ภมู ปิ ญั ญาศกึ ษา เร่อื ง การปลกู พืชผกั สวนครัว โดย 1. นายหลอด สูหญา้ นาง (ผถู้ า่ ยทอดภมู ปิ ัญญา) 2. นางสาวสธุ าสินี วุฒริ ตั น์ (ผเู้ รยี บเรียงภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่ิน) เอกสารภูมิปัญญาศกึ ษานี้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของการศกึ ษา ตามหลักสูตรโรงเรยี นผู้สงู อายุเทศบาลเมอื งวังน้าเย็น ประจ้าปกี ารศกึ ษา 2561 โรงเรยี นผสู้ งู อายเุ ทศบาลเมืองวังนา้ เย็น สงั กัดเทศบาลเมืองวังน้าเยน็ จงั หวดั สระแก้ว
คา้ นา้ ภูมิปัญญาชาวบ้านของคนไทยเราน้ันมีอยู่จานวนมาก ล้วนแต่มีคุณค่าและมีประโยชน์ เป็นการบอก เล่าถึงวัฒนธรรมไทยได้เปน็ อย่างดี แต่ปัจจุบันภูมิปัญญาเหล่านั้น กาลังสูญหายไปพร้อม ๆ กับชีวิตของคน ซ่ึง ดับสูญไปตามกาลเวลา เทศบาลเมืองวังน้าเย็นได้เล็งเห็นคุณค่าและความสาคัญในเร่ืองดังกล่าว จึงจัดต้ัง โรงเรียนผู้สูงอายุข้ึน เพ่ือให้ผู้สูงอายุในเขตตาบลวังน้าเย็นได้มารวมตัวกัน เพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้ ซ่ึงกันและ กัน กอ่ นจบการศกึ ษา นกั เรียนผูส้ ูงอายุทกุ คนต้องจดั ทาภมู ปิ ัญญาศกึ ษาคนละ 1 เร่อื ง เพือ่ เกบ็ ไวใ้ ห้อนุชนรุ่น หลังได้ศกึ ษา เปน็ การสืบทอด มใิ หภ้ ูมิปัญญาสูญไป ภูมิปัญญาฉบับน้ีสาเร็จได้ เพราะรับความกรุณาและการสนับสนุน จากท่านท้ังหลายเหล่านี้ ได้แก่ นางสาว สธุ าสนิ ี วฒุ ริ ตั น์ ซึง่ เป็นพเี่ ล้ียงให้คาปรึกษา แนะนาในการจัดทาภูมปิ ัญญา ได้ให้ความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ในชว่ งเวลาทเ่ี รยี นอยเู่ ป็นเวลา 2 ปี คณะกรรมการบริหารโรงเรียนผู้สงู อายุ เจ้าหน้าท่ีกองสาธารณสุขและ สิ่งแวดลอ้ มเทศบาลเมืองวงั น้าเย็นทุกท่าน ทใ่ี หก้ ารดูแลและช่วยเหลือตลอดมา และท่สี าคัญไดแ้ ก่ ท่านนายวัน ชัย นารีรักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองวงั นา้ เย็น และ นายคนองพล เพ็ชรรื่น ปลัดเทศบาลเมืองวงั น้าเย็น ซ่งึ เป็น ผกู้ ่อตัง้ โรงเรียนผู้สงู อายุ และให้การสนับสนนุ ดแู ลนักเรยี นผู้สงู อายุเปน็ อยา่ งดี ขอขอบคุณทกุ ทา่ นไว้ ณ โอกาสนี้ หลอด สหู ญา้ นาง สธุ าสินี วฒุ ริ ตั น์ ผจู้ ัดทา
ที่มาและความส้าคญั ของภมู ิปัญญาศกึ ษา จากพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช ทีว่ ่า “ประชาชนนน่ั แหละ ท่เี ขามีความรู้เขาทางานมาหลายชว่ั อายุคน เขาทากันอยา่ งไร เขามคี วามเฉลียวฉลาด เขารู้วา่ ตรงไหน ควรทากสิกรรม เขาร้วู ่าตรงไหนควรเก็บรักษาไว้ แตท่ ่เี สียไปเพราะพวกไม่รูเ้ ร่ือง ไม่ไดท้ ามานานแล้ว ทาให้ ลืมว่าชีวิตมันเป็นไปโดยการกระทาที่ถูกต้องหรือไม่” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา- ภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทีส่ ะทอ้ นถึงพระปรีชาสามารถในการรบั รแู้ ละความเข้าใจหยั่งลึก ทีท่ รงเหน็ คุณค่าของ ภมู ปิ ัญญาไทยอยา่ งแท้จรงิ พระองคท์ รงตระหนกั เปน็ อยา่ งย่งิ วา่ ภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ เป็นส่ิงทชี่ าวบา้ น มีอยู่แล้ว ใช้ประโยชน์เพ่ือความอยู่รอดกันมายาวนาน ความสาคัญของภูมิปญั ญาท้องถ่ิน ซึ่งความรู้ที่ส่งั สม จากการปฏิบัติจริงในห้องทดลองทางสังคม เป็นความรู้ดั้งเดิมท่ีถูกค้นพบ มีการทดลองใช้ แก้ไข ดัดแปลง จนเป็นองคค์ วามรูท้ ส่ี ามารถแกป้ ัญหาในการดาเนินชวี ิตและถ่ายทอดสบื ต่อกนั มา ภูมิปัญญาท้องถนิ่ เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาที่คนไทยทุกคนควรรู้ ควรศึกษา ปรับปรุง และพัฒนาให้สามารถนาภูมิปัญญาท้องถน่ิ เหล่านน้ั มาแกไ้ ขปัญหาใหส้ อดคล้องกบั บรบิ ททางสงั คม วัฒนธรรมของกลมุ่ ชุมชนนนั้ ๆ อย่างแท้จริง การพัฒนาภูมิปัญญาศึกษานับเป็นส่ิงสาคัญต่อบทบาทของชุมชนท้องถ่ินที่ได้พยายาม สร้างสรรค์ เป็นนา้ พกั น้าแรงรว่ มกันของผสู้ ูงอายแุ ละคนในชุมชนจนกลายเปน็ เอกลักษณแ์ ละวฒั นธรรม ประจาถน่ิ ที่เหมาะต่อการดาเนินชวี ิต หรอื ภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นน้นั ๆ แต่ภมู ปิ ัญญาท้องถิน่ ส่วนใหญ่เป็น ความรู้ หรือเป็นสิ่งที่ได้มาจากประสบการณ์ หรือเป็นความเชื่อสืบต่อกันมา แต่ยังขาดองค์ความรู้ หรือขาด หลักฐานยนื ยันหนักแนน่ การสร้างการยอมรับทีเ่ กดิ จากฐานภูมปิ ัญญาท้องถ่ินจงึ เป็นไปไดย้ าก ดังน้ัน เพ่ือให้เกิดการส่งเสริมพัฒนาภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น กระตุ้นเกิดความ ภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของบุคคลในท้องถ่ิน ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย เกิดการถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่ คนรุ่นหลัง โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น ได้ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนเพ่ือ พฒั นาศักยภาพผู้สูงอายุในท้องถน่ิ ทเี่ นน้ ให้ผสู้ งู อายุได้พฒั นาตนเองให้มคี วามพร้อมสู่สังคมผสู้ ูงอายุที่มคี ุณภาพ ในอนาคต รวมทั้งสืบทอดภูมิปัญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผู้สูงอายุท่ีได้ส่ังสมมา เกิดจากการสืบทอด ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู้สูงอายุจะเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ และมีครูพ่ีเลี้ยงซึ่งเป็นคณะครู ของโรงเรยี นในสังกดั เทศบาลเมอื งวงั น้าเยน็ เป็นผเู้ รยี บเรยี งองค์ความรู้ไปสู่การจัดทาภูมปิ ัญญาศึกษา ให้ปรากฏออกมาเป็นรูปเล่มภูมิปัญญาศึกษา ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียน ผู้สูงอายุ ประจาปีการศึกษา 2560 พร้อมทั้งเผยแพร่และจัดเก็บคลังภูมิปัญญาไว้ในห้องสมุดของโรงเรียน เทศบาลมิตรสัมพันธว์ ิทยา เพือ่ ให้ภมู ิปัญญาท้องถ่นิ เหล่านเี้ กดิ การถา่ ยทอดสูค่ นรนุ่ หลงั สืบตอ่ ไป จากความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่มีส่วนร่วมในการผสมผสาน องค์ความรู้ เพื่อยกระดับความรู้ของภูมิปัญญาน้ัน ๆ เพ่ือนาไปสู่การประยุกต์ใช้ และผสมผสานเทคโนโลยี ใหม่ ๆ ให้สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนาภูมิปัญญาไทยกลับสู่การศึกษา สามารถส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาในโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ์วิทยา และโรงเรียนในสังกัด เทศบาลเมืองวังน้าเยน็ เกิดการมีส่วนร่วมในกระบวนการถ่ายทอด เชื่อมโยงความรู้ให้กับนักเรยี นและบุคคล ท่ัวไปในทอ้ งถิ่น โดยการนาบคุ ลากรท่ีมีความรคู้ วามสามารถในทอ้ งถิ่นเข้ามาเปน็ วิทยากรให้ความรู้ กับนักเรียนในโอกาสต่าง ๆ หรือการที่โรงเรียนนาองค์ความรู้ในท้องถ่ิน เข้ามาสอนสอดแทรกในกระบวนการ จดั การเรียนรู้ สิ่งเหลา่ นีท้ าใหก้ ารพัฒนาภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ นาไปสู่การสบื ทอดภูมิปญั ญาศกึ ษา
เกิดความสาเร็จอย่างเป็นรูปธรรม นักเรียนผู้สูงอายุเกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของตนที่ได้ถ่ายทอดสู่คน รุ่นหลังให้คงอยู่ในท้องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตประจาท้องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตคู่ แผน่ ดินไทยตราบนานเทา่ นาน นิยามค้าศัพท์ในการจัดท้าภูมปิ ญั ญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองที่ผู้สูงอายุเชี่ยวชาญที่สุด ของ ผู้สูงอายทุ ี่เข้าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผสู้ ูงอายุเทศบาลเมืองวงั น้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิปัญญา ในรูปแบบต่าง ๆ มีการสืบทอดภูมิปัญญาโดยการปฏิบัติและการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษรตามรูปแบบที่ โรงเรยี นผสู้ ูงอายกุ าหนดขนึ้ ใชเ้ ปน็ สว่ นหนึ่งในการจบหลกั สูตรการศึกษา เพอ่ื ให้ภูมปิ ัญญาของผสู้ งู อายุได้รับ การถ่ายทอดส่คู นรนุ่ หลังและคงอยู่ในทอ้ งถน่ิ ต่อไป ซ่งึ แบ่งภมู ิปัญญาศึกษาออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ 1. ภมู ิปญั ญาศกึ ษาทผ่ี สู้ ูงอายุเปน็ ผูค้ ดิ คน้ ภูมิปญั ญาในการดาเนินชีวติ ในเร่อื งท่ีเช่ียวชาญทสี่ ุด ดว้ ยตนเอง 2. ภูมิปัญญาศึกษาที่ผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต์ใช้ในการดาเนิน ชวี ิตจนเกิดความเชย่ี วชาญ 3. ภูมิปัญญาศึกษาท่ีผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช้ในการดาเนินชีวิตโดย ไม่มกี ารเปลย่ี นแปลงไปจากเดิมจนเกดิ ความเชีย่ วชาญ ผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญา หมายถึง ผู้สูงอายุที่เข้าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็น เป็นผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีตนเองเชี่ยวชาญมากที่สุด นามาถ่ายทอดให้แก่ผู้ เรยี บเรยี งภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ ไดจ้ ดั ทาขอ้ มูลเป็นรปู เล่มภมู ปิ ัญญาศกึ ษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถ่ิน หมายถึง ผู้ที่นาภูมิปัญญาในการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีผู้สูงอายุ เชี่ยวชาญที่สุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษร ศึกษาหาข้อมูลเพ่ิมเติมจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรปู เลม่ ใชช้ ่อื ว่า “ภูมิปัญญาศึกษา”ตามรปู แบบที่โรงเรียนผูส้ งู อายุเทศบาลเมืองวังนา้ เย็นกาหนด ครูท่ีปรึกษา หมายถึง ผู้ท่ีปฏิบัติหน้าท่ีเป็นครูพ่ีเลี้ยง เป็นผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถ่ิน ปฏิบัติ หน้าที่เป็นผู้ประเมินผล เป็นผู้รับรองภูมิปัญญาศึกษา รวมท้ังเป็นผู้นาภูมิปัญญาศึกษาเข้ามาสอนในโรงเรียน โดยบูรณาการการจัดการเรียนรตู้ ามหลกั สูตรทอ้ งถน่ิ ท่ีโรงเรยี นจดั ทาขนึ้
ภูมิปญั ญาศึกษาเช่อื มโยงสู่สารานกุ รมไทยส้าหรบั เยาวชนฯ 1. ลักษณะของภูมปิ ัญญาไทย ลกั ษณะของภูมปิ ัญญาไทย มีดงั น้ี 1. ภูมปิ ัญญาไทยมลี กั ษณะเป็นทัง้ ความรู้ ทักษะ ความเช่ือ และพฤติกรรม 2. ภมู ปิ ัญญาไทยแสดงถงึ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งคนกบั คน คนกบั ธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และคนกบั สงิ่ เหนือธรรมชาติ 3. ภมู ปิ ัญญาไทยเปน็ องคร์ วมหรือกิจกรรมทุกอยา่ งในวถิ ีชีวิตของคน 4. ภูมปิ ญั ญาไทยเป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรบั ตวั และการเรยี นรู้ เพอื่ ความอยรู่ อดของบุคคล ชมุ ชน และสังคม 5. ภูมปิ ัญญาไทยเป็นพ้ืนฐานสาคญั ในการมองชีวิต เป็นพนื้ ฐานความรใู้ นเรื่องต่างๆ 6. ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะเฉพาะ หรือมเี อกลกั ษณใ์ นตวั เอง 7. ภมู ปิ ัญญาไทยมกี ารเปลี่ยนแปลงเพ่ือการปรบั สมดุลในพัฒนาการทางสังคม 2. คุณสมบตั ิของภูมิปญั ญาไทย ผู้ทรงภมู ิปัญญาไทยเป็นผมู้ คี ุณสมบัตติ ามทก่ี าหนดไว้ อยา่ งน้อยดังต่อไปนี้ 1. เป็นคนดมี ีคณุ ธรรม มีความรู้ความสามารถในวชิ าชพี ต่างๆ มีผลงานด้านการพัฒนาท้องถ่ิน ของตน และได้รับการยอมรับจากบุคคลทัว่ ไปอย่างกวา้ งขวาง ทั้งยังเปน็ ผูท้ ่ใี ช้หลักธรรมคาสอนทางศาสนาของ ตนเปน็ เคร่ืองยดึ เหนีย่ วในการดารงวถิ ีชวี ติ โดยตลอด 2. เป็นผู้คงแก่เรียนและหม่ันศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ผู้ทรงภูมิปัญญาจะเป็นผู้ท่ีหมั่นศึกษา แสวงหาความรู้เพ่ิมเติมอยู่เสมอไม่หยุดน่ิง เรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผู้ลงมือทา โดยทดลองทา ตามที่เรียนมา อีกท้ังลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผู้รู้อื่นๆ จนประสบความสาเร็จ เป็นผู้เช่ียวชาญ ซ่ึงโดด เด่นเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละด้านอย่างชัดเจน เป็นที่ยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู้ใหม่ๆ ที่เหมาะสม นามา ปรบั ปรุงรับใช้ชมุ ชน และสังคมอยูเ่ สมอ 3. เป็นผู้นาของท้องถ่ิน ผู้ทรงภูมิปัญญาส่วนใหญ่จะเป็นผทู้ ่ีสังคม ในแต่ละท้องถ่ินยอมรับให้ เป็นผู้นา ท้ังผู้นาที่ได้รับการแต่งต้ังจากทางราชการ และผู้นาตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถเป็นผู้นาของท้องถิ่น และช่วยเหลอื ผูอ้ ืน่ ได้เป็นอย่างดี 4. เปน็ ผ้ทู ่สี นใจปญั หาของทอ้ งถิ่น ผูท้ รงภมู ปิ ญั ญาลว้ นเปน็ ผู้ทส่ี นใจปญั หาของท้องถ่ิน เอาใจ ใส่ ศึกษาปัญหา หาทางแก้ไข และช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล้เคียงอย่างไม่ย่อท้อ จน ประสบความสาเรจ็ เป็นทย่ี อมรบั ของสมาชกิ และบคุ คลท่วั ไป 5. เป็นผูข้ ยันหมั่นเพยี ร ผ้ทู รงภูมิปญั ญาเป็นผ้ขู ยันหมัน่ เพียร ลงมอื ทางานและผลิตผลงานอยู่ เสมอ ปรบั ปรงุ และพฒั นาผลงานใหม้ คี ุณภาพมากขึ้นอกี ทง้ั มุ่งทางานของตนอย่างต่อเน่ือง 6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชน์ของท้องถิ่น ผู้ทรงภูมิปัญญา นอกจากเป็นผู้ท่ี ประพฤติตนเปน็ คนดี จนเป็นท่ยี อมรับนับถอื จากบุคคลท่ัวไปแล้ว ผลงานที่ทา่ นทายังถอื ว่ามีคุณค่า จึงเปน็ ผูท้ ่ีมี ท้ัง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผู้ประสานประโยชนใ์ ห้บคุ คลเกิดความรัก ความเข้าใจ ความเห็น ใจ และมีความสามคั คกี นั ซงึ่ จะทาให้ทอ้ งถน่ิ หรอื สังคม มีความเจริญ มคี ุณภาพชีวติ สูงข้นึ กว่าเดิม
7. มีความสามารถในการถา่ ยทอดความรู้เป็นเลิศ เม่ือผทู้ รงภูมปิ ญั ญามคี วามรู้ความสามารถ และประสบการณ์เป็นเลิศ มผี ลงานทเี่ ปน็ ประโยชนต์ ่อผู้อนื่ และบุคคลท่ัวไป ท้งั ชาวบ้าน นกั วิชาการ นกั เรียน นสิ ิต/นักศึกษา โดยอาจเข้าไปศกึ ษาหาความรู้ หรือเชิญท่านเหล่าน้นั ไป เป็นผถู้ า่ ยทอดความรูไ้ ด้ 8. เป็นผู้มีคู่ครองหรือบริวารดี ผู้ทรงภูมิปัญญา ถ้าเป็นคฤหัสถ์ จะพบว่า ล้วนมีคู่ครองที่ดีท่ี คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้กาลังใจ ให้ความร่วมมือในงานที่ท่านทา ช่วยให้ผลิตผลงานท่ีมีคุณค่า ถ้าเป็น นกั บวช ไมว่ า่ จะเปน็ ศาสนาใด ตอ้ งมีบริวารท่ดี ี จงึ จะสามารถผลิตผลงานที่มคี ุณค่าทางศาสนาได้ 9. เป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเชี่ยวชาญจนไดร้ บั การยกย่องว่าเปน็ ปราชญ์ ผทู้ รงภูมปิ ญั ญา ตอ้ ง เป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเช่ียวชาญ รวมทั้งสร้างสรรค์ผลงานพิเศษใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและ มนษุ ยชาติอย่างตอ่ เนอ่ื งอยู่เสมอ 3. การจดั แบ่งสาขาภมู ิปัญญาไทย จากการศึกษาพบว่า มีการกาหนดสาขาภูมปิ ญั ญาไทยไว้อย่างหลากหลาย ขนึ้ อยกู่ ับวตั ถุประสงค์ และ หลักเกณฑ์ต่างๆ ท่ีหน่วยงาน องค์กร และนักวิชาการแต่ละท่านนามากาหนด ในภาพรวมภูมิปัญญาไทย สามารถแบง่ ได้เปน็ 10 สาขา ดงั นี้ 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และ เทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพ้ืนฐานคุณค่าดั้งเดิม ซ่ึงคนสามารถพึ่งพาตนเองใน ภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไร่นาสวนผสม และ สวนผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิต การแก้ไขปัญหาโรคและ แมลง และการรู้จักปรับใช้เทคโนโลยที ี่เหมาะสมกบั การเกษตร เปน็ ตน้ 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ใน การแปรรปู ผลติ ผล เพื่อชะลอการนาเขา้ ตลาด เพอ่ื แกป้ ัญหาด้านการบริโภคอยา่ งปลอดภัย ประหยดั และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการที่ทาให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพ่ึงพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดท้ังการผลิต และ การจาหนา่ ย ผลิตผลทางหัตถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของกลุม่ โรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุม่ หตั ถกรรม เป็น ตน้ 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษา สุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเอง ทางด้านสุขภาพ และอนามัยได้ เช่น การนวด แผนโบราณ การดแู ลและรกั ษาสขุ ภาพแบบพ้นื บ้าน การดแู ลและรักษาสุขภาพแผนโบราณไทย เป็นตน้ 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับ การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม ทัง้ การอนุรกั ษ์ การพฒั นา และการใช้ประโยชนจ์ ากคณุ ค่าของ ทรพั ยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม อยา่ งสมดลุ และยง่ั ยืน เชน่ การทาแนวปะการงั เทยี ม การอนรุ ักษ์ปา่ ชาย เลน การจัดการป่าต้นนา้ และป่าชุมชน เปน็ ต้น 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการ สะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ท้ังที่เป็นเงินตรา และโภคทรัพย์ เพ่ือส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ ของสมาชกิ ในชมุ ชน เชน่ การจดั การเร่อื งกองทนุ ของชมุ ชน ในรูปของสหกรณ์ออมทรพั ย์ และธนาคารหมู่บ้าน เป็นตน้ 6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เช่น การจัดต้ังกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล ของชุมชน การจดั ระบบสวสั ดิการบรกิ ารในชุมชน การจัดระบบส่งิ แวดลอ้ มในชุมชน เป็นต้น
7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศลิ ป์ ศิลปะมวยไทย เปน็ ตน้ 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค์กรชุมชนต่างๆ ให้สามารถพัฒนา และบริหารองค์กรของตนเองได้ ตามบทบาท และหน้าท่ีขององค์การ เชน่ การจดั การองคก์ รของกลมุ่ แม่บา้ น กล่มุ ออมทรัพย์ กลุ่มประมงพ้นื บา้ น เปน็ ตน้ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถงึ ความสามารถผลติ ผลงานเก่ียวกบั ด้านภาษา ท้ังภาษาถ่ิน ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษา ตลอดทั้งด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทา สารานกุ รมภาษาถน่ิ การปรวิ รรต หนังสือโบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถิน่ ของท้องถิ่นต่าง ๆ เปน็ ตน้ 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเช่อื และประเพณีดง้ั เดิมที่มีคุณค่าให้เหมาะสมต่อการประพฤตปิ ฏบิ ัติ ใหบ้ ังเกิดผลดีต่อ บุคคล และส่ิงแวดล้อม เช่น การถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาไทยภูมิ- ปญั ญาไทยสามารถสะทอ้ นออกมาใน 3 ลกั ษณะทส่ี มั พนั ธ์ใกล้ชิดกัน คอื 10.1 ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันระหว่างคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช และ ธรรมชาติ 10.2 ความสมั พันธ์ของคนกับคนอ่ืนๆ ทอ่ี ยูร่ ่วมกนั ในสงั คม หรือในชุมชน 10.3 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์สิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งสิ่งท่ีไม่ สามารถสัมผัสได้ท้ังหลาย ท้ัง 3 ลักษณะน้ี คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท้อนออก มาถงึ ภูมปิ ัญญาในการดาเนินชีวิตอย่างมีเอกภาพ เหมือนสามมมุ ของรูปสามเหล่ียม ภูมปิ ัญญา จงึ เปน็ รากฐาน ในการดาเนินชวี ิตของคนไทย ซงึ่ สามารถแสดงใหเ้ ห็นได้อย่างชดั เจนโดยแผนภาพ ดงั น้ี ลักษณะภูมิปัญญาที่เกิดจากความสัมพันธ์ ระหว่างคนกับธรรมชาติส่ิงแวดล้อม จะแสดงออกมา ในลักษณะภูมิปัญญาในการดาเนินวิถีชีวิตข้ันพ้ืนฐาน ด้านปัจจัยส่ี ซึ่งประกอบด้วย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่ี อยู่อาศัย และยารักษาโรค ตลอดทั้งการประกอบ อ า ชี พ ต่ า ง ๆ เ ป็ น ต้ น ภู มิ ปั ญ ญ า ท่ี เ กิ ด จ า ก ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนอ่ืนในสังคม จะแสดง ออกมาในลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และนันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอด ท้งั การสอื่ สารต่างๆ เป็นต้น ภูมิปัญญาที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักด์ิสิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลกั ษณะของส่ิงศกั ด์สิ ิทธิ์ ศาสนา ความเชือ่ ต่างๆ เป็นต้น 4. คุณคา่ และความส้าคัญของภูมิปัญญาไทย คุณค่าของภูมิปัญญาไทย ได้แก่ ประโยชน์ และความสาคัญของภูมิปัญญา ที่บรรพบุรุษไทย ได้ สร้างสรรค์ และสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง จากอดีตสู่ปัจจุบัน ทาให้คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ
ท่ีจะร่วมแรงร่วมใจสืบสานต่อไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ประเพณีไทย การมี น้าใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นต้น ภูมปิ ญั ญาไทยจงึ มีคณุ คา่ และความสาคัญดังนี้ 1. ภมู ิปญั ญาไทยชว่ ยสร้างชาตใิ หเ้ ปน็ ปกึ แผน่ พระมหากษัตริย์ไทยได้ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ ประเทศชาติมาโดยตลอด ต้ังแต่สมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชน ด้วยพระ เมตตา แบบพ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบความเดือดร้อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร้อน เพ่ือขอรับ พระราชทานความช่วยเหลือ ทาให้ประชาชนมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ ต่อประเทศชาติร่วมกันสร้าง บ้านเรอื นจนเจรญิ รุ่งเรืองเป็นปึกแผน่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใชภ้ ูมิปญั ญากระทายุทธหัตถี จนชนะขา้ ศึกศัตรูและ ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบั น พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้ พระปรีชาสามารถ แก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ้นภัยพิบัติหลายครง้ั พระองค์ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด้าน แม้แต่ด้านการเกษตร พระองค์ได้พระราชทานทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนิกร ทั้ง ด้านการเกษตรแบบสมดุลและย่ังยืน ฟ้ืนฟูสภาพแวดล้อม นาความสงบร่มเย็นของประชาชนให้กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎีใหม่\" แบง่ ออกเป็น 2 ข้ัน โดยเรม่ิ จาก ขน้ั ตอนแรก ให้เกษตรกรรายย่อย \"มพี ออยู่พอ กิน\" เป็นขั้นพ้ืนฐาน โดยการพัฒนาแหล่งน้า ในไร่นา ซึ่งเกษตรกรจาเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจาก หนว่ ยราชการ มูลนิธิ และหนว่ ยงานเอกชน ร่วมใจกนั พัฒนาสังคมไทย ในขัน้ ที่สอง เกษตรกรต้องมีความเข้าใจ ในการจัดการในไร่นาของตน และมีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ เพื่อสร้างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจ่ายด้านความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค์กรเอกชน เม่ือกลุ่มเกษตร วิวัฒน์มาข้ันท่ี 2 แล้ว ก็จะมีศักยภาพ ในการพัฒนาไปสขู่ ้ันท่ีสาม ซ่ึงจะมีอานาจในการต่อรองผลประโยชน์กบั สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค์กรที่เป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการผลิต โดยมีการ แปรรปู ผลิตผล เช่น โรงสี เพ่อื เพมิ่ มูลค่าผลิตผล และขณะเดียวกนั มีการจัดตงั้ รา้ นค้าสหกรณ์ เพอ่ื ลดค่าใช้จ่าย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได้ว่า มิได้ทรงทอดทิ้งหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดต้ังสหกรณ์ ซ่ึงทรงสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรสร้างอานาจต่อรองในระบบ เศรษฐกิจ จึงจะมีคุณภาพชีวิตท่ีดี จึงจัดได้ว่า เป็นสังคมเกษตรที่พัฒนาแล้ว สมดังพระราชประสงค์ที่ทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ัญญา ในการพัฒนาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ 2. สร้างความภาคภมู ใิ จ และศักดศิ์ รี เกยี รตภิ ูมิแกค่ นไทย คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์มีมาก เป็นที่ยอมรับของนานา อารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเป็นนักมวยไทย ที่มีฝีมือเก่งในการใช้อวัยวะทุกส่วน ทุกท่าของแม่ไม้มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพม่าได้ถึงเก้าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม้ในปัจจุบัน มวยไทยก็ยังถือว่า เป็น ศิลปะชั้นเย่ียม เป็นที่ นิยมฝึกและแข่งขันในหมู่คนไทยและชาวต่าง ประเทศ ปัจจุบันมีค่ายมวยไทยทั่วโลกไม่ ตา่ กว่า 30,000 แหง่ ชาวตา่ งประเทศท่ไี ด้ฝึกมวยไทย จะรสู้ ึกยินดแี ละภาคภูมิใจ ในการท่จี ะใชก้ ติกา ของมวย ไทย เช่น การไหว้ครูมวยไทย การออก คาส่ังในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เช่น คาว่า \"ชก\" \"นับหน่ึงถึงสิบ\" เป็นต้น ถือเป็นมรดก ภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้ ภูมิปัญญาไทยท่ีโดด เด่นยังมีอีกมากมาย เช่น มรดกภูมิ ปัญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาต้ังแต่สมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการ
มาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถือว่า เป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทุกด้าน วรรณกรรม หลายเรอื่ งไดร้ บั การแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา ดา้ นอาหาร อาหารไทยเปน็ อาหารท่ปี รุงง่าย พชื ท่ี ใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร ที่หาได้ง่ายในท้องถ่ิน และราคาถูก มี คุณค่าทางโภชนาการ และ ยังป้องกันโรคได้หลายโรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ใบ มะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นตน้ 3. สามารถปรบั ประยุกตห์ ลักธรรมคาสอนทางศาสนาใช้กับวิถชี วี ติ ไดอ้ ย่างเหมาะสม คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช้ในวิถชี วี ิต ได้อย่างเหมาะสม ทาให้คนไทยเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ อดทน ให้อภยั แก่ผ้สู านึกผดิ ดารงวถิ ีชวี ิตอย่างเรียบง่าย ปกตสิ ขุ ทาใหค้ นในชุมชนพึ่งพากันได้ แมจ้ ะอดอยาก เพราะ แห้งแล้ง แต่ไม่มีใครอดตาย เพราะพ่ึงพาอาศัย กัน แบ่งปันกันแบบ \"พริกบ้านเหนือเกลือบ้านใต้\" เป็น ต้น ทงั้ หมดนส้ี บื เนอ่ื งมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เปน็ การใช้ภมู ิปญั ญา ในการนาเอาหลักขอ พระพุทธศาสนามา ประยกุ ต์ใช้กับชีวิตประจาวัน และดาเนนิ กุศโลบาย ด้านตา่ งประเทศ จนทาใหช้ าวพุทธท่ัว โลกยกย่อง ให้ประเทศไทยเป็นผู้นาทางพุทธศาสนา และเป็น ท่ีต้ังสานักงานใหญ่องค์การพุทธศาสนิกสัมพนั ธ์ แห่งโลก (พสล.) อยู่เย้ืองๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักด์ิ องคมนตรี) ดารงตาแหน่งประธาน พสล. ตอ่ จาก ม.จ.หญงิ พนู พิศมยั ดิศกลุ 4. สร้างความสมดลุ ระหวา่ งคนในสงั คม และธรรมชาติได้อย่างย่ังยืน ภูมิปัญญาไทยมีความเด่นชัดในเร่ืองของการยอมรับนับถือ และให้ความสาคัญแก่คน สังคม และธรรมชาติอยา่ งยง่ิ มีเครอ่ื งชีท้ ีแ่ สดงใหเ้ หน็ ได้อย่างชดั เจนมากมาย เช่น ประเพณไี ทย 12 เดอื น ตลอดท้ังปี ลว้ นเคารพคุณคา่ ของธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง เปน็ ตน้ ประเพณสี งกรานต์เป็น ประเพณีท่ีทาใน ฤดูร้อนซึ่งมีอากาศร้อน ทาให้ต้องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ้านเรือน และธรรมชาติส่ิงแวดล้อม มีการแห่นางสงกรานต์ การทานายฝนว่าจะตกมากหรือน้อยในแต่ละปี ส่วนประเพณลี อยกระทง คณุ คา่ อย่ทู ่ีการบูชา ระลกึ ถงึ บญุ คุณของนา้ ที่หล่อเลยี้ งชวี ิตของ คน พชื และสัตว์ ให้ ได้ใช้ท้ังบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแม่น้า ลาธาร บูชาแม่น้าจากตัวอย่าง ขา้ งตน้ ล้วนเปน็ ความสมั พันธ์ระหวา่ งคนกบั สังคมและธรรมชาติ ทง้ั สิ้น ในการรกั ษาปา่ ไมต้ ้นน้าลาธาร ได้ประยกุ ตใ์ ห้มีประเพณีการบวชปา่ ให้คนเคารพสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม ยังความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้า ลาธาร ให้ฟ้ืนสภาพกลับคืนมาได้มาก อาชีพ การเกษตรเป็นอาชีพหลกั ของคนไทย ท่คี านงึ ถงึ ความสมดุล ทาแต่น้อยพออยพู่ อกิน แบบ \"เฮด็ อยู่เฮด็ กิน\" ของ พอ่ ทองดี นนั ทะ เมื่อเหลอื กนิ ก็แจกญาตพิ ่นี ้อง เพื่อนบา้ น บ้านใกล้เรอื นเคยี ง นอกจากน้ี ยังนาไปแลกเปล่ียน กบั ส่ิงของอยา่ งอ่นื ท่ีตนไมม่ ี เมื่อเหลอื ใช้จรงิ ๆ จงึ จะนาไปขาย อาจกล่าวไดว้ ่า เปน็ การเกษตรแบบ \"กนิ -แจก- แลก-ขาย\" ทาให้คนในสังคมได้ช่วยเหลือเกื้อกูล แบ่งปันกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมู่บ้าน จึงอยู่ ร่วมกนั อยา่ งสงบสุข มีความสัมพนั ธ์กันอยา่ งแนบแนน่ ธรรมชาติไม่ถูกทาลายไปมากนัก เนอื่ งจากทาพออยู่พอ กนิ ไมโ่ ลภมากและไมท่ าลายทุกอยา่ งผิด กับในปจั จุบัน ถือเป็นภมู ปิ ญั ญาท่ีสรา้ งความ สมดุลระหว่างคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลีย่ นแปลงปรบั ปรุงไดต้ ามยคุ สมยั
แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป ความรูส้ มัยใหม่ จะหลง่ั ไหลเขา้ มามาก แต่ภูมิปัญญาไทย กส็ ามารถ ปรับเปลีย่ นให้เหมาะสมกบั ยุคสมัย เช่น การรู้จักนาเครื่องยนต์มาติดตัง้ กับเรือ ใส่ใบพดั เป็นหางเสอื ทาใหเ้ รือ สามารถแล่นได้เร็วข้ึน เรียกว่า เรือหางยาว การรู้จักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟ้ืนคืน ธรรมชาติให้ อุดมสมบูรณ์แทนสภาพเดิมที่ถูกทาลายไป การรู้จักออมเงิน สะสมทุนให้สมาชิกกู้ยืม ปลดเปลื้อง หนีส้ ิน และจัดสวัสดิการแกส่ มาชกิ จนชมุ ชนมคี วามม่ันคง เข้มแข็ง สามารถช่วยตนเองได้หลายรอ้ ยหมู่บ้านท่ัว ประเทศ เช่น กลุ่มออมทรัพย์คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ช่วยตนเองได้ เม่ือป่าถูกทาลาย เพราะถูกตัดโค่น เพื่อปลูกพืชแบบเด่ียว ตามภูมิปัญญาสมัยใหม่ ท่ีหวัง ร่ารวย แต่ในท่ีสุด ก็ขาดทุน และมีหนี้สิน สภาพแวดล้อมสูญเสยี เกิดความแหง้ แล้ง คนไทยจึงคิดปลูกป่า ที่กิน ได้ มีพืชสวน พืชป่าไม้ผล พืชสมุนไพร ซึ่งสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกว่า \"วนเกษตร\" บางพ้ืนท่ี เม่ือป่าชุมชน ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตวั กนั เป็นกลมุ่ รกั ษาป่า ร่วมกนั สรา้ งระเบียบ กฎเกณฑก์ ันเอง ใหท้ กุ คนถือปฏิบัติ ได้ สามารถรักษาป่าได้อย่างสมบูรณ์ดังเดิม เมื่อปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไม่มีที่อยู่อาศัย ประชาชน สามารถสร้าง \"อูหยัม\" ขึ้น เป็นปะการังเทียม ให้ปลาอาศัยวางไข่ และแพร่พันธ์ุให้เจริญเติบโต มีจานวนมาก ดังเดิมได้ ถือเป็นการใช้ภูมิปญั ญาปรับปรุงประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ตามยุคสมยั สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 19 ให้ความหมายของคาว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง ความรู้ของชาวบ้าน ซ่ึงได้มาจากประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมท้ังความรู้ท่ี สั่งสมมาแต่บรรพบุรุษ สืบทอดจากคนรุ่นหน่ึงไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ระหว่างการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต์ และ เปล่ียนแปลง จนอาจเกดิ เป็นความรูใ้ หมต่ ามสภาพการณ์ทางสังคมวฒั นธรรม และ ส่ิงแวดล้อม ภูมิปัญญาเป็นความรู้ที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตด้ังเดิมของชาวบ้าน ในวิถีดั้งเดิมน้ัน ชีวิตของชาวบ้านไม่ได้แบ่งแยกเป็นส่วนๆ หากแต่ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน การทามาหากิน การอยู่ร่วมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรู้เป็นคุณธรรม เมื่อผู้คนใช้ความรู้น้ัน เพ่ือสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่าง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์ที่ดี เป็นความสัมพันธ์ที่มีความสมดุล ท่ีเคารพกันและกัน ไม่ทาร้ายทาลายกัน ทาให้ทุกฝ่ายทุกส่วนอยู่ร่วมกันได้ อย่างสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกัน มีคนเฒ่าคนแก่เป็นผู้นา คอยให้คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ้านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ป่า เขา ข้าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ้านเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ทั้งที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว ภูมิปัญญาจึง เป็นความรู้ท่ีมีคุณธรรม เป็นความรู้ท่ีมีเอกภาพของทุกส่ิงทุกอย่าง เป็นความรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสัมพันธ์กัน อย่างมีความสมดุล เราจึงยกย่องความรู้ขั้นสูงส่ง อันเป็นความรู้แจ้งในความจริงแห่งชีวิตนี้ว่า \"ภูมิปัญญา\" ความคิดและการแสดงออก เพ่ือจะเข้าใจภูมิปัญญาชาวบ้าน จาเป็นต้องเข้าใจความคิดของชาวบ้านเกี่ยวกบั โลก หรือท่ีเรียกว่า โลกทัศน์ และเก่ียวกับชีวิต หรือที่เรียกว่า ชีวทัศน์ ส่ิงเหล่าน้ีเป็นนามธรรม อันเกี่ยวข้อง สัมพันธ์โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะต่างๆ ที่เป็นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เป็น แนวคิดพื้นฐานของภูมิปัญญาชาวบ้าน การแพทย์แผนไทย หรือที่เคยเรียกกันว่า การแพทย์แผนโบราณน้ันมี หลักการว่า คนมีสุขภาพดี เมื่อร่างกายมีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะธาตุขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช้ยาสมุนไพร หรือวิธีการอื่นๆ คนเป็นไข้ตัวร้อน หมอยา พ้นื บา้ นจะให้ยาเย็น เพ่ือลดไข้ เป็นต้น การดาเนินชวี ิตประจาวันก็เช่นเดยี วกัน ชาวบ้านเช่อื วา่ จะตอ้ งรักษา
ความสมดุลในความสัมพันธ์สามด้าน คือ ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ญาติพ่ีน้อง เพื่อนบ้านในชุมชน ความสัมพนั ธท์ ด่ี มี ีหลกั เกณฑ์ ท่บี รรพบรุ ุษไดส้ ่งั สอนมา เชน่ ลกู ควรปฏิบัติอยา่ งไรกบั พ่อแม่ กับญาตพิ น่ี อ้ ง กบั ผู้สูงอายุ คนเฒ่าคนแก่ กับเพ่ือนบ้าน พ่อแม่ควรเล้ียงดูลูกอย่างไร ความเอื้ออาทรต่อกันและกัน ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข์ยาก หรือมีปัญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช้ความสามารถนั้นช่วยเหลือ ผูอ้ นื่ เชน่ บางคนเป็นหมอยา กช็ ว่ ยดแู ลรกั ษาคนเจ็บป่วยไม่สบาย โดยไมค่ ดิ ค่ารกั ษา มีแตเ่ พยี งการยกครู หรือ การราลึกถึงครูบาอาจารย์ท่ีประสาทวิชามาให้เท่านั้น หมอยาต้องทามาหากิน โดยการทานา ทาไร่ เลี้ยงสัตว์ เหมือนกบั ชาวบา้ นอื่นๆ บางคนมีความสามารถพิเศษดา้ นการทามาหากิน ก็ช่วยสอนลูกหลานให้มีวิชาไปดว้ ย ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ์เป็นข้อปฏิบัติ และข้อห้าม อย่างชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พธิ กี รรม และกจิ กรรมตา่ งๆ เชน่ การรดนา้ ดาหัวผใู้ หญ่ การบายศรี สู่ขวัญ เป็นต้น ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ผู้คนสมัยก่อนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด้าน ต้ังแต่อาหารการ กิน เคร่ืองนุ่งห่ม ทีอ่ ยอู่ าศยั และยารกั ษาโรค วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยยี ังไม่พฒั นากา้ วหน้าเหมอื นทุกวันนี้ ยังไม่มีระบบการค้าแบบสมัยใหม่ ไม่มีตลาด คนไปจับปลาล่าสัตว์ เพ่ือเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม้ เพ่ือสร้างบา้ น และใช้สอยตามความจาเป็นเท่าน้ัน ไม่ได้ทาเพ่ือการค้า ชาวบ้านมีหลักเกณฑ์ในการใช้ส่ิงของในธรรมชาติ ไม่ ตัดไม้อ่อน ทาให้ต้นไม้ในป่าข้ึนแทนต้นท่ีถูกตัดไปได้ตลอดเวลา ชาวบ้านยังไม่รู้จักสารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ฆ่าหญ้า ฆา่ สตั ว์ ไมใ่ ช้ป๋ยุ เคมี ใชส้ งิ่ ของในธรรมชาติให้เก้ือกลู กัน ใช้มลู สัตว์ ใบไม้ใบ หญา้ ทเี่ นา่ เปอื่ ยเปน็ ปยุ๋ ทา ให้ดนิ อดุ มสมบูรณ์ นา้ สะอาด และไมเ่ หือดแห้ง ชาวบ้านเคารพธรรมชาติ เชอื่ วา่ มีเทพมีเจ้าสถิตอยู่ในดิน น้า ป่า เขา สถานที่ทุกแห่ง จะทาอะไรต้องขออนุญาต และทาด้วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ้านรู้คุณ ธรรมชาติ ท่ีได้ให้ชีวิตแก่ตน พิธีกรรมต่างๆ ล้วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกล่าว เช่น งานบุญพิธี ที่เก่ียวกับ น้า ข้าว ป่าเขา รวมถึงสัตว์ บ้านเรือน เคร่ืองใช้ต่างๆ มีพิธีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญเกวียน ทางอีสานมีพิธี แฮกนา หรือแรกนา เลยี้ งผตี าแฮก มงี านบญุ บา้ น เพอ่ื เลี้ยงผี หรอื ส่งิ ศักดสิ์ ิทธ์ิประจาหมบู่ า้ น เป็นตน้ ความสัมพันธ์กับส่ิงเหนือธรรมชาติ ชาวบ้านรู้ว่า มนุษย์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่ง ของ จักรวาล ซึ่งเต็มไปด้วยความเร้นลับ มีพลัง และอานาจ ท่ีเขาไม่อาจจะหาคาอธิบายได้ ความเร้นลับดังกล่าว รวมถงึ ญาตพิ ีน่ ้อง และผู้คนทล่ี ว่ งลับไปแล้ว ชาวบา้ นยังสัมพนั ธก์ บั พวกเขา ทาบุญ และราลกึ ถึงอยา่ งสม่าเสมอ ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกน้ันเป็นผีดี ผีร้าย เทพเจ้าต่างๆ ตามความเช่ือของแต่ละแห่ง สิ่งเหล่านี้สิง สถติ อยู่ในส่งิ ตา่ งๆ ในโลก ในจักรวาล และอยบู่ นสรวงสวรรค์การทามาหากนิ แม้วิถีชีวิตของชาวบ้านเม่ือก่อนจะดูเรียบง่ายกว่าทุกวันน้ี และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แต่พวกเขาก็ต้องใช้สติปัญญา ที่บรรพบุรุษถ่ายทอดมาให้ เพ่ือจะได้อยู่ รอด ท้งั น้ีเพราะปญั หาตา่ งๆ ในอดตี ก็ยงั มีไมน่ ้อย โดยเฉพาะเม่ือครอบครัวมีสมาชิกมากขึ้น จาเปน็ ต้องขยายท่ี ทากนิ ต้องหักรา้ งถางพง บกุ เบกิ พ้นื ทีท่ ากินใหม่ การปรบั พื้นท่ีป้ันคนั นา เพ่ือทานา ซึง่ เป็นงานที่หนัก การทา ไร่ทานา ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ และดูแลรักษาให้เติบโต และได้ผล เป็นงานท่ีต้องอาศัยความรู้ความสามารถ การ จบั ปลาล่าสัตวก์ ็มวี ธิ ีการ บางคนมคี วามสามารถมากรวู้ ่า เวลาไหน ทใี่ ด และวธิ ใี ด จะจับปลาได้ดีท่ีสดุ คนท่ีไม่ เกง่ กต็ อ้ งใช้เวลานาน และได้ปลาน้อย การลา่ สตั วก์ ็เชน่ เดยี วกนั การจัดการแหล่งน้า เพ่ือการเกษตร ก็เป็นความรู้ความสามารถ ท่ีมีมาแต่โบราณ คนทาง ภาคเหนือรู้จักบริหารน้า เพื่อการเกษตร และเพ่ือการบริโภคต่างๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบ่งปันน้ากันตามระบบประเพณีที่ สืบทอดกันมา มีหัวหน้าที่ทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม
สัดส่วน และตามพื้นที่ทากิน นับเป็นความร้ทู ี่ทาใหช้ ุมชนต่างๆ ท่ีอาศัยอยู่ใกล้ลาน้า ไม่ว่าต้นน้า หรือปลายน้า ได้รับการแบ่งปนั น้าอย่างยตุ ิธรรม ทุกคนไดป้ ระโยชน์ และอยู่ร่วมกนั อย่างสันติ ชาวบ้านรู้จกั การแปรรปู ผลิตผลในหลายรปู แบบ การถนอมอาหารให้กินได้นาน การดองการ หมกั เช่น ปลารา้ น้าปลา ผกั ดอง ปลาเคม็ เน้ือเค็ม ปลาแห้ง เนอื้ แหง้ การแปรรปู ข้าว กท็ าไดม้ ากมายนับร้อย ชนิด เช่น ขนมต่างๆ แต่ละพิธีกรรม และแต่ละงานบุญประเพณี มีข้าวและขนมในรูปแบบไม่ซ้ากัน ตั้งแต่ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอ่ืนๆ ซ่ึงยังพอมีให้เห็นอยู่จานวนหน่ึง ใน ปจั จุบันส่วนใหญ่ปรับเปลีย่ นมาเป็นการผลิตเพ่อื ขาย หรอื เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรอื น ความรู้เรื่องการปรุงอาหารก็มีอยู่มากมาย แต่ละท้องถิ่นมีรูปแบบ และรสชาติแตกต่างกันไป มีมากมายนับร้อยนับพันชนิด แม้ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไม่ก่ีอย่าง แต่โอกาสงานพิธี งาน เลี้ยง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอย่างดี และพิถีพิถัน การทามาหากินในประเพณีเดิมนั้น เป็นท้ังศาสตร์และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม้ ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อให้รับประทานแล้วอร่อย แต่ให้ได้ความ สวยงาม ทาให้สามารถสัมผัสกับอาหารน้ัน ไม่เพียงแต่ทางปาก และรสชาติของลิ้น แต่ทางตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ที่ปรุงแต่ด้วยความตั้งใจ ใช้เวลา ฝีมือ และความรู้ความสามารถ ชาวบ้าน สมัยกอ่ นส่วนใหญ่จะทานาเป็นหลัก เพราะเมอ่ื มีขา้ วแล้ว กส็ บายใจ อยา่ งอื่นพอหาไดจ้ ากธรรมชาติ เสรจ็ หน้า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ้า ทาเสื่อ เลี้ยงไหม ทาเคร่ืองมือ สาหรับจับสัตว์ เคร่ืองมือการเกษตร และ อปุ กรณต์ า่ งๆ ทจ่ี าเป็น หรอื เตรียมพืน้ ท่ี เพื่อการทานาครงั้ ต่อไป หัตถกรรมเป็นทรัพย์สิน และมรดกทางภูมิปัญญาท่ีย่ิงใหญ่ท่ีสุดอย่างหนึ่งของบรรพบุรุษ เพราะเป็นส่ือที่ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความเชื่อ และคุณค่าต่างๆ ที่ส่ังสมมาแต่นมนาน ลายผา้ ไหม ผา้ ฝ้าย ฝีมอื ในการทออย่างประณีต รปู แบบเคร่ืองมือ ที่สานดว้ ยไม้ไผ่ และอุปกรณ์ เครอื่ งใชไ้ มส้ อยต่างๆ เคร่ืองดนตรี เคร่ืองเล่น สิ่งเหล่าน้ีได้ถูกบรรจงสร้างขึ้นมา เพื่อการใช้สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให้ใครคน หนง่ึ ไม่ใชเ่ พ่อื การค้าขาย ชาวบ้านทามาหากินเพียงเพ่อื การยงั ชีพ ไม่ไดท้ าเพ่ือขาย มีการนาผลติ ผลสว่ นหนึ่ง ไปแลกสิ่งของท่ีจาเป็น ท่ีตนเองไม่มี เช่น นาข้าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไก่ หรือเส้ือผ้า การขายผลิตผลมีแต่ เพียงส่วนน้อย และเมื่อมีความจาเป็นต้องใช้เงิน เพื่อเสียภาษีให้รัฐ ชาวบ้านนาผลิตผล เช่น ข้าว ไปขายใน เมอื งให้กับพ่อค้า หรอื ขายใหก้ ับพ่อคา้ ท้องถิ่น เชน่ ทางภาคอสี าน เรียกว่า \"นายฮ้อย\" คนเหลา่ นีจ้ ะนาผลิตผล บางอย่าง เชน่ ข้าว ปลาร้า ววั ควาย ไปขายในทไ่ี กลๆ ทางภาคเหนือมพี ่อคา้ ววั ต่างๆ เปน็ ต้น แมว้ ่าความรู้เร่ืองการค้าขายของคนสมัยก่อน ไม่อาจจะนามาใช้ในระบบตลาดเช่นปัจจุบันได้ เพราะสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่การค้าที่มีจริยธรรมของพ่อค้าในอดีต ที่ไม่ได้หวังแต่เพียง กาไร แตค่ านึงถงึ การช่วยเหลือ แบ่งปันกนั เปน็ หลัก ยงั มคี ุณค่าสาหรบั ปัจจุบัน นอกน้ัน ในหลายพืน้ ทใ่ี นชนบท ระบบการแลกเปล่ยี นสิง่ ของยังมีอยู่ โดยเฉพาะในพ้ืนทย่ี ากจน ซ่ึงชาวบ้านไมม่ เี งินสด แต่มผี ลิตผลตา่ งๆ ระบบ การแลกเปล่ียนไม่ได้ยึดหลักมาตราชั่งวัด หรือการตีราคาของสิ่งของ แต่แลกเปล่ียน โดยการคานึงถึง สถานการณ์ของผู้แลกทั้งสองฝ่าย คนท่ีเอาปลาหรือไก่มาขอแลกข้าว อาจจะได้ข้าวเป็นถัง เพราะเจ้าของข้าว คานงึ ถึงความจาเปน็ ของครอบครัวเจ้าของไก่ ถา้ หากตีราคาเป็นเงิน ข้าวหน่งึ ถังยอ่ มมคี ่าสูงกว่าไก่หนึ่งตัว การอยรู่ ว่ มกนั ในสังคม การอยู่ร่วมกันในชุมชนดั้งเดิมน้ัน ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพ่ีน้องไม่กี่ตระกูล ซ่ึงได้อพยพย้ายถิ่นฐานมา อยู่ หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได้ทั้งชุมชน มีคนเฒ่าคนแก่ที่ชาวบ้านเคารพนับถือเป็นผู้นาหน้าท่ี
ของผู้นา ไม่ใช่การสั่ง แต่เป็นผู้ให้คาแนะนาปรึกษา มีความแม่นยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตดั สนิ ไกลเ่ กลย่ี หากเกิดความขัดแย้ง ช่วยกนั แกไ้ ขปัญหาต่างๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ ปัญหาในชมุ ชนกม็ ไี มน่ อ้ ย ปญั หาการ ทามาหากิน ฝนแล้ง น้าท่วม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต้น นอกจากน้ัน ยังมีปัญหาความขัดแย้งภายใน ชุมชน หรือระหว่างชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี ส่วนใหญ่จะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพบุรุษ ผู้ ซึ่งได้สร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ ไว้ เช่น กรณีท่ีชายหนุ่มถูกเน้ือต้องตัวหญิงสาวท่ียังไม่แต่งงาน เป็นต้น หากเกิดการ ผิดผีขึ้นมา ก็ต้องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒ่าคนแก่เป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการว่ากล่าวส่ังสอน และ ชดเชยการทาผิดน้ัน ตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ ชาวบ้านอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ยามเกิด อุบัติเหตุเภทภยั ยามท่ีโจรขโมยวัวควายข้าวของ การช่วยเหลอื กันทางานที่เรยี กกันว่า การลงแขก ท้ังแรงกาย แรงใจทมี่ ีอยู่ก็จะแบ่งปันช่วยเหลือ เอ้อื อาทรกนั การ แลกเปลี่ยนสิ่งของ อาหารการกิน และอน่ื ๆ จึงเกยี่ วข้อง กับวิถีของชุมชน ชาวบ้านช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าว สร้างบ้าน หรืองานอ่ืนท่ีต้องการคนมากๆ เพื่อจะได้เสร็จ โดยเรว็ ไม่มกี ารจา้ ง กรณีตัวอย่างจากการปลูกข้าวของชาวบ้าน ถา้ ปีหน่งึ ชาวนาปลกู ขา้ วได้ผลดี ผลิตผลท่ไี ดจ้ ะใชเ้ พื่อการ บริโภคในครอบครวั ทาบญุ ทวี่ ัด เผือ่ แผ่ใหพ้ ่ีน้องที่ขาดแคลน แลกของ และเก็บไว้ เผอ่ื ว่าปีหนา้ ฝนอาจแล้ง นา้ อาจท่วม ผลิตผล อาจไม่ดใี นชุมชนตา่ งๆ จะมผี ู้มีความรูค้ วามสามารถหลากหลาย บางคนเก่งทางการรักษาโรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลี้ยงสัตว์ บางคนทางด้านดนตรีการละเล่น บางคนเก่งทางด้าน พิธกี รรม คนเหลา่ น้ตี ่างก็ใช้ความสามารถ เพือ่ ประโยชน์ของชุมชน โดยไมถ่ ือเปน็ อาชีพ ที่มคี า่ ตอบแทน อย่าง มากก็มี \"คา่ คร\"ู แต่เพียงเลก็ น้อย ซ่ึงปกติแลว้ เงินจานวนน้ัน กใ็ ช้สาหรับเคร่อื งมือประกอบพธิ ีกรรม หรอื เพื่อ ทาบุญที่วัด มากกว่าที่หมอยา หรือบุคคลผู้นั้น จะเก็บไว้ใช้เอง เพราะแท้ท่ีจริงแล้ว \"วิชา\" ที่ครูถ่ายทอดมา ให้แก่ลูกศิษย์ จะต้องนาไปใช้ เพ่ือประโยชน์แก่สังคม ไม่ใช่เพ่ือผลประโยชน์ส่วนตัว การตอบแทนจึงไม่ใช่เงิน หรือส่ิงของเสมอไป แต่เป็นการช่วยเหลือเก้ือกูลกันโดยวิธีการต่าง ๆ ด้วยวิถีชีวิตเช่นน้ี จึงมีคาถาม เพ่ือเป็น การสอนคนรุ่นหลังว่า ถ้าหากคนหนึ่งจับปลาช่อนตัวใหญ่ได้หน่ึงตัว ทาอย่างไรจึงจะกินได้ทั้งปี คนสมัยนี้ อาจจะบอกว่า ทาปลาเค็ม ปลาร้า หรือเก็บรักษาด้วยวิธีการต่างๆ แต่คาตอบที่ถูกต้อง คือ แบ่งปันให้พี่น้อง เพอ่ื นบ้าน เพราะเม่ือเขาไดป้ ลา เขาก็จะทากับเราเช่นเดียวกัน ชีวิตทางสงั คมของหมูบ่ ้าน มีศนู ยก์ ลางอยู่ท่ีวัด กจิ กรรมของส่วนรวม จะทากันที่วดั งานบญุ ประเพณีตา่ งๆ ตลอดจนการละเลน่ มหรสพ พระสงฆเ์ ปน็ ผนู้ าทางจิตใจ เป็นครูที่สอนลูกหลานผชู้ าย ซึง่ ไปรบั ใชพ้ ระสงฆ์ หรือ \"บวชเรยี น\" ทัง้ นเี้ พราะก่อนนีย้ ังไม่มี โรงเรยี น วดั จึงเป็นท้งั โรงเรียน และหอประชุม เพ่ือกจิ กรรมตา่ งๆ ต่อเมื่อโรงเรียนมีขน้ึ และแยกออกจากวดั บทบาทของวดั และของพระสงฆ์ จึงเปลย่ี นไป งานบุญประเพณีในชุมชนแต่ก่อนมีอยู่ทุกเดือน ต่อมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมู่บ้านร่วมกันจัด หรือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เช่น งานเทศน์มหาชาติ ซึ่งเป็นงานใหญ่ หมู่บ้านเล็กๆ ไม่อาจจะจัดได้ทุกปี งาน เหลา่ นม้ี ีทัง้ ความเชอ่ื พิธกี รรม และความสนุกสนาน ซง่ึ ชุมชนแสดงออกร่วมกัน
ระบบคุณค่า ความเชื่อในกฎเกณฑ์ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนด้ังเดิม ความเชื่อนี้เป็นรากฐานของ ระบบคุณค่าต่างๆ ความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ความเมตตาเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ความเคารพต่อสิ่ง ศกั ด์สิ ิทธ์ิในธรรมชาตริ อบตัว และในสากลจักรวาล ความเชื่อ \"ผี\" หรือส่ิงศักดิ์สิทธ์ิในธรรมชาติ เป็นที่มาของการดาเนินชีวิต ท้ังของส่วนบุคคล และของ ชุมชน โดยรวมการเคารพในผีปู่ตา หรือผีปู่ย่า ซึ่งเป็นผีประจาหมู่บ้าน ทาให้ชาวบ้านมีความเป็นหน่ึงเดียวกัน เป็นลกู หลานของปู่ตาคนเดยี วกัน รักษาป่าทีม่ ีบา้ นเล็กๆ สาหรบั ผี ปลูกอยูต่ ดิ หมูบ่ ้าน ผีปา่ ทาให้คนตดั ไม้ด้วย ความเคารพ ขออนุญาตเลอื กตัดตน้ แก่ และปลูกทดแทน ไม่ทงิ้ สิ่งสกปรกลงแม่น้า ดว้ ยความเคารพในแม่คงคา กินขา้ วดว้ ยความเคารพ ในแมโ่ พสพ คนโบราณกนิ ขา้ วเสร็จ จะไหว้ขา้ ว พิธีบายศรีสู่ขวัญ เป็นพิธีร้ือฟ้ืน กระชับ หรือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหม่ ในชุมชน คนป่วย หรือกาลังฟ้ืนไข้ คนเหล่าน้ีจะได้รับพิธีสู่ขวัญ เพ่ือให้เป็น สริ มิ งคล มีความอยู่เย็นเปน็ สุข นอกนั้นยังมีพธิ ีสืบชะตาชวี ิตของบคุ คล หรอื ของชมุ ชน นอกจากพิธีกรรมกับคนแล้ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว์และธรรมชาติ มีพิธีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญ เกวียน เป็นการแสดงออกถึงการขอบคุณ การขอขมา พิธีดงั กลา่ วไม่ไดม้ ีความหมายถงึ ว่า ส่ิงเหล่านีม้ จี ติ มีผีใน ตัวมันเอง แต่เป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ์กับจิตและส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ อันเป็นสากลในธรรมชาติทั้งหมด ทา ให้ผู้คนมีความสัมพันธ์อันดีกับทุกสิ่ง คนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ท่ีมาจากหมู่บ้าน ยังซื้อดอกไม้ แล้วแขวนไว้ท่ี กระจกในรถ ไม่ใช่เพื่อเซ่นไหว้ผีในรถแท็กซี่ แต่เป็นการราลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ ใน สากลจักรวาล รวมถึงท่ีสิงอยู่ ในรถคันน้ัน ผู้คนสมัยก่อนมีความสานึกในข้อจากัดของตนเอง รู้ว่า มนุษย์มีความอ่อนแอ และเปราะบาง หากไม่รักษาความสัมพันธ์อันดี และไม่คงความสมดุลกับธรรมชาติรอบตัวไว้ เขาคงไม่สามารถมีชีวิตได้อย่าง เป็นสุข และยืนนาน ผู้คนท่ัวไปจึงไม่มีความอวดกล้าในความสามารถของตน ไม่ท้าทายธรรมชาติ และส่ิง ศกั ดิ์สทิ ธ์ิ มีความออ่ นน้อมถอ่ มตน และรักษากฎระเบียบประเพณอี ยา่ งเครง่ ครัด ชีวิตของชาวบ้านในรอบหน่ึงปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเชื่อ และความสัมพันธ์ ระหว่างผู้คนในสังคม ระหว่างคนกับธรรมชาติ และระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานที่เรียกว่า ฮีตสิบสอง คือ เดือนอ้าย (เดือนที่หนึ่ง) บุญเข้ากรรม ให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม เดือนย่ี (เดือนท่ีสอง) บุญคูณลาน ให้นาข้าวมากองกันที่ลาน ทาพิธีก่อนนวด เดือนสาม บุญข้าวจ่ี ให้ถวาย ขา้ วจ่ี (ขา้ วเหนยี วปั้นชุบไข่ทาเกลือนาไปย่างไฟ) เดือนสี่ บญุ พระเวส ให้ฟงั เทศน์มหาชาติ คอื เทศน์เรอ่ื งพระ เวสสันดรชาดก เดือนห้า บุญสรงน้า หรือบุญสงกรานต์ ให้สรงน้าพระ ผู้เฒ่าผู้แก่ เดือนหก บุญบ้ังไฟ บูชา พญาแถน ตามความเชื่อเดมิ และบุญวสิ าขบชู า ตามความเชอื่ ของชาวพุทธ เดอื นเจ็ด บญุ ซาฮะ (บุญชาระ) ให้ บนบานพระภมู ิเจ้าท่ี เล้ียงผีปู่ตา เดอื นแปด บุญเขา้ พรรษา เดอื นเกา้ บุญขา้ วประดบั ดิน ทาบุญอทุ ศิ ส่วนกุศล ให้ญาตพิ ีน่ ้องผู้ล่วงลับ เดอื นสิบ บุญข้าวสาก ทาบุญเช่นเดอื นเกา้ รวมใหผ้ ีไม่มีญาติ (ภาคใต้มีพธิ ีคล้ายกนั คือ งานพิธีเดือนสิบ ทาบุญให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว แบ่งข้าวปลาอาหารส่วนหนึ่งให้แก่ผีไม่มีญาติ พวก เด็กๆ ชอบแยง่ กันเอาของท่แี บ่งให้ผไี ม่มญี าติหรือเปรต เรยี กว่า \"การชิงเปรต\") เดือนสบิ เอด็ บุญออกพรรษา เดอื นสิบสอง บุญกฐนิ จัดงานกฐิน และลอยกระทง ภูมิปัญญาชาวบา้ นในสังคมปัจจุบนั ภมู ิปญั ญาชาวบ้านไดก้ ่อเกดิ และสืบทอดกนั มาในชุมชนหมู่บ้าน เม่ือหมู่บ้านเปล่ียนแปลงไปพร้อมกับสังคมสมัยใหม่ ภูมิปัญญาชาวบ้านก็มีการปรับตัวเช่นเดียวกัน ความรู้
จานวนมากได้สญู หายไป เพราะไมม่ กี ารปฏิบตั ิสบื ทอด เชน่ การรกั ษาพืน้ บ้านบางอย่าง การใชย้ าสมนุ ไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาท่ีเก่งๆ ได้เสียชีวิต โดยไม่ได้ถ่ายทอดให้กับคนอื่น หรือถ่ายทอด แต่คนต่อมาไม่ได้ปฏิบัติ เพราะชาวบ้านไม่นิยมเหมือนเม่ือก่อน ใช้ยาสมัยใหม่ และไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล หรือคลินิก ง่ายกว่า งาน หันตถกรรม ทอผ้า หรือเครื่องเงิน เคร่ืองเขิน แม้จะยังเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ก็ได้ถูกพัฒนาไปเป็นการค้า ไม่ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบดั้งเดิมไว้ได้ ในการทามาหากินมีการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ใช้รถไถแทน ควาย รถอแี ตน๋ แทนเกวียน การลงแขกทานา และปลูกสร้างบ้านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ้างงานกันมากข้ึน แรงงานก็หา ยากกว่าแตก่ ่อน ผู้คนอพยพยา้ ยถ่ิน บา้ งกเ็ ข้าเมือง บ้างกไ็ ปทางานท่ีอื่น ประเพณีงานบุญ กเ็ หลอื ไม่มาก ทาได้ ก็ต่อเม่ือ ลูกหลานที่จากบ้านไปทางาน กลับมาเย่ียมบ้านในเทศกาลสาคัญๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา เปน็ ต้น สงั คมสมยั ใหมม่ ีระบบการศึกษาในโรงเรียน มีอนามยั และโรงพยาบาล มีโรงหนงั วิทยุ โทรทัศน์ และ เครื่องบันเทิงต่างๆ ทาให้ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมู่บ้านเปล่ียนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ้าหน้าท่ีราชการ ฝา่ ยปกครอง ฝา่ ยพัฒนา และอ่ืนๆ เข้าไปในหมบู่ ้าน บทบาทของวัด พระสงฆ์ และคนเฒ่าคนแก่เร่ิมลดน้อยลง การทามาหากินก็เปลี่ยนจากการทาเพื่อยังชีพไปเป็นการผลิตเพื่อการขาย ผู้คนต้องการเงิน เพื่อซื้อเครื่อง บริโภคต่างๆ ทาให้สิ่งแวดล้อม เปล่ียนไป ผลิตผลจากป่าก็หมด สถานการณ์เช่นน้ีทาให้ผู้นาการพัฒนาชุมชน หลายคน ท่ีมีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เร่ิมเห็นความสาคัญของภูมิปัญญา ชาวบ้าน หน่วยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให้การสนับสนุน และส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู ประยุกต์ และคน้ คดิ สง่ิ ใหม่ ความรใู้ หม่ เพือ่ ประโยชน์สขุ ของสงั คม
ความเป็นมาและความสา้ คญั ของการปลูกพชื ผกั สวนครวั ความเปน็ มา ผักเป็นอาหารประจาวันของมนุษย์ เป็นแหล่งอาหารให้แร่ธาตุวิตามินท่ีมีคุณค่าทางอาหารสูง มีราคา ถูก เม่ือเปรียบเทียบกับเน้ือสัตว์จากข้อมูลวิจัยกล่าวว่า มนุษย์เราควรบริโภคผักวันละประมาณ 200 กรัม เพ่อื ใหร้ า่ งกายไดร้ บั แรธ่ าตุและวติ ามินอย่างเพียงพอ พืชผักสวนครัวมีความสาคัญต่อมนุษย์ใช้ในชีวิตประจาวันเพื่อประกอบอาหาร มนุษย์เร่ิมมีการคิด ปลูกพืชสวนครัวมาต้ังแต่รุ่นสมัยก่อน โดยการหาพันธ์พืชที่มีความจาเป็นใช้ในการประกอบอาหารมาเพื่อปลกู ไว้ในครัวเรือน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและปลอดสารพิษ พืชผักสวนครัวมีหลากหลายชนิดและวิธีการ ปลูกที่แตกต่างกัน มีทั้งกินใบ กินต้น และกินผล ดังน้ันในแต่ละครอบครัวจะปลูกพืชผักสวนครัวที่ไม่ เหมือนกัน ขน้ึ อยูก่ ับความจาเปน็ ใช้และสภาพดนิ อากาศทเี่ หมาะสมกับการปลูก ปัจจุบันคนแต่ละพื้นที่จะปลูกพืชผักท่ีแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาวะดิน ฟ้า อากาศ ที่เหมาะสม ประเทศไทยเรามีสภาวะดิน อากาศ ที่ไม่เหมือนกัน มีภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คนส่วนมากจะเลอื กเฉพาะผักทีป่ ลูกงา่ ย ทนต่อสภาพอากาศ บ้างคร้งั ถา้ ปลกู ไม่ไดก้ ็ตอ้ งซ้ือมาจากภาคอน่ื เป็น การหมุนเวยี นของเศรษฐกจิ น้นั เอง ผลการวจิ ัยของศูนยว์ จิ ัยและพัฒนาพืชผกั แห่งเอเชีย ชใ้ี ห้เหน็ วา่ ประชากรของประเทศไทย โดยเฉพาะ สตรมี คี รรภ์และพวกเด็กๆ มกั ขาดแคลนแร่ธาตุวติ ามนิ กันมาก ประกอบกบั ปัญหาด้านเศรษฐกจิ ท่สี ง่ ผลกระทบ ทาให้มีค่าครองชีพสูงข้ึน ดังน้ันกรมส่งเสริมการเกษตร จึงได้มีการรณรงค์ให้มีการปลู กผักสวนครัวไว้ รับประทานเองในครอบครัว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีพืชผักเพียงพอแก่การบริโภคในครัวเรือน ทาให้ได้รับ สารอาหารครบตามความตอ้ งการของร่างกาย และช่วยลดภาวะคา่ ครองชพี การปลูกพืชสวนครัวนั้นไม่ยากเลย ถ้ามองไปรอบด้านภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นบ้านในเมืองใหญ่ เมือง หลวง หรือบ้านในหมู่บ้าน ตาบล อาเภอ ล้วนละลานตาไปด้วย \"บ้านไทย\" ซึ่งไม่ต้องอาศัยเคร่ืองปรับอากาศ ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเหมือนทุกวันน้ี ซึ่งฝรั่งท่ีตั้งใจมาเมืองไทยเพราะต้องการ ดูการ\"บรรยากาศไทยๆ\" ดังท่ี เคยเห็นในหนังสือ ตอนน้ีเขบอกว่าบรรยากาศอย่างนี้ ต้องไปดู ที่ลาว ท่ีเขมรแทน เพราะเมืองไทยไม่ต่างจาก
เมืองเขาเท่าไหรน่ ัก บางแหง่ ดจู ะยง่ิ กวา่ ด้วยซ้า ฝรง่ั คนน้ันจึงต้องกลับไปเท่ียว-นอนท่ีเขมร ลาวแทน เขาบอก วา่ บา้ นไทย ย้ายไปอยู่ ทีน่ น่ั ด้วยเหตุนจ้ี งึ เกดิ ความคิดว่า น่าจะบอกเล่าเร่ืองนี้ให้เกษตรกรไทยฟัง ใหเ้ ขาร้ือฟ้ืน ความเป็นไทยกลับข้ึนมาใหม่เพ่ือเป็นทางออก พ้นจากความเป็นหน้ี นั่นคือเรื่อง \"รั้วกินได้-สวนครัวทาเอง\" ท่ี เราเคยพบเคยเห็นความเป็นมาแล้วในอดีตสมัย เด็กๆ เพ่ือล้างและป้องกันนิสัยชอบไปซื้อกิน เอาอย่างความ เจรญิ ด้านวตั ถุ คือแทนท่ี จะปลกู เอง ทงั้ ๆ ทมี่ ีท่ดี ินเพาะปลูกอยู่แล้ว กลบั นยิ มไปซอื้ ตามห้าง ศูนยก์ ารคา้ ฯลฯ ทาร้ัวอัลลอยด์ ร้ัวเหล็ก รั้วปูน ฯลฯ แทนร้ัวไม้ ร้ัวพืชยืนต้น พืชกินได้ ผักสวนครัว หรือพืชสวนครัว เช่น พริก กระเพรา โหระพา แมงลัก ตะไคร้ มะกรูด พริกไทย มะอึก มะนาว (กะปิ น้าปลา น้าตาล) ร้ัวกินได้เช่น ตาลึง ขจร โสน ถ่ัวพู มันปู กระถนิ มะขามเทศ บวบ ฟกั เขยี ว มะระ มะเขือเครือ ไผ่ น้าเต้า ฟกั ข้าว ผกั แปม๋ การปลูก พืชสวนครัวเหล่านี้ คือแนวทางประกอบการพิจารณาเลือกปลูกพืชผสม พืชหลายชนิดใช้ทาประโยชน์ได้ มากกว่าหนึ่งอย่างหรือเอนกประสงค์ หากเลือกปลูกพืชผสมหลายอย่างในพ้ืนท่ีเดียวกันต้องอาศัยคาแนะนา ทางวิชาการ และประสบการณ์ หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน เพราะพืชบางชนิดจะปลูกร่วมกันได้ บางชนิดไม่ได้ การประกอบอาชีพแบบเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกผักสวนครัวลดรายจ่ายด้านอาหารในครอบครัว เศรษฐกิจ พอเพียงเปน็ กาดาเนนิ ชีวิตทางสายกลาง ยดึ หลักการพ่ึงพาตนเองการเกษตรดงั้ เดิมของไทย ท่ีปฏิบัตกิ นั มานาน ช่ัวลูกหลาน ก็คือ การเกษตรธรรมชาติ การเกษตรอินทรีย์ การเกษตรชีวภาพ การวนเกษตร ซ่ึงอ่านดูชื่อแล้ว เราอาจจะไม่คุ้นเคย หรือไม่เข้าใจ จึงขอสรุปให้ทราบว่า เป็นการเกษตรแบบโบราณเราน่ันเอง คือ ใช้แรงงาน จากคน จากสัตว์เล้ียง ปุ๋ยท่ีได้ก็เกิดจากมูลสัตว์ ใบไม้ใบตองนามากองสุมหมักไว้เม่ือเน่าเป่ือยก็นาไปใส่ต้นไม้ หรือไร่นา ส่วนพืชที่ปลูกก็คือ พืชที่เป็นอาหารประจาวัน เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่ว งา การปลูกผักสวนครัวร้ัวกิน ได้ ภมู ิปัญญาชาวบ้าน ภูมปิ ัญญาชาวบ้าน คอื ความรู้ของชาวบ้านซึ่งไดม้ าจากประสบการณ์ และความเฉลยี วฉลาดของ ชาวบา้ น รวมท้ังความรทู้ ่ีส่งั สมมาแต่บรรพบุรษุ สบื ทอดจากคนร่นุ หนึ่งไปสคู่ นอีกรุ่นหน่งึ ระหว่างการสบื ทอด มีการปรับ ประยุกตแ์ ละเปล่ยี นแปลง จนอาจเกิดเป็นความรู้ใหม่ตามสภาพการณ์ทางสงั คมวัฒนธรรม และ ส่ิงแวดลอ้ ม ภูมิปญั ญาเปน็ ความรู้ท่ีประกอบไปดว้ ยคุณธรรมซึง่ สอดคล้องกับวถิ ีชวี ติ ด้ังเดิมของชาวบ้านในวิถี ดงั้ เดิมนั้น ชีวติ ของชาวบา้ นไม่ไดแ้ บ่งแยกเป็นสว่ นๆ หากแต่ทกุ อยา่ งมีความสัมพันธ์กันการทามาหากนิ การอยู่ ร่วมกันในชมุ ชน การปฏบิ ัติศาสนา พธิ กี รรมและประเพณี (สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชนฯ เล่ม 19, 2540) นอกจากนน้ั ภูมปิ ญั ญาพื้นบ้านยังกล่าวถงึ การเอาทรัพยากรความรู้ ทรพั ยากรบุคคลทมี่ ีอยู่ในท้องถิ่น แตล่ ะแห่ง ซึ่งอาจเปน็ เอกลักษณ์เฉพาะตน หรอื เป็นลักษณะสากลทห่ี ลายๆ ท้องถ่นิ มีคล้ายกันก็ได้ ภูมิปัญญา พื้นบ้านในแต่ละท้องถิ่นเกิดจากการที่ชาวบา้ นแสวงหาความรูเ้ พ่ือเอาชนะอุปสรรคทางธรรมชาติ ทางสังคมที่ จาเปน็ ในการดารงชวี ิต ภูมิปัญญาพื้นบ้านจึงเปน็ สิ่งท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการผลติ และวิถชี ีวติ ชาวบ้าน (มนตรี โคตร คันทา, 2550) ภูมปิ ญั ญาชาวบา้ นอาจเกิดจากการได้มาขององค์ความรู้ของชนพนื้ เมอื งจากสิ่งแวดลอ้ มรอบตวั โดย อยบู่ นพื้นฐานของธรรมชาตใิ ชช้ ีวติ โดยใช้ประโยชน์จากความมากมายและความหลากหลายของระบบนิเวศท่ี ซับซอ้ น และมคี วามเข้าใจเก่ียวกับคุณสมบตั ิของพชื และสตั ว์ หรือแม้แตห่ น้าท่ีตา่ งๆ ของระบบนเิ วศ เทคนิค
ในการใชแ้ ละการจดั การ โดยมีการใช้ประโยชน์ในรูปของ อาหาร ยา เชอื้ เพลิง หรอื เป็นวัสดสุ าหรบั การสรา้ งท่ี อย่อู าศัย หรอื ผลิตภัณฑ์อน่ื ๆ (AlaskaNative Science Commission, มปป.) ภมู ปิ ัญญาชาวบา้ นแบ่งเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ไดด้ ังนี้ 1.ภมู ปิ ัญญาชาวบ้านดา้ นการทามาหากนิ วิถีชวี ิตของชาวบา้ นในอดีตเรียบง่ายกว่าทุกวันน้ี 2.ภูมิปัญญาอันเน่ืองมาจากสภาวะธรรมชาตธิ รรมชาตแิ ละแรงงานเปน็ หลักในการทามาหากิน และใช้ สตปิ ัญญาท่ีบรรพบรุ ษุ ถา่ ยทอดมาใหเ้ พื่อจะได้อยรู่ อด เช่น การขยายท่ีทากิน ต้องหักร้างถางพง บกุ เบกิ พนื้ ที่ ทากนิ ใหม่ การปรับพื้นท่ีปน้ั คันนาเพอ่ื ทานา การทาไร่ทานา ปลกู พชื เลีย้ งสตั วแ์ ละดแู ลรักษาใหเ้ ติบโตและ ไดผ้ ล การจดั การแหล่งน้าเพื่อการเกษตรก็เปน็ หนึง่ ในภมู ปิ ัญญาชาบา้ นในอดตี เชน่ กนั 3.ภมู ิปญั ญาชาวบ้านด้านการรกั ษาโรคและแกป้ ัญหาสขุ ภาพเชน่ การใช้สมุนไพรเป็นยาและอาหาร พชื สมุนไพร หมอพ้นื บ้าน และการแพทย์แผนโบราณ 4.ภมู ปิ ัญญาชาวบ้านดา้ นการกนิ อยูเ่ ช่นการถนอมอาหาร การปรุงอาหาร การกินอาหาร 5.ภูมปิ ญั ญาชาวบ้านดา้ นศิลปกรรมปรากฏในผลงานสร้างสรรค์ดา้ นจิตรกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม และนาฏกรรม 6.ภมู ปิ ัญญาชาวบ้านดา้ นภาษาและวรรณกรรมปรากฏในผลงานสร้างสรรคด์ า้ นภาษาและสานวนไทย เชน่ คาผญา คาสอน ความเชื่อ ปรศิ นาคาทาย และ บทเพลงพืน้ บา้ น เช่น เพลงแหล่ เพลงกล่อมเด็ก เพลง ฉอ่ ย กลอนลา เพลงอีแซว เพลงเกี่ยวข้าว ฯลฯ 7.ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นด้านศาสนา ขนบธรรมเนยี มประเพณีใชใ้ นการปรับประยุกต์พิธีกรรมทางศาสนา เพื่อความมน่ั คงของชมุ ชน ประเพณเี ก่ียวกับชวี ิต ต้งั แต่เกดิ จนตาย เช่น ประเพณีการเกิด การบวช การ แต่งงาน การตาย ฯลฯ 8.ภูมิปัญญาชาวบ้านด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มใช้ในการจัดการทรพั ยากรดนิ น้า และป่าไม้ เช่น การสรา้ งเขือ่ น เหมือง ฝาย การควบคมุ คุณภาพน้า การป้องกัน นา้ ท่วม การจดั การปา่ ไม้ เชน่ การปลกู สวนป่า และการอนรุ ักษป์ ่า 9.ภูมิปัญญาชาวบา้ นดา้ นการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมการอยู่ร่วมกันในชุมชนดั้งเดิมนน้ั ส่วนใหญ่จะเป็น ญาตพิ น่ี ้องไมก่ ี่ตระกลู ซึ่งได้อพยพย้ายถนิ่ ฐานมาอยู่ หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันไดท้ ัง้ ชมุ ชน มคี น เฒา่ คนแก่ที่ชาวบา้ นเคารพนับถือเปน็ ผู้นาหน้าทขี่ องผูน้ าไมใ่ ช่ การสงั่ แตเ่ ป็นผใู้ หค้ าแนะนาปรกึ ษา มคี วาม แมน่ ยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวติ ตัดสนิ ไกล่เกล่ยี หากเกิดความขัดแย้ง ช่วยกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ท่เี กิดขึน้ ปญั หาในชมุ ชนก็มีไม่น้อย ปญั หาการทามาหากนิ ฝนแล้ง น้าทว่ ม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นตน้ นอกจากนนั้ ยังมีปญั หาความขัดแยง้ ภายในชุมชนหรือระหวา่ งชมุ ชน การละเมดิ กฎหมายประเพณี ส่วนใหญ่ จะเปน็ การ\"ผดิ ผี\"คอื ผขี องบรรพบรุ ุษ ผูซ้ งึ่ ไดส้ รา้ งกฎเกณฑ์ตา่ งๆ ไว้ เชน่ กรณีท่ีชายหนุ่มถกู เน้ือต้องตวั หญิง สาวทยี่ งั ไมแ่ ต่งงาน เป็นตน้ หากเกิดการผดิ ผขี ้นึ มา ก็ต้องมีพธิ กี รรมขอขมา โดยมีคนเฒา่ คนแกเ่ ป็นตวั แทน ของบรรพบุรุษ มีการว่ากลา่ วส่ังสอนและชดเชยการทาผิดนั้นตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้
ชาวบ้านอยู่อย่างพึง่ พาอาศยั กัน ยามเจ็บไขไ้ ด้ป่วย ยามเกิดอบุ ัติเหตเุ ภทภยั ยามทโี่ จรขโมยววั ควาย ขา้ วของ การช่วยเหลอื กนั ทางานทเ่ี รียกกันวา่ การลงแขก ทั้งแรงกายแรงใจท่ีมอี ยู่ก็จะแบ่งปนั ชว่ ยเหลือ เออื้ อาทรกนั การ แลกเปลยี่ นส่ิงของ อาหารการกิน และอนื่ ๆ จึงเกีย่ วข้องกับวถิ ีของชมุ ชน ชาวบา้ นชว่ ยกนั เก็บ เก่ยี วข้าว สร้างบ้าน หรืองานอน่ื ทตี่ ้องการคนมากๆ เพื่อจะได้เสร็จโดยเร็ว ไม่มกี ารจา้ ง (คลังปญั ญาไทย, 2550) การปลูกผกั สวนครวั 1.การเตรียมเมล็ดพนั ธ์ุ ปกตใิ นการปลูกถว่ั ฝกั ยาวในเนื้อที่ 1 ไร่ ใช้เมลด็ พนั ธุ์ 3-4 กโิ ลกรัม นาเมล็ด พันธ์ุไปทดสอบความงอก คัดเมลด็ ทม่ี ตี าหนิออก และควรคลุกเมลด็ ด้วยสารเคมปี ้องกนั กาจัดแมลงเพ่ือป้องกัน แมลงเขา้ ทาลายดว้ ย 2.การเตรียมหลมุ ปลกู ใหใ้ ช้จอบขดุ หลมุ ใหร้ ะยะระหว่างแถวห่างกนั 0.8 เมตร ระยะระหวา่ งหลมุ 0.5 เมตร โดยใหห้ ลุมลึกประมาณ 4-6 น้ิว ใชป้ ยุ๋ เคมสี ตู รที่เหมาะสมกบั ถั่วฝักยาว เช่น 15-15-15, 13-13- 21,12-24-12, 5-10-5 หรอื 6-12-12 ใสห่ ลุมละ 1/2 ชอ้ นแกง (10-15 กรมั ) คลกุ เคล้าใหเ้ ขา้ กนั 3.การปลกู โดยหยอดเมลด็ หลมุ ละ 4 เมล็ด แลว้ กลบดนิ ให้ลึกประมาณ 5 เซนติเมตร แล้วจึงรดน้า ทันที สาหรบั การให้นา้ ระยะ 1-7 วัน ควรใหน้ ้าทุกวนั ๆ ละ 1 ครง้ั ทง้ั น้ีให้พิจารณาสภาพภูมอิ ากาศ และ สภาพดนิ ด้วย 4.การถอนแยก หลงั จากหยอดเมลด็ แลว้ ประมาณ 5-7 วัน เมล็ดจะเรมิ่ งอก เม่ือมีใบจริงประมาณ 4 ใบ ให้ถอนแยกเหลือต้นแข็งแรงไว้ 2 ต้นต่อหลมุ ขณะที่ถอนแยกให้พรวนดินและกาจัด 5.การดแู ลรักษา ถัว่ ฝักยาวเป็นพชื ที่ตอ้ งการการดูแลรกั ษาอยา่ งใกลช้ ิด การดแู ลรักษาที่ดีจะมผี ลตอ่ ปริมาณและคณุ ภาพของผลผลิตอยา่ งมาก ขั้นตอนตา่ ง ๆ ของการดูแลรักษานนั้ มีดังน้ี 1.การใหน้ ้า ถ่ัวฝกั ยาวเปน็ พืชทใ่ี ห้น้าอย่างสม่าเสมอ แตไ่ ม่ควรแฉะเกนิ ไป ระยะเจรญิ เติบโตหลงั จากถอนแยก แล้วควรใหน้ า้ ทกุ 3-5วันต่อครั้งใหต้ รวจสอบความชืน้ ในดินใหเ้ หมาะสมกับการเจรญิ เตบิ โตระบบการให้น้าอาจ ใช้วธิ กี ารใส่นา้ เข้าตามร่องหรืออาจจะใชว้ ิธกี ารตักรดโดยตรงขนึ้ อยู่กบั แหล่งน้าท่ีมสี ภาพพ้ืนท่ปี ลูกและความ ชานาญของผูป้ ลูก 2.การปักคา้ ง ถวั่ ฝกั ยาวเปน็ พืชทีต่ ้องอาศยั ค้างเพ่ือเกาะพยุงลาตน้ ให้เจริญเตบิ โต ไม้ท่ใี ช้สาหรบั ทาไม้คา้ งนั่ง ตนั ใช้ไม้ไผ่ หรือไม้อ่ืน ๆ ทห่ี าได้งา่ ยในทอ้ งถิ่น โดยความยาวของไมม้ ีความยาวประมาณ 2.5-3 เมตร หรอื อาจจะสร้างโครงเสาแล้วใชล้ วดขงึ ดา้ นบน และใช้เชอื กห้อยลงมายังลาต้นถ่วั ฝกั ยาวให้เลอ้ื ยขนึ้ ระยะเวลาการ ใสค่ า้ งถั่วฝกั ยาวนั้นจะเริ่มใสห่ ลังจากงอกแลว้ 15-20 วัน โดยจบั ต้นถว่ั ฝักยาวให้พันเลื้อยขึ้นค้างใน ลักษณะ ทวนเขม็ นาฬิกา วธิ ีการปกั ค้างทาไดห้ ลายวิธี เช่น 2.1 ปกั ไม้คา้ งหลมุ ละ 1 คา้ งโดยให้ตั้งฉากกบั ผวิ ดิน 2.2 ปกั ไม้คา้ งหลมุ ละ 1 ค้าง โดยให้เอยี งเขา้ หาร่องเปน็ คู่และมัดปลายเขา้ ด้วยกันใช้ไมไ้ ผ่พาดยดึ ค้าง ดา้ นบนใหแ้ ขง็ แรง 2.3 ปักไม้คา้ งหลมุ ละ 1 คา้ ง โดยใหเ้ อียงเขา้ หากันกลางรอ่ งเปน็ คู่ แลว้ มัดปลายเชน่ เดยี วกบั ข้อ 2.2 แตใ่ ชไ้ ม้ค้ายนั แต่ละคู่เป็นแบบกระโจม 2.4 การใชเ้ ชือกแทนค้าง พบวา่ ในแหลง่ ที่หาคา้ งยาก ผ้ปู ลูกพยายามใช้เชอื กแทนคา้ ง ซ่งึ มีความ
เป็นไปได้สูง ดังนนั้ การปลกู ถั่วฝักยาวควรมกี ารทดสอบการใช้เชอื กแทนค้างเพ่อื หาขอ้ มลู สาหรบั การลดตน้ ทุน การผลติ ต่อไป 3.การใส่ปุ๋ย ถ่ัวฝักยาวเป็นพืชท่ตี อ้ งการธาตฟุ อสฟอรัสสงู ในการสร้างดอก ในทางวชิ าการแนะนาใหใ้ ชป้ ุ๋ย อัตราสว่ นของไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P2O5) และโปรแตสเซยี ม (K2O) คือ 1:1.5-2:1 ปยุ๋ สตู รดงั กล่าวไม่มี จาหน่ายในท้องถนิ่ อาจใชส้ ตู ร 15-15-15 ซึง่ ใชใ้ นสภาพดินที่เปน็ ดนิ เหนียว หรอื สตู ร 13-13-21 ในสภาพดนิ ที่ เป็นดินทราย สาหรบั การใสน่ ้ันควรแบ่งใสด่ ังนคี้ ือ ก. ใส่ขณะท่ีเตรียมหลมุ ปลูกตามท่ไี ด้กลา่ วแล้วขา้ งตน้ ข. ใสเ่ มอื่ ตน้ ถว่ั อายุประมาณ 15 วนั โดยการพรวนดนิ แล้วโรยป๋ยุ รอบ ๆ ต้นใหห้ ่างจากโคนต้ ประมาณ 10 เซนติเมตร ในอัตรา 1 ช้อนแกง (25-30 กรัม) ตอ่ หลมุ แล้วใชด้ ินกลบ เพื่อป้องกันไมใ่ ห้ปุ๋ย สูญเสียไป การใสป่ ุ๋ยรว่ มกบั ปุ๋ยคอกในระยะนี้ จะทาให้การใช้ปุย๋ เคมมี ปี ระสิทธภิ าพย่งิ ขนึ้ ค. ใส่เมื่อเกบ็ ผลครั้งแรกเมือ่ อายุประมาณ 55 วัน โดยใส่ปยุ๋ ประมาณ 2 ช้อนแกงต่อต้น และหลังจากน้ันให้ใส่ ปยุ๋ ทกุ ๆ 7-10 วนั การใส่ปุย๋ ระหวา่ งชว่ งเก็บเกย่ี วอย่างสม่าเสมอ และปริมาณพอจะทาให้เกบ็ ถ่วั ฝักยาวได้ นาน โดยผลผลติ มคี ุณภาพดี และปรมิ าณผลผลติ ต่อไรส่ งู ข้ึน 4.การกาจดั วชั พชื หลงั จากถัว่ ฝักยาวงอกแลว้ ตอ้ งคอยดแู ลวชั พืชในแปลงปลกู โดยทว่ั ไปแล้วจะกาจัดวชั พืช หลงั จากเมลด็ งอกแลว้ ประมาณ 10-15 วัน หรือกอ่ นท่จี ะปักค้างหลังจากนัน้ จึงคอยสังเกตจานวนวัชพืชใน แปลง หากพบวชั พืชควรกาจัด และเมื่อต้นถัว่ เจรญิ เติบโตคลุมแปลงแล้วจะทาให้การแข่งขนั ของวัชพืชลดลง ในการกาจดั วัชพชื ในระยะที่ถั่วฝักยาวเร่ิมออกดอกน้ัน ต้องเพิม่ ควรระมดั ระวังเป็นพิเศษ เน่อื งจากการกาจดั วัชพืชอาจกระทบกระเทือนรากอันเป็นสาเหตุให้ดอกรว่ งได้ ความส้าคัญของพืชผกั สวนครวั พชื ผกั สวนครวั หมายถึง พืชทีใ่ ชส้ ว่ นต่างๆ เปน็ อาหาร เช่น ลาต้น ใบ ดอก ผล และหัว พืชผกั สวน ครัวสามารถปลูกไว้ในบริเวณบา้ นเพือ่ ใช้บริโภคภายในครอบครวั ถ้าเหลอื ก็สามารถนาไปจาหนา่ ยเพือ่ เปน็ รายไดเ้ สริมให้กับครอบครวั ซ่ึงสามารถแบง่ ตามลกั ษณะการนามาประกอบอาหารได้ 4 ประเภท ดังน้ี 1. ใช้ผลเป็นอาหาร เช่น แตงกวา มะเขือเทศ พรกิ หวาน 2. ใชใ้ บและลาตน้ เป็นอาหาร เชน่ ผกั กาดขาว ตาลงึ ผกั คะน้า สะระแหน่ 3. ใช้ดอกเปน็ อาหาร เชน่ กะปลา่ ดอก ดอกแค บร็อคโคลี่ 4. ใชห้ ัวหรือรากท่ีอยใู่ ตด้ ินเป็นอาหาร เช่น หอมหวั ใหญ่ แครอต ขน้ั ตอนการปลกู พชื ผักสวนครวั อปุ กรณ์ 1. แปลงผกั 2. จอบ 3. เมลด็ พืช 4. ป๋ยุ หมัก/ปุ๋ยคอก 5. นา้
วธิ ีการปลูกพืชผกั สวนครวั 1. เตรยี มแปลงผัก ใชจ้ อบขุนพรวนดินใหเ้ ปน็ แปลงผักขนาดพอดี 2. รดนา้ ใหพ้ อชุ่มๆ เพื่อให้ดินรว่ นๆ 3. นาเมลด็ ผักทจี่ ะปลูกมาโรยให้ทั่วๆแปลงผกั ทเี่ ตรยี มไว้
4. ใส่ปยุ๋ หมักหรือปุ๋ยคอก ให้ท่วั แปลงผัก 5. พรมน้าอีกครัง้ ใหท้ ว่ั แปลงผัก ไม่ต้องรดเยอะ 6. หลงั จากปลกู เสร็จแล้ว ใหร้ ดน้าทกุ วัน แล้วรอจนกวา่ ผกั ที่ปลกู จะเริ่มข้นึ และโตเร่ือยๆ
7. เม่อื ผักทีป่ ลูกโตเต็มที่แล้ว ก็จะสามารถนามาทาอาหารและรบั ประทานได้ ประโยชนข์ องการปลกู พชื ผกั สวนครัว 1. สามารถใช้ประดับตกแต่งบรเิ วณบา้ นได้ 2. ใชพ้ ืน้ ทส่ี ่วนท่ีว่างเปล่าให้เกดิ ประโยชน์ 3. ลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการซ้ือผักมาประกอบอาหารประจาวัน 4. ครอบครวั ไดร้ ับประทานผกั ท่ีมคี ณุ ค่าทางอาหารครบถว้ นและปลอดภยั จากสารเคมี 5. ใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ข้อเสนอแนะ 1. ไม่ควรโรยเมล็ดผกั ถี่จนเกินไป ควรโรยให้กระจายๆทว่ั แปลงผกั 2. การปลูกผักต้องรดน้าทุกวนั เช้า-เย็น 3. การปลูกผักทานเองไมม่ ีสารป้องกันแมลง จงึ ต้องระวังเรื่องของแมลงจะมากนิ ผัก การนา้ ภมู ปิ ญั ญาการปลกู พืชผักสวนครวั ไปใชใ้ นการดา้ เนินชวี ิต 1. เพอ่ื สบื สานภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ เรอื่ งการปลกู พชื ผกั สวนครัว สู่ลกู หลานสบื ต่อไป 2. เพ่ือใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ 3. ทาให้ประหยดั รายจา่ ยภายในครอบครวั และได้ทานผักที่ปลอดสารพิษ
ภาคผนวก - ประวัติผู้จัดท้าภูมิปัญญาศกึ ษา - ภาพประกอบ
ประวตั ิผถู้ ่ายทอดภมู ิปัญญา ชอ่ื : นายหลอด สหู ญ้านาง เกดิ : มกราคม 2502 อายุ 60 ปี ภมู ลิ า้ เนา : อาเภอภูเขยี ว จงั หวดั ชัยภูมิ ท่ีอยปู่ ัจจุบนั : บา้ นเลขที่ 1129/1 หมู่ 1 ตาบลวังนา้ เยน็ อาเภอวังน้าเยน็ จงั หวัดสระแก้ว สถานภาพ : แตง่ งาน กับ นางบุญเลศิ ประคองศรี ไมม่ บี ตุ ร การศึกษา : - ปัจจุบนั ประกอบอาชพี : รบั จา้ งท่ัวไป ประวัติผู้เรยี บเรียงภูมิปัญญาศกึ ษา ชอ่ื : นางสาวสธุ าสินี วฒุ ริ ัตน์ เกดิ : 9 กุมภาพันธ์ 2537 อายุ 24 ปี ทอ่ี ยู่ปจั จบุ นั : 72/2 หมู่ 2 ต.วังน้าเย็น อ.วงั นา้ เย็น จ.สระแก้ว สถานภาพ : โสด การศกึ ษา : ปรญิ ญาตรี มหาวทิ ยาลัยบูรพา ปจั จุบันประกอบอาชพี : พนักงานจ้างของรฐั (ครู)
ภาพประกอบการจัดทา้ ภมู ิปญั ญาศึกษา เรือ่ ง การปลูกพืชผักสวนครัว
ภาพการปลูกพชื ผักสวนครวั นาจอบมาขุดพรวนดนิ ทาใหเ้ ปน็ แปลงผกั รดน้าแปลงผกั ให้ดนิ ชมุ่ ๆ นาเมล็ดผกั ที่จะปลกู มาโรยให้ทว่ั ๆแปลงผกั โรยกระจายๆ
ใส่ปยุ๋ คอกใหท้ ว่ั ๆบรเิ วณแปลงผกั หลังจากโรยเมลด็ และใสป่ ๋ยุ คอกแล้ว เอาน้ามาพรมใหท้ ่วั หม่นั รดนา้ เปน็ ประจาทุกวัน เชา้ -เยน็ ผลผลติ ที่ได้จากการปลูกพืชผกั สวนครวั ทานเอง
อา้ งองิ นายอธบิ ดี ขาวฉลาด, “การปลกู ผักสวนครวั ”, Available : http://foizaza.blogspot.com/ [Accessed : 3/01/2562]. มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, “วิธกี ารปลกู ผักสวนครวั ”, Available : https://www.ku.ac.th/e- magazine/june44/agri/plant2.html [Accessed : 3/01/2562].
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: