ภมู ปิ ัญญาศกึ ษา เรื่อง หมอลาแคน โดย 1. นางสะท้าน พาภักดี 2. นางสาวพัทธนันท์ โกมลวาณชิ ย์ เอกสารภมู ปิ ัญญาศกึ ษานเี้ ป็นสว่ นหน่งึ ของการศกึ ษา ตามหลักสูตรโรงเรยี นผสู้ งู อายเุ ทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็ ประจาปกี ารศกึ ษา 2561 โรงเรยี นผู้สงู อายเุ ทศบาลเมืองวังนา้ เย็น สังกดั เทศบาลเมอื งวังนา้ เย็น จังหวดั สระแก้ว
คานา ภูมิปัญญาชาวบ้านของคนไทยเราน้ันมีอยู่จานวนมาก ล้วนแต่มีคุณค่าและมีประโยชน์ เป็นการบอก เล่าถงึ วัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี แต่ปัจจุบนั ภูมิปัญญาเหล่าน้ัน กาลังสูญหายไปพรอ้ ม ๆ กับชีวิตของคน ซ่ึง ดับสูญไปตามกาลเวลา เทศบาลเมืองวังน้าเย็นได้เล็งเห็นคุณค่าและความสาคัญในเรื่องดังกล่าว จึงจัดต้ัง โรงเรียนผู้สูงอายุขึ้น เพ่ือให้ผู้สูงอายุในเขตตาบลวังน้าเย็นได้มารวมตัวกัน เพ่ือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซ่ึงกันและ กัน ก่อนจบการศึกษา นักเรียนผู้สูงอายุทุกคนต้องจัดทาภูมิปัญญาศึกษาคนละ ๑ เรื่อง เพื่อเก็บไว้ให้อนุชน รนุ่ หลังไดศ้ ึกษา เป็นการสืบทอด มิให้ภูมปิ ัญญาสูญไป ภูมิปัญญาฉบับนี้สาเร็จได้ เพราะรับความกรุณาและการสนับสนุน จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ นางสาวพัทธนันท์ โกมลวาณิชย์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงให้คาปรึกษา แนะนาในการจัดทาภูมิปัญญาหมอลาแคน ได้ให้ ความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ในช่วงเวลาท่ีเรียนอยู่เป็นเวลา ๒ ปี คณะกรรมการบริหารโรงเรียนผู้สูงอายุ เจ้าหน้าท่ีกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลเมืองวังน้าเย็นทุกท่าน ที่ให้การดูแลและช่วยเหลือตลอดมา และท่ีสาคัญได้แก่ นายวันชัย นารีรักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้าเย็น และ นายคนองพล เพ็ชรร่ืน ปลัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น ซ่ึงเป็นผู้ก่อต้ังโรงเรียนผู้สูงอายุ และให้การสนับสนุน ดูแลนักเรียนผู้สูงอายุเป็น อยา่ งดี ขอขอบคณุ ทกุ ทา่ นไว้ ณ โอกาสนี้ นายสะท้าน พาภักดี นางสาวพทั ธนันท์ โกมลวาณชิ ย์ ผูจ้ ดั ทา
สารบญั หน้า เรือ่ ง ก ข คำนำ ค สำรบญั ง ทม่ี ำและควำมสำคัญของภมู ปิ ัญญำศกึ ษำ 1 ภมู ปิ ญั ญำศึกษำเช่อื มโยงสู่สำรำนุกรมไทยสำหรับเยำวชนฯ 2 ควำมเป็นมำและควำมสำคญั ของหมอลำแคน 3-6 ควำมหมำยและววิ ฒั นำกำรของหมอลำ 7-11 ประเภท ของหมอลำ 11-13 ลกั ษณะของกลอนลำ 14-19 ด้ำนจุดเปลีย่ นของหมอลำในสงั คมไทยถิน่ อีสำน ตวั อยำ่ งกลอนลำ 20 กำรนำภมู ิปญั ญำศึกษำ เรื่อง หมอลำแคน ไปใช้ในชีวติ ประจำวัน 21-22 ภำคผนวก 23 24 - ประวัติผ้จู ัดทำ 25 - ภำพประกอบ บรรณำนกุ รม/เอกสำรอำ้ งองิ ผรู้ บั รอง / คำรับรอง กำรประเมนิ ผล / ผ้ตู รวจ / ผอู้ นมุ ตั ิ
ค ทม่ี าและความสาคญั ของภูมิปญั ญาศึกษา จำกพระรำชดำรสั ของพระบำทสมเด็จพระปรมินทรมหำภูมพิ ลอดลุ ยเดช ทวี่ ่ำ “ประชำชนน่นั แหละ ทเี่ ขำมคี วำมรูเ้ ขำทำงำนมำหลำยช่วั อำยุคน เขำทำกันอย่ำงไร เขำมคี วำมเฉลยี วฉลำด เขำรวู้ ำ่ ตรงไหน ควรทำกสิกรรม เขำรู้ว่ำตรงไหนควรเก็บรักษำไว้ แตท่ ี่เสียไปเพรำะพวกไม่ร้เู รือ่ ง ไม่ได้ทำมำนำนแล้ว ทำให้ ลืมว่ำชีวิตมันเป็นไปโดยกำรกระทำท่ีถูกต้องหรือไม่” พระรำชดำรัสของพระบำทสมเด็จพระปรมินทรมหำ- ภูมิพลอดุลยเดช ทสี่ ะทอ้ นถึงพระปรชี ำสำมำรถในกำรรบั รู้และควำมเขำ้ ใจหย่ังลึก ท่ที รงเหน็ คณุ ค่ำของ ภูมปิ ญั ญำไทยอย่ำงแทจ้ ริง พระองคท์ รงตระหนักเป็นอย่ำงยงิ่ ว่ำ ภมู ปิ ญั ญำทอ้ งถ่นิ เปน็ ส่งิ ทช่ี ำวบ้ำน มีอยู่แล้ว ใช้ประโยชน์เพ่ือควำมอยู่รอดกันมำยำวนำน ควำมสำคัญของภูมปิ ัญญำท้องถ่ิน ซึ่งควำมรู้ท่ีสั่งสม จำกกำรปฏิบัติจริงในห้องทดลองทำงสังคม เป็นควำมรู้ด้ังเดิมที่ถูกค้นพบ มีกำรทดลองใช้ แก้ไข ดัดแปลง จนเปน็ องค์ควำมรู้ท่สี ำมำรถแก้ปัญหำในกำรดำเนนิ ชวี ิตและถ่ำยทอดสบื ตอ่ กันมำ ภมู ิปญั ญำทอ้ งถิ่น เป็นขุมทรัพย์ทำงปัญญำท่ีคนไทยทุกคนควรรู้ ควรศึกษำ ปรบั ปรุง และพัฒนำให้สำมำรถนำภูมิปญั ญำท้องถ่ิน เหลำ่ นัน้ มำแก้ไขปัญหำใหส้ อดคล้องกับบรบิ ททำงสังคม วัฒนธรรมของกลุ่มชุมชนนนั้ ๆ อย่ำงแท้จริง กำรพัฒนำภูมิปัญญำศึกษำนับเป็นสิ่งสำคัญต่อบทบำทของชุมชนท้องถิ่นที่ได้พยำยำม สรำ้ งสรรค์ เป็นนำ้ พกั น้ำแรงร่วมกนั ของผู้สงู อำยแุ ละคนในชุมชนจนกลำยเปน็ เอกลักษณ์และวฒั นธรรม ประจำถิ่นทเ่ี หมำะตอ่ กำรดำเนินชีวิต หรอื ภูมิปัญญำของคนในทอ้ งถนิ่ น้ัน ๆ แตภ่ ูมิปัญญำท้องถิ่นส่วนใหญเ่ ป็น ควำมรู้ หรือเป็นส่ิงท่ีได้มำจำกประสบกำรณ์ หรือเป็นควำมเชื่อสืบต่อกันมำ แต่ยังขำดองค์ควำมรู้ หรือขำด หลักฐำนยนื ยนั หนักแน่น กำรสร้ำงกำรยอมรบั ท่ีเกดิ จำกฐำนภมู ปิ ัญญำท้องถิน่ จึงเปน็ ไปไดย้ ำก ดังนั้น เพื่อให้เกิดกำรส่งเสริมพัฒนำภูมิปัญญำที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น กระตุ้นเกิดควำม ภำคภูมิใจในภูมิปัญญำของบุคคลในท้องถิ่น ภูมิปัญญำไทยและวัฒนธรรมไทย เกิดกำรถ่ำยทอดภูมิปัญญำสู่ คนรุ่นหลัง โรงเรียนผู้สูงอำยุเทศบำลเมืองวังน้ำเย็น ได้ดำเนินกำรจัดทำหลักสูตรกำรเรียนกำรสอนเพื่อ พัฒนำศักยภำพผู้สูงอำยุในทอ้ งถิ่นทเ่ี น้นให้ผสู้ ูงอำยไุ ดพ้ ฒั นำตนเองให้มีควำมพรอ้ มสสู่ ังคมผู้สูงอำยุท่ีมีคณุ ภำพ ในอนำคต รวมทั้งสืบทอดภูมิปัญญำในกำรดำรงชีวิตของนักเรียนผู้สูงอำยุท่ีได้ส่ังสมมำ เกิดจำกกำรสืบทอด ภูมิปัญญำของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู้สูงอำยุจะเป็นผู้ถ่ำยทอดองค์ควำมรู้ และมีครูพ่ีเลี้ยงซึ่งเป็นคณะครู ของโรงเรียนในสงั กดั เทศบำลเมืองวงั นำ้ เยน็ เป็นผู้เรียบเรยี งองคค์ วำมรไู้ ปสู่กำรจดั ทำภมู ิปญั ญำศึกษำ ให้ปรำกฏออกมำเป็นรูปเล่มภูมิปัญญำศึกษำ ใช้เป็นส่วนหนึ่งในกำรจบหลักสูตรกำรศึกษำของโรงเรียน ผู้สูงอำยุ ประจำปีกำรศึกษำ 2560 พร้อมทั้งเผยแพร่และจัดเก็บคลังภูมิปัญญำไว้ในห้องสมุดของโรงเรียน เทศบำลมิตรสมั พันธว์ ทิ ยำ เพ่ือให้ภมู ิปัญญำท้องถ่ินเหลำ่ นเ้ี กิดกำรถ่ำยทอดสคู่ นรุน่ หลังสืบต่อไป จำกควำมร่วมมือในกำรพัฒนำบุคลำกรในหน่วยงำนและภำคีเครือข่ำยท่ีมีส่วนร่วมในก ำรผสมผสำน องค์ควำมรู้ เพ่ือยกระดับควำมรู้ของภูมิปัญญำน้ัน ๆ เพื่อนำไปสู่กำรประยุกต์ใช้ และผสมผสำนเทคโนโลยี ใหม่ ๆ ให้สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ กำรนำภูมิปัญญำไทยกลับสู่กำรศึกษำ สำมำรถส่งเสริมให้มีกำรถ่ำยทอดภูมิปัญญำในโรงเรียนเทศบำลมิตรสัมพันธ์วิทยำ และโรงเรียนในสังกัด เทศบำลเมืองวังนำ้ เย็น เกิดกำรมีส่วนร่วมในกระบวนกำรถ่ำยทอด เช่ือมโยงควำมรใู้ ห้กับนักเรยี นและบุคคล ท่วั ไปในท้องถ่นิ โดยกำรนำบคุ ลำกรทม่ี คี วำมรู้ควำมสำมำรถในทอ้ งถิน่ เข้ำมำเป็นวิทยำกรให้ควำมรู้
กับนักเรียนในโอกำสต่ำง ๆ หรือกำรท่ีโรงเรียนนำองค์ควำมรู้ในท้องถ่ิน เข้ำมำสอนสอดแทรกในกระบวนกำร จดั กำรเรยี นรู้ สิ่งเหล่ำนี้ทำให้กำรพัฒนำภมู ิปญั ญำท้องถน่ิ นำไปสกู่ ำรสืบทอดภูมปิ ัญญำศกึ ษำ เกิดควำมสำเร็จอย่ำงเป็นรูปธรรม นักเรียนผู้สูงอำยุเกิดควำมภำคภูมิใจในภูมิปัญญำของตนที่ได้ถ่ำยทอดสู่คน รุ่นหลังให้คงอยู่ในท้องถิ่น เป็นวัฒนธรรมกำรดำเนินชีวิตประจำท้องถิ่น เป็นวัฒนธรรมกำรดำเนินชีวิตคู่ แผ่นดนิ ไทยตรำบนำนเทำ่ นำน นยิ ามคาศัพทใ์ นการจัดทาภูมิปญั ญาศึกษา ภูมิปัญญาศึกษา หมำยถึง กำรนำภูมิปัญญำกำรดำเนินชีวิตในเร่ืองที่ผู้สูงอำยุเชี่ยวชำญที่สุด ของ ผสู้ ูงอำยุท่เี ข้ำศึกษำตำมหลักสูตรของโรงเรียนผสู้ ูงอำยุเทศบำลเมอื งวังน้ำเย็น มำศึกษำและสืบทอดภูมิปญั ญำ ในรูปแบบต่ำง ๆ มีกำรสืบทอดภูมิปญั ญำโดยกำรปฏิบัตแิ ละกำรเรียบเรยี งเป็นลำยลักษณอ์ ักษรตำมรูปแบบที่ โรงเรียนผู้สูงอำยุกำหนดขึ้น ใช้เปน็ ส่วนหน่ึงในกำรจบหลักสูตรกำรศึกษำ เพื่อให้ภูมปิ ัญญำของผ้สู งู อำยุได้รับ กำรถ่ำยทอดสคู่ นรุ่นหลงั และคงอยู่ในท้องถิ่นต่อไป ซ่งึ แบง่ ภมู ปิ ัญญำศึกษำออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ภูมิปัญญำศกึ ษำทผ่ี ู้สูงอำยเุ ปน็ ผู้คดิ คน้ ภูมปิ ญั ญำในกำรดำเนินชีวิตในเร่ืองทเี่ ชย่ี วชำญที่สุด ดว้ ยตนเอง 2. ภูมิปัญญำศึกษำที่ผู้สูงอำยุเป็นผู้นำภูมิปัญญำที่สืบทอดจำกบรรพบุรุษมำประยุกต์ใช้ในกำรดำเนิน ชวี ิตจนเกดิ ควำมเชยี่ วชำญ 3. ภูมิปัญญำศึกษำท่ีผู้สูงอำยุเป็นผู้นำภูมิปัญญำท่ีสืบทอดจำกบรรพบุรุษมำใช้ในกำรดำเนินชีวิตโดย ไมม่ ีกำรเปล่ยี นแปลงไปจำกเดมิ จนเกดิ ควำมเช่ยี วชำญ ผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญา หมำยถึง ผ้สู ูงอำยุท่ีเข้ำศึกษำตำมหลักสูตรของโรงเรียนผู้สูงอำยุเทศบำลเมือง วังน้ำเย็น เป็นผู้ถ่ำยทอดภูมิปัญญำกำรดำเนินชีวิตในเรื่องที่ตนเองเชี่ยวชำญมำกที่สุด นำมำถ่ำยทอดให้แก่ผู้ เรียบเรียงภูมปิ ญั ญำทอ้ งถิน่ ไดจ้ ัดทำขอ้ มูลเป็นรูปเลม่ ภมู ปิ ญั ญำศกึ ษำ ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถิ่น หมำยถึง ผู้ท่ีนำภูมิปัญญำในกำรดำเนินชีวิตในเร่ืองที่ผู้สูงอำยุ เชี่ยวชำญท่ีสุดมำเรียบเรียงเป็นลำยลักษณ์อักษร ศึกษำหำข้อมูลเพิ่มเติมจำกแหล่งข้อมูลต่ำง ๆ จัดทำเป็น เอกสำรรูปเล่ม ใช้ช่ือว่ำ “ภมู ปิ ญั ญำศึกษำ”ตำมรปู แบบท่โี รงเรียนผสู้ งู อำยเุ ทศบำลเมืองวังน้ำเย็นกำหนด ครูท่ีปรึกษา หมำยถึง ผู้ท่ีปฏิบัติหน้ำที่เป็นครูพ่ีเล้ียง เป็นผู้เรียบเรียงภูมิปัญญำท้องถิ่น ปฏิบัติ หน้ำที่เป็นผู้ประเมินผล เป็นผ้รู ับรองภูมิปญั ญำศึกษำ รวมท้ังเป็นผู้นำภูมิปัญญำศกึ ษำเข้ำมำสอนในโรงเรียน โดยบูรณำกำรกำรจดั กำรเรยี นรู้ตำมหลักสูตรทอ้ งถ่ินที่โรงเรียนจดั ทำข้นึ
ง ภูมิปญั ญาศกึ ษาเชอื่ มโยงสู่สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ 1. ลักษณะของภมู ปิ ัญญาไทย ลักษณะของภูมิปญั ญำไทย มีดังนี้ 1. ภมู ปิ ญั ญำไทยมลี กั ษณะเป็นทงั้ ควำมรู้ ทักษะ ควำมเช่อื และพฤติกรรม 2. ภูมปิ ญั ญำไทยแสดงถงึ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคนกับคน คนกบั ธรรมชำติ ส่งิ แวดล้อม และคนกับส่งิ เหนอื ธรรมชำติ 3. ภมู ิปญั ญำไทยเป็นองคร์ วมหรือกิจกรรมทกุ อยำ่ งในวถิ ีชีวิตของคน 4. ภมู ปิ ัญญำไทยเป็นเรื่องของกำรแก้ปญั หำ กำรจัดกำร กำรปรบั ตัว และกำรเรียนรู้ เพอ่ื ควำมอยูร่ อดของบุคคล ชุมชน และสังคม 5. ภมู ปิ ัญญำไทยเป็นพ้นื ฐำนสำคัญในกำรมองชวี ิต เปน็ พน้ื ฐำนควำมรูใ้ นเรื่องต่ำงๆ 6. ภูมิปญั ญำไทยมลี กั ษณะเฉพำะ หรือมีเอกลักษณ์ในตวั เอง 7. ภูมิปญั ญำไทยมกี ำรเปล่ียนแปลงเพ่ือกำรปรับสมดุลในพัฒนำกำรทำงสงั คม 2. คณุ สมบัติของภูมปิ ญั ญาไทย ผ้ทู รงภูมิปัญญำไทยเป็นผู้มคี ุณสมบัติตำมท่ีกำหนดไว้ อย่ำงนอ้ ยดงั ต่อไปนี้ 1. เปน็ คนดีมีคุณธรรม มคี วำมรู้ควำมสำมำรถในวิชำชีพตำ่ งๆ มผี ลงำนด้ำนกำรพัฒนำ ท้องถิน่ ของตน และได้รบั กำรยอมรบั จำกบุคคลทั่วไปอย่ำงกวำ้ งขวำง ทง้ั ยงั เปน็ ผทู้ ่ใี ชห้ ลักธรรมคำสอนทำง ศำสนำของตนเปน็ เคร่ืองยึดเหนีย่ วในกำรดำรงวิถชี ีวติ โดยตลอด 2. เปน็ ผู้คงแกเ่ รยี นและหมน่ั ศึกษำหำควำมรู้อยู่เสมอ ผูท้ รงภูมิปัญญำจะเปน็ ผทู้ ีห่ มัน่ ศกึ ษำแสวงหำควำมร้เู พ่ิมเตมิ อยู่เสมอไม่หยดุ นิ่ง เรยี นรทู้ ั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผู้ลงมอื ทำ โดยทดลอง ทำตำมทเี่ รียนมำ อีกทั้งลองผิด ลองถูก หรือสอบถำมจำกผู้รอู้ ืน่ ๆ จนประสบควำมสำเรจ็ เป็นผเู้ ชี่ยวชำญ ซ่ึง โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในแตล่ ะด้ำนอย่ำงชดั เจน เปน็ ทย่ี อมรับกำรเปลีย่ นแปลงควำมรู้ใหม่ๆ ทเี่ หมำะสม นำมำ ปรับปรุงรับใช้ชมุ ชน และสงั คมอย่เู สมอ 3. เป็นผนู้ ำของท้องถนิ่ ผู้ทรงภมู ิปัญญำส่วนใหญ่จะเปน็ ผ้ทู ่สี ังคม ในแตล่ ะท้องถิน่ ยอมรบั ให้เป็นผนู้ ำ ทัง้ ผู้นำท่ไี ด้รับกำรแตง่ ต้ังจำกทำงรำชกำร และผนู้ ำตำมธรรมชำติ ซ่งึ สำมำรถเปน็ ผนู้ ำของท้องถิน่ และชว่ ยเหลือผูอ้ ื่นไดเ้ ป็นอย่ำงดี 4. เป็นผู้ทสี่ นใจปัญหำของท้องถ่ิน ผู้ทรงภมู ปิ ัญญำลว้ นเป็นผ้ทู ส่ี นใจปญั หำของท้องถิ่น เอำ ใจใส่ ศึกษำปญั หำ หำทำงแก้ไข และช่วยเหลือสมำชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล้เคียงอยำ่ งไมย่ ่อท้อ จนประสบควำมสำเร็จเป็นทย่ี อมรบั ของสมำชิกและบุคคลท่ัวไป 5. เป็นผู้ขยนั หม่ันเพยี ร ผทู้ รงภมู ิปญั ญำเป็นผขู้ ยันหม่ันเพียร ลงมือทำงำนและผลิตผลงำน อยูเ่ สมอ ปรับปรุงและพฒั นำผลงำนให้มีคณุ ภำพมำกข้นึ อีกทงั้ มุ่งทำงำนของตนอย่ำงต่อเนอ่ื ง
6. เป็นนักปกครองและประสำนประโยชนข์ องท้องถิ่น ผูท้ รงภูมปิ ัญญำ นอกจำกเป็นผทู้ ่ี ประพฤติตนเป็นคนดี จนเป็นทีย่ อมรับนบั ถือจำกบคุ คลทว่ั ไปแลว้ ผลงำนท่ที ำ่ นทำยังถือว่ำมีคุณคำ่ จงึ เป็นผทู้ ่ี มีทงั้ \"ครองตน ครองคน และครองงำน\" เป็นผปู้ ระสำนประโยชนใ์ หบ้ คุ คลเกดิ ควำมรัก ควำมเข้ำใจ ควำมเหน็ ใจ และมีควำมสำมัคคกี นั ซ่ึงจะทำให้ท้องถ่ิน หรือสงั คม มีควำมเจริญ มีคุณภำพชีวิตสูงข้นึ กว่ำเดมิ 7. มคี วำมสำมำรถในกำรถำ่ ยทอดควำมรู้เปน็ เลศิ เม่ือผู้ทรงภูมิปัญญำมคี วำมรู้ ควำมสำมำรถ และประสบกำรณเ์ ป็นเลิศ มผี ลงำนทเ่ี ป็นประโยชน์ตอ่ ผูอ้ ืน่ และบคุ คลทว่ั ไป ทงั้ ชำวบ้ำน นักวิชำกำร นกั เรียน นิสิต/นักศึกษำ โดยอำจเขำ้ ไปศึกษำหำควำมรู้ หรือเชิญทำ่ นเหลำ่ นั้นไป เป็นผ้ถู ำ่ ยทอด ควำมรไู้ ด้ 8. เปน็ ผูม้ คี ู่ครองหรือบรวิ ำรดี ผู้ทรงภมู ิปญั ญำ ถ้ำเปน็ คฤหัสถ์ จะพบวำ่ ล้วนมคี ่คู รองที่ดี ทีค่ อยสนบั สนนุ ช่วยเหลอื ให้กำลังใจ ให้ควำมร่วมมือในงำนทท่ี ำ่ นทำ ช่วยใหผ้ ลติ ผลงำนท่ีมคี ุณคำ่ ถำ้ เปน็ นักบวช ไมว่ ่ำจะเปน็ ศำสนำใด ตอ้ งมบี รวิ ำรทดี่ ี จึงจะสำมำรถผลติ ผลงำนทม่ี คี ุณค่ำทำงศำสนำได้ 9. เปน็ ผมู้ ปี ัญญำรอบรูแ้ ละเช่ียวชำญจนได้รับกำรยกยอ่ งว่ำเป็นปรำชญ์ ผูท้ รงภูมปิ ญั ญำ ต้องเปน็ ผู้มปี ญั ญำรอบรู้และเชี่ยวชำญ รวมทงั้ สร้ำงสรรค์ผลงำนพเิ ศษใหมๆ่ ที่เปน็ ประโยชน์ต่อสังคมและ มนุษยชำติอยำ่ งต่อเน่ืองอยเู่ สมอ 3. การจัดแบง่ สาขาภมู ปิ ัญญาไทย จำกกำรศึกษำพบวำ่ มีกำรกำหนดสำขำภูมปิ ญั ญำไทยไว้อย่ำงหลำกหลำย ขน้ึ อยู่กบั วตั ถุประสงค์ และ หลกั เกณฑ์ตำ่ งๆ ท่หี น่วยงำน องค์กร และนักวิชำกำรแตล่ ะท่ำนนำมำกำหนด ในภำพรวมภูมปิ ญั ญำไทย สำมำรถแบ่งไดเ้ ปน็ 10 สำขำ ดังนี้ 1. สาขาเกษตรกรรม หมำยถงึ ควำมสำมำรถในกำรผสมผสำนองค์ควำมรู้ ทักษะ และ เทคนิคด้ำนกำรเกษตรกับเทคโนโลยี โดยกำรพัฒนำบนพนื้ ฐำนคณุ ค่ำดั้งเดิม ซ่ึงคนสำมำรถพึ่งพำตนเอง ในภำวกำรณต์ ำ่ งๆ ได้ เช่น กำรทำ กำรเกษตรแบบผสมผสำน วนเกษตร เกษตรธรรมชำติ ไร่นำสวนผสม และ สวนผสมผสำน กำรแก้ปญั หำกำรเกษตรดำ้ นกำรตลำด กำรแกป้ ญั หำดำ้ นกำรผลิต กำรแกไ้ ขปัญหำโรคและ แมลง และกำรรูจ้ ักปรบั ใชเ้ ทคโนโลยที ่เี หมำะสมกับกำรเกษตร เปน็ ต้น 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมำยถงึ กำรร้จู ักประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี มยั ใหม่ ในกำรแปรรูปผลติ ผล เพ่ือชะลอกำรนำเข้ำตลำด เพ่ือแก้ปัญหำด้ำนกำรบรโิ ภคอย่ำงปลอดภัย ประหยัด และ เปน็ ธรรม อนั เปน็ กระบวนกำรท่ที ำให้ชมุ ชนท้องถ่ินสำมำรถพ่งึ พำตนเองทำงเศรษฐกิจได้ ตลอดทง้ั กำรผลติ และกำรจำหน่ำย ผลิตผลทำงหัตถกรรม เชน่ กำรรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงำนยำงพำรำ กลุ่มโรงสี กลุ่มหัตถกรรม เป็นต้น 3. สาขาการแพทยแ์ ผนไทย หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรจัดกำรปอ้ งกนั และรักษำ สขุ ภำพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชมุ ชนสำมำรถพึง่ พำตนเอง ทำงด้ำนสุขภำพ และอนำมยั ได้ เช่น กำรนวด แผนโบรำณ กำรดูแลและรักษำสุขภำพแบบพนื้ บ้ำน กำรดูแลและรักษำสุขภำพแผนโบรำณไทย เป็นตน้ 4. สาขาการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม หมำยถงึ ควำมสำมำรถเกย่ี วกับกำรจัดกำรทรพั ยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ทง้ั กำรอนุรักษ์ กำรพฒั นำ และกำรใช้ประโยชน์จำกคณุ คำ่ ของทรัพยำกรธรรมชำติ และสง่ิ แวดล้อม อยำ่ งสมดลุ และย่ังยนื เช่น กำรทำ แนวปะกำรังเทยี ม กำรอนรุ กั ษป์ ำ่ ชำยเลน กำรจัดกำรปำ่ ต้นน้ำ และป่ำชุมชน เปน็ ตน้
5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรบรหิ ำรจดั กำรด้ำนกำร สะสม และบริกำรกองทนุ และธรุ กิจในชุมชน ท้งั ท่เี ป็นเงินตรำ และโภคทรัพย์ เพ่ือสง่ เสริมชวี ิตควำมเป็นอยู่ ของสมำชิกในชมุ ชน เช่น กำรจดั กำรเร่อื งกองทนุ ของชมุ ชน ในรูปของสหกรณ์ออมทรพั ย์ และธนำคำรหมู่บำ้ น เป็นตน้ 6. สาขาสวัสดิการ หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรจดั สวสั ดิกำรในกำรประกนั คุณภำพชีวิต ของคน ใหเ้ กิดควำมมน่ั คงทำงเศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม เชน่ กำรจดั ตัง้ กองทุนสวสั ดกิ ำรรักษำพยำบำล ของชุมชน กำรจดั ระบบสวัสดกิ ำรบริกำรในชุมชน กำรจัดระบบสงิ่ แวดล้อมในชุมชน เปน็ ต้น 7. สาขาศลิ ปกรรม หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรผลิตผลงำนทำงด้ำนศิลปะสำขำต่ำง ๆ เช่น จติ รกรรม ประตมิ ำกรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ศิลปะมวยไทย เปน็ ตน้ 8. สาขาการจดั การองค์กร หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรบริหำรจัดกำรดำเนินงำนของ องค์กรชุมชนตำ่ งๆ ให้สำมำรถพฒั นำ และบริหำรองค์กรของตนเองได้ ตำมบทบำท และหน้ำที่ขององค์กำร เช่น กำรจดั กำรองค์กรของกลุ่มแม่บำ้ น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มประมงพืน้ บำ้ น เป็นตน้ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมำยถงึ ควำมสำมำรถผลิตผลงำนเกยี่ วกบั ดำ้ นภำษำ ทง้ั ภำษำถน่ิ ภำษำโบรำณ ภำษำไทย และกำรใชภ้ ำษำ ตลอดท้ังดำ้ นวรรณกรรมทกุ ประเภท เชน่ กำรจัดทำ สำรำนกุ รมภำษำถน่ิ กำรปรวิ รรต หนังสือโบรำณ กำรฟื้นฟูกำรเรยี นกำรสอนภำษำถ่ินของท้องถ่นิ ต่ำง ๆ เปน็ ต้น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมำยถงึ ควำมสำมำรถประยกุ ต์ และปรบั ใช้หลกั ธรรมคำ สอนทำงศำสนำ ควำมเช่อื และประเพณดี ั้งเดมิ ทีม่ คี ุณค่ำให้เหมำะสมต่อกำรประพฤตปิ ฏิบัติ ใหบ้ ังเกดิ ผลดีต่อ บคุ คล และสิง่ แวดล้อม เชน่ กำรถ่ำยทอดหลักธรรมทำงศำสนำ ลกั ษณะควำมสัมพนั ธ์ของภมู ปิ ัญญำไทย ภูมปิ ัญญำไทยสำมำรถสะท้อนออกมำใน 3 ลักษณะที่สมั พันธ์ใกล้ชิดกัน คอื 1.1 ควำมสัมพันธ์อย่ำงใกล้ชิดกันระหว่ำงคนกับโลก สิง่ แวดล้อม สัตว์ พืช และ ธรรมชำติ 1.2 ควำมสัมพนั ธ์ของคนกบั คนอ่ืนๆ ทอ่ี ยู่ร่วมกนั ในสงั คม หรือในชมุ ชน 1.3 ควำมสมั พนั ธ์ระหว่ำงคนกับสิง่ ศักด์สิ ิทธ์สิ งิ่ เหนือธรรมชำติ ตลอดทง้ั สงิ่ ท่ีไม่สำมำรถ สมั ผัสได้ทง้ั หลำย ท้ัง 3 ลักษณะนี้ คือ สำมมติ ิของเร่ืองเดียวกัน หมำยถึง ชีวติ ชมุ ชน สะทอ้ นออกมำถึงภูมิ ปญั ญำในกำรดำเนนิ ชวี ิตอย่ำงมีเอกภำพ เหมือนสำมมุมของรปู สำมเหลยี่ ม ภมู ิปัญญำ จึงเป็นรำกฐำนในกำร ดำเนินชีวติ ของคนไทย ซ่ึงสำมำรถแสดงใหเ้ หน็ ได้อยำ่ งชัดเจนโดยแผนภำพ ดงั น้ี ลักษณะภมู ิปญั ญำทเี่ กดิ จำกควำมสมั พนั ธ์ ระหว่ำงคนกับธรรมชำติสิ่งแวดล้อม จะแสดงออกมำ ในลักษณะภมู ปิ ญั ญำในกำรดำเนินวิถีชวี ิตขั้นพนื้ ฐำน ดำ้ นปัจจยั สี่ ซง่ึ ประกอบดว้ ย อำหำร เครือ่ งน่งุ ห่ม ทอี่ ยอู่ ำศยั และยำรักษำโรค ตลอดทง้ั กำรประกอบ อำชีพต่ำงๆ เป็นต้น ภมู ิปญั ญำทเี่ กดิ จำก
ควำมสัมพันธร์ ะหวำ่ งคนกับคนอน่ื ในสงั คม จะแสดงออกมำในลักษณะ จำรีต ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศลิ ปะ และนันทนำกำร ภำษำ และวรรณกรรม ตลอดทัง้ กำรสอ่ื สำรต่ำงๆ เป็นตน้ ภูมิปญั ญำทเ่ี กิดจำกควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงคนกับสิ่งศักดสิ์ ทิ ธิ์ สิง่ เหนอื ธรรมชำติ จะแสดงออกมำใน ลักษณะของสง่ิ ศักดสิ์ ทิ ธิ์ ศำสนำ ควำมเชอ่ื ต่ำงๆ เป็นต้น 4. คณุ ค่าและความสาคญั ของภูมิปัญญาไทย คุณค่ำของภูมิปญั ญำไทย ได้แก่ ประโยชน์ และควำมสำคัญของภมู ิปัญญำ ทบ่ี รรพบรุ ษุ ไทย ได้ สรำ้ งสรรค์ และสบื ทอดมำอย่ำงต่อเนื่อง จำกอดตี ส่ปู ัจจุบนั ทำใหค้ นในชำติเกดิ ควำมรัก และควำมภำคภูมิใจ ทจี่ ะรว่ มแรงรว่ มใจสบื สำนต่อไปในอนำคต เชน่ โบรำณสถำน โบรำณวัตถุ สถำปตั ยกรรม ประเพณีไทย กำรมี น้ำใจ ศักยภำพในกำรประสำนผลประโยชน์ เปน็ ต้น ภูมปิ ญั ญำไทยจึงมีคุณค่ำ และควำมสำคัญดงั นี้ 1. ภูมปิ ัญญำไทยช่วยสรำ้ งชำติใหเ้ ป็นปึกแผน่ พระมหำกษัตริยไ์ ทยได้ใชภ้ ูมิปัญญำในกำรสร้ำงชำติ สร้ำงควำมเป็นปกึ แผน่ ให้แก่ ประเทศชำติมำโดยตลอด ตงั้ แต่สมัยพ่อขุนรำมคำแหงมหำรำช พระองคท์ รงปกครองประชำชน ด้วยพระ เมตตำ แบบพอ่ ปกครองลกู ผู้ใดประสบควำมเดือดร้อน กส็ ำมำรถตีระฆัง แสดงควำมเดือดร้อน เพ่ือขอรบั พระรำชทำนควำมช่วยเหลือ ทำให้ประชำชนมีควำมจงรกั ภักดตี ่อพระองค์ ตอ่ ประเทศชำตริ ว่ มกนั สร้ำง บำ้ นเรือนจนเจรญิ รงุ่ เรืองเป็นปึกแผ่น สมเดจ็ พระนเรศวรมหำรำช พระองค์ทรงใชภ้ ูมิปญั ญำกระทำยุทธหัตถี จนชนะข้ำศึกศตั รู และทรงกอบกเู้ อกรำชของชำตไิ ทยคนื มำได้ พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวภูมพิ ลอดุลยเดช รชั กำลปจั จบุ ัน พระองค์ทรงใช้ภูมปิ ัญญำสร้ำงคณุ ประโยชน์แกป่ ระเทศชำติ และเหล่ำพสกนิกรมำกมำยเหลือคณำนบั ทรงใช้ พระปรชี ำสำมำรถ แก้ไขวกิ ฤตกำรณท์ ำงกำรเมือง ภำยในประเทศ จนรอดพน้ ภยั พิบตั หิ ลำยครั้ง พระองค์ทรง มีพระปรชี ำสำมำรถหลำยดำ้ น แม้แตด่ ้ำนกำรเกษตร พระองค์ได้พระรำชทำนทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนิกร ทงั้ ดำ้ นกำรเกษตรแบบสมดุลและยั่งยนื ฟืน้ ฟูสภำพแวดล้อม นำควำมสงบรม่ เยน็ ของประชำชนให้กลบั คืนมำ แนวพระรำชดำริ \"ทฤษฎใี หม่\" แบง่ ออกเป็น 2 ข้นั โดยเรม่ิ จำก ข้ันตอนแรก ให้เกษตรกรรำยย่อย \"มีพออยู่ พอกิน\" เปน็ ขั้นพ้ืนฐำน โดยกำรพัฒนำแหลง่ น้ำ ในไรน่ ำ ซงึ่ เกษตรกรจำเป็นทจี่ ะตอ้ งไดร้ ับควำมชว่ ยเหลือจำก หน่วยรำชกำร มลู นิธิ และหน่วยงำนเอกชน ร่วมใจกันพัฒนำสังคมไทย ในข้ันท่สี อง เกษตรกรต้องมีควำม เขำ้ ใจ ในกำรจดั กำรในไร่นำของตน และมีกำรรวมกลมุ่ ในรูปสหกรณ์ เพ่ือสรำ้ งประสิทธิภำพทำงกำรผลติ และ กำรตลำด กำรลดรำยจำ่ ยด้ำนควำมเป็นอยู่ โดยทรงตระหนกั ถึงบทบำทขององค์กรเอกชน เม่อื กลมุ่ เกษตร วิวัฒนม์ ำข้ันที่ 2 แลว้ กจ็ ะมีศักยภำพ ในกำรพฒั นำไปสขู่ น้ั ท่สี ำม ซง่ึ จะมีอำนำจในกำรต่อรองผลประโยชน์กับ สถำบันกำรเงินคอื ธนำคำร และองค์กรที่เปน็ เจ้ำของแหล่งพลังงำน ซง่ึ เป็นปัจจยั หนึ่งในกำรผลิต โดยมกี ำร แปรรูปผลติ ผล เชน่ โรงสี เพื่อเพ่ิมมลู คำ่ ผลติ ผล และขณะเดียวกนั มีกำรจัดต้ังร้ำนค้ำสหกรณ์ เพื่อลดค่ำใชจ้ ่ำย ในชวี ติ ประจำวนั อันเป็นกำรพัฒนำคุณภำพชวี ิตของบคุ คลในสงั คม จะเหน็ ได้ว่ำ มิไดท้ รงทอดทิ้งหลักของ ควำมสำมคั คใี นสังคม และกำรจดั ต้งั สหกรณ์ ซงึ่ ทรงสนบั สนนุ ให้กลุม่ เกษตรกรสรำ้ งอำนำจตอ่ รองในระบบ เศรษฐกิจ จงึ จะมีคุณภำพชวี ิตท่ดี ี จงึ จดั ไดว้ ำ่ เป็นสงั คมเกษตรทพี่ ฒั นำแลว้ สมดังพระรำชประสงคท์ ที่ รงอุทิศ พระวรกำย และพระสตปิ ญั ญำ ในกำรพัฒนำกำรเกษตรไทยตลอดระยะเวลำแห่งกำรครองรำชย์
2. สร้ำงควำมภำคภูมใิ จ และศกั ดิ์ศรี เกียรตภิ ูมแิ กค่ นไทย คนไทยในอดตี ทม่ี ีควำมสำมำรถปรำกฏในประวัติศำสตร์มมี ำก เปน็ ทย่ี อมรับของนำนำ อำรยประเทศ เช่น นำยขนมต้มเปน็ นกั มวยไทย ท่มี ีฝมี ือเก่งในกำรใช้อวัยวะทุกสว่ น ทุกท่ำของแมไ่ มม้ วยไทย สำมำรถชกมวยไทย จนชนะพมำ่ ได้ถึงเก้ำคนสบิ คนในครำวเดยี วกนั แมใ้ นปัจจบุ ัน มวยไทยกย็ ังถือว่ำ เปน็ ศิลปะชน้ั เย่ยี ม เปน็ ท่ี นิยมฝึกและแข่งขนั ในหมู่คนไทยและชำวต่ำง ประเทศ ปัจจบุ ันมีค่ำยมวยไทยทัว่ โลกไม่ ต่ำกว่ำ 30,000 แห่ง ชำวต่ำงประเทศทไี่ ดฝ้ ึกมวยไทย จะรู้สึกยนิ ดแี ละภำคภมู ิใจ ในกำรทจี่ ะใช้กติกำ ของมวย ไทย เช่น กำรไหว้ครูมวยไทย กำรออก คำส่งั ในกำรชกเปน็ ภำษำไทยทุกคำ เช่น คำวำ่ \"ชก\" \"นบั หนึ่งถึงสบิ \" เป็นต้น ถอื เป็นมรดก ภูมิปญั ญำไทย นอกจำกนี้ ภมู ปิ ัญญำไทยทโ่ี ดด เดน่ ยังมีอีกมำกมำย เช่น มรดกภมู ิ ปัญญำทำง ภำษำและวรรณกรรม โดยท่ีมอี กั ษรไทยเปน็ ของ ตนเองมำตั้งแต่สมยั กรุงสโุ ขทัย และววิ ฒั นำกำร มำจนถงึ ปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถอื ว่ำ เป็นวรรณกรรมท่มี ีควำมไพเรำะ ได้อรรถรสครบทุกด้ำน วรรณกรรม หลำยเรอ่ื งไดร้ ับกำรแปลเป็นภำษำตำ่ งประเทศหลำยภำษำ ด้ำนอำหำร อำหำรไทยเป็นอำหำรท่ปี รุงง่ำย พืชท่ี ใชป้ ระกอบอำหำรส่วนใหญ่เป็นพชื สมนุ ไพร ที่หำได้ง่ำยในท้องถน่ิ และรำคำถูก มี คณุ คำ่ ทำงโภชนำกำร และ ยังปอ้ งกันโรคไดห้ ลำยโรค เพรำะสว่ นประกอบสว่ นใหญเ่ ป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขงิ ข่ำ กระชำย ใบ มะกรดู ใบโหระพำ ใบกะเพรำ เปน็ ตน้ 3. สำมำรถปรับประยุกตห์ ลักธรรมคำสอนทำงศำสนำใชก้ ับวถิ ีชีวติ ไดอ้ ยำ่ งเหมำะสม คนไทยสว่ นใหญ่นบั ถอื ศำสนำพุทธ โดยนำหลักธรรมคำสอนของศำสนำ มำปรบั ใชใ้ นวิถีชีวิต ได้อย่ำงเหมำะสม ทำให้คนไทยเป็นผ้อู ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ ประนปี ระนอม รักสงบ ใจเย็น มีควำม อดทน ให้อภยั แกผ่ ู้สำนกึ ผิด ดำรงวถิ ชี วี ิตอยำ่ งเรียบงำ่ ย ปกตสิ ุข ทำให้คนในชมุ ชนพ่งึ พำกนั ได้ แม้จะอดอยำก เพรำะ แห้งแลง้ แต่ไม่มีใครอดตำย เพรำะพ่งึ พำอำศัย กนั แบง่ ปันกันแบบ \"พริกบ้ำนเหนอื เกลือบำ้ นใต้\" เป็น ตน้ ทง้ั หมดนี้สบื เน่ืองมำจำกหลกั ธรรมคำสอนของพระพทุ ธศำสนำ เป็นกำรใช้ภมู ิปัญญำ ในกำรนำเอำหลัก ของพระพุทธศำสนำมำ ประยุกตใ์ ชก้ ับชวี ิตประจำวัน และดำเนนิ กุศโลบำย ดำ้ นตำ่ งประเทศ จนทำใหช้ ำว พทุ ธท่วั โลกยกย่อง ให้ประเทศไทยเปน็ ผู้นำทำงพทุ ธศำสนำ และเป็น ทตี่ ง้ั สำนักงำนใหญอ่ งค์กำรพทุ ธศำสนกิ สัมพันธ์ แหง่ โลก (พสล.) อยู่เยอ้ื งๆ กับอทุ ยำนเบญจสิริ กรุงเทพมหำนคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สญั ญำ ธรรม ศักด์ิ องคมนตรี) ดำรงตำแหนง่ ประธำน พสล. ต่อจำก ม.จ.หญงิ พนู พศิ มยั ดิศกุล 4. สรำ้ งควำมสมดลุ ระหว่ำงคนในสังคม และธรรมชำติได้อยำ่ งยั่งยนื ภูมิปญั ญำไทยมีควำมเด่นชัดในเรอื่ งของกำรยอมรับนับถือ และให้ควำมสำคญั แก่คน สังคม และธรรมชำตอิ ยำ่ งย่ิง มเี คร่ืองชี้ท่แี สดงให้เหน็ ได้อยำ่ งชัดเจนมำกมำย เช่น ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดท้ังปี ล้วนเคำรพคุณค่ำของธรรมชำติ ไดแ้ ก่ ประเพณสี งกรำนต์ ประเพณีลอยกระทง เปน็ ตน้ ประเพณีสงกรำนต์ เป็นประเพณีท่ีทำใน ฤดูร้อนซึง่ มอี ำกำศร้อน ทำให้ต้องกำรควำมเยน็ จึงมีกำรรดน้ำดำหัว ทำควำมสะอำด บำ้ นเรือน และธรรมชำตสิ ง่ิ แวดล้อม มกี ำรแหน่ ำงสงกรำนต์ กำรทำนำยฝนว่ำจะตกมำกหรอื น้อยในแต่ละปี สว่ นประเพณีลอยกระทง คุณคำ่ อยูท่ ี่กำรบูชำ ระลึกถึงบญุ คุณของนำ้ ทห่ี ล่อเลี้ยงชีวิตของ คน พชื และสตั ว์ ใหไ้ ดใ้ ช้ทัง้ บรโิ ภคและอปุ โภค ในวนั ลอยกระทง คนจึงทำควำมสะอำดแมน่ ้ำ ลำธำร บชู ำแมน่ ำ้ จำกตัวอย่ำง ข้ำงตน้ ลว้ นเป็น ควำมสัมพันธร์ ะหวำ่ งคนกับสงั คมและธรรมชำติ ทงั้ ส้นิ
ในกำรรกั ษำป่ำไมต้ ้นน้ำลำธำร ได้ประยุกต์ให้มีประเพณีกำรบวชป่ำ ให้คนเคำรพสงิ่ ศกั ด์ิสทิ ธิ์ ธรรมชำติ และสภำพแวดลอ้ ม ยังควำมอดุ มสมบูรณแ์ กต่ ้นน้ำ ลำธำร ใหฟ้ ืน้ สภำพกลบั คนื มำได้มำก อำชพี กำรเกษตรเปน็ อำชีพหลักของคนไทย ที่คำนึงถึงควำมสมดลุ ทำแตน่ ้อยพออยู่พอกนิ แบบ \"เฮ็ดอยู่เฮด็ กนิ \" ของ พ่อทองดี นนั ทะ เม่ือเหลอื กนิ ก็แจกญำติพี่น้อง เพื่อนบำ้ น บ้ำนใกลเ้ รอื นเคียง นอกจำกนี้ ยงั นำไปแลกเปลี่ยน กับสิ่งของอยำ่ งอนื่ ที่ตนไม่มี เม่อื เหลอื ใช้จรงิ ๆ จงึ จะนำไปขำย อำจกลำ่ วไดว้ ่ำ เปน็ กำรเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขำย\" ทำใหค้ นในสงั คมได้ช่วยเหลือเกอ้ื กูล แบ่งปนั กัน เคำรพรกั นับถือ เป็นญำติกัน ท้ังหมู่บ้ำน จึงอยู่ ร่วมกันอย่ำงสงบสุข มีควำมสัมพันธก์ นั อย่ำงแนบแน่น ธรรมชำติไม่ถกู ทำลำยไปมำกนัก เน่ืองจำกทำพออย่พู อ กนิ ไมโ่ ลภมำกและไม่ทำลำยทกุ อย่ำงผิด กบั ในปจั จบุ นั ถอื เปน็ ภมู ิปัญญำท่สี ร้ำงควำม สมดลุ ระหว่ำงคน สงั คม และธรรมชำติ 5. เปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ตำมยคุ สมัย แมว้ ำ่ กำลเวลำจะผำ่ นไป ควำมร้สู มยั ใหม่ จะหล่งั ไหลเขำ้ มำมำก แตภ่ ูมิปัญญำไทย ก็สำมำรถ ปรบั เปล่ียนใหเ้ หมำะสมกับยุคสมัย เช่น กำรร้จู ักนำเครื่องยนต์มำตดิ ตง้ั กบั เรอื ใส่ใบพัด เปน็ หำงเสือ ทำใหเ้ รือ สำมำรถแล่นได้เรว็ ข้นึ เรียกว่ำ เรือหำงยำว กำรรจู้ ักทำกำรเกษตรแบบผสมผสำน สำมำรถพลิกฟนื้ คืน ธรรมชำติให้ อุดมสมบูรณ์แทนสภำพเดิมท่ถี ูกทำลำยไป กำรรู้จักออมเงิน สะสมทุนใหส้ มำชกิ กู้ยมื ปลดเปลอื้ ง หนีส้ นิ และจัดสวสั ดกิ ำรแก่สมำชกิ จนชมุ ชนมีควำมมั่นคง เขม้ แข็ง สำมำรถชว่ ยตนเองได้หลำยร้อยหมู่บ้ำนทว่ั ประเทศ เช่น กลมุ่ ออมทรัพย์คีรวี ง จังหวัดนครศรธี รรมรำช จดั ในรปู กองทุนหมนุ เวียนของชมุ ชน จนสำมำรถ ช่วยตนเองได้ เมอ่ื ป่ำถูกทำลำย เพรำะถูกตัดโคน่ เพื่อปลูกพชื แบบเดีย่ ว ตำมภมู ิปัญญำสมัยใหม่ ท่ีหวัง รำ่ รวย แตใ่ นทสี่ ุด กข็ ำดทุน และมหี นี้สิน สภำพแวดล้อมสูญเสยี เกดิ ควำมแห้งแลง้ คนไทยจึงคดิ ปลูกป่ำ ทีก่ ิน ได้ มีพืชสวน พืชปำ่ ไม้ผล พืชสมุนไพร ซงึ่ สำมำรถมกี นิ ตลอดชีวติ เรียกว่ำ \"วนเกษตร\" บำงพนื้ ท่ี เม่ือป่ำชุมชน ถกู ทำลำย คนในชมุ ชนก็รวมตวั กนั เปน็ กลุม่ รักษำปำ่ รว่ มกนั สรำ้ งระเบยี บ กฎเกณฑก์ ันเอง ให้ทุกคนถือ ปฏบิ ัติได้ สำมำรถรักษำปำ่ ได้อยำ่ งสมบรู ณ์ดังเดมิ เม่ือปะกำรังธรรมชำติถกู ทำลำย ปลำไม่มีทีอ่ ยู่อำศยั ประชำชนสำมำรถสรำ้ ง \"อูหยัม\" ขึ้น เป็นปะกำรังเทียม ให้ปลำอำศัยวำงไข่ และแพร่พันธ์ุใหเ้ จริญเตบิ โต มีจำนวนมำกดงั เดิมได้ ถือเป็นกำรใช้ภูมิปญั ญำปรบั ปรงุ ประยุกตใ์ ช้ได้ตำมยุคสมยั สำรำนุกรมไทยสำหรบั เยำวชนฯ เลม่ ที่ 19 ใหค้ วำมหมำยของคำว่ำ ภูมปิ ัญญำชำวบ้ำน หมำยถึง ควำมรู้ของชำวบ้ำน ซง่ึ ได้มำจำกประสบกำรณ์ และควำมเฉลยี วฉลำดของชำวบ้ำน รวมทัง้ ควำมรทู้ ่ี สง่ั สมมำแต่บรรพบุรุษ สบื ทอดจำกคนรนุ่ หน่งึ ไปสูค่ นอกี รนุ่ หน่ึง ระหว่ำงกำรสบื ทอดมีกำรปรับ ประยุกต์ และ เปล่ียนแปลง จนอำจเกิดเป็นควำมรูใ้ หมต่ ำมสภำพกำรณ์ทำงสงั คมวัฒนธรรม และ สง่ิ แวดล้อม ภูมิปัญญำเป็นควำมรู้ทป่ี ระกอบไปด้วยคุณธรรม ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั วถิ ชี ีวติ ด้งั เดิมของชำวบ้ำน ในวถิ ีด้ังเดิมน้ัน ชีวติ ของชำวบ้ำนไม่ได้แบ่งแยกเป็นส่วนๆ หำกแตท่ ุกอยำ่ งมคี วำมสมั พันธก์ ัน กำรทำมำหำกนิ กำรอยู่รว่ มกนั ในชมุ ชน กำรปฏบิ ัติศำสนำ พธิ กี รรมและประเพณี ควำมรูเ้ ปน็ คุณธรรม เม่ือผู้คนใชค้ วำมรนู้ ัน้ เพอ่ื สรำ้ งควำมสัมพนั ธท์ ี่ดีระหว่ำง คนกบั คน คนกบั ธรรมชำติ และคนกับส่ิงเหนอื ธรรมชำติ ควำมสมั พนั ธ์ทด่ี ี เป็นควำมสัมพนั ธท์ ี่มคี วำมสมดลุ ที่เคำรพกันและกนั ไม่ทำร้ำยทำลำยกนั ทำใหท้ กุ ฝ่ำยทุกสว่ นอยู่ร่วมกนั ได้ อยำ่ งสันติ ชุมชนด้ังเดิมจึงมกี ฎเกณฑ์ของกำรอยูร่ ่วมกัน มีคนเฒำ่ คนแก่เปน็ ผู้นำ คอยให้คำแนะนำตักเตือน ตดั สิน และลงโทษหำกมกี ำรละเมดิ ชำวบำ้ นเคำรพธรรมชำตริ อบตัว ดนิ น้ำ ปำ่ เขำ ข้ำว แดด ลม ฝน โลก
และจกั รวำล ชำวบำ้ นเคำรพผหู้ ลกั ผใู้ หญ่ พอ่ แม่ ปยู่ ำ่ ตำยำย ทง้ั ท่มี ชี ีวิตอยู่และล่วงลบั ไปแล้ว ภมู ปิ ัญญำจงึ เปน็ ควำมรู้ทมี่ ีคณุ ธรรม เป็นควำมรู้ท่ีมีเอกภำพของทกุ ส่งิ ทุกอยำ่ ง เปน็ ควำมร้วู ำ่ ทุกส่งิ ทุกอยำ่ งสัมพนั ธ์กัน อยำ่ งมีควำมสมดุล เรำจงึ ยกย่องควำมรู้ข้นั สงู ส่ง อนั เป็นควำมรแู้ จง้ ในควำมจรงิ แห่งชีวิตนีว้ ่ำ \"ภูมิปัญญำ\" ควำมคิดและกำรแสดงออก เพื่อจะเขำ้ ใจภมู ิปัญญำชำวบ้ำน จำเปน็ ต้องเข้ำใจควำมคิดของชำวบำ้ นเกี่ยวกบั โลก หรอื ท่ีเรยี กว่ำ โลกทัศน์ และเก่ียวกับชวี ิต หรือท่เี รียกวำ่ ชีวทศั น์ สิง่ เหลำ่ นีเ้ ปน็ นำมธรรม อนั เก่ียวข้อง สมั พนั ธ์โดยตรงกับกำรแสดงออกใน ลกั ษณะต่ำงๆ ทีเ่ ปน็ รปู ธรรม แนวคิดเรื่องควำมสมดลุ ของชวี ิต เป็นแนวคิดพน้ื ฐำนของภมู ิปัญญำชำวบ้ำน กำรแพทยแ์ ผนไทย หรอื ที่เคยเรยี กกันว่ำ กำรแพทยแ์ ผนโบรำณนนั้ มหี ลกั กำรว่ำ คนมีสุขภำพดี เม่ือรำ่ งกำยมีควำมสมดลุ ระหว่ำงธำตทุ ้งั ๔ คือ ดนิ น้ำ ลม ไฟ คนเจ็บไข้ได้ป่วย เพรำะธำตุขำดควำมสมดลุ จะมกี ำรปรับธำตุ โดยใชย้ ำสมุนไพร หรอื วิธีกำรอน่ื ๆ คนเป็นไข้ตัวร้อน หมอยำ พ้นื บ้ำนจะใหย้ ำเย็น เพื่อลดไข้ เป็นต้น กำรดำเนินชวี ิตประจำวนั ก็เช่นเดียวกัน ชำวบ้ำนเช่อื ว่ำ จะต้องรักษำ ควำมสมดุลในควำมสัมพันธส์ ำมด้ำน คือ ควำมสมั พนั ธ์กบั คนในครอบครัว ญำติพ่นี อ้ ง เพื่อนบำ้ นในชมุ ชน ควำมสมั พนั ธท์ ด่ี ีมีหลกั เกณฑ์ ท่บี รรพบรุ ุษได้สัง่ สอนมำ เชน่ ลูกควรปฏบิ ตั ิอย่ำงไรกบั พ่อแม่ กบั ญำติพ่นี ้อง กับ ผสู้ งู อำยุ คนเฒำ่ คนแก่ กบั เพื่อนบำ้ น พ่อแม่ควรเลี้ยงดลู กู อยำ่ งไร ควำมเออ้ื อำทรตอ่ กนั และกนั ชว่ ยเหลือ เกอ้ื กลู กนั โดยเฉพำะในยำมทุกขย์ ำก หรือมปี ัญหำ ใครมีควำมสำมำรถพเิ ศษก็ใช้ควำมสำมำรถนนั้ ชว่ ยเหลอื ผอู้ ื่น เช่น บำงคนเป็นหมอยำ กช็ ่วยดแู ลรักษำคนเจ็บปว่ ยไมส่ บำย โดยไม่คดิ คำ่ รกั ษำ มีแต่เพยี งกำรยกครู หรือ กำรรำลกึ ถงึ ครบู ำอำจำรย์ทีป่ ระสำทวิชำมำใหเ้ ท่ำนั้น หมอยำต้องทำมำหำกิน โดยกำรทำนำ ทำไร่ เล้ียงสัตว์ เหมอื นกับชำวบำ้ นอืน่ ๆ บำงคนมคี วำมสำมำรถพิเศษด้ำนกำรทำมำหำกนิ ก็ชว่ ยสอนลูกหลำนใหม้ ีวิชำไปดว้ ย ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงคนกบั คนในครอบครวั ในชุมชน มกี ฎเกณฑ์เป็นข้อปฏบิ ตั ิ และข้อห้ำม อย่ำงชดั เจน มีกำรแสดงออกทำงประเพณี พธิ ีกรรม และกิจกรรมต่ำงๆ เชน่ กำรรดนำ้ ดำหวั ผู้ใหญ่ กำรบำยศรี สู่ขวญั เปน็ ต้น ควำมสัมพันธก์ บั ธรรมชำติ ผคู้ นสมยั ก่อนพง่ึ พำอำศัยธรรมชำตแิ ทบทุกดำ้ น ตงั้ แต่อำหำรกำร กนิ เคร่อื งนุ่งหม่ ที่อยู่อำศัย และยำรักษำโรค วทิ ยำศำสตร์ และเทคโนโลยยี งั ไม่พัฒนำก้ำวหน้ำเหมือนทกุ วนั น้ี ยังไม่มรี ะบบกำรค้ำแบบสมยั ใหม่ ไม่มีตลำด คนไปจับปลำล่ำสตั ว์ เพ่อื เปน็ อำหำรไปวนั ๆ ตดั ไม้ เพ่ือสรำ้ งบ้ำน และใช้สอยตำมควำมจำเปน็ เทำ่ น้นั ไม่ได้ทำเพ่ือกำรคำ้ ชำวบ้ำนมีหลักเกณฑใ์ นกำรใชส้ ง่ิ ของในธรรมชำติ ไม่ ตดั ไม้อ่อน ทำให้ตน้ ไมใ้ นปำ่ ขึ้นแทนต้นทีถ่ ูกตัดไปไดต้ ลอดเวลำ ชำวบำ้ นยังไม่ร้จู กั สำรเคมี ไมใ่ ช้ยำฆ่ำแมลง ฆ่ำหญำ้ ฆ่ำสตั ว์ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ใชส้ ง่ิ ของในธรรมชำติใหเ้ กื้อกูลกัน ใช้มูลสตั ว์ ใบไมใ้ บ หญำ้ ทเี่ นำ่ เป่อื ยเป็นป๋ยุ ทำให้ดินอุดมสมบรู ณ์ นำ้ สะอำด และไมเ่ หอื ดแห้ง ชำวบ้ำนเคำรพธรรมชำติ เชอื่ ว่ำ มีเทพมเี จ้ำสถิตอยใู่ นดนิ น้ำ ปำ่ เขำ สถำนที่ทุกแห่ง จะทำอะไรตอ้ งขออนุญำต และทำดว้ ยควำมเคำรพ และพอดี พองำม ชำวบ้ำน ร้คู ุณธรรมชำติ ท่ีได้ให้ชวี ติ แก่ตน พิธกี รรมต่ำงๆ ลว้ นแสดงออกถงึ แนวคดิ ดงั กล่ำว เช่น งำนบญุ พิธี ท่เี ก่ยี วกับ น้ำ ข้ำว ปำ่ เขำ รวมถึงสตั ว์ บ้ำนเรอื น เครื่องใช้ตำ่ งๆ มพี ิธีสขู่ วญั ข้ำว สขู่ วัญควำย สูข่ วญั เกวียน ทำงอสี ำนมี พิธแี ฮกนำ หรอื แรกนำ เลี้ยงผีตำแฮก มงี ำนบญุ บำ้ น เพ่อื เล้ยี งผี หรือสิง่ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ปิ ระจำหมู่บ้ำน เปน็ ต้น ควำมสัมพันธ์กับสิง่ เหนือธรรมชำติ ชำวบ้ำนรวู้ ำ่ มนุษย์เป็นเพยี งสว่ นเลก็ ๆ ส่วนหนงึ่ ของ จกั รวำล ซง่ึ เต็มไปด้วยควำมเร้นลับ มีพลัง และอำนำจ ที่เขำไม่อำจจะหำคำอธิบำยได้ ควำมเร้นลบั ดังกล่ำว รวมถึงญำติพนี่ ้อง และผูค้ นที่ล่วงลบั ไปแล้ว ชำวบำ้ นยังสัมพนั ธก์ ับพวกเขำ ทำบญุ และรำลกึ ถึงอยำ่ งสม่ำเสมอ ทุกวนั หรอื ในโอกำสสำคญั ๆ นอกนน้ั เป็นผีดี ผีรำ้ ย เทพเจ้ำตำ่ งๆ ตำมควำมเชือ่ ของแต่ละแห่ง สิ่งเหลำ่ นส้ี ิง สถติ อยใู่ นส่ิงตำ่ งๆ ในโลก ในจักรวำล และอยู่บนสรวงสวรรค์กำรทำมำหำกนิ
แม้วถิ ชี วี ติ ของชำวบำ้ นเมื่อก่อนจะดเู รยี บง่ำยกว่ำทุกวนั นี้ และยงั อำศยั ธรรมชำติ และ แรงงำนเปน็ หลัก ในกำรทำมำหำกนิ แตพ่ วกเขำก็ตอ้ งใช้สตปิ ญั ญำ ทบ่ี รรพบรุ ุษถำ่ ยทอดมำให้ เพื่อจะได้อยู่ รอด ท้งั น้ีเพรำะปัญหำต่ำงๆ ในอดีตกย็ ังมีไมน่ ้อย โดยเฉพำะเมื่อครอบครัวมสี มำชิกมำกขึ้น จำเป็นตอ้ งขยำยท่ี ทำกิน ตอ้ งหกั ร้ำงถำงพง บกุ เบิก พื้นที่ทำกนิ ใหม่ กำรปรบั พืน้ ทปี่ ้นั คนั นำ เพื่อทำนำ ซ่ึงเป็นงำนที่หนัก กำรทำ ไร่ทำนำ ปลกู พชื เลี้ยงสัตว์ และดูแลรักษำให้เตบิ โต และได้ผล เป็นงำนที่ตอ้ งอำศัยควำมรู้ควำมสำมำรถ กำร จับปลำล่ำสตั วก์ ็มวี ธิ กี ำร บำงคนมคี วำมสำมำรถมำกรู้ว่ำ เวลำไหน ท่ีใด และวธิ ใี ด จะจบั ปลำไดด้ ที ส่ี ดุ คนที่ไม่ เก่งกต็ ้องใชเ้ วลำนำน และได้ปลำนอ้ ย กำรล่ำสัตว์กเ็ ชน่ เดียวกัน กำรจัดกำรแหลง่ น้ำ เพ่ือกำรเกษตร ก็เป็นควำมรู้ควำมสำมำรถ ทมี่ มี ำแตโ่ บรำณ คนทำง ภำคเหนอื ร้จู ักบริหำรน้ำ เพื่อกำรเกษตร และเพื่อกำรบริโภคตำ่ งๆ โดยกำรจดั ระบบเหมืองฝำย มกี ำรจัด แบ่งปันน้ำกนั ตำมระบบประเพณที ่ี สบื ทอดกันมำ มหี วั หน้ำท่ีทกุ คนยอมรับ มคี ณะกรรมกำรจัดสรรนำ้ ตำม สัดส่วน และตำมพ้ืนท่ีทำกิน นับเปน็ ควำมรู้ท่ที ำให้ชุมชนต่ำงๆ ท่ีอำศยั อยู่ใกล้ลำน้ำ ไมว่ ำ่ ต้นนำ้ หรอื ปลำยนำ้ ได้รบั กำรแบง่ ปันนำ้ อยำ่ งยตุ ธิ รรม ทุกคนไดป้ ระโยชน์ และอยรู่ ว่ มกนั อยำ่ งสนั ติ ชำวบำ้ นรู้จักกำรแปรรูปผลติ ผลในหลำยรูปแบบ กำรถนอมอำหำรให้กินได้นำน กำรดองกำร หมัก เช่น ปลำรำ้ น้ำปลำ ผักดอง ปลำเค็ม เน้อื เคม็ ปลำแห้ง เนื้อแห้ง กำรแปรรปู ขำ้ ว กท็ ำได้มำกมำยนบั ร้อย ชนดิ เช่น ขนมตำ่ งๆ แตล่ ะพิธกี รรม และแตล่ ะงำนบญุ ประเพณี มีข้ำวและขนมในรูปแบบไม่ซ้ำกัน ตั้งแต่ ขนมจนี สงั ขยำ ไปถงึ ขนมในงำนสำรท กำละแม ขนมครก และอน่ื ๆ ซ่ึงยงั พอมีให้เหน็ อยู่จำนวนหนงึ่ ใน ปัจจบุ นั ส่วนใหญ่ปรบั เปลยี่ นมำเป็นกำรผลิตเพือ่ ขำย หรือเป็นอตุ สำหกรรมในครวั เรอื น ควำมรเู้ รื่องกำรปรุงอำหำรก็มีอยู่มำกมำย แตล่ ะท้องถนิ่ มรี ูปแบบ และรสชำตแิ ตกตำ่ งกันไป มีมำกมำยนับร้อยนบั พนั ชนิด แมใ้ นชีวิตประจำวัน จะมเี พยี งไม่กี่อย่ำง แตโ่ อกำสงำนพิธี งำน เล้ยี ง งำนฉลอง สำคญั จะมีกำรจัดเตรียมอำหำรอย่ำงดี และพิถีพิถนั กำรทำมำหำกนิ ในประเพณีเดิมน้ัน เปน็ ท้ังศำสตรแ์ ละ ศิลป์ กำรเตรยี มอำหำร กำรจัดขนม และผลไม้ ไม่ได้เปน็ เพียงเพอ่ื ให้รับประทำนแลว้ อร่อย แต่ใหไ้ ด้ควำม สวยงำม ทำใหส้ ำมำรถสัมผัสกับอำหำรนน้ั ไมเ่ พียงแต่ทำงปำก และรสชำติของลิ้น แตท่ ำงตำ และทำงใจ กำร เตรียมอำหำรเป็นงำนศลิ ปะ ทปี่ รุงแตด่ ว้ ยควำมตั้งใจ ใชเ้ วลำ ฝีมอื และควำมรคู้ วำมสำมำรถ ชำวบำ้ น สมยั ก่อนส่วนใหญ่จะทำนำเป็นหลัก เพรำะเมอ่ื มีข้ำวแล้ว ก็สบำยใจ อยำ่ งอ่ืนพอหำได้จำกธรรมชำติ เสรจ็ หน้ำ นำก็จะทำงำนหตั ถกรรม กำรทอผ้ำ ทำเสื่อ เล้ยี งไหม ทำเคร่ืองมือ สำหรบั จบั สัตว์ เครอื่ งมือกำรเกษตร และ อปุ กรณ์ตำ่ งๆ ทจี่ ำเป็น หรอื เตรยี มพื้นท่ี เพือ่ กำรทำนำครัง้ ตอ่ ไป หัตถกรรมเป็นทรพั ยส์ นิ และมรดกทำงภมู ปิ ัญญำทยี่ ่ิงใหญ่ท่สี ุดอย่ำงหน่ึงของบรรพบรุ ุษ เพรำะเป็นส่ือที่ถ่ำยทอดอำรมณ์ ควำมรู้สึก ควำมคิด ควำมเชื่อ และคุณค่ำตำ่ งๆ ที่สง่ั สมมำแตน่ มนำน ลำยผำ้ ไหม ผำ้ ฝ้ำย ฝมี ือในกำรทออย่ำงประณตี รูปแบบเครื่องมือ ที่สำนดว้ ยไมไ้ ผ่ และอุปกรณ์ เครอ่ื งใช้ไม้สอยต่ำงๆ เครอื่ งดนตรี เคร่ืองเลน่ สงิ่ เหลำ่ น้ีไดถ้ ูกบรรจงสรำ้ งขึ้นมำ เพือ่ กำรใชส้ อย กำรทำบุญ หรือกำรอุทิศให้ใครคน หน่งึ ไมใ่ ช่เพ่ือกำรค้ำขำย ชำวบ้ำนทำมำหำกินเพยี งเพื่อกำรยงั ชีพ ไม่ได้ทำเพื่อขำย มีกำรนำผลติ ผลส่วนหนึง่ ไปแลกสงิ่ ของท่ีจำเปน็ ที่ตนเองไม่มี เชน่ นำข้ำวไป แลกเกลือ พริก ปลำ ไก่ หรือเสื้อผ้ำ กำรขำยผลิตผลมแี ต่ เพียงส่วนนอ้ ย และเมอ่ื มคี วำมจำเป็นตอ้ งใชเ้ งนิ เพ่ือเสียภำษีให้รฐั ชำวบ้ำนนำผลติ ผล เชน่ ข้ำว ไปขำยใน เมอื งให้กับพ่อคำ้ หรอื ขำยให้กับพ่อคำ้ ทอ้ งถ่ิน เชน่ ทำงภำคอีสำน เรยี กวำ่ \"นำยฮ้อย\" คนเหล่ำนีจ้ ะนำผลิตผล บำงอย่ำง เชน่ ขำ้ ว ปลำรำ้ วัว ควำย ไปขำยในท่ีไกลๆ ทำงภำคเหนือมีพ่อค้ำววั ต่ำงๆ เปน็ ต้น
แม้วำ่ ควำมรู้เร่อื งกำรค้ำขำยของคนสมัยก่อน ไม่อำจจะนำมำใช้ในระบบตลำดเช่นปัจจบุ นั ได้ เพรำะสถำนกำรณไ์ ด้เปลยี่ นแปลงไปอยำ่ งมำก แตก่ ำรคำ้ ท่ีมจี รยิ ธรรมของพ่อคำ้ ในอดีต ทไ่ี ม่ได้หวังแตเ่ พยี ง กำไร แต่คำนึงถึงกำรช่วยเหลือ แบ่งปนั กันเปน็ หลกั ยังมีคุณคำ่ สำหรับปัจจุบนั นอกนั้น ในหลำยพื้นทใ่ี นชนบท ระบบกำรแลกเปล่ยี นสง่ิ ของยังมีอยู่ โดยเฉพำะในพน้ื ท่ยี ำกจน ซงึ่ ชำวบำ้ นไมม่ เี งินสด แต่มผี ลติ ผลต่ำงๆ ระบบ กำรแลกเปล่ียนไม่ไดย้ ึดหลกั มำตรำชง่ั วัด หรือกำรตีรำคำของส่งิ ของ แตแ่ ลกเปล่ยี น โดยกำรคำนึงถึง สถำนกำรณ์ของผู้แลกท้ังสองฝ่ำย คนทเ่ี อำปลำหรือไกม่ ำขอแลกขำ้ ว อำจจะไดข้ ้ำวเปน็ ถัง เพรำะเจ้ำของขำ้ ว คำนึงถึงควำมจำเป็นของครอบครัวเจ้ำของไก่ ถ้ำหำกตีรำคำเป็นเงนิ ขำ้ วหน่งึ ถังย่อมมคี ่ำสูงกว่ำไก่หนงึ่ ตวั การอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม กำรอยรู่ ว่ มกนั ในชุมชนดงั้ เดมิ น้ัน ส่วนใหญจ่ ะเป็นญำติพ่นี ้องไม่กต่ี ระกูล ซ่งึ ได้อพยพยำ้ ยถน่ิ ฐำนมำ อยู่ หรอื สืบทอดบรรพบุรุษจนนับญำติกันได้ท้ังชุมชน มคี นเฒ่ำคนแก่ท่ชี ำวบ้ำนเคำรพนบั ถอื เปน็ ผนู้ ำหน้ำที่ ของผู้นำ ไมใ่ ชก่ ำรสั่ง แต่เป็นผใู้ ห้คำแนะนำปรกึ ษำ มคี วำมแม่นยำในกฎระเบยี บประเพณกี ำรดำเนินชีวติ ตดั สนิ ไกล่เกลีย่ หำกเกิดควำมขดั แย้ง ชว่ ยกนั แกไ้ ขปัญหำต่ำงๆ ที่เกิดขน้ึ ปญั หำในชมุ ชนก็มไี มน่ ้อย ปัญหำ กำรทำมำหำกิน ฝนแล้ง นำ้ ท่วม โรคระบำด โจรลักวัวควำย เป็นตน้ นอกจำกนัน้ ยังมปี ัญหำควำมขัดแยง้ ภำยในชมุ ชน หรือระหว่ำงชมุ ชน กำรละเมดิ กฎหมำย ประเพณี สว่ นใหญ่จะเปน็ กำร \" ผิดผี\" คือ ผขี องบรรพ บรุ ุษ ผูซ้ ึง่ ได้สรำ้ งกฎเกณฑต์ ่ำงๆ ไว้ เชน่ กรณีทช่ี ำยหนุ่มถูกเนื้อต้องตวั หญิงสำวทยี่ งั ไม่แตง่ งำน เปน็ ต้น หำก เกดิ กำรผดิ ผีข้ึนมำ ก็ต้องมีพิธีกรรมขอขมำ โดยมีคนเฒำ่ คนแก่เป็นตัวแทนของบรรพบรุ ุษ มกี ำรวำ่ กลำ่ วส่งั สอน และชดเชยกำรทำผิดนั้น ตำมกฎเกณฑท์ ่วี ำงไว้ ชำวบำ้ นอยูอ่ ยำ่ งพ่งึ พำอำศยั กัน ยำมเจบ็ ไข้ได้ป่วย ยำม เกดิ อบุ ัติเหตุเภทภัย ยำมที่โจรขโมยวัวควำยข้ำวของ กำรชว่ ยเหลือกนั ทำงำนทเี่ รยี กกนั ว่ำ กำรลงแขก ท้งั แรงกำยแรงใจท่ีมีอยูก่ จ็ ะแบ่งปันช่วยเหลอื เอือ้ อำทรกนั กำร แลกเปลย่ี นสงิ่ ของ อำหำรกำรกิน และอน่ื ๆ จงึ เก่ยี วขอ้ งกับวถิ ีของชุมชน ชำวบำ้ นชว่ ยกนั เกบ็ เกี่ยวขำ้ ว สรำ้ งบำ้ น หรืองำนอ่ืนทตี่ ้องกำรคนมำกๆ เพื่อจะได้ เสร็จโดยเรว็ ไมม่ กี ำรจ้ำง กรณีตัวอย่ำงจำกกำรปลูกข้ำวของชำวบ้ำน ถ้ำปหี นงึ่ ชำวนำปลูกข้ำวได้ผลดี ผลิตผลทไ่ี ด้จะใช้เพ่ือกำร บริโภคในครอบครัว ทำบุญท่ีวดั เผื่อแผใ่ ห้พ่ีน้องที่ขำดแคลน แลกของ และเก็บไว้ เผ่อื วำ่ ปีหน้ำฝนอำจแล้ง น้ำ อำจท่วม ผลิตผล อำจไม่ดีในชุมชนต่ำงๆ จะมีผู้มีควำมรคู้ วำมสำมำรถหลำกหลำย บำงคนเก่งทำงกำรรักษำ โรค บำงคนทำงกำรเพำะปลูกพืช บำงคนทำงกำรเลีย้ งสัตว์ บำงคนทำงดำ้ นดนตรกี ำรละเลน่ บำงคนเกง่ ทำงดำ้ นพธิ ีกรรม คนเหล่ำนี้ต่ำงก็ใชค้ วำมสำมำรถ เพ่อื ประโยชน์ของชุมชน โดยไม่ถือเป็นอำชพี ทม่ี ี คำ่ ตอบแทน อย่ำงมำกกม็ ี \"ค่ำครู\" แต่เพียงเล็กน้อย ซง่ึ ปกตแิ ล้ว เงินจำนวนนัน้ ก็ใช้สำหรับเคร่อื งมือประกอบ พธิ ีกรรม หรอื เพื่อทำบุญท่ีวัด มำกกวำ่ ท่ีหมอยำ หรือบคุ คลผูน้ ้นั จะเก็บไว้ใช้เอง เพรำะแทท้ ่จี ริงแล้ว \"วชิ ำ\" ที่ ครูถำ่ ยทอดมำให้แก่ลูกศษิ ย์ จะต้องนำไปใช้ เพือ่ ประโยชนแ์ ก่สงั คม ไมใ่ ชเ่ พอ่ื ผลประโยชน์ส่วนตัว กำรตอบ แทนจึงไม่ใช่เงินหรอื สิ่งของเสมอไป แตเ่ ปน็ กำรช่วยเหลือเกื้อกลู กันโดยวิธีกำรต่ำง ๆ ดว้ ยวิถชี วี ิตเชน่ น้ี จงึ มี คำถำม เพ่อื เป็นกำรสอนคนรุ่นหลงั ว่ำ ถ้ำหำกคนหนง่ึ จับปลำชอ่ นตัวใหญไ่ ด้หนึง่ ตัว ทำอย่ำงไรจงึ จะกนิ ไดท้ งั้ ปี คนสมยั น้อี ำจจะบอกวำ่ ทำปลำเค็ม ปลำรำ้ หรือเก็บรกั ษำด้วยวิธกี ำรต่ำงๆ แตค่ ำตอบท่ีถกู ต้อง คือ แบง่ ปนั ให้ พีน่ ้อง เพอื่ นบ้ำน เพรำะเมื่อเขำได้ปลำ เขำก็จะทำกับเรำเช่นเดยี วกนั ชีวิตทำงสังคมของหมูบ่ ้ำน มีศูนย์กลำง อย่ทู ีว่ ัด กิจกรรมของสว่ นรวม จะทำกนั ทว่ี ัด งำนบญุ ประเพณีตำ่ งๆ ตลอดจนกำรละเล่นมหรสพ พระสงฆ์เป็น
ผ้นู ำทำงจติ ใจ เปน็ ครูทส่ี อนลูกหลำนผูช้ ำย ซึ่งไปรับใชพ้ ระสงฆ์ หรือ \"บวชเรยี น\" ทง้ั นเี้ พรำะก่อนนยี้ ังไม่มี โรงเรียน วดั จึงเป็นท้งั โรงเรยี น และหอประชุม เพื่อกิจกรรมต่ำงๆ ต่อเม่ือโรงเรยี นมขี น้ึ และแยกออกจำกวัด บทบำทของวัด และของพระสงฆ์ จึงเปลี่ยนไป งำนบญุ ประเพณีในชมุ ชนแตก่ ่อนมีอย่ทู ุกเดือน ต่อมำกล็ ดลงไป หรือสองสำมหม่บู ำ้ นรว่ มกนั จัด หรอื ผลัดเปล่ียนหมุนเวียนกนั เชน่ งำนเทศน์มหำชำติ ซ่ึงเปน็ งำนใหญ่ หม่บู ้ำนเลก็ ๆ ไม่อำจจะจดั ได้ทกุ ปี งำน เหลำ่ น้มี ีทงั้ ควำมเช่ือ พธิ ีกรรม และควำมสนุกสนำน ซงึ่ ชุมชนแสดงออกร่วมกนั ระบบคุณคา่ ควำมเชื่อในกฎเกณฑ์ประเพณี เปน็ ระเบยี บทำงสังคมของชุมชนด้งั เดิม ควำมเช่อื น้ีเป็นรำกฐำนของ ระบบคณุ ค่ำต่ำงๆ ควำมกตัญญรู ู้คณุ ต่อพ่อแม่ ป่ยู ำ่ ตำยำย ควำมเมตตำเอ้ืออำทรต่อผู้อ่ืน ควำมเคำรพต่อส่ิง ศกั ด์สิ ิทธิ์ในธรรมชำติรอบตัว และในสำกลจักรวำล ควำมเช่ือ \"ผี\" หรอื ส่ิงศักดสิ์ ิทธ์ิในธรรมชำติ เป็นทมี่ ำของกำรดำเนนิ ชีวิต ทง้ั ของส่วนบคุ คล และของ ชมุ ชน โดยรวมกำรเคำรพในผีปู่ตำ หรือผปี ูย่ ำ่ ซึง่ เปน็ ผปี ระจำหมบู่ ำ้ น ทำใหช้ ำวบำ้ นมีควำมเป็นหนงึ่ เดยี วกัน เปน็ ลูกหลำนของปตู่ ำคนเดยี วกนั รักษำป่ำท่มี ีบำ้ นเล็กๆ สำหรบั ผี ปลกู อยตู่ ิดหมู่บ้ำน ผีป่ำ ทำให้คนตัดไมด้ ว้ ย ควำมเคำรพ ขออนุญำตเลอื กตดั ตน้ แก่ และปลกู ทดแทน ไม่ทิง้ สิ่งสกปรกลงแม่น้ำ ด้วยควำมเคำรพในแม่คงคำ กนิ ข้ำวดว้ ยควำมเคำรพ ในแมโ่ พสพ คนโบรำณกนิ ข้ำวเสร็จ จะไหวข้ ำ้ ว พธิ ีบำยศรสี ู่ขวญั เปน็ พิธีร้ือฟ้ืน กระชบั หรอื สรำ้ งควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งผ้คู น คนจะเดนิ ทำงไกล หรอื กลับจำกกำรเดินทำง สมำชิกใหม่ ในชุมชน คนป่วย หรอื กำลงั ฟน้ื ไข้ คนเหลำ่ นีจ้ ะไดร้ ับพิธีสู่ขวัญ เพือ่ ให้เป็น สริ มิ งคล มคี วำมอยู่เยน็ เป็นสุข นอกนน้ั ยังมีพิธสี บื ชะตำชีวิตของบุคคล หรอื ของชมุ ชน นอกจำกพิธกี รรมกับคนแลว้ ยังมีพธิ กี รรมกับสตั วแ์ ละธรรมชำติ มพี ิธสี ขู่ วญั ข้ำว ส่ขู วัญควำย สู่ขวัญ เกวยี น เป็นกำรแสดงออกถึงกำรขอบคุณ กำรขอขมำ พิธีดงั กล่ำวไม่ได้มคี วำมหมำยถึงวำ่ ส่งิ เหล่ำนี้มจี ติ มผี ีใน ตัวมนั เอง แตเ่ ป็นกำรแสดงออก ถึงควำมสัมพันธ์กับจติ และส่ิงศักดส์ิ ทิ ธิ์ อันเป็นสำกลในธรรมชำติทงั้ หมด ทำ ใหผ้ ูค้ นมคี วำมสมั พนั ธ์อันดีกับทุกส่ิง คนขับแท็กซีใ่ นกรุงเทพฯ ทม่ี ำจำกหม่บู ้ำน ยงั ซ้ือดอกไม้ แลว้ แขวนไวท้ ่ี กระจกในรถ ไมใ่ ชเ่ พื่อเซน่ ไหว้ผีในรถแท็กซี่ แตเ่ ป็นกำรรำลึกถึงสิ่งศักด์ิสทิ ธิ์ ใน สำกลจักรวำล รวมถงึ ที่สิงอยู่ ในรถคนั นนั้ ผูค้ นสมยั ก่อนมีควำมสำนึกในข้อจำกดั ของตนเอง รวู้ ำ่ มนษุ ย์มีควำมอ่อนแอ และเปรำะบำง หำกไม่รักษำควำมสัมพนั ธ์อนั ดี และไม่คงควำมสมดุลกับธรรมชำตริ อบตัวไว้ เขำคงไมส่ ำมำรถมีชวี ิตได้อย่ำง เปน็ สุข และยืนนำน ผู้คนท่ัวไปจงึ ไม่มีควำมอวดกล้ำในควำมสำมำรถของตน ไม่ท้ำทำยธรรมชำติ และสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ มคี วำมอ่อนนอ้ มถ่อมตน และรักษำกฎระเบียบประเพณอี ยำ่ งเครง่ ครัด ชวี ติ ของชำวบ้ำนในรอบหน่ึงปี จึงมพี ิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงควำมเช่ือ และควำมสัมพันธ์ ระหวำ่ งผคู้ นในสังคม ระหว่ำงคนกับธรรมชำติ และระหวำ่ งคนกบั สิง่ ศักดส์ิ ิทธ์ติ ำ่ งๆ ดังกรณีงำนบญุ ประเพณี ของชำวอสี ำนทีเ่ รยี กว่ำ ฮีตสิบสอง คือ เดือนอ้ำย (เดอื นท่หี น่งึ ) บุญเข้ำกรรม ให้พระภกิ ษเุ ข้ำปริวำสกรรม เดือนยี่ (เดือนที่สอง) บญุ คูณลำน ให้นำขำ้ วมำกองกนั ทลี่ ำน ทำพธิ กี ่อนนวด เดือนสำม บุญขำ้ วจ่ี ให้ถวำย ข้ำวจ่ี (ขำ้ วเหนียวป้ันชบุ ไขท่ ำเกลือนำไปย่ำงไฟ) เดือนสี่ บุญพระเวส ให้ฟังเทศนม์ หำชำติ คือ เทศนเ์ รอ่ื งพระ เวสสันดรชำดก เดือนหำ้ บุญสรงน้ำ หรือบญุ สงกรำนต์ ให้สรงนำ้ พระ ผเู้ ฒ่ำผูแ้ ก่ เดอื นหก บุญบั้งไฟ บูชำ พญำแถน ตำมควำมเชอ่ื เดมิ และบญุ วิสำขบชู ำ ตำมควำมเช่ือของชำวพุทธ เดือนเจ็ด บุญซำฮะ (บุญชำระ)
ใหบ้ นบำนพระภูมิเจ้ำที่ เลยี้ งผีปู่ตำ เดอื นแปด บุญเขำ้ พรรษำ เดือนเก้ำ บญุ ข้ำวประดับดิน ทำบญุ อุทศิ สว่ น กศุ ลใหญ้ ำติพน่ี ้องผ้ลู ่วงลับ เดือนสิบ บุญข้ำวสำก ทำบญุ เช่นเดือนเกำ้ รวมใหผ้ ีไม่มญี ำติ (ภำคใตม้ ีพธิ คี ล้ำยกนั คอื งำนพิธเี ดือนสบิ ทำบุญให้แกบ่ รรพบรุ ุษผลู้ ว่ งลับไปแลว้ แบ่งขำ้ วปลำอำหำรส่วนหนึง่ ให้แก่ผไี ม่มีญำติ พวก เดก็ ๆ ชอบแย่งกันเอำของท่ีแบ่งให้ผไี มม่ ีญำตหิ รือเปรต เรียกว่ำ \"กำรชงิ เปรต\") เดือนสบิ เอ็ด บุญออกพรรษำ เดือนสบิ สอง บุญกฐนิ จัดงำนกฐิน และลอยกระทง ภูมิปญั ญำชำวบ้ำนในสังคมปัจจบุ ัน ภมู ปิ ญั ญำชำวบ้ำนไดก้ ่อเกดิ และสบื ทอดกันมำในชุมชนหมู่บำ้ น เมือ่ หม่บู ้ำนเปลย่ี นแปลงไปพร้อมกบั สงั คมสมยั ใหม่ ภมู ปิ ัญญำชำวบ้ำนกม็ กี ำรปรับตวั เช่นเดียวกนั ควำมรู้ จำนวนมำกได้สญู หำยไป เพรำะไม่มีกำรปฏิบตั สิ บื ทอด เช่น กำรรักษำพื้นบำ้ นบำงอย่ำง กำรใชย้ ำสมุนไพรบำง ชนดิ เพรำะหมอยำทเี่ ก่งๆ ได้เสยี ชวี ติ โดยไม่ได้ถ่ำยทอดให้กับคนอ่ืน หรือถ่ำยทอด แตค่ นต่อมำไม่ไดป้ ฏิบัติ เพรำะชำวบำ้ นไมน่ ยิ มเหมอื นเมอื่ ก่อน ใชย้ ำสมยั ใหม่ และไปหำหมอ ทีโ่ รงพยำบำล หรือคลนิ กิ ง่ำยกว่ำ งำน หนั ตถกรรม ทอผ้ำ หรือเครอ่ื งเงิน เครื่องเขิน แมจ้ ะยงั เหลืออยู่ไม่น้อย แตก่ ็ไดถ้ ูกพัฒนำไปเปน็ กำรค้ำ ไม่ สำมำรถรักษำคุณภำพ และฝีมือแบบดั้งเดิมไว้ได้ ในกำรทำมำหำกนิ มีกำรใชเ้ ทคโนโลยที ันสมัย ใชร้ ถไถแทน ควำย รถอแี ตน๋ แทนเกวยี น กำรลงแขกทำนำ และปลกู สร้ำงบำ้ นเรือน กเ็ กือบจะหมดไป มีกำรจำ้ งงำนกนั มำกข้นึ แรงงำนกห็ ำ ยำกกว่ำแต่ก่อน ผู้คนอพยพย้ำยถิน่ บ้ำงกเ็ ข้ำเมือง บ้ำงกไ็ ปทำงำนที่อืน่ ประเพณงี ำนบุญ กเ็ หลอื ไมม่ ำก ทำได้ ก็ตอ่ เมือ่ ลกู หลำนทจี่ ำกบ้ำนไปทำงำน กลับมำเยยี่ มบ้ำนในเทศกำลสำคัญๆ เช่น ปใี หม่ สงกรำนต์ เข้ำพรรษำ เปน็ ตน้ สังคมสมยั ใหม่มีระบบกำรศึกษำในโรงเรียน มอี นำมยั และโรงพยำบำล มีโรงหนัง วทิ ยุ โทรทศั น์ และ เคร่อื งบนั เทิงตำ่ งๆ ทำให้ชวี ิตทำงสงั คมของชุมชนหมูบ่ ้ำนเปลย่ี นไป มตี ำรวจ มีโรงมีศำล มเี จำ้ หนำ้ ที่รำชกำร ฝำ่ ยปกครอง ฝำ่ ยพัฒนำ และอน่ื ๆ เขำ้ ไปในหม่บู ้ำน บทบำทของวดั พระสงฆ์ และคนเฒ่ำคนแก่เริ่มลดนอ้ ยลง กำรทำมำหำกินก็เปลย่ี นจำกกำรทำเพือ่ ยงั ชีพไปเป็นกำรผลิตเพ่ือกำรขำย ผู้คนต้องกำรเงนิ เพอ่ื ซ้ือเครื่อง บริโภคตำ่ งๆ ทำใหส้ งิ่ แวดลอ้ ม เปลยี่ นไป ผลติ ผลจำกปำ่ ก็หมด สถำนกำรณเ์ ช่นนที้ ำให้ผนู้ ำกำรพัฒนำชุมชน หลำยคน ทม่ี ีบทบำทสำคญั ในระดบั จงั หวดั ระดับภำค และระดบั ประเทศ เร่มิ เหน็ ควำมสำคญั ของภมู ปิ ัญญำ ชำวบำ้ น หน่วยงำนทำงภำครฐั และภำคเอกชน ให้กำรสนับสนุน และส่งเสริมให้มีกำรอนรุ ักษ์ ฟ้ืนฟู ประยุกต์ และค้นคิดสงิ่ ใหม่ ควำมรู้ใหม่ เพ่อื ประโยชนส์ ุขของสงั คม
หมอลา หมอลำเปน็ ศิลปะกำรขบั ร้องเพลงพ้นื บำ้ นและกำร แสดงพ้ืนบ้ำนของภำคตะวันออกเฉียงเหนอื มี ควำมหมำย ๒ อยำ่ ง อย่ำงแรก หมำยถึง ผเู้ ช่ียวชำญในกำรขับลำนำ หรือกำรขบั ร้อง โดยกำรท่องจำจำกกลอน ลำหรือบทกลอน ทม่ี ีผูป้ ระพนั ธ์ขน้ึ เป็นภำษำถ่นิ อีสำน อย่ำงทีส่ อง หมำยถึง ศิลปะกำรแสดงพนื้ เมือง หรอื มหรสพอย่ำงหนึ่งของชำวอสี ำน กำรเปลง่ เสยี งขับร้องก็ได้ หมอลำกำเนิดขึ้นครั้งแรกเม่ือใดไม่มหี ลกั ฐำนแนช่ ัด เพรำะไมม่ กี ำรบันทกึ ไว้เปน็ ลำยลกั ษณ์อักษร แต่ สันนิษฐำน ว่ำอำจเกิดจำกกำรสวดอ้อนวอน ควำมเชื่อเรือ่ งผีฟำ้ ผีแถน และผบี รรพบุรุษตำมควำมเชื่อดง้ั เดมิ หรอื เกดิ จำกธรรมเนียมกำรอ่ำนหนงั สอื ผูก (วรรณกรรมพ้นื บำ้ นท่ีมี กำรจำรลงในใบลำน) และกำรเทศนล์ ำ หนงั สอื ผกู ของ พระสงฆ์ หรือเกิดจำกกำรเกี้ยวพำรำสขี องหนุ่มสำว เนือ่ งในโอกำสตำ่ งๆ หมอลำแบ่งเปน็ ๒ ประเภท คือ หมอลำทีแ่ สดง เพอื่ ควำมบนั เทิง เชน่ หมอลำพน้ื หมอลำกลอน หมอ ลำเรื่อง หมอลำเพลนิ ซ่ึงแตล่ ะอยำ่ งก็จะมีลกั ษณะแตกต่ำงกัน และ หมอลำที่แสดงในพิธีกรรมได้แก่ หมอลำผี ฟำ้ เปน็ กำรลำ ที่มีจดุ ประสงค์ ๒ อย่ำง คือ รกั ษำคนปว่ ย และพยำกรณ์ ดนิ ฟำ้ อำกำศ หมอลำพื้น เปน็ กำรลำแบบเล่ำเรอ่ื งหรือนิทำน หรือ คำสอนเกี่ยวกับพระพุทธศำสนำ มีลกั ษณะแสดง เปน็ กำร ลำเดย่ี วหรือลำคนเดียว สว่ นใหญเ่ ป็นหมอลำผู้ชำยโดยมีแคน เปน็ เครื่องดนตรปี ระกอบ เร่อื งทน่ี ำมำ เลำ่ ตอ้ งเป็นเร่ืองที่มำ จำกวรรณกรรม เชน่ เรอ่ื งกำระเกด สินไช นทิ ำนชำดก ฯลฯ ในกำรลำผูล้ ำใชผ้ ้ำขำวมำ้ เปน็ อปุ กรณป์ ระกอบในกำร แสดงทำ่ ทำง เปน็ พระเอก นำงเอก หรือเปน็ นกั รบตำม เนอื้ เรื่อง หมอลำพนื้ มบี ทบำทสร้ำงควำมบนั เทิงใหแ้ ก่คน ในชุมชนและกล่อมเกลำสงั คม บนั ทึกคำสอน ปรชั ญำ ของ ชมุ ชนอีสำนท่สี บื ทอดต่อๆ กันมำ ในปจั จุบันหมอลำพ้ืน กำลังจะสูญหำยไปจำกแผน่ ดินอีสำน เน่ืองจำก ขำด ผู้สืบทอด อกี ประกำรหนึ่งผทู้ ่ีจะเปน็ หมอลำพน้ื ไดด้ ีจะต้อง ใช้ระยะเวลำในกำรปลูกฝงั และบ่มเพำะ เพือ่ ให้สำมำรถจดจำ เน้ือเร่ืองตำ่ งๆ ได้เปน็ อยำ่ งดี รวมทง้ั ตอ้ งสำมำรถตบี ท ตวั ละครต่ำงๆ ไดด้ ว้ ย กำรลำจึง จะมรี สชำติชวนตดิ ตำม
วิวัฒนาการของหมอลา \"ลา\" สำมำรถมองออกไดใ้ นสองลักษณะเพื่อหำควำมหมำย คอื แสดงออกเปน็ กริ ยิ า หมำยถึง กำรขบั ร้อง คอื กำรนำเอำเรื่องรำวในวรรณคดีมำขบั ร้องเป็น บทกลอนทำนอง ทเี ป็นภำษำอีสำน แสดงออกเปน็ คานาม หมำยถึง ช่ือเรื่องของกำรขับร้องหรือกำรแสดงทเ่ี ป็นเร่ืองรำว \"หมอลา\" หมำยถึง ผทู้ ่มี ีควำมชำนำญในกำรขับร้องวรรณคดอี ีสำน โดยกำรท่องจำเอำกลอน มำขับ รอ้ ง หรอื ผ้ทู ีช่ ำนำญในกำรเล่ำนิทำนเรอ่ื งนัน้ เรื่องนี้ หลำย ๆ เรือ่ ง วิวัฒนาการของหมอลา เดมิ ทสี มัยโบรำณในภำคอีสำนเวลำค่ำ เสรจ็ จำกกิจธรุ กำรงำนมกั จะมำจับกล่มุ พดู คุยกนั กบั ผูเ้ ฒ่ำผแู้ กเ่ พ่อื คุยปัญหำสำรทกุ ข์สกุ ดบิ และผเู้ ฒำ่ ผแู้ กน่ ยิ มเล่ำนิทำนให้ลกู หลำนฟงั นทิ ำนทนี่ ำมำเลำ่ เกยี่ วกบั จำรีตประเพณแี ละศีลธรรม ทีแรกนง่ั เล่ำเม่ือลกู หลำนมำฟังกนั มำกจะนัง่ เล่ำไมเ่ หมำะ ต้องยืนขึน้ เล่ำ เรื่องทีน่ ำมำเล่ำต้องเปน็ เรื่องที่มใี นวรรณคดี เช่นเรื่องกำฬเกษ สินชยั เปน็ ต้น ผูเ้ ลำ่ เพียงแต่เลำ่ ไม่ออกทำ่ ออก ทำงก็ไม่สนุกผู้เล่ำจึงจำเปน็ ต้องยกไมย้ กมือแสดงท่ำทำงเป็น พระเอก นำงเอก เปน็ นักรบ เป็นต้น เพียงแตเ่ ล่ำ อยำ่ งเดียวไม่สนกุ จงึ จำเปน็ ต้องใช้สำเนยี งส้ันยำว ใช้เสยี งสูงตำ่ ประกอบ และหำเครื่องดนตรปี ระกอบ เชน่ ซุง ซอ ป่ี แคน เพอ่ื ให้เกดิ ควำมสนกุ ครึกครื้น ผแู้ สดงมเี พียงแตผ่ ชู้ ำยอยำ่ งเดยี วดูไมม่ ีรสชำติเผ็ดมนั จงึ จำเป็นตอ้ งหำ ผหู้ ญงิ มำแสดงประกอบ เมื่อ ผ้หู ญิงมำแสดงประกอบจงึ เป็นกำรลำแบบสมบูรณ์ เม่ือผู้หญิงเข้ำ มำเกย่ี วข้องเรื่องต่ำง ๆ ก็ตำมมำ เชน่ เรือ่ งเก้ยี วพำรำสี เรอ่ื งชิงดชี งิ เด่นยำด (แย่ง) ชยู้ ำดผวั กนั เรอื่ งโจทย์ เร่อื งแก้ เร่ืองประชนั ขันทำ้ เรือ่ งตลกโปกฮำก็ตำมมำ จงึ เป็นกำรลำสมบรู ณ์แบบ จำกกำรมีหมอลำชำยเพียง คนเดยี วค่อย ๆ พฒั นำต่อมำจนมีหมอลำฝำ่ ยหญงิ มเี คร่ือง ดนตรปี ระกอบจงั หวะเพอื่ ควำมสนกุ สนำน จนกระทงั่ เพมิ่ ผู้แสดงให้มีจำนวนเทำ่ กับตัวละครใน เรื่อง มีพระเอก นำงเอก ตัวโกงตวั ตลก เสนำ ครบถว้ น ความหมายของหมอลา “หมอลำ” คือผชู้ ำนำญในกิจกำรต่ำงๆ เช่นหมอแคน คือผู้ชำนำญในกำรเป่ำแคน หมอมอหรอื หมอ โหน คือผ้ชู ำนำญในกำรทำนำยโชคชะตำ หมอเอน็ คือผูช้ ำนำญในกำรบีบนวดเสน้ เอ็นตำมรำ่ งกำย หมอยำ คือ ผชู้ ำนำญใช้สมุนไพร หมอธรรม คือผูท้ ีช่ ำนำญในกำรใชว้ ิชำ(ธรรม)ในทำงไสยศำสตร์ หมอสูตร คอื ผชู้ ำนำญใน กำรทำพธิ ีสตู รตำ่ งๆ เชน่ สูตรขวญั หมอมวย คือ ผทู้ ่ีชำนำญในกำรใช้วชิ ำมวย “ลำ” คอื กำรขับร้องดว้ ยทำนอง และภำษำถิ่นอีสำนอยำ่ งมีศลิ ป์ โดยมีแคนเปน็ เสียงดนตรหี ลกั ประกอบกำรขับร้อง ดังน้ัน “หมอลำ” จึงมคี วำมหมำยถงึ ผูเ้ ชย่ี วชำญในกำรร้องเพลงดว้ ยภำษำถิน่ อีสำนประกอบ เสียงดนตรีพืน้ บำ้ นแคน
ประเภทของหมอลา 1. หมอลำพืน้ 2. หมอลำกลอน 3. หมอลำหมู่ 4. หมอลำเพลิน 5. หมอลำผฟี ำ้ หมอลาพน้ื หมอลำพ้นื เป็นหมอลำท่ีเก่ำแก่ท่ีสุดในประเภทหมอลำทใ่ี ชเ้ พอ่ื ควำมบนั เทิง ไมม่ ีใครสำมำรถบอกได้ วำ่ หมอลำพืน้ เกิดข้นึ เม่อื ใด แตบ่ ำงคนสนั นษิ ฐำนวำ่ หมอลำพ้นื เกดิ มใี นภำคอีสำนตง้ั แตส่ มัยคนอสี ำนแรกรบั เอำ พระพทุ ธศำสนำเข้ำมำ ดังเป็นเรอื่ งชำดกตำ่ งๆ ลำพ้นื บำงทเี รียกว่ำ \"ลำเร่อื ง\" คำว่ำ \"พื้น\" หรอื \"เร่อื ง\" หมำยควำมว่ำ \"นทิ ำน\" หรอื \"เรอื่ งรำว\" ดังนนั้ \"ลำพ้นื \" จงึ หมำยถึง \"ลำทเ่ี ปน็ เรื่องรำว หรือเป็นเรอ่ื งเล่ำ ในสมยั กอ่ นลำพืน้ เปน็ ทนี่ ิยมกันมำก ทุกๆหมูบ่ ำ้ น มกั จะวำ่ จ้ำงหมอลำพ้นื มำลำในงำนเทศกำลต่ำงๆ หมอลำ พื้นจะใสเ่ ส้ือและกำงเกงขำยำวสีขำว และลำเรื่องชำดก เวทีทใ่ี ชล้ ำจะใช้บนพื้นหรือเป็นเวทยี กพน้ื เลก็ ๆ ซ่ึง ล้อมรอบด้วยผู้ฟังตง้ั แตเ่ วลำสองทมุ่ จนถึงหกโมงเชำ้ คำ่ จ้ำงของหมอลำพื้นขน้ึ อยู่กับระยะทำงทหี่ มอลำจะตอ้ ง เดินทำงออกจำกหมู่บ้ำนของตนถึงหมู่บำ้ นทจี่ ะไปลำ และ เวลำทจ่ี ะไปลำว่ำนำนแค่ไหน ส่วนมำกหมอลำพน้ื จะเป็นผู้ชำย เพรำะเหตุว่ำผ้ชู ำยมีโอกำสทจี่ ะได้ศกึ ษำเลำ่ เรียนจำกพระทว่ี ดั ผู้หญงิ ไมอ่ นุญำตใหเ้ ข้ำใกลพ้ ระ ฉะนนั้ ผู้หญงิ จึงหมดโอกำสท่ีจะเรยี นเขียนและอ่ำนได้ ส่วนเหตุผลข้ออื่น เชน่ ผหู้ ญิง ไม่ควรทำงำนอืน่ นอกจำกกำรเป็นแมบ่ ้ำนเทำ่ น้ัน และในขณะเดยี วกัน เด็กสำวทนี่ บั วำ่ เป็นกลุ สตรนี น้ั ก็ไม่ควรที่ จะปรำกฏตวั ต่อสำธำรณชนเช่นกนั ดนตรีท่ีใช้ประกอบลำพนื้ คอื แคน ลำยใหญ่ คือลำยท่ีใชเ้ ปำ่ ประกอบกำร ลำพืน้ ลำยนเ้ี ปน็ ลำยแคนเก่ำแกท่ มี จี ังหวะชำ้ สว่ นหมอลำนั้นจะลำในสองจังหวะ คือ ช้ำและเศรำ้ กับจังหวะ เร็วและเรง่ รอ้ น จงั หวะช้ำใชล้ ำชว่ งทีม่ ีทอ้ งเรอ่ื งเศร้ำ และจังหวะเรว็ ใชล้ ำช่วงที่กลำ่ วถึงกำรทอ่ งเทย่ี วหรือกำร ทไ่ี ม่มีควำมเดือดร้อนใดๆ เรื่องท่หี มอลำพ้นื ชอบลำ คือ ท้ำวกำระเกด ทำ้ วสีธน นำงแตงอ่อน และนำงสบิ สอง และท้ำวหมำหยยุ ซง่ึ ลว้ นแต่เป็นชำดก
หมอลากลอน หมอลากลอน เปน็ กลอน หมำยถงึ บทรอ้ ยกรอง ตำ่ งๆ เช่น โคลง.รำ่ ย หรอื กำพยก์ ลอน \"หมอลำกลอน\" ตำมรูปศัพท์แล้ว หมำยถึง หมอลำทล่ี ำโดยใชบ้ ทกลอน ซ่ึงควำมจรงิ แลว้ หมอลำกลอนล้วนแตใ่ ช้กำพย์กลอนเปน็ บทลำทงั้ สิน้ ทไี่ ด้ชอ่ื ว่ำเป็น \"หมอลำกลอน\" นัน้ กเ็ พ่ือที่จะ แยกใหเ้ ห็นข้อแตกตำ่ งระหว่ำงหมอลำพืน้ ซง่ึ ปรำกฏว่ำ หมอลำสองชนิดนี้ในขณะเดยี วกนั หมอลำกลอนเปน็ ที่ รูจ้ กั แพร่หลำยในขณะที่หมอลำพนื้ ได้คอ่ ยๆสญู หำยไป หมอลำพนื้ กับหมอลำกลอนแตกต่ำงกนั ตรงที่ หมอลำพ้ืนเปน็ กำรลำเดีย่ ว และลำเป็นนิทำน ส่วนลำ กลอนเปน็ กำรลำสองคนลกั ษณะโตต้ อบกนั อำจเปน็ ไปได้ว่ำกำรลำกลอนได้พัฒนำมำสองทำงคือจำกลำ โจทย์ แก้ ซ่ึงเปน็ กำรลำแบบตอบคำถำม อยำ่ งที่สองคือ \"ลำเกีย้ ว\" ซง่ึ เป็นกำรลำในทำนองเกย้ี วพำรำสรี ะหวำ่ ง หญิง- ชำย หมอลาหมู่ หมอลาหมู่ เป็นลำหมู่ ตำมรูปศพั ท์ หมำยถึงกำรรอ้ งเปน็ หมู่ ควำมจริงลำหมเู่ ปน็ กำรแสดงของกล่มุ ศลิ ปินหมอลำหมู่ กำร ลำหมู่เพิง่ จะเกิดขน้ึ ได้เม่ือประมำณ 50-60 ปี ส่ิงท่เี กิดมำก่อนลำ หมคู่ อื ลำพื้นและลเิ ก ซ่งึ เป็นกำรละเลน่ ของชำวไทย ในภำคกลำง ลำหมไู่ ดแ้ บบอย่ำงกำรแต่งกำยมำจำกลิเก และได้แบบอย่ำงกำร ลำมำจำกำรลำพ้ืนและลำกลอน คณะหมอลำหมปู่ ระกอบด้วยคน 15-30 คน ตัวละครประกอบดว้ ย พระรำชำ พระรำชนิ ี เจ้ำชำย เจ้ำหญิง คนใช้ พ่อ แม่ ลูกชำย ลกู สำว ฤำษี เทวดำ และภูตผี คน ใชป้ กตจิ ะแสดงเปน็ ตัวตลกดว้ ยหมอลำ แต่ละคนจะสวมใส่เครอื่ ง ตำมบทบำทในท้องเร่ืองโดยปกติตวั ตลกจะสวมใส่เส้ือผ้ำที่ผิดแผก แหวกแนวจำกคนอน่ื ๆ บำงทีจะแต่งชุดเปน็ ตำรวจ แต่กำรแตง่ นั้นไม่ได้เหมือนตำรวจจริงๆ เขำอำจมี เครอ่ื งประดบั ที่มขี ดี อะไรต่อมิอะไรมำกมำย หรือไม่กต็ ิดขีดกลับหัวกลบั หำงอยำ่ งน้ี เป็นต้น ตัวตลกบำงทกี ็แต่ง แตม้ หน้ำดว้ ยสีสนั ฉดู ฉำด บำงทตี ัวตลกจะเต้ยี ผอมสงู หรืออว้ นผิดปกติไป บำงทีตวั ตลกผ้ชู ำยจะใช้สิ่งของ เสือ้ ผ้ำหนุนท้องเข้ำไปให้แลดูเหมือนผูห้ ญิงท้องแกก่ ็มี ส่วนมำกเร่ืองที่จะลำในหมอลำหมจู่ ะเปน็ เรื่องที่ หมอลำพื้นนยิ มใชล้ ำกนั ซึง่ เร่ืองเหล่ำน้ไี ด้มำจำกนิทำง ชำดกของภำคอสี ำน ข้อใหญใ่ จควำมของเรอื่ ง มงุ่ ทจ่ี ะสัง่ สอนคนให้ทำดี ไดด้ ี ทำชว่ั ไดช้ ว่ั ไมม่ ีใครหลกี พน้ กรรม ทกี่ อ่ ไว้ และให้ระงับเวรดว้ ยกำรไมจ่ องเวร แตใ่ หร้ ะเวรด้วยกำรทำควำมดี นิทำนทุกๆเรื่องมกั จะเรม่ิ ต้นด้วยคน ทท่ี ำดี แตต่ ้องตกไปอยูใ่ นห้วงอันตรำย จำกกำรกระทำของคนชัว่ แลว้ เรอ่ื งรำวกด็ ำเนินต่อไประหวำ่ งคนสอง กลุ่ม คือ กลมุ่ คนดีและคนช่วั บำงคร้ังเทวดำหรือพระอนิ ทร์จำตอ้ งลงมำชว่ ยฝำ่ ยคนดี ถำ้ เหน็ วำ่ ฝ่ำยนีเ้ พลีย่ ง พลำ้ จรงิ ๆ แตบ่ ้นั ปลำยของเร่ืองคนดจี ะเปน็ ผูช้ นะคนช่วั จะถกู ลงโทษ คนดีจะถูกบำเหน็จรำงวัล
หมอลำหมู่จะแสดงบนเวทที ่ีมีควำมกว้ำงประมำณ เมตร ลกึ 5 เมตร และสูง 2 เมตร เวทีมกั จะตงั้ อยู่มุม ใดมมุ หน่ึงของพ้ืนโล่ง ซง่ึ ปกติจะเป็นท่ภี ำยในวดั เวทีจะแบ่งออกเปน็ 2 ตอน โดยผ้ำฉำกหรือฉำกไม้สว่ นหน้ำ จะเป็นเวทแี สดง สว่ นด้ำนหลงั จะเปน็ หอ้ งพักและห้องแต่งตวั มปี ระตูสองขำ้ งของม่ำนที่กน้ั แบ่งเวทีเพือ่ ใชเ้ ป็น ทเี่ ขำ้ ออกของผูแ้ สดง ทำงออกอยูท่ ำงด้ำนซ้ำยของคนดูและทำงเข้ำอยู่ประตูด้ำนขวำ คนเปำ่ แคนจะอยู่ข้ำงๆ ประตทู ำงออกด้ำนซำ้ ยหรอื ด้ำนหลงั ของฉำก เคร่อื งดนตรที ่ีใชใ้ นกำรประกอบลำหมคู่ ือ แคน แตป่ ัจจุบนั หมอลำส่วนมำกใช้เคร่ืองดนตรีฝรัง่ เชน่ กลอง ชุด ทรัมเป็ต แซ็กโซโฟน หรือกีตำร์ แตเ่ ครื่องดนตรฝี ร่ังพวกน้ีจะใชป้ ระกอบเครื่องดนตรีลกู ท่งุ มำกกวำ่ ประกอบหมอลำหมู่ ดังนัน้ แคนกย็ ังเป็นเคร่ืองดนตรสี ำหรับประกอบกำร\"ลำ\"อยู่ดี ลำยแคนท่ีใชป้ ระกอบลำ หมู่ สว่ นมำกใช้ลำยใหญ่ ซึ่งช้ำและเศร้ำ หรือลำยน้อยซึ่งช้ำและเศรำ้ เชน่ กันแต่คนละระดับเสยี ง อยำ่ งไรกต็ ำม ในฉำกท่ีมกี ำรฟ้อนรำ หรอื สนกุ สนำนหมอลำหมูจ่ ะลำเต้ยซ่ึงเป็นเพลงรักสนั้ ๆหมอแคนก็จะเปำ่ ลำย \"ลำเตย้ \" ซ่งึ ได้แก่เต้ยโขง เต้ยพมำ่ เตย้ ธรรมดำ และเตย้ หวั โนนตำล หมอลาเพลนิ หมอลาเพลนิ เปน็ หมอลำหมู่อกี ประเภทหนึ่ง เป็นกำรแสดงที่แสดงเปน็ คณะ เรื่องทจี่ ะแสดงเป็นเร่ือง อะไรก็ไดร้ วมทัง้ เรื่องที่หมอลำหมู่แสดง ส่วนข้อแตกต่ำง ระหว่ำงหมอลำหม่กู ับหมอลำเพลิน คอื 1.ในหมอลำหมู่ผูแ้ สดงฝำ่ ยหญิงทุกคนจะแตง่ ชุด ดว้ ยผ้ำซน่ิ แบบพื้นบ้ำนอสี ำน หรอื ไม่กช็ ุดไทย แตล่ ำเพลิน ฝ่ำยหญิงจะนุง่ กระโปรงแบบฝรง่ั 2.ในลำเพลนิ นอกจำกแคนแล้วยังมพี ณิ เป็นเครือ่ งดนตรีประกอบด้วย 3.ในลำเพลินจะมีจงั หวะกำรลำท่เี รยี กว่ำ \"ลำเพลิน\" ซ่งึ หมำยถึงจงั หวะสนุกสนำน ถงึ แม้ว่ำลำเพลนิ จะเขำ้ มำมบี ทบำทพร้อมๆกับลำหมู่กต็ ำม แต่ไมเ่ ป็นทน่ี ิยมแพรห่ ลำยเท่ำลำหมู่ จนเมอื่ ประมำณสบิ ปีก่อน ลำเพลินจึงกลำยมำเปน็ ทน่ี ิยมของคนท่ัวไป และเป็นทีน่ ำ่ สนใจวำ่ กำรฝึกซ้อมที่จะเป็นหมอ ลำเพลนิ นนั้ งำ่ ยและใชเ้ วลำน้อยกว่ำกำรเปน็ หมอลำหมู่ กล่ำวคือ 1.ลำเพลินจะใช้เวลำฝึกหัดเพียงหกเดอื นกส็ ำมำรถออกแสดงในงำนต่ำงๆได้ ผิดกบั หมอลำ หมู่ท่ีตอ้ งใช้เวลำฝึกหดั ตงั้ แตส่ องถึงห้ำปจี ึงสำมำรถเปน็ หมอลำหม่ทู ่ีดไี ด้ 2.กำรแสดงลำเพลิน ผู้ลำฝ่ำยหญิงจะนุง่ กระโปรงส้นั ๆทเ่ี ปิดวับๆแวมๆเพ่ือโชว์อวดควำม สวยงำมของรำ่ งกำย และผชู้ มก็ชอบทีจ่ ะชมควำมงำมของเรือนรำ่ งของหมอลำด้วย ตรงข้ำมกบั หมอลำหมู่ท่ี ตอ้ งนุ่งหม่ ดว้ ยผำ้ ช้ินยำวปกปดิ รำ่ งกำยไว้เสยี ส่วนมำก 3.ทำนองของลำเพลนิ เป็นทำนองโลดโผน ตน่ื เต้นเร้ำใจ ประกอบทั้งเคร่ืองดนตรี แคน พิณ และกลองชดุ ทำใหเ้ ป็นที่ตน่ื ตำต่ืนใจแก่ผชู้ ม 4.คำ่ จ้ำง หมอลำเพลนิ นน้ั นับวำ่ ถกู มำเมือ่ เทยี บกับคำ่ จำ้ งหมอลำหมู่ คำ่ จ้ำงลำเพลินะจะตก ประมำณห้ำร้อยบำท ถึงสพ่ี นั บำทต่อคนื สว่ นหมอลำหมู่จะตกประมำณสีพ่ ันถึงหนึ่งหมนื่ บำทต่อคนื ปจั จุบันนี้ ค่ำจำ้ งได้เพ่มิ ขน้ึ อย่ำงมำกเป็นหลักแสน หรอื หลำยแสนบำทตอ่ คณะ
หมอลาผฟี า้ คนอสี ำนบำงคนมีควำมเชื่อวำ่ โรคภัยไขเ้ จบ็ เกดิ จำกเชือ้ โรค และบำงคนเช่ือวำ่ เกิดจำกกำรกระทำของผี ควำมเจ็บปว่ ยท่ี เกดิ จำกเช้ือโรค สำมำรถเยยี วยำใหห้ ำยได้ดว้ ยกำรรกั ษำโดยกำรใช้ ยำ สว่ นควำมเจ็บปวดท่ีเกิดจำกผีนั้น เช่อื วำ่ ต้องไดร้ บั กำรรักษำ จำกผีฟำ้ หรืออำนำจอยำ่ งอ่นื อยำ่ งไรกต็ ำมเม่ือถึงครำวชีวติ จะ ส้นิ สุดลง ก็ไม่สำมำรถมีใครเหน่ียวร้งั เอำไวไ้ ด้ คนป่วยทไ่ี ดร้ ับกำร รกั ษำจำกวธิ ีกำรสมยั ใหมห่ รือจำกยำไม่ไดผ้ ลแลว้ คนไข้หรือญำติพี่ น้องของคนไข้ก็จนปญั ญำจำต้องหันหนำ้ พ่ึงทำงอ่ืน และพึ่งทำงอัน นั้นกค็ ือ หมอลำผีฟำ้ ถึงแม้วำ่ ทกุ คนจะไมม่ ีควำมเช่ือในหมอลำผี ฟ้ำดังกล่ำว แต่เพื่อชวี ิตอย่ำงนอ้ ยกต็ ้องลองเสย่ี งดู หมอลำผฟี ้ำอำจแปลควำมได้ว่ำ คณะหมอลำที่ทำกำรตดิ ต่อสื่อสำรกบั ผีฟำ้ บำงท้องที่เรยี กหมอลำผีฟ้ำ วำ่ หมอลำไทเทิง ซ่ึงหมำยถึง หมอลำทต่ี ดิ ต่อกับผีที่อย่เู บ้ืองบน (ไท หมำยถึง กลุ่มคนหรือวญิ ญำณ เทิง หมำยถงึ เหนอื หรือขำ้ งบน) ในบำงท้องท่เี รยี กหมอลำผีฟำ้ วำ่ หมอลำผแี ถน ซ่งึ หมำยถึง คณะหมอลำท่ีจะ ติดตอ่ กับผีแถนผซู้ ึง่ เปน็ ใหญ่ในเมืองฟ้ำ ถงึ แม้ว่ำหมอลำผีฟ้ำจะเปน็ ท่ีรจู้ ักกันในหลำยชอื่ และรำยละเอียด ปลีกยอ่ ยของกำรลำจะแตกต่ำงกันไปบ้ำงตำมแตล่ ะทอ้ งถ่ินก็ตำมแต่มีจดุ ประสงค์อนั เดยี วกัน ลักษณะของกลอนลา กลอนลำเป็นรอ้ ยกรองท่มี ีทงั้ ท่เี ป็นกลอนรำ่ ย กลอนกำพย์ (หรือเรียกอีกอยำ่ งหนง่ึ วำ่ กลอนตัด) และ กลอนเญนิ้ กลอนลำทำงสั้นอำจเป็นกลอนตดั หรือกลอนเญิ้นก็ได้ กลอนลำทำงยำว กลอนเต้ยธรรมดำ,กลอน ลำเพลนิ และกลอนเตย้ หวั โนนตำลเป็นกลอนเญน้ิ ส่วนกลอนเตย้ โขงและกลอนเต้ยพม่ำมลี ักษณะคลำ้ ยเพลง ไทยสำกลโดยใชค้ ำภำษำไทยกลำงผสมภำษำถ่ินอสี ำน ทานองลา ทำนองลำทเ่ี ป็นทำนองหลักพอจะแบ่งได้ออกเป็น 4 ทำนองคือ ทำนองลำทำงส้นั ทำนองลำทำงยำว ทำนองลำเพลนิ และทำนองลำเต้ย \"ลำทำงสน้ั \" เปน็ ทำนองลำแบบเน้อื เต็ม ไม่มีเอื้อน (ยกเวน้ ตอนขน้ึ ตน้ \"โอล้ ะนอ\") ควำมสัน้ -ยำว ของ พยำงคต์ ่ำงๆจะสมำ่ เสมอกนั โดนตลอดเปน็ ทำนองที่แสดงออกถึงอำรมณ์อันเป็นสขุ เปน็ ทำนองลำของหมอลำ พน้ื ตอนดำเนนิ เรอ่ื ง เพื่อใหไ้ ด้ควำมรวดเร็ว และเปน็ ทำนองหลักของหมอลำกลอน \"ลำทำงยำว\"เปน็ ทำนองลำที่ใชเ้ ออ้ื นยำวสะอึกสะอ้ืนแสดงควำมโศกเศรำ้ เสยี ใจมจี ังหวะลลี ำชำ้ ใชส้ ำหรับ ลำผีฟ้ำ ลำพนื้ แสดงอำรมณโ์ ศกมจี งั หวะลีลำช้ำ ใชส้ ำหรบั ลำผีฟ้ำ ลำพืน้ ตอนโศก และลำกลอนตอนลำลำ \"ลำเต้ย\" เป็นทำนองเพลงรักสั้นๆ ประเภทเน้ือเต็มไม่มเี อื้อน มีอยู่ 4 ทำนอง คอื เต้ยโขง เต้ยพมำ่ เต้ย ธรรมดำและเตย้ หวั โนนตำล สำเนยี งลำ สำเนยี งลำของกลุ่มลำแคนพอจะแบ่งสำเนียงหลกั ได้ 2 สำเนียงคือ สำเนยี งขอนแกน่ และสำเนยี งอบุ ลฯ ควำมแตกตำ่ งระหว่ำงสำเนียงขอนแกน่ กับสำเนยี งอุบลฯจะสงั เกตไดจ้ ำก ทำนองลำทำงสน้ั ซง่ึ จะพอมีหลักสงั เกตไดด้ ังนี้
1. สำเนยี งอบุ ลฯ จะใชก้ ลอนลว้ น ไมม่ แี ทรกดว้ ยคำพูด สว่ นสำเนยี งขอนแกน่ นยิ มพดู แทรกหรอื เตมิ เข้ำไปในกลอนลำ โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ ตอนทเี่ ป็นหัวต่อระหวำ่ งบทกลอนทีใ่ ช้ถำมหรือตอบ 2. สำเนียงอบุ ลฯ ที่มจี ังหวะชัดเจน หนกั แนน่ มัน่ คงและสม่ำเสมอ สำเนยี งขอนแกน่ นัน้ ยำกแก่กำร แบง่ วรรคแบง่ ตอน ใกล้ไปทำงสำเนยี งพูด 3. สำเนียงขอนแก่น หมอลำบำงคนอำจจะมีกำรจงั หวะชัดเจน แต่สำเนียงหรอื กระแสเสียงทำงภำษำก็ ยังบง่ บอกในตัว เชน่ เดยี วกบั สำเนยี งพดู 4. ในตอนเดินดง หมอลำสำเนยี งอบุ ลจะยงั คงรกั ษำทำนองเดมิ ไวไ้ ม่เปล่ียนแปลง แต่หมอลำสำเนยี ง ขอนแกน่ จะบิดผนั ทว่ งทำนองเปน็ แบบลำทำงยำวกรำยๆ สาเนยี งลา สำเนยี งลำของกลุ่มลำแคนแบง่ สำเนยี งหลักได้ 2 สำเนยี งคอื สำเนียงขอนแก่นและสำเนียงอุบลฯ ควำม แตกตำ่ งระหวำ่ งสำเนียงขอนแก่น กับสำเนียงอบุ ลฯ จะสังเกตไดจ้ ำกทำนองลำทำงส้ัน ซึ่งมหี ลักสงั เกตได้ดังนี้ 1.สำเนยี งอบุ ลฯ จะใชก้ ลอนล้วน ไม่มีแทรกดว้ ยคำพูด ส่วนสำเนยี งขอนแก่นนิยมพูดแทรกหรือเติมเขำ้ ไปในกลอนลำ โดยเฉพำะอยำ่ งย่งิ ตอนที่เปน็ หวั ต่อระหว่ำงบทกลอนทใี่ ชถ้ ำมหรือตอบ 2.สำเนียงอบุ ลฯ ที่มจี งั หวะชดั เจน หนกั แนน่ ม่ันคงและสมำ่ เสมอ สำเนยี งขอนแก่นน้นั ยำกแก่กำรแบง่ วรรคแบง่ ตอน ใกล้ไปทำงสำเนียงพดู 3.สำเนยี งขอนแกน่ หมอลำบำงคนอำจจะมีกำรจงั หวะชดั เจน แต่สำเนยี งหรือกระแสเสียงทำงภำษำก็ยัง บ่งบอกในตวั เช่นเดยี วกบั สำเนยี งพดู 4.ในตอนเดนิ ดง หมอลำสำเนยี งอุบลจะยังคงรักษำทำนองเดิมไวไ้ มเ่ ปลยี่ นแปลง แต่หมอลำสำเนยี ง ขอนแกน่ จะบิดผนั ทว่ งทำนองเปน็ แบบลำทำงยำวกรำยๆ ลาแคน กำรฟ้อน กำรรำ จะแฝงไว้ซ่ึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี เอกลักษณ์ ประจำท้องถิ่น และเสดงถึงจิตใจของประชำชนในทอ้ งถ่ินน้นั ๆ กำรรำแคนของไทยน้ัน เปน็ กำรรำตำมเสียงเพลง เสียงดนตรี (แคน) ในลักษณะที่มจี ังหวะอ่อนช้อยงดงำม แตบ่ ำงสว่ นแสดงถงึ ควำมสนุกสนำนเร้ำใจและหยอกล้อกัน ระหวำ่ งครู่ ำหรือรำเกีย้ วพำรำสีกนั ระหวำ่ งชำยหนุม่ หญงิ สำว การแตง่ กาย ผู้รำแคนชำวไทดำ ชำย นงุ่ กำงเกงขำส้นั หรือขำยำว สดี ำ สคี รำมแกก่ ำงเกงขำสนั้ เรียกวำ่ \"ส้วง ก้อม\" กำงเกงขำยำวเรยี กว่ำ \"สว้ งฮ\"ี สวมเสอ้ื แขนยำวสีดำ ตดิ กระดุม ทที่ ำด้วยเงนิ แท้ ๑๐ -๑๖ เม็ดขึน้ ไป เรยี กว่ำ \"เส้อื ไต\" หรือใส่เส้ือยำวคลุมสะโพกชำยเสื้อปกั หรือประดบั ด้วยไหมหรือดำ้ ยสีตำ่ งๆ ผรู้ ำแคนชำวไทดำ หญงิ นงุ่ ผ้ำซนิ่ ลำยแตงไทย (พื้นดำ หรอื สีครำมแก่ทำงสีขำว ลงตำมตวั ) มเี ชงิ รอบลำยผ้ำซ่น ด้ำนบนตัง้ แต่ระดับสะโพกมผี ำ้ สีดำ หรือสีครำมแก่ (ผ้ำพ้ืน) ต่อจำกลำยทำงลง เส้ือเป็นเส้อื แขน กระบอกรดั ปลำยแขนสดี ำ หรือสคี รำมแก่แขนยำว ผ่ำอกตลอด ตดิ กระดมุ ที่ทำดว้ ยเงนิ แท้ประมำณ ๙ - ๑๐ เม็ดข้นึ ไป คำดเข็มขดั เงินแท้ มีสไบคล้องคอ ผู้รำหญงิ จะใสเ่ สือ้ ฮยี ำวเหมือนผู้รำชำยก็ได้ การรา นิยมรำเป็นคู่ ระหวำ่ งชำย - หญิง หรอื ชำยกบั ชำย หญงิ กบั หญิงกไ็ ดร้ ำเป็นวงเหมอื นกำรรำ วง หรือกำรรำโทน
เครอ่ื งประดบั ทีใ่ ช้ประกอบการรา เปน็ เครือ่ งดนตรีทปี่ ระดิษฐข์ นึ้ เองจำกไม้ไผ่ หรือไม้รวก เรยี กว่ำ \"แคน\" เครือ่ งกากับจงั หวะ ใชก้ ำรปรบมอื ปจั จุบนั มีจังหวะอนื่ ผสม เพลงประกอบการเสดง หรือการรา เรียกว่ำ \"เซงิ้ แคน\" ใช้คำรอ้ งเปน็ คำรอ้ งสอ โตต้ อบกันระหว่ำง ชำย - หญิง โดยร้องไปพร้อมกบั เสยี งแคนและปรบมือใหจ้ ังหวะ หมอลำ เปน็ รูปแบบวัฒนธรรมทำงภำคอีสำนของประเทศไทย สำมำรถแบ่งออกได้หลำยอย่ำง ตำม ลักษณะทำนองของกำรลำ เช่น ลำเตย้ ลำกลอน ลำเรื่อง ลำเรอ่ื งต่อ กลอนลำเพลิน ลำซ่ิง คำว่ำ “หมอลำ” มำจำกคำ 2 คำมำรวมกัน ได้แก่ “หมอ” หมำยถงึ ผู้มีควำมชำนำญ และ “ลำ” หมำยถึง กำรบรรยำยเรอื่ งรำว ต่ำงๆ ด้วยทำนองอนั ไพเรำะ ดงั นน้ั หมอลำ จึงหมำยถึง ผ้ทู ี่มคี วำมชำนำญในกำรบรรยำยเร่อื งรำวตำ่ งๆ ด้วยทำนองเพลงนน่ั เอง ควำมเจริญก้ำวหน้ำของหมอลำก็คงเหมือนกับควำมเจริญกำ้ วหน้ำของสงิ่ อ่นื ๆ เริ่มแรก คงเกดิ จำกผู้ เฒ่ำผูแ้ กเ่ ลำ่ นิทำนหรือวรรณคดที ี่เกย่ี วกบั จำรตี ประเพณีและศีลธรรม โดยเรยี กลกู หลำนมำฟงั กนั มำก ซง่ึ จะน่ัง เลำ่ กค็ งไม่เหมำะ จงึ ต้องยืนข้ึนเล่ำ ครั้นผูเ้ ลำ่ เพยี งแต่เล่ำ ไม่ออกทำ่ ออกทำงก็คงจะไม่สนกุ ผูเ้ ล่ำจงึ จำเปน็ ต้อง ยกไมย้ กมือแสดงทำ่ ทำงเปน็ พระเอก นำงเอก ตวั โกง ตวั ตลก นักรบ เสนำ เปน็ ต้น และเพมิ่ ควำมนำ่ ตนื่ เต้น ด้วยสำเนียงส้นั ยำว ใช้เสยี งสงู ตำ่ ประกอบ และหำเคร่ืองดนตรปี ระกอบเชน่ ซอ ปี่ แคน เพอื่ ใหเ้ กิดควำมสนุก ครกึ ครื้น ผู้แสดงมเี พียงแตผ่ ชู้ ำยอย่ำงเดียวดูไมม่ รี สชำติเผ็ดมนั จึงจำเปน็ ตอ้ งหำผหู้ ญิงมำแสดงประกอบ จงึ ถือ เปน็ กำรลำแบบสมบูรณ์ เมอ่ื ผู้หญิงมำเกย่ี วข้องเร่ืองต่ำงๆ ก็ตำมมำ เชน่ เรอ่ื งเกยี้ วพำรำสี เรอ่ื งชิงดีชิงเดน่ ยำด (แยง่ )สำมี ภรรยำ เรอื่ งตลกโปกฮำตำมแต่ทอ้ งเร่ืองที่เล่ำน้ัน เมอ่ื ยุคสมัยเปลย่ี นแปลงไป วฒั นำกำรของหมอลำ กเ็ ปลี่ยนแปลงไปตำมยุคตำมสมัยนน้ั ๆ อำทิ หมอลำกลอน ลกั ษณะเปน็ กำรลำทมี่ หี มอลำชำยหญงิ สองคนลำ สลับกัน มเี ครือ่ งดนตรปี ระกอบเพียงชนดิ เดียวคือ แคน กำรลำมีท้ังลำเรื่องนิทำนโบรำณคดีอีสำน เรียกวำ่ ลำ เรือ่ งต่อกลอนลำทวย(ทำยโจทยป์ ญั หำ) ซ่ึงผู้ลำจะต้องมีปฏิภำณไหวพริบท่ีดีสำมำรถตอบโต้ ยกเหตุผลมำ หักลำ้ งฝ่ำยตรงข้ำมได้ ต่อมำมีกำรเพิม่ ผู้ลำข้นึ อีกหนึ่งคน อำจเปน็ ชำยหรือหญิงกไ็ ด้ กำรลำจะเปลีย่ นเป็นเรอ่ื ง ชิงรักหักสวำท ยำดชยู้ ำดผวั เรียกว่ำ ลำชิงชู้ ปัจจุบันกลอนนนั้ หำดไู ดย้ ำกเพรำะขำดควำมนยิ มลงไปมำก แต่วำ่ ปจั จุบนั ไดว้ ฒั นำกำรมำเปน็ หมอลำกลอนซึ่งเพอ่ื ควำมอย่รู อดและผลก็คือได้รบั ควำมนยิ มในปจั จบุ นั กำรแสดงหมอลำแคนของ คุณลุงสะท้ำนในงำนวันเด็ก ปี 2562
หมอลากลอนซ่งิ เปน็ กำรแสดงท่นี ำเอำศลิ ปะท่มี ีมำต้ังแต่เดมิ มำดดั แปลงประยกุ ตใ์ ห้ทันสมัยคอื นำเอำหมอ ลำกลอนซงึ่ แต่เดมิ นั้นเป็นกำรลำประกอบแคนเพียงอยำ่ งเดียวมำประยกุ ต์เขำ้ ดนตรชี ้นิ อ่ืนๆ เชน่ พณิ เบส และ กลองชุด จนไดร้ บั ควำมนิยม ปัจจุบนั ได้มีกำรนำเอำเครื่องดนตรีสำกล เชน่ ออรแ์ กน คีย์บอร์ด มำประยุกต์เลน่ เปน็ ทำนอง หมอลำ ทำใหจ้ ังหวะสนกุ ครกึ คร้ืน ประกอบกับกำรนำเพลงไทยสำกล เพลงลกู ทุ่งที่กำลังฮติ มำ ประยุกตเ์ ข้ำด้วย ลำซ่ิงเปน็ วัฒนำกำรของลำคู่(เพรำะใชห้ มอลำ 2-3คน) ใช้เคร่ืองดนตรีสำกลเขำ้ ร่วมใหจ้ ังหวะ เหมอื นลำเพลินมหี ำงเครื่องเหมอื นดนตรลี ูกทุ่ง กลอนลำสนกุ สนำนมจี ังหวะอันเรำ้ ใจ ทำใหไ้ ดร้ บั ควำมนยิ ม อยำ่ งรวดเรว็ หมอลำกลอนซิง่ ในปจั จบุ นั ได้กลำยเปน็ ธรุ กิจควำมบันเทิงท่ีไดร้ บั ควำมนิยมอีกแขนงหนงึ่ ทีช่ ำว อีสำนนยิ มจ้ำงไปเป็นมหรสพสมโภชน์ งำนทไี่ ดจ้ ัดข้ึนในโอกำสต่ำงๆ รปู แบบกำรแสดงจะเป็นกำรร้องรำ ทำนองหมอลำประยุกต์กับเพลงที่สนกุ โดยมหี มอลำฝ่ำยชำยคอยร้องแก้กลับ หมอลำฝ่ำยหญงิ พร้อมกับกำร โชว์ลีลำ กำรรำ่ ยรำทอ่ี ่อนช้อย งดงำม และมหี มอแคนเป่ำแคนประกบอยู่ข้ำงๆ เพอ่ื คอยคลอแคนให้หมอลำไม่ หลงคยี เ์ สยี งของตนเอง ซ่งึ หมอลำแตล่ ะคนจะมหี มอแคนประจำตัวของตัวเอง ปจั จบุ นั วงหมอลำซ่ิงใหญๆ่ จะมี หำงเคร่อื งเพื่อเพิ่มสีสนั อกี ด้วย กำรว่ำจ้ำง เจำ้ ภำพจะเป็นคนจับคู่หมอลำเอง เพ่ือจะไดเ้ หน็ กำรร้องแกก้ นั ดว้ ย ควำมสนุกสนำนและมไี หวพรบิ หมอลาหมู่ หมอลำเพลินเป็นกำรลำทม่ี ีผู้แสดงครบหรือ เกอื บจะครบตำมจำนวนตัวละครในเรื่องทดี่ ำเนนิ กำร แสดง มีอุปกรณ์ประกอบ ทั้งฉำก เสอื้ ผำ้ สมจรงิ สมจัง และยงั มเี คร่ืองดนตรีประกอบ แตเ่ ดมิ ทีม่ ีหลักๆ คือพิณ (ซุง หรือ ซึง) แคน กลอง กรลำจะมี 2 แนวทำงคือ ลำเวยี ง จะเป็นกำรลำแบบลำกลอน หมอลำจะแสดงเป็น ตวั ละครตำมบทบำทในเรื่อง กำรดำเนินเร่อื งค่อนข้ำงช้ำ แต่กไ็ ด้อรรถรสของละครพ้ืนบ้ำน หมอลำได้ใชพ้ รสวรรค์ ของตัวเองในกำรลำ ท้งั ทำงด้ำนเสยี งรอ้ ง ปฏภิ ำณไหวพรบิ และควำมจำ เป็นทน่ี ิยมในหมู่ผู้สูงอำยุ ต่อมำเมื่อ ดนตรลี กู ทุง่ มีอทิ ธิพลมำกขนึ้ จึงเกิดวัฒนำกำรของหมอลำหมู่อกี ครั้งหนึ่ง โดยไดป้ ระยุกต์กลำยเปน็ ลำเพลนิ ซึ่งมจี ังหวะที่เร้ำใจ ชวนให้สนุกสนำน กอ่ นกำรลำเรอ่ื งในช่วงหวั ค่ำจะมกี ำรนำเอำรปู แบบของ วงดนตรลี ูกทุ่งมำใช้เรยี กคนดู กลำ่ วคอื จะมนี ักร้องมำร้องเพลงลูกทงุ่ หรือบำงคณะหมอลำ ได้นำเพลงสตริงที่กำลังฮิตในขณะนนั้ มำขับร้อง มี หำงเครอื่ ง หรือแดนซเ์ ซอรเ์ ต้นประกอบ นำเอำเครื่องดนตรสี มยั ใหมม่ ำประยุกต์ใช้ เช่น กีต้ำร์ คีย์บอรด์ แซก็ โซโฟน ทรัมเปต และกลองชุด เปน็ ตน้ โดยนำมำผสมผสำนเข้ำกบั เคร่อื งดนตรีเดมิ ได้แก่ พิณ แคน ทำใหไ้ ด้ รสชำติของดนตรที ี่แปลกออกไป ยุคนน้ี บั วำ่ หมอลำเฟ่ืองฟมู ำกท่สี ุด
คณะหมอลำดังๆ ส่วนใหญ่จะอย่ใู นแถบ จงั หวัดขอนแกน่ มหำสำรคำม อุบลรำชธำนี อุดรธำนี หมอลำหมู่สำมำรถแบ่งตำมทำนองของ บทกลอนลำไดอ้ ีกซง่ึ แตล่ ะทำนองจะออกเสยี งสงู ตำ่ ไม่เหมือนกัน ได้แก่ ทำนองขอนแก่นทำนอง กำฬสินธุ์ ทำนองสำรคำม ทำนองอบุ ล เปน็ ต้น หมอลำเปน็ องค์วชิ ำควำมรู้อย่ำงหนึง่ ทำใหเ้ รำเรยี นรู้สงั คมและวัฒนธรรมได้ กำรแสดงหมอลำ ไม่ใชแ่ ค่กำรอนรุ กั ษ์ แตย่ งั อธิบำยควำมหมำยและกำรเปลย่ี นแปลงทำงสังคมในวงชำวบำ้ น ซง่ึ เป็นมูลช้นั ต้น อย่ำงดี ในเม่อื วฒั นธรรมอีสำนได้มกี ำรสบื ทอดมำจนถึงปจั จบุ ัน ดังน้นั เรำควรที่จะอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมของเรำไว้ วัฒนธรรมทกุ สิ่งทุกอย่ำงทเี่ ป็นของไทยกค็ ือเอกลกั ษณ์ของชำตไิ ทย และทีค่ นไทยเรำมีควำมมั่นคงอย่ไู ด้ทกุ วันนี้กเ็ พรำะเรำมีเอกลักษณ์ มีวัฒนธรรมไทยที่เป็นวถิ ชี วี ิตของเรำ ด้านจุดเปล่ยี นของหมอลา ในสังคมไทยถนิ่ อสี าน ด้ำนจุดเปล่ยี นของหมอลำ ในสงั คมไทยถ่ินอีสำน 1. พัฒนาการของหมอลาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ชอบ ดีสวนโคก (2554) สมั นำเรื่อง หมอแคน : ภมู ิร้แู ละภมู ิปัญญำเชงิ คตี ศิลป์กบั กำรสบื สำน มรดกภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม, เมือวันที่ 4 มถิ ุนำยน 2554 ไดเ้ ล่ำถงึ ควำมเป็นมำของหมอลำว่ำ หมอลำนน้ั เร่มิ ตน้ มำจำกบคุ คลที่มีศลี มธี รรม “หมอลำ” จึงเกิดขึ้นจำกกลุม่ คนเหล่ำนี้ องคป์ ระกอบที่สำคญั ของหมอลำคือ 1.) ผู้แตง่ กลอนลา มำจำกวัดจำกกำรบวชเรยี นลักษณะของกลอนลำที่แต่งสว่ นมำกจะมำจำกปรำชญำชมุ ชน และมำ จำก เชียงขวำง ประเทศลำว สมัยกอ่ นคนสว่ นใหญ่จะเช่อื เรือ่ งวญิ ำณนยิ ม เชื่อเรื่องผี และในวถิ ีชุมน้นั อยำกจะ อยรู่ อดปลอดภยั จงึ ต้องทำกำรบวงสรวง วงิ วอนตอ่ “ผีแถน” กลำยมำเป็นคนพดู ท่ีมีจังหวะ มสี ำเนียงทเ่ี กิด ควำมไพเรำะเพื่อใหผ้ ีแถนเกิดควำมเมตำสงสำรจะได้อยรู่ อดปลอดภยั และก่อนท่ีจะเรยี กวำ่ “ลำ” ในปจั จุบนั นี้ สมัยก่อนนั้นเรยี กวำ่ “ขบั ” หมอลำและนกั แต่งกลอนลำนั้นสมยั กอ่ นมำจำกพระพทุ ธศำสนำ โดยจำกกำรบวชและได้ลำสขิ ำบท ออกมำแล้วไดน้ ำนทิ ำนชำดกเวชสนั ดรออกมำเทศและนำออกเผยแพร่ นำมำพดู จำกนั ในชุมชนแลว้ นำไปทำ กำรแสดงเป็นหมอลำ จนเกิดภูมิรู้ ภูมิธรรม ควำมรู้เหล่ำนเี้ รยี กว่ำ “ผญำปญั ญำ” และได้นำไปบอกไปสอนกนั จนกลำยเปน็ ภูมิปัญญำจำกควำมรู้ และจำกพระพทุ ธศำสนำ 2.) การเกดิ ลา ลำ คือ ส่ิงทส่ี ัมผสั (กำ่ ย) กันไปยำว ๆ เปน็ เรือ่ งเป็นรำว หรอื อำจกลำ่ วไดว้ ำ่ ลำ เกดิ จำกกำรเล่ำ เรอื่ ง กลอนนิทำน (ลำพน้ื ) พื้น คอื เป็นเรื่องรำว ลำพื้นจะลำเพียงคนเดยี วส่วนใหญ่จะเปน็ ผูช้ ำย และอำจ กล่ำวไปถึงลำอีกประเภทหนงึ่ ทใ่ี ชป้ ญั ญำในกำรตอบโต้กันคือ “ลำผญำ” หมำยถงึ เอำปญั ญำมำสอดคลอ้ งกนั
เรยี กว่ำ “ลำเก้ยี วผญำ”และได้พฒั นำมำเป็นลำหลำย ๆ คนจนตอ่ มำไดพ้ ฒั นำปรบั เปล่ียนใหท้ นั ยุกตท์ นั สมัย ขึน้ จนกลำยมำเปน็ “ลำเรื่องต่อกลอน” เพรำะผู้ฟงั อยำกมีส่วนรว่ มในกำรแสดงด้วย เนอ้ื หำสว่ นใหญ่แลว้ ก็ไม่ ตำ่ งกับลำพ้นื มำก จะลำเป็นเน้ือเรื่องนิทำนก็ได้ ลำทำงสัน้ ลำทำงยำว ลำเต้ย เป็นตน้ จงึ สรปุ ได้ว่ำ ผแู้ ตง่ กลอนลำน้นั เปน็ ผูท้ ี่มีบทบำทมำก จงึ เป็นผทู้ ่ีมี ภูมิรู้ ภมู ธิ รรม และภมู ปิ ญั ญำ โดยมองในแงข่ องคุณธรรมและจรยิ ธรรม ส่วนกลอนลำนั้นเกิดจำกพระพุทธศำสนำจำกคำสอนจนกลำยเป็น ฮติ 12 คอง 14 เกิดจำกผู้ท่ีเคยบวชแลว้ สกึ ออกมำแล้วนำเนือ้ หำทำงพระพทุ ธศำสนำมำแตง่ เป็นกลอนลำ จน ถือไดว้ ่ำกลอนลำเปน็ จำรตี ประเพณขี องชำวอีสำนกว็ ำ่ ได้ 2. กำรเปลย่ี นแปลงของหมอลำกลอนย้อนยคุ มำเป็นหมอลำกลอนประยุกต์ (ลำซิ่ง) 2.1 ลำกลอนยอ้ นยกุ ต์ ในปี พ.ศ. 2508 แมค่ รูรำตรี ศรวี ไิ ล อำยไุ ด้เพียง 14 ปี และไดม้ ี โอกำสออกลำครัง้ แรก โดยแม่ครูรำตรี ศรวี ไิ ลนั้นลำคนเดียวไมม่ หี มอลำฝำ่ ยชำยและไม่มแี คนเปำ่ ใหจ้ งั หวะเลย หลังจำกนั้นจึงเกดิ ควำมภมู ิใจในกำรแสดงในวนั นั้นจึงออกลำเรอ่ื ยมำ 2.2 ลำหมหู่ รอื ลำเร่ืองต่อกลอน ในปี พ.ศ. 2552 หมอลำกลอนธรรมดำนั้นได้ซบเซำลงมำก โดยมหี มอลำหมู่ และเพลงลูกทงุ่ เข้ำมำแทนทหี่ มอลำกลอน แมค่ รรู ำตรี ศรวี ไิ ล จึงได้เปลี่ยนผันตนเองจำกเปน็ หมอลำกลอนไปเปน็ นำงหมอลำหมอลำหมู่ ในอำยุ 15 ปี 2.3 ลำกลอนประยกุ ต์ (ลำซิ่ง) ในปี พ.ศ.2529 แม่ครูรำตรี ศรีวิไลได้กลับมำแสดงลำกลอน ธรรมดำเหมอื นเดิมเน่ืองจำก วงหมอลำหมู่นนั้ ต้องได้แจงค่ำใช้จำ่ ยกันมำกไมเ่ พยี งพอตอ่ กำรดำรงชีพ แตแ่ ล้ว แม่ครรู ำตรี ศรีวไิ ลก็พบวำ่ ผู้คนซบเซำลงอยำ่ งมำกเพรำะคนไปสนใจในภำพยนตร์ หมอลำหมู่ และดนตรีลกู ทุง่ กนั หมด แม่ครูรำตรี ศรีวิไล กับพชี่ ำย สนุ ทร ชัยรุ่งเรือง จึงไดป้ รบั ปรงุ ประยุกต์ เนื้อหำของกลอนลำ ท่วงทำนอง ลีลำท่ำฟ้อน ให้ทันสมยั ข้ึนกว่ำเดิมจนกลำยมำเปน็ ลำกลอนประยุกต์ (ลำซิ่ง) มำจนถึงปจั จบุ ัน กำรเปลย่ี นแปลงทำงเทคโนโลยีเม่อื ปี พ.ศ. 2515 ทำให้แม่ครรู ำตรี ศรวี ิไลไดเ้ ริ่มเปิดกำรเรยี น กำรสอนหมอลำแบบเรียนประจำ โดยลูกศิษย์มำสมคั รเรยี นและเข้ำมำอยู่ในควำมปกครองและกำรเลี้ยงดูอยู่ กินท่บี ำ้ นครูผสู้ อน เน่ืองจำกกำรเปลี่ยนแปลงทำงเทคโนโลยี ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ซ่งึ แมค่ รรู ำตรศี รวี ิไลได้ เล็งเห็นประโยชน์ต่อกำรเรียนกำรสอนโดยกำรไดป้ ระหยดั เวลำและคำ่ ใช้จำ่ ยทง้ั ผูเ้ รยี นแลผูส้ อน จงึ ได้ผลติ ส่ือ กำรเรียนกำรสอนหมอลำแบบเรียนทำงไปรษณยี ์ (เรียนด้วยตนเอง) ประกอบกำรด้วยหนงั สือคมู่ ือบทกลอนลำ และเทป ซีดี วีซีดี ทำนองลำ เม่อื ท่องจำกลอนได้ตำมหลักสูตรแล้ว ใหเ้ ข้ำมำฝึกซ้อมทำ่ ทำงประกอบกำรลำโดย เข้ำมำพักที่บำ้ นครู กำรเรียนทำงไปรษณยี ์ จึงเปน็ กำรเผยแพร่ให้รวดเรว็ และท่วั ถึงกลุ่มผ้สู นใจมำกยงิ่ ข้ึน ได้ เร่ิมสอนทำงไปรษณยี เ์ ม่ือ ปี พ.ศ.2537 เปน็ ตน้ มำถงึ ปจั จบุ นั แม่ครรู ำตรี ศรีวิไล ไดใ้ ชบ้ ทบำทกำรแสดงหมอลำเปน็ สื่อพ้ืนบำ้ นในกำรรณรงค์เผยแพรข่ ่ำวสำร บ้ำนเมอื งช่วยเหลอื งำนรำชกำรในโครงกำรต่ำง ๆ อำทิเชน่ โครงกำรวำงแผนครอบครวั ส่งเสริมเผยแพร่ ประชำธิปไตย อีสำนไม่กนิ ปลำดิบ ต่อต้ำนโรคเอดส์ ตอ่ ต้ำนยำเสพติด เชิญชวนท่องเท่ียวไทยและโครงกำร รว่ มคิดร่วมสร้ำงร่วมรำ่ งรัฐธรรมนูญ เป็นตน้ เนื่องจำกแมค่ รรู ำตรศี รีวิไลเป็นทั้งนักแต่งกลอนลำ นกั แสดงหมอลำ รวมทง้ั เป็นนักอนุรักษแ์ ละ พฒั นำทัง้ กำรแสดงและกำรออกแบบเคร่อื งแต่งกำย เช่นชุดหมอลำ หำงเคร่ือง นักดนตรี
กำรพัฒนำรปู แบบกำรแสดงใหท้ นั เหตกุ ำรณต์ ำมยคุ ตำมสมัย และพัฒนำรปู แบบกำรแต่งกำย ของนักแสดง โดยกำรนำเอำผ้ำหม่ี ผ้ำไหมพน้ื บำ้ นมำประยุกต์ใช้ตัดเปน็ ทรงให้ทันสมยั ตำมควำมเหมำะสม (ภำพรวมจะเน้นกำรอยู่ในบนพ้ืนฐำนของวฒั นธรรมไทย) จึงเป็นกำรจงู ใจให้ลูกศิษย์นยิ มชมชอบในควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ของแม่ครรู ำตรี ศรีวไิ ล ไดห้ ลงั่ ไหล เข้ำมำเรยี นมำกมำย รวมทง้ั เจ้ำภำพจำกหน่วยงำนตำ่ ง ๆ ท้งั ภำครฐั และเอกชน มำตดิ ต่อให้แต่งกลอนลำ และนำไปแสดงเผยแพรใ่ นงำนตำ่ ง ๆ เปน็ ประจำมำกมำย พอสมควร จนถึงปัจจบุ ัน
จากการสมั ภาษณ์ ในวนั ทสี่ มั ภำษณค์ ุณลงุ สะทำ้ น คุณลุงบอกว่ำคุณลงุ นำภมู ิปัญญำหมอลำแคนนมี้ ำจำกหนองบวั ลำภู ภมู ิลำเนำเดมิ ของคุณลุง พอย้ำยเขำ้ มำในอำศัยอยู่ในวังน้ำเย็น จังหวดั สระแกว้ คุณลุงจงึ ชวนเพือ่ นท่ีย้ำยมำ ดว้ ยกนั ต้งั คณะหมอลำขึ้น เพื่อถำ่ ยทอดให้เปน็ ภมู ปิ ัญญำพ้ืนบ้ำนของอำเภอวังน้ำเยน็ จงั หวัดสระแกว้ และให้ เดก็ เยำวชนรนุ่ หลงั ในอำเภอวังน้ำเย็น ไดเ้ ห็นได้ร้จู กั และอนุรักษ์หมอลำพนื้ บ้ำนใหค้ งสบื ต่อไป คุณลงุ ยงั บอก อีกว่ำปจั จุบันน้ีหมอลำเหลอื แตห่ มอลำรนุ่ เก่ำทส่ี ำมำรถำ่ ยทอดหมอลำกลอนย้อนยุคไดด้ ี เพรำะหมอลำร่นุ เกำ่ ใหค้ วำมรู้ไดด้ ี สำมำรถถ่ำยทอดและสบื ทอดใหห้ มอลำเป็นสือ่ ในกำรเล่ำเร่ืองได้ และหมอลำรนุ่ เก่ำกเ็ หลืออย่ไู ม่ มำกนกั คนทจี่ ะอนุรักษ์หมอลำก็เหลือน้อยเต็มทแ่ี ล้วเหลือแตห่ มอลำร่นุ เก่ำโดยสว่ นใหญ่แลว้ เป็นกำรสบื สำน กนั ทำงด้ำนเครือญำตหิ รอื ลูกหลำนเทำ่ น้นั กำรสูญเสียวัฒนธรรมของหมอลำรนุ่ เก่ำไป คณะหมอลำของคณุ ลงุ สะทำ้ ยจะรับโชว์แสดงหมอลำพน้ื บ้ำนตำมงำนตำ่ งๆ หรอื ตำมบ้ำน โดยคุณลุง สะทำ้ นจะเป็นผู้ที่เป่ำแคนในคณะ ซึ่งทีเ่ รียกว่ำหมอลำแคน คณะหมอลำของลงุ สะทำ้ นจะประกอบไปดว้ ย นำยคำจนั ทร์ คำจำปี เปน็ ผเู้ ล่นพณิ ในคณะและยังสำมำรถร้องหมอลำกลองได้อกี ด้วย และนำงแก้ว คำจำปี เป็นหมอลำกลอน ในคณะ ในวนั ทล่ี งพืน้ ท่ีไปทีบ่ ้ำนคณะหมอลำ แมแ่ ก้ว คำจำปผี ้รู ้องกลอนหมอลำไม่สบำย หวดั ลงคอ แตแ่ ม่แกว้ ก็ยังแสดงให้ดู รอ้ งให้ฟงั จนจบเพลง ขนำดเสียงแมแ่ ก้วปว่ ยยังร้องออกมำได้เพรำะ ฟงั แลว้ เพลดิ เพลนิ สนุกไปกับคณะ ถึงเร่ืองนจ้ี ะเป็นเพยี งหมอลำแคน คณุ ลุงสะทำ้ นบอกวำ่ จะมเี สียงแคนไมม่ ีคนร้องก็ไม่ได้ จะมเี สียง ร้องไมม่ ีเสียงแคน เสยี งพิณก็ไมไ่ ด้อีก คณะหมอลำจะขำดอะไรไปไมไ่ ดเ้ ลย เพรำะทกุ คนสำคญั เทำ่ กันหมด
ตวั อยา่ งกลอนลา ปำปอย่ำได้เวรต้องอย่ำใหม้ ี เขยไฮ ให้อ้ำยหย่อน กลอนลาผฟี ้าท่ใี ช้เชญิ เสดจ็ ผญาแถน ตอ่ ไปนี้ วำงให้แก่ขอ โฮงกวำ้ งซว่ งสำบำย “…สำธุถอ่ นขอพรอนุญำต แถนลือ ซ้ำแถนหลอ่ ขอหลำยให้อำ้ ยให้ แถนเฒำ่ พ่อพญำ ใหพ้ ่อเขำทอดด้ำม ให้ฮีบด่วน เชญิ พอ่ มำแต่ห้งิ ใหย้ อมำแต่หอไม้แกว้ ขอเถงิ แถนตื้อเฒ่ำ คำยแพงน้องตงั้ แตง่ ขอนำแถนท่อฟ้ำ ขนั แปดเทยี มนำ ขอนำอ้ำยจำปำซำย แพรวำน้องกะใส่ ซวนอ้ำยมำเลำะเลยี บหอ้ ง ประสงคซ์ อื้ ใส่คำย มีเทงิ ขนั หำ้ พรอ้ ม พอประมำณสี่บำท มีเทิงซน่ิ ใจอำ้ ยผู้ด่วนมำ ไขห่ น่วยละเบื้อง ใหไ้ ปเลำ่ เลียบไฮ่ เขำพันป๋ะ เงินคำได้ เขำฟนั ปล่อย น้องกะเฮ็ดใหไ้ ด้ นำนอ้ ยเจ้ำเฮ็ดกิน เซนิ เดออ้ำย ทำงใด๋บอกน้องแหน่ ใหไ้ ปเล่ำเลยี บนำ เลำะหว่ำงทงุ่ ออ้ งมอ้ ง คันแมน่ พข่ี ดั ข้อง คนงำมเอ๋ย…” (สำเรจ็ คำโมง. มปป. อ้ำงองิ ใน เอกสำรหมำยเลข 7 จำกกำรสมั มนำเพลงพ้ืนบำ้ นอสี ำน ณ มหำวิทยำลยั ศรนี ค รินทรวิโรฒมหำสำรคำม, 2524
ตวั อย่างกลอนหมอลาพน้ื กลอนลำ เรื่องสงั ข์สนิ ไซ (ตอนพระยำกุศรำชครองเมือง) ประพนั ธโ์ ดย รำตรี ศรวี ิไล (วำทลำสนิ ไซ-สลับลำพืน้ ) (บทท่ี 1) ฮมื บัดน.ี้ .. ขำ้ จกั นบนอบน้อม ถวำยบำทนำโถ องค์พทุ โธธมั โม และพระสังโฆพร้อม กำยวำจำใจนอ้ ม คุณครผู ู้สอนสง่ั ขอให้มำเลอ่ื มกั้ง บงั ข้ำบัดฮ่ำลำ (บทท่ี 1) ไหว้ทกุ ก้ำ ออ้ ปอ่ งของขลัง คณุ ณะอมจังงัง ใหเ้ ลอ่ื มงำนำยู้ ครอู ยู่ในบทเรื่อง โตแสดงครบคู่ ผองนักปรำชญผ์ ู้ฮู้ ใหซ้ คู ้ำซ่อยกนั (บทที่ 1) บัดนี้บั้น เปิดป่องฝักตูไข ลำนิทำนสินไซ ใหซ้ ดั เจนเห็นแจง้ กำรแสดงลำรอ้ ง ใหเ้ ห็นทำงแจ้งจำ่ งปำ่ ง พ้นุ เยอ้ ....... เปดิ ฝักตไู ขปอ่ งทำ้ ง ถำงหม้องปอ่ งสิลำ (บทที่ 1) บดั นจี้ กั กลำ่ วกำ้ เมืองใหญเ่ ปง็ จำล ตำมบทตอนนทิ ำน กลำ่ วมำจำเวำ้ ยงั มีเหนือหัวเหงำ้ ซื่อพระยำกุศรำช องค์พระบำทท่อนไท้ ครองสร้ำงนัง่ ปรำงค์ (บทท่ี 1) มเหสีเอกอ้ำง ซ่ือว่ำจนั ฑำ สว่ นนอ้ งสำวพระรำชำ ซื่อสุมณฑำน้อง บม่ ีแนวเคอื งข้อง หมองใจจักอยำ่ ง อยทู่ ำ่ งสขุ อยสู่ ร้ำง ปรำงค์กวำ้ งข่วงนคร (ลำพื้น)...
(ลำพน้ื ) จัง่ ควำมทุกข์ฮ้อน บ่เอ้ืออ่ำวหนหำ ปวงสนมเสนำ ซน่ื ซมแซซ้อง เม่ือน้นั เสยี งกลองฆ้อง มโหรีเสพแห่ เสียงลำร้อง สลับแคนแลนแตร่ แลนแตร่ตำลแุ ลนแลนแตร่แลนแตร่ เสียงกลองฆอ้ ง ดงั มำมอง ๆๆๆ มอง ๆๆๆมุ่งฮุ่ย เสยี งกลองฆ้อง ดงั มำมุ่งฮุ่ย ฟังเตำะเติ่นตุ้มกลองทุ้มกลอ่ มกัน ต้มึ ๆๆๆ ตึดต้ึม ๆๆๆ เสยี งกลองฆ้อง มโหรเี สพกล่อม คอยถนอมต่อมต้มุ ซมุ เซ้ืออยู่เยน็ (บทที่ 1) เวน้ วรรคไว้ ถำ้ ฟังใหม่กลอนสอง ยักษ์กุมภณั ฑ์หมำยปอง มง่ิ สุมณฑำแก้ว สิขอลำลงแล้ว บทกลอนโจะก่อน คอยเบิ่งตอนบัดหนำ้ ซิหนำกว้ำงกวำ่ หลงั ขอพักยัง้ ไวก้ ่อนบทตอน กลอนนิทำนสนิ ไซ ตอ่ ไปยังกว้ำง...
ตวั อย่างกลอนลา ลาทางสั้น ตวั อย่ำงกลอนลำทำงสั้น เดนิ ดงชมดอก ของผ้ชู ำยลำ ตอ่ ไปน้ี ชอื่ กลอนลำ : เดินดงชมดอก ชำย ชอ่ื ผู้แต่ง : รำตรี ศรวี ิไล ทำนอง : ลำทำงส้ัน (บท 1) พอครำวแลว้ ๆ สิเดินดงลัดไล่ เลำะเลียบไพรซิได้นับดอกไม้ ๆ ใบต้นอย่ปู น (บท 2) เลำะเลยี บตน้ ชมดอกดวนดก มที ง้ั บกแจมจกิ จีกจแี จมจี้ (บท 3) มที ั้งจำปีพรอ้ มซอมดอกจำปำ สดี ำแกมจำปีหมี่มุยแกมม้ี มีมนั ตน้ ซมโดนดอกหล่น กะโดนแกมดอกเปำ้ กะเบำซ้อน ปง่ ซอน ๆ (บท 4) ดอกกะเบำมนั มำเกดิ ซ้อน ซอนหมตู่ ูมตงั ตำมน้นั แหลว่ ตำมสะพังน้ลี ะแม่นวังหนอง ๆ แบ่งบำนตำมกำ้ น มีบำนตำมต้นปนกนั ถันถ่ี มปี ลิ ดิ อกแห้งแมลงไม้ไตต่ อม (บท 5)...
(บท 5) ลมพัดพร้อมไกวกิ่งแกมกัน กกโกแกมกกกุงกำ่ มกวมกมุ เก้ียว เหลยี วไปหน้ำสำขำหลำยสำ่ เลำะไปนำเลยี บจำ้ ยสำยห้วยป่ำดอน (บทลง) สีนำนวลแคนซ่วนไวก้ อ่ นท่อน้ีน่ำ… (รำตรี ศรวี ไิ ล, 2518)
ตวั อย่าง กลอนหมอลาหมู่ ตัวอย่ำงจำกกลอนลำเร่ืองต่อกลอน : จำกเร่ืองท้ำวธนูขรรค์ นำงปีศำจกลำ่ ว : โอพ้ ี่เอย น้องหำกลแุ ต่ก้ำหนแหง่ หิมพำนต์ เพอ่ื ว่ำ ใจประสงค์หำคคู่ รองเทียมซอ้ น จ่ังใด สญั จรด้นั มำเถิงพระพ่ภี ำยพ้ี เพรำะเพื่อ คิดอยำกไดช้ ำยซอ้ นจึ่งไดม้ ำ พี่เอย๋ นำงหำก ผหี ลกั เมอื งกลำ่ ว: นอ้ งสิ มีประสงค์ดว้ ยหำชำยซอ้ นบ่อน พ่กี ็ เอำคซู่ อ้ นเทยี มเจำ้ ผู้จัง่ ใด๋ บ่มเี มยี ซ้อนเทียมสองจกั เท่ือ เจ้ำสิ บอ่ ยำกได้ไปซ้อนกลอ่ มสอง แน่บ้อ (อุดม บัวศรี, 2546)
ภาคผนวก - ประวตั ิผจู้ ัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา - ภาพประกอบ
ประวตั ิผูถ้ า่ ยทอดภูมิปัญญา ช่ือ: นายสะท้าน พาภักดี เกดิ : - - ปี 2493 อายุ 69 ปี ภมู ลิ าเนา : ตาบลโคกกุง อาเภอหนองบวั ลาภู จังหวัดอุดรธานี ทอ่ี ยู่ปจั จบุ นั : บ้านเลขท่ี 308/1 หมู่ 7 ตาบลวังน้าเยน็ อาเภอวงั นา้ เย็น จังหวดั สระแกว้ สถานภาพ: สมรส กบั นายบญุ ชู กว้างขวาง มบี ตุ รดว้ ยกนั จานวน ๓ คน ดังน้ี ๑. นางสาวมณรี ตั น์ พาภกั ดี ๒. นายนายมานัส พาภกั ดี ๓. นายจารสั พาภกั ดี มหี ลานท้ังหมด 5 คน การศกึ ษา: ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ โรงเรียนประจาหมบู่ า้ นโคกกงุ ตาบลบา้ นขาม จงั หวดั อุดรธานี ปัจจบุ ัน ประกอบอาชพี : รับจา้ งทานา ประวัติผู้เรียบเรียงภูมปิ ัญญาศกึ ษา ชือ่ : นางสาวพัทธนนั ท์ โกมลวาณชิ ย์ เกิด : 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 อายุ 29 ปี ภมู ิลาเนา : ตาบลบ้านแกง่ อาเภอเมอื ง จังหวัดนครสวรรค์ จงั หวดั นครสวรรค์ 60000 ทีอ่ ยปู่ ัจจบุ นั : 665 หมู่2 ตาบลวงั น้าเยน็ อาเภอวังน้าเยน็ จังหวดั สระแกว้ 27210 สถานภาพ : โสด การศกึ ษา : ปริญญาตรี คณะครศุ าสตรบณั ฑติ การศกึ ษาปฐมวยั ปัจจบุ ันประกอบอาชพี : ผูด้ ูแลเด็ก ศนู ย์พฒั นาเดก็ เลก็ เทศบาลเมืองวังนา้ เยน็ 1 สงั กัดเทศบาลเมอื งวังน้าเยน็
ภาพประกอบการจัดทาภูมิปญั ญาศกึ ษา เรื่อง หมอลาแคน
การพบนักเรียนผ้สู ูงอายุครั้งแรก กำรพบนักเรยี นผสู้ ูงอำยุครงั้ แรก เริ่มสมั ภำษณ์ภูมปิ ัญญำศึกษำ ณ ศนู ย์พฒั นำเด็กเลก็ เทศบำลเมืองวงั น้ำเย็น 1
ภำพกำรสมั ภำษณล์ ุงสะท้ำน พำภักดี ภำพ กำรแสดงหมอลำแคน ของ ลงุ สะทำ้ น พำภกั ดี
ภำพ กำรเก็บรวบรวมข้อมูลและกำรสัมภำษณ์ ภำพ กำรแสดงหมอลำแคนเป็นคณะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: