Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารเผยแพร่หลักสูตรการทอผ้าไหมมัดหมี่

เอกสารเผยแพร่หลักสูตรการทอผ้าไหมมัดหมี่

Published by Natchanon078, 2022-01-13 08:59:15

Description: เอกสารเผยแพร่หลักสูตรการทอผ้าไหมมัดหมี่

Search

Read the Text Version

ความเปน็ มา ชาวอาเภอชนบทมีการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลกั ทุกครัวเรือนจะมีท่ีดินทานา ทาไร่ ทาสวน เล้ียงสัตว์ นอกจากอาชีพทานาแล้ว ก็มีการปลูกหม่อนเล้ียงไหม ปลูกฝ้าย เพ่ือนาเส้นไหมและฝ้ายมาทอเป็นผืนผ้า ในอดตี ท่ผี า่ นมา การทอผ้าถือเปน็ หน้าที่สาคัญของผ้หู ญิงชาวอีสานเพราะ จะต้องทอผ้าเพอ่ื ใช้เปน็ เคร่อื งน่งุ ห่มในชีวติ ประจาวัน ผู้หญิงอสี านต้อง เรียนร้แู ละฝกึ หัดการทอผ้ามาตง้ั แต่เดก็ จนกลายเปน็ สว่ นหน่ึงของวถิ ชี ีวติ ดังคาผญาที่สอนสตรชี าวอสี านว่า “ทอหกู บเ่ ป็นแจ ทอแพรบ่เปน็ ฝาตอ้ น เล้ียงมอ่ นบ่ฮโู้ ตลุกโตนอน อย่าฟา้ ววอนเอาผวั ” การทอผ้าเพอื่ ใช้ในครอบครวั จึง เป็นสงิ่ สาคญั ทผ่ี ้หู ญงิ อสี านจะต้องเรยี นรูแ้ ละฝกึ หัดโดยเร่ิมจากผ้เู ปน็ แม่ได้ ถา่ ยทอดความรแู้ ละเทคนิควธิ ีการทอผ้าใหล้ ูกหลานสืบทอดกันมา ไม่ขาดสาย ผา้ ไหมท่ที อได้ นยิ มสวมใสไ่ ปทาบุญที่วัดหรือในงานพิธี และงานมงคลต่าง ๆ รวมทงั้ เกบ็ ไว้เปน็ มรดกให้ลูกหลาน อาเภอชนบท เริ่มมีการทอผ้ามาต้ังแตเ่ มือ่ ไร ไมส่ ามารถสืบประวตั ไิ ด้ แตม่ ีหลกั ฐานสาคัญคือ ผ้าไหมมดั หม่ีหนา้ นาง หรือผา้ ปมู อายุ กวา่ 220 ปี ทเี่ จา้ เมืองชนบทคนแรกได้รบั พระราชทานจากพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก รชั กาลที่ 1 โดยทายาทของเจ้าเมอื งเปน็ ผูเ้ ก็บรกั ษาไว้ซ่งึ ต่อมา คนชนบทได้นามาเปน็ ตน้ แบบในการทอผา้ ไหมมัดหม่ี หนา้ นาง ท่ีมชี อื่ เสียงและเปน็ เอกลกั ษณ์อย่างหน่ึง ของผ้าไหมชนบทในปจั จุบนั จงึ สนั นษิ ฐานวา่ การทอผา้ ของอาเภอชนบทนา่ จะมีมาไม่ต่ากว่า 100 ปี หรอื อาจ จะมีมาตั้งแตเ่ ร่มิ ตัง้ เมืองชนบทคือ ประมาณ 200 กว่าปที ่แี ล้ว ผ้าท่ที อดว้ ยมือที่มชี ื่อเสียงทส่ี ดุ ของอาเภอชนบท ไดแ้ ก่ “ผ้าไหมมดั หมี่” โดยมขี น้ั ตอนเร่ิมจากการ คัดเลอื กเส้นไหม การออกแบบลายหมี่ การใหส้ ี การทอเป็นผืนผ้า ซง่ึ เป็น งานท่ีละเอียดออ่ น ผ้าไหมชนบทมีจุดเด่นคือ มีความความสวยงามลวดลาย ละเอียดแตกต่างจากท่อี นื่ เอกลกั ษณ์ของผ้าไหมชนบท คอื “ลาย”และ “เทคนคิ การทอผ้า”

ลายเก่าแก่ที่สืบทอดกนั มาและถือวา่ เปน็ ลายต้นแบบและเปน็ ลายเกา่ แกข่ องผ้าเมืองขอนแก่น คือ ลายหมกี่ ง ลายขนั หมากเบ็ง ลายขอพระเทพหรอื ลายเชิงเทียน โดย ส่วนใหญเ่ กอื บท้ังหมดจะเป็นการทอผ้า แบบ 3 ตะกอ ทาให้เนื้อผา้ แนน่ สม่าเสมอ มีลกั ษณะสีและลวดลายของผา้ ด้านหน่ึง สที บึ กวา่ อกี ด้าน สที ีเ่ ป็นเอกลกั ษณ์ดัง้ เดมิ คือ สีม่วง สแี ดง สเี ขียว สีเม็ดมะขาม เอกลกั ษณ์ของการทอผา้ อีกแบบหนงึ่ ของชาวชนบท คอื ผ้าปูมหรอื ผ้าหน้านาง ซึ่งมีลักษณะแบบ โจงกระเบนประกอบด้วย ลายมดั หมบ่ี รเิ วณท้องผ้า ลายมัดหมีห่ น้านาง และลายมดั หม่รี ิมชายผ้า ท้ังสองด้าน ลายแคนแก่นคูณ นครขอนแกน่ ไดร้ ับฉายาว่า เปน็ “นครแหง่ ไหม” ในภาคอีสาน ปี 2561 จึงเป็นปี ประวัตศิ าสตร์ ที่จารึกว่า เมอื งน้ี มีลายผา้ เป็นเอกลักษณ์ของเมืองแลว้ “แคนแก่นคูน” มีองค์ประกอบ ของลายที่แสดงถึง ทีม่ าแทน ความหมายลกึ ซ้งึ มีจิตวญิ ญาณทส่ี มั ผสั ได้ของคนอสี าน จากเส้นทาง ทมี่ าของใยไหม นามา มดั ย้อมสี ขึน้ ลาย ทอมือจนเป็นผืนผา้ สะท้อน ทีม่ า รหัสที่ถอดออกมาจากภูมิปญั ญาของแนวคิดคณะปราชญ์ ทง้ั 7 ลายได้แก่ 1 ลายแคน หมายถึง สัญลกั ษณ์แทนความเจริญและ สนุกสนาน เมืองแหง่ หมอแคน ความสขุ ของชาวเมืองขอนแกน่ 2 ดอกคนู หมายถงึ สัญลักษณ์ซงึ่ เปน็ ดอกไม้ประจาจังหวดั ขอนแก่น 3 พานบายศรี หมายถงึ ความมีมิตรภาพ ประเพณีการผกู เสีย่ ว และการยินดีต้อนรบั ผมู้ าเยือนของประชนชาวขอนแก่น 4 ลายขอ หมายถึง สัญลักษณ์แทนความกินดีอยดู่ ีความอุดมสมบรู ณข์ องประชาชน ชาวขอนแก่น 5 ลายโคม หมายถงึ การสืบทอดภูมิปญั ญาวัฒนธรรมของชาวขอนแก่น 6 ลายกง หมายถึง อาณาเขต บริเวณที่ได้รับการอารักขาใหเ้ กิดความมน่ั คง ปลอดภยั ทัง้ ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ ตลอดไป 7 ลายหมากจับ หมายถึง ความรกั ความสามคั คี ความเป็นน้าหน่ึงใจเดยี วกนั ของ ประชาชนชาวขอนแกน่

การทาผ้ามัดหมี่เป็นศิลปะการทอผ้าพ้ืนเมืองชนิดหนึ่งที่นิยมทากันมานาน ชาวบ้านกุดเพียขอมจะใช้เวลา ว่างจากการทานาและการเก็บเก่ียวมาทอผ้าไวใ้ ช้ในครวั เรือน หรือทอผ้าเอาไว้ใช้ในงานประเพณตี ่าง ๆ กระท่งั ในยุค หลงั ๆ มกี ารนาผ้าท่ีเหลือใชเ้ องมาจาหน่าย จนหลายพน้ื ท่ีการทอผา้ กลายมาเปน็ รายได้หลักแทนการทานาอาชีพแต่ ดั้งเดิม อ. ชนบท จ. ขอนแก่น เป็นหน่ึงในอาเภอท่ีข้ึนช่ือเร่ือง “ผ้าไหมมัดหม่ี” และ “ช่างทอผ้า” และหลังจาก ขอนแก่น ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการจากสภาหัตถกรรมโลกให้เป็น “เมืองแห่งผ้ามัดหม่ี” หรือ “นครแห่ง ผ้ามัดหม่ี” และมีลายประจาจังหวัดคือลายแคนแก่นคูน ทาให้มีการส่ังทาผ้าไหมลายแคนแก่นคูนเป็นจานวนมาก ชาวบ้านตาบลกุดเพียขอมจึงหันมาทอผ้าไหมมัดหม่ีลายแคนแก่นคูน กศน.ตาบลกุดเพียขอม โดยนางสาวทิพย์มณา ราชาธรรมกุล ครู กศน.ตาบลกุดเพียขอม ได้มองเห็นโอกาสในการพัฒนาอาชีพของชาวบ้านตาบลกุดเพียขอม จึง จัดทาหลักสูตรการทอผ้าไหมมัดหม่ีลายแคนแก่นคูน เพ่ือเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้สาหรับประชาชนในพ้ืนที่ ทั้งใน อาเภอชนบท ยังมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าไหมมัดหมี่บ้านหัวฝาย ซึ่งเป็นสถานที่เรียนรู้และศึกษาดูงานการทาผ้าไหม มดั หมอ่ี ย่างครบวงจรของอาเภอชนบทในการพฒั นาอาชีพของชาวชนบท

วสั ด/ุ อปุ กรณ์ เส้นไหม ใชเ้ สน้ ไหมคุณภาพมาตรฐาน ประกอบด้วย เส้นไหมยและเส้นไหมพุ่ง หลกั เฝือ คือ อุปกรณ์ในการค้นเส้นยนื เพอื่ ทาการเตรยี มเสน้ ยนื กอ่ นท่ีจะนาไปติดต้งั กที่ อผา้ กง คือ อปุ กรณ์สาหรับใส่เสน้ ไหม เพอื่ การกรอเส้นไหมเข้าอัก อกั คอื อปุ กรณส์ าหรบั การม้วน เกบ็ เส้นไหมที่ทาการกรอจากกง ไน/หลา คืออุปกรณส์ าหรบั การกรอเส้น ไหมเข้าหลอด หรือ เป็นอุปกรณ์ในการตี เกลยี วเส้นไหม และควบตเี กลียวเส้นไหม หลอด คอื อุปกรณส์ าหรบั การมว้ นเกบ็ เส้นไหมเพื่อนาไปในกระสวย เพอ่ื การพ่งุ เส้นพุ่งในการทอผา้ มัดหม่ี

กระสวย คือ อุปกรณส์ าหรับใส่หลอดมว้ นเสน้ ไหมพุ่ง เพ่ือพุ่งนาหลอดเส้นพงุ่ ในการทอผา้ ฟืม คอื อปุ กรณ์สาหรับการจัดเรียงเส้นไหมยืน ก่อนทีจ่ ะนาไปเส้นยืนไปกลางตั้งขึ้นบนกท่ี อผ้า กี่ทอผ้า คอื อปุ กรณ์สาหรบั การทอผา้ ไม้เหยียบหูก คือ อปุ กรณ์ทเ่ี ปน็ ท่อนไม้ที่อยู่ด้านลา่ ง ของก่ีทอผา้ มีเชือดโยงตดิ กบั ตะกอฟมื เพ่ือใช้เท้า เหยียบใหเ้ สน้ ยนื สลับข้นึ และลง เพอื่ การสอดเส้นพ่งุ ในการทอผ้า แปรงทาแปง้ บนเส้นยืน คือ อปุ กรณส์ าหรับใช้ทา นา้ แปง้ บนเสน้ ยืนเพ่ือป้องกันเสน้ ยืนแตกในขณะที่ทอผ้า ไม้คันผัง คือ อปุ กรณ์ทท่ี าดว้ ยไมไ้ ผ่ ใช้คา้ ยัน ขอบริมผา้ หนา้ กว้างทงั้ สองดา้ นของหนา้ กว้าง ผืนผ้าใหต้ ึงและตรงตลอดท้ังแนวความยาว

พืน้ ฐานการทอผ้าไหม ข้ันตอนที่ 1 : การฟอกย้อม เป็นการฟอกไหมเพื่อเอาโปรตีนไหมออก ทาให้ไหมนุ่ม ใช้เวลาประมาณ 10 นาที การลอกกาวไหมหรือการฟอกไหม หมายถึง การทาความสะอาดเส้นใยไหมด้วยการกาจัดสว่ นของ sericin ทม่ี ี ลักษณะเป็นสารสีเหลอื งทบึ หรือมสี ขี าว (ไหมดบิ มีทัง้ สเี หลือง และสขี าวขนึ้ กับสายพันธ์) ออกจากเสน้ ใยไหมเพื่อการ เตรียมเส้นใยไหมก่อนที่จานามาย้อมสีต่าง ๆ ซ่ึงถ้าหากไม่มีการกาจัดสารดังกล่าวออก หากนามาย้อมก็จะทาให้เกดิ การย้อมติดสีต่าง ๆได้ยาก โดยจะได้เส้นใยไหมท่ีผ่านการลอกกาวจะมีลักษณะสีขาว มันวาว อ่อนนุ่ม สามารถย้อม ติดสีตา่ ง ๆ ได้ดี การลอกกาวไหมสามารถแบง่ ออกเป็น 2 วิธี คอื 1. การลอกกาวไหมด้วยด่าง โดยการใช้สารเคมีจาพวกด่าง เช่น โซเดียมคาร์บอเนต โซเดียมไฮดรอกไซด์ เปน็ ตน้ 2. การลอกกาวไหมดว้ ยกรด โดยการใช้สารเคมจี าพวกกรด เชน่ กรดซลั ฟรู กิ กรดไฮโดรคลอริก เป็นต้น ซึ่ง ไม่เปน็ ทนี่ ยิ มเพราะการใชก้ รดทาให้เกดิ การทาลายเส้นไหมมากกวา่ การลอกกาว ดว้ ยด่าง : การถกไหม เป็นการยดื เสน้ ไหมเพื่อใหเ้ ส้นไหมยาว ไมพ่ นั กนั : การย้อมไหม เมอ่ื นาไหมตากแห้ง เพื่อนามาเก็บสีตามท่ตี ้องการเพ่ือจานไปสู่ขั้นตอนต่อไป การยอ้ มสีเสน้ ไหม คือ การทาใหเ้ สน้ ไหมมีสีสันต่าง ๆ เพอ่ื ประโยชน์ในการสร้างสีสนั และลวดลายใหก้ บั ผ้า ซึ่งมหี ลายวิธกี าร เชน่ การจุ่มย้อมสี การแต้มสี การเขียนสี เป็นต้น สีท่ีใช้ยอ้ มมี 2 ประเภทท่ีใช้กนั คือ สธี รรมชาติ และสีสังเคราะห์ การย้อมสีธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่ได้มาจากสว่ นต่าง ๆ ของพืช เช่น เปลือกไม้ ใบไม้ ผล ลาต้น แก่น ต้นไมแ้ ละรากไม้ ซ่งึ จะมีกรรมวิธีในการเตรยี มนา้ ย้อมสีและวิธีการยอ้ มสีที่แตกต่างกนั ขึน้ อยู่กบั ชนดิ ของพชื และส่วนที่นามาใช้ในการย้อมสี การย้อมสีสังเคราะห์ สีสังเคราะห์หรือสีเคมี เป็นสีที่มีความบริสุทธ์ิของตัวสีมาก สามารถนาสีเหล่านั้นมา ผสมให้ได้สีตามท่ีต้องการและปรับระดับความเข้มของสีได้ วิธีการย้อมทาได้ง่ายและสะดวก สีที่ย้อมได้จะมีความสด สวยและมีความทนทานของสีดี สีสังเคราะห์ที่นามาย้อมมีหลายประเภท แต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติของสีย้ อม กรรมวธิ ีการย้อมคณุ ภาพสียอ้ มท่ีแตกต่างกนั ดังนนั้ การนามาใชป้ ระโยชน์จะตอ้ งใหเ้ หมาะสม ขัน้ ตอนท่ี 2 : การกวกั ไหม คือการดึงเสน้ ไหมให้ยืด เพ่ือไม่ให้เส้นไหมพันกัน ข้ันตอนน้เี ปน็ การนาเส้นไหมมัดหม่ีทยี่ ้อมสีได้ตามที่ต้องการแลว้ คล้องใส่กงแล้วถ่ายเส้นไหมให้พนั รอบอกั เรยี กวา่ กวกั หมี่ การกวักหมตี่ ้องระมดั ระวังอยา่ ให้เสน้ ไหมขาดตอน เพราะเมอ่ื นาไปทอแลว้ จะไม่ไดล้ ายตามต้องการ ข้นั ตอนท่ี 3 : การค้นไหม เป็นการคน้ ไหมให้ไดล้ าหมีเ่ พื่อใหง้ ่ายต่อการมดั ลายกาหนดลาย ว่าจะไดค้ วาม ยาวของผนื ผ้าเทา่ ไหร่ การค้นหวั หม่ีหรอื การเตรียมเสน้ พุ่ง เริ่มด้วยการเลือกลายก่อน แล้วทาการวัดความยาวของฟันหวีฟืม เช่น ถ้าใช้ขนาดของฟันหวี 42 น้ิว ให้ใช้ โฮงหม่ีขนาดน้อยกว่าฟันหวี 1 เซนติเมตร เพื่อให้หัวหมี่ท่ีมีขนาดสั้นกว่าความยาวของฟันหวี เพราะในขณะที่ทอผ้า นั้นจะเกิดแรงตึงของเส้นพุ่ง ทาให้หน้ากว้างผืนผ้าของฟันหวี 42 นิ้ว นั้นมีขนาดเท่ากับความยาวของหัวหม่ีพอดี สง่ ผลให้ผ้าเรยี บสม่าเสมอทัง้ ผืนและไมเ่ กิดสว่ นเกนิ ของเส้นไหมทางเสน้ พุ่งท่ีริมขอบผนื ผา้ ท้ังดา้ นซ้ายและขวา หรือที่ เรียกกันว่า ถั่วงอก เริ่มการค้นหมี่ จะใช้อุปกรณ์ท่ีเรียกว่า เคร่ืองค้นหม่ีหรือโฮงค้นหม่ี ซึ่งมีลักษณะเป็นกรอบไม้รูป

สี่เหล่ียมผืนผ้าขนาดกว้าง 60-80 เซนติเมตร ยาว 1.02 เมตร (ความยาวเท่ากับความกว้างของผ้าที่ทอสาเร็จแล้ว) การค้นจะจัดแบ่งเส้นไหมออกเป็นลาแต่ละลาจะมีเส้นไหมเท่ากันยกเว้นลาแรกและลาสุดท้ ายจะมีจานวนเส้นไหม เทา่ กับครง่ึ หนงึ่ ของลาอ่ืน ๆ จานวนลาหม่ีจะขน้ึ อยกู่ ับลายหมี่ อยรู่ ะหวา่ ง 21-65 ลาโดยจานวนลาจะเป็นเลขคี่เสมอ มัดหมวดหมเู่ ส้นไหมด้วยเชือกฟาง การผูกสายแนม หรือการสาน หรือการไพลาไหม เพ่ือแยกเส้นไหมแต่ละลาออกจากกันนั้น ถ้าเราไพแน่น จะมีผลทาให้การฟอกสีหรือย้อมสีเส้นไหมไม่ทั่วถึง เมื่อนาไปเส้นไหมน้ันไปทอจะได้ผืนผ้าที่ไม่เรียบ สีไม่สม่าเสมอ เนือ่ งจากเสน้ ไหมทย่ี ้อมได้มที ง้ั เส้นไหมอ่อนและแขง็ จานวนลา = (ความกว้างของลวดลายที่ตอ้ งการ x เสน้ พุ่ง) / จานวนเสน้ ต่อ 1 ลา ความกวา้ งของลวดลายท่ตี ้องการ (เซนตเิ มตร) พจิ ารณาจากแบบร่างทอี่ อกแบบไว้วา่ ต้องการใหแ้ ตล่ ะลายมี ความกว้างเท่าใดในผืนผ้า ตัวอย่างเช่น ผ้าหนึ่งผืนจะทอให้มีความยาว 200 เซนติเมตร ต้องการทอดอกไม้ 1 ดอก ให้มีขนาด 30 เซนติเมตร ดังน้ันความกว้างของลาย คือ 30 เซนติเมตร เส้นพุ่ง พิจารณาจากประเภทของเส้นไหมท่ี จะใช้ทาเส้นพุ่ง ถ้าเป็นไหมน้อย ให้นา 24 มาเป็นตัวคูณ ถ้าเป็นไหมเปลือกหรือไหมหลืบให้นา 15 มาเป็นตัวคูณ ไหมน้อยจะมีขนาดเส้นที่เล็กและละเอียดกว่าไหมเปลือก 1เซนติเมตร ไหมน้อยจะมีจานวนเส้นเยอะกว่าไหมเปลอื ก โดยประมาณ (ไหมน้อยจะทอได้ 24 เส้นต่อ 1 เซนติเมตร ส่วนไหมเปลือกจะทอได้ 15-16 เส้นต่อ 1 เซนติเมตร) จานวนเส้นต่อ 1 ลา ใน 1 ลา จะใช้ไหมเส้นพุ่งตั้งแต่ 2,4,6,8,10 เส้น หรือมากกว่าก็ได้ แต่ต้องเป็นจานวนคู่ ยิ่ง จานวนเส้นตอ่ ลามนี อ้ ยจะทาใหม้ คี วามละเอียดมากเทา่ นนั้ การค้นหม่ีเพื่อทาผ้าไหมลายดั้งเดิมจะมีจานวนลาอยู่ที่ 25-35 ลา ลาละ 4 เส้น (ลายจะกว้างประมาณ 8 เซนติเมตร) เพราะต้องการความละเอียดของลายมาก สมมุติว่ามี 31 ลาก็จะนับต้ังแต่1-31 ลากับหน้าของหลักค้น หมี่ พอครบ 31 ลา ก่อนนับย้อนให้นบั ซ้าท่ี 31 อกี ครั้ง แล้วนบั ย้อน 30-29-28-27… ลงมาเรื่อย ๆ จนสิ้นสดุ การนับ 1 ทาให้เส้นไหมท้ังขาไปขากลับทับซ้อนกัน ซ่ึงเรียกว่าขีน 1 ขีน จะทอได้ 2 ลายท่ีเหมือนกัน ผืนหนึ่งจะใช้ประมาณ 10 ขนี ก็จะมี 20 ลายซา้ ๆ กันท้ังผืนผา้ ขน้ั ตอนที่ 4 : การมดั หม่ี เป็นการกาหนดโครงสร้างของลาย เปน็ ขน้ั ตอนท่สี าคญั มาก การมัดหมี่ เป็นการทาลวดลายของผืนผ้า โดยการใช้วัสดุกันน้ามัดกลุ่มเส้นฝ้ายเป็นลวดลายตามต้องการ ก่อนนาฝ้ายย้อมน้าสี เม่ือแก้วัสดุกันน้าออกจึงเกิดสีแตกต่างกัน ถ้าต้องการเพียง 2 สี จะแก้วัสดุมัดฝ้ายเพียงครั้ง เดยี ว หากตอ้ งการหลายสจี ะมกี ารแก้มัดวัสดหุ ลายครัง้ ก่อนมัดหม่ี ต้องค้นหมี่ก่อน โดยการนาเส้นฝ้ายพันรอบหลักหมี่ 1 คู่ นับจานวนเส้นฝ้ายให้สัมพันธ์กับลาย หมี่ท่ีจะมัด จากนั้นจึงทาการมัดหม่ีกลุ่มเส้นฝ้ายในหลักหมี่ ตามลวดลายหม่ีที่ต้องการ เม่ือถอดฝ้ายมัดหมี่ออกจาก หลักหมี่ นาไปย้อมสี บดิ ใหห้ มาดแลว้ จึงแก้ปอมัดหม่ีออก ทาให้เกดิ ลวดลายตรงที่แก้ปอออก นาฝา้ ยทแ่ี กป้ อมัดแล้ว นี้ไปพันรอบหลอดไม้ไผ่เรยี กว่า การป่นั หลอด ร้อยหลอดฝ้ายตามลาดับก่อน-หลัง เกบ็ ไว้อย่างดรี ะวังไมใ่ ห้ถูกรบกวน จนเชอื กร้อยขาด ฝา้ ยมัดหม่ใี นหลอดฝา้ ยใชเ้ ปน็ เส้นพุ่งในการทอ วิธีการมัดหม่ี 1. มัดกลมุ่ ฝา้ ยแต่ละลกู หม่ีด้วยเชอื กฟาง จนครบหลกั หม่ี ทาเป็นเชงิ ผ้า 2. การเร่ิมต้นลายมัดหมี่ อาจมัดจากด้านบนไล่เรียงลงข้างล่าง หรือมัดข้างล่างก่อนจึงไล่เรียงข้ึนข้างบน บางคนอาจเรมิ่ มัดจากตรงกลางกอ่ น จึงขยายออกไปเต็มหลักหม่ี

3. เริ่มมัดปลายเชือกดา้ นหน่ึงกับลกู หม่ีก่อน จงึ พนั อกี ปลายหนึง่ ซอ้ นทบั กันให้แน่นเพ่ือไมใ่ หส้ ยี ้อมซมึ เข้าข้อ หม่ี เมื่อพันทับกันไปจนได้ความยาวตามลายหม่ีแล้ว มัดปลายเชือกกับลูกหมี่ให้แน่นเช่นกัน โดยเหลือปลายเชอื กไว้ เมอ่ื เวลาแกป้ อมัดจะทาไดง้ า่ ย 4. เอาเชือกเส้นหน่ึงสอดเข้าไปในช่องหลักหม่ีข้างใดข้างหน่ึง ผูกกลุ่มฝ้ายไว้เป็นวงไม่ให้หม่ีที่มัดลวดลาย แลว้ หลุดออกจากกนั และใชเ้ ป็นหูหิ้วสาหรับจับเวลาย้อม ถอดฝา้ ยมดั หมี่ออกจากหลักหมหี่ ลังจากน้ัน เราก็จะนาไป ย้อมคราม เม่ือยอ้ มครามเสร็จก็จะนามาแก้ปอมัดหม่ี ขนั้ ตอนท่ี 5 : การโอบหม่ี คล้ายๆ กับมดั หมี่แตจ่ ะเป็นการเก็บสโี อบสีท่ีต้องการดว้ ยเชอื กฟาง แล้วนาไป ย้อมแลว้ ล้างแลว้ ยอ้ มจนไดส้ ีตามทตี่ ้องการ การมัดโอบหม่ี คือ การมัดหมี่ครัง้ ท่ีสองเพื่อเก็บสีลายจากการมดั ครัง้ ที่หนึ่งไว้ หลงั จากการมัด โอบเสร็จ แลว้ นาหัวหม่ีมายอ้ มเปน็ ครัง้ ที่ 2 เพ่อื จะให้หม่ีเปน็ ลายอีกสหี นึ่งขั้นตอนการย้อมโอบจะทาอยหู่ ลายครัง้ เมื่อต้องการ ลวดลายหลากหลายสขี ึ้นอยู่กับลายท่ีจะนามามดั หรือสีสนั ท่ีตอ้ งการ : การแก้หมี่ เป็นการเลาะเอาเส้นเชอื กฟางทีเ่ ราโอบไว้ออกให้หมด เราก็จะเห็นสตี ามทีเ่ ราต้องการ การแกห้ มี่ คอื ขนั้ ตอนการแก้เชอื กฟางที่ใช้มัดลาหมแี่ ตล่ ะลาออกใหห้ มดโดยใช้มีดบางเล็ก ๆ หรือใบมีด โกนชนิดมดี า้ ม การแกห้ ม่ีจะต้องทาอย่างระมัดระวงั อย่าให้มดี ถูกเส้นไหมขาด หม่ีทแี่ ก้เชือกฟางออกหมดแล้ว จะ เหน็ ลายหมท่ี ่ีสวยงามและชัดเจนมากข้นึ ข้ันตอนท่ี 6 : การป่ันไหม เข้ากระสวย การทอต้องให้เส้นไหมเข้าในหลอดก่อนถึงจะทอได้ต้ังอักและหมุน อักคลายเส้นไหมออกจากอักพันเข้าหลอดไหมที่เสียบแน่นอยู่กับเหล็กในของหลา สมัยก่อนหลอดไหมจะทาด้วยต้น ปอแห้งที่ลอกเปลือกออก ยาวประมาณ 2–3 น้ิว ความยาวของหลอดจะต้องสัมพันธ์กันกับกระสวยทอผ้า กล่าวคือ หลอดไหมจะตอ้ งสามารถเข้าไปอย่ใู นกระสวยได้ เม่อื หมุนกงลอ้ ไม้ไผ่ของหลา เหล็กไนและหลอดจะหมุนเอาเส้นไหม จากอักพันรอบแกนหลอดไหม ปั่นเส้นไหมเข้าหลอดจนไดข้ นาดที่เหมาะกับร่องของกระสวยทอผ้า ร้อยหลอดไหมท่ี ป่ันแล้วตามลาดับก่อนหลัง หากร้อยผิดลาดับหรือทาเชือกร้อยหลอดขาด จะทาให้ลาดับเส้นไหมผิดไป ไม่สามารถ ทอเปน็ ลวดลายตามต้องการได้ เรียกวา่ หม่ขี าด ข้ันตอนท่ี 7 : การทอผ้าไหม จะต้องเรียงหลอดลายให้ถูกต้องและนาหลอดไหมเข้าไปในกระสวย ต้องใช้ ความปราณตี และสม่าเสมอของการทอ ผ้ามัดหมข่ี องชนบทจะใช้การทอแบบเหยียบสามตระกอ ลกั ษณะจะด้านนึง จะเขม้ ด้านนงึ จะสว่าง ซึง่ จะเลอ่ื งช่ือมาก วิธกี ารทอผ้า ปัจจุบัน ถึงแม้ว่ายังไม่มีหลักฐานท่ีแน่ชัดบ่งบอกถึงต้นกาเนิดของการ ทอผ้า แต่ก็สามารถเทียบเคียงกับ หลกั ฐานอืน่ ๆ ซึง่ มีความคลา้ ยคลงึ กันโดย มเี หตุผลหลายอย่างสนับสนนุ แนวคิดที่ว่า การทอผ้ามีววิ ฒั นาการมาจาก การ ทาเชือก ทอเสื่อ และการจักสาน โดยเฉพาะอย่างย่ิงลายเชือกทาบที่ปรากฏ ร่องรอยให้เห็นบนภาชนะดินเผา ซ่ึงพบเป็นจานวนมากตามแหล่งโบราณคดี ก่อนประวัติศาสตร์สมัยหินใหม่ เรื่อยมาจนถึงแหล่งโบราณคดีสมัย ประวตั ศิ าสตร์ ดว้ ยเหตนุ เี้ อง จึงกลา่ วไดว้ ่าการทอผ้าเปน็ งานหตั ถกรรมทเ่ี กา่ แกท่ ส่ี ดุ ในโลกงานหนึง่ หลักของการทอผ้า ก็คือการทาให้เส้นด้ายสองกลุ่มขัดกัน โดยทั้งสอง พวกตั้งฉากกัน เส้นด้ายกลุ่มหนึ่ง เรียกว่า ด้ายยืนและอีกกลุ่มหน่ึงเรียกว่า ด้ายพุ่ง ลักษณะของการขัดกันของด้ายพุ่งและด้ายยืน จะขัดกันแบบ ธรรมดาที่เรียกว่าลายขัดหรอื อาจจะเพิม่ เทคนคิ พิเศษเพื่อให้ผา้ มี ลวดลาย สีสนั ท่ีสวยงามแปลกตา

การทอมัดหมี่ ผ้ามัดหมี่มีกรรมวิธีการทอผ้าที่ใช้เทคนิคการมัดและการย้อม เร่ิมจากนาเส้นด้ายหรือไหมมาย้อมสีแล้วมัด บรเิ วณที่ ตอ้ งการเก็บไว้ เมือ่ นาไปย้อมสีอ่ืนจะไดไ้ มต่ ิดสี เพียงซมึ เข้ามาบางส่วน โดยยอ้ มเรียงลาดับจากสีอ่อนไปหา สีเข้มจนครบ ตามลวดลายท่ีกาหนด หลังจากนั้นจึงนาด้ายกรอเข้าหลอดตามลาดับ แล้วนาไปทอจะเกิดลวดลายบน ผืนผ้าที่มีลักษณะคลาดเคลื่อนเหลื่อมล้า อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมัดหม่ี การทอผ้าชนิดนี้จึงต้องอาศัยความ ชานาญในการมัดยอ้ มและทอเป็นอย่างมาก ผ้ามัดหมีม่ อี ยหู่ ลายชนิด ไดแ้ ก่ 1. มดั หมีเ่ ส้นพุ่ง 2. มัดหมีเ่ สน้ ยืน 3. มดั หม่เี สน้ พุ่งและเสน้ ยืน แหล่งข้อมลู อา้ งอิง ผ้าไหมมดั หมชี่ นบท https://qsds.go.th/silkcotton/k_8.php ขนั้ ตอนการทอผา้ ไหมมัดหม่ี http://bizkhonkaen.blogspot.com/2011/08/blog-post_8431.html ลายแคนแกน่ คนู https://www.m-culture.go.th/khonkaen/download/silk/Silk%20KK.pdf ผ้ามัดหมล่ี ายแคนแกน่ คูน กลุ่มวสิ าหกิจชมุ ชนผา้ ไหมมัดหม่ีบา้ นหวั ฝาย จ. ขอนแก่น http://i-san.tourismthailand.org/6906/ การสร้างสรรค์ลายมดั หมี่ดว้ ยเครอ่ื งมอื เชงิ กราฟฟิก file:///C:/Users/ASUS/Downloads/6998-Article%20Text-13807-1-10-20130312.pdf มาตรฐานผลติ ภณั ฑช์ ุมชน https://www.dip.go.th/Portals/0/Nusa/เพจ/ผลิตภัณฑป์ ระดิษฐ์จากผา้ และเส้อื ผา้ .pdf แนวคดิ การออกแบบบรรจุภัณฑผ์ า้ ไหม https://www.youtube.com/watch?v=sZzcCPAyaGU การแปรรูปผลิตภณั ฑ์จากผา้ ไหม https://athaisilk.tripod.com/products.htm ผลิตภัณฑ์จากผา้ ไหม https://sites.google.com/a/nadeewit.ac.th/kar-thx-him/karna-pi-chi-prayochn แนวทางการเพิ่มมูลคา่ ผ้าไหมมัดหม่ที ม่ี ีประสทิ ธผิ ล เพื่อสง่ เสริมคณุ คา่ ตราสินค้าของวสิ าหกจิ ชมุ ชนในเขต อาเภอชนบท จังหวดั ขอนแก่น file:///C:/Users/ASUS/Downloads/240987-Article%20Text-829820-1-10-20200409.pdf

พาณิชย์ หนนุ ตลาดผา้ ไหมไทย จดั เส้นทางสายไหมสูแ่ หล่งทอ่ งเท่ยี ววิถไี ทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://www.thailandplus.tv/archives/62854 การสง่ ออกผา้ ไหมไทยและผลิตภณั ฑ์ https://sites.google.com/site/phahimthiy345/kar-sng-xxk-pha-him-thiy การคานวณตน้ ทุน กาไร https://peakaccount.com/blog/คานวนตน้ ทนุ ขาย/ การจดั หาแหลง่ เงินทนุ และเงินกู้ กรมส่งเสรมิ อตุ สาหกรรม https://bsc.dip.go.th/th/category/2016-09-06-05-17-49/fs-loan-search การบรหิ ารหนแี้ ละบริหารสัญญา https://phrae.cdd.go.th/wp-content/uploads/sites/41/2020/04/คู่มอื เพมิ่ ศกั ยภาพด้านการ บรหิ ารโครงการบรหิ ารหนฯ้ี .pdf บัญชีครวั เรอื น https://www.prosoftwinspeed.com/Article/Detail/130226 / www.east.spu.ac.th/accounting/depart_new/Open_knowledge.php?id=398 ภาคเี ครือข่าย - วสิ าหกิจชมุ ชนผา้ ไหมมัดหม่ี บ้านหัวฝาย อาเภอชนบท จังหวดั ขอนแกน่ - กลุ่มสตรีสหกรณ์บา้ นหวั ฝาย - พัฒนาชมุ ชนอาเภอชนบท

คณะทปี่ รึกษา คณะผู้จดั ทา นางสาวเสาวรสธ์ พลโคตร นางจันทรศ์ รี อาจสุโพธิ์ ศกึ ษานิเทศกช์ านาญการพิเศษ คณะพัฒนาหลักสตู ร ผู้อานวยการ กศน.อาเภอชนบท นางสาวเสาวรสธ์ พลโคตร นางจันทรศ์ รี อาจสโุ พธิ์ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพเิ ศษ นายสมพร เพยี จันทร์ ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอชนบท นางศิรลิ ักษณ์ อคั นจิ ครูผู้ช่วย นางสาวทพิ ย์มณฑา ราชาธรรมกลุ ครอู าสาสมัคร กศน. นายณัฐชนน เรง่ มานะวงษ์ ครู กศน.ตาบล คณะบรรณาธิการ บรรณารกั ษ์ นางสาวเสาวรสธ์ พลโคตร นางจันทร์ศรี อาจสโุ พธิ์ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพิเศษ นายสมพร เพียจันทร์ ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอชนบท นางศริ ิลักษณ์ อคั นจิ ครผู ู้ชว่ ย นางสาวทพิ ยม์ ณฑา ราชาธรรมกุล ครูอาสาสมัคร กศน. ออกแบบกราฟฟิก ปก/รปู เล่ม ครู กศน.ตาบล นายณฐั ชนน เรง่ มานะวงษ์ นางสาวทพิ ย์มณฑา ราชาธรรมกุล บรรณารักษ์ ครู กศน.ตาบล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook