Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การแต่งคำประพันธ์

การแต่งคำประพันธ์

Published by นฤมล บัวขาว, 2021-05-25 15:22:44

Description: การแต่งคำประพันธ์มัธยมศึกษาตอนปลาย

Search

Read the Text Version

การแตง่ คำประพนั ธ์ คำประพันธ์ คอื ถ้อยคำที่ได้ร้อยกรอง หรอื เรยี บเรยี งขน้ึ โดยมีข้อบังคบั จำกัดคำ และวรรคตอน ให้รับ สัมผัสกนั อย่างไพเราะ ตามกฎเกณฑ์ ท่ีไดว้ างไวใ้ นฉันทลักษณ์ คำประพนั ธ์ จำแนกออกเปน็ ๔ ชนดิ ใหญ่ๆ คือ โคลง ลลิ ติ ฉนั ท์ กาพย์ และ กลอน คำประพนั ธ์ทด่ี ี จะตอ้ งประกอบด้วยลกั ษณะ ๓ ประการ คือ ๑. มีข้อความดี ๒. มสี ัมผสั ดี ๓. แตง่ ถูกต้องตามลักษณะบังคับ คำประพนั ธ์ประเภท \"กลอน\" กลอน คือ ลักษณะคำประพนั ธ์ชนิดหนึ่งทมี่ ลี ักษณะบังคับคณะและสัมผสั แตไ่ มบ่ ังคับ เอกโท และ คร-ุ ลหุ กลอนสองวรรคเทา่ กบั หน่ึงบาท กลอนส่บี าทเทา่ กบั หน่งึ บท วรรคท้ังสข่ี องกลอนยังมชี ื่อเรียกต่าง ๆ กัน อีก คือ ๑. วรรคแรก หรอื วรรคสดบั คำสดุ ท้ายของวรรคนยิ มใช้เสียงเต้น (คือนอกจากเสยี งสามัญ) จะทำ ใหเ้ กดิ ความไพเราะ แต่ถา้ จะใช้เสยี งสามญั กไ็ มห่ า้ ม ๒. วรรคสอง หรอื วรรครับ คำสุดท้ายของวรรคนิยมเสียงจตั วา จะใชเ้ สยี งเอก เสียงโทบา้ งก็ได้ แต่ ไม่ควรใชเ้ สยี งสามญั หรือเสยี งตรี ถ้าจะใชเ้ สียงเอก คำสุดทา้ ยของวรรครองควรเปน็ เสียงตรี ๓. วรรคสาม หรือ วรรครอง คำสดุ ท้ายของวรรคนยิ มใชเ้ สยี งสามัญ ไม่ควรใช้ คำตายและคำที่มรี ปู วรรณยกุ ต์ ๔. วรรคสี่ หรือ วรรคส่ง คำสุดท้ายของวรรคนิยมใชเ้ สียงสามญั หา้ มใช้คำตายและคำท่ีมีรปู วรรณยุกต์ จะใชค้ ำตายเสียงตรบี า้ งก็ได้ ในท่ีนี้เราจะมาเรยี นร้รู ูปแบบฉนั ทลักษณ์ในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกลอน ๓ ประเภท ด้วยกนั คือ

กลอนสุภาพ แผนผงั กลอนสภุ าพ กลอนสภุ าพพึงจำมกี ำหนด กลอนหน่ึงบทส่ีวรรคกรองอกั ษร วรรคละแปดพยางคน์ ับศัพท์สนุ ทร อาจยิ่งหย่อนเจด็ หรอื เกา้ เข้าหลกั การหา้ แหง่ คำคลอ้ งจองตอ้ งสัมผัส สลับจดั รับรองส่งประสงคส์ มาน เสียงสงู ตำ่ ต้องเรยี งเย่ียงโบราณ เปน็ กลอนกานทค์ รบครันฉนั ท์นี้เอย

กลอนสักวา แผนผงั กลอนสักวา สกั วาหวานอน่ื มหี มนื่ แสน ไม่เหมือนแม้นพจมานทหี่ วานหอม กล่ินประเทียบเปรยี บดวงพวงพยอม อาจจะน้อมจติ โน้มด้วยโลมลม แม้นลอ้ ลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดงั ดดู ด่มื บอระเพ็ดต้องเข็ดขม ผดู้ ไี พรไ่ ม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟงั ลมเมินหนา้ ระอาเอย

กลอนดอกสร้อย แผนผงั กลอนดอกสร้อย เดก็ เอ๋ยเดก็ น้อย ความรเู้ จา้ ยังดอ้ ยเรง่ ศึกษา เม่ือเติบใหญ่เจา้ จะได้มวี ิชา เป็นเคร่อื งหาเล้ยี งชีพสำหรับตน ได้ประโยชนห์ ลายสถานเพราะการเรยี น จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล ถึงลำบากตรากตรำก็จำทน เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย

คำประพันธ์ประเภท \"กาพย\"์ กาพย์ เป็นคำประพันธ์ชนดิ หน่ึงท่ีบงั คับจำนวนคำและสมั ผสั จดั วรรคต่างจากกลอนและไมบ่ งั คบั เสยี ง วรรณยกุ ตท์ ้ายวรรค ไมม่ ีบงั คับเอก-โท เหมอื นโคลง และไม่มบี งั คบั ครุและลหุเหมอื นฉนั ท์ กาพย์เปน็ คำประพันธท์ ีป่ รากฏมาตั้งแตใ่ นสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา มี ทงั้ ท่แี ต่งเปน็ หนังสอื อา่ นเล่น แต่งเป็น หนงั สือสวด หรือเป็นนิทาน กระทงั่ เป็นตำราสอนก็มี กาพย์มีด้วยกันหลายชนดิ แต่ละชนดิ มลี กั ษณะเฉพาะ แตกตา่ งกนั ในทนี่ ้ีขออธิบายรูปแบบ ฉนั ทลกั ษณใ์ นการแต่งคำประพันธป์ ระเภทกาพย์ ๓ ชนิดด้วยกนั ดังน้ี

กาพยย์ านี ๑๑ แผนผังกาพยย์ านี ๑๑ สิบเอ็ดบอกความนัย หน่งึ บาทไซร้ของพยางค์ วรรคหนา้ อย่าเลือนราง จำนวนห้าพาจดจำ หกพยางคใ์ นวรรคหลงั ตามแบบต้งั เจ้าลองทำ สัมผัสตามชน้ี ำ โยงเส้นหมายใหเ้ จา้ ดู สุดท้ายของวรรคหนง่ึ สัมผสั ตรงึ สามนะหนู หกห้าโยงเป็นคู่ เร่งเรยี นรสู้ ร้างผลงาน

กาพย์ฉบงั ๑๖ แผนผังกาพย์ฉบัง ๑๖ ฉบงั สิบหกความหมาย หนงึ่ บทเรียงราย นบั ไดส้ บิ หกพยางค์ เพื่อเป็นแนวทาง สัมผัสชดั เจนขออ้าง สมั ผัสรัดตรงึ ใหห้ นูได้คดิ คำนึง ร้อยรดั จัดทำ จงจำนำไป พยางคส์ ุดท้ายวรรคหน่ึง สดุ ทา้ ยวรรคสองต้องจำ สุดทา้ ยวรรคสามงามขำ สัมผสั รดั บทต่อไป บทหน่ึงกับสองว่องไว เรยี งถ้อยร้อยกาพยฉ์ บงั

กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘ แผนผังกาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ สรุ างคนางค์ เจด็ วรรคจดั วาง วรรคหนง่ึ สี่คำ สมั ผสั ชัดเจน เปน็ บทลำนำ กำหนดจดจำ รรู้ ่ำรู้เรียน รคู้ ิดรู้อ่าน รูป้ ระสบการณ์ รงู้ านอา่ นเขียน รทู้ ุกข์รู้ยาก รู้พากรู้เพยี ร ประดุจดวงเทยี น ประดบั ปญั ญาฯ

คำประพนั ธ์ประเภท \" โคลง \" โคลงสี่สภุ าพ เปน็ คำประพันธป์ ระเภทร้อยกรองชนิดหนงึ่ ซ่ึงมปี รากฏในวรรณคดีไทยมานานแลว้ วรรณคดี ไทยฉบับท่ีเก่าและมีชื่อเสยี งมากฉบบั หนึ่งคือ \"ลิลติ พระลอ\" มโี คลงสสี่ ุภาพบทหนงึ่ ถูกยกมาเปน็ บทตน้ แบบท่ีแต่ง ได้ถูกตอ้ งตามลกั ษณะบังคับของโคลงส่สี ุภาพ คือนอกจากจะมีบังคบั สมั ผัสตามท่ีตา่ ง ๆ แลว้ ยงั บงั คบั ให้มี วรรณยกุ ตเ์ อกโทในบางตำแหนง่ การประพันธโ์ คลงสส่ี ุภาพ ลักษณะโคลงสีส่ ุภาพ คณะของโคลงส่สี ภุ าพ คือ บทหนึง่ มี 4 บาท (เขยี นเป็น 4 บรรทดั ) 1 บาทแบง่ ออกเปน็ 2 วรรค โดย วรรคแรกกำหนดจำนวนคำไว้ 5 คำ ส่วนวรรคหลัง ในบาทที่ 1,2 และ 3 จะมี 2 คำ (ในบาทที่ 1 และ 3 อาจ เพ่มิ สรอ้ ยไดอ้ กี แห่งละ 2 คำ) ส่วนบาทท่ี 4 วรรคท่ี 2 จะมี 4 คำ รวมท้ังบท มี 30 คำ และเมอ่ื รวมสร้อย ท้งั หมดอาจเพิ่มเปน็ 34 คำ สว่ นท่บี ังคับ เอก โท (เอก 7 โท 4) ดังนี้ บาทที่ 1 (บาทเอก) วรรคแรก คำที่ 4 เอก และคำท่ี 5 โท บาทที่ 2 (บาทโท) วรรคแรก คำท่ี 2 เอก วรรคหลงั คำแรก เอก คำท่ี 2 โท บาทท่ี 3 (บาทตร)ี วรรคแรก คำท่ี 3 เอก วรรคหลงั คำท่ี 2 เอก บาทท่ี 4 (บาทจัตวา) วรรคแรก คำที่ 2 เอก คำที่ 5 โท วรรคหลัง คำแรก เอก คำที่ 2 โท แผนผังโคลงส่สี ภุ าพ เสียงลือเสียงเลา่ อา้ ง อนั ใด พ่เี อย เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า สองเขือพหี่ ลับใหล ลืมต่นื ฤๅพ่ี สองพีค่ ิดเองอา้ อย่าไดถ้ ามเผือ

คำประพนั ธป์ ระเภท \"ฉันท์\" ฉันท์ คอื ลกั ษณะถ้อยคำท่ีกวไี ด้รอ้ ยกรองข้ึน เพ่ือใหเ้ กดิ ความไพเราะ โดยกำหนดครุ ลหแุ ละสมั ผัสเป็น มาตรฐาน ฉันทเ์ ปน็ คำประพันธ์ที่ได้แบบอย่างมาจากอนิ เดีย เดิมแตง่ เปน็ ภาษาบาลี และสันสกฤตไทยนำ เปลย่ี นแปลงลกั ษณะบางอยา่ งเพือ่ ให้สอดคล้องกบั ความนยิ มในคำประพันธ์ไทย แผนผังอนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท์ โขดเขินศิรขรเขา ณ ลำเนาพนาลัย สงู ล่ิวละลานนั - ยนพ้นประมาณหมาย ยอดมัวสลเั มฆ รุจเิ รขเรียงราย เล่ือมเลื่อมศลิ าลาย กส็ ลับระยับสี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook