ า (สนทนาธรรมตามกาล, หาโอกาสสนทนาแลกเปลย่ี นความรคู วามคดิ เหน็ กนั เกยี่ วกบั หลกั ความจรงิ ความดงี ามและเรอ่ื งทเ่ี ปน ประโยชน — Dhammasàkacchà: religious discussion at due seasons; regular or opportune discussion of Truth) คาถาที่ 9 31. ตโป จ (มคี วามเพียรเผากิเลส, รูจักบังคับควบคุมตน ไมป รนเปรอตามใจอยาก — Tapa: self-control; simple life) 32. พฺรหมฺ จริยฺจ (ประพฤตพิ รหมจรรย, ดําเนินตามอรยิ มรรค, การรจู ักควบคมุ ตนในทาง เพศ หรือถอื เมถนุ วริ ัติตามควร* — Brahmacariya: a holy life) 33. อริยสจจฺ าน ทสสฺ นํ (เหน็ อริยสัจจ, เขาใจความจริงของชีวติ — Ariyasacca-dassana: discernment of the Noble Truths) 34. นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ (ทาํ พระนพิ พานใหแ จง , บรรลนุ พิ พาน — Nibbàna-sacchikiriyà: realization of Nibbàna) * พรหมจรรยใ นท่นี ้ี มุงเอาอัฏฐงั คกิ มรรคเปน หลัก แตจะตคี วามแคบหมายถงึ เมถนุ วิรตั ิก็ได ความหมายอยา ง หยอนสําหรบั คฤหสั ถ คอื ถือพรหมจรรยใ นบุคคลทีม่ ใิ ชค ูครอง หรอื ถอื เดด็ ขาดในวันอโุ บสถ เปน ตน

หมวดเกนิ 10 277 [354] คาถาท่ี 10 35. ผุฏสฺส โลกธมเฺ มหิ จติ ฺตํ ยสฺส น กมฺปติ (ถกู โลกธรรม จติ ไมหวนั่ ไหว — Akampita- citta: to have a mind which is not shaken when touched by worldly vicissitudes) 36. อโสกํ (จิตไรเศรา — Asokacitta: to have the mind which is free from sorrow) 37. วิรชํ (จิตปราศจากธุลี — Virajacitta: to have the mind which is undefiled) 38. เขมํ (จิตเกษม — Khemacitta: to have the mind which is secure) แตละคาถามบี ทสรุปวา “เอตมฺมงคฺ ลมุตตฺ มํ” (น้เี ปน มงคลอันอดุ ม — this is the highest blessing) มคี าถาสรปุ ทา ยมงคลทัง้ 38 นีว้ า สพพฺ ตถฺ มปราชติ า ตนเฺ ตสํ มงฺคลมตุ ฺตมนตฺ .ิ ” “เอตาทิสานิ กตฺวาน สพฺพตฺถ โสตถฺ ึ คจฺฉนตฺ ิ แปลวา “เทวะมนุษยท งั้ หลายกระทาํ มงคลเชนนี้แลว ยอ มเปน ผไู มป ราชยั ในทีท่ กุ สถาน ยอ ม ถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง นี้คอื อุดมมงคลของเทวะมนุษยเ หลา นนั้ .” (Those who have done these things see no defeat and go in safety everywhere. To them these are the highest blessings.) Kh.V.3; Sn.259–268. ข.ุ ข.ุ 25/5/3; ข.ุ สุ.25/317/376. [354] กรรมฐาน 40 (ท่ีตั้งแหงการทํางานของจิต, สิ่งท่ีใชเปนอารมณในการเจริญ ภาวนา, อปุ กรณในการฝกอบรมจติ — Kammaññhàna: mental exercises; subjects of meditation) 1. กสิณ 10 ดู [315] 2. อสภุ ะ 10 ดู [336] 3. อนุสติ 10 ดู [335] 4. อัปปมัญญา 4 ดู [161] 5. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา (กาํ หนดพจิ ารณาความเปน ปฏกิ ลู ในอาหาร — âhàrepañikålasa¤¤à: perception of the loathsomeness of food) 6. จตธุ าตวุ วฏั ฐาน (กาํ หนดพิจารณาธาตุ 4, พิจารณาเหน็ รางกายของตนโดยสักวา เปน ธาตุ 4 แตละอยา งๆ; ธาตุมนสกิ าร ก็เรียก — Catudhàtu-vavaññhàna: analysis of the four elements) 7. อรูป 4 ดู [207] กรรมฐานใดใหไดสมาธถิ ึงขนั้ ใด ดู [99] ภาวนา 3; กรรมฐานใดเหมาะกบั จรติ ใด ดู [262] จริต 6. Vism.110; Comp.204. วสิ ุทธฺ ิ.1/139; สงคฺ ห.51.

[355] 278 พจนานกุ รมพุทธศาสตร [355] เจตสิก 52 (ธรรมท่ีประกอบกบั จติ , สภาวธรรมท่ีเกดิ ดับพรอมกับจติ มอี ารมณแ ละ วัตถุที่อาศยั เดยี วกนั กับจติ , อาการและคณุ สมบัตติ า งๆ ของจิต — Cetasika: mental factors; mental concomitants) ก. อัญญสมานาเจตสิก 13 (เจตสกิ ที่มีเสมอกนั แกจ ิตพวกอ่นื คอื ประกอบเขาไดกับจิตทุก ฝายทั้งกุศลและอกุศล มิใชเขาไดแตฝายใดฝายหนึ่งพวกเดียว — A¤¤asamàna- cetasika: the Common-to-Each-Other; general mental factors) 1) สพั พจิตตสาธารณเจตสกิ 7 (เจตสิกทเ่ี กดิ ท่ัวไปกบั จิตทุกดวง — Sabbacitta- sàdhàraõa~: universal mental factors; the Primary) 1. ผัสสะ (ความกระทบอารมณ — Phassa: contact; sense-impression) 2. เวทนา (ความเสวยอารมณ — Vedanà: feeling) 3. สัญญา (ความหมายรอู ารมณ — Sa¤¤à: perception) 4. เจตนา (ความจงใจตอ อารมณ — Cetanà: volition) 5. เอกคั คตา (ความมอี ารมณเ ปน อนั เดยี ว — Ekaggatà: one-pointedness; concentration) 6. ชวี ติ นิ ทรยี  (อนิ ทรยี ค อื ชวี ติ , สภาวะทเี่ ปน ใหญใ นการรกั ษานามธรรมทงั้ ปวง — Jãvitindriya: vitality; life-faculty) 7. มนสกิ าร (ความกระทาํ อารมณไวในใจ, ใสใ จ — Manasikàra: attention) 2) ปกณิ ณกเจตสิก 6 (เจตสิกทเี่ รีย่ รายแพรกระจายทว่ั ไป คือ เกิดกับจิตไดท ง้ั ฝายกศุ ล และอกุศล แตไมแ นน อนเสมอไปทุกดวง — Pakiõõaka~: particular mental factors; the Secondary) 8. วติ ก (ความตรกึ อารมณ — Vitakka: initial application; thought conception; applied thought) 9. วจิ าร (ความตรองหรอื พจิ ารณาอารมณ — Vicàra: sustained application; discursive thinking; sustained thought) 10. อธิโมกข (ความปลงใจหรือปกใจในอารมณ — Adhimokkha: determination; resolution) 11. วิรยิ ะ (ความเพยี ร — Viriya: effort; energy) 12. ปต ิ (ความปลาบปล้มื ในอารมณ, อมิ่ ใจ — Pãti: joy; interest) 13. ฉนั ทะ (ความพอใจในอารมณ — Chanda: conation; zeal) ข. อกศุ ลเจตสกิ 14 (เจตสกิ ฝา ยอกศุ ล — Akusala~: immoral or unwholesome mental factors; unprofitable mental factors) 1) สพั พากุสลสาธารณเจตสิก 4 (เจตสิกทเ่ี กดิ ท่ัวไปกบั อกุศลจิตทุกดวง — Sabbà- kusalasàdhàraõa~: universal immorals; the Primary)

หมวดเกนิ 10 279 [355] 14. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion) 15. อหิริกะ (ความไมละอายตอ บาป — Ahirika: shamelessness; lack of moral shame) 16. อโนตตปั ปะ (ความไมสะดงุ กลัวตอบาป — Anottappa: fearlessness of wrong- doing; lack of moral dread) 17. อุทธจั จะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness; unrest) 2) ปกณิ ณกอกุสลเจตสกิ 10 (อกุศลเจตสิกทเ่ี กดิ เรย่ี รายแกอ กศุ ลจิต — Pakiõõaka- akusala~: particular immorals; the Secondary) 18. โลภะ (ความอยากไดอารมณ — Lobha: greed) 19. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: wrong view) 20. มานะ (ความถือตัว — Màna: conceit) 21. โทสะ (ความคิดประทุษราย — Dosa: hatred) 22. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy) 23. มัจฉรยิ ะ (ความตระหน่ี — Macchariya: stinginess; meanness) 24. กุกกจุ จะ (ความเดือดรอนใจ — Kukkucca: worry; remorse) 25. ถีนะ (ความหดหู — Thãna: sloth) 26. มทิ ธะ (ความงวงเหงา — Middha: torpor) 27. วิจิกจิ ฉา (ความคลางแคลงสงสัย — Vicikicchà: doubt; uncertainty; scepsis) ค. โสภณเจตสกิ 25 (เจตสกิ ฝายดงี าม — Sobhaõa~: beautiful mental factors; lofty mental factors) 1) โสภณสาธารณเจตสกิ 19 (เจตสกิ ทเ่ี กิดทวั่ ไปกับจิตดงี ามทุกดวง — Sobhaõa- sàdhàraõa~: universal beautiful mental factors; the Primary) 28. สทั ธา (ความเช่ือ — Saddhà: confidence; faith) 29. สติ (ความระลกึ ได, ความสํานกึ พรอมอยู — Sati: mindfulness) 30. หริ ิ (ความละอายตอ บาป — Hiri: moral shame; conscience) 31. โอตตัปปะ (ความสะดงุ กลวั ตอ บาป — Ottappa: moral dread) 32. อโลภะ (ความไมอ ยากไดอ ารมณ — Alobha: non-greed) 33. อโทสะ (ความไมคิดประทษุ ราย — Adosa: non-hatred) 34. ตัตรมัชฌตั ตตา (ความเปน กลางในอารมณน ้นั ๆ — Tatramajjhattatà: equanimity; specific neutrality) 35. กายปส สทั ธิ (ความสงบแหง กองเจตสกิ — Kàya-passaddhi: tranquillity of mental body) 36. จิตตปสสัทธิ (ความสงบแหง จติ — Citta-passaddhi: tranquillity of mind)

[356] 280 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 37. กายลหตุ า (ความเบาแหง กองเจตสิก — Kàya-lahutà: lightness of mental body; agility of ~) 38. จติ ตลหตุ า (ความเบาแหงจิต — Citta-lahutà: lightness of mind; agility of ~) 39. กายมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง กองเจตสกิ — Kàya-mudutà: pliancy of mental body; elasticity of ~) 40. จติ ตมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง จติ — Citta-mudutà: pliancy of mind; elasticity of ~) 41. กายกมั มญั ญตา (ความควรแกก ารงานแหง กองเจตสกิ — Kàya-kamma¤¤atà: adaptability of mental body; wieldiness of ~) 42. จิตตกมั มัญญตา (ความควรแกก ารงานแหง จติ — Citta-kamma¤¤atà: adaptability of mind; wieldiness of ~) 43. กายปาคญุ ญตา (ความคลองแคลวแหงกองเจตสกิ — Kàya-pàgu¤¤atà: proficiency of mental body) 44. จติ ตปาคญุ ญตา (ความคลอ งแคลว แหง จติ — Citta-pàgu¤¤atà: proficiency of mind) 45. กายุชกุ ตา (ความซอ่ื ตรงแหง กองเจตสกิ — Kàyujukatà: rectitude of mental body; uprightness of ~) 46. จติ ตชุ กุ ตา (ความซอื่ ตรงแหง จติ — Cittujukatà: rectitude of mind; uprightness of ~) 2) วิรตีเจตสกิ 3 (เจตสิกท่เี ปน ตวั ความงดเวน — Viratã~: abstinences) 47. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ — Sammàvàcà: right speech) 48. สัมมากมั มันตะ (กระทําชอบ — Sammàkammanta: right action) 49. สมั มาอาชีวะ (เลีย้ งชีพชอบ — Sammà-àjãva: right livelihood) 3) อปั ปมญั ญาเจตสกิ 2 (เจตสกิ คอื อปั ปมญั ญา — Appama¤¤à~: boundless states) 50. กรุณา (ความสงสารสตั วผถู งึ ทกุ ข — Karuõà: compassion) 51. มุทิตา (ความยนิ ดีตอ สัตวผูไดส ขุ — Mudità: sympathetic joy) 4) ปญ ญนิ ทรยี เจตสกิ 1 (เจตสกิ คอื ปญ ญนิ ทรยี  — Pa¤¤indriya~: fuculty of wisdom) 52. ปญ ญนิ ทรยี  หรอื อโมหะ (ความรเู ขา ใจ ไมห ลง — Pa¤¤indriya, Amoha: undeluded- ness; wisdom) Comp.94. สงคฺ ห.7. [356] จิต 89 หรอื 121 (ธรรมชาตทิ ่ีรอู ารมณ, สภาพทีน่ กึ คดิ , ความคดิ , ใจ, วญิ ญาณ — Citta: mind; thought; consciousness; a state of consciousness) จติ มไี วพจน คอื คาํ ที่ตา งเพยี งรูป แตม ีความหมายเหมอื นกันหรอื คลา ยกนั ใชแ ทนกนั ได หลายคาํ เชน มโน มานสั หทยั บณั ฑร มนายตนะ มนนิ ทรยี  และ วญิ ญาณ เปนตน (อภิ.สํ.

หมวดเกิน 10 281 [356] 34/21/10; ฯลฯ) คําเหลา น้มี ีความหมายเกยกนั มิใชตรงกันโดยสมบรู ณ ใชแ ทนกนั ไดในบางโอกาส มิใชเ สมอไป เมอื่ จดั แบง สภาวธรรมทงั้ หลายเปน ประเภทๆ ทเี่ รยี กวา ขนั ธ 5 จติ ไดแ ก วญิ ญาณขนั ธ แตใน คัมภีรอภิธรรมยุคตอ มา นยิ มประมวลสภาวธรรมเขา เปน 4 อยา ง เรยี กวา ปรมตั ถธรรม 4 จิต เปน ปรมัตถธรรมอยา งที่ 1; ดู [157] ปรมตั ถธรรม 4; [216] ขนั ธ 5. คัมภรี อภิธรรมรุนอรรถกถา ประมวลเรื่องจติ ทแ่ี สดงไวใ นพระอภธิ รรมปฎ กแลว แจงนบั สภาพจิตท้งั หลายไววา มีจาํ นวน 89 หรอื โดยพสิ ดารมี 121 เรียกวา จิต 89 หรือ 121 เบอ้ื งตน น้ี จะประมวลจติ ทง้ั หมดไวเ ปน หมวดหมใู หญๆ กอ น เพอ่ื สะดวกในการศกึ ษากาํ หนด จดจาํ และทบทวนตอ ไป ในทนี่ ี้ พงึ ทราบวธิ จี าํ แนกประเภท 2 แบบ เปรยี บเทยี บกนั ดงั น้ี* * ทา นเรยี บเรยี งเปน คาถาสรปุ ความไว ดงั นี้ กสุ ลาเนกวีสติ ทวฺ าทสากสุ ลาเนว กฺรยิ าจติ ฺตานิ วีสติ ฯ ฉตฺตึเสว วปิ ากานิ รูเป ปณณฺ รสรี เิ ย จตปุ ฺาสธา กาเม อฎธานตุ ตฺ เร ตถา ฯ จติ ตฺ านิ ทฺวาทสารูเป ปเภทํ ปน มานสํ อิตฺถเมกูนนวุตปิ ฺ- วภิ ชนตฺ ิ วิจกขฺ ณา ฯ เอกวสี สตํ วาถ

[356] 282 พจนานกุ รมพุทธศาสตร โสภณจิต 59 (91) ฌานจติ 67 ก. โดยชาตปิ ระเภท ข. โดยภมู ิประเภท 1. อกุศลจติ 12 1. กามาวจรจติ 54 - โลภมูลจติ 8 1) อกศุ ลจิต 12 - โทสมลู จิต 2 - โลภมูลจติ 8 - โมหมลู จติ 2 - โทสมลู จิต 2 - โมหมลู จิต 2 2. กศุ ลจิต 21 (37) 2) อเหตกุ จติ 18 - มหากุศลจิต 8 - อกุศลวิบากจติ 7 - รปู าวจรกุศลจิต 5 - กุศลวิบากอเหตุกจิต 8 - อรปู าวจรกุศลจิต 4 - อเหตกุ กริ ยิ าจติ 3 - โลกุตตรกุศลจิต 4 (20) 3) กามาวจรโสภณจิต 24 3. วิปากจติ 36 (52) - มหากศุ ลจติ 8 - มหาวบิ ากจติ 8 - อกุศลวิบากจติ 7 - มหากริ ิยาจิต 8 - กศุ ลวบิ ากอเหตกุ จิต 8 - มหาวิบากจติ 8 2. รปู าวจรจิต 15 - รูปาวจรวบิ ากจติ 5 - อรปู าวจรวิบากจิต 4 1) รปู าวจรกุศลจิต 5 - โลกุตตรวบิ ากจิต 4 (20) 2) รปู าวจรวิบากจติ 5 3) รปู าวจรกริ ยิ าจิต 5 4. กิริยาจิต 20 3. อรูปาวจรจติ 12 - อเหตกุ กริ ิยาจิต 3 - มหากริ ิยาจิต 8 1) อรปู าวจรกุศลจติ 4 - รปู าวจรกริ ิยาจติ 5 2) อรูปาวจรวิบากจิต 4 - อรปู าวจรกริ ยิ าจติ 4 3) อรปู าวจรกิรยิ าจติ 4 4. โลกุตตรจติ 8 (× ฌาน 5 = 40) 1) โลกตุ ตรกศุ ลจติ 4 (20) 2) โลกุตตรวบิ ากจติ 4 (20) หมายเหต:ุ ตวั เลขในวงเลบ็ ( ) หมายถงึ จาํ นวนอยา งพสิ ดาร เมอ่ื นบั จติ เปน 121 (พงึ สงั เกตวา จาํ นวนจะเพมิ่ เฉพาะ โลกตุ ตรจติ อยา งเดยี ว คอื โลกตุ ตรจติ อยา งยอ มี 8 อยา งพสิ ดารจาํ แนกออกไปตามฌานทงั้ 5 เปน 40) ตอ ไปจะแสดง จติ 89 หรอื 121 ตามแบบภมู ิประเภท (แบบชาตปิ ระเภทพงึ กาํ หนดเอา จากแบบภมู ิประเภทน้ี ตามหวั ขอท่ีแสดงไวแลว )