Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 2

บทที่ 2

Published by tonpukpui, 2018-05-23 02:16:06

Description: unit 2

Keywords: บทที่ 2

Search

Read the Text Version

[Year]สรุปบทเรียน บทท่ี 4 apirom [Company name] [Date]

สรุปบทเรียน บทที่ 4 การเปลยี่ นแปลงทางสังคมและทฤษฎกี ารเปลยี่ นแปลงทางสังคม การเปลีย่ นแปลง (Change) คือ การทาให้ส่ิงต่างๆ เปลี่ยนไปจากที่เป็ นอยเู่ ดิม ไม่เจาะจงวา่เป็ นแบบวิธีใด ไม่เจาะจงทิศทาง หรืออตั ราความเร็ว เช่น การแลกเปลี่ยนเงิน, สังคมเปล่ียน,ลมเปล่ียนทาง, การเปลี่ยนเกียร์รถ (วรทศั น์, 2548) การเปลี่ยนแปลงทางสั งคม (Social Change) หมายถึง การท่ีระบบสังคม กระบวนการแบบอยา่ งหรือรูปแบบทางสังคม เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบครอบครัว ระบบการปกครองได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็ นดา้ นใดก็ตาม การเปล่ียนแปลงทางสังคมน้ีอาจจะเป็ นไปในทางกา้ วหน้าหรือถดถอย เป็ นไปไดอ้ ย่างถาวรหรือชว่ั คราว โดยการวางแผนให้เป็ นไปหรือเป็ นไปเองและท่ีเป็นประโยชนห์ รือใหโ้ ทษก็ไดท้ ้งั สิ้น (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2524) การเปล่ียนแปลงทางสังคมเก่ียวข้องกับการพฒั นาชุมชน, แผนพฒั นา, ความทนั สมยั ,การพฒั นาสงั คม, ผลกระทบต่อสังคม, การเปลี่ยนแปลง, การพฒั นา, สงั คมเปลี่ยนแปลง, การพฒั นาสังคมของชุมชนองค์ประกอบของโครงสร้างทางสังคม 1. ความสัมพนั ธ์ทางสังคม 2. ค่านิยม 3. ความเช่ือ 4. อตั ลกั ษณ์ 5. ระบบความรู้การเปลยี่ นแปลงทางสังคมทาให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงใน 3 ด้าน 1. ดา้ นเศรษฐกิจ 2. ดา้ นสังคม 3. ดา้ นวฒั นธรรมปัจจัยทม่ี ีผลต่อการเปลย่ี นแปลงทางสังคม 1. สภาพแวดลอ้ ม ธรรมชาติ และประชากร 2. การพฒั นาเศรษฐกิจ 3. ทศั นคติ/ความเชื่อของคนในสังคม 4. การเคล่ือนไหวทางสงั คม 5. กระบวนการทางวฒั นธรรม 6. การประดิษฐ์ คิดคน้ ส่ิงใหม่ๆ

รูปแบบการเปลย่ี นแปลงทางสังคม 1. การเปลี่ยนแปลงแบบเส้นตรง เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จากสังคมที่มีความเจริญอารยธรรมข้นั ต่าไปสู่สงั คมท่ีมีความเจริญของอารยธรรมระดบั สูงข้ึนต่อไป 2. การเปลี่ยนแปลงแบบวฏั จกั ร เป็ นการเปล่ียนแปลงทางสังคมท่ีไม่มีความสม่าเสมอค่อยๆ เจริญกา้ วหนา้ ไปเรื่อยๆ จนถึงท่ีสุดก็จะเสื่อมสลายไปทฤษฎกี ารเปลย่ี นแปลงทางสังคม ทฤษฎีการเปล่ียนแปลงทางสังคมท่ีมีมาต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั สามารถจาแนกและแบ่งกลุ่ม ไดด้ งั น้ี 1. ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) เป็ นแนวความคิดที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีวิวฒั นาการทางชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ซ่ึงกล่าววา่ การเปล่ียนแปลงของสังคมเป็ นกระบวนการท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยา่ งเป็นข้นั ตอนตามลาดบั จากข้นั หน่ึงไปสู่อีกข้นั หน่ึงในลกั ษณะที่มีการพฒั นาและก้าวหน้ากว่าข้นั ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมท่ีมีรูปแบบเรียบง่ายไปสู่รูปแบบท่ีสลบั ซบั ซ้อนมากข้ึน และมีความเจริญกา้ วหนา้ ไปเร่ือยๆ จนเกิดเป็ นสังคมที่มีความสมบูรณ์ Auguste Comte (ค.ศ. 1798 – 1857) เสนอวา่ สังคมมนุษยม์ ีพฒั นาการและการเปลี่ยนแปลงดา้ นความรู้ (Knowledge) ผา่ น 3 ข้นั ตอนตามลาดบั คือ จากข้นั เทววิทยา (Theological stage) ไปสู่ข้นั อภิปรัชญา (Metaphysical stage) และไปสู่ข้นั วทิ ยาศาสตร์ (Positivistic stage) Lewis Henry Morgan (ค.ศ. 1818 – 1881) เสนอวา่ สังคมจะมีข้นั ของการพฒั นา 3 ข้นัคือ จากสังคมคนป่ า (Savage) ไปสู่สังคมอนาอารยชน (Barbarian) และไปสู่สังคมอารยธรรม(Civilized) Herbert Spencer (ค.ศ. 1820 – 1903) เสนอวา่ วิวฒั นากรของสังคมมนุษยเ์ ป็ นแบบสายเดียว(Uni-linear) ที่ทุกส่ิงทุกอย่างในจกั รวาลมีจุดกาเนิดมาจากแหล่งเดียวกนั ด้วยและมารวมกนั ดว้ ยกระบวนการสังเคราะห์ (Synthesis) ทาให้เกิดพฒั นาการท่ีกา้ วหน้าข้ึนและซับซ้อนมากข้ึน การพฒั นาของสังคมจะมีวิวฒั นาการเป็ นไปตามกฎของธรรมชาติ กล่าวคือ มนุษยท์ ่ีมีความสามารถในการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาวะแวดลอ้ มใหม่ๆ ไดเ้ ป็ นอยา่ งดีจะมีชีวิตอยูร่ อดตลอดไป และนาไปสู่การพฒั นาท่ีดีข้ึนต่อไป Ferdinand Tonnies (ค.ศ. 1855 – 1936) เสนอวา่ สังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมแบบ Gemeinschaft (Community) ไปสู่สังคมแบบ Gesellschaft (Society, Groups) Robert Redfield (ค.ศ. 1857 – 1958) เสนอว่า การเปลี่ยนแปลงของสังคมจะเร่ิมจากสภาพของสังคมชาวบา้ น (Folk) เปล่ียนแปลงไปสู่สังคมแบบเมือง (Urban) ต่อมาแนวความคิดในการสร้างทฤษฎีการเปล่ียนแปลงทางสังคมแบบสายเดียว (Uni-linear) ท่ีเสนอวา่ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมตอ้ งเปล่ียนผา่ นแต่ละช้นั ท่ีกาหนดไว้ ไดร้ ับการโตแ้ ยง้

วา่ การเปล่ียนแปลงทางสังคม น่าจะมีวิวฒั นาการแบบหลายสาย (Multi-linear) เพราะแต่ละสังคมมีจุดกาเนิดที่แตกต่างกนั มีรูปแบบของสังคมท่ีแตกต่างกนั หรือแมว้ า่ สังคมที่มีรูปแบบท่ีเหมือนกนั แต่อาจจะมีสาเหตุของการเปล่ียนแปลงที่แตกต่างกนั กเ็ ป็นได้ 2. ทฤษฎีความขัดแย้ง (Conflict Theory) เป็ นแนวความคิดท่ีมีข้อสมมุติฐานท่ีว่าพฤติกรรมของสังคมสามารถเขา้ ใจไดจ้ ากความขดั แยง้ ระหว่างกลุ่มต่างๆ และบุคคลต่างๆ เพราะการแข่งขนั ในการเป็นเจา้ ของทรัพยากรที่มีคา่ และหายาก Karl Marx (ค.ศ. 1897 – 1958) มีความเช่ือว่า การเปลี่ยนแปลงของทุกๆ สังคม จะมีข้นั ตอนของการพฒั นาทางประวตั ิศาสตร์ 5 ข้นั โดยแต่ละข้นั จะมีวธิ ีการผลิต (Mode of Production)ที่เกิดจากความสัมพนั ธ์ของอานาจของการผลิต (Forces of production) ซ่ึงไดแ้ ก่ การจดั การดา้ นแรงงานที่ดิน ทุน และเทคโนโลยี กบั ความสัมพนั ธ์ทางสังคมของการผลิต (Social relation of production)ซ่ึงไดแ้ ก่ เจา้ ของปัจจยั การผลิตและคนงานที่ทาหน้าท่ีผลิต แต่ในระบบการผลิตแต่ละระบบจะมีความขดั แยง้ ระหว่างชนช้นั ผูเ้ ป็ นเจา้ ของปัจจยั การผลิตกบั ผูใ้ ชแ้ รงงานในการผลิต ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ ที่เป็ นโครงสร้างส่วนล่างของสังคม (Substructure) และเม่ือโครงสร้างส่วนล่างมีการเปล่ียนแปลงจะมีผลทาให้เกิดการผนั แปรและเปล่ียนแปลงต่อโครงสร้างส่วนบนของสังคม (Superstructure) ซ่ึงเป็ นสถาบนั ทางสังคม เช่น รัฐบาล ครอบครัว การศึกษา ศาสนาและรวมถึงคา่ นิยม ทศั นคติ และบรรทดั ฐานของสงั คม ลาดบั ข้นั ของการพฒั นาของ Marx มีดงั น้ี 1. ข้นั สังคมแบบคอมมิวนิสต์ด้งั เดิม (Primitive Communism) กรรมสิทธ์ิในปัจจยัการผลิตเป็ นของเผา่ (Tribal Ownership) ต่อมาเผ่าต่างๆ ไดร้ วมตวั กนั เป็ นเมืองและรัฐ ทาให้กรรมสิทธ์ิในปัจจยั การผลิตเปล่ียนไปเป็นของรัฐแทน 2. ข้นั สังคมแบบโบราณ (Ancient Communal) กรรมสิทธ์ิในปัจจยั การผลิตเป็ นของรัฐ(State Ownership) สมาชิกในสังคมได้รับกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินส่วนตวั ท่ีสามารถเคล่ือนยา้ ยได้ซ่ึงได้แก่ เคร่ืองใช้ส่วนตวั และทาส ดังน้ัน ทาส (Slavery) จึงเป็ นกาลงั สาคญั ในระบบการผลิตท้งั หมด และต่อมาระบบการผลิตไดเ้ กิดความขดั แยง้ ระหวา่ งเจา้ ของทาสและทาส 3. ข้นั สังคมแบบศกั ดินา (Feudalism) กรรมสิทธ์ิในปัจจยั การผลิตเป็ นของขุนนางคือ ท่ีดิน โดยมีทาสเป็นแรงงานในการผลิต 4. ข้นั สังคมแบบทุนนิยม (Capitalism) กรรมสิทธ์ิในปัจจยั การผลิตเป็ นของนายทุนคือ ที่ดิน ทุน แรงงาน และเครื่องจกั ร โดยมีผใู้ ชแ้ รงงานเป็นผผู้ ลิต 5. ข้นั สังคมแบบคอมมิวนิสต์ (Communism) กรรมสิทธ์ิในปัจจยั การผลิตเป็ นของทุกคนทุกคนมีสิทธ์ิเท่าเทียมกนั ไมม่ ีใครเอาเปรียบซ่ึงกนั และกนั

ตามแนวความคิดของMarx ลาดับข้นั ของการนาไปสู่การปฏิวตั ิของชนช้ันล่างของสังคมเกิดจากกระบวนการดงั ต่อไปน้ี - มีความตอ้ งการในการผลิต - เกิดการแบง่ แยกแรงงาน - มีการสะสมและพฒั นาทรัพยส์ ินส่วนบุคคล - ความไมเ่ ท่าเทียมทางสังคมมีมากข้ึน - เกิดการต่อสู้ระหวา่ งชนช้นั ในสังคม - เกิดตวั แทนทางการเมืองเพ่ือทาการรักษาผลประโยชน์ของแตล่ ะชนช้นั - เกิดการปฏิวตั ิ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมตามแนวความคิดของMarx เป็นการต่อสู้ระหวา่ งชนช้นั ในสังคม โดยใชแ้ นวความคิดวิภาษวิธี (Dialectical) ท่ีเริ่มจาก การกระทา (Thesis) ซ่ึงเป็ นสาเหตุของการเปล่ียนแปลงการกระทา (Antithesis) และเกิดการกระทาแบบใหม่ (Synthesis) ตามมา Lewis A. Coser (ค.ศ. 1913 – 2003) เป็ นนกั ทฤษฎีความขดั แยง้ ที่มองวา่ ความขดั แยง้ก่อใหเ้ กิดผลท้งั ดา้ นบวกและดา้ นลบ และอธิบายวา่ ความขดั แยง้ เป็ นส่วนหน่ึงของกระบวนการขดั เกลาทางสังคม ไม่มีกลุ่มทางสังคมกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงที่มีความสมานสามคั คีอย่างสมบูรณ์ เพราะความขดั แยง้ เป็ นส่วนหน่ึงของสภาวะหน่ึงของมนุษย์ ท้งั ในความเกลียดและความรักต่างก็มีความขดั แยง้ท้งั สิ้น ความขดั แยง้ สามารถแก้ปัญหาความแตกแยกและทาให้เกิดความสามคั คีภายในกลุ่มได้เพราะในกลุ่มมีท้งั ความเป็ นมิตรและความเป็ นศตั รูอยูด่ ว้ ยกนั Coserมีความเห็นวา่ ความขดั แยง้ เป็ นตวั สนบั สนุนให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางสังคม สามารถทาให้สังคมเปลี่ยนชีวิตความเป็ นอยูจ่ ากดา้ นหน่ึงไปสู่อีกดา้ นหน่ึงได้ เพราะหากสมาชิกในสังคมเกิดความไม่พึงพอใจต่อสังคมท่ีเขาอยูเ่ ขาจะพยายามทาการเปล่ียนแปลงสถานการณ์น้นั ๆ ใหเ้ ป็นไปตามเป้าหมายของเขาได้ Coser ยงั เสนอวา่ ความขดั แยง้ ยงั สามารถทาให้เกิดการแบ่งกลุ่ม ลดความเป็ นปรปักษ์พฒั นาความซบั ซ้อนของโครงสร้างกลุ่มในดา้ นความขดั แยง้ และร่วมมือ และสร้างความแปลกแยกกบั กลุ่มต่างๆ เป็นตน้ Ralf Dahrendorf (ค.ศ. 1929 – 2009) เป็ นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันท่ีปฏิเสธแนวความคิดของMarx ท่ีวา่ ชนช้นั ในสังคมเกิดจากปัจจยั การผลิต และเสนอวา่ ความไม่เท่าเทียมกนั ในสังคมน้ันเกิดจากความไม่เท่าเทียมกนั ในเร่ืองของสิทธิอานาจ (Authority) กลุ่มที่เกิดข้ึนภายในสังคมสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็ น 2 ประเภทคือ กลุ่มท่ีมีสิทธิอานาจกบั กลุ่มที่ไม่มีสิทธิอานาจสังคมจึงเกิดกลุ่มแบบไม่สมบูรณ์ (Guasi groups) ของท้งั สองฝ่ ายท่ีต่างมีผลประโยชน์แอบแฝง(Latent Interest) อยู่เบ้ืองหลัง ดงั น้ัน แต่ละฝ่ ายจึงต้องพยายามรักษาผลประโยชน์ของตนเอาไว้โดยมีผูน้ าทาหนา้ ท่ีในการเจรจาเพื่อปรองดองผลประโยชน์ซ่ึงกนั และกนั ระดบั ของความขดั แยง้ที่เกิดข้ึนจะรุนแรงมากหรือรุนแรงนอ้ ยน้นั ข้ึนอยูก่ บั การจดั การและการประสานผลประโยชน์ของกลุ่ม

ที่ครอบงา และเสนอความคิดว่า ความขดั แยง้ ที่เกิดข้ึนในสังคมเป็ นผลมาจากความกดดนั จากภายนอกโดยสังคมอื่นๆ และความขัดแย้งที่เกิดข้ึนในสังคมสามารถควบคุมได้ด้วยการประนีประนอมDahrendor มีความเห็นว่าความขดั แยง้ สามารถทาให้โครงสร้างมีการเปล่ียนแปลงได้ ประเภทของการเปลี่ยนแปลง ความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลง และขนาดของการเปลี่ยนแปลงข้ึนอยู่กับเงื่อนไขของการเปล่ียนแปลง เช่น อานาจกลุ่ม ความกดดนั ของกลุ่ม 3. ทฤษฎโี ครงสร้าง – หน้าที่ (Structural – functional Theory) แนวความคิดในการพฒั นาทฤษฎีโครงสร้าง – หนา้ ที่ เป็นผลมาจากการนาเอาแนวความคิดทางดา้ นชีววทิ ยามาใช้ โดยอุปมาวา่ โครงสร้างของสงั คมเป็นเสมือนร่างกายท่ีประกอบไปดว้ ยเซลล์ต่างๆ และมองวา่ หน้าท่ีของสังคมก็คือ การทาหนา้ ที่ของอวยั วะส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยแต่ละส่วนจะช่วยเหลือและเก้ือกูลซ่ึงกนั และกนั เพือ่ ใหร้ ะบบท้งั ระบบมีชีวติ ดารงอยไู่ ด้ Robert K. Merton (ค.ศ. 1910 – 2003) ไดจ้ าแนกหน้าที่ทางสังคมดงั น้ีคือ หน้าที่หลกั(Manifest) ห น้ า ที่ ร อ ง (Latent) ห น้ า ที่ ที่ ไ ม่ พึ ง ป ร า ร ถ น า (Dysfunctional) ห น้ าท่ี ข อ งบางโครงสร้างของสังคมอาจมีประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ แต่ขณะเดียวกนั คนบางส่วนอาจได้รับประโยชน์เพียงน้อยนิดหรืออาจไม่ไดร้ ับผลประโยชน์เลย ซ่ึงรวมไปถึงอาจจะมีคนบางกลุ่มหรือบางส่วนของสงั คมไดร้ ับผลเสียจากการทางานของโครงสร้างสงั คมน้นั กไ็ ด้ Emile Durkheim (ค.ศ. 1858 – 1917) มีแนวความคิดวา่ หน้าท่ีของสังคม คือ ส่วนที่สนบั สนุนใหส้ ังคมสามารถดารงอยไู่ ด้ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั Alfred Reginald, Radcliffe – Brown (ค.ศ.1881 – 1951) กบั Bronislaw Malinowski (ค.ศ. 1884 – 1942) ท่ีมองว่าหน้าที่ทางสังคม เป็ นส่วนสนับสนุนให้โครงสร้างสังคมคงอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะสังคมมีกระบวนการทางสังคมท่ีทาให้สังคมเกิดความเป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั เช่น บรรทดั ฐาน คา่ นิยม ความเช่ือ วฒั นธรรม และประเพณีเป็ นตน้ Talcott Parsons (ค.ศ. 1902 – 1979) มีแนวความคิดว่า สังคมเป็ นระบบหน่ึงที่มีส่วนต่างๆ(Part) มีความสัมพนั ธ์และสนบั สนุนซ่ึงกนั และกนั ความสัมพนั ธ์ท่ีคงที่ของแต่ละส่วนจะเป็นปัจจยัทาให้ระบบสังคมเกิดความสมดุล (Equilibrium) ส่ วนในด้านการเปล่ียนแปลงทางสังคมเกิดจากความสมดุลถูกทาลายลง เพราะองคป์ ระกอบของสงั คมคือ บุคลิกภาพ (Personality) อินทรีย์(Organism) และวฒั นธรรม (Culture) เกิดความแตกร้าว โดยมีสาเหตุมาจากท้ังสาเหตุภายนอกระบบสังคม เช่น การเกิดสงคราม การแพร่กระจายของวฒั นธรรม เป็ นตน้ และสาเหตุจากภายในระบบสังคมท่ีเกิดจากความตึงเครียด (Strain) เพราะความสัมพนั ธ์ของโครงสร้างบางหน่วย (Unit)ห รื อ ห ล าย ๆ ห น่ ว ย ท างาน ไม่ ป ระ ส าน กัน เช่ น ก ารเป ล่ี ย น แ ป ล งท างป ระ ช าก รการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เมื่อส่วนใดส่วนหน่ึงมีการเปล่ียนแปลงจะเป็ นสาเหตุทาให้ส่วนอื่นๆมีการเปลี่ยนแปลงตามไปดว้ ย การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนอาจเกิดข้ึนเฉพาะส่วนใดส่วนหน่ึงหรือท้งัระบบก็ได้ Parsonเนน้ ความสาคญั ของวฒั นธรรม ซ่ึงรวมถึง ความเชื่อ บรรทดั ฐาน และค่านิยมของ

สังคม คือ ตวั ยึดเหนี่ยวให้สังคมมีการรวมตวั เขา้ ดว้ ยกนั และเป็ นตวั ตา้ นทานต่อการเปลี่ยนแปลงในสงั คม สรุป แนวความคิดการเปล่ียนแปลงทางสังคมของกลุ่มทฤษฎีโครงสร้าง – หน้าที่ มีลกั ษณะดงั น้ี 1. สังคมท้งั หมดเป็นระบบหน่ึงท่ีแต่ละส่วนจะมีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกนั 2. ความสัมพนั ธ์ คือ ส่ิงท่ีสนบั สนุนซ่ึงกนั และกนั อยา่ งเป็นเหตุเป็นผล 3. ระบบสังคมเป็ นการเคล่ือนไหวเขา้ สู่ความสมดุล การปรับความสมดุลของระบบจะทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงภายในระบบตามไปดว้ ยความต่อเนื่องของกระบวนการของข่าวสารจากภายในและภายนอก นอกจากน้ีทฤษฎีระบบยงั มองวา่ ความขดั แยง้ ความตึงเครียด และความไม่สงบสุขภายในสังคมก็เป็ นสาเหตุหน่ึงของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม แต่อยา่ งไรก็ตามทฤษฎีระบบมีขอ้ จากดั ในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เน่ืองจากในการวิเคราะห์ตามทฤษฎีระบบเป็ นการศึกษาเฉพาะเร่ือง จึงทาใหไ้ มส่ ามารถศึกษาความสมั พนั ธ์กบั ระบบอ่ืนไดอ้ ยา่ งลึกซ้ึง 4. ทฤษฎจี ิตวทิ ยา – สังคม (Social – Psychological Theory) ทฤษฎีน้ีกล่าววา่ การพฒั นาทางสังคมเกิดจากการทางานของปัจจยั ทางดา้ นจิตวิทยาท่ีเป็ นแรงขับให้ประชาชนมีการกระทา มีความกระตือรือร้น มีการประดิษฐ์ มีการค้นพบ มีการสร้างสรรค์ มีการแยง่ ชิง มีการก่อสร้าง และพฒั นาสิ่งต่างๆ ภายในสังคม นกั สังคมวทิ ยาท่ีใช้ปัจจยัทางดา้ นจิตวทิ ยาอธิบายการเปล่ียนแปลงทางสงั คม มีดงั น้ี Max Webber (ค.ศ. 1864 – 1920) เป็ นนกั สังคมวิทยาคนแรกที่ใชห้ ลกั จิตวิทยามาใช้ในการอธิบายการเปล่ียนแปลงทางสังคม และในผลงานท่ีชื่อวา่ The Protestant Ethic and the Spiritof Capitalism เสนอวา่ การพฒั นาในสังคมอุตสาหกรรมสมยั ใหม่ตามลทั ธิทุนนิยม มีสาเหตุมาจากปัจจยั ดา้ นจิตวิทยา ท่ีเกิดข้ึนหลงั สมยั ศตวรรษที่ 16 เม่ือในยุโรปตะวนั ตกมีการแพร่กระจายคาสอนของศาสนาคริสต์ ลัทธิโปรแตสแตน (Protestant Ethic) ท่ีสอนให้ศาสนิกชนเกิดจิตวิญญาณแบบทุนนิยม (Spirit of Capitalism) เป็ นนักแสวงหาส่ิงใหม่ มุ่งสู่ความสาเร็จเพื่อให้เกิดการยอมรับทางานหนักเพ่ือสะสมความร่ารวย เก็บออมเพื่อนาไปใช้ในการลงทุน สร้างกาไรอย่างต่อเนื่องWeberยังเสนอว่า การพัฒนาของจิตวิญญาณแบบทุนนิ ยมทาให้เกิดลัทธิความมีเหตุผล(Rationalism) ซ่ึงภายใตส้ ังคมท่ีใช้ความมีเหตุผลจะทาให้บุคคลมีความน่าเช่ือถือ ซ่ือสัตย์ สุจริตยอมรับส่ิงใหม่และสามารถเปลี่ยนแปลงเขา้ สู่สภาวะแวดลอ้ มใหม่ๆ Weberเช่ือว่า อิทธิพลของความคิด ความเช่ือ และบุคลิกภาพของคนในสังคมภายใตส้ ภาวะดงั กล่าวมีผลทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงทางสงั คมตามมา Everett E. Hagen (ค.ศ. 1906 – 1993) มีแนวความคิดสอดคล้องกับWeberที่ว่าการเปล่ียนแปลงทางสงั คมมีการเร่ิมตน้ มาจากการพฒั นาเศรษฐกิจและเสนอวา่ การเปล่ียนจากสงั คมด้งั เดิม (Traditional) ไปสู่สังคมสมยั ใหม่ (Modern) จะมีผลทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงในบุคลิกภาพของบุคคล (Personality) โดยเสนอว่าบุคลิกภาพของคนในสังคมด้ังเดิมมีลกั ษณะตายตวั ท่ีถูกกาหนด

โดยกลุ่มสังคม ต้องมีการส่ังการด้วยการบังคับบัญชา ไม่มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และการประดิษฐ์คิดคน้ เพราะคนเหล่าน้นั มองโลกตามยถากรรมมากกวา่ ท่ีจะมองโลกแบบวเิ คราะห์ และตอ้ งการควบคุมให้เป็ นไปตามที่คิด ซ่ึงเป็ นผลทาให้สังคมแบบด้งั เดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนกัส่วนบุคลิกภาพของคนในสังคมใหม่มีความสร้างสรรค์ อยากรู้อยากเห็น เปิ ดรับประสบการณ์ใหม่ๆ มองโลกที่อยรู่ อบตวั เขาอยา่ งมีเหตุมีผล เป็ นปัจจยั ที่สนบั สนุนใหส้ ังคมเกิดการเปล่ียนแปลงบุคลิกภาพของคนในสังคมด้งั เดิมสามารถที่จะเปลี่ยนไปสู่บุคลิกภาพของคนในสังคมใหม่ไดโ้ ดยใชว้ ิธีการถอดถอนสถานภาพ (Status withdrawal) ดว้ ยการนาเอาปัจจยั ดา้ นสังคม วฒั นธรรม และเศรษฐกิจจากสังคมสมัยใหม่เข้าไปแทรกหรือแทนท่ีในสังคมด้ังเดิม และยงั ได้เสนอว่า การเปล่ียนแปลงของสังคมอาจทาไดจ้ ากการเปล่ียนแปลงบุคลิกภาพของคนในสังคม โดยเร่ิมจากากรพฒั นาบุคลิกภาพต้งั แตว่ ยั เดก็ David C. McClelland มีแนวความคิดวา่ การเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจเป็ นผลมาจากการพฒั นาด้านเศรษฐกิจ เน้นศึกษาที่ตัวแปรด้านแรงจูงใจในความสาเร็จ (Achievement Motivation)ซ่ึงหมายถึง ความสาเร็จทางเศรษฐกิจของปัจเจกบุคคล และเสนอแนวความคิดวา่ ในการพฒั นาทางเศรษฐกิจของสังคมในอดีตและปัจจุบนั เป็ นผลมาจากแรงจูงใจในความสาเร็จของบุคคล หากคนในสังคมมีแรงจูงใจในความสาเร็จมาก การพฒั นาทางเศรษฐกิจก็จะมีความเจริญกา้ วหน้าตามไปดว้ ยและเสนอวิธีการสร้างแรงจูงใจในความสาเร็จด้วยการเรียนรู้ (Learning) โดยสร้างแรงกระตุ้นท้งั ภายในและภายนอก ดงั น้นั ในการจดั การศึกษาและการเล้ียงดูเด็ก สังคมควรมีการปูพ้ืนฐานเพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจในความสาเร็จของบุคคล ดว้ ยการใชป้ ัจจยั ตา่ งๆ ดงั น้ี - แบบอยา่ งของความสาเร็จจากผปู้ กครอง - การสร้างความอบอุ่น - การใหก้ าลงั ใจและแรงเสริม - หลีกเลี่ยงการครอบงาและใชอ้ านาจของบิดา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook