ถวายพระเจา้ ) ซึง่ เปน็ ทพ่ี อพระทยั ของพระอนิ ทรโ์ ดยรอบแหง่ กองอัคคี ลาํ ธารสีแดงเข้ม อันหนาส่งกลิ่นและไหลชา้ ๆ หายไปในทรายแต่แลว้ กม็ ีไหลมาใหม่อีกไมห่ ยดุ หยอ่ นนน้ั คือโลหิตของสตั ว์อันนา่ อนาถทีใ่ ช้บชู ายัญ ในจําพวกสัตว์เคราะหร์ า้ ยเหลา่ นัน้ แมแ่ พะตัว หนึ่งถูกมดั เขาดว้ ยหญา้ มญุ ช์(ต้นหญ้าชนดิ หน่งึ มดี กดื่นในประเทศอินเดยี ใช้ทาํ เปน็ เชอื ก) ใหศ้ ีรษะตวดั มาขา้ งหลัง วางนอนอยู่ นักบวชรปู หนง่ึ ถอื มดี จอ่ ลงที่คอพลางกล่าวพึมพําว่า “โอ! ทวยเทพเจ้าผู้ศักดาทง้ั หลาย ณ บัดนตี้ ูขา้ จะเริม่ ทําการบูชายัญ(ยชญ เป็นคําสสํ กฤต ตรงกบั บาลี ยญญ) อนั มากหลายซ่ึงพระเจ้าพมิ พิสารถวายแกพ่ ระองค์ ขอพระองคท์ รงพระ สาํ ราญพระทัยทไ่ี ดเ้ ห็นโลหิตไหลหลั่ง และจงทรงปลม้ื ด้วยรสแห่งเนื้อหอมมันซึง่ ย่างอยู่ กลางเปลวอคั คีอันครุ อ้ นนีเ้ ถิด ขอจงบันดาลให้บาปทง้ั มวลของพระราชาตกไปอยู่ท่แี ม่แพะ ตวั น้ี แลว้ ให้อคั คกี าํ จดั บาปนน้ั พรอ้ มกับท่ีเผาผลาญแมแ่ พะน้จี งสิน้ เชิง ขา้ พเจา้ จะลงมือ ประหารแลว้ ” แตพ่ ระมหาบรุ ุษค่อย ๆ ตรัสวา่ “มหาบพติ รรอยา่ ปล่อยใหฆ้ า่ สตั วน์ ี้เลย” ตรัส พลางเสด็จไปแก้สตั วต์ วั เคราะห์รา้ ยนนั้ ออกโดยไม่มใี ครห้ามปรามเพราะพระอาการกริ ิยาที่ ทรงกระทาํ นนั้ มสี งา่ เปน็ เชงิ บงั คับ ครั้นเม่ือพระองค์ตรัสขออนญุ าตไดแ้ ล้วจึงทรงวสิ ัชนาถึงชวี ิตใคร ๆ ก็อาจ ทาํ ลายได้ แต่ว่าไมม่ ใี ครเลยอาจนาํ มาให้ได้เรือ่ งชวี ิตซง่ึ ทกุ รปู ทุกนามย่อมรัก และตอ้ ง ต่อสเู้ พือ่ ปอู งกนั ชีวิตของตน ชวี ิตซึง่ เป็นของประเสรฐิ มีค่าและเปน็ ประโยชนส์ าํ หรบั บคุ คลทกุ รปู ทุกนามแมจ้ ะเป็นผ้มู ักน้อยปานใดก็ดีนั้นแหละ ชวี ิตเปน็ ลาภอัน ประเสริฐสําหรบั สัตว์โลกท้ังปวงทมี่ เี มตตา เพราะความเมตตาเสรมิ ให้โลกเปน็ ท่ี ร่มเยน็ ต่อผทู้ ่อี อ่ นแอ และเปน็ เกยี รติศักดสิ์ ําหรับผ้ทู มี่ กี ําลงั พระองคต์ รัสแทนฝงู สัตว์ซึ่งมีปากอันพดู ไมไ่ ด้ดว้ ยพระวาจาอันนา่ เคารพ เพื่อช่วยโปรด สัตว์เหลา่ น้ันใหพ้ ้นอนั ตราย พระองค์ทรงแสดงให้เห็นปรากฏว่า มนษุ ย์ซ่ึงวิงวอนใหพ้ ระ เจ้าโปรดเมตตาตนเองนั้น ไมม่ ีความเมตตาสําหรบั สัตวท์ ง้ั หลายซง่ึ อยใู่ ตอ้ าํ นาจ ความเป็นเจา้ เป็นใหญข่ องมนุษย์ พระองค์ยังตรัสอีกว่า สิง่ ใดท่ีมีชวี ติ ยอ่ มเก่ยี วขอ้ งเปน็ ญาติกันทงั้ สนิ้ และ วา่ บรรดาสตั วซ์ งึ่ เราฆ่านัน้ ไดอ้ อ่ นนอ้ มใหป้ ระโยชนแ์ ก่เรา คอื น้าํ นมและขนของมัน และ มอบหมายความไวว้ างใจใหอ้ ยู่ในมอื ของผู้ซ่งึ พฆิ าตฆ่ามัน อน่ึงพระองคไ์ ด้ตรสั ถึงส่งิ ซง่ึ พระคัมภรี ไ์ ดส้ ง่ั สอนไวโ้ ดยเทีย่ งธรรมวา่ “เม่ือมนษุ ย์ตายไปแล้ว บา้ งก็ไปไดก้ ําเนดิ เป็นนก เปน็ สตั วจ์ ตบุ าท และนก หรือจตบุ าทกลับมาเกดิ เปน็ มนุษย์ ประกายไฟทลี่ อยไปในอากาศ จะกลายมาเป็นเพลงิ อนั สว่างไสว กแ็ ลการบชู ายัญนั้นอาจทาํ ใหก้ ารเวียนเกิดเวยี นตายของ วิญญาณต้องหยดุ ชะงัก พระองคต์ รัสเพมิ่ เติม “ไม่มีใครเลยท่ีอาจจะทําใหด้ วงจิตของตนบริสทุ ธ์ิได้โดย อาศัยโลหิต หากเทพเจ้าทัง้ หลายประเสรฐิ จรงิ โลหิตก็ไม่อาจทาํ ใหเ้ ทพเจา้ เหล่านั้น สนกุ สบายได้ หากเทพเจา้ ไมด่ ี โลหิตน้กี ค็ งไม่ทําให้ดขี ้นึ ได้ การเอาบาปจนแมแ้ ต่ หนักสักเทา่ กบั ผมเส้นหนึง่ ของผู้ทําชั่วและทาํ ผิดซง่ึ ต้องรบั ผิดชอบได้แต่ด้วย ตนเองไปใสเ่ หนือศีรษะของสตั ว์ผหู้ าความผิดมไิ ดน้ ัน้ ย่อมหาประโยชนอ์ ะไรมิได้ เลย เพราะต่างคนตา่ งตอ้ งรับบาปบญุ ของตนด้วยตนเอง ตามสว่ นมากหรอื สว่ นน้อยไม่ เปลยี่ นแปลงของโลกซง่ึ เป็นผู้แจกจา่ ยความดใี ห้แกผ่ ู้ทีท่ ําดี ความช่วั ใหแ้ กผ่ ูท้ ท่ี าํ ช่ัวตาม ขนาดเทา่ ท่คี นหน่ึงพงึ รบั จากกิรยิ า วาจา และความคิดของตนซง่ึ เปน็ การถ้วนถ่ี ถกู ต้อง ไม่ แปรปรวนและแน่นอน และซงึ่ เป็นอันวา่ อะไรท้ังปวงซง่ึ เปน็ ไปในเบื้องหนา้ ลว้ นแตเ่ ป็นผล ซงึ่ เนือ่ งมาจากสงิ่ ทล่ี ่วงมาแล้วแตห่ นหลังท้งั ส้นิ ” พระองคต์ รัสดงั นี้ ดว้ ยพระวาจาอันแสดงเมตตาจติ อยา่ งยง่ิ และด้วยพระอาการ อันมีสงา่ ราศีเกดิ จากความสงั เวชและความยุติธรรมจนเหลา่ นกั บวชน้นั ทําลายเครื่อง
ตกแตง่ ของตนเสยี ด้วยมอื ทกี่ าํ ลงั แปดเปื้อนไปดว้ ยเลอื ดแดงและจนพระราชาเสดจ็ เขา้ มา ใกลแ้ ลว้ และประณมหตั ถ์วนั ทนาการ ถงึ กระนั้นพระศาสดาจารย์ของเรากต็ รัสต่อไปเปน็ คําส่งั สอนว่า “โลกเราน้กี ็ ถึงซงึ่ สันตสิ ุขเพยี งใด หากธรรมชาติท่มี ชี ีวติ ท้งั ปวงอยู่ร่วมกันด้วยความโอบอ้อม อารี” และหลอ่ เลีย้ งตนเองแตด่ ว้ ยสง่ิ ซึ่งบรสิ ทุ ธิโ์ ดยไมใ่ ห้มีการถึงเลือดออก ด้วยพันธ์พุ ืชสีเหลอื งเป็นทอง ผลไม้สีงาม ๆ หญ้าท่ีมีรสโอชาซงึ่ งอกขน้ึ สาํ หรับสัตวโลก ทง้ั ปวง นาํ้ อันสดใสก็พอที่จะหลอ่ เล้ียงและแกค้ วามกระหายของโลกไดด้ ้วยอาํ นาจแห่ง พระโอวาทอนั ประเสริฐ กระทําใหบ้ งั เกิดมีความเล่ือมใสขึน้ ในเหล่านักบวชจนถงึ กับพากนั ทําลายโต๊ะบชุ าซึ่งมไี ฟกาํ ลงั คุ และโยนเหลก็ สําหรบั ทาํ การบุชายญั ไปเสียใหห้ า่ ง ครัน้ รงุ่ ข้นึ กม็ ีเจา้ พนกั งานผู้ปาุ วร้องประกาศพระราชดํารัสฉบบั หน่ึงนําออกโฆษณาท่ัวพระ ราชธานี และจารกึ ประโยคข้อความไวบ้ นศลิ าว่า “ดว้ ยพระราชามีพระราชประสงค์ดังนี้:- “ตั้งแตเ่ ดิมมาจนกระท่ังบดั นี้ ต่างคนต่างพากนั พิฆาตฆา่ สัตว์เพือ่ ทําการบูชา ยญั หรือสาํ หรบั เล้ยี งชพี ของตนเอง ตั้งแต่บัดนเ้ี ปน็ ต้นไป ขออยา่ ผูใ้ ดทาํ โลหติ ใหอ้ อกจาก กายของสิ่งซึ่งมีชีวติ และอย่าใหใ้ ชเ้ น้อื เปน็ อาหาร เพราะบดั นีเ้ ราเห็นแจ้งแล้วว่าชวี ิตย่อม เปน็ อยา่ งเดียวกนั ทง้ั สิน้ และความเมตตา(ในเบื้องหน้า) จะมแี ก่ผซู้ ง่ึ เมตตา” นแ่ี หละคือ พระราชประสงคท์ ท่ี รงบญั ญตั ิข้นึ ซึ่งต้งั แตบ่ ัดน้ันสตั วท์ ่ีมีชีวิตทง้ั ปวง คือมนษุ ย์ สัตว์ เดรจั ฉานซ่งึ รับใช้มนุษยแ์ ละนกท้งั ปวง ณ สองฟากแม่นํ้าพระคงคาซึง่ พระมหาบรุ ษุ เรา เสด็จทรงสั่งสอนดว้ ยจิตเมตตาอนั บรสิ ุทธ์ิ และพระโอวาทอันอ่อนหวานของพระองค์กไ็ ด้ ประสพความสันตสิ ขุ ทัว่ กัน ท้ังน้กี เ็ พราะว่าพระทยั ของพระศาสดาทรงมเี มตตายงิ่ แกส่ ิ่งท้งั ปวงซงึ่ มีกระแส ชีวติ อันไมถ่ าวร และตกอยใู่ นอาํ นาจแห่งความรา่ เรงิ และความลาํ บากอย่างหนึง่ อยา่ ง เดยี วกนั กับเราท้ังหลาย อนง่ึ ในพระคัมภรี ย์ ังมจี ารกึ ไว้อกี ว่า “เมือ่ กาลก่อนโนน้ คราเม่อื พระพุทธเจ้าทรงกําเนดิ เปน็ พราหมณ์สํานักอยู่ ณ ยอดผานามวา่ มนุ ดา ใกล้กับชนบทดาลดิ ด์ ความแหง้ แล้งอุบตั ขิ ึน้ ทัว่ ทั้งเมอื ง บรรดาตน้ ขา้ วก็ตายเป็นตน้ ฟุางกอ่ นท่มี คี วามสูงพอทีไ่ ก่นาจะอาศัยเป็นที่ รม่ เยน็ ได้ ณ ที่ลาดกลางปุา ดวงอาทิตย์ดูดเอานา้ํ จากหนองไปสนิ้ เชิง บรรดาหญา้ และ พื้นทีเ่ ขียวชอุม่ แตเ่ ดิมมาก็เหี่ยวแหง้ และสารพัดสัตวป์ ุาท้ังหลายกซ็ ดั เซพเนจรเพอื่ หา อาหารเล้ียงตนไปทุกทศิ านุทศิ ” ในกาลครัง้ นั้น พระศาสดาจารยข์ องเราทอดพระเนตรเห็นเสอื ตวั เมียตัวหนึ่ง นอนเหยยี ดหิวโหยทรมานอยเู่ หนือก้อนศิลากลางแจ้ง ขา้ งเคียงหนา้ ผาอันรอ้ นจดั อาํ นาจ แหง่ ความหวิ กระทําให้ดวงตาของเสอื ตวั นนั้ เป็นแววเขยี ว ลน้ิ อันแหง้ กย็ ืน่ ออกมาข้างนอก ปากอนั หอบเหน่อื ยราวหน่ึงคบื และคางแฟบ หนังเห่ียวแหง้ ตดิ กบั ซีโ่ ครง เฉกเชน่ หลังคา จากทถ่ี กู นา้ํ ฝนผุพังยบุ ไปจนถึงขือ่ กบั มีลกู ๒ ตัว ซงึ่ โดยความหวิ อนั กระวนกระวายก็รบเรา้ และดูดนมอนั เห่ียวแหง้ ปราศจากน้ํานม ฝาุ ยแม่เสือซงึ่ ผอมนั้นก็ลบู เลยี ลกู ของมันซ่ึงรอ้ นและยืน่ สขี า้ งให้ และโดย ความรักซง่ึ แรงกลา้ กวา่ ความแร้นแคน้ กลับข่มกลนื เสยี งคํารามคลง่ั ดจุ ฟูาผ่าด้วยความ เจ็บปวดไวเ้ สยี ได้ กลายเปน็ เสียงครางกระห่มึ ลั่นเหมือนดังฟาู รอ้ ง พลางเอาปากซงึ่ กาํ ลงั อดอยากจดลงกับพ้ืนทราย เม่ือทอดพระเนตรเห็นทกุ ขเวทนาอนั สุดแสนดังนน้ั ก็ทรงรสู้ ึกสงสารและเมตตา อยา่ งพระพุทธเจา้ แท้ พระองคจ์ ึงทรงนึกวา่ “มวี ีอย่างเดียวท่ีจะชว่ ยแมส่ ตั ว์ร้ายอาศยั ปาุ ตวั นี้ได้ เมอ่ื ถงึ เวลาสายัณหแ์ ล้ว สตั ว์แมล่ ูกเหลา่ น้ีจะตอ้ งตายเพราะไม่มีอะไรจะกนิ อย่าง แน่นอน คงจะไม่มดี วงใจของผซู้ งึ่ มีชวี ติ คนใดมีความเมตตาแก่สัตว์ซ่ึงมอมไปดว้ ยเลือด ของสตั วท์ ถี่ กู มนั กดั ฆา่ และซง่ึ ผอมลงก็เพราะมนั ไมไ่ ดด้ ูดดืม่ รสของโลหิตนน้ั เอง เอาเถิด!
ถา้ เรายอมเปน็ อาหารของมนั กไ็ ม่ใช่ตัวคนอ่ืนท่ีตอ้ งทรมานนอกจากตัวเราเองในการท่ี ตามใจตน ในวถิ ีท่แี ก่กล้าไปด้วยความเมตตาแล้วดงั นี้” เม่ือทรงราํ พึงพงั นน้ั แล้ว พระมหาบรุ ษุ (ซึ่งเมอ่ื เวลาน้นั เปน็ ฤาษี) จงึ คอ่ ย ๆ สละ รองพระบาท ไมเ้ ท้า สายธรุ ํา(ตรงกับภาษาสนั สกฤต ยชโฺ ญปวติ ร คอื เส้นดา้ ยทําดว้ ยฝาู ย อยา่ งดี ๓ เกลยี วพันกนั เปน็ เสน้ เชอื ก สําหรบั บคุ คลช้นั สงู ใสก่ ารทาํ สายธรุ ํา ทาํ ให้เดก็ ใส่ เมอื่ มีอายไุ ด้ ๘ ขวบ ตอ้ งทํากันมีพิธใี หญ่โต แลว้ เดก็ นนั้ จงึ ไดช้ อ่ื ว่าเป็นพราหมณ์(Dvija) คือทําใหเ้ ดก็ เป็นผู้บรสิ ุทธข์ิ นึ้ ) ผา้ โพกศีรษะกบั เสื้อ และเสด็จออกจากพ่มุ ไม้ ตรงไปทพ่ี ้ืน ทรายพลางตรสั วา่ “แนน่ างพยัคฆี น่แี น่! อาหารสาํ หรับเจ้า” ในบดั เด๋ยี วนน้ั เจา้ สัตว์ร่อแรจ่ วนสิ้นใจก็ออกเสยี งคํารามแหลม เผน่ ไปหา่ งจาก ลกู ของมนั ถาโถมไปตะครุบผสู้ มคั รรับอันตรายโดยเจตนาแล้วกฉ็ ีกกนิ เนือ้ ของพระองค์ ดว้ ยเลบ็ เหลอื งของมนั ซึง่ แมน้ เหมือนกฤชอันงอท่ีอาบไปด้วยเลอื ด! เสียงลมหายใจอันเรา่ ร้อนของนางสตั วร์ ้ายตวั นั้นได้ดังประสานกบั เสยี งหายใจวาระท่สี ดุ ของพระองคผ์ ู้ทรงมี ความเมตตาอันแกก่ ลา้ พน้ ประมาณ นี่แหละคอื พระมหากรณุ าธิคุณอันหนึ่งของพระองค์ ซ่งึ พระองคม์ มี าแลว้ ตง้ั แตน่ านแสนนานก่อนวันนี้ อนั เปน็ กาลซง่ึ โดยพระเมตตาอันเตม็ ไปด้วย ความสงสาร พระองคจ์ ึงไดท้ รงสง่ั สอนให้เลกิ การบชู ายญั อนั เห้ยี มโหดทีเ่ คยทําถวายแด่ ทวยเทพผเู้ ปน็ เจ้าได้ ฝุายพระเจา้ พมิ พิสาร เมอื่ ทรงทราบพระบรมราชตระกูลและการเสาะแสวงหา ความตรสั รขู้ องพระมหาบุรุษของเรา พระองคก์ ็ทรงอาราธนาใหป้ ระทบั อยู่ในราชธานีน้นั โดยพรํา่ ทลู แก่พระองค์ว่าดังน้ี “ท่านซ่ึงเปน็ เจา้ ท่านมาทรมานดว้ ยความอดอยากเช่นน้ี มไิ ด้ดอก พระหตั ถ์ของท่านมีไวส้ ําหรับถือพระขรรค์หาใชส่ าํ หรบั ถือบาตรแสวงทานไม่ จง อยู่กับข้าพเจ้าผไู้ ร้บตุ รเพ่ือสืบราชสมบตั ินเ้ี ถิด แลว้ จงเผยแผค่ วามเปน็ ปราชญอ์ ยู่ใน อาณาจกั รของขา้ พเจา้ จนถงึ วยั มรณะของข้าพเจา้ ทา่ นจะได้อย่ใู นวังของขา้ พเจา้ และ ข้าพเจา้ จะหาสตรีทส่ี วยมาให้เป็นพระชายา” แตพ่ ระสิทธัตถะกค็ งตรสั ยืนคําเปน็ อย่างเดียวอยู่เสมอว่าดังน้ี “มหาบพติ รผทู้ รง เกียรติคณุ ยิ่ง บรรดาส่งิ ท้งั หลายเหลา่ นั้นอาตมาเคยมมี าแลว้ แตอ่ าตมาได้สละเสยี เพอ่ื แสวงหาความจริงซึง่ อาตมากาํ ลงั หาและจะหาต่อไปเสมอโดยไม่หยุดหยอ่ น จนแมแ้ ต่ พระราชวังสากระ (วงั เนรมติ ทสี่ วยและสขุ ยงิ่ ) เปดิ ประตรู ับรองอาตมาและปวงเทวที ้ังหลาย วิงวอนให้อาตมาเข้าไปกด็ ี อาตมาตอ้ งการสถาปนาวทิ ยาณาจกั รแหง่ ธรรม อาตมาต้องการไปที่คยา (ตาํ บลท่ไี ดต้ รัสรู้พระโพธิญาณ) และไพรพฤกษร์ ม่ รื่นซึ่งหวังว่า ความสวา่ งความสวา่ งคง จะใหป้ รากฏแกอ่ าตมาเพราะความสว่างเช่นนย้ี อ่ มไมป่ รากฏ ณ ท่ีนี่ ซึ่งมเี หล่าฤาษผี รู้ ู้ ศาสตร์ (ไตรเพทเพทางคศานตร์) และมีผบู้ ําเพ็ญตบะด้วยความทรมานท้ังปวงจนกระท่ัง กายทพุ ลภาพลง อันกายนเ้ี ปน็ ของจําเป็นที่วิญญาณพงึ ประสงค์ และถงึ อย่างไรกต็ ามมี ความสว่างอันหนง่ึ ซ่ึงอาจบรรลถุ งึ ได้ แลว้ ก็จะเหน็ ความจรงิ และโดยแนน่ อนทเี ดยี ว “โอ! มหาบพิตรผู้มีไมตรจี ิต ถา้ อาตมาได้พบความสวา่ งและความจรงิ นั้นแล้ว อาตมาก็จะกลบั มา สนองคุณในการที่มหาบพิตรมีเจตนาดีแกอ่ าตมาดังน”้ี ครั้นแลว้ พระเจ้าพมิ พิสารก็ดําเนินช้า ๆ ไปสามก้าวรอบพระองคแ์ ลว้ น้อมกาย เคารพท่ีพระบาท พลางอวยพรใหพ้ ระองคไ์ ด้บรรลถุ งึ ซ่งึ ผลสาํ เร็จ เมือ่ เสรจ็ แลว้ พระองค์ก็ ถวายพระพรลาเสด็จออกไปสู่อุรวลิ ฺวา (อุรเุ วล) แต่พระวญิ ญาณของพระองคย์ ังหาได้ สําเร็จถงึ ซ่ึงความตรัสรู้ไม่ ทัง้ พระพกั ตร์ก็ซบู ซดี และทรงมีพระวรกายอ่อนแอลงเพราะเหตุ แห่งความบาํ เพ็ญเพยี รเป็นเวลาถงึ ๖ ปี ถึงกระน้ันพระองค์กเ็ สดจ็ แวะตามสํานักของอาฬารดาบสและอุทรดาบส (อุททกดาบส) กบั
ท่ีดาบสทั้ง ๕ ซง่ึ ช้ีแจงเรือ่ งราว....... (ยงั มตี ่อ) ปริเฉทที่ ๖ มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา (พระมหาบุรุษทรงปรารภถงึ การชนะมารและการตรสั รู้) ณ กาลคร้งั นัน้ มีคฤหบดีใจบุญและมัง่ มีคนหน่งึ ซ่ึงสมบูรณไ์ ปดว้ ยปศสุ ัตว์ อาศยั อยู่ ท่ีริมแม่นา้ ณ หมบู่ า้ นซง่ึ มนี ามว่าเสนานิตามนามแหง่ ครอบครัวของเขา บรุ ุษผูน้ ้ันดา้ รงชพี อยดู่ ว้ ยความสุขสวัสดแิ์ ละสันติภาพ คเู่ คยี งกับภรรยาของตน นามว่า สชุ าตา (สชุ าดา) สตรีผงู้ ามย่งิ กวา่ สตรีอ่นื ๆ ผูม้ ีตาด้าขา้ คมแหง่ ทุง่ น้ัน นางเป็นคนอ่อนหวานและ ซอื่ ตรงเรียบๆ และนา่ รกั จรรยาของนางสขุ ุม นางมีวาจาอ่อนหวานและดวงหนา้ ยมิ้ แย้ม สิรริ วม ความก็คอื นางเปน็ ไขม่ กุ แหง่ สตรที ้งั ปวง ดังน้ันนางก็อยูเ่ ย็นเปน็ สขุ โดยฐานทเ่ี ป็นผปู้ ฏิบตั ิสามี ของนาง ณ บ้านอันสุขสงบ สถานซ่ึงเป็นแบบอนิ เดียแท้ นางมที กุ ขแ์ ตอ่ ยา่ งเดียว คอื การไม่มี บตุ รชายสกั คนหนึ่งมาเกิดเปน็ ขวญั แหง่ ความสขุ ใหแ้ ก่การอยูก่ ินกบั สามขี องนาง อนงึ่ นางไดบ้ นบานแกพ่ ระนางลกั ษมี (เปน็ พระเจา้ แหง่ ความมั่งมีและความเจรญิ เป็นมเหสีของ พระวษิ ณ)ุ มากมายหลายครง้ั โดยมิไดร้ ับผลและมากมายหลายราตรี เมือ่ เดอื นเพญ็ นางเดนิ ฉวัดเฉวียน ๙ ครัง้ ๆ ละ ๙ รอบ โดยรอบลิงคมั (ศิลารูปกรวยเปน็ เครอ่ื งหมายของอา้ นาจศักดิส์ ิทธ์ิ เมอ่ื บนบานแล้วจะได้รับผลสมปรารถนา ศิวลึงค์) มขี ้าว พวงมะลแิ ละน้าหอมเปน็ เครอ่ื งสงั เวยเพือ่ ขอให้ บตุ รชาย นอกจากนนี้ างสุชาตายังบนแก่เทพารกั ษ์ผเู้ ปน็ พระเจา้ แหง่ ป่าอีกว่า ถ้าความตอ้ งการ ของนางถงึ ซง่ึ สัมฤทธผิ ลแลว้ นางจะถวายพระกระยาหารอันมรี สโอชาและดเี ลิศใสถ่ าดทอง ใต้ พฤกษชาติของเทพารักษ์นัน้ เพอื่ รมิ โอษฐแ์ หง่ ทวยเทวาทง้ั หลายไดด้ ดู ดื่มรสอาหารนัน้ อย่างอิม่ เอิบ ความตอ้ งการของนางคราวนีน้ บั ว่าได้อยา่ งสมหวัง เพราะบุตรชายทนี่ า่ รกั คนหนึง่ ได้มา เกิดกบั นางซ่ึงบัดนี้อายไุ ด้ ๓ เดอื นแลว้ ฉะนน้ั เพอ่ื แก้บน นางจงึ ไปสู่ศาลเทพารกั ษ์ โดยมอื ข้างหนึง่ ถือสไบแดงเข้มซ่งึ ปกคลมุ บุตรอนั เปน็ ดวงแก้วแหง่ หวั ใจของนาง ส่วนอีกขา้ งหน่ึงนางประจงถอื ถาดและจานซ่ึงบรรจุ อาหารอนั มีรสโอชาประณีตสา้ หรบั ถวายหมเู่ ทวา แต่นางระถาซึง่ ได้รบั ใช้ใหไ้ ปกวาดพ้ืนทีแ่ ละพันดา้ ยสีแดงเข้ม ณ ต้นไม้ได้กลบั มาหา นางพลางออกอุทานวา่ “โอ! นายเจ้าขา! จงดเู อาเถดิ พระเจา้ แหง่ ปา่ ได้มาส้าแดงตนให้ปรากฏ แลว้ ทา่ นนง่ั อยูท่ ่นี ่ัน พระหัตถพ์ าดเหนือพระชานุ จงดเู ถิด! รัศมีรุ่งโรจน์รอบพระนลาฏของ พระองค์ พระองค์ช่างมสี งา่ และศักดานุภาพ ในดวงพระเนตรอันวิเศษของพระองคเ์ สยี นีก่ ระไร เป็นเอกลาภยง่ิ แลว้ ที่ไดม้ าพบพระเจา้ ดงั นี้” ดังน้ันฝ่ายนางสุชาตาเมอ่ื คดิ วา่ พระองค์เปน็ เช้ือวงศข์ องพระผเู้ ป็นเจา้ นางจงึ น้อมกาย ลงด้วยอาการอนั สนั่ เทม้ิ จบู พืน้ ธรณีแล้วก้มหนา้ อันยม้ิ แยม้ ของนางลง กล่าวว่า “ขา้ ขอประณต น้อมองคพ์ ระผูเ้ ปน็ เจา้ ท่ปี ระทบั อยู่ใต้ต้นไมน้ ี้ และเปน็ ผโู้ ปรดประทานความสุขสวสั ดซิ์ ง่ึ ได้มแี ก่ ข้าพเจ้า ณ ทีน่ ้ี ขอพระองค์จงโปรดรบั ของถวายอนั เล็กนอ้ ยของข้าพเจ้า คอื จานน้านมขาว เหมือนหิมะ หรอื งาช้างซง่ึ แกะสลกั มาใหม่เอ่ยี มนเ้ี ถิด” ว่าแล้วนางกว็ างอาหารซึง่ บรรจใุ นจาน ทองแล้วรนิ นา้ มันอตั ตารซ์ ึ่งเป็นน้ามนั เกสรแห่งดอกกุหลาบทน่ี างใส่ขวดเจยี ระไนลงยงั พระ หตั ถข์ องพระมหาบุรษุ แลว้ พระองคก์ ็เสวยของท่ีถวายโดยมิไดต้ รสั อะไรเลยจนค้าเดยี ว สว่ นนางมารดาผปู้ ลาบปล้มื ยินดีกห็ ลกี ไปอยเู่ สียหา่ งจากพระองค์ด้วยความเคารพ กแ็ ล ธรรมชาตริ สแห่งอาหารในจานนั้นเองวเิ ศษยิง่ จนพระองคร์ ูส้ ึกว่ามพี ระก้าลังและยังพระชนม
ชพี ให้กลบั คนื มาสพู่ ระองค์ ประดุจดังว่าราตรกี าลแลทวิ ากาลซ่งึ พระองค์พยายามอดพระกระยา หารน้นั เปน็ แตเ่ พยี งสบุ ินนมิ ติ สา้ หรับพระองค์เท่าน้นั ประดจุ วา่ พระวญิ ญาณของพระองคฟ์ ื้นดี ขึน้ พรอ้ มกันกบั พระวรกายแล้วเคล่อื นไหวตนไดใ้ หม่อีก เหมอื นนกตวั หนง่ึ ซงึ่ เหนอ่ื ยแลว้ ดว้ ย การบนิ เหนือทะเลทรายอันไมม่ ที ่ีสน้ิ สดุ มคี วามยินดีที่ได้พบแมน่ ้าแห่งหนึ่งแล้วได้ช้าระลา้ งคอ และศีรษะของตนซ่งึ เตม็ ไปด้วยฝนุ่ ฝ่ายนางสชุ าดาเมอื่ แลเหน็ พระวรพกั ตรอ์ นั ทรงเกยี รติของพระองค์ นางมีความเคารพ พระองค์มากยงิ่ ข้นึ จงึ ทูลถามพระองคด์ ว้ ยเสียงอนั คอ่ ยๆ ว่า “พระองคเ์ ปน็ เทพเจ้าจรงิ หรอื และ ของถวายของข้าพเจา้ เปน็ ท่พี งึ พอพระทัยของพระองคแ์ ล้วหรอื ยงั ?” พระมหาบุรษุ จึงตรสั ถาม ไปวา่ “อาหารอยา่ งไรซึ่งสูเจา้ น้ามาใหต้ ขู า้ ” “พระผ้มู ีบุญ” นางสุชาดาทูลตอบ “ข้าพเจ้าไดเ้ ล้ยี ง แม่โคไวร้ ีดนม ๖๐ ตวั และดว้ ยน้านมของแม่โคทงั้ ๖๐ ตัวน้ี ข้าพเจา้ ใชเ้ ล้ียงแม่โคอ่นื อีก ๕๐ ตวั และน้านมของแม่โคทั้ง ๕๐ ตัวน้ี ขา้ พเจา้ เลีย้ งแมโ่ คอีก ๒๕ ตวั น้านมของแมโ่ ค ๒๕ ตวั ขา้ พเจ้าน้าไปเลย้ี งแม่โคอน่ื อีก ๑๒ ตัว” “ในที่สดุ นา้ นมของแม่โค ๑๒ ตวั นขี้ ้าพเจ้าใช้เลย้ี งแมโ่ คที่งามยิ่งและเป็นโคทด่ี กี ว่าโค อนื่ ๆ ทงั้ ฝงู อีก ๖ ตวั นา้ นมซง่ึ ขา้ พเจา้ ไดม้ าโดยทา้ นองน้ี ข้าพเจ้าต้มดว้ ยหม้อเงนิ กบั แกน่ จนั ทร์ และเครือ่ งเทศอนั ละเอียด ขา้ พเจ้าเตมิ ข้าวซ่งึ ไดม้ าจากการเก็บเกย่ี วท่เี ลอื กเฟ้น และปลูกในทอ้ ง นาอันไถคราดอยา่ งประณีตและซึ่งเมล็ดทุกๆ เมลด็ ไดเ้ ลอื กแลว้ แม้นเหมอื นไข่มุก” “ดังนแ้ี หละท่ีขา้ พเจ้าได้ท้าดว้ ยนา้ ใจอันกตัญํู เพราะขา้ พเจ้าได้บนบานไว้วา่ ถ้า ข้าพเจ้าได้บุตรชายมาเกิดแกข่ ้าพเจ้าแล้วจะถวายเครื่องสังเวยเพอ่ื เป็นพยานแห่งความปลาบ ปล้ืมยินดีของขา้ พเจา้ ทใ่ี ตต้ น้ ไมข้ องพระองค์ และบดั นก้ี ไ็ ด้บตุ รชายแล้ว ในช่ัวชีวิตของข้าพเจา้ จึงประสบแตค่ วามสขุ ” พระมหาบรุ ษุ จงึ คอ่ ยๆ เปิดผ้าคลมุ สีแดงเข้มออกและเอาพระหตั ถ์ของพระองค์ซึ่งช่วย โลกใหพ้ น้ จากทกุ ข์วางลงบนศรี ษะเด็ก แล้วตรสั ว่า “ขอความสขุ ของสูเจ้าจงยนื นาน และบุตร ของสูเจา้ จงมคี วามเจริญในชีวิตเถดิ เพราะสูเจา้ ได้ช่วยตขู ้าซง่ึ ไมใ่ ช่เปน็ เทพเจ้าแตเ่ ป็นญาติคน หนึ่งของสูเจา้ เดิมทีกเ็ ปน็ เจา้ องคห์ นงึ่ และบัดนี้เปน็ ผ้เู ดนิ ทางเพ่ือแสวงหาความสวา่ งซึง่ ส่องให้ เหน็ ไมท่ ราบว่า ณ ทใ่ี ด ทั้งกลางคืนและกลางวัน และเปน็ แสงสวา่ งซึง่ สอ่ งความมืดทม่ี นุษย์ เกลอื กกลว้ั อยดู่ ว้ ยมลทนิ ท้าอยา่ งไรมนุษย์จงึ จะรู้จักความสว่างนนั้ ตูขา้ คงแสวงหาความสวา่ งน้ี ได้ ความสวา่ งอนั นไ้ี ดม้ าสอ่ งอยู่ทีต่ าของตูขา้ อย่างรงุ่ โรจน์และอยา่ งน่าหวังแล้วในขณะที่เน้ือ อนั อ่อนแอของตขู า้ กา้ ลังตายไป แต่นอ้ งสาวผ้ใู จบญุ เนือ้ หนังน้นั กลบั ได้รบั ความชว่ ยเหลือจาก อาหารอนั บริสทุ ธซ์ิ ึ่งไดร้ ับมาจากสัตวห์ ลายต่อหลายทอดเพ่ือให้ได้มีแรงซง่ึ ประทังชีพดุจ เดยี วกับชวี ิตไดด้ า้ รงตอ่ ๆ มาเปน็ หลายทอด เพอ่ื ให้มีสภาพสูงขน้ึ กลายเป็นสุขยงิ่ ข้นึ แล้วก็หา ความสขุ โดยล้างเสยี ซึ่งบาปแต่ก็เพียงที่มชี วี ิตอย่างเดยี วน้นั สูเจา้ เหน็ วา่ เปน็ ความสุขโดยล้างเสีย ซึง่ บาปแต่กเ็ พียงที่มีชีวิตอยา่ งเดยี วนนั้ สูเจา้ เหน็ วา่ เปน็ ความสขุ เพยี งพอแล้วหรอื ความเป็นอยู่ และความรักอาจเปน็ การพอเพยี งแลว้ หรอื ?” นางสชุ าดาทูลว่า “พระองคผ์ ทู้ รงพระคณุ ธรรม ดวงกมลของข้าพเจา้ น้เี ล็กและหยาดฝน อันเลก็ น้อยซ่ึงช่มุ โชกท่งุ แตเ่ พียงน้อย แต่หยาดย้อยมาเตม็ กลีบแห่งดอกเบญจมาศ เปน็ การ พอแลว้ ท่ขี ้าพเจา้ รู้สึกวา่ ดวงอาทติ ย์แหง่ ชวี ิตสอ่ งสวา่ งแกส่ ามีข้าพเจ้าให้อยู่โดยผาสกุ และกระท้า ความแยม้ สรวลให้แกบ่ ุตรชายของขา้ พเจ้า อกี ทงั้ ไดส้ ง่ เสรมิ ความสขุ เสน่หาในเคหสถานของ ขา้ พเจา้ ใหม้ อี ยเู่ ป็นนิตย์ ทกุ วนั เดอื นปอี ันเป็นชีวิตของข้าพเจ้าได้ผ่านมาพร้อมดว้ ยการซึง่ ข้าพเจา้ ได้ปฏิบัตกิ ารเรือนแล้วโดยเต็มท่ี พออรโุ ณทัยไขแสงแดงเรือ่ ขา้ พเจ้ากต็ ่นื ข้นึ เพ่อื สวด มนต์บุชาพระเจา้ ทัง้ ปวงและถวายธัญญาหาร อีกท้ังบ้ารงุ รกั ษาตน้ ตุลสี(กะเพรา) แล้วกแ็ บง่ งาน เป็นภาระให้แกส่ าวใช้ของขา้ พเจ้าทา้ ในเวลากลางวันสามขี องข้าพเจา้ เกยศีรษะเหนือตกั ของขา้ พเจ้าแล้วหลบั ไหลไปใน ความฝน๎ อนั สนั ติสขุ โดยได้รับความรา้ เพยแหง่ ลมของพดั ท่ปี ๎ดโบก และเมอื่ รบั ประทานอาหาร ณ สนธยาการอนั สงบเงยี บ ขา้ พเจ้ากอ็ ยู่ใกลเ้ ธอและบ้าเรอขนมแกเ่ ธอ คร้นั แล้วเหล่าดารา ทงั้ หลายกเ็ ปล่งรศั มแี จม่ จรัสเพ่อื สขุ นทิ รา ภายหลังทไ่ี ด้สวดมนต์ ณ วิหารแลว้ สนทนากบั มติ ร สหายแล้ว ฉะนแ้ี หละขา้ พเจา้ จะไร้ความสุขอย่างไรได้ เมื่ออดุ มดว้ ยพรและได้บุตรชายมาก้านัล ใหแ้ ก่สามีของข้าพเจ้า คอื บตุ รชายซง่ึ มืออันน้อยจะน้าวิญญาณของเธอไปสสู่ วรรค์ เมือ่ กาล จา้ เปน็ เพราะคมั ภรี ์แจง้ ไว้วา่ เมื่อบุคคลใดปลกู ต้นไมเ้ พอ่ื ให้คนเดนิ ทางไดอ้ าศัยรม่ และขุดบอ่ สา้ หรบั สาธารณชนแล้ว มีบุตรมาบังเกดิ แกบ่ คุ คลผนู้ ้ัน เมือ่ มรณะไปแล้วก็จะได้รบั ความสุข
ดงั นั้นขา้ พเจา้ จงึ เชือ่ ตามซง่ึ คัมภีร์แจง้ ไวน้ นั้ โดยน้าใสใจจริงทีเดียว เพราะเหตวุ ่า ขา้ พเจ้าออ่ นรู้กวา่ ปราชญผ์ ู้มบี ญุ ทงั้ ปวงในสมยั โบราณ ผู้ซึง่ ทา้ การตดิ ต่อกับเทพเจ้าท้งั หลาย และรู้จักความสา้ ราญและธรรมรสกบั หนทางแหง่ บุญกศุ ลและความสุขสนั ตภิ าพ ฉะน้นั ข้าพเจ้านกึ ว่า ความดยี ่อมบังเกิดจากการกระท้าดี และความชว่ั มาจากการ กระท้าช่ัวอย่างแน่นอน ส้าหรับทุกส่ิงทุกอยา่ งไมว่ ่า ณ ทีใ่ ดและเวลาใด เพราะข้าพเจา้ เหน็ ว่า ผลไมซ้ ง่ึ มปี ระโยชนย์ อ่ มขนึ้ จากเผา่ พันธุอ์ ันบริสทุ ธิ์ และส่งิ ที่ขืน่ ขมย่อมขึน้ จากพันธุ์ซึ่งมพี ษิ ข้าพเจ้าเหน็ ว่า ความชั่วยอ่ มยงั ผลใหบ้ ังเกดิ ความแคน้ เคือง และความออ่ นโยนกระทา้ ให้เกิด ความไมตรี กับความพยายามกระทา้ ให้บงั เกิดความสงบสุขในชวั่ ชีวติ ของเราคร้นั เม่อื ยาม ความตายได้มาถงึ เราจะไมม่ คี วามสุขเหมือนอย่างบดั น้ีทเี ดยี วหรอื บางทจี ะสขุ ยง่ิ กว่าเสียดว้ ย ซา้ เพราะเหตวุ า่ แมน้ แตข่ ้าวเมลด็ เดียวยังท้าให้บังเกิดกอเขียวประดบั ตน้ ดจุ เมลด็ ไขม่ กุ ๕๐ เมลด็ ได้ และดอกดาราแห่งตน้ จ้าปาขาวและสีทองยังซ่อนอยู่ในพุ่มไมเ้ ลก็ ๆ สีหมน่ ๆ ปราศจากความสวย ขา้ แตพ่ ระองค์! ข้าพเจ้ารู้อยู่วา่ ขา้ พเจ้าอาจผจญความแรน้ แคน้ ซึ่งจะสังหาร ความอ่อนนอ้ มพยายามและซึ่งจะท้าให้หน้าตอ้ งคลกุ ละอองฝ่นุ ได้ หากบุตรชายของข้าพเจา้ ถงึ ซ่งึ มรณะก่อนขา้ พเจา้ ข้าพเจ้าเขา้ ใจว่าดวงใจของขา้ พเจ้าคงขาดสะบั้น ทั้งข้าพเจา้ หวังใจจะให้ ขาดสะบน้ั เสียด้วย เม่ือดงั น้ันข้าพเจ้ากค็ งจะกอดบุตรซ่ึงมรณะแล้วกจ็ ะไปส่โู ลกซึ่งเหลา่ นาง ภริยาผูก้ ตัญํูทัง้ หลายไปเพื่อต้ังหนา้ คอยสามีของขา้ พเจ้า แต่ถา้ หากวา่ ความตายไดม้ าเรยี ก เสนานิผู้เปน็ สามขี องขา้ พเจ้าก่อน ขา้ พเจ้าจะข้นึ เหนือกองฟืน ตระกองศรี ษะของเธอไว้บนตกั ของขา้ พเจา้ ดุจดังปฏบิ ัตมิ าแลว้ เป็นนิจนิรันดรแ์ ล้วขา้ พเจ้าจะทา้ ใจยนิ ดีในเมอ่ื เชอื้ ไฟได้ดจุ กอง ฟืนเป็นเปลวเพลงิ รุ่งโรจนข์ น้ึ อยา่ งรวดเรว็ แล้วมีควันอนั หนาทบึ หมนุ เวียนอบอ้าวจนหายใจ ไมอ่ อก เพราะตามดว้ ยลกั ษณะแหง่ พฤตกิ ารณ์ดงั นี้ ความรกั ของนางนนั้ ก็จะทา้ ให้วญิ ญาณแหง่ สามขี องตนดา้ รงอยู่ไดถ้ งึ ลา้ นปบี นเบอื้ งสวรรค์ สา้ หรบั เสน้ ผมเส้นหนง่ึ ๆ แหง่ ศรี ษะของตน เพราะเหตนุ เี้ องพระองค์ผมู้ บี ญุ ในชวี ิตของขา้ พเจา้ จึงมีความสุข แม้ขา้ พเจ้าจะไมล่ มื ว่าชวี ติ ของ คนอื่นเศร้าโศกยากจนอ่อนแอและแร้นแคน้ ซึ่งเทพเจา้ ทั้งหลายยอ่ มสงสาร แตส่ ่วนขา้ พเจ้าเอง ข้าพเจา้ พยายามปฏิบตั ใิ นส่งิ ซึ่งเห็นว่าดี โดยความพึงพอใจและ ขา้ พเจา้ ด้ารงชพี อยู่ในความเคารพตอ่ พระบญั ญตั โิ ดยหวังวา่ ส่งิ ซึ่งถึงจะมาและจะตอ้ งมาถึงตน ในภายภาคหน้านน้ั คงจะเป็นสิ่งที่ดี พระมหาบุรุษจงึ ตรัสวา่ “สเู จ้าให้ความรูแ้ กค่ รูทั้งหลาย ค้า ชแ้ี จงอันง่ายๆ ของสเู จา้ ปราดเปรอ่ื งยิง่ กว่าวทิ ยาอนั หน่ึง จงยินดีในความโงข่ องสเู จ้าเถดิ เมื่อสู เจ้าไดร้ ูท้ างแห่งความยุติธรรม และหนา้ ท่อี ันควรแก่ตนดงั นแี้ ล้ว จงเจริญเหมอื นดอกไม้ โดย ให้ความร่มร่นื แก่บตุ รของตน ภายใต้ความร่มเย็นของสูเจา้ แสงสวา่ งทีแ่ รงกลา้ ย่งิ แหง่ ความ จรงิ ไม่เหมาะแก่ใบอนั ออ่ นละมนุ ซงึ่ ต้องคลอ่ี อก ณ ภายใตด้ วงอาทติ ยด์ วงอ่นื และจะงอกเงย ผลิตดอกออกผลในภายภาคชวี ติ อนื่ สเู จ้าซงึ่ ได้นับถอื ตูข้าๆ ก็นบั ถือสูเจ้าซงึ่ มใี จดีอยา่ งวิเศษ สู เจ้าซ่ึงรู้จกั หนทางได้โดยไม่รสู้ ึกเลย เชน่ นางนกพิราบซึง่ ถูกความปฏพิ ทั ธพ์ าให้กลบั คนื ยงั รัง ของตน สูเจ้าแสดงใหเ้ ห็นว่า เหตุใดจงึ มคี วามหวังไวส้ า้ หรบั มนุษย์ และใหเ้ ห็นว่าวฏั สงสารแห่ง ชีวติ นนั้ เกยี่ วกับเจตนาของบคุ คลอย่างไร ความสงบสันตภิ าพจงมแี ก่สูเจา้ และบา้ เพญ็ ความสขุ ให้แกส่ ูเจา้ เถิด ให้ตูขา้ ไดบ้ รรลถุ ึงซึง่ ผลส้าเร็จดงั ความปรารถนาแลว้ ของสเู จา้ ดว้ ย ผซู้ ง่ึ สเู จ้า มาตรหมายว่าเปน็ เทพเจ้าพระองค์หน่ึง ขอวิงวอนใหส้ เู จา้ เอาใจชว่ ย ใหค้ วามหวงั นี้สา้ เรจ็ ผล ดว้ ย” “ขอพระองคจ์ งได้สา้ เรจ็ กิจของพระองค์เถดิ ”นางวา่ พลางมองบุตรของตนด้วยความรัก ซึ่งยื่นมือไปสู่พระมหาบุรษุ เหมือนหน่งึ เคารพต่อพระองคแ์ ละซ่งึ บางทีจะรู้ เหมอื นอยา่ งเดก็ ท้ัง ปวงที่รู้ในสงิ่ ทัง้ หลายทัง้ ปวงซึ่งเราไม่อาจรู้ได้ ฝ่ายพระองค์ทรงลกุ ขึ้นเพราะมพี ระกา้ ลงั ข้ึนโดย อาหารอนั บรสิ ุทธิท์ พี่ ระองค์ทรงเสวยแล้วกเ็ สด็จไปส่ตู ้นไม้ใหญต่ ้นหน่งึ คือตน้ โพธ(์ิ ไม่รรู้ ว่ ง โรยและคงจะอยู่ประหนงึ่ วา่ เป็นศรีแห่งโลกเสมอไป) คงเปน็ บัญญตั ิแห่งโชคชะตา ความจริงจะ มาเผยใหป้ รากฏแกพ่ ระมหาบรุ ุษ ณ ภายใตร้ ม่ โพธ์นิ น้ั บดั นีอ้ งคพ์ ระมหาบรุ ษุ ทรงทราบสิง่ น้ี แล้ว อน่ึงพระองค์ย่างก้าวเสดจ็ ไปทกุ ๆกา้ ว แสดงสงา่ และความมั่นคง จนถึงตน้ ไม้แห่งธรรม วิทยาราศี โอ! มนุษยโ์ ลกท้งั หลาย! จงปลาบปลืม้ ยนิ ดเี ถดิ พระมหาบุรษุ เสด็จมา ณ ภายใต้
ต้นไมน้ นั้ แล้ว เมอ่ื พระองค์ทรงดา้ เนินถงึ เงาร่มอันกวา้ งใหญ่ ภายใตก้ ิง่ กา้ นสาขาซ่ึงแมน้ เหมอื นระเบียบอนั มตี ้นไมเ้ ป็นเสาต้ังค้าอยู่ และใต้พมุ่ ไม้อนั เขยี วชอมุ่ สดใส แมพ่ ระธรณีซ่ึงร้ใู น พระคุณธรรมก็บูชาพระองคด์ ว้ ยการทา้ ใหห้ ญา้ ออ่ นเขียวละมุนละไม งอกขึน้ ใต้พระบาทของ พระองค์ พร้อมทั้งดอกซ่ึงมรี สสุคนธ์ ฝา่ ยกงิ่ ก้านของตน้ โพธนิ์ ัน้ กน็ อ้ มลงมาเหมือนหนึง่ เปน็ ร่มกนั้ พระองค์ กระแสพระพาย อันสดช่นื หอมหวนดว้ ยกลิน่ แห่งดอกบวั โชยมาจากแมน่ า้ โดยบารมแี ห่งเทพผเู้ ป็นเจ้าแห่งสนิ ธุ ดวงตาอนั กวา้ งอย่างตื่นตกใจแห่งสรรพสตั ว์ซึ่งอาศยั ป่า เช่น เสือดาว หมปู า่ และเนื้อทรายซ่งึ ต่างล้วนแต่มคี วามสงบสขุ ณ เย็นวันน้ีจะจากถา้ หรอื พุ่มไมก้ ด็ ี ก็ได้ประสบพบพระวรพักตร์ อันมีสิรขิ องพระองค์ เหล่างซู ่งึ มีพษิ เลื้อยออกจากรูอนั เยือกเย็นของตนแลว้ ก็กม้ เศียรเพ่อื เป็น การเคารพพระองค์ เหล่าผเี สอ้ื สีตา่ งๆ กโ็ บกปีกสฟี ้าสีเขียวหรอื เหลอื บเพื่อโบกพัดพระองค์ เหยยี่ วตัวร้ายปล่อยอาหารของตนท้ิงเสีย พลางออกเสียงร้อง หนูลายกระโดดไปมา ณ กิ่งไมเ้ พือ่ ดูพระองค์ นกซง่ึ ขยันคขู ับอยู่ ณ ริมรังซ่ึงไกวแกวง่ ก้งิ ก่าว่งิ นกดเุ หวา่ ขบั รอ้ งด้วยเสียงเสนาะ ของตน นกพริ าบร่อนรอบบรเิ วณจนแม้แต่สตั ว์เลอื้ ยคลานก็รู้สา้ นึกและเบิกบานใจ เสยี งของ แผ่นดินและสวรรค์ร้องซรอ้ งสาธุการเป็นเสยี งเดียวกัน เปน็ ทา้ นองว่า “ท่านผมู้ ีศกั ด์แิ ลผู้เป็นปิยมิตร! พระองคผ์ ู้ช่วยทกุ ข์โดยความรกั โลก! พระองค์ซ่ึงชนะแล้วซ่ึงความโกรธและความเยอ่ หยงิ่ ความอยาก ความกลัวและความสงสยั พระองค์ซ่ึงบ้าเพ็ญพระองคเ์ พื่อประโยชน์แก่คนทกุ คนและสัตว์โลกท้ังปวง จงไปยังตน้ ไม้น้ัน เถิด สัตว์โลกอนั เศรา้ โศกขออวยพรแกพ่ ระองค์ พระองค์ผู้เปน็ พระพุทธเจ้าซึง่ จะบรรเทาทุกข์ ของโลกจงเสด็จไปเถดิ พระองค์ผู้ทรงศกั ดาและน่าเคารพบูชา จงบรรลุความมีชัยครงั้ ทส่ี ดุ สา้ หรับข้าพเจา้ ท้งั หลาย พระราชาและผเู้ ป็นจกั รพรรดิอันใหญ่ยิ่ง กาลเวลาของพระองคม์ าถึง แล้ว น้ีแหละราตรกี าลซง่ึ มนุษย์หลายศตวรรษไดร้ อคอย” “ดงั นนั้ แล้วกถ็ งึ ซึ่งราตรกี าล ในเวลาเดยี วกับท่ีพระมหาบรุ ุษประทบั นงั่ ใตต้ น้ ไม้ แตเ่ จา้ แห่งราตรคี อื มารซึง่ รู้ว่าพระองคป์ ระทับอยู่ในท่นี ั้นเพอ่ื จะได้ช่วยมนษุ ย์ เมอ่ื กาลเวลาไดม้ าถงึ ซึง่ พระองคจ์ ะตอ้ งคน้ หาความจริงเพอื่ ช่วยเพือ่ ช่วยโลกให้พน้ ทุกขก์ อ็ อกคา้ สงั่ แกบ่ รรดาเจา้ แหง่ ความชั่วทง้ั ปวงทนั ที บรรดาปศิ าจทง้ั ปวงซึ่งเปน็ ศตั รูของความดีและความสว่างจงึ ออกจากขมุ นรกอันลึกแล้วชมุ นุมกนั คอื อรติ ตฤษณะ ราคะ กบั บริวารคอื ความโลภหลง ความเกลยี ดชัง ความโงเ่ ขลา ความไม่ประมาณกับอีกเหลา่ สาขาแหง่ ความแห่งความมืดมนอนธการและความ กลัวท้ังหลายเหลา่ น้ี ล้วนเกลยี ดพระมหาบุรุษและพยายามท้าให้พระองค์หวนั่ ไหวพระทยั และ ไม่มีใครเลยจนแมผ้ เู้ ปน็ จอมปราชญ์ไมร่ ู้วา่ ปิศาจเหล่านีใ้ ชว้ ธิ ีใดผจญกับพระมหาบรุ ุษในคืนวนั นัน้ เพ่อื กา้ จดั ความจริงใหห้ ่างเสียจากพระองค์ บางทใี นทา่ มกลางความหวน่ั ไหวของพายุ กองทัพปศิ าจกก็ ระท้าใหอ้ สุนีบาตกมั ปนาทหวาดหวนั่ ทวั่ ทงั้ เวหา อีกทั้งทา้ ใหฟ้ า้ แลบแปลบตาเหมอื นดังหอกคดกริชซึง่ จะขัดท้าลายฟ้าสแี ดงเขม้ ให้ แหลกลาญ บางทโี ดยอุบายและค้าพดู อนั ไพเราะ ปศิ าจเหลา่ นน้ั กก็ ระทา้ ใหป้ รากฏรปู ซงึ่ งาม อย่างมารยาข้ึน ณ ทา่ มกลางแหง่ ใบไม้อนั แน่น่ิงและให้บงั เกิดสา้ เนียงเสยี งขบั ร้องอนั ยั่วยวน และเสียงเย็นเยอื กแห่งความเสน่หา บางทีก็ลอ่ ลวงพระองคโ์ ดยถวายอา้ นาจดว้ ยอบุ ายอันเย้ย หยัน ปิศาจเหลา่ นนั้ กแ็ สดงแกพ่ ระองคใ์ หป้ รากฏเปน็ วา่ ความจรงิ น้นั ไม่มีคา่ ประโยชนอ์ ะไร แต่ บรรดาการต่อส้ทู ัง้ นจ้ี ะเป็นอาการซง่ึ ปรากฏออกมาอย่างซึ่งแลเหน็ ไดจ้ รงิ กด็ ี หรอื พระมหาบุรุษ พระองค์ทรงต่อสูว้ ญิ ญาณอันชว่ั รา้ ยเหล่าน้นั อยู่ ในพระทยั อนั ลึกซ้ึงของพระองค์ก็ดี เชิญทา่ น พจิ ารณาดูเถดิ ขา้ พเจ้าจะกลา่ วตามท่ีจารกึ ไวใ้ นคัมภีร์โบราณเท่าน้นั เอง บาปอนั อกุ ฤษฏ์ ๑๐ อยา่ งก็มาถึง คือ มติ รอันศักดานภุ าพของมาร หมเู่ ทวดาแหง่ ความ ชัว่ ตวั แรก คอื อัตตวาทะ ผู้เปน็ บาปแหง่ การเหน็ แกต่ วั เองซง่ึ พอใจแต่ชมหนา้ ของตนเองดงั ดูรูป ในกระจกอยูใ่ นโลกรอ้ งวา่ “อาตมา” และอยากไดย้ ินโลกกล่าวว่า “อาตมา” และอยากเห็นสงิ่ ทงั้ หลายวอดวายลงดว้ ยในเมอ่ื ตนตกทกุ ขย์ าก “ถา้ สเู จา้ เปน็ พุทธะ”มนั กลา่ ว “จงปล่อยคลา้ ทางใน ความมืดเถิด เปน็ การพอเพยี งแล้วทส่ี เู จา้ เป็นผูท้ ่ไี ม่เปลยี่ นแปลง จงลุกข้นึ เถิดแล้วรับความสุข จากข้าพเจ้าท้ังหลายซึง่ จะไม่ตอ้ งผจญความเปลี่ยนแปลง ความร้าคาญและการต่อสู้นั้นเถดิ ” แต่ พระมหาบรุ ษุ ตรสั ตอบวา่ “ความยุติธรรมของเจา้ นนั้ นา่ เกลยี ดนา่ ชัง ความไม่ยุตธิ รรมเป็นของ
อปั รีย์ จงไปล่อลวงผู้อ่นื ทเี่ หน็ แกต่ ัวของตนเองนนั้ เถิด” ครน้ั แล้วเจ้าตัวสงสัยระแวง คือตวั บาปมสุ าอนั นา่ ชงั กม็ ากระซิบทีพ่ ระโสตแห่งพระมหา บุรุษวา่ “ทกุ สงิ่ ทุกอยา่ งลว้ นแตค่ วามฝ๎น และส่งิ ท่ีเหลวไหลกค็ ือวทิ ยาแห่งความทะเยอทะยานใน สิ่งเหลา่ นน้ั สเู จ้าพยายามหาสงิ่ ท่ีเป็นแตเ่ พยี งเงาเทา่ นนั้ จงลุกขึ้นเถิดแล้วไปเสียจากท่นี ้ี ไมม่ ีผล อะไรดยี ิง่ ไปกวา่ ไม่ปรารถนาหรอื การเฉยต่อสิง่ ตา่ งๆ ไมม่ ีอะไรมาชว่ ยมนษุ ย์ไดเ้ ลย และ มนุษยก์ ไ็ ม่สามารถบงั คบั ล้อเวยี นวนซง่ึ หมนุ เสมอใหห้ ยุดได้” แตพ่ ระมหาบรุ ษุ ของเราตรสั ตอบวา่ “เจา้ ไมม่ ธี รุ ะที่ต้องมาเก่ียวขอ้ งกบั เรา วจิ กิ จิ ฉา (ความสงสยั หรือระแวง) เจ้าโกหก! เจา้ ผู้ซ่ึงเปน็ ศตั รูอันร้ายย่งิ ของมนษุ ย์” ในล้าดบั ท่ี ๓ เจ้าตวั บาป ซง่ึ เป็นมลู อ้านาจของความเชือ่ ถอื อยา่ งโง่เขลา คอื สีลพั พตปรามาสซึ่งเปน็ แมม่ ดซึ่งในบาง ประเทศไดร้ บั ความหอ้ มลอ้ มเชอ่ื ถอื จากคนซอื่ อย่างเต็มตัว แตซ่ งึ่ กระท้ากลมารยาอย่เู ปน็ เนืองนิตยเ์ พ่ือลอ่ ลวงวญิ ญาณดว้ ยใหเ้ ซ่นสรวงและบนบานต่างๆ โดยถอื ลกู กญุ แจสา้ หรบั ปิด นรกเปดิ สวรรค์อยูใ่ นมือของมัน “สเู จ้ามคี วามกล้าหาญอยู่หรือ” มนั วา่ “ลองทา้ ลายคัมภรี ต์ า่ งๆ ของเรา และจงลองล้มพระเจ้าของเราเสียสิ จงทา้ ให้โบสถ์ไมม่ คี นเขา้ แลว้ จงทา้ ลายบญั ญัตซิ ง่ึ ส่งั สอนนักบวชและอมุ้ ชูพระราชอาณาจกั รนน้ั ให้ได้สักหนอ่ ยเถิด” พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั ว่า “สง่ิ ทีเ่ จา้ ขอให้เราท้าลายน้นั เปน็ แต่เพยี งรูปการทใ่ี ช้ไดช้ ่ัวคราว เท่าน้นั แตค่ วามจรงิ นั้นเป็นส่ิงทีถ่ าวรยนื นาน จงกลับไปสู่ความมืดของเจา้ เถดิ ” ครนั้ แลว้ เจ้าตัวล่อลวงบรมเจา้ เล่ห์กเ็ ดนิ เขา้ มาอกี อย่างไวภ้ ูมคิ อื กามาเจ้าแห่งความ อยากซง่ึ มีอา้ นาจจนกระท่ังเทพเจา้ ทัง้ หลาย เจา้ แห่งความหลง ราชาธิปไตยแหง่ ราชอาณาจกั ร ของความสนุกรนื่ เรงิ มันเดนิ มาพลางหวั เราะ ภายใตต้ น้ ไมถ้ ือธนูทองค้าประดับด้วยดอกไมส้ ี แดงและลกู ศรแหง่ ความอยากซึง่ ปลายเป็นเปลวไฟอนั กล้า ๕ เปลว ส้าหรบั ใหท้ ่มิ แทงหวั ใจซ่ึง มันพงุ่ ไปถูกอยา่ งร้ายแรงเสียย่ิงกว่าหอกท่ีใส่ยาพษิ และโดยรอบของมนั ก็มีภาพทง่ี ามเพรศิ พร้งิ ในดวงตา และรมิ ฝปี ากลออเอี่ยมเยย่ี มยอดซง่ึ รอ้ งเพลงเปน็ บทบาทอนั ยียวนชวนสวาทอนั เปน็ บทเยนิ ยอความเสนห่ าประสานกนั กับเสยี งดนตรอี ันไพเราะจากเครื่องดนตรซี ง่ึ แลไม่เหน็ ก็ มาถึง ณ ที่อนั วิเวกวงั เวงนี้อกี แต่ละอยา่ งล้วนประกอบดว้ ยความก้าหนัด จนราตรีกาลมีอาการเสมือนหนึง่ วา่ สงบ เสงีย่ มเพือ่ ฟ๎งมนั และเหลา่ ดาราและดวงจนั ทร์เหมอื นจะไมโ่ คจรต่อไปในระหว่างทีม่ นั ขบั รอ้ ง บทบาทความย่วั ยวนเพ่อื ล่อลวงใหเ้ สยี พธิ ขี องพระมหาบุรุษและทลู แก่พระองค์ว่า “ผซู้ งึ่ จะต้อง ตาย จะหาอะไรใหด้ ีเลิศกว่าความต้องการของตนในไตรโลกอนั กวา้ งใหญซ่ ่ึงมคี วามสวยงาม และกลิน่ สคุ นธย์ วนย่วั ไมไ่ ดแ้ ลว้ และไตรโลกนจ้ี ะไม่มอี ะไรดีกวา่ ดอกกหุ ลาบซงึ่ เปน็ พลอย ทบั ทมิ แห่งความเสน่หา เปล่าไมม่ อี ะไรเลยท่ีจะมีคา่ เกินกว่าความสา้ ราญชืน่ บานด้วยรปู กายซ่ึง มายัว่ ยวนแก่จักษุประสาทให้ปรากฏหนทางและกามแหง่ บคุ คลทตี่ อ้ งรักซ่งึ เปน็ ความกลมกล่อม อยา่ งไมม่ ีทบ่ี กพร่อง แม้จะมคี วามรู้สกึ ระหวา่ งวญิ ญาณกับวิญญาณก็ดี ความกลมกลอ่ มอัน ยวั่ ยวนกก็ ระท้าความก้าหนดั ให้แกโ่ ลหิตของเรา และความเจตนาของเรารู้สึกบชู าและต้องการ โดยรู้ว่าน่นั แหละทด่ี กี ว่าอะไรทั้งหมด เปน็ สวรรคอ์ นั แทจ้ รงิ ซ่งึ มนุษยท์ จี่ ะต้องตายจะได้รบั ความสุข เช่นเดยี วกันกบั เทพเจา้ ผ้สู รา้ ง และผ้เู ป็นใหญ่ เปน็ ของขวญั ท่ีดกี วา่ ของขวญั ทง้ั ปวงซึง่ ผลดั เปลี่ยนใหใ้ หม่อยเู่ สมอและซึ่งมคี ่าดพี อทีจ่ ะยอมล้าบากตง้ั พันอยา่ งเพอื่ ให้เปน็ ผลสา้ เรจ็ เพราะใครบา้ งทีไ่ ด้รับความทรมาน เม่อื แขนอนั ละมุนละไมมาสวมกอด และเมอ่ื ตลอดชีวิตของ เราก็มแี ตค่ วามสุขเปน็ เอก และโลกทง้ั มวลดา้ รงเพ่อื เป็นความกระสันอันแรงกลา้ สา้ หรับตน” หรอื ถา้ จะผูกเป็นกลอนกค็ งมเี นอื้ ความว่า:- “มนุษย์ผูเ้ วยี นวนวัฏสงสาร จะต้องการอะไรยง่ิ ไปกวา่ ต้องการเหน็ แต่ความงามนยั น์ตา ต้องการกล่ินสุคนธาทีย่ วนใจ กล่ินกหุ ลาบซาบซ่านฆานประสาท
กลิ่นใดอาจเทียมเทยี บเปรียบเทา่ ได้ เป็นกล่นิ ซึง่ พึงหนว่ งดวงหทยั ให้ใฝ่ในเสนห่ ากามารมณ์ ความสา้ ราญบานใจไม่มคี า่ เทา่ เห็นกายาหญงิ ไรส้ ่ิงห่ม เพราะไดเ้ หน็ รูปโฉมนา่ โลมชม ด้วยความกลมกลอ่ มสะอางอยา่ งยียวน ความกลมกลอ่ มย่อมนา้ ความกา้ หนัด เรา้ มนสั เรา้ ตณั หาพาป๎น่ ปว่ น เร้าโลหติ เรา้ กระสนั ให้รญั จวน ท้งั สิ้นล้วนเร้าใจใหเ้ ฟอ่ื งฟู ฤทธเิ ร้าเตือนเหมอื นไดไ้ ปสวรรค์ คอื ภพชัน้ ท่ีพระเจา้ อยากเข้าสู่ ก็เหตุใดโคดมบรมครู จงึ ไม่รทู้ างไปทคี่ ลา้ ยกนั กลบั มาน่งั ทรกรรมทนลา้ บาก เวน้ เสยี จากเรา้ ใจให้กระสนั หรือสขุ กามารมณไ์ มส่ มกัน กบั สวรรคส์ ขุ ซ่งึ จะพงึ ดล ใครเดอื ดรอ้ นเพราะกรนารกี อด สา้ ออยออดให้สขุ ทกุ ขุมขน สุขเชน่ น้ีควรใฝห่ าใส่ตน ท้ังสากลภพหลา้ หางา่ ยเอย” น่แี หละคอื เพลงทม่ี ันขับร้องพร้อมดว้ ยมอื อันแสนงอน ตาอันเปลง่ ปล่งั ไปดว้ ยเปลวแหง่ เสนห่ ์ และความยม้ิ แย้มยยี วนและเมอ่ื เวลาเตน้ รา้ เพอื่ ยั่วตณั หามันกห็ มุ้ กายของมนั แต่เพยี งครึ่ง ตะโพก และอวัยวะออ่ นนุ่มของมนั ดจุ ดังดอกไมต้ ูมครึ่งเดยี วทเี่ ผยให้เหน็ สี แต่ยังซ่อนเกสรใน ของมันอยฉู่ ะนั้น ไม่มีความงามใดเลยท่มี ายั่วยวนความกระสนั ให้ปรากฏแก่จกั ษุประสาท เทา่ กับความงามของเหล่านางฟ้อนร้าในทีม่ ดื ซึง่ ขยับเขยอื้ นมาใกล้กับต้นไม้ ถ้าดทู ีละคน ตาคน ดลู ว้ นแตจ่ ะเหน็ งามเย่ียงย่ิงกว่านางทเี่ หน็ แล้วก่อน พลางร้าพนั ว่า “โอ!้ พระมหาสทิ ธัตถะ! ข้าพเจา้ มาหาพระองค์ จงล้ิมรสจากปากของข้าพเจ้าและจงทดลองดูความเป็นสาวของข้าพเจ้า ว่านา่ พิศวาสหรือไม่” ครั้นแล้วเม่อื ไมม่ ีอะไรเลยทอี่ าจกระทบกระเทือนดวงพระหทัยของพระมหาบุรษุ ของ เราได้แล้ว เจ้าตัวกามกก็ วดั แกวง่ ธนวู ิเศษของตน และทันใดน้ันหมู่นางฟ้อนกห็ ลกี ออก แลว้ มี ภาพนางหนงึ่ มาปรากฏขนึ้ อกี งามยง่ิ และเพรศิ พรงิ้ ย่ิงกวา่ นางทัง้ ปวงเดินเข้ามา โดยใหป้ รากฏ เปน็ ภาพของพระนางศรียโสธรา ดวงเนตรซึง่ เอบิ อาบไปด้วยนา้ อสั สุชล แสดงใหป้ รากฏวา่ มี ความพิสมัยอย่างสุดสวาท แขนท้งั สองทเี่ หยยี ดยื่นใหไ้ ปยงั พระองค์ แสดงว่าระทมทกุ ข์แสน สาหสั และดว้ ยศพั ท์ส้าเนยี งอันละห้อยโหนหวน ภาพอนั งามนั้นก็เรียกพระนามของพระองค์ และสะอ้นื วา่ “ทูลกระหมอ่ มเจา้ ขา! หม่อมฉันจะตายเพราะพระองคท์ อดทิง้ นี้แลว้ สวรรคอ์ ะไร เล่าซ่งึ ทรงเหน็ วา่ เทียมเทา่ กบั สวรรคซ์ งึ่ ไดป้ ระสพดว้ ยกนั ณ รมิ แม่น้าโรหิณอี ันใสสะอาด ใน ราชสา้ นักเกษมศานตซ์ งึ่ ตง้ั แตห่ ลายปอี นั ร้ายกาจ หม่อมฉันต้องวิโยคโศกาเพราะพระองคเ์ สด็จ กลับเสยี เถดิ ” “พระสิทธัตถะเสด็จกลบั เสยี ! หรือมิฉะนน้ั อยา่ งนอ้ ยจงจมุ พติ รมิ พระโอษฐข์ องหมอ่ ม ฉนั เสยี ใหม่ และไดท้ รงโปรดให้หม่อมฉันองิ แอบแนบกาย ณ พระอุระของพระองค์อีกคร้งั หน่งึ เถิด แลว้ ความฝ๎นอันหาผลมไิ ด้กจ็ ะสิน้ สญู ไป จงทอดพระเนตรเถดิ หมอ่ มฉนั มิใช่ผู้ซ่ึงพระองค์ เสน่หาดอกหรือ!” แตพ่ ระมหาบรุ ษุ ตรัสวา่ “โดยความรักอันละมนุ ละม่อมแก่ผซู้ ึ่งเจ้าปลอมตัว มา ทา้ ให้เหมอื นเขาซงึ่ เปน็ มารยาอันเป็นแต่เพยี งเงาแห่งความงามและความเสนห่ ด์ ังนีน้ นั้ อุบายของเจ้าหาบังเกิดผลอะไรมไิ ด้เลย เราไมแ่ ช่งเจา้ เจ้าซง่ึ ทา้ เปน็ รูปทรงอนั มีคา่ ยิ่ง แม้เจ้าจะ
เป็นเหมอื นอย่างอาการทงั้ ปวงซ่ึงปรากฏอยูเ่ หนือพนื้ ธรณีนกี้ ็ดี จงกลบั กายของเจา้ ไปสทู่ ีส่ วา่ ง เวงิ้ เสยี ใหมเ่ ถิด” ครัน้ แล้วก็มีเสียงก้องขึน้ ในป่า และหมูก่ ายอันวไิ ลลักษณท์ งั้ มวลกค็ อ่ ยๆ อนั ตรธานไปพรอ้ มกับธงแห่งเปลวไฟซง่ึ ลอยล่ิว และชายเสอ้ื ซึ่งจางหายไปในอากาศ ต่อมา ภายใต้ฟ้าอันขมกุ ขมวั และในเมอื่ มีศัพทส์ า้ เนยี งเสยี งพายุฝนโบกพดั เรมิ่ ซดั มา เจา้ ตัวบาปตัวท่รี า้ ยกาจย่งิ ซงึ่ เป็นกองระวงั หลงั แห่งเจ้าตวั บาปทงั้ ๑๐ กม็ ีอีก ตัวบาปที่ ๑ คือ ปฏฆิ ะ เจา้ พยาบาท มงี ูพันรอบอกของมนั ซึง่ ดดู นา้ นมอันมีจากนมยานของมนั และขู่ฟอ่ ระคน กับเสียงดา่ แชง่ อย่างแดกดัน มนั กระท้าความร้าคาญใหแ้ กอ่ งคผ์ มู้ บี ุญไดไ้ ม่มากมายอะไร เพราะดว้ ยดวงพระเนตรอันสงบของพระองค์กระท้าใหร้ ิมฝปี ากอนั ขมขนื่ ของมันอ่อนลง และ ท้าใหง้ ดู ้าตอ้ งบิดตัวของมนั แลว้ หดเข้ียวของมันเสยี คร้ันแลว้ รูปราคะ เจ้าตัณหาในทางประเวณี ตวั บาปอันลามกใคร่ดว้ ยความคลง่ั ในความ สังวาส เป็นความส้าราญท้าให้ลืมเสียซงึ่ ความดา้ รงชพี ตอ่ จากมันก็มีเจา้ ตัณหาแหง่ ความใคร่มี ชอ่ื เสียง คืออรูปราคะ ซึ่งโดยอาการกิรยิ าอันสุขมุ ของมันลอ่ ใหค้ นดกี ลายเปน็ คนเสีย เปน็ ท่ีเกดิ แหง่ ความกลั่นกล้า แหง่ การสงครามและความเหนอ่ื ย ตอ่ จากนัน้ กม็ าโน เจ้าความหยงิ่ เจา้ ปศิ าจแห่งความจองหอง แลว้ กเ็ จา้ ตัวรักตนเองนาม วา่ อุทธัจจะ แล้วเจา้ ตัวโงซ่ ึ่งหอ้ มลอ้ มไปด้วยสัตวเ์ ล้อื ยคลานและสตั วบ์ ินอนั น่าเกลยี ดสารเลว ไมส่ มประกอบอยา่ งคางคกและคา้ งคาวกม็ าถึงซึ่งเปน็ ที่เกดิ แหง่ ความกลวั และความอยุติธรรมนามว่า อวทิ ยา (หมายความวา่ ความโง่เขลา ความเผลอ เหน็ สงิ่ ท่ีไมถ่ าวร) ตวั แมม่ ดอนั นา่ เกลยี ดชงั ซึ่งเมือ่ มันปรากฏมานัน้ กระท้าให้ราตรกี าลมืดยงิ่ ไปอีก และภูเขาก็ สนนั่ หวน่ั ไหวด้วยอานภุ าพของมนั พายุร้ายคะนองล้าพองพัดและเมฆก็กระจายละลายเปน็ ฝน ตกลงมาอยา่ งห่าใหญ่ ดวงดาราตกจากฟ้า แผน่ ดนิ ไหวเหมือนกับว่าถูกไฟจ้ี ณ แผลซึ่ง เหวอะหวะ ท้องฟา้ ซึง่ วบั แวบไปด้วยสายฟา้ แลบกระพอื เตม็ ไปดว้ ยเสยี งออื้ องึ เสยี งร้องอนั นา่ อนาถ และเสียงหมาเหา่ หอน หนา้ ตาอนั เหี้ยมโหดดถู มงึ ทงึ และหนา้ ผากอันกว้างใหญน่ า่ สะพรงึ กลัวและผ่งึ ผายคือ หมู่เจ้าแหง่ นรกซึง่ มาจากใต้บาดาลและนา้ บรวิ ารของมันมาเพ่อื ลอ่ ลวงพระศาสดาจารย์ แตพ่ ระองค์หาไดก้ ังวลดว้ ยไม่ พระองคย์ งั คงประทับด้วยพระวรลกั ษณ์อนั บรสิ ทุ ธ์ิของพระองค์อยู่ เพราะพระองค์มี คุณธรรมอันบรสิ ทุ ธิข์ องพระองคเ์ ปน็ เคร่ืองปอ้ งกัน ดุจดังอันทแ่ี ขง็ แรงบรสิ ทุ ธ์พิ ร้อมด้วยประตู และป้อมปราการ และพฤกษชาติอนั ศักดสิ์ ิทธ์ิ คอื ตน้ โพธิน์ ั้นก็ไม่ไหวติงด้วยอา้ นาจแหง่ พายุ ทัง้ ใบก็แวววบั อย่างปกตดิ จุ ในยามราตรกี าลซ่งึ สว่างไสวไปด้วยแสงของดวงจันทรค์ ราเมอื่ ไมม่ ีลม เฉื่อยแมแ้ ตน่ อ้ ย มากระทา้ ให้หยาดน้าคา้ งตกลงมา เพราะความอึงมี่เหลา่ นค้ี ะนองลา้ พองลัน่ อยู่ นอกเขตเงาแหง่ ก่งิ ใบทัง้ มวลของต้นโพธ์ิน้นั คร้นั กาลกา้ หนดระยะที่ ๓ แผน่ ดนิ กส็ งบเงยี บ ฝูงปิศาจวายร้ายท้ังปวงกห็ นีไปส้นิ และ ลมเฉ่ือยก็พัดมาทางภายใต้ดวงจันทรซ์ ึ่งฉายแสงอยสู่ ลัวๆ คร้นั แล้วพระมหาบุรษุ ก็บรรลุซึง่ บพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ พระองคท์ รงแลเห็นทางแห่งความเปน็ อยู่ในโลก ทกุ ๆ โลกซึ่งไกลยงิ่ และย่ิงไกลๆ ออกไปอีก โดยอาศัยรัศมซี ึ่งสอ่ งเหมือนมนุษยชาติ และทรงระลกึ ชาติของพระองค์ ทีไ่ ดล้ ่วงแลว้ มาในทกุ ๆ พภิ พวา่ มจี ้านวนหา้ รอ้ ยห้าสบิ ชาติประดุจคนเดนิ ทางซ่งึ กา้ ลังพัก เหนอื่ ยอยูบ่ นยอดเขา กา้ ลังมองดมู รรคาขรขุ ระซ่งึ ตนได้เดินมาตามแนวหนา้ ผาเหวและป่า สมุ ทุมซึ่งเมอื่ อยแู่ ต่ไกลก็คล้ายเชน่ จดุ ด้าหรอื ตามหนอง น้าใสจนดูเหน็ เปน็ สเี ขยี วและทล่ี มุ่ ทต่ี า้่ ซง่ึ เขาได้เดินมาจนเหนื่อย เหนือ่ ยท่สี ุด ยอดเขาอนั น่าสยดสยองซึ่งเท้าของเขาแทบจะลื่นลม้ และตา้่ ลงมากม็ หี ญ้าซงึ่ ผึง่ แดด แกง่ ถ้าและบึง และไกลออกไปอยา่ งลบิ ลบั สายตากค็ ือทุง่ ซงึ่ เขาไดอ้ อกมา เพอื่ ให้ถึงขอบฟ้าอัน เขยี วออ่ นเหล่านีฉ้ ันใด ฝ่ายพระมหาบรุ ุษกท็ รงชมลา้ ดบั แหง่ ความเกิดต่อๆ มาของพระองค์ฉัน น้ัน
นบั ตง้ั แตท่ งุ่ ต่้าซงึ่ ชวี ติ ไมถ่ าวรจนกระทง่ั ถงึ ความสงู ท่ีย่ิงสูงๆ ข้นึ ไป อันเปน็ ทีซ่ งึ่ ความดี อนั ใหญ่ทั้ง ๑๐ ประการ รอคอยคนเดินทางเพ่อื นา้ ไปสูส่ วรรค์ พะรมหาบรุ ุษยงั เห็นอีกว่า ความ เกดิ ใหมท่ กุ ๆ ก้าเนิดน้นั ยอ่ มรบั ผลซ่งึ กา้ เนิดในชาติกอ่ นไดพ้ นู เพาะมาแล้วน้นั อย่างไร อย่างไร ซ่ึงเม่ือชีวติ ชะงักไปทีหนึ่ง(คอื ตายไปครง้ั หน่ึงแลว้ ) ก็ด้าเนนิ ไปใหม่อกี โดยสงวนผลได้และ รบั ผิดชอบในเรอ่ื งความเสยี หายทมี่ มี าแล้วแต่ปางกอ่ นนัน้ และในชวั่ ชีวติ ทุกๆ ก้าเนิด ความดี ยอ่ มเป็นมลู ให้ดยี ิ่งข้ึนอกี และความชั่วกเ็ ปน็ มูลแห่งความช่วั ใหม่อกี อย่างไร เพราะความตาย นัน้ เปน็ เพียงประหนงึ่ วา่ งบยอดบญั ชีเปน็ ลูกหน้หี รอื เปน็ เจา้ หน้คี รง้ั หน่ึงเทา่ นนั้ และโดยการ ค้านวณซงึ่ ไมม่ ีคลาดเคลอ่ื น ยอดยกไปแหง่ ความประพฤตดิ ีและความประพฤติช่ัวกต็ ราไวใ้ น ตวั เอง โดยถกู ต้องแนน่ อนไมผ่ ดิ แม้แต่น้อย เพอ่ื นบั คา้ นวณส้าหรบั กา้ เนิดใหมท่ ่ีเริ่มต้ังต้นอีก ซง่ึ ประกอบดว้ ยความคิดและความประพฤตทิ ่ีล่วงมาแลว้ การต่อส้แู ละชัยชนะความจ้าอย่าง เผนิ ๆ และรอ่ งรอยแห่งชีวติ หลายชาตซิ ึ่งเหอื ดหายไปแลว้ และเมือ่ จวนจะถึงซึง่ ความตรสั รู้ ในเวลาเทีย่ งคนื พระองคก์ บ็ รรลุซึง่ อภิชญาณ (ทพิ พ จกั ษญุ าณ) คือความเล็งเห็นแลเหน็ อนั รุ่งโรจนเ์ กีย่ วด้วยโลกน้ี และโลกที่สูงๆ ซง่ึ สุดทจี่ ะระบุ นามและเก่ียวกบั ระเบยี บต่างๆ ซง่ึ เกี่ยวกบั ดวงดารา พระอาทติ ยแ์ ละโลกทัง้ หลายซึง่ เหลือทจ่ี ะ คณนา อนั โคจรไปดว้ ยความสม้า่ เสมออยา่ งวเิ ศษเป็นหมเู่ ดียวกัน แม้จะอยหู่ ่างกนั กด็ ี แตก่ จ็ ดั วา่ เปน็ หมูเ่ ปน็ พวกเดียวกนั ทัง้ มวล ซึ่งแมว้ ่าอย่หู า่ งกนั ไมต่ ดิ ต่อกนั ก็ดี โลกทง้ั หลายซ่ึงเปรยี บ เป็นเกาะเงนิ อยใู่ นลูกคล่ืนซดั กลง้ิ ไปตามกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงมิร้สู ิน้ สุด พระองคท์ รงเหน็ บรรดาดาวแห่งแสงสวา่ งซง่ึ มอี ้านาจสมั พนั ธ์อันมองไมเ่ หน็ หน่วง เหน่ยี วหมู่ดาวน้อยอนื่ ๆ และซง่ึ ตอ้ งอนุโลมหมุนรอบโลกอน่ื ที่มีอานุภาพยิง่ กว่าตนซึง่ โลก เหล่านน้ั เองกเ็ ปน็ บรวิ ารของดาวอน่ื ๆ ทไี่ กลยิ่งไปอกี ประหน่ึงว่าดาวดวงหน่ึงย่อมส่องแสงอนั เป็นประทปี แห่งชวี ิตไปให้อกี ดวงหนึง่ ไม่รสู้ น้ิ สุด น่ีแหละคอื สิง่ ทีป่ รากฏในความเพง่ เลง็ ของ พระองค์ และพระองค์ยงั เห็นจกั รราศใี หญแ่ ละจกั รราศขี องโลกทกุ โลก อกี ทัง้ การคณนากลั ป์ (กัลป์เป็นวันหนึ่งของพราหมณ์ ซง่ึ เท่ากับ ๔ ,๒๓๐ ลา้ นปี สนิ้ กลั ปห์ นง่ึ พภิ พกจ็ ะสูญไป) และมหากัลปข์ องโลก เหล่านั้นอันเป็นพกิ ดั อตั รากาลเวลาซงึ่ ไม่มผี ใู้ ดเลยอาจคาดถึงได้ (แม้แตผ่ ู้ใดซึ่งอาจนับน้าแห่ง แม่คงคาให้เป็นหยดๆ ตั้งแต่ต้นน้าถึงทะเลกด็ ี) และซง่ึ แสดงกา้ หนดกาลเวลาซงึ่ โลกทั้งหลาย เจรญิ และอนั ตรธานไป ซ่งึ ในระหว่างนั้นเหล่าโลกที่อยู่ในทอ้ งฟ้าน้กี ็ด้ารงชีพอย่ดู ว้ ยความ รงุ่ โรจน์ ครน้ั แล้วกม็ ืดมัว และหายไปสักวารแล้วสักวารเลา่ พระองคร์ า้ พึงพจิ ารณาดว้ ยความลกึ สุขมุ และยอดแห่งความสขุ ุม รวมใจความว่าอย่าง ละเอยี ดลออ โดยเพง็ เล็งไปจนถึงเวหาอันเขยี วซ่ึงไมม่ ีขอบเขตและลกั ษณะของบรรดาโลกตา่ งๆ และสมยั ความเป็นไปประกอบด้วยอาการแหง่ โลกทั้งปวงนน้ั พระองคก์ ็ทรงเหน็ วา่ อยูใ่ นกฎแห่ง ความเปลยี่ นแปลงทัง้ สน้ิ ท้งั น้ีโดยความสงบอยใู่ นพุทธกจิ อขงพระองคซ์ ึ่งต้องการใหค้ วามมดื แปรมาส่คู วามสว่าง และความตายมาสูค่ วามด้ารงชพี ซง่ึ ทา้ ให้ที่ว่างเปล่ากลบั เปยี่ มเตม็ ให้รูป กายแก่สงิ่ ซึ่งยงั ไมม่ รี ปู กาย เปลย่ี นความดีให้เปน็ ความดีย่ิงข้นึ และความดียิง่ ใหเ้ ปน็ ดีเต็มที่ โดยระเบยี บซง่ึ สา้ แดงโดยตนเองท่ีไมม่ ีผ้ใู ดตง้ั และไมม่ ผี ู้ใดคัดค้าน เพราะระเบียบน้นั อย่เู หนอื พระเจา้ ทั้งหลาย ทั้งไมแ่ ปรปรวน สดุ ที่จะพรรณนาและใหญ่ยงิ่ เปน็ อา้ นาจซ่งึ สร้าง ท้าลาย และ สรา้ งข้ึนใหมอ่ ีก เป็นผคู้ รองส่งิ ทงั้ ปวงตามกฎแหง่ ความดีซง่ึ สา้ เร็จลงเป็นความงาม ความจริง และคณุ ประโยชน์จนมีผลวา่ ถ้าใครได้รับใชอ้ า้ นาจนน้ั แล้วก็ไดด้ ี ใครขดั ขวางกไ็ ดช้ ่ัวฉะนั้น ตัวบุ้งกท็ า้ ดแี ล้วท่ีไดอ้ นโุ ลมตนใหเ้ ป็นไปตามธรรมชาติ เหย่ยี วกท็ ้าดแี ลว้ ในการทต่ี น ไดน้ ้าอาหารสดอันชุ่มไปดว้ ยเลือดไปให้ลกู ของมัน หยาดนา้ ค้างและดาวก็มีแสงอยา่ งเดยี วกนั และมสี ว่ นร่วมงานของโลกอยูด่ ว้ ยกัน ฝา่ ยมนษุ ยซ์ ึง่ มชี ีวติ ส้าหรับตาย ก็ตายส้าหรบั เหตุผลท่ดี ี หากว่าตนได้ยดึ เอาความประพฤติซึง่ ไม่มตี ้าหนิไว้เป็นเครอ่ื งจงู น้าตน กับยึดเอาเจตนาอันเที่ยง แท้ส้าหรับไม่เพียงแตช่ ่วยอยา่ งเดยี ว แตส่ ้าหรับยักยา้ ยสตั วโ์ ลกท้ังปวงใหพ้ ้นจากความ แปรปรวน ทั้งเล็กทงั้ ใหญ่ที่ทรมานอยดู่ ว้ ยความดา้ รงตวั ตน นแี่ หละสิ่งซ่งึ พระมหาบุรษุ ของเรา เหน็ ในระหวา่ งทีจ่ วนจะถงึ ซง่ึ ความตรสั รู้ตอนเทย่ี งคนื แตค่ รัน้ ถงึ คราวที่ จวนจะถงึ ซึง่ ความตรสั ร้ใู นลา้ ดับที่ ๔ พระองคก์ ็ทรงทราบความลับ แห่งความเศรา้ โศก (บรรลอุ าสวักขยญาณ)ซง่ึ เปน็ อุปสรรคแก่กฎโดยอาศยั ความชัว่ ดุจดงั ควนั และขแี้ ร่ซึง่ ทา้ ให้ไฟของช่างทองดบั ไป ครั้นแล้วทกุ ขสัจองค์ท่ี ๑ แหง่ ความจรงิ อนั สขุ ุมก็
ประจักษ์แก่พระองค์ พระองคท์ รงเห็นวา่ ทุกข์เปน็ เงาแห่งชีวิตซงึ่ เปล่ยี นทีไ่ ปดว้ ยกนั และซง่ึ เรา อาจพ้นเสียไดก้ โ็ ดยพน้ จากความเปน็ อยูโ่ ดยตรง และฐานะทง้ั ปวงของตน คอื ความเกดิ ความ เตบิ โต ความเสอ่ื ม ความรกั ความแคน้ ความบันเทิง ความทรมานตวั ตนและความประพฤติ ไม่มสี ่ิงซอ่ นอยู่ในสภาพแห่งความพงึ ใจเหลา่ น้ีได้ หากผูน้ น้ั ไมม่ วี ทิ ยาซึ่งอาจนา้ ให้รู้ในเลห่ ์กลของมันได้ แต่ผใู้ ดซง่ึ รู้จักอวทิ ยา มายา อบายมุข เหยยี ดมนั ให้เสียห่าง ไม่รริ ักชีวติ ต่อไป แตก่ พ็ ยายามจนไดบ้ รรลุถงึ ซึ่งความรอดพน้ ไปได้ ตาของผู้นั้นยอ่ มเฉียบแหลม เขายอ่ มเห็นว่ามายาเป็นอบายมุข เปน็ มูลแห่งสังขาร (ความ น้อมไปทางเลวทราม) และวิญญาณ(จิต)ซึ่งบงั เกิดนามรปู (รปู กาย) โดยเฉพาะซ่งึ ทา้ ให้บคุ คลผู้ ประกอบด้วยความรู้สึกต่างๆ อนั ปราศจากเครอื่ งป้องกัน ความหยงั่ รู้เปน็ เหมอื นหน่งึ กระจกเงา ท่ตี ้งั รับรูปภายนอกทุกอย่างซ่งึ ผ่านสัมผัสกับใจตน ครนั้ เม่ือเป็นดงั น้ันแลว้ เวทนา(ชวี ติ แห่ง ความรสู้ กึ ) กเ็ ตบิ โตขึ้นพรอ้ มด้วยความปล้มื อันผิดและโทษอนั ร้ายกาจ แต่ซึ่งจะเปน็ ทกุ ขห์ รือ สุขก็ตาม ก็ยงั สอ่ ให้เกิดตฤษณา (ความอยาก) คอื ความกระหายซง่ึ ทา้ ให้ผูม้ ชี วี ิตดมื่ คลน่ื เคม็ อนั นา่ ลุ่มหลง อันเปน็ กระแสซ่งึ ตนซึ่งตนก้าลงั ล่องลอยอยู่และลกู คล่ืนน้ันได้แกค่ วามสนกุ รื่นเริง ความเยอ่ หย่ิง ความม่งั มี เดชานภุ าพ การมีชอื่ เสียง การมีอ้านาจเหนอื สิง่ อนื่ การชงิ ชัย ความ รักและอาหารอันโอชา เครื่องนงุ่ ห่มสวยงาม วงั อันมโหฬาร ความทะนงตนในการเกิดตณั หา ในทางประเวณีและการตอ่ สู้ ซึง่ บางทีกล็ ะมนุ ละมอ่ มแตบ่ างทกี ็ขืน่ ขม ดงั น้คี วามกระหายของชวี ิตก็ดูดดมื่ เครือ่ งดม่ื ซึ่งทวีความกระหายขน้ึ อีก แตค่ นดยี อ่ มตัด ตฤษณาใหห้ ลดุ ไปจากวิญญาณของตน และไม่หล่อเลย้ี งญาณวิถขี องตนดว้ ยสภาพอันผิดนัน้ เลย ยอ่ มท้าใหจ้ ติ ใจอนั ไม่แปรปรวนของตนเคยชนิ ในความไมต่ ้องการ ในการไมต่ ่อสู้ ไม่ท้าลาย โดยพยายามอดกล้นั ความทกุ ขร์ ้อนทง้ั ปวงซ่งึ เนอ่ื งจากการทตี่ นกระทา้ ผดิ มาแล้วแต่ปางก่อน ท้ังย่อมพยายามอดกล้นั ความกระหายอยาก เหตุราคะตัณหาทัง้ ปวง เมือ่ ดงั นี้แล้ว ผลทสี่ ดุ อันบรบิ รู ณ์ของชีวติ คือกรรม กรรมซง่ึ เป็นผลนอกของวญิ ญาณ กรรมซึ่งไดร้ บั ผลจากความประพฤติและความคิดซงึ่ ลว่ งมาแลว้ ของตน กรรมซง่ึ เปน็ ผลท่ตี นได้ กอบโกยมาเป็นเวลานาน อนั เนือ่ งจากความสมั พนั ธแ์ หง่ เหตุการณ์ท่ีไม่อาจคาดเหน็ ได้ก็ กลายเปน็ บรสิ ุทธิแ์ ละปราศจากบาป ครั้นแลว้ ตนกไ็ ม่ต้องการหารูปกายและที่พ้านกั อันใด อนั หนงึ่ หรือมฉิ ะนั้นจะมีรปู กายใหม่อีกโดยความเกิดใหมข่ องตน ในวิถีซ่งึ ทุกขเวทนาของตนก็ ย่อมบรรเทาเบาลงจนอนั ตรธานส้นิ ไป คร้ันแล้วก็บรรลถุ ึงซง่ึ ปลายทส่ี ุดแหง่ มรรคารอดตนพน้ จากความหลงในโลกและจากส กนั ธสั (ของตดิ แห่งรูปกายมอี ยู่ ๕ คอื ๑.อาการท่ีแลเหน็ ท้ังปวง <รปู ร่าง ความแข็งแรง สี> ๒. ความร้สู ึก ๓. การ แตะตอ้ งและความพจิ ารณา ๔. นิสยั ทางใจและความประพฤติ ๕.ความคิด ของเหลา่ นี้ล้วนแต่ไม่แนน่ อนทัง้ ส้ิน) แห่งเลอื ดเน้อื ได้ทา้ ลายแล้วซึง่ อุปทานไมจ่ า้ เปน็ ต้องไปหมุนเวยี นในวฏั สงสารอีกตอ่ ไปได้ถงึ แล้วซึง่ ความตนื่ และวามาร้สู กึ ตนเหมอื นคนละเมอ ซึง่ มีผปู้ ลกุ ใหส้ มฤดีในท่ีสุดเมือ่ ไดบ้ รรลถุ ึง ซ่งึ ความเปน็ ใหญย่ ่งิ กว่าราชาท้งั ปวงสนั ติสุขเกษมศานตก์ ว่าเทพเจ้าทงั้ หลายแลว้ ก็รู้สกึ ว่าได้ ส้นิ แล้วซึ่งความเกดิ อันธการ คร้ันแลว้ ตนกจ็ ะยา่ งเข้าสคู่ วามเป็นไปอย่างใหม่อกี คอื ความเปน็ ไปซ่ึงไมใ่ ชม่ ชี ีวิต แต่ สงบไม่รหู้ าย สา้ ราญเกษมศานต์สดุ ทีจ่ ะพรรณนาคือถงึ แล้วซ่งึ นริ วาณ (นิพพาน) ความสงบซงึ่ ไมม่ ีบาปและปราศจากความมัวหมอง ความที่เปลี่ยนแปลงซ่งึ ไมเ่ ปลยี่ นแปลงอกี ต่อไป ในทนั ใดนัน้ อรุโณทยั ก็ไขแสงแจ้งความสว่างแหง่ ความมีชยั ของพระพุทธเจา้ อคั คี แหง่ ทวิ าวารอนั รุ่งโรจน์โชตนาการสอ่ งแสงมาแล้วในเมฆสีด้าแหง่ ราตรีกาล ณ เบือ้ งบุรพาทิศ ดาวกลั ปพฤกษ์ซงึ่ ลอยเดน่ อยา่ งแจ่มจรัสค่อยๆ จางลง ในเม่ือแสงหลัวๆ สกี หุ ลาบซ่งึ ค่อยๆ สอ่ ง สวา่ งแจง้ ข้ึนเสมอมาท้าลายสีเทาให้อันตรธานไปจากท้องฟา้ ไกล เหล่าภเู ขาซ่ึงเหมอื นเงาย่อมใหป้ ระสบมหาสรุ ิโยทัยกอ่ นกาลซงึ่ โลกตนื่ แลว้ ภเู ขา เหลา่ นน้ั ก็มยี อดดาดไปด้วยแสงทอง ลมพัดเฉอื่ ยฉิวแห่งเวลาเช้าซงึ่ โชยมาเหนอื ปวงบปุ ผชาติ กระท้าให้บปุ ผชาติเหล่าน้ีแย้มกลบี อนั อ่อนละมุนออกทีละกลีบ แสงช่วงโชตซิ ึ่งเขยอื้ นเคลอื่ นมา อยา่ งรวดเร็ว ฉายลงมาเหนอื บรรดาหญ้าอันสัมผสั ด้วยหยาดของนา้ ค้างซึ่งถูกเปลย่ี นเป็นสีใส
แวววับ ประดจุ อัสสุชลของราตรกี าล เดียรดาษพ้ืนธรณดี ้วยรัศมแี จ่มจรัส กระท้าให้เมฆซ่ึงมขี อบเขตเปน็ สที องแล้วจางไปประดับความเปล่งปล่ังใหแ้ กใ่ บของตน้ ตาลซึ่งนอ้ มลงประหน่ึงว่าถวายบงั คมพวยพงุ่ สีทองลงมาเหนือปา่ โปรง่ วถิ ขี องแสงพ่งุ ไปทางมา ดุจคฑาวเิ ศษดงั ล้าน้าประหนึ่งวา่ กา้ ลงั ไหลหลัง่ ไปด้วยเม็ดพลอย ทบั ทิม ส่องลอดเขา้ ไปในพมุ่ ไม้ สดู่ วงตาของนางเนื้อทรายและประดุจบอกนางเน้อื ทรายเหลา่ นน้ั ว่า “สวา่ งแล้ว” ฉายไปใน รงั ของนกนอ้ ยซึง่ นอนหดศรี ษะอยูภ่ ายใต้ปีก พลางกระซิบวา่ “หนูเอ๋ย จงชมดูแสงะวันเถดิ ” คร้นั แลว้ นกทง้ั ปวงก็เร่ิมก่กู อ้ งร้องขบั นกดเุ หว่าร้องทา้ นองขลุ่ย นกกางเขนร้องสรรเสริญ นก ปรอดรอ้ งทา้ นองวา่ “เวลาเชา้ เวลาเชา้ ” นกคีรบี ูนร้องพลางบินหาน้าผ้งึ กอ่ นที่แมลงผึง้ จะออก จากรัง การ้องกาๆ นกแกว้ ร้องเสียงแจว้ นกคอ้ นทองสเี ขยี วเคาะไม้ นกขนุ ทองร้องอยู่บนก่ิงไม้ ซงึ่ มีใบหนา นกพริ าบข่ขู บั ทา้ นองความรักซ่งึ ยืนยงตลอดชีพ แสงสวา่ งน้คี ือแสงสว่างแหง่ บารมี ซง่ึ เป็นพระคุณธรรมอนั ประเสรฐิ ย่ิงทฉ่ี ายความสนั ตสิ ขุ หาเสมอเหมือนมิไดม้ าสู่ที่อาศยั อยู่แห่ง มนุษย์ทงั้ หลาย ผ้รู ้ายซ่งึ หมายทา้ การฆาตกรรมกเ็ กบ็ ซอ่ นมดี ของตน ขโมยกท็ ิง้ ส่ิงของทไ่ี ป ขโมยไดม้ า พวกธนาคารและพวกให้แลกเงนิ ก็ชา้ ระเงนิ โดยถกู ต้องไมม่ โี กง บรรดาผูม้ ใี จร้ายทงั้ ปวงกลบั กลายเป็นคนดีขึน้ คนดีกลายเป็นคนดียงิ่ ข้นึ ทัง้ นี้กเ็ พราะ รศั มแี หง่ พระพทุ ธบารมีไดส้ อ่ งมาแลว้ ณ เบอื้ งบนแผ่นดินนนั้ เอง ปวงราชาซ่ึงทา้ สงครามตา่ งก็ ผอ่ นผนั กนั คนเจ็บลุกขึ้นด้วยความยมิ้ แย้มเหนอื เตยี งป่วยของตน คนเจบ็ ทม่ี อี าการร่อแรอ่ ยู่ แลว้ ยังยิม้ ขึน้ ได้ เพราะเขา้ ใจว่าอรุโณทยั ที่ไขแสงมาใหม่น้ีไดก้ า้ เนิดมาจากแหลง่ ท่ีไกลเบือ้ งบุ รพทิศ ฝ่ายพระทัยของพระนางศรียโสธราซึง่ โศกเศร้าเฝา้ อยเู่ คียงขา้ งพระแทน่ ของพระสิทธัต ถะก็กลายเป็นปลาบปลื้มไปด้วยความสุขสา้ ราญขึน้ ทนั ทีและดปู ระหนง่ึ ว่าพระทยั ของพระนาง นั้นได้นกึ ว่าความรักของพระนางไม่ผดิ แล้ว ดังนน้ั ความเศร้าโศกของพระนางจงึ อนั ตรธานไป เพราะความปลาบปล้ืมยินดีในโลกไดร้ บั ความสุขโดยไมร่ เู้ พราะเหตุใด จนถงึ กบั บรรดาเปรต และภูตผีปศิ าจซ่ึงไมม่ รี ปู กายต่างเปลง่ ระเบ็งเสยี งขับรอ้ งกอ้ งมาเหนือทะเลทรายซึ่งวา่ งเวิ้ง เพราะชืน่ ชมยินดดี ้วยความมชี ยั ขององคพ์ ระพุทธเจา้ ฝ่ายเทพยดาบนฟา้ กร็ ้องวา่ “ส้าเร็จแลว้ ! ส้าเรจ็ แลว้ !” พวกนักบวชทัง้ ปวงสนทนากบั ทวยประชาชนซึ่งประหลาดใจพลางชมรศั มีแจม่ จรสั ซึ่งโชตชิ ว่ งอย่บู นเวหาแล้ววา่ “ตอ้ งมอี ะไร ทม่ี มี หทิ ธานุภาพบงั เกดิ ขนึ้ แลว้ ” สว่ นในทงุ่ หญา้ และป่าหลวง ปวงสัตวท์ ั้งหลายกเ็ ป็นมิตรไมตรี กนั หมดในวันน้นั เนือ้ ทรายลายเปน็ จดุ เลม็ หญ้าอย่ขู า้ งพยัคฆที ีก่ ้าลังให้ลูกกินนมโดยปราศจาก ความเกรงกลวั เสอื ดาวกนิ น้าในหนองอยเู่ คียงข้างนางเกง้ กระต่ายปา่ วิง่ ไปมาข้างเบ้อื งล่างกอ้ น ศลิ าซึง่ นกอนิ ทรีทีก่ ้าลังไซ้ขนดว้ ยปากอันนา่ กลัวจบั อยู่ งูซึ่งมีหนงั เหลือบผิงแดดและหดเข้ยี ว อนั มีพิษลง เหย่ียวซงึ่ เป็นสตั วโ์ ฉบเฉี่ยวปลอ่ ยใหป้ ล่อยใหน้ กเล็กๆ ทา้ รังด้วยสันตสิ ขุ นกกนิ ปลา ท้าตาเหม่อเพอ้ ฝ๎นอยู่ใกล้ปลาท่ีวา่ ยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ นกกนิ ผีเสอ้ื ไมไ่ ลจ่ ับผเี สือ้ สีแดงเข้ม สีเขียว หรอื สเี หลืองซ่ึงเป็นฝงู ๆ อยูร่ อบที่ๆ นกนน้ั เกาะอยู่ น่ีแหละคือ พระวญิ ญาณของพระพทุ ธเจา้ ได้ทรงบันดาลใหม้ นุษย์และสตั ว์ทงั้ ปวงมี ความร้สู กึ ในเมอื่ พระองคท์ รงสมาธญิ าณพจิ ารณาอยูใ่ ตต้ น้ โพธิ์จนได้บรรลถุ งึ ความมชี ยั เพ่อื ประโยชนแ์ กม่ นษุ ย์ทง้ั ปวง และได้รับแลว้ ซ่ึงแสงสว่างแห่งประทปี ซง่ึ สว่างกว่าแสงสว่างของ ดวงอาทติ ย์ ในทีส่ ดุ เม่อื ทรงประกอบแล้วซึง่ พระรัศมี พระส้าราญและพระก้าลงั เขม้ แขง็ พระองคจ์ ึง ทรงลกุ ข้นึ ภายใต้ต้นโพธน์ิ ั้นและเปลง่ พระ สรุ เสียงของพระองค์ออกพระโอษฐ์ มพี ระดา้ รัส ส้าหรบั ให้เป็นทไี่ ด้ยิน ไดเ้ ขา้ ใจได้ทกุ กาลสมัยและทุกโลกว่าดงั นี้:- “เราไดด้ ้ารงชีวิตของเรามาประสบกบั ความเปน็ ไปทงั้ ปวง เพอื่ ค้นคว้าหาใหร้ ูว้ ่าใคร เป็นผ้สู รา้ งหว้ งแห่งกังวลใหแ้ ก่ความรสู้ กึ ตา่ งๆ ท่ีต้องทนทุกขท์ รมาน ได้ผจญกบั ความ ยากลา้ บากมาแทบไม่ส้นิ สดุ ” “แตบ่ ัดนเ้ี จา้ เอย๋ เจ้าผ้สู ร้างหว้ งหรอื ห่วงนน้ั เจา้ นน่ั แล เรารูจ้ กั เจา้ แลว้ เจา้ จะสร้าง ก้าแพงซง่ึ มคี วามทรมานอยู่ภายในนั้นไมไ่ ดอ้ กี แล้วเจ้าจะเผยอหวั ออกอบุ ายของเจา้ มิได้แลว้ และเจ้าจะลงรากเหนอื ดนิ เหนยี วนมี้ ไิ ด้อกี แลว้ เรอื นของเจ้าถกู ทา้ ลายและข่อื อันส้าคญั หกั สะบน้ั ลงแล้ว คือมายานัน่ แหละทไี่ ด้สร้างเรอื นนขี้ ้นึ ”
“ต้ังแตน่ ้ีไป เราจะเดนิ ไมห่ ยดุ เพือ่ ให้บรรลถุ งึ ซงึ่ การที่ช่วยให้สตั วโ์ ลกพน้ ทกุ ขไ์ ด้ ปริเฉทท่ี ๗ พทุ ธกิจ ใน ระหวา่ งกาลหลายปนี ั้น พระเจา้ สทุ โธทนะได้ทรงแตร่ ะทมทกุ ข์เศรา้ โศก และยามเมอ่ื พระองคป์ ระทับอยู่ในท่ามกลางเหล่าเจ้าศากิยะท้ังปวง พระองค์สลดพระทยั ด้วยการทไ่ี ม่ได้เห็นและได้ยนิ เสยี งพระราชโอรส ฝาุ ยพระนางศรียโสธรา เม่อื พระสวามี องค์อคั รบรุ ษุ ของพระนางได้พรากไปใหพ้ ระนางเป็นมา่ ยเสียแลว้ พระนางกม็ ีแต่ โศกเศร้าอาดูร จนไมร่ จู้ กั ประสบพบความสาํ ราญใน ” พระชนมชพี ” แหง่ พระนาง เสยี เลย และคราวใดท่ีมใี ครมาเล่าถงึ เรอื่ งฤาษซี งึ่ มคี นเลี้ยงอฐู หรอื พวกพ่อคา้ พาณชิ ท่ี ไปคา้ หากาํ ไรในเมืองไกลๆ ไดไ้ ปพบเห็นเข้า แลว้ ผสู้ ืบข่าวของพระราชาก็ออกไปสบื แลว้ นาํ กลบั มากราบทูลว่า ได้ไปเห็นบุรุษผเู้ คร่งสันโดษเดย่ี วและปราศจากทอ่ี าศยั มา แตก่ ไ็ ม่มใี ครไดท้ ราบขา่ วคราวของบุรษุ ผู้เปน็ มกุฏเฉลิมเกยี รติแห่งนรชาตขิ องกรุง กบิลพสั ด์อุ ันเปน็ ท่ีเชิดชไู วว้ างพระราชหฤทัยแหง่ พระราชาพระราชบดิ า เป็นเอกอคั ร เสนห่ าของพระนางศรยี โสธราและบัดนไี้ ด้เสดจ็ ไปเสียห่างอย่างหลงลืมเพราะกลบั พระทัยหรือบางทีจะถงึ ซง่ึ สิน้ พระชนม์เสยี แล้วน้ัน คร้ันอยมู่ าวันหนง่ึ ในวสันตฤดู ( ฤดใู บไมผ้ ลิ ) ซ่งึ หยาดนํ้าคา้ งขาวดุจดังเงนิ แวว วับอยบู่ นตน้ มะม่วง และเปน็ ฤดูซึ่งมคี วามอบอุ่นท่ัวทั้งพืน้ ปฐพนี ้นั พระนางศรยี โสธราได้ เสดจ็ มาประทับทีร่ มิ แม่นาํ้ อันใสสะอาดแหง่ อุทยานซง่ึ มนี ้าํ ใสสะอาดดจุ แกว้ เจยี ระไนท่ีมี ดอกบัวเรียงรายเปน็ ขอบเขตน้นั อนั เคยมีเงาภาพ ณ กาลกอ่ นซง่ึ เคยเกษมสุข ขณะสอด กรจบั พระหตั ถก์ ับพระราชบุตรหรอื ขณะทีท่ รงจมุ พติ ขอบพระเนตรของพระนางชอกช้ํา ไปด้วยความโหยไห้ ปรางอนั อ่อนละมุนทง้ั สองขา้ งก็ซบู ลง ขอบพระโอษฐซ์ ่ึงงามพริ้งก็ เหี่ยวลงโดยอาํ นาจแหง่ ความเศร้าพระทัย พระเกศาอนั เหลือบเป็นเงาก็ซอ่ นและม้วนเสีย อย่างสตรีหมา้ ยท้ังปวง พระนางไมท่ รงเครื่องประดับเครอ่ื งตน้ เครอื่ งทรงอะไรเลย และ ไม่มีเครือ่ งทรงวจิ ติ รใดเลย ทอี่ ยู่กับเครือ่ งแต่งพระองค์ไวท้ ุกข์ขาวอย่างหยาบๆ พระบาท อันงามและแนง่ นอ้ ย กา้ วดาํ เนินได้แต่ชา้ ๆ และโดยความลําบากซง่ึ แตก่ าลกอ่ นเคยก้าว วอ่ งไวเหมือนเทา้ ของนางเกง้ และเบาเหมอื นกลบี ดอกกหุ ลาบ ในเม่อื พระนางได้ยนิ เสียงอนั สุดเสน่หาแห่งพระราชสามีรบั สัง่ เรยี กพระนางนนั้ ดวงเนตรท้งั คูซ่ ึ่งแตเ่ ดมิ แมน้ เหมอื น ดวงอาทิตย์อนั แวววบั อยใู่ นทมี่ ดื อันแสนมดื บดั น้เี คลมิ้ เหมอ่ เมิน และลอยแลดู อยา่ งไมร่ ู้ว่าดูอะไร ถงึ ทอดพระเนตรดคู วามพิเศษแหง่ ฤดอู บอุ่นซึ่งไดอ้ ุบัติข้ึนกด็ ี ก็ ทอดพระเนตรด้วยอาการอนั กําสรด กําสรดจนหนงั พระเนตรอันละมุนละไมหรล่ี งมาปดิ ให้ ดวงพระเนตรนนั้ หลับไป พระกรขา้ งหนงึ่ ถือเข็มขัดประดับไขม่ ุกของพระสทิ ธตั ถะซ่ึงพระ
นางรักษาไวเ้ ปน็ ทร่ี ะลกึ ต้ังแตร่ าตรที ีพ่ ระราชสวามเี สด็จพรากไปจากพระนาง โอ้ ! คืนร้ายเอย๋ ? ราตรีร้าย ? มารดาแห่งทิวาวารซง่ึ ระทมทุกข์ ? ความรกั อะไรหนอท่ี ร้ายยิ่งไปกว่าความรกั ซ่งึ ถูกปลิดเสยี จากผ้ซู ึง่ ตัง้ ใจรักจนวาระท่สี ดุ แห่งชีวิต พระกรอกี ข้างหน่ึงของพระนางจูงพระราชโอรส โอรสของนางซง่ึ งามวิเศษ โอรสซงึ่ พระสิทธตั ถะ ท้งิ ไวใ้ หเ้ ปน็ กาํ นัลแกพ่ ระนางมนี ามว่าราหุล และบัดนม้ี พี ระชนม์ได้ ๗ พรรษา พระราหลุ ดาํ เนนิ เคียงข้างพระราชมารดาอย่างคล่องแคลว่ ในพระทยั เบิกบานไปดว้ ยการท่ไี ด้เหน็ ความงามแห่งโลกในวสนั ตฤดู ครน้ั แล้วท้ังสองพระองค์ พระมารดากับพระโอรสกเ็ สด็จมารรี ออย่รู ิมสระซงึ่ เต็ม ไปดว้ ยปทุมชาติ และพระราหุลซ่งึ ทรงพระสรวลสาํ ราญกโ็ ยนข้าวใหแ้ กม่ ัจฉาชาตสิ ีเขยี ว และสแี ดง ฝุายพระนางเมื่อมองดูฝูงวิหคท่บี นิ มาอย่างรวดเรว็ แลว้ ก็ทรงถอนพระทัยนึก วา่ “ โอ้สัตว์มีปีกเจ้าเอ๋ย หากเจ้าได้พบเหน็ ว่าพระองค์ผ้เู ป็นท่รี กั ของเราเสดจ็ ไปซ่อนอยู่ ท่ไี หนแล้ว ขอจงทลู ดว้ ยวา่ ยโสธราเตรยี มพร้อมอยู่เสมอทจี่ ะตาย ยงั รอแตใ่ หไ้ ด้ยินตรัส แต่คาํ เดียว และได้สอดสวมพระหัตถข์ องพระองคแ์ ต่คร้ังเดียวเท่านน้ั ” ก็แลในขณะทพ่ี ระนางกําลงั ถอนพระทยั คราํ่ ครวญและพระราชโอรสกําลงั เล่นอยู่ นน้ั มนี างสนมมาทลู พระนางวา่ “ ขา้ แตพ่ ระแมเ่ จา้ มนี ายวาณิชแหง่ หสั ดินปุระผ่านเขา้ มาทางประตดู า้ นใต้ นามวา่ ตระปุษะ และภัลลิกะ ล้วนแตเ่ ปน็ คนสาํ คญั ซึ่งมากจากฝง่๎ ทะเลทมี่ ีคล่ืนรา้ ย นําสินค้ามาขาย มผี ้าเยยี ระบบั ซ่งึ งามวิเศษ มีทองสําริดอันแวววบั โถ ทองเหลอื ง งาต่างๆ เครอื่ งเทศ เคร่อื งแตง่ กาย และนกแปลกๆคอื ขมุ ทรพั ยข์ องชนชาติ ตา่ งด้าว แตย่ ังอกี อยา่ งหนึ่งซึ่งวเิ ศษกวา่ สนิ ค้าทกุ ๆ อย่าง สง่ิ นัน้ คือพระองค์ซ่ึงเป็นบดี ของพระแมเ่ จา้ และของหม่อมฉนั เขาเหน็ พระองค์ องคพ์ ระราชสวามีของพระแม่เจ้าซึง่ เป็นทพ่ี ึ่งแห่งนคิ มคามทั้งปวง คอื พระสิทธัตถะอย่างไรล่ะเพคะ เขาได้เหน็ พระองค์ เฉพาะพระพักตร์ และได้กราบถวายบังคมพระองค์กบั ท้ังไดถ้ วายของแด่พระองค์ดว้ ย เพราะบดั น้พี ระองค์ได้ทรงเป็นผเู้ ผยพระธรรมอันวิเศษซึง่ คนทง้ั โลกบูชาเคารพ มี บุญและอศั จรรย์ยงิ่ คือเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งช่วยมนษุ ย์และโปรดสัตว์โลกทัง้ ปวง โดยพระธรรมเทศนาอันอ่อนหวานและโดยพระธรรมเมตตาอนั ใหญ่ประดุจทอ้ งฟูา ดังท่ี พระองค์ได้ทรงถกู ทํานายไว้มาแต่ก่อนแล้วนน้ั ตามทีน่ ายวาณชิ เล่าให้ฟ๎งปรากฏดงั น้ี แหละเพคะ ” ฝาุ ยพระนางศรียโสธรา เม่อื ไดท้ รงทราบดงั นั้นแลว้ ความปลาบปล้ืมกแ็ ลน่ ทว่ั ทั้ง สรรพางค์ เหมือนดังนา้ํ แม่คงคาซึ่งละลายจากอาการท่แี ข็งอยู่ในภเู ขาคร้ังแรกฉะนน้ั พระนางลุกขึน้ ตบพระหตั ถ์และทรงพระสรวล ดวงพระเนตรคลอหล่อไปด้วยอัสสชุ ลแล้ว รับสงั่ วา่ “ โอ ! ไปเชิญเขามาทหี่ น้าม่าน ( ในประเทศอนิ เดยี ฝุายเหนือ สตรชี ้นั สูงไม่ ยอมแสดงใหค้ นตา่ งประเทศหรือผ้อู ่ืนเห็น เพราะฉะนนั้ จึงตอ้ งอยู่ในมา่ น ) เพราะหูของ เราซ่ึงกระหายเหมือนคนท่คี อแหง้ อยากด่มื ขา่ วอันน่าบูชานน้ั อยา่ งย่งิ แล้ว จงไปเชิญเขา มา เราจงบอกเขาดว้ ยว่าถ้าคําพูดของเขาถูกตอ้ งจรงิ เราจะรางวลั ทองคาํ และเพชรนิล จนิ ดาซงึ่ มีค่าควรพระราชาท้ังหลายมีประสงคอ์ ยากจะได้ ฝาุ ยหลอ่ นผู้มาบอกแก่เราจง กลับมาดว้ ยนะจะ๊ เพราะหล่อนก็จะได้รับรางวัลในโอกาสคราวนีเ้ พ่อื เป็นเครือ่ งแสดง ความขอบคุณอนั พึงมีในใจของเรา ”
เมอ่ื ดงั นั้นแลว้ นายวาณิชทัง้ สองกไ็ ปยงั พระตาํ หนักอนั เกษมศานตแ์ ละเดนิ อย่าง ช้าๆ ไปตามวถิ อี นั งดงามดว้ ยเท้าเปลา่ ในท่ามกลางนางสาวทั้งปวงท่มี องดเู ขาผู้ซง่ึ ตนื่ เต้นดว้ ยความรงุ่ โรจน์แห่งราชสาํ นักนี้ เมื่อเขาทั้งสองไดม้ าถงึ มา่ นแลว้ ก็ได้ยินพระสุ รเสยี งอันออ่ นโยนล่นั และไพเราะถามมาวา่ “ ท่านผมู้ กี ารุญภาพ ทา่ นมาจากเมืองไกล และทา่ นได้เหน็ พระองคพ์ ระสวามีของขา้ พเจา้ แล้วทา่ นไดบ้ ูชาพระองค์ ด้วยเหตวุ า่ พระองค์ได้เปน็ พระพทุ ธเจา้ ซง่ึ โลกทง้ั มวลเยนิ ยอพระองค์เป็นผู้มบี ญุ และผู้ช่วยมนุษยใ์ ห้ พ้นทกุ ขเวทนา และเวลานี้ พระองค์กก็ ําลงั เสด็จไปสู่ทเี่ หล่านี้ ขอท่านได้เล่าให้ฟง๎ ทเี ถดิ เพราะหากเปน็ ความจริงดงั นั้นแลว้ เราขอเปน็ มติ รแหง่ ราชสาํ นักของเรา เปน็ มิตรที่เรา นบั ถือยินดรี บั รอง ” ตระปษุ ะจงึ ทูลว่า “ ข้าแต่พระนางเจ้า ข้าพเจา้ ได้เหน็ พระองคผ์ ้ทู รงพระบารมีนัน้ จรงิ ขา้ พเจ้าไดถ้ วายบงั คม ณ พระบาทยุคลของพระองค์ เพราะเหตุวา่ พระองคซ์ ึง่ แต่ เดิมเปน็ แต่เพียงเจา้ ชายนน้ั บัดนท้ี รงปุญญานภุ าพใหญ่ย่ิงกว่าพระราชาท้งั ปวงแล้ว ณ ใต้ตน้ โพธทิ์ ีร่ ิมฝง๎่ แมน่ า้ํ ผลั คู การกระทําอันสามารถช่วยมนษุ ยโลกไดน้ นั้ บัดน้ไี ด้ สาํ เร็จแล้วโดยความพากเพียรของพระองคผ์ ู้เปน็ มติ รและและเจา้ แห่งมนษุ ยท์ ้ัง ปวง พระองคซ์ ่งึ เปน็ ของพระนางมากกว่าใครๆ ซึ่งพระนางต้องโศกาดูรน้นั มีคา่ แก่โลกคือ โลกไดฟ้ น้ื เพราะพระธรรมเทศนาขององคพ์ ระศาสดา ขอไดท้ รงฟงั เถดิ พระองคท์ รงสขุ สบายเหมอื นบุคคลผู้ชนะแลว้ เหนอื ความชวั่ ทงั้ ปวง พระองคเ์ ปน็ พระเจ้าซง่ึ หลดุ พน้ แล้วจากความแร้นแคน้ ทั้งปวงแหง่ โลก ผอ่ งใสใน ความจริง ซ่งึ ไดม้ าปรากฏแล้วแกพ่ ระองคอ์ ยา่ งบริสุทธิ์ งามจรงิ เมือ่ พระองค์ เสด็จไปตามเมอื งตา่ งๆ ได้ทรงสงั่ สอนด้วยวิธีอันสุขุม ( คือแสดงพระธรรม เทศนา ) ซึง่ นาํ มาซ่งึ ความสงบสนั ติภาพ กระทาํ ใหม้ นษุ ย์ทง้ั ปวงเจรญิ ตาม วิถีทางของพระองค์ เหมือนดงั ใบไมท้ ม่ี ารวมกนั เข้าเปน็ กองด้วยอาํ นาจแห่งลม หรือเหมือนปศสุ ตั ว์ท่เี ดินตามผูร้ ู้จักที่ๆ มธี ญั ญาหาร ข้าพเจ้าเหลา่ น้กี ็เหมือนกนั ข้าพเจา้ ไดส้ ดับฟงั มธรุ ธรรมเทศนาอนั วเิ ศษของพระองค์ พระองคค์ งจะเสด็จมาถึง นก่ี อ่ นฤดฝู นจะเร่ิมตกในคร้ังแรก ” เมอ่ื นายวาณิชทลู ดงั นีแ้ ลว้ พระนางศรยี โสธราก็ตนั ตน้ื ไปด้วยความปลาบปลม้ื ยินดจี นพระนางสามารถรับส่งั ตอบไดแ้ ต่เพยี งวา่ “ จงมีความสขุ เถดิ ทง้ั ในบดั น้แี ละเสมอ ไป ท่านผมู้ ไี มตรีอนั ควรนบั ถือ ทา่ นผู้ซง่ึ นําข่าวดมี าแจง้ แก่เรา แต่ก็ความบําเพ็ญเพยี ร อันใหญ่ย่งิ น้นั ท่านรู้ไหมวา่ ได้บรรลุถงึ ซ่ึงผลสาํ เรจ็ อยา่ งไร ” ภลั ลิกะจงึ ทูลตามทีไ่ ดร้ ับทราบจากการบอกเลา่ ของพวกชาวหุบเขาถึงเรือ่ งพระ พทุ ธองคท์ รงผจญในยามราตรกี าลซึง่ อากาศวิปรติ มืดมวั ด้วยอุบายของพวกปศิ าจซึง่ พ้ืน แผน่ ดนิ หวั่นไหว นํ้าไดท้ ่วมขน้ึ ด้วยอํานาจแหง่ ความกร่ิงโกรธของพระยามาร กับภลั ลกิ ะ ไดเ้ ล่าถึงการทพี่ ระบารมขี องพระองค์ไดเ้ ปลง่ ปลง่ั ออกเปน็ รัศมอี ันเปน็ ทพ่ี ึงหวังแห่ง มนษุ ยท์ งั้ หลาย กับการท่ีพระองค์ไดป้ ระสบแลว้ ซง่ึ ความสําราญอยูใ่ ตต้ น้ โพธ์นิ ั้น ภลั ลกิ ะ ทูลตอ่ ไปวา่ “ แต่นัน่ แหละการทพ่ี ระองคบ์ ําเพญ็ เพียรทาํ เพือ่ ช่วยโลกนีก้ ็อปุ มาเหมอื น หนงึ่ ว่า ภาระนี้หนักเหมอื นกอ้ นทองทับอยเู่ หนอื ดวงพระหฤทัย เพราะพระองค์จกั ต้องทํา พระองคใ์ หพ้ น้ จากกิเลสรบกวนต่างๆ และความสงสยั เพอ่ื นาํ ไปส่ฝู ่ง๎ แห่งความจริงโดย สวสั ดภิ าพ เพราะพทุ ธเจ้าทรงตรึกตรองวา่ ทําไมมนุษยซ์ ่งึ ชอบบาปของตนและลมุ่ หลง
ดว้ ยรูปเสียงกล่ินรสอันเป็นเทจ็ ต้งั พันประการน้ันจึงจะฉลาดพอทจี่ ะมองดูและมพี ละกาํ ลงั พอท่ีจะหักความพันพวั แหง่ กามทผ่ี กู มัดตนนน้ั ได้ ทาํ อยา่ งไรมนษุ ย์จงึ เรยี นรูน้ ิทานทัง้ ๑๒ ( คือกําหนดความเป็นอย่ทู ่ีพวั พนั โดย กฎของเหตุกบั ผลตามความสงั เกตอันเปน็ หลักกค็ อื ปรากฏว่า ทุกขต์ ิดพนั อยู่กับ ธรรมชาติ ตน้ เหตขุ องทุกขค์ อื ความเกดิ คอื ความยึดถอื ต้นเหตขุ องความยดึ ถือคือความ อยาก ความอยากเกดิ จากความรสู้ กึ ซ่ึงเนอื่ งจากความสัมผัส ความสัมผสั เนือ่ งจาก เสน้ ประสาทๆ เกิดจากรปู กายซงึ่ มนี ามกําหนด < นามรปู > ซ่ึงเกดิ จากวญิ ญาณ วญิ ญาณเกิดจากดาํ รซิ ่งึ เกิดจากความโง่ ( อวิชชา ) เพราะฉะน้ันตอ้ งกําจดั ตวั อวิชชา เสยี เพือ่ ถึงซ่ึงบรมสขุ อย่างยอดเยี่ยม ) และบัญญตั ิทอี่ าจใหพ้ ้นทกุ ขไ์ ด้ ซงึ่ ดูๆ กน็ ่าเกรง ขามเพราะความใหม่ เช่นเดียวกบั นกท่ีเคยกรง รู้สึกหวัน่ ไหวในเม่อื ประตูเปดิ อา้ ไว้ ถา้ ดังน้ีเราก็คงจะไมส่ มกบั ผลแห่งความมีชัย หากว่าในพิภพน้ีไมม่ ที ีพ่ ่งึ คอื พระพุทธเจา้ ซ่งึ เป็นองค์ผ้หู าหนทางพบแลว้ แตห่ ากทรงคาดว่าหนทางนก้ี ันดารเกินไปสาํ หรับเท้ามนษุ ย์ ผู้ไม่ยัง่ ยืนและหากพระองค์ได้ขา้ มพ้นไปแล้วโดยไมม่ ใี ครเดนิ ตามพระองคเ์ ลย กก็ ารทพ่ี ระพทุ ธองคข์ องเราทรงพิจารณาเช่นนนี้ ั้น พระองคท์ รงพิจารณาโดย เมตตาคณุ ของพระองค์ แต่ ณ วาระน้นั มเี สยี งแหลมดจุ ดังเสยี งสตรีคลอดบุตรปรากฏขนึ้ เสมือนหนึ่งวา่ แผ่นดนิ ซ่งึ หวัน่ ไหวแลว้ ครวญครางว่า “ เรานีไ้ ม่รอดยา่ งแนน่ อนเสยี แล้ว คือเรากบั ธรรมชาตทิ งั้ หลายของเรานี้ ” คร้ันเมือ่ เสยี งนัน้ เงยี บสงบลง ลมตะวนั ออกก็ราํ เพยเปน็ ศพั ทส์ ําเนียงวา่ “ โอ พระองค์ผู้มี บุญ ขอพระองคจ์ งสาํ เรจ็ ในการเผยแผ่ขอ้ บญั ญัติของพระองคเ์ ถิด ” พระศาสดาจารยเ์ จา้ ทรงทอดพระเนตรดธู รรมชาตทิ ้ังปวง พระองค์ทรงเห็นธรรมชาติซึง่ บา้ งก็เชื่อฟ๎งพระ บัญญตั ิของพระองคท์ ันที และบ้างกย็ งั จะต้องรอต่อไป เฉกเช่นดวงอาทิตย์อนั แรงกลา้ ซึ่งโชติชว่ งอยเู่ หนือหนองนํ้าซง่ึ เต็มไปด้วยปทมุ ชาติ แลเห็นดอกปทมุ ชาตบิ างดอก เตรียมพร้อมทีจ่ ะแย้มกลบี เพอ่ื รับรศั มีของดวงอาทติ ยน์ ้นั บ้าง และดอกใดบา้ งท่ียังไม่ แตกกลบี บานกา้ น ฉะนน้ั เมื่อทรงเหน็ ดังน้ี พระองค์จึงทรงแยม้ ตรสั วา่ “ น่ันแหละ เราจะ สง่ั สอนแตผ่ ้ซู ่ึงตัง้ โสตสดบั เพ่ือศกึ ษาในบัญญตั ิของเรา ” “ ครั้นแล้ว ” เขาเล่าต่อ “ พระองค์กเ็ สด็จข้ามเขาตา่ งๆ แลว้ เสดจ็ เข้ายงั นคร พาราณสีซึ่งพระองคท์ รงส่งั สอนฤาษีทัง้ ๕ ( คอื ปญ๎ จวัคคยี ์ ) โดยทรงแสดงให้ปรากฏ ว่าชวี ติ ( ความดาํ รงชีพ ) กบั ความตายนนั้ ย่อมถูกทําลายลงไปได้อยา่ งไร และมนุษย์ ยอ่ มไม่ไดร้ ับโชคอะไรอ่ืน นอกจากโชคซึง่ ได้ผลจากความประพฤตกิ อ่ นๆ ทีล่ ่วงมาแลว้ ของตนนัน้ อย่างไร ไม่มีนรกใดนอกจากนรกซง่ึ ตนเองเปน็ ผ้กู ระทาํ ขึน้ ไมม่ สี วรรค์ ใดเลยที่จะสงู ยงิ่ สําหรบั ผู้ทช่ี นะแลว้ ซ่ึงราคะตณั หาทั้งปวง ” พระองค์ทรงส่ังสอน ดังน้ี เม่ือวัน ๑๕ คา่ํ เดอื นไพศาขะ ( หรือวิสาขะ เทียบปลายเดอื นพฤษภาคมจนถึงตน้ เดอื นมถิ นุ ายน ) ณ ทา่ มกลางแหง่ เวลาเทีย่ งแล้วและในคนื น้นั พระจนั ทรเ์ พญ็ เตม็ ดวง กแ็ ลฤาษีทง้ั ๕ รูปนัน้ รูปท่ี ๑ นามว่า เกาณฑินยะ ( โกณฑัญญะ ) ไดบ้ รรลุถึง ความจริง คืออริยสจั ทงั้ ๔ แลว้ ก็ได้สําเรจ็ พระอรหัตต์ และตอ่ มาจากเกาณฑนิ ยะ ก็คือ ภทั รกิ ะ ( ภัททิยะ ) อศั วะชิต ( อสั สชิ ) บาษปะ ( วปั ปะ ) มหานาม กไ็ ด้สาํ เรจ็ เชน่ เดยี วกัน ต่อมาเจ้าชายยะศทั ( ยสกุลบตุ ร ) กบั สุภาพบรุ ุษ ๕๔ คนซ่งึ นง่ั อยขู่ า้ งพระ
บาทของพระพทุ ธเจ้า ที่ในสวนกวางทราย ( อิสปตนะ มฤคทายวนั ) “ เม่ือได้ฟง๎ พระ ธรรมเทศนาของพระองค์แล้วก็มจี ติ เล่ือมใสบชู าและปฏิบตั ิตามพระองค์ เพราะการท่มี ี ความสนั ติภาพและวทิ ยาศาสตรอ์ ันสมยั ใหมน่ ้ัน เมอื่ เผยแผแ่ ก่มนษุ ย์ดงั นยี้ ่อมเปน็ ส่งิ ท่ี ตรงึ ตราในดวงใจของผใู้ ดซึ่งเชือ่ ฟง๎ เฉกเช่นบุปผชาตแิ ละตน้ ไม้ตน้ หญา้ งอกขนึ้ เมอื่ มนี าํ้ ในทงุ่ แหง่ ทะเลทรายฉะนน้ั ” “ พระอรหันต์ท้งั ๖๐ นี้ ” เขาเล่าต่อ “ เม่ือไดศ้ ึกษาวิธบี ังคับและบาํ เพ็ญตนให้ พน้ จากราคะตัณหาแล้ว พระพทุ ธองค์กท็ รงจดั ใหไ้ ปทําการสัง่ สอน สว่ นพระองคซ์ ึ่งโลก บชู าเคารพก็เสดจ็ ออกจาสวนกวาง ( อสิ ปตนะมฤคทายวัน ) เพือ่ เสดจ็ ไปสู่ทศิ ใต้ ณ ยัสติและพระราชอาณาจกั รของพระเจา้ พมิ พสิ ารซึ่งพระองคท์ รงเทศนาสง่ั สอนอยุ่หลาย วนั จนพระเจ้าพมิ พสิ ารและอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์มคี วามเลื่อมใสศรัทธาและ ศึกษาบญั ญัติวา่ ดว้ ยเมตตา และบญั ญตั ิว่าดว้ ยชวี ติ ปฏบิ ตั ิของพระองค์ ” ย่งิ กว่าน้นั พระเจ้าพิมพิสาร ( เมื่อไดห้ ลั่งนาํ้ < เปน็ ธรรมเนียมของพราหมณ์ กระทาํ เมือ่ ให้อะไรอย่างหน่ึง > ยงั พระหตั ถพ์ ระพุทธเจ้าแลว้ ) ยงั ได้ถวายสวนไผ่นามว่า เวฬวุ นั ซง่ึ มลี าํ นาํ้ หลายสาย มถี ํ้าและปาุ โปรง่ แกพ่ ระองคอ์ กี ดว้ ย ” และ ณ ทส่ี วนนน้ั พระ เจา้ พิมพิสารไดต้ ง้ั ศิลาจารกึ ก้อนหน่ึง ในจารกึ น้นั มีความวา่ “ ผลและเหตแุ หง่ ชวี ิต องค์พระตถาคต ( หมายความวา่ ผไู้ ดก้ ระทาํ อย่างเดยี วกัน เป็นพระนามของพระสิทธตั ถะพระนามหนึ่ง ช้ใี หเ้ หน็ วา่ พระองค์ได้ทรงเดนิ ทางอนั เดียวกนั เหมือนพระพทุ ธเจา้ องค์ ก่อน ) ไดท้ รงแสดงให้เราท้ังหลายได้ทราบปรากฏแจ่มแจ้งแล้ว สิ่งซึ่งชว่ ยชวี ติ ให้พ้นจากความชัว่ พระพทุ ธเจ้าของเรากไ็ ด้ทรงแสดงใหเ้ ราทราบแลว้ ” “ กใ็ นสวนนั้นเอง ” นายวาณชิ วา่ “ มหาชนต่างไปชมุ นมุ ประชมุ กนั เพ่อื สดับ ตรบั ฟ๎งคําส่ังสอนของพระองคใ์ นเรอื่ งความดแี ละความประพฤติ ซึง่ เมื่อผูใ้ ดเช่อื ฟ๎ง พระองค์แลว้ ก็มวี ญิ ญาณอันเลอ่ื มใสจนมีผู้ศรัทธาครองผา้ เหลือง คอื บวชเหมอื นองค์ พระบรมศาสดาจารยเ์ จา้ ถงึ ๙๐๐ องค์ แล้วตา่ งก็แยกยา้ ยกันไปทําการเผยแผพ่ ระ บญั ญตั ขิ องพระองค์ สรปุ ความในพระโอวาทของพระองคว์ า่ ดงั นี้ ” “ ความช่ัวเป็นเคร่ืองทวหี น้ีสนิ ทตี่ อ้ งใช้ความดเี ปน็ เคร่อื งกาํ จดั ความชว่ั และเปน็ เครอ่ื งใช้หนี้อนั เกิดจากความช่ัวนน้ั ได้ จงหลีกความชั่วและกระทาํ ความดี จงสงวน ความสุขของตนดว้ ยตนเอง นี่แหละคอื หนทาง ” เม่ือนายวาณิชเลา่ เรื่องพระพทุ ธองคจ์ บลง พระนางยโสธราก็ประทานรางวลั และ แสดงความขอบใจอยา่ งประเสรฐิ ยงิ่ กวา่ เพชรนิลจนิ ดา แลว้ พระนางถามว่า “ กแ็ ต่พระผูม้ ี พระภาคของเราน้ันพระองค์เสด็จตามทางใด ?” นายวาณชิ ทลู ตอบวา่ “ มาตามทางซง่ึ หา่ งจากพระนครน้ี ๖๐ โยชน์และสทู่ ิศพระนครราชคฤหซ์ ึ่งมีทางสะดวกผ่านมาทางโสนะ และเขาต่างๆ โคของขา้ พเจ้าซ่งึ เดนิ ไดว้ นั ละ ๘ ก๊อสส์ ( มาตราวัดอินเดีย เป็นระยะ ความยาว ก๊อสส์ ๑ ประมาณ๘๔๐ วา ) ต้องเดินทาง ๑ เดอื นจงึ จะถึง ”
ฝุายพระราชาเม่ือทรงทราบข่าวนีแ้ ลว้ ก็ตรัสใช้ใหผ้ ซู้ งึ่ พระองคท์ รงไว้พระทยั ๙ นาย ข้ึนมา้ ทีม่ ีฝีเทา้ เรว็ แยกย้ายกันไปเพือ่ นาํ พระราชโองการของพระองคไ์ ปทลู แก่ พระพทุ ธเจา้ ผเู้ ป็นพระโอรสวา่ ดังนี้ “ พระสทุ โธทนะผู้เป็นพระราชาซ่งึ ทรงชราภาพโดย กาลเวลาอันยืดยาวถงึ ๗ ปี ในยามซึง่ เธอผูเ้ ปน็ โอรสไดพ้ รากจากไป และได้พยายามสืบ เสาะหาตัวอย่เู สมอเปน็ นิตยน์ ริ ันดร์ ขอวงิ วอนให้พระราชโอรสของพระองคเ์ สด็จมารบั พระราชบัลลังก์ และอาณาประชาราษฎรแหง่ พระราชอาณาจักรซ่งึ จักเกิดป๎่นปวุ นเมือ่ พระองค์หาไม่แลว้ ทงั้ นี้ก็เพราะพระองค์ทรงวติ กวา่ จะเสดจ็ สวรรคตเสยี กอ่ นทีพ่ ระองคจ์ ะ ไดเ้ หน็ พระพักตร์ของเธอผู้เปน็ พระราชโอรส ” สว่ นพระนางศรียโสธราก็ไดใ้ ช้ให้อัศวานึก ๙ นาย ไปทลู แกอ่ งคพ์ ระราชสวามี เหมือนกนั โดยความวา่ ดงั นี้ “ สวามินแี ห่งพระราชสาํ นกั ของพระองค์ และผเู้ ป็นมารดา ของราหุลมคี วามจํานงอยากเห็นพระพกั ตร์ของพระองคอ์ ยา่ งยง่ิ นกั เหมอื นดวงหฤทยั ของหญิงงามเมื่อไดเ้ หน็ พระจนั ทร์เมื่อเวลากลางคืน หรอื เหมอื นดอกอโศกแรกผลิรอ คอยให้สตรีเหยยี บยํ่าอยู่ฉะนนั้ ( ตามรามายณะ กลา่ วว่า เม่นื างสีดาหนไี ปอยใู่ นพุม่ ดอก อโศกกไ็ ดพ้ ้นจากความรบกวนปศิ าจ ราพณาสูร และต้านทานตนใหพ้ น้ อันตรายได้ดว้ ย สวัสดีมชี ัย เพราะดงั นเี้ อง เหลา่ สตรฮี ินดีจึงนบั ถือตน้ อโศกและกินดอกอโศกนัน้ ) หาก พระองค์ไดไ้ ด้พบซ่ึงสง่ิ ท่ีพึงประสงค์ยง่ิ กวา่ สิ่งทีท่ รงเสียสละแลว้ พระนางท้งั พระราหลุ ขอไดร้ บั สว่ นด้วยเถิด แตท่ พี่ ระนางตอ้ งการทส่ี ดุ นนั้ คอื ตัวพระองค์เอง ” เม่อื ดังน้นั แลว้ มนตรีศากยะผู้รบั ใช้กอ็ อกเดินทางโดยรีบดว่ น แตจ่ าํ เพาะต่างคน ตา่ งกถ็ ึงปาุ ไผใ่ นยามที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาพระบัญญตั ิของพระองคน์ ั่นเอง และต่าง คนตา่ งเมอื่ ไดย้ นิ ได้ฟง๎ พระองค์แล้วกเ็ ลื่อมใสจนลืมทูลพระองค์ และลมื จนกระท่ัง พระราชา ลมื บรมราชโองการ ตลอดถงึ พระนางศรียโสธราผ้โู ศกาดูร ตา่ งคนต่างเพ่งแต่ ในพรนะบรมศาสดาจารย์เจ้า ดวงใจของเขาให้ผกู พนั ตรงึ ตราท่ีริมพระโอษฐอ์ นั ศกั ด์สิ ทิ ธิ์ ซึ่งตรัสพระโอวาทอนั เต็มไปด้วยพระธรรมเมตตา และคุณสมบัติซึ่งเท่ียงแท้ บรสิ ุทธ์ิ และซ่งึ สอ่ งแสงสวา่ งแกท่ กุ สิง่ ทุกอย่าง ดูเถิดภมรซ่งึ เร่รอ่ นหาเกสรเพื่อประโยชน์แหง่ รงั ของมนั แมไ้ ด้เหน็ ดอกโมกรา ( ดอกไมป้ ุาชนดิ หนงึ่ ) เปน็ พมุ่ พวงและส่งกล่ินรสสุคนธ์ ฟูุงขจรไปตามลมแลว้ ก็ดี มนั กย็ ังนึกว่าน้าํ ผงึ้ ของมนั ยงั ไม่เตม็ อยนู่ น่ั เอง พระอาทิตย์ตกก็ ดี หรอื ฝนตกกด็ ี มันก็ยงั มเี จตนาผูกพนั อยูก่ ับดอกไมซ้ งึ่ โอชาเพราะตอ้ งการดดู ดื่มนาํ้ อมฤตแห่งดอกไม้เหล่านั้นดังนฉ้ี นั ใด สําหรบั อํามาตย์ผูน้ าํ พระบรมราชโองการมาก็เหมือนกันฉนั น้ัน กเ็ มือ่ ได้ฟ๎งพระ ธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้วตา่ งคนตา่ งก็ละเลยเสยี ซง่ึ กิจแห่งตนทเ่ี ดนิ ทางมา และเม่อื ต่างก็ลมื แล้วในกจิ ท้ังปวงก็นําตนเขา้ เปน็ บริวารแห่งพระพุทธองค์ตอ่ ไป เพราะเหตุน้พี ระราชาจึงตรัสใช้อทุ ายีอาํ มาตยผ์ ู้มอี ายุและซือ่ สัตย์ซึง่ เคยเป็น เพอ่ื นเลน่ ของพระสิทธัตถะเมื่อยามสนั ตสิ ขุ เกษมศานต์แตก่ อ่ นนน้ั ใหไ้ ปอกี ฝุายอทุ ายี ซึ่งนกึ ว่าอย่างไรกด็ ี ตนเองก็คงจะไดย้ นิ พระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ หากวา่ เกดิ ความเลอ่ื มใสขน้ึ กค็ งจะเสยี การ เพราะฉะนั้นเมือ่ เขาไปถงึ สวยไผซ่ ึ่งพระพุทธเจา้ ประทับ จึงเอาสาํ ลีอุดโสตประสาทเสยี โดยการกระทาํ ดงั นี้จึงไดร้ อดพน้ จากได้สดับพระธรรม รส
แห่งธรรมวเิ ศษน้ัน และสามารถกราบทลู ข่าวสารขององค์พระราชบิดาและพระนางศรี ยโสธราได้ ฝาุ ยพระพทุ ธองคค์ ่อยๆ กม้ พระเศียรแลว้ ตรสั แก่ท่ชี มุ นมุ วา่ “ จรงิ ทีเดียวตถาคต จะไป เป็นกจิ ของตถาคตซึ่งเกดิ จากเจตนาของตถาคตเอง ผใู้ ดกด็ ีอยา่ ไดล้ มื สนอง บญุ คณุ ผซู้ ่ึงบังเกดิ ตนให้มีชีวิตขึ้น คือชีวติ ซงึ่ เปน็ บ่อเกดิ แห่งความขวนขวายในวถิ ีกาํ จัด เสยี ซึ่งความดํารงชพี และความตายอีกตอ่ ไป แตใ่ ห้บรรลถุ ึงคงซงึ่ นิพพานทีเดียว ” โดย การเช่อื ฟง๎ บัญญัติ โดยพ้นแล้วจากความผดิ ทลี่ ว่ งมาแล้วของตน ทั้งไมต่ อ้ งเพิ่ม ตอ้ งมี ใหผ้ ิดอกี และโดยบรรลถุ ึงซึง่ เมตตาอันบรสิ ทุ ธซ์ิ ่ึงกระทาํ ใหบ้ ังเกดิ ความรักได้ จงทลู พระราชาและพระนางเถิดว่า “ ตถาคตจะออกเดนิ ทางเพ่ือไปหาแลว้ ” โดยกติ ตศิ ัพท์อันนี้ ปวงประชาชนแหง่ เศวตกบิลพัสดุก์ บั นิคมคามทง้ั ปวงตระเตรยี มการ รบั รองผเู้ ปน็ เจา้ แหง่ ตน ณ ทวารทิศใตก้ ็ปลูกปะรํา มเี สาประดับประดาไปดว้ ยเฟ่อื งดอกไมแ้ ละประดับแพรสแี ดง และเขยี วปก๎ ทอง ตามถนนหนทางก็ประดบั ประดากิ่งกา้ นบปุ ผชาติซ่งึ มีรสสุคนธ์และราด รดน้ํามันจนั ทน์และนา้ํ มนั มะลิอย่างชมุ่ โชกซึง่ ใช้รดดว้ ยมุสสุก ( ภาษาฮนิ ดู ถงั ทาํ ด้วย หนังแพะ ) คอื ถงั สําหรับรดถนน ธงทวิ ปลิวไสว และหากเม่ือถึงกาํ หนดจะเสดจ็ มาถงึ ก็ ให้มีชา่ งใส่กบู เงนิ และที่มงี าประดับปลอกทองรายเรยี งอยู่ขา้ งหน้าพลับพลาซง่ึ มยี าม เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพ่ือคอยตีกลองให้สญั ญาณว่าพระสิทธตั ถะเสด็จมาถงึ แล้ว บรรดา เสนาอํามาตย์ทั้งปวงจะไดไ้ ปตอ้ นรบั และถวายบงั คมพระองค์ และซ่ึงหม่นู างละครจะได้ โปรยโรยดอกไมแ้ ละเต้นราํ ขบั ร้องจนกระท่งั วา่ ดอกกหุ ลาบและดอกรกั เรท่ โ่ี ปรยโรยไป นั้นให้ทว่ มเข่าแหง่ อัศวราชอาชาไนยซึ่งพระองคท์ รงข่ีม้าและให้มรรคาทุกแหง่ หนมแี ต่ งามตระการตา และกอ้ งกังวานไปด้วยเสียงแห่งดุริยางคแ์ ละความบนั เทงิ อนั กึกก้อง นี่ แหละคอื คาํ สง่ั ซ่ึงประกาศ และทกุ ผู้ทกุ คนกป็ ฏิบตั ติ ามอย่างเคร่งครัด แล้วคอยฟ๎งเสียง กลองซึ่งตใี ห้สญั ญาณเวลาทพี่ ระองค์จะเสดจ็ ไปถึงอย่างตงั้ ใจ ฝาุ ยพระนางศรียโสธรานัน้ พระนางอยากไปรับพระราชสวามกี ่อนใครอื่น จึงทรง สวี กิ าเสด็จไปจนถึงเชงิ กําแพงแหง่ พระนคร ณ ทีซ่ ึ่งได้ปลูกพลบั พลาอยทู่ า่ มกลาง อุทยานนามว่านโิ ครธ มกี ่ิงก้านร่มรน่ื รายเรียงเปน็ แถวแนว มีทางเลาะลัด กระทําให้ อทุ ยานนนั้ มีลกั ษณะสราญรมยน์ า่ พึงชมยง่ิ นัก เพราะว่ามรรคาทางทิศใตม้ สี นามหญา้ อนั เขียวชอุม่ เป็นแถวแนวยาวยดื มีตน้ ไม้ซ่ึงมดี อกเรยี งรายกนั ไป และขา้ งนอกประตูก็เปน็ หมู่กระท่อมแห่งทวยนาครชน้ั ตํ่าและยากจนแรน้ แคน้ ซึง่ หากว่ามาแตะตอ้ งเขา้ แล้วก็เปน็ อัปมงคลแก่กษตั ริยแ์ ละนกั บวชพราหมณ์ แม้แต่ถึงกระน้ันทวยนาครชนั้ ตา่ํ เหลา่ น้ันก็ ต้ังใจคอยรับรองพระองคเ์ หมือนกนั คือตืน่ แตเ่ ช้ามืดแลว้ กม้ องดูไปจนสุดสายตาและหา กวา่ เม่ือได้ยนิ เสียงระฆงั ท่ผี ูกคอช้าง หรอื เสยี งกลองแหง่ วัดวาอารามดงั ขนึ้ แล้วก็จะพา กนั ขึ้นต้นไม้ดพู ระองค์ และเพ่ือเปน็ เกียรตยิ ศแก่พระองคย์ งั ได้ตกแตง่ ประดบั ประดา บ้านเรือนของตนอย่างถงึ ใจ กบั กวาดธรณีประตปู ระดบั ธง ผกู มัดใบมะม่วงทําเป็นเฟอ่ื ง ประดับลิงคมั ( ศิลารูปกรวย ) และมุงใบไม้ ณ ประตูชัยเก่าแก่ซึง่ มีใบไม้แหง้ เหล่านนั้ เสยี ใหม่ กับอุตสา่ หไ์ ตถ่ ามคนเดินทางอยู่เสมอเพอ่ื ใหท้ ราบวา่ จะมีอะไรเป็นอปุ สรรคใน ระหวา่ งทางของพระสทิ ธตั ถะบา้ งหรือไม่
พระนางศรยี โสธรามองดูหมูช่ นเหลา่ นน้ั ด้วยดวงพระเนตรอันต่นื เตน้ ใครจ่ ะพบ เหน็ และมองดูทางทศิ ใต้เชน่ เดยี วกบั หมชู่ นเหลา่ นั้น กบั ทง้ั เงีย่ โสตคอยฟง๎ ขา่ วจากผู้ท่ี ผ่านมาท้งั ปวงเหมอื นยา่ งคนเหลา่ น้ันด้วย ในท่ีสดุ พระนางก็เหน็ บรุ ุษคนหน่ึงค่อยๆ เดิน มาอยา่ งช้าๆ โกนศรี ษะแทบเกล้ยี งเกลา มีผ้าเหลอื งพาดอยู่เหนอื บ่า กายกค็ ลุมผ้าคล้าย ฤาษี มอื ถือบาตรแวะเขา้ ประตกู ระทอ่ มทกุ ๆ กระท่อมเปน็ คร่ๆู พลางรับทานทมี่ ีผ้บู ริจาค และอํานวยพรตอบแทน หรอื ถ้าไมม่ ใี ครบรจิ าคทานแลว้ กเ็ ดนิ ต่อๆ มาด้วยอาการปกติ มบี รุ ษุ เดินตามหลัง ๒ คน โดยครองผา้ เหลอื งเหมือนกัน แต่บุรษุ ถอื บาตรนั้นมี อาการสงา่ ย่งิ น่าเคารพยิ่ง อนั เปน็ การซ่ึงจาํ เรญิ ความนิยมชมชื่นยงิ่ มาตลอดวิถที างของ เขา และโดยแววตาอนั ประกอบด้วยบญุ บารมี กระทําให้เป็นที่จบั ใจของคนทกุ คน จน เม่ือเวลาทคี่ นเหลา่ นนั้ ถวายทานแกท่ ่านกม็ องดูท่านดว้ ยความเคารพ และบา้ งก็นอ้ มกาย กราบท่าน บา้ งก็ไปหาของมาถวายใหมอ่ ีกโดยความเสยี ใจทตี่ นเป็นคนยากจนจนกระทงั่ ว่าต่อมาภายในไมช่ ้า เดก็ บรุ ุษและสตรีตา่ งกก็ ระตอื รือร้นพากันเดนิ ตามท่านและพร่าํ วา่ “ ท่านผนู้ ค้ี ือใครหนอ ใครทีไ่ หนกัน ตั้งแต่เมอ่ื ไรฤาษจี งึ มลี ักษณะสง่างามเชน่ นี้ ” แต่ คร้นั พระองค์ค่อยๆ เสดจ็ มาถงึ พลับพลา ในทันใดนนั้ ประตูประดบั แพรก็เปิดออก แลว้ พระนางศรยี โสธราซ่ึงมไิ ดค้ ลมุ พระพกั ตรก์ ็จรลีขมขี มนั ไปส่ทู างพระองค์ เสดจ็ พลาง อุทานวา่ “ พระองคพ์ ระสิทธัตถะ ” นํา้ อัสสุชลก็คลอสองพระเนตร และประณมพระหัตถ์ แลว้ ก็ทอดสริ ิร่างสะอ้ืนไหอ้ ยู่ ณ แทบพระบาทของพระองคน์ ้ันเอง นานต่อมา เมอ่ื พระนางศรยี โสธราซึ่งระทมทุกขก์ ลบั มาถือตามพระพทุ ธวจนะ แลว้ เมอื่ มีผ้ทู ลู ถามแดพ่ ระองคว์ ่า เมื่อปรารถนาในการสละจากราคะตัณหาทง้ั ปวงแห่ง มนุษย์ และจากการแตะตอ้ งรปู รสอนั ละมนุ ละมอ่ มเหมือนดอกไม้ และนา่ นิยมคอื การแตะ ตอ้ งมือของสตรีแลว้ เหตุใดพระองค์จงึ อดทนต่อการจูบกอดน้ันได้ พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ “ ผทู้ ่ีใหญย่ ิ่งยอ่ มมีทางสําหรบั ความรักเชน่ เดยี วกนั กบั ผู้ท่ี เลก็ ทีส่ ดุ แมผ้ ู้นัน้ จะสงู เยยี่ มดว้ ยความบรสิ ทุ ธอิ์ ยา่ งใดกต็ าม จงระวงั อยา่ ให้ดวงวญิ ญาณ ซึง่ หลดุ พ้นแล้วจากความผูกพนั มอี าการเหยยี ดหรือขม่ แก่วญิ ญาณซึ่งยังถูกมดั อยโู่ ดย ความโออ้ วดในความอิสระ คอื เพราะทต่ี นไดห้ ลุดพน้ แล้วนนั้ เลยเปน็ อันขาด ความอิสระ ของท่านจะมีค่าย่ิงเมอื่ ท่านสาํ เรจ็ ในความอสิ ระของท่านโดยความพยายามพากเพียร และวถิ แี ห่งความรอบรซู้ ึ่งละเอยี ดสุขุม ยคุ แห่งความพากเพียรอันยืดยาว ๓ ยคุ ได้ กระทําให้พระโพธิสตั ว์ ( ผูท้ ี่ได้สําเร็จความรอู้ ย่างสูงและย่อมเปน็ ผู้ที่ใหค้ วามดตี ่อมนุษย์ ) ซ่งึ จะเปน็ ผู้นาํ และชว่ ยโลกอันมืดมนอนธการ ได้บรรลุถึงซง่ึ ความสําเรจ็ อนั จะชว่ ย ทุกข์ท้งั ปวงได้ ยคุ ท้ัง ๓ น้ี ที่ ๑ คือ ปญ๎ ญาธกิ ะ ท่ี ๒ คือ สทั ธาธิกะ ที่ ๓ คือวิริยาธกิ ะ ” ดเู ถิดตถาคตไดเ้ กดิ มาแลว้ ในยุคแห่งปญ๎ ญา ตอ้ งการความดี แสวงหาความรอบรู้ แตจ่ ักษยุ งั ปดิ ไว้ไม่มองเหน็ จงนบั เม็ดทรายแห่งไร่ละหงุ่ ดู กจ็ ะพงึ รไู้ ดว้ ่าจาํ นวนเม็ด ทรายเท่าใดนน่ั แหละ คือจํานวนปที ต่ี ถาคตบังเกดิ เป็นบรุ ษุ ชอ่ื ราม คือพอ่ ค้าคนหนึง่ ฝ่๎ง ใต้ อย่ขู ้างหนา้ ลังกาทวีปอันเป็นแหล่งทม่ี ีไขม่ กุ ณ กาลอนั นานมาแล้วนั้น ยโสธรากอ็ ยู่ กับตถาคต ณ หมู่บ้านซ่งึ ตงั้ อย่รู ิมทะเล นางงามเหมอื นเดย๋ี วน้ีเหมือนกนั และมนี ามว่า ลักษมี ตถาคตจาํ ไดว้ า่ เมือ่ กาลครงั้ กระนัน้ คร้ังหนงึ่ ตถาคตตอ้ งออกเดนิ ทางซึ่งเอาชีวิต เปน็ เครอื่ งเสีย่ งโชค เพราะอาชพี ความเปน็ อยขู่ องเราท้งั สอง ณ กาลคร้งั น้ันอยู่ในฐานะ ยากจนแรน้ แค้น นางได้วงิ วอนอยา่ งโศกาอาดรู เพอ่ื มใิ ห้ตถาคตออกเดินทางและมใิ ห้ไปผจญต่อ ภยนั ตรายทงั้ ทางบกและทางทะเล นางครํ่าครวญวา่ เมือ่ มีความรักอยแู่ ล้ว จะสละสง่ิ ทต่ี น รักไปได้อยา่ งไร ถึงกระนั้นก็ดี ตถาคตก็ออกเดินทางโดยเหตุทีต่ อ้ งลองพยายามไปตาม
บุญตามกรรม ตถาคตจึงผา่ นชอ่ งแคบไป และภายหลงั ที่มีพายุและเหตกุ ารณซ์ ง่ึ ตน จะต้องผจญ ภายหลงั การต่อสกู้ บั ธรรมชาตอิ ันวา่ งเว้ิงลึกซงึ้ และความทรมานอนั ไมร่ ้จู ัก สิ้น พลางคน้ ควา้ ดูในลูกคลื่นแล้ว ตถาคตกไ็ ด้ไขม่ ุกเมด็ หนง่ึ สดใสดุจดวงจนั ทร์ ประหน่ึง ว่าปวงราชาท้ังหลาย ถา้ จะซอ้ื ก็ตอ้ งพล่าพระราชทรัพยเ์ สียจนสิ้นเชงิ เม่อื ได้ดงั น้นั แล้ว ตถาคตกก็ ลบั มาสเู่ ขาครี ที ีอ่ าศัยอยู่ แต่เผอิญบ้านเมืองได้รับ ความเสียหายด้วยทพุ ภกิ ขภยั ตถาคตก็ลม้ เจบ็ ลงด้วยความเหน็ดเหน่ือยแห่งการ เดนิ ทางในคราวท่กี ลับนนั่ เอง กว่าจะถึงที่อาศัยอยู่ก็สุดลําบาก โดยเอาเมด็ ไข่มุกอัน บรสิ ุทธซิ์ ่ึงได้จากทะเลน้ันซ่อนไว้ในเขม็ ขัดของตถาคต แตเ่ มอ่ื ถึงบ้าน ท่ีบ้านก็ปราศจาก อาหาร และ ณ ธรณีประตูนน้ั เอง นางซึง่ ตถาคตเป็นห่วง ห่วงย่งิ กวา่ ตวั ของตถาคตเอง นอนพงั พาบอยูโ่ ดยปราศจากสุม้ เสยี งจวนจะถงึ ซ่งึ ความตาย เพราะเหตุไม่มีขา้ วใส่ทอ้ ง เลยแม้แต่น้อย เมอื่ เปน็ ดงั นน้ั แล้ว ตถาคตจึงร้องวา่ “ หากผู้ใดมีขา้ วให้เราท่ีน่ีแล้ว จงดู เถดิ นแี่ น่ะคอื คา่ ไถ่แห่งพระนครๆ หน่งึ เพื่อให้ชีวิตดํารงอยูไ่ ดโ้ ปรดใหอ้ าหารแก่ลักษมี เถิด แล้วรับไข่มุกซ่ึงพราวแพรวเหมอื นดวงจันทร์ เมื่อว่าดังน้แี ล้วเพื่อนบา้ นคนหนึง่ จงึ นํา เดนอาหารของตนทเ่ี หลืออยนู่ น้ั ให้ ๓ แซร์ ( ขนาดความจุประมาณครงึ่ ลติ ร ประมาณ คร่ึงทะนาน ) แลว้ กฉ็ วยเอาไขม่ กุ วเิ ศษน้ันไป พอไดก้ ินอาหาร ลกั ษมีก็มีชีวติ ตอ่ มาและ เมื่อไดค้ ืนแลว้ ซึง่ ชวี ิต นางกเ็ ผยโอษฐ์วา่ “ ออ้ ทจ่ี ริงเธอกร็ ักฉนั เหมอื นกันน่ี ” แต่ในชวี ติ นี้ตถาคตกท็ าํ การแลกไข่มกุ เหมือนกนั เพื่อบาํ รงุ ความสดใสแห่งดวงใจและวิญญาณซง่ึ พา่ ยแพแ้ ก่โลกยี ์ แต่ไขม่ ุกอันบรสิ ทุ ธ์ิในบดั นีเ้ ป็นทรพั ย์ทไี่ ด้มาโดยการผจญครง้ั สดุ ทา้ ย ของตถาคต และซ่ึงเอามาได้จากลูกคล่นื อนั ลกึ กวา่ ครง้ั ก่อน คือนทิ านท้ัง ๑๒ กับกฎ แห่งความดีนั้น จะเอาไปทาํ การแลกเปลยี่ นกบั อะไรไม่ไดเ้ ลย นอกจากจะให้ไปเปลา่ ๆ จงึ จะเรียกว่าไดถ้ งึ แล้วซ่งึ ความบริสุทธ์ิ เพราะรงั มดเปรียบกบั เชิงเขาพระสุมรกุ ็ดี หยาด นา้ํ ค้างที่ย้อยมาและรวบรวมกันเปน็ หว้ งนํา้ อยู่ ณ รอยเท้าของนางเก้งที่กระโดดเปรยี บ กบั มหาสมทุ รอันกว้างใหญไ่ มม่ ที ีส่ ุดก็ดี กเ็ ทา่ กับทานซง่ึ ตถาคตยอมสละแล้วแต่ก่อนนนั้ อันจะเปรยี บดังทานซ่งึ ตถาคตสละ ณ บัดนีไ้ มไ่ ด้ เพราะฉะนนั้ ความรกั ซึง่ กวา้ งขวางแลว้ นั้น พอไดห้ ลุดพน้ จากข่ายแห่งความรูส้ กึ รูป เสยี ง กล่ิน รส กเ็ ปน็ ความรกั ท่ถี กู ทด่ี ี ในเมือ่ ยอมตามใจผอู้ ่อนแอ เพราะเมอื่ ยอมตาม แลว้ เทา้ อันแบบบางของยโสธราก็จะพาใหพ้ ระนางเดนิ ไปสู่ความสงบและความสขุ ได้ โดยเหตุที่เท้าน้นั ไดถ้ กู นําให้เดนิ ด้วยวิธีอันอ่อนโยน ” ฝาุ ยพระเจ้าสุทโธทนะ เม่ือทรงทราบวา่ พระสทิ ธตั ถะเสด็จมาถึงโดยปลงพระ เกษา หุ้มห่อพระวรกายดว้ ยเคร่ืองนุ่งหม่ ของยาจก กับถือบาตรเพอ่ื รับเศษอาหารของหมู่ ชนช้ันตํา่ ความเสยี พระทยั โกรธกร้ิวมากาํ จัดเสียซ่งึ ความรักอนั มอี ยใู่ นพระทัยของ พระองคไ์ ปเสียสนิ้ พระองคท์ รงถ่มเขฬะลงยงั แผ่นดิน ๓ ครง้ั ทง้ึ ถอนพระมสั สุสอี นั ขาวดจุ เงนิ แลว้ เสด็จ ออกไปเสยี อยา่ งหนุ หันกระทาํ ให้บรรดาอํามาตยร์ าชบรพิ ารต่างสนั่ ระรวั ท่วั สรรพางค์กาย ไปตลอดทางทพ่ี ระองคเ์ สด็จ พระองคเ์ สด็จขึ้นทรงม้าสงครามดว้ ยพระขนงอนั ขมวด และทรงกระตนุ้ ม้าปลอ่ ยใหห้ อ้ ไปตามถนนใหญ่น้อยทงั้ ปวงท่อี ดั แอไปดว้ ยฝูงชน หมอง พระทยั ไปด้วยความกร้วิ โกรธ จนฝูงชนเหลา่ นน้ั จะหาโอกาสบอกวา่ “ น่นั แน่ะ พระราชา น่งั ลงซิ ” เท่าน้นั กแ็ ทบไมท่ ัน
ครน้ั พระองค์วกกลับไปตามกําแพงของวดั ซ่ึงมองไปเห็นประตูดา้ นใตท้ ่ีกลา่ ว มาแลว้ นั้น พระองค์ทอดพระเนตรเหน็ ฝูงชนหมใู่ หญ่ซงึ่ อุดช่องทางเดินและใหญๆ่ ข้ึน เสมอซงึ่ เดินตามพระสทิ ธัตถะผูม้ ดี วงพระเนตรอันสดใสบริสทุ ธ์ิ พระองค์มองดพู ระเนตร ของพระบดิ าผูช้ ราของพระองคแ์ ลว้ ความพโิ รธโกรธกรว้ิ ของพระบดิ าก็อ่อนลงไป เมื่อพระพทุ ธองคเ์ พง่ ดพู ระบดิ าซึง่ ขมวดพระขนงด้วยพระอาการอนั ออ่ นโยนและ เคารพ ครน้ั แล้วพระองค์กก็ ม้ พระพักตรแ์ ละทรงคกุ พระชานลุ งต่อพระพกั ตรพ์ ระราชบดิ า ดว้ ยพระอาการอันงามสภุ าพ ทง้ั นก้ี เ็ พราะพระราชบดิ านั้นเมอื่ เห็นพระราชโอรส เข้าใจใน พระอาการกริ ยิ าของราชโอรส สังเกตเหน็ พระบารมซี ่งึ ปรากฏเปน็ รศั มี ณ พระนลาฏของ พระองค์ และเพราะพระรศั มีอนั นเ้ี องซึ่งกระทําใหป้ วงชนเดินตามรอยพระบาทของ พระองค์ด้วยความเงียบและเคารพ พระราชบดิ าจึงมพี ระทยั อ่อนลง แม้แต่กระนน้ั กด็ ี พระราชบิดายังตรสั ว่า “ พระมหาสทิ ธัตถะจะแอบเข้ามาในพระ ราชธานีของตนโดยนุ่งห่มอย่างคนขี้ริ้วโกนหัว สวมเกอื กแตะและเทย่ี วขอทานแกห่ มชู่ น ช้นั ต่ําอย่างนีไ้ ดห้ รือ เขาผู้ซง่ึ มชี วี ิตเทยี มเทา่ กับพระเจา้ องคห์ นง่ึ ลูกของเราซึ่งเปน็ ผรู้ ับ มรดกในพระราชอาณาจกั รอนั กวา้ งใหญ่ และในปวงราชาท้งั หลายซึง่ เพียงแต่สัมผสั มือ ของราชาเหลา่ น้ันเท่านน้ั ราชาเหล่านัน้ ก็จะเรยี กใหบ้ รวิ ารของตนนําสิ่งใดๆ ทกุ อยา่ งซง่ึ อาจหาไดใ้ นโลกนม้ี าให้ “ สูเจ้าควรควรจะเขา้ มาพร้อมดว้ ยเกยี รตยิ ศทีส่ มแกฐ่ านนั ดรศักด์ขิ องตนโดยแหห่ ้อม ล้อมไปดว้ ยพลหอกอนั แพรวพราวและด้วยความสนัน่ หวั่นไหวไปด้วยเท้าคนและเทา้ มา้ จงดูเถดิ ทหารของเราทัง้ สนิ้ พักแรมอยู่ตามทางและทวยนาครของเราตา่ งรอคอยอย่ตู าม ทวาร ก็สเู จ้าไปอยู่ทไ่ี หนเลา่ ในระหวา่ งเวลาหลายปีซึง่ อัปมงคล กระทําให้บดิ าของเจ้า โศกเศรา้ อาดรู อยูเ่ หนือราชบลั ลังก์ และภรรยาของเจา้ ดาํ รงชวี ิตอยเู่ ป็นม่ายโดยยอมสละ ละเสยี ซ่งึ ความสนกุ สนานร่าเรงิ ทงั้ ปวง ไม่ฟ๎งแล้วซง่ึ เสียงจาํ เรียงรอ้ งและดนตรี และไม่ แต่งกายด้วยเคร่ืองแต่งสาํ หรับพิธรี ตี องใดๆ จนกระท่งั วนั นีจ้ ึงแต่งด้วยเคร่ืองนงุ่ ห่ม ประดับสวุ รรณจินดาเพือ่ มารบั รองสวามีซ่งึ ครองผา้ เหลืองขร้ี วิ้ ทกี่ ลบั มา ลูกทําไมจงึ ทํา เชน่ นน้ั ” “ มหาบพิตรผบู้ ิดา ” พระพทุ ธเจา้ ตรสั ตอบ “ ประพฤติการณ์ทงั้ น้เี ป็นธรรมเนยี ม ของชาตติ ระกลู แหง่ ตถาคตเอง ” “ ชาตติ ระกูลของเจ้า ” พระราชาทวนคํา “ ชาตตติ ระกูลของเจ้านนั้ นบั ตง้ั แต่ มหาสมบตั ิเป็นต้นมากไ็ ด้ร้อยบลั ลังก์แล้วแตก่ ็หามลทินดว้ ยความประพฤตอิ ยา่ งเจ้าน้ี มิได้ ” พระพทุ ธองค์จงึ ตรัสว่า “ ตถาคตจะได้พูดถงึ เชอ้ื ตระกูลซ่ึงตายนน้ั หามไิ ด้ แตพ่ ูด ถงึ เชื้อตระกลู ซึง่ มองไม่เหน็ ของพระพทุ ธเจ้าแหง่ อดตี และอนาคตนัน้ ต่างหาก ตถาคตนี้ ก็เป็นองค์หนึง่ ของเหล่าพระพทุ ธเจ้าท้ังหลาย และสงิ่ ใดซ่งึ พระพทุ ธเจ้าเหลา่ นัน้ ทรงประพฤติ ทรงกระทํา ตถาคตก็กระทาํ ก็ประพฤติในส่งิ น้ัน และสิ่งใดซง่ึ เป็นขนึ้ ณ บดั น้ีก็ไดเ้ ปน็ แตก่ อ่ นมาแล้วเหมือนกนั แต่ปางก่อนนัน้ ก็มพี ระราชาผสู้ วมเกราะออกมา รบั รองโอรสของพระองค์ ณ พระทวารดังนี้เหมอื นกัน คอื พระโอรสซง่ึ ครองกายเหมอื น ฤาษี และผซู้ ง่ึ ช่วยโลกให้พน้ จากทกุ ข์ มธี รรมานภุ าพดว้ ยความเมตตาและความระงบั ใน ตนเองยง่ิ กว่าพระราชาทัง้ หลายซ่ึงทรงศกั ดานุภาพนัน้ กไ็ ด้มานอ้ มกายเหมือนอย่าง
ท่ตี ถาคตกระทําอยู่เดี๋ยวนี้ แลว้ ถวายขมุ ทรัพยซ์ งึ่ ไดน้ ํามาด้วยนั้น มอบให้เพราะ ความรกั และความเมตตาแก่พระราชบดิ า ผู้ซ่งึ เกี่ยวข้องพันพัวกันดว้ ยหนีอ้ ยา่ ง หน่ึงแหง่ ความรักใคร่ นี่แหละคอื ถอ้ ยคําหรอื ขมุ ทรพั ยซ์ ง่ึ ตถาคตขอทลู ถวายแก่ พระองค์บัดนี้ ” พระราชาประหลาดพระทยั แล้วตรสั ถามวา่ “ ขมุ ทรัพยอ์ ะไร ” พระพุทธองค์ทรง ประคองพระหัตถพ์ ระราชบดิ าแล้วก็เสด็จตอ่ ไปสถู่ นนต่างๆ ซง่ึ มที วยประชาล้วนเคารพ พระองค์ มีพระราชาและพระนางศรียโสธราอยู่ขา้ งเคียง พลางทรงเผยสง่ิ ซึ่งกระทาํ ให้ เกิดความสงบและความบริสทุ ธิ์ ความจริงอนั สขุ ุมคมั ภีรภาพท้ัง ๔ ซงึ่ เปน็ ท่ตี ั้งแห่งความ ดี คือธรรมมานุภาพเหมอื นดงั ขอบฝ่ง๎ เป็นทต่ี ัง้ ก้นั ทะเลมหาสมุทร พระองค์ตรัสถงึ พระ บญั ญตั ทิ ้งั ๘ ซ่ึงทกุ ผทู้ ุกคน ไมว่ ่าพระราชาหรอื ขา้ ทาสอะไรหากตอ้ งการไปสูท่ างอนั บรสิ ุทธ์ิซงึ่ มีอยู่ ๔ ช้ัน และ ๘ อย่างซ่ึงเปน็ ที่อาศยั ของผทู้ ่มี ีชีวิต ไมว่ า่ มอี าํ นาจหรือ แรน้ แคน้ ไมว่ ่าฉลาดหรือโง่ บุรษุ หรอื สตรี เด็กหรอื ผใู้ หญ่ ตอ้ งหลุดพ้นจากวัฏสงสาร แห่งความดาํ รงชพี ไมช่ า้ กเ็ รว็ แล้วกไ็ ดบ้ รรลุถึงซ่ึงพระนิพพานอันสนั ตสิ ถาพร คร้นั แล้วตา่ งก็เสด็จถงึ พระราชวงั พระเจา้ สุทโธทนะน้ันกลับทรงเบกิ บาน พระทยั แจ่มใส ด้วยไดด้ ดู ดมื่ ธรรมรสแห่งพระพุทธโอวาทของพระพุทธองคจ์ น ทรงอุม้ บาตรตามพระองค์ ณ วาระเดียวกันน้นั พระเนตรของพระนางศรียโสธรา ก็มแี ววแจม่ ใสมากระทําให้อัสสชุ ลแห้งหายไปจากคลองพระเนตร โดยประการ ดงั นี้ ณ ราตรีกาลวนั น้ันตา่ งก็เกษมศานต์สันติสขุ ดว้ ยธรรมมรรคานนั้ แล . ปริเฉทท่ี ๘ พุทธกิจบรรยาย ยงั มีทุ่งหญ้ากว้างใหญอ่ ยทู่ ุ่งหนง่ึ ยาวยืดไปตามฝง่๎ แมน่ าํ้ โกหานะอนั ไหลเชีย่ วทนี่ ครเพอื่ ไปสู่ภูมิภาคท่ีกล่าวน้ดี ว้ ยพาหนะ กวียนเทยี มโค จากเมอื งพาราณสซี งึ่ เปน็ เมืองทว่ี ดั มีอยมู่ ากหลาย ก็ต้องเดนิ ทางทางทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนือเป็นเวลา ๕ วันจึงจ ง ณ เมืองนี้ ซงึ่ ตลอดปีเดยี รดาษไปด้วยปวงบุปผชาตแิ ละพุม่ พฤกษชาติท่ีทอดเงาไปในนํา้ ใหม้ ีเปน็ สเี ขยี ว มยี อดเขาหิมาลยั ซึ่ง ตม็ ไปดว้ ยหิมะลอยเด่นอยู่ ลาดของเขานี้ช่มุ ชนื้ ตน้ ไม้ก่ิงก้านสาขาซง่ึ มรี สสคุ นธก์ ร็ ืน่ รมย์ และบัดนพ้ี ระพายแห่งความบรสิ ทุ ธ์กิ ็ยงั โชยอยู่ ณ ถิน่ ที่นี้ ล ฉอ่ื ยแหง่ สายสนธยากาลพัดมาสมั ผัสละเมาะไม้และเหลา่ ศิลาแดงสลักซ่งึ กะเทาะแตกแยกออกดว้ ยอาํ นาจของรากไมแ้ ละก่ิง ถาวลั ย์ท้งั ปวง กับรกรุงรังไปดว้ ยหญ้าและใบไม้ เหลา่ อสรพิษอันสงบเล้ือยคลานออกจากรใู นดินและในโพรงไม้ แล้วก็ขดตัวเปน็ งแหวนสีเหลอื บเปน็ เงาอยูเ่ บือ้ งบนศลิ ากลางแจ้ง กิ้งกา่ ซึ่งวอ่ งไววิ่งเหนือพื้นศิลาลวดลาย ซ่ึงพระราชาเป็นอันมากไดเ้ คยเสด็จ าเนนิ เหนือศลิ าน้ันมาแลว้ สุนขั จิง้ จอกนอนโดยสขุ สันตภิ าพ เหนือพระราชบัลลังก์อาสนซ์ งึ่ ปรกั หกั พังแลว้ มที ่ยี งั ไมเ่ ปลี่ยนแปลง
แตย่ อดเขา แมน่ ํ้า สนามหญา้ และลมพดั เยน็ เฉือ่ ย สิ่งทั้งปวงซึ่งงามวไิ ลตระการตาได้อนั ตรธานส้ินไปแล้ว เพระส่งิ ทงี่ ามอย่ทู น่ี ัน่ นั้น คือพระราชธานขี องพระเจา้ สุทโธทนะ ละภูผาน้อย ซงึ่ เย็นวนั หน่ึง ยามเมอื่ พระอาทิตย์กําลงั ฉายแสงสเี ขยี วและสีทอง องค์พระพทุ ธเจา้ ได้ประทบั เพอื่ ทรงแสดงพระ รรมเทศนาสง่ั สอนแก่สานศุ ษิ ย์ที่เชือ่ ฟง๎ ของพระองค์ ท่านจงอา่ นพระคัมภีรอ์ ันวิเศษดูเถดิ ก็จะรไู้ ดว้ ่า ณ ภูมิภาคอนั เริงรมยน์ ้มี ีประพฤตกิ ารณม์ าแลว้ อยา่ งใด คือภมู ภิ าคซง่ึ แต่ ดมิ เปน็ อทุ ยาน กอปรดว้ ยวถิ ที างซง่ึ เทลาด มีตาน้ํา หนอง บงึ ลานดนิ ซึง่ มตี น้ กุหลาบเปน็ ขอบ กับหอ้ มลอ้ มไปดว้ ยพระตาํ หนกั อนั กษมสันต์และพระราชสาํ นกั มมี ุขอนั วิจิตรบรรจงนนั้ ในเม่อื องคพ์ ระศาสดาจารย์เจา้ ประทับเป็นสงา่ อยูต่ อ่ หน้าหมู่ชนผ้คู ารวะซึง่ างก็คอยให้พระองค์แย้มพระโอษฐ์เพ่ือแสดงพระธรรมอันวิเศษซง่ึ กระทําใหท้ วีปอาเซยี ของเรารม่ เยน็ นน้ั การซ่งึ มนษุ ย์โลกอนั มี านวนตั้งสีพ่ ันหลกั ( หลกั หนึ่งเทา่ กบั หน่ึงแสน ) นบั ถอื พระพุทธศาสนาน้ี ยอ่ มเปน็ พยานแหง่ ความจรงิ เมือ่ สมัยครงั้ กระโน้น พียงใดแล้ว พระองคป์ ระทับอย่ขู า้ งเบ้อื งขวาพระราชาและเหลา่ ศากยิ ะทั้งปวง พระอานนท์ พระเทวทัต กบั บรรดาผซู้ งึ่ อยู่ในพระราชว งปวงก็รายเรยี งล้อมรอบพระองค์ ข้างหลังพระองคก์ ค็ อื พระสารีบตุ รและพระโมคคลั ลานะซ่ึงเปน็ พระเถระผ้แู รกครองกาสาวพสั ต บว่าเปน็ สานุศิษย์ตดิ ตามพระองค์ ในระหว่างพระชานขุ องพระองค์ พระราหุลชําเลอื งดวงเนตรอันนอ้ ยอย่างตนื่ ๆ มองดูพระวร กตรข์ องพระองคผ์ ู้เปน็ พระราชบดิ าแลว้ แย้มพราย ณ เบื้องพระบาทของพระองค์ก็คือพระนางศรียโสธราผู้สน้ิ แล้วซ่งึ ความป่น๎ ปุว นดวงหฤทัย เพราะไดเ้ ล็งแลเหน็ ความจริงในในความสขุ ซ่งึ ไมจ่ ําเปน็ ต้องอาศยั ความสนกุ ทีไ่ มถ่ าวร คือชวี ติ ทไี่ ม่รจู้ กั แก่และตาย งวัฒนาอนั เป็นวาระทีส่ ุดของสิง่ ทั้งปวงอันจักเป็นไปได้ เมือ่ ความตายได้ถึงแลว้ ซ่ึงสาระที่สดุ เพราะไดอ้ าศยั ความสําเร็จผลของ ระสิทธัตถะและของพระนางเอง อนง่ึ พระนางวางพระหัตถข์ ้างหน่ึงไว้เหนือพระหตั ถ์ของพระพุทธเจ้า และโดยเหตุทพ่ี ระนางเปน็ ผซู้ ึง่ มคี ่าย่งิ ของพระองค์ผ งไตรภพรอคอยฟ๎งพระโอวาทของพระองค์ พระนางเอาชายจีวรของพระพทุ ธเจ้ามาคลุมทบั ผา้ สารี ( ผา้ ท่ีสตรชี าวอินเดยี ใช้น มมีลวดลายทขี่ อบ ) ทที่ อเป็นเงิน ข้าพเจ้าไม่สามารถจะลงความเหน็ ไดแ้ ม้แตเ่ ล็กนอ้ ยว่า ตํารับทอ่ี อกจากพระโอษฐข์ อง ระพทุ ธเจ้านั้นรุง่ โรจนก์ ระจา่ งแจ้งเพยี งใด เพราะข้าพเจา้ เองนีเ้ ปน็ ผ้แู ถลงซงึ่ เกดิ มา ณ กาลภายหลงั อนั ลว่ งมานานนักหนาแลว้ ตร่ ักพระศาสดาจารย์เจ้า และรกั พระธรรมเมตตาของพระองค์ซ่ึงมตี อ่ มนษุ ย์ แล้วพรรณนาประวัติการณ์ของพระองค์ โดยเหตุที่ ราบวา่ พระองค์ทรงไว้ซ่งึ พระคุณธรรมสมบตั แิ ละข้าพเจา้ ขอสารภาพวา่ ข้าพเจ้าไม่มปี ญ๎ ญาพอทีจ่ ะพดู โดยไมอ่ าศยั พระคัมภีร์ซง่ึ ายมอื เลอะลบลงเสียแล้วด้วยความเกา่ ของกาลสมยั ทีล่ ่วงมาช้านาน กระทําให้สํานวนข้อความโบราณนัน้ สิ้นสูญไป คอื สาํ นวน อความซงึ่ เม่ือกาลเก่าก่อนโนน้ ยังใหมเ่ อย่ี มทงั้ ศกั ดิ์สทิ ธิ์แพรห่ ลาย และไดร้ ับความนยิ มนับถอื จากมนษุ ย์ท้งั ปวง โดยอาศัยคมั ภรี นเดียซ่ึงควรเรียกวา่ แสงทองของอนิ เดยี ข้าพเจา้ จึงไดท้ ราบส่วนหน่งึ ของแห่งพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจ้า ขา้ พเจา้ ยงั ราบอีกวา่ ตามความซ่งึ จารึกไวใ้ นพระคัมภีรม์ ีอยวู่ า่ ผซู้ ึ่งเช่อื ฟ๎งพระองคน์ ัน้ มจี าํ นวนมากกว่าทีเ่ ราจะนกึ เห็นได้มากนกั เพราะเหต าผทู้ ี่มาฟง๎ พระองคน์ ้นั มที ัง้ พวกยักษ์และอ่นื ๆ นับดว้ ยหม่นื แสน หมเู่ ทวาทง้ั ปวงกบั ท้งั วญิ ญาณของผ้ทู ต่ี ายทง้ั หลายตา่ งไดม้ า นั่น จนสวรรค์ทง้ั ๗ ช้นั วา่ งเปล่า และโลกนรกท้ังสน้ิ กเ็ ปิดประตูปลอ่ ยหมู่นรกใหข้ ้ึนมา อนึง่ แสงสวา่ งของทิวาวารก็นานยิง่ กว่าธรรมดา สอ่ งแสงกหุ ลาบเหนอื ยอดภูผาซง่ึ สงบเงยี บประหนง่ึ วา่ ปลอ่ ยให้รัตตกิ าลนั้นเง่ีย สตตรบั ฟง๎ พระองค์อยู่ในหบุ เขา และทิวาวารฟง๎ พระองคอ์ ยู่บนเขาฉะน้นั นั่นแหละ ในพระคัมภีร์มจี ารึกว่า เงากาํ บงั อย่ใู นระหวา่ ง งเหลา่ น้ี ประดุจนางฟูาซ่ึงตอ้ งเสนห่ ใ์ นป๎จจบุ นั มีเมฆซง่ึ เป็นละลอกล่องลอยอย่นู น้ั เป็นเกสาถักของนาง ดาราทงั้ ปวงเปน็ ไขม่ ุก ละเพชรแหง่ มงกุฎ ดวงจันทรเ์ ป็นป๎นจเุ หรจ็ ( เครอ่ื งรัดเกลา้ ที่ไม่มียอด ) ของนาง ในระหวา่ งที่พระองคก์ าํ ลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาสงั่ สอนอยูน่ น้ั พระพายกโ็ ชยรสสคุ นธใ์ หข้ จรมารวยรินและผ้ใู ด งฟังพระองคจ์ ะเปน็ ไทต้ า่ งดา้ ว ขา้ ทาส ผมู้ ตี ระกูลสูงหรือต่าํ มเี ลือดเนอื้ สบื มาจากอารยชนหรอื อนารยชน ชาวป่าชาว งพงไพรอะไรกต็ าม ตา่ งกน็ กึ เสมือนหน่งึ วา่ ได้ยินเปน็ ภาคําพดู แห่งชาติ และตระกลู ของตนทั้งส้ิน นอกจากปวงชนใหญ อยทัง้ ลายซงึ่ ต่างก็ขมีขมันไปสูฝ่ ่๎งแมน่ าํ้ นน้ั แลว้ ยงั หมสู่ ตั ว์จตบุ าท นกทัง้ ปวง และสตั วเ์ ลื้อยคลานท้ังหลาย พระคมั ภีร์กก็ ลา่ วว่า เม่อื รูส้ กึ ในพระคณุ ธรรมแห่งองค์พระพุทธเจ้า และถือเอาพระโอวาทของพระองค์เปน็ สรณะ จนถงึ กบั ว วิตของของสตั ว์เหล่านี้ จะเปน็ ลงิ เป็นเสอื เป็นเน้ือทราย เป็นหมี เปน็ สุนัขใน เปน็ หมาปาุ เป็นเหยย่ี วท่ีโฉบซากต่าง ๆ มาเป็น
าหาร เป็นนกพิราบสีเทาเหลือบ หรือเปน็ นกยงู ท่มี สี งี ามวจิ ติ ร เป็นกบท่ีตํา่ เต้ยี หรอื เปน็ งูสีลาย เป็นกิ้งก่า ค้างคาวหรือปลาซึ่งวา่ ย ยู่ในแม่น้ํา ก็ดูใกล้เคยี งเข้ามากับมนุษย์ซง่ึ มคี วามบริสุทธนิ์ ้อยกวา่ สตั วท์ ง้ั หลายเลา่ น้ี และดว้ ยความปลาบปล้มื อันพดไม่ออก สัต งหลายเหล่านี้เข้าใจว่าเครอ่ื งผูกพันแห่งกรรมของตนไดข้ าดสะบ้ันแลว้ ในเมอื่ พระพทุ ธองค์ตรสั ตอ่ หน้าพระราชาวา่ ดังนี้ “ โอม อมติ ยะ จงอย่าใชค้ ําพูดเปน็ เครื่องวัดสงิ่ ทีไ่ มส่ ามารถจะกาํ หนดได้ และจงอย่าพยายามคดิ ในสง่ิ ทเี่ กนิ ความคิด มอ่ื ผ้ถู ามก็เขา้ ใจผิด และผตู้ อบกเ็ ข้าใจผดิ อยา่ กล่าวอะไรเลยเสยี ดีกว่า ” ในคมั ภรี ม์ ีกลา่ ววา่ “ ทีแรกทีเดยี วก็มแี ต่ความมดื เทา่ นั้น ฉะนน้ั จึงมแี ต่พรหมเท่าน้ันที่รําพงึ พจิ ารณาอยูภ่ ายในรตั ตกิ าล อยา่ อยาก ว่าพรหมนั้นคืออะไรเลย จนแมแ้ ตเ่ ดิมกาํ เนดิ ของพรหม พรหมก็ดหี รือแสงสวา่ งใด ๆ ก็ดจี ะมองดูดว้ ยจักษปุ ระสาทซ่งึ ยอ่ มตาย ละจะใหร้ จู้ กั ด้วยดวงจติ แหง่ มนษุ ยน์ ้นั ไมไ่ ดเ้ ลย ฉากแหง่ ความลบั จะเผยออกต่อ ๆ ไปกันได้กจ็ รงิ แต่ตอ้ งพยายามกระทําให้ ากแรกเผยออก แล้วกพ็ ยายามกระทาํ ให้ฉากอ่ืนท่มี อี ยู่ท้งั หมดน้ันเผยออกตอ่ ไปจนส้นิ เชงิ ดาราทั้งปวงโคจรไปตามวิถที างของ นเป็นนจิ นิรนั ดร โดยมพิ ักที่จะรัง้ รอเพอื่ ตง้ั กระทถู้ ามอะไรเลยเปน็ กาลพอเพียงอยแู่ ลว้ ซึ่งความดํารงชพี และความตาย ความสขุ ละความทกุ ข์โศกดาํ รงคงอยู่ เฉกเชน่ เดีย่ วกับเหตุและผล กบั ความดาํ เนินของกาลเวลาและอาการขึน้ ลงซึ่งไมร่ ูจ้ ักสิน้ ของความ กดิ ซงึ่ เปลี่ยนแปลงเสมอและซง่ึ ดาํ เนนิ เรอ่ื ยไปไมห่ ยุดหยอ่ น แม้นเหมือนกบั ลาํ น้าํ ซึ่งกระแสธาราไหลหล่ังไมย่ ั้งหยดุ จะเป็นเรว็ รอื ช้ากต็ าม อย่างไรกต็ ้องไหลไปถงึ ซึ่งทะเลอยนู่ ัน่ เอง สว่ นทะเลนนั้ เลา่ ก็ถกู ดวงอาทิตยด์ ูดเอานํา้ ข้ึนไปเปน็ ไอ ไอตกมาสเู่ หนอื ภเู ขา แลว้ จากภเู ขาก็ไหลลงมาใหมไ่ มห่ ยดุ หย่อน พยี งแต่เทา่ น้ี ก็พอท่ีจะกระทาํ ใหเ้ ขา้ ใจไปถึงสภาพแหง่ ฟูาและดนิ โลกท้งั หลายกบั ความเปล่ียนแปลงนั้นได้ อยา่ วิงวอนเลย ควา ดจะไม่สวา่ งขนึ้ ได้ดอก อยา่ ขออะไรกบั ความเงียบสงัดน้ันเลย เพราะความเงยี บสงดั นัน้ พดู หาไดไ้ ม่ อย่าศรัทธากระทาํ ความ รมานตนดว้ ยดวงจติ อนั ป๎น่ ปุวนของตน โอ ! ญาติพี่น้องชายและหญงิ ทง้ั หลาย อยา่ ไดห้ วังในความช่วยเหลือของพระเจา้ ท้ังปวงซึ่งทารุณ โดยถวายเครือ่ ง งเวย และแสดงคําเยินยอตอ่ เขาน้นั เลย อย่าพยายามให้ไดร้ ับบําเหนจ็ จากพระเจ้าด้วยวธิ บี ชู ายัญ อยา่ เล้ียงเขาด้วย ลไม้ และขนมเลย แท้จริงตวั เราเองตา่ งหากท่จี ะตอ้ งทําการช่วยตนเองให้พน้ จากทุกข์ มนษุ ย์ทกุ รูปยอ่ มสร้างคกุ คมุ งตวั เอง ทกุ ผ้คู นมีสทิ ธใิ นสิ่งท้ังเช่นเดียวกับผทู้ ี่ใหญ่ย่งิ เพราะเหตวุ า่ สาํ หรบั ผทู้ ่ใี หญย่ ิง่ ทอ่ี ย่เู หนอื หรืออยรู่ อบตัวเราก็ดี สาํ หรบั รรมชาตทิ มี่ ีเลอื ดเนื้อและท่ีมีชวี ิตก็ดี จะสุขสําราญหรือจะทุกข์ก็ล้วนแต่โดยความประพฤติทั้งส้นิ สิ่งใดทเ่ี ป็นมาแลว้ ส่งิ น้ันแหละ ปน็ เครอ่ื งจูงนําสิ่งท่ีกําลงั เปน็ อยูแ่ ละจะเปน็ ตอ่ ไปไม่วา่ เลวทีส่ ดุ หรอื ดีท่ีสุด ผลที่สดุ ย่อมอํานวยใหเ้ ป็นผลเริม่ แรกขึ้นอีก และผลท มแรกยอ่ มอํานวยใหม้ ผี ลทส่ี ดุ ปวงเทวดาบนเบ้อื งสวรรคซ์ งึ่ เสวยสขุ ก็โดยผลอันบรสิ ทุ ธ์ซิ ึง่ กระทํามาแล้วแตอ่ ดตี ปวง ศาจ ณ โลกอันตํา่ ต้อย เสวยทกุ ข์อนั เปน็ เวรกรรมท่ีตนได้ประพฤตชิ ่วั มาแลว้ แตห่ นหลงั สารพัดอย่างย่อมไม่คงทน คณุ สมบตั ิอนั งามเส่อื มทรามลว่ งสญู ไปตามกาลเวลา บาปหนักกอ็ าจอันตรธานกลายเป็นบรสิ ทุ ธขิ์ ึ้นกเ็ พราะความไมเ่ ที่ยง ามกาลเวลาเหมือนกัน ผ้ทู ่มี คี วามลําบากดว้ ยสภาพแหง่ ความเป็นทาส ต่อไปอาจไดเ้ ปน็ เจา้ ได้เหมือนกัน เพราะอาศัยบุญกุศลท นกระทําใหด้ แี ละความประพฤตทิ ี่ตนมีอยู่ ผู้ทเ่ี ปน็ พระราชาอาจซดั เซพเนจรไปบนแผน่ ดินโดยหมุ้ ห่อกายด้วยเศษผา้ ยาจกก็ ปน็ ได้ กเ็ พราะเหตแุ ห่งสงิ่ ทีต่ นไดก้ ระทําและที่ละเวน้ ไมก่ ระทํา ทา่ นอาจเชดิ ชวู าสนาของทา่ นใหส้ ูงเยยี่ มยิ่งกว่าพระอนิ ทร์ หรือท ห้ตาํ่ ตอ้ ยลงจนเลวยง่ิ กว่าตวั หนอนหรือตัวอณูได้ สง่ิ อน่ื ทมี่ ชี ีวติ ไมม่ ปี ระมาณ บางอย่างก็บรรลุถึงซึ่งผลทสี่ ุดในวาระแรกนั้นเอง างอย่างกใ็ นวาระที่ ๒ ถึงกระนน้ั ตราบใดทีว่ ฏั สงสารซง่ึ มองไมเ่ หน็ ยังหมุนอยู่ ย่อมไม่มสี ันตภิ าพการลดหยอ่ นและการหยุดพักอย ราบนั้น ใครขึน้ อาจตกลงมาได้ ผ้ใู ดซ่งึ ตกก็อยากขน้ึ กําเกวยี นหมุนโดยไม่ย้งั หยุด หากทา่ นยงั พัวพันติดอยกู่ ับลอ้ แหง่ ความเปลี่ยนแปลงโดยปราศจากวธิ ที จี่ ะหักโซท่ ่ลี า่ มท่านใหส้ ะบนั้ ลงแล้ว ดวงใจของสตั ว์ซ่งึ อิสระก็คงเข้าตารา้ ย วิญญาณของสิ่งทงั้ ปวงยอ่ มเป็นสง่ิ ทีด่ ี ดวงใจของสตั วโ์ ลกกเ็ ป็นท่ตี งั้ แห่งความสงบไดเ้ หมือนสวรรค์ เจตสิก อมมีอํานาจเหนือความทกุ ข์ อะไรทดี่ ีก็ดยี งิ่ ขนึ้ แล้วกด็ ที ่ีสุด ตถาคต คือ พระพุทธะ ผู้ซึง่ ไดเ้ สียนํ้าตามามากเทา่ นํ้าตาของญาติพ องทง้ั หลายทรี่ ้องไห้ ดวงใจของตถาคตได้ชอกชา้ํ โดยปลงเหน็ ความทุกขข์ องโลกทัง้ มวล ต่บดั นีต้ ถาคตหวั เราะและมคี วามสบาย เพราะได้บรรลุแล้วซ่ึงความอิสระ เออ ท่านทั้งหลายผซู้ ง่ึ มีความทกุ ข์ จงเข้าใจเถดิ ว
านรบั ทุกขเ์ พราะตัวทา่ นเองไมม่ อี ะไรอน่ื เลยท่ยี หุ รอื ยดึ เหนี่ยวท่านเพ่อื ให้ท่านเกิดและตาย แลทําให้ท่านหมุนบน ฏสงสารแหง่ ความทุกข์นนั้ กงแห่งวฏั สงสารย่อมมีแต่อาบดว้ ยนาํ้ ตา กาํ แห่งวัฏสงสารยอ่ มไมม่ สี าระ จงฟ๎งเถดิ ตถาคตจะแสดงใหเ้ หน็ ความจริงตาํ่ ลงไปกวา่ นรก สงู ยิ่งกว่าสวรรค์ ไกลไปกว่าดวงดาราทไี่ กลทีส่ ุด เกนิ กว่าควา ปน็ อยขู่ องพรหมไปอีก มมี หานุภาพม่นั คงและศักดส์ิ ทิ ธ์ิอย่างหนึง่ ซ่งึ มีขน้ึ โดยไม่มีแรกเริ่มกาํ เนดิ และทง้ั ไมม่ ีที่ส้นิ สุดยนื ยงอย่ทู ั่ว กแห่ง และมัน่ คงเหมือนความจรงิ ซง่ึ เคลื่อนไปสคู่ วามดี และดอี ยแู่ ตใ่ นกฎโดยตรงของตนเอง ส่ิงน้ันแหละซึง่ ทําใหต้ ้นกุหลาบมีดอก ศลิ ปข์ องสง่ิ นน้ั เองที่ทําใหบ้ วั มใี บ ภายใต้พ้ืนดินท่มี ดื และในเมล็ดพืชอนั อยนู่ ิ่งกค็ ือส่งิ นน้ั หละท่สี อ่ งแสงในอากาศแหง่ ฤดใู บไม้ผลิ รศั มีท่ีกอ้ นเมฆก็ดี สมี รกตท่ีตวั นกยงู ก็ดี เหลา่ นอี้ ยใู่ นอํานาจของมหานุภาพอันศกั ดิสทิ หมือนกัน ดวงเดือนเปน็ ทอ่ี ยู่ของมหาอานภุ าพอันศกั ดสิ์ ทิ ธ์ินน้ั แสงสวา่ งและฝนเป็นทาสของมหาอานุภาพอนั ศักด์สิ ทิ ธ์นิ นั้ บนั ดาลให้ใจขอ นุษย์ออกจากความมดื และทาํ ให้ตวั ไก่ฟูามคี อสลบั ไปดว้ ยสตี า่ ง ๆ ออกจากไข่ท่ีไมม่ ใี ครมองทะลุเขา้ ไปได้ มหาอานภุ าพอนั กด์สิ ิทธิ์นน้ั ไม่รู้จกั หยุด ไม่รู้จกั เวน้ อาจสามารถกระทาํ ใหส้ ิง่ ทป่ี ระกอบดว้ ยโทษแลภยันตรายกลายเป็นส่ิงที่ชืน่ ชมได้ ไข่สเี ทา องนกครี บี ูนท่มี ีอยใู่ นรังก็เป็นทรพั ย์สาํ หรบั มหานภุ าพนัน้ ด้วย รัง ๖ เหลย่ี มของผง้ึ นั้นคอื เหยือกน้าํ ผ้งึ ของมหานภุ าพอนั ศักด์สิ ทิ ธ์ิ มดปฏบิ ตั ิตามกฎแหง่ มหานุภาพ และนกพริ าบขาวก็รู้จักกฎน หมอื นกนั มหานุภาพนั้นบนั ดาลใหน้ กอนิ ทรีรู้จักกระพือปกี บนิ เพื่อนาํ อาหารของมนั มาสู่รังของมันได้ มหานภุ าพน้ันเป็นผู้นาํ ใหน้ างหมาไนกลับมาหาลกู ของมนั ได้ มหานภุ าพน้นั เป็นผู้สรา้ งอาหารและมติ รสหายให้สตั วโลกซงึ่ ไมม่ ี ครรักเลย ไมม่ ีใครเกลยี ดชงั และบังคบั มหานุภาพนน้ั ให้หยุดไดเ้ ลย มหานภุ าพนนั้ รักทั่วทุกอยา่ ง นํานํ้านมมาสนู่ มแหง่ มารดา และ านา้ํ ขาวซ่ึงเปน็ พษิ มาใสใ่ นเขีย้ วอสรพษิ ดว้ ยมหานุภาพอันศักดิ์สิทธิน์ ั้น วางระเบียบความเป็นไปของโลกทั้งปวงให้ดาํ เนินในนภา าศซ่งึ ไม่มีขอบเขต มหานภุ าพนัน้ ซอ่ นทอง เพชร นลิ จนิ ดาทั้งหลายไว้ในพ้ืนปฐพี โดยเหตทุ ่ีมหานภุ าพน้ันทําความอัศจรรยใ์ หม้ นจงึ ซอ่ นสภาพอยูใ่ นปุาเขียวและยังใหเ้ กดิ พฤกษชาตแิ ปลกประหลาด ณ โคนต้นสน ( แซเดรอ้ ะ ) และประดิษฐด์ อกไม้และใบไ งปวง มหานุภาพนั้นพิฆาตและช่วยเหลือโดยไมม่ ุ่งผลอะไรอนื่ นอกจากให้เหน็ ไปตามโชคชะตา ความตายกบั ความอาดูรเปน็ เครือ่ งมอื แห่งกิจการของมหานภุ าพอนั ศกั ดส์ิ ิทธิน์ น้ั กับมคี วามรกั และความดํารงชพี เป็นโอรสมหานุ าพนนั้ สร้างและทําลายกบั แก้ไขทั่วทกุ อยา่ ง สง่ิ ใดซ่ึงทําขึ้นใหม่ยอ่ มดกี วา่ เกา่ ก่อนการงานซึ่งดีเลศิ ท่มี หานุภาพนัน้ ลงมอื ทํา อมคอ่ ย ๆ บรสิ ทุ ธิ์ขึน้ ดว้ ยฝีมืออันชํานาญทง้ั หลายแหล่เหลา่ น้ีแหละที่เป็นฝีมอื ของมหานภุ าพอนั ศักดิส์ ทิ ธทิ์ ี่ท่านแลเหน็ แตส่ ่ิง แลไม่เห็นนั้นแหละสาํ คัญกว่าสง่ิ ทีท่ ่านแลเหน็ นัน้ อกี ดวงใจและวิญญาณของมนุษย์ ความคดิ ของปวงชน วิถแี ละความมุ่งหมาย องมนุษย์ท้งั ปวงนี้ลว้ นแตอ่ ย่ใู นบทบัญญัตขิ องมหานภุ าพอันศกั ด์ิสทิ ธิ์น้นั เหมือนกันช่วยทา่ นโดยมอื ซึ่งทรงคุณานุคณุ โดยท่าน ม่เห็น ไมม่ ใี ครไดย้ ิน แตถ่ ึงกระนน้ั กพ็ ดู ดงั เสยี กว่าฟาู รอ้ ง ความเมตตาและความรักพงึ เป็นสมบตั ิของมนษุ ย์ เพราะความ หดรา้ ยไดท้ ําให้หมูม่ นษุ ยแ์ ก่กลา้ เปน็ ตาบอดมานานแลว้ ไมม่ ใี ครเกลียดชังมหานภุ าพอันศักดิส์ ิทธิไ์ ด้เลย ผู้ใดไมเ่ คารพต่อมหานภุ าพนั้นย่อมมีโทษ ผู้ใดที่รับใช้มหานุภาพน้ันย่อมมีคุณมหานุภาพนัน้ รางวลั ความดซี ึ่งซอ่ นเรน้ อยู่โดย นตภิ าพและสุขสวัสดิ์ และตอบแทนความชว่ั ทป่ี ิดบังท่ีปิดบังโดยความทรมาน มหานภุ าพอนั ศักด์สิ ิทธิน์ ้ันมองเหน็ ทวั่ ทุกแห่งและ งเกตดูท่วั ทกุ อยา่ ง ท่านประพฤติชอบก็ใหบ้ ําเหนจ็ แก่ทา่ น ท่านประพฤตชิ อบทา่ นกจ็ ะไดร้ ับตอบแทนการกระทาํ ของทา่ นตามคว กห่ ลักธรรมในไม่เรว็ กช็ า้ มหานภุ าพอนั ศกั ดิส์ ทิ ธไิ์ มร่ จู้ ักถือโกรธหรอื ยกโทษ เครือ่ งวัดตวงของมหานุภาพอนั ศกั ด์สิ ทิ ธนิ์ ับวา่ เท่ยี รรมอยา่ งเดด็ ขาด ตราชูไม่บกพร่องคลาดเคล่อื นเลย มหานุภาพนั้นไมร่ ู้จักแกด่ ว้ ยอํานาจของวนั และเวลา เพราะฉะนั้นก็อาจตัดสนิ อะไร ๆ ได้ในวนั พร่งุ น้ีหรืออกี ช้านานกไ็ ด้โดย านุภาพอนั ศักดิส์ ทิ ธิ์ ผูซ้ งึ่ กระทาํ การฆาตกรรมจึงกระทาํ ให้ตนเองบาดเจบ็ ดว้ ยมีดของตนเอง ตลุ าการอยุตธิ รรมกถ็ งึ แกค่ วามจาํ น นโกหกกต็ กหนกั เพราะความโกหกของตนเอง ผูร้ ้ายและคนคิดคดปลน้ิ ปลอ้ นกไ็ ดร้ บั ผลแห่งการทจุ ริตท่ีได้กระทําไป งหลายแหล่เหลา่ น้แี หละคือกฎซง่ึ กระทาํ ให้ประพฤติการณ์ท้ังปวงดําเนินเข้าสู่ความยตุ ธิ รรมซึ่งไม่มใี ครอาจสามารถที่จะ ลกี เลย่ี งหรอื เหนี่ยวรั้งไวไ้ ด้ ดวงใจของมหานภุ าพอันศักด์สิ ิทธนิ์ น้ั คือความรัก วาระทีส่ ุดของมหานภุ าพอันศักดิส์ ิทธิ์คอื ความสงบ
ละความสาํ เร็จอยา่ งบรบิ ูรณ์ จงเชอื่ ตามนีเ้ ถดิ ” ตามความซงึ่ แจ้งในพระคัมภรี ์นัน้ เปน็ ความจริงนะญาติพี่น้องทงั้ หลาย ชวี ิตของมนุษยท์ กุ รปู ทกุ นามเปน็ ผลของการกระทาํ องตนในชาตกิ ่อน ๆ ความผดิ ท่ลี ่วงพน้ มาแล้วเป็นเครือ่ งนาํ ให้บังเกดิ ความทกุ ขท์ รมาน ส่วนความดที ลี่ ว่ งมาแล้วเปน็ ครอื่ งกระทาํ ให้บังเกดิ บรมสขุ ทา่ นหว่านพชื สิง่ ใด ท่านก็หวงั เกบ็ ผลของพืชสง่ิ นน้ั จงดทู ุ่งน้นั เถดิ งากเ็ กดิ จากงา ข้าวสาล เกดิ จากข้าวสาลีน้นั เอง ถึงแมจ้ ะไม่มเี สียงหรือไมม่ รี ูป ความจริงก็ตอ้ งเปน็ ความจรงิ สําหรบั โชคของมนษุ ยก์ เ็ ป็นเชน่ เดียวกันนนั้ หละ ตนเกดิ มากเ็ พ่อื จะเก็บเก่ยี วงาหรือข้าวสาลี อกี ทั้งหญา้ ท้ังหลายท่ีรา้ ยและมีพษิ ซ่งึ กระทําตนใหเ้ จบ็ ปวุ ยซ่งึ ตนได้หว่านเพาะ าแล้วแต่ปางก่อน กห็ ญา้ ร้ายและมีพษิ ทง้ั หลายนั้น ถา้ ตนเอาการงานดแี ละถอนออกเสยี แลว้ ปลูกพชื ทเี่ ป็นคณุ ประโยชนพ์ ื้นทกี่ ็จ ดมสมบรู ณ์ดีและบริสุทธ์ิ ผลซึ่งไดก้ ม็ ากมลู หากผู้ซึ่งมีชีวิตศึกษาให้รู้ไดว้ ่าทุกขม์ าจากไหนแล้วพยายามอดกลั้นด้วยความเพยี รขม่ ตน ให้ได้ใช้หน้เี ก่าทงั้ ปวงของตนซึง่ ตนไ หนี้ค้างมาแตป่ างกอ่ น เพราะเหตุแห่งความผิดของตน กระทาํ ตนแตใ่ นความเมตตาและความเทีย่ งธรรม หากไมก่ ระทําให้บงั เกดิ วามเดือดรอ้ นแก่ผู้ใดแล้ว ตนกจ็ ะชาํ ระลา้ งพนั ธุกรรมอนั เลวทรามไม่น่าเชื่อถอื ใหบ้ ริสทุ ธไ์ิ ด้ ยอมทนทรมานทุกสิง่ ทกุ อยา่ งด้วยใ ย็น โดยถือว่าเวรยอ่ มไมร่ ะงบั ด้วยกอ่ เวรต่อและตอบแทนโทษด้วยคณุ หากตนประพฤติอยู่ในธรรมสงั เวค บรสิ ทุ ธิ์ ยตุ ิธรรม ารัก และซ่ือสจุ รติ ไดม้ ากข้นึ ทุกวัน ๆ และกําจัดตณั หาซ่งึ มีรากอันเป็นโลหติ ตดิ อยูไ่ มว่ า่ ณ ที่ใด ๆ ไดแ้ ล้ว จนกระทง่ั ความรัก นชีวิตได้ถึงซงึ่ ที่สดุ ถ้าประพฤติไดด้ งั กล่าวมาน้ี แลว้ เมอ่ื ตายไปก็จะได้กําเนดิ ใหมต่ ามผลของตนท่ีไดก้ ระทํามาตามบญั ชีความด ละชัว่ ในชวี ิตนนั้ ๆ ตนผู้ซ่งึ สน้ิ ทกุ ขแ์ ลว้ และความดที พ่ี งึ มีหรอื แม้แต่ยังหา่ งกด็ ีกย็ อ่ มมีชีวิตและบุญกศุ ลทต่ี นจะไดร้ ับผลภายใน ม่ชา้ ผู้ใดซ่งึ บรรลุถึงผลดังกลา่ วนี้ย่อมไมพ่ ะวงถึงชีวิตจนเกนิ ไป ชวี ิตซึง่ ไดเ้ คยมีมาแลว้ และเริ่มมีอกี ดังเชน่ กอ่ นก็ถึงแล้วซึ่งความ นสดุ นับว่าตนได้ชนะแลว้ ซงึ่ เคราะหก์ รรมทีม่ นุษยจ์ ะตอ้ งมี พน้ แลว้ ซึ่งความทรมาน บาปจะไมม่ าพัวพันอีกเลย ความทรมานแหง่ วามยนิ ดี หรือทุกข์โศกในทางโลกมอิ าจมาเกย่ี วขอ้ งความสงบอันมนั่ คงน้นั ไดท้ กุ ชวั่ นิรันดร อกี ท้ังความตายและความเกดิ จะไม่ม หมแ่ กต่ นอกี เลย ตนได้ถึงแลว้ ซึ่ง นพิ พาน นบั วา่ ตนได้บรรลถุ งึ ซึ่งชีวติ ใหม่อกี อยา่ งหนึ่ง แตถ่ ึงกระนนั้ หาใช่เปน็ ความดาํ รงอยูใ่ น วิตไม่ ตนได้สุขแล้ว เพราะทส่ี ิ้นแล้วซึง่ ความเกดิ โอม มณีปทั เม โอม ( โอม มณรี ตั นใ์ นประทุม เป็นคําสวดมนต์ของพระพุทธศาสนกิ ชนแหง่ ชาวธิเบต พระพทุ ธรปู นนั้ โดยมากมัก ดอกบวั ซ่งึ มีมณรี ัตน์ประดับอยใู่ นดอก ) หยาดน้าํ ค้างได้หายไปในท้องมหาสมุทรอันกระจา่ งใสแลว้ ท้งั นี้แล คือบญั ญัติแหง่ กรรม จงศกึ ษาใหท้ ราบเถิด ความตายจะดับสูญได้โดยเด็ดขาดกต็ อ่ เมอ่ื มลู ท้ังปวงแหง่ บาปได้สญู นไปแลว้ และเม่ือชีวติ ไดอ้ นั ตรธานไปเหมอื นเปลวไฟอนั รุ่งโรจน์ได้ดบั ลง จงอยา่ ไดก้ ล่าวว่า ฉนั เป็นหรือฉนั ได้เปน็ มาแล้ว หรือ นจะเป็นต่อไปอกี อย่าได้นึกวา่ ท่านไดผ้ า่ นจากที่อาศัยทม่ี เี ลอื ดเนอ้ื อันหน่งึ แลว้ ก็มาอาศัยที่ ๆ มเี ลือดอกี อันหนึ่ง เหมอื นคน ดินทางท่จี าํ หรอื ลมื วา่ ตนเองนัน้ ไดเ้ คยพักแรมสบายหรือไมส่ บายฉะน้นั ผลแหง่ ความเกิดปางกอ่ นซ่งึ เปน็ ตน้ เหตใุ หเ้ กิดอีกยอ่ ม ลับมามีแก่โลกอกี เสมอ มนั สร้างสํานักทอี่ าศัยของมันเหมอื นตัวไหมซง่ึ มันพันตวั ของมนั เองด้วยรังของมัน มันได้สิ่งทสี่ าํ คญั และ ปทรงตา่ ง ๆ เหมอื นไขข่ องงซู ่งึ เม่อื ไขต่ กแลว้ ก็ไดเ้ กล็ดและเขี้ยวเฉกเช่นพืชพันธขุ์ องต้นออ้ สตี า่ ง ๆ ปลวิ ไปเหนอื ศิลา ดนิ หนยี วและทรายจนกระทง่ั ไดบ้ รรลถุ งึ ซ่ึงหนองอันเหมาะแลว้ จึงทวีพชื พันธ์ุอีกต่อไป ความเกดิ กเ็ ชน่ น้แี หละ ถ้าไม่เกิดสาํ หรบั รับความสขุ กเ็ กิดสาํ หรบั รบั ความทกุ ข์ เมอ่ื มัจจรุ าชมาครา่ อาผโู้ หดรา้ ยไป ส่วนแหง่ วามบาปอนั แปดเปอ้ื นไปด้วยโลหิตก็ปลวิ วอ่ นไปตามลมซึ่งมืดมนอนั ธการ แต่ถา้ คนที่ดีและมธี รรมตายลงก็มลี มเฉ่ือยพัดโชยให้ าสกุ โลกกง็ ามยิ่งขึน้ เหมือนแมน่ ้ําแห่งทะเลทรายซึ่งลบั ตาไปแลว้ กม็ ีขึ้นใหม่ใสบรสิ ุทธย์ิ ง่ิ กว่าเก่า น่แี หละคอื ความประพฤติอันดีซงึ่ ให้ผล ยอ่ มกระทาํ ใหไ้ ด้รบั ผลสนั ติสขุ ขา้ งหน้าตอ่ ไป ซง่ึ นัยว่าหา่ งจากความประพฤติท่ีไม งกระน้นั กด็ ี ต้องใชก้ ฎแหง่ ความเมตตาดาํ รงไพศาลไปทว่ั ท้ังโลก กอ่ นที่กัลป์จะสนิ้ สุดลง อะไรเล่าจะเป็นอปุ สรรค ญาติพี่นอ้ ง งหลาย ก็คอื ความมดื ท่พี อกพนู อวิชชาเขา้ ไว้ ทีท่ าํ ให้ท่านหลง และทําให้ทา่ นถือเอาแตเ่ งาต่าง ๆ ท่ีทา่ นแลเหน็ นั้นว่าเปน็ ของ รงิ แล้วก็บังเกดิ ความตอ้ งการอยา่ งแรงกลา้ เพ่อื ใหส้ ่งิ ท่ที ่านแลเหน็ ได้เป็นของท่าน และเม่ือท่านมสี ทิ ธิใ์ นส่ิงนัน้ แล้วมนั กผ็ ูกพัน านให้ตดิ ราคะตณั หาซ่ึงกระทําใหท้ า่ นไดร้ บั ความอาดรู ทา่ นผูซ้ ึง่ อยากดาํ เนนิ ไปตามทางสายกลางซึ่งตกแต่งโดยสมั ปชญั ญะอนั ว่าง และปราบให้ราบรน่ื ด้วยสขุ ารมณอ์ นั สงบ ท่านผูซ้ ่งึ อยากดําเนินให้บรรลถุ งึ ทางสูงแหง่ นพิ พาน จงฟ๎งความจรงิ ทสี่ ุขุมทงั้ ๔
อไปน้ี ความจริงประการท่ี ๑ คอื ความทุกข์ อยา่ ปล่อยตวั ให้หลงระเรงิ ชีวิตซง่ึ ท่านรกั นั้น เปน็ การทรมานไม่รจู้ ักสน้ิ สดุ ความ าบากในชวี ิตยังมอี ยเู่ สมอ แตค่ วามสนุกแห่งชีวติ น้ันประดุจเหมอื นนกงามทบ่ี นิ ผ่านไป ความทรมานในเวลากําเนิด ความ รมานในวาระที่เดอื ดรอ้ น ความทรมานในขณะเมื่อยังเป็นหนมุ่ เดือดรอ้ นและมีอายมุ ากแลว้ ความทรมานในฤดูหนาว ละในปีทแ่ี กช่ รา และความทรมานสุดทา้ ยคอื ความตาย ส่ิงเหลา่ นแี้ หละจะบังเกดิ ข้นึ ในชีวิตอนั นา่ อนาถของทา่ น ความรัก ป็นส่งิ ท่อี ่อนหวาน แต่เปลวไฟแหง่ เชิงตะกอนก็ต้องแปลบปลาบ สมั ผสั หวั อกอนั ทา่ นเคยซบหนา้ ตลอดจนแก้มของผซู้ ่ึงท่านเคย มพติ ความกลา้ หาญเป็นคณุ สมบัตแิ ห่งนกั รบกจ็ ริง แต่เหลา่ แร้งกย็ ังได้ฉกี อวัยวะของแมท่ พั และเจ้าผู้เป็นประมขุ ได้ แผน่ ดนิ งาม ระการตาก็ดี แต่ผูอ้ าศยั ในปาุ ยังกระทาํ การฆาตกรรมซ่ึงกันและกนั เพราะเหตุแหง่ ความกระหายในการทจ่ี ะดาํ รงชพี ประทปี แห่งเอเซยี “โรจนากร” แปลเกบ็ ความ จากคาโคลงภาษาองั กฤษ เร่ือง The Light of Asia โดย Sir Edwin Arnold พมิ พค์ รั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๓๒ โดยชมรมนักเรียนเก่าแอลเอสอี (LSE) จาก ผพู้ ิมพ์ ในการพมิ พ์คร้ังที่ ๕ หนงั สอื เรอ่ื ง “ประทีปแหง่ เอเชยี ” ท่ที า่ นถืออยู่ในมอื เล่มนี้ ใน การพิมพ์คร้งั กอ่ น ๆ ใช้ชอ่ื เร่ืองวา่ “ประทีปแห่งชมพูทวปี ” เป็น สาํ นวนแปลแบบเก็บความ โดยท่านผใู้ ชน้ ามปากกา “โรจนากร” จากหนงั สือคาํ โคลงภาษาองั กฤษ เรื่อง The Light of Asia ของ เซอร์ เอด็ วนิ อารโ์ นลด์ นกั ปราชญ์นามอโุ ฆษชาวองั กฤษ ซ่งึ เปน็ ท่รี จู้ กั กันอย่างกว้างขวางของบรรดานิสติ นกั ศกึ ษาวิชาวรรณคดี องั กฤษ สํานวนการแปลของ “โรจนากร” นบั ได้ว่าเป็นสํานวน อมตะ แม้วา่ กาลเวลาจะลว่ งเลยมานานเกือบครงึ่ ศตวรรษ แต่ก็ ยังคงความเป็นเลศิ มคี วามไพเราะเพราะพรงิ้ สาํ นวนกนิ ใจ ใครได้ อา่ นแล้วก็อยากจะอ่านซํา้ หลายเทย่ี ว โดยไม่มีวันเบ่ือ เซอร์ เอด็ วนิ อาร์โนลด์ ประพันธ์ The Light of Asia โดยแปล จากภาษาฮนิ ดีอีกทอดหนึง่ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๖๖ และไดต้ ีพิมพ์ แพร่หลายในองั กฤษ ประเทศอนื่ ๆ ในยโุ รป ตลอดทั้งในอเมริกา ในประเทศฝร่ังเศส เลออ็ ง สอรค์ นกั ปราชญ์ชาวฝรง่ั เศสได้แปล จากภาษาองั กฤษเปน็ ภาษาฝร่ังเศสดว้ ยคํารอ้ ยแก้ว ส่วนในเมืองไทย เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๐ เจา้ ศกั ด์ิประเสริฐ จําปา
ศักด์ิ บุตรเจา้ ยตุ ธิ รรมธร เจ้านครจาํ ปาศกั ดิ์ (ป๎จจบุ ันนครจาํ ปาศักดิ์ เป็นดนิ แดนในประเทศลาว) ได้แปลฉบับภาษาฝรั่งเศสของ เลอ็อง สอรค์ เป็นภาษาไทยด้วยคํารอ้ ยแก้ว และได้ตีพิมพ์ในชอื่ เรอื่ งว่า “ประทปี แหง่ ทวีปเอเชยี ” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ หมอ่ มเจ้าดาราจรสั ศรี เทวกลุ ได้ทรงแปลจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทยด้วยบท ประพนั ธ์กาพยฉ์ ันท์ขึน้ อกี และท่ี “โรจนากร “ ระบุในคํานําของผู้ แปลวา่ ไดเ้ กบ็ ความเรื่องน้จี ากฉบับของท่านผู้ใชน้ ามวา่ “ภัตตรตั ตา” นัน้ “ภตั ตรตั ตา” ผู้นี้ นา่ จะเปน็ “หมอ่ มเจ้าดาราจรัสศรี เท วกลุ ” นนั่ เอง ตามสถิติในตา่ งประเทศ หนังสอื เรื่อง The Light of Asia เพยี ง พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้ตีพมิ พก์ ว่า ๑๕๐ ครั้งไปแลว้ หลังจากน้ันมา ก็ยงั ไดต้ ีพมิ พ์เรื่อยมาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มิได้ขาดไปจากตลาดหนังสอื ของ โลก และตลาดหนังสอื ชัน้ นําของเมอื งไทยประเมินอยา่ งคร่าว ๆ วา่ ป๎จจบุ ันคงตีพิมพไ์ ปแล้วมากกวา่ ๓๐๐ ครั้ง นนั่ กเ็ ปน็ เครอ่ื งวัด คุณค่าของหนงั สือเลม่ น้ีได้เปน็ อยา่ งดี สาํ หรบั “ประทีปแหง่ เอเชยี ” ฉบับแปลโดย “โรจนากร” นี้ ไดร้ ับการตพี ิมพ์กอ่ นหนา้ นี้อย่างนอ้ ย ๔ ครั้ง คร้ังนี้จึงนบั วา่ เป็น คร้งั ที่ ๕ และในการตพี มิ พ์ครง้ั น้ี ผู้จัดพิมพ์เห็นว่า คาํ นิยมและ ความนํา ซึ่งเขยี นโดย พลโท กาจ กาจสงคราม ผจู้ ดั พมิ พใ์ นครัง้ ที่ ๓ มีสาระสะทอ้ นใหเ้ หน็ คณุ คา่ ของหนังสอื เร่ืองน้ีไดอ้ ยา่ งวิเศษ จึง ได้นาํ มาลงตีพิมพใ์ นคราวนด้ี ว้ ย ชมรมนกั เรยี นเกา่ แอลเอสอี (LSE) ๒๕๓๑ คํานิยม ของ พลโท กาจ กาจสงคราม ทุกทา่ นคงได้อ่านหนังสือทางศาสนามาหลายเล่มแล้ว และคงจะเกิด ความรสู้ กึ ว่า แตล่ ะเลม่ เขยี นไว้ดี อ่านแล้วบันดาล ให้ได้บญุ ทนั ตาเห็น ได้ บงั เกดิ ความรู้สกึ เลือ่ มใสศรัทธา ไดม้ องเหน็ ความดขี องพระพทุ ธเจ้าอยา่ ง แจ่มแจ้ง แล้วกก็ อ่ ให้เกดิ ความนึกคดิ อยากทาํ ความดอี ยา่ งท่านบ้าง การที่ เรารวู้ ่าใครดี แล้วก็อยากทําดีตามนนั้ จดั เปน็ วถิ ที างดีท่สี ดุ ทจ่ี ะทาํ ใหเ้ รา กลายเป็นคนดไี ดส้ ายหนงึ่ ท่ีว่านขี้ อทาํ ความเข้าใจด้วยว่า คนท่อี าศยั โลก ย่อมตอ้ งเกาะอยูก่ บั โลก เผอิญบนโลกท่เี ราเกาะอยทู่ กุ วนั น้ี เปน็ โลกโกหก พกลม ต่างกจ็ มอยกู่ ับสิ่งโสโครก เนา่ หนอน แลว้ กด็ ัดแปลงตกแต่ง พรางตาผอู้ ืน่ ไว้ คนหลายคนชอบหลอกตวั เอง ชอบปลกุ ใจตัวเองในด้าน ผดิ พลาด และคนหลายคนมกั จะเปน็ คนยอขึ้น โดยมากมกั มคี วามลมุ่ หลง จนเกอื บจะยอมตายอย่กู ับความล่นุ หลง ทพ่ี ากนั ผูกขึ้นไวด้ ว้ ยวธิ ีการอย่าง โง่เขลาเหล่านน้ั
การทพี่ วกเราชาวโลกมีอาการยุง่ ยากและเลวไปถึงเชน่ นั้น ทางศาสนา ก็ไดบ้ อกไวแ้ ล้ววา่ เป็นเพราะกรรมท่ีไดท้ ําไม่ดไี ว้มาก ๆ และสิ่งไม่ดี เหลา่ นัน้ ก็ยอ่ มตามมาสนอง การสนองของกรรมกห็ าใช่เปน็ สิ่งที่ไดค้ ิดผดิ ทําผิดไว้แต่ชาติกอ่ นเทา่ นัน้ กห็ ามไิ ด้ หากแตไ่ ด้รทิ าํ รสิ รา้ งไวต้ ั้งแตร่ ภู้ าษา คนมาทีเดียว ที่ว่านโี้ ปรดนกึ ถอยหลงั ดูตัวของตัวเองด้วยความเป็นธรรม เถดิ ทา่ นจะเห็นจรงิ ตามท่วี า่ นีอ้ ยา่ งแนช่ ัดทกุ ประการ ขา้ พเจ้าเคยพูดกับ ทา่ นผู้สนใจมาหลายคนและหลายครง้ั แล้วว่า การทีม่ นุษยชาตชิ อบผูกปม ไวส้ าํ หรบั รัดคอตัวเองนน้ั คงจะมใิ ช่เหตุอืน่ ไกล หากแต่เปน็ เพราะโลก มนษุ ย์เป็นโลกท่ตี อ้ งแย่งกนั กิน แย่งกันอยู่ แยง่ กนั หาความฉลาด แยง่ กนั สารพัดอยา่ ง แล้วกย็ งั พากันแยง่ ความย่งุ ยาก แยง่ กันหาความทกุ ข์ ความ เวทนามาใส่ตวั เอง กบั ยงั มกี รรมที่ได้สร้างสรรค์ไวใ้ นชาติปางก่อนมาสนอง ในชาติน้ดี ว้ ย คนทัง้ หลายจงึ ไดพ้ ากนั ตกอย่จู มอยู่กับความไม่ส้ดู ีด้วย ประการทงั้ ปวง นบั ตงั้ แตค่ ลอดมา เห็นเดือนเหน็ ตะวนั ในวนิ าทีแรก ก็ได้ เสวยความยากความลาํ บากมากมาต้งั แต่ตน้ ทเี ดยี ว ความในประวตั ิของพระอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ผวู้ ิเศษและเป็นผอู้ ยู่ เหนอื คนทง้ั หลายในโลกมนุษยน์ ้นั ปรากฏว่าพอประสตู ิแล้วได้ ๗ วัน พระ พุทธมารดากถ็ ึงแกท่ วิ งคต ในลักษณะน้ีมบี างคนเข้าใจไปว่า พระสัมมาสมั พุทธเจ้าได้เสดจ็ ทางพระนาภขี องพระพทุ ธมารดา อันเป็นสาเหตหุ นงึ่ ท่ี ชาวบา้ นได้เขา้ ใจกันไปวา่ แมแ้ ต่การประสตู ิของพระองค์ ก็ไดเ้ ป็นไปด้วย ความบริสทุ ธสิ์ ะอาดยงิ่ กว่าคนท้ังหลาย เปน็ นมิ ิตมาแต่แรกประสตู ิ ประกอบ กับโหรได้ถวายคําทาํ นายไวว้ ่า พระองคจ์ ะตอ้ งเป็นผูย้ งิ่ ใหญก่ วา่ คนอืน่ ใด ท้ังสิ้น ในทส่ี ุด พระพทุ ธองค์กไ็ ด้อยู่ในฐานะเป็นเอกอัครมหาบรุ ุษผูล้ ํา้ เลศิ ทไี่ ดท้ รงคน้ พบสิ่งที่คนท้งั โลกค้นไมพ่ บ และไดเ้ ป็นตน้ ศาสดาจารยข์ อง พทุ ธบริษทั มาจนกระทงั่ ทกุ วันน้ี การค้นพบในสิ่งทค่ี นทีห่ ลายค้นไม่พบ และได้รับสมญาวา่ พระองค์เปน็ พระอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจ้า อันมีฐานะท่อี ย่เู หนอื มหาจกั รพรรดิเป็นอยา่ ง มาก จนถงึ กบั จะนาํ ไปเปรยี บกนั มไิ ดเ้ ลยเชน่ นี้ คงมิใชอ่ ยเู่ ฉย ๆ กจ็ ะ บันดาลดลให้เปน็ ไปอย่างที่เรียกวา่ บุญบันดาลหามิได้ ท่านได้ทรงเสยี สละ สมบตั ิ และตําแหน่งรชั ทายาทแห่งกรงุ กบลิ พสั ด์ุ ได้ตั้งพระทยั บําเพญ็ พรต อย่างจรงิ จัง ได้ทรงออกเรย่ี วออกแรงเพอื่ คน้ หาความจริงของโลก ปิ้มว่า พระวรกายจะแตกดับไป อีกทง้ั ไดใ้ ช้เวลาศกึ ษานาน ต้องทนทกุ ขท์ รมาน อยา่ งยิ่งยวด เป็นระยะเวลาถึง ๖ ปี มใิ ช่วนั สองวัน และคงจะมใิ ชต่ ัวอยา่ ง แห่งการอดอาหาร ๒๑ วนั อยา่ งที่คนทีห่ ลายผู้ไม่รู้ กเ็ ห็นไปว่า การอด ๒๑ วัน เพ่อื เสยี สละเชน่ น้นั เปน็ การมหัศจรรยเ์ หลือเกนิ แท้จริงพระพุทธเจา้ เคยอดในขณะท่คี ้นความจริงอยู่ นนั้ ถงึ ๔๙ วัน ดว้ ยอยากรอู้ ยากนาํ มาชว่ ย มนุษย์ทก่ี าํ ลังเสวยทกุ ขเวทนาอย่ใู นท่ที ่วั ไปทกุ หนทุกแห่ง การกระทาํ ของ พระอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ จงึ มีลกั ษณะโลดโผน เต็มไปด้วยความ เสยี สละ แมแ้ ต่พระชนมช์ ีพ เป็นพฤตกิ รรมดีอยา่ งวิเศษ ยากยิง่ ที่ผ้ใู ดจะ กระทาํ ได้ จากเวลาโนน้ และต่อมาจนกระทงั่ ถงึ เวลาน้ี ซงึ่ เปน็ ระยะเวลาถงึ ๒,๕๐๐ ปีเศษท่ีนานมากพอใชแ้ ล้ว เมอ่ื ยกคนจาํ พวกพระอรยิ เจ้า ๔ จําพวกที่เป็นผไู้ ด้ตรสั ร้แู ละได้ตามเสดจ็ พระพุทธเจา้ ไปแลว้ กย็ งั หามใี คร
สกั คนเดียวไม่ ทจี่ ะสามารถค้นสิ่งท่ียงั ไม่พบ แต่รวู้ ่ามีนั้นใหพ้ บได้ พระองค์ จึงทรงเป็นบุคคลชน้ั เอกอคั รมหาบุรุษท่สี ูงสุดในโลก แต่พระองคเ์ ดยี ว ไม่ มีใครเสมอเหมือน การไดฟ้ ๎ง การไดอ้ า่ นประวตั ิของพระพทุ ธเจา้ ทก่ี ลา่ วมาแลว้ นี้ ยอ่ มเปน็ ผลดที จ่ี ะได้ชว่ ยในทางจติ ใจให้ฟลู อย ไม่ให้ จมอยกู่ ับสิ่งโสโครกบรรดาที่ มอี ยู่ในโลก เมื่อข้าพเจา้ ไดม้ าพบพระพทุ ธประวัติตอนต้น ฉบับทช่ี าว อัสดงคตแต่งขน้ึ ก็ไดร้ เู้ พ่มิ ขนึ้ ไปเป็นพิเศษว่า มคี วามลกึ ซึง้ ดกี วา่ ที่เคยพบ มานนั้ อีกบ้าง ทว่ี ่าดีนน้ั เพราะทาํ ให้คนใจอ่อนอย่างขา้ พเจ้าบังเกิดความ ปตี ิยนิ ดี ในความดขี องพระพุทธเจา้ เปน็ อย่างขนึ้ ตน้ ไมส้ ุดยอด และก็มไิ ด้ เกดิ ความปีตยิ ินดที ี่จิตใจแตแ่ ห่งเดียวเท่านัน้ หากแต่ความปตี ิอันแรงกล้า นนั้ ไดข้ บั เอานา้ํ ตาไหลหล่งั ออกมาคูเ่ คยี งกับตัวหนงั สอื ที่ขดี เขยี นไวน้ ั้น ดว้ ย เหมอื นกับอาการของเดก็ ที่รอ้ งไห้ เม่อื หยบิ ขนึ้ อ่านตง้ั แตต่ ้นจนจบถึง ๖-๗ คร้งั ก็ไม่อาจทราบและอธิบายไมไ่ ดว้ ่า ความปีติอนั แรงกลา้ ท่ไี ด้ทํา ใหน้ า้ํ ตาไหลหยดยอ้ ยออกมาจากดวงตาทกุ ครงั้ ท่อี ่านนนั้ เกดิ จากอะไรกนั แน่ ทงั้ น้ีในแง่หน่ึงต้องยอมรับวา่ เปน็ เพราะความซาบซง้ึ ในบทความชนั้ เย่ยี มอนั อยู่ในจาํ พวกดวี เิ ศษนเ้ี อง ซึง่ ยังไม่เคยพบเคยเห็นมากอ่ นเลย แม้ บทความในเรือ่ งมหาชาติ ท่ีเทศนแ์ ล้วมีคนรอ้ งไห้ ก็ยงั ไม่ทําใหเ้ กิดความ ปตี มิ าก มายเทา่ กบั บทประพันธ์ท่ีว่านี้ และกเ็ ปน็ เพราะนมิ ติ อยา่ งมหศั จรรย์ ที่กล่าวมาน้เี อง ทําใหต้ ้องขออนญุ าตพิมพ์ขึ้น เพ่ือแจกจ่ายแก่ พทุ ธศาสนกิ ชนผู้สนใจให้ไดร้ ับไปอ่านบ้าง เป็นการเผอื่ แผบ่ ทความอนั ดี มากให้เพอ่ื นมนษุ ย์ดว้ ยกัน และควรนบั วา่ ผทู้ ีพ่ ยายามแปลจาก ภาษาองั กฤษมาเป็นบทความในภาษาไทยนั้น เปน็ ผู้มสี มรรถภาพชนั้ ดีมาก ดว้ ย มิฉะนน้ั คงไม่อาจถอดความของฝรัง่ มาเป็นของไทย จนไดค้ ะแนนดี เลิศถึงปานนั้น ขอให้ทา่ นผแู้ ปลไดเ้ กิดความภาคภมู ใิ จในความดขี องท่าน เป็นอย่างมากดว้ ย ในต่อไปนกี้ ารอ่านจะพสิ ูจน์ให้เห็นดว้ ยความร้สู ึกของ ทา่ นเอง ขา้ พเจา้ ขออุทศิ บญุ กุศลทไ่ี ด้ออกทรัพย์พิมพห์ นังสอื อันมคี ุณสมบัติดี วิเศษนี้ ใหแ้ ก่บิดากบั มารดาของข้าพเจ้า ผมู้ ีอปุ การคณุ อันย่งิ ใหญอ่ ย่างหา ทสี่ ุดมไิ ด้ ทีไ่ ดล้ ่วงลับไปจากโลกแลว้ หากท่านทัง้ สองจะไปยุติอยู่ในภพ ใด กข็ อให้พงึ ได้รบั กศุ ลส่วนบญุ ตามเจตนารมณ์อนั สูงสดุ ของขา้ พเจ้าน้ี ด้วย เทอญ พลโท กาจ กาจสงกราม กองบัญชาการกองทัพบก วงั สวนกุหลาบ พระนคร วนั ที่ ๘ มกราคม ๒๔๙๒ ความนํา ในการพิมพค์ รัง้ ท่ีสาม เมื่อไดจ้ ัดการพิมพ์ครงั้ ทห่ี นงึ่ และทสี่ อง และได้แจกแก่ทา่ นผูอ้ ยากได้ ที่ไดม้ ีจดหมายขอไป อีกทง้ั ญาตมิ ิตรบางคน ไดเ้ คยขอไปแจกในการบุญ
มงี านฌาปนกิจและงานบวชนาค เปน็ ต้น ไดแ้ จกไปมาก หนังสือก็ไดห้ มด มอื ลง แตย่ งั มผี ้ขู อมาอกี มาก จดหมายขอแตล่ ะฉบบั แจง้ วา่ โดยมากไมไ่ ด้ ทราบประกาศบอกการใหห้ นังสือ หากแต่ได้พบเหน็ และไดย้ ืมคนอ่ืนมา อา่ น ครัน้ อา่ นแลว้ ได้บงั เกิดความเลอื่ มใสปตี ิยนิ ดใี นความดขี องพระ สมั มาสมั พทุ ธเจ้า อยา่ งท่ไี ม่มีอะไรจะพดู ใหส้ มกับใจนึกได้ จงึ อยากได้เป็น กรรมสทิ ธิ์ และปรากฏอกี ดว้ ยว่า หนังสอื เลม่ น้มี อี านภุ าพท่ไี ดบ้ ันดาลให้คน หนึง่ ผูท้ ่ีอ่านจบลง แล้วเกิดศรัทธาปสาทะอยากบวช แลว้ กไ็ ดต้ กลงใจ บวช ในปนี ้ีมากคนด้วยเหมือนกนั พฤตกิ ารณ์นีท้ ําใหร้ สู้ กึ เป็นทพี่ ึงพอใจต่อ ผลทานทีท่ าํ มาน้ัน ที่ได้แสดงใหป้ รากฏอย่างชัดเจนวา่ มีคา่ ประเสริฐเปน็ อย่างยิ่ง ทัง้ นี้เปน็ ผลตอบแทนทางจิตใจของขา้ พเจ้า อย่างทจ่ี ะหาค่าสิง่ อื่นใดมาเปรียบมิไดอ้ ีกเลย ขา้ พเจา้ เหน็ ผหู้ น่ึงทอ่ี ยากตรสั รู้ อยากเปน็ ผ้สู าํ เรจ็ อยา่ งพระพทุ ธเจ้า เหมอื นกับทา่ นทง้ั หลายน้นั เหมือนกนั หากแตข่ ้าพเจ้ามีบาปกรรม ยงั ไม่ อาจปฏบิ ตั ิกจิ วตั รใหเ้ หมือนกับนกั พรตท้ังหลาย เพ่ือเป็นการถางทางเดนิ ไปยังทห่ี มายอันสาํ คัญมากในขณะนี้ได้ แต่กไ็ ดต้ ง้ั ใจไว้บนประกายความ อาบย้อมแหง่ รศั มีของพระพทุ ธศาสนา ทไ่ี ดฉ้ ายแสงมาถึงจิตใจขา้ พเจ้า บา้ งแล้วว่า สกั วนั หนึ่งข้างหน้า จะเปน็ ในภพนี้ หรือในภพใดก็ตามเถิด ขา้ พเจ้าจะต้องเดินทางไปใหถ้ งึ จดุ หมายปลายทาง ทีพ่ ระสมั มาสมั พุทธ เจา้ ไดป้ ก๎ ไดก้ รยุ ไวน้ ัน้ ใหจ้ งได้ เม่อื มผี ู้อยากได้หนังสอื ที่ว่านี้ อันเป็น เสมือนการอยากได้ประทปี สอ่ งทางเดนิ ไปยงั ท่ีหมายอนั หนงึ่ อันเดียวกัน ก็ ไดท้ าํ ให้ข้าพเจ้าเกิดมีกาํ ลังใจขน้ึ อกี มาก จึงได้บริจาคทรพั ย์ พมิ พ์เพ่ิมขน้ึ ใหมอ่ กี เป็นครัง้ ทส่ี าม ผลแห่งความดที เ่ี กิดขึน้ หากจะเพ่มิ พนู จากการพมิ พ์ ขนึ้ อีกคร้งั กย็ ังคงขออทุ ศิ ผลานิสงสส์ ่วนบญุ ท่เี กิดขึน้ มากจนคาดไมถ่ งึ น้ี ใหแ้ กบ่ ดิ ามารดา ผเู้ ป็น พรหมของขา้ พเจา้ และเป็นผู้มีอุปการคุณอยา่ ง เหลอื ล้นเป็นอเนกนานปั การ ดังคาํ อทุ ศิ ทไ่ี ด้กลา่ วไวใ้ นบทต้นนั้นแล้ว แมว้ า่ พรหมทงั้ สองของข้าพเจ้าจะไดล้ ว่ งลับไปจากโลกนานแลว้ ไม่นอ้ ย กว่า ๓๐ ปี แตร่ สู้ กึ ว่ามงิ่ ขวัญขา้ พเจ้ายงั หลงติดอยู่กับทา่ นทงั้ สองเปน็ เสมือนกับการถูกแบ่งภาค ข้าพเจา้ เคยละเมอฝ๎นถึงบอ่ ยครั้งที่สดุ วา่ ทา่ น ทงั้ สองยังไม่ตายและยังคงมชี วี ิตอยู่ ได้กรณุ าปรานแี ก่ขา้ พเจ้า เหมอื น อย่างตอนทข่ี า้ พเจ้ามีอายุเพียง ๒-๓ ปี เสมอมา การพลีสิ่งมีค่าของ ขา้ พเจ้าออกสักการบชู า อุทิศใหผ้ ทู้ รงคณุ ทัง้ สอง จึงไดม้ คี วามแนใ่ จเป็น อย่างย่ิงวา่ คงจะไดร้ ับด้วยความภาคภมู ิใจมากเปน็ แนแ่ ท้ พลโท กาจ กาจสงคราม กองบญั ชาการกองทัพบก วังสวนกหุ ลาบ พระนคร วันท่ี ๘ สิงหาคม ๒๔๙๒ ประกาศ มีผู้สงสยั และพดู กันอย่างหนาหูว่า ผ้ใู หห้ นงั สือสารคดี ประทปี แหง่ ชมพทู วีป น้ัน มีความปรารถนาอะไรบ้าง ขอแจง้ วา่ ผใู้ หม้ คี วามปรารถนา
อยู่ข้อเดียวทีส่ งู สดุ กเ็ พราะ อยากใหผ้ อู้ ่านเปน็ คนดี หนังสอื น้ถี า้ ใครได้ อา่ น กจ็ ะมีจติ ใจกลายเป็นสภุ าพชนตามแบบอยา่ งของพระสิทธัตถราช กุมาร มหาบรุ ุษแห่งโลกตะวันออก ได้ไมม่ ากก็น้อย เม่อื อานุภาพแหง่ การ อ่านทาํ ให้คนกลายเปน็ คนดขี นึ้ กวา่ เกา่ ดงั นี้ ยอ่ มเป็นสง่ิ มคี า่ มากจนจะหา อะไรมาเปรยี บมิไดเ้ ลย ผใู้ ห้จึงกลา้ ออกเงนิ สว่ นตัว พิมพแ์ จกเฉพาะผู้ อยากได้ ไมม่ ีอะไรแอบแฝงอยหู่ ลงั ฉากและไมม่ ีเจตนารมณอ์ ะไรไป มากกว่านีอ้ กี มหี นังสือพิมพบ์ างฉบับ เก็บเอาไปเขยี นใหเ้ ห็นไปในบา้ นไม่ ดีด้านช่ัว ตามวิสยั ของผู้ทีช่ อบคร่นุ คิดแตค่ วามไมด่ ีอย่แู ลว้ เปน็ นิสัยสนั ดาน วา่ ข้าพเจา้ เอาเงินทีไ่ หนมาพิมพ์แจก จึงขอแจ้งเสยี ด้วยทีเดยี วว่า ความ จรงิ นัน้ ทรัพยส์ ินเงนิ ทองคงไมใ่ ช่ของหายากนักดอก อย่างสภุ าษิตท่ี นักปราชญ์แตง่ ไวว้ า่ “ทรัพย์น้ีมไิ กล ใครมปี ๎ญญาไว หาได้บ่นาน” เงนิ เป็น วัตถทุ ่คี นในโลกตีราคามนั ข้ึนเอง พิมพข์ น้ึ เอง เมือ่ ใครมีป๎ญญาหาและ ตัง้ ใจหา กต็ อ้ งหาไดม้ ไี ด้ เสมอเปน็ ธรรมดา ข้าพเจา้ ไปอยใู่ นประเทศจีนสองปี เอาเงินมาจากไหนกัน ท้ังทกี่ ารใช้ จา่ ยทนี่ น่ั กแ็ พงกวา่ ท่ีกรงุ เทพ ฯ ถงึ ๑๐-๑๕ เทา่ แล้วต้องเสียคา่ เดินทาง ทงั้ ไปและกลับ เป็นเงินจํานวนมากมาย ข้าพเจ้ามเี งินติดตัวออกไปหลาย หมน่ื แตก่ ลับเข้ามา ก็มีเงินมาถึงหลายแสน กลา่ วไดว้ ่าร่วมลา้ นกว่าบาท ทเี ดยี ว อยู่ในประเทศจีนก็ไม่อาจหาเงินดว้ ยวธิ คี ดโกงและไม่อาจใช้ลูกไม้ อะไรได้ ท้งั การอยูใ่ นจีนกย็ ังมีงานตอ้ งทําการตดิ ต่อกับพันธมติ รมาก และ ใชเ้ งินมากเปน็ ประจํา แตม่ ันก็จาํ เปน็ ตอ้ ง หา ต้องมีเงินไว้บ้าง มิฉะนัน้ ถา้ พนั ธมิตรแพ้ศึก ขา้ พเจา้ จะกลบั มาประเทศไทยไม่ได้ ถา้ ไม่หาเงนิ ไว้กบั ตวั บ้างแลว้ มพิ ากนั อดตายอยูท่ ่ีนั่นทงั้ หมดหรือ จึงไม่นา่ คิดอย่างคนทหี่ าสติไมค่ ่อยไดว้ ่า ข้าพเจา้ ไปคิดโกงของเขามา ไมร่ ู้จักจบ เฉพาะครอบครวั ข้าพเจ้าแลว้ บอกได้วา่ ไมเ่ คยอบั จนในเรือ่ ง เงนิ สําหรับใชจ้ ่ายเลยในชีวติ แม้แตจ่ ะได้เงินเดือนเพียงเดือนละ ๘๐๐ - ๑,๒๐๐ บาท ก็ส่งลกู ไปศึกษาในตา่ งประเทศด้วยทุนของตัวเองทุกคน ส่ง ตดิ ตอ่ กันรว่ ม ๑๕ ปี และส่งไปศกึ ษาจนกระท่งั บัดนี้ บุตรชายหญิงของ ข้าพเจา้ ตอ้ งไปศกึ ษาอยใู่ นต่างประเทศคนละหลายปี เพอ่ื ประสงคจ์ ะใหน้ ํา ความรกู้ ลบั มาทาํ งานให้เกดิ ประโยชนแ์ กป่ ระเทศชาติ บางครง้ั เคยส่งไปถึง ๒-๓ คนในคราวเดียวกันกม็ ี ค่าใช้จา่ ยจํานวนมากนี้ ไม่เคยคดโกงได้เงิน ของใครทีไ่ หนมาเพือ่ ประโยชน์แก่ตวั เอง และเพอื่ การศกึ ษาของลกู เรอ่ื ง เหลา่ นีแ้ ม้จะเปน็ เรอื่ งสว่ นตวั แตเ่ ม่อื มีผ้กู ล่าวถงึ ข้าพเจา้ ด้วยสงิ่ ทีไ่ มเ่ หมาะ ไม่ควรแลว้ ก็ตอ้ งขอชีแ้ จงตามความจริงบา้ ง ขอได้โปรดเขา้ ใจตามทกี่ ล่าว มานี้ดว้ ยโดยทว่ั กนั พลโท กาจ กาจสงกราม กองบัญชาการกองทัพบก วังสวนกหุ ลาบ พระนคร วันท่ี ๘ เมษายน ๒๔๙๒ จาก ผ้แู ปล
เร่ืองประทปี แห่งชมพทู วปี นี้ ไดเ้ กบ็ ความจากหนงั สือ The Light of Asia ของเซอร์ เอด็ วนิ อาโนลด์ ซึ่งรจนาขน้ึ เป็นโคลง ภาษาอังกฤษ เกย่ี วกับพระพทุ ธประวตั ิ และ อปุ นสิ ยั และพระพทุ ธ ปรีชาญาณของพระองค์ เป็นหนังสอื ซ่ึงแพรห่ ลายมากในยุโรป ปรากฏว่าได้พิมพ์ขึ้นถงึ ๑๐๐ กว่าครง้ั แลว้ และความแพรห่ ลายน้ี เอง ทาํ ให้มผี แู้ ปลออกไปเป็นภาษาฝร่ังเศส และเมื่อปี ๒๔๘๐ น้ี ได้มีท่านผู้หนงึ่ ใชน้ ามปากกาวา่ “ภทั ทรัตตา” มอี ุตสาหะแปล ออกมาเปน็ กาพย์ฉันท์ไทย เพราะความรสู้ ึกซาบซ้ึงในบทนพิ นธ์ อันนี้เปน็ อนั มาก ท่านบอกวา่ ถงึ กับอา่ น ๕ จบ ในการเกบ็ ความลงมาเขียนใหมน่ ้ี ขอ้ ความในเคร่อื งหมาย คําพดู บางอันข้าพเจ้าขอ Quote จากบทประพันธ์ของทา่ น “ภทั ท รตั ตา” ด้วยความเคารพและชนื่ ชมในคาํ อันไพเราะนนั้ ขา้ พเจ้าขอ แจง้ ความจริงนแี้ ดท่ า่ นเจา้ ของ และขอทา่ น ไดร้ บั ความขอบคุณ จากขา้ พเจา้ ในหนา้ หนงั สือนี้ด้วย “โรจนากร” บทที่ ๑ พระสทิ ธัตถกมุ าร วันหนงึ่ ในฤดูรอ้ น พญาหงส์สขี าวสะอาดตัวหนึ่งนาํ ฝงู บนิ ผา่ นพระอุทยานของพระ เจ้ากรงุ กบลิ พสั ด์ุ บ่ายหนา้ ไปทางทศิ เหนือ สรู่ งั ณ ยอดเขาหิมาลัยโพ้น ความขาวของ ฝงู หงส์ซึง่ ทาบอยู่กบั ทอ้ งฟูาสีขาวน้นั เป็นประดจุ ทางช้างเผอื ก ยงั ความนยิ มยินดใี ห้แก่ ผพู้ บเห็นยง่ิ นัก แตพ่ ระเทวทตั กมุ ารมิเปน็ เชน่ นนั้ นาํ้ พระทัยของเจา้ ชายพระองคน์ อ้ ยน้ี เปน็ พาล มงุ่ แตจ่ ะทําลายเป็นที่ตง้ั พอทอดพระเนตรเหน็ พญาหงส์ เธอก็ทรงโกง่ สายธนู ข้ึนทันที ยกลูกศรขึน้ พาดสาย และนา้ วหนว่ งเตม็ แรง ปล่อยศรวงิ่ ขนึ้ ไปเสียบอกพญา หงส์ ซง่ึ กาํ ลงั ร่อนร้องรา่ เรงิ ใจอยู่บนอากาศ นกทนี่ ่าสงสารก็พลดั ตกลงมาบนพืน้ ดนิ ศร ยงั เสียบคาอกอยู่ กษณะน้ัน พระสทิ ธตั ถกุมาร พระโอรสแห่งพระเจา้ กรุงกบิลพัสดุ์ กําลงั ประทับอย่ใู น พระอุทยานเหมอื นกนั พญาหงส์ถลาร่วงลงมาตรงพระพกั ตรพ์ อดี เจา้ ชายทอดพระเนตร เหน็ เข้าก็บงั เกิดความเวทนา ทรงอุ้มหงสน์ ้นั ขนึ้ จากพน้ื ประคองกอดแตเ่ บา ๆ มใิ หว้ ิหค เคราะห์ร้ายนัน้ ตกใจ แล้วก็ทรงชักศรซงึ่ เสยี บเนือ้ อยนู่ ้นั ออกเสีย พลางชโลมแผลดว้ ย น้ําผ้งึ แลว้ เอาใบไม้ผจงปิดปากแผลอยา่ งเบา ๆ แล้วกท็ อดถอนพระหฤทัย รําพงึ ถึง ความทุกข์ของพญาหงส์อนั มีกายปรากฏบาดแผลอนั ใหญน่ น้ั พระกมุ ารนัน้ กย็ ังทรงพระเยาว์นกั พระชนั ษาของเธอนอ้ ย ชอบท่ีจะแสวงสุขอย่าง เดก็ อ่นื แตเ่ ธอกลับคิดใครค่ รวญถงึ ความเจ็บปวดของพญาหงส์ อันความทกุ ข์ซงึ่ สาํ แดง อยใู่ นตวั นกนั้นเป็นอยา่ งไรกนั หนอ เพอื่ ใหร้ คู้ วามจริงโดยตนเองอย่างแน่ชดั พระองค์ ทรงหยบิ ลูกศรข้ึน แล้วก็แทงลงตรงข้อพระหัตถ์ พิษศรเสยี วปลาบไปถงึ พระหทัย และ พระกุมารกท็ รงเขา้ พระทยั ในทนั ทีนน้ั เองวา่ ความเจบ็ ปวดของนกนน้ั สาหสั เพียงไร เธอ จงึ ทรงปลอบนกด้วยพระวาจาออ่ นหวาน กระทําพระองค์เป็นมิตรกบั สัตวต์ วั น้อย เพือ่ มิ ใหม้ ันต่ืนตกใจต่อไป พอดีพระเทวทตั กมุ ารผูย้ ิงพญาหงสก์ ็เสดจ็ มาถึง และจะแยง่ นกนนั้ ไปให้ได้ พระสทิ ธัตถกุมารก็ไม่ทรงยอม ด้วยเหตุวา่ พระเทวทัตเป็นผ้ทู ําลายหงส์ แต่ พระองค์เป็นผู้ประทานชีวิต ถา้ หากปล่อยนกใหแ้ กเ่ ทวทัตผู้อนุชา นกจะต้องตายเป็นแน่ แท้ พระองค์ประกาศวา่ จะทรงสงั่ สอนความเมตตาแก่โลก ถา้ หากว่าพระเทวทตั จะทรง คดั ค้าน ก็ขอใหท้ รงเรยี กนักปราชญ์มาตัดสิน ในทสี่ ุด เทพเจ้าซึ่งปลอมพระองคม์ าเป็น
นักปราชญ์ กท็ รงตัดสินว่า “ผู้ใดกรุณาตอ่ สตั วแ์ ละเป็นผ้ชู ่วยเหลอื สตั ว์ ผนู้ ั้นเป็นเจ้าของ ดว้ ยเหตุนน้ั ผู้ชว่ ยเหลือสัตว์เปน็ ผใู้ ห้ชีวติ แต่ผู้ทาํ ลายชวี ติ สัตวใ์ ห้ดบั ล่วงไป ได้ชือ่ ว่า เป็นผู้เข่นฆา่ หาใชเ่ จ้าของสตั ว์นั้นไม่” พระเทวทตั จงึ แพค้ วาม และพระสทิ ธตั ถกุมารก็ ได้พญาหงส์ไปเลี้ยงไว้ พระสทิ ธัตถกุมารนแี้ หละ คือพระบรมศาสดาผู้ ประกาศศาสนา พทุ ธใหแ้ กป่ วงชนทั้งปวง ใหเ้ ขาทง้ั หลายไดพ้ บเห็น และไดค้ งอยูใ่ นความสุขอนั แทจ้ รงิ ความเป็นพระศาสดาผ้ตู รสั รรู้ อบด้าน ไดป้ รากฏให้เห็นตั้งแต่พระชนั ษานอ้ ย ๆ เม่ือพระ พทุ ธองค์ทรงจุตจิ ากสวรรค์ มาเข้าพระครรภพ์ ระพทุ ธมารดา คอื พระนางสริ ิมหามายาเทวี เปน็ พระชาติสุดทา้ ย ซึง่ ทรงส่งั สอนพระธรรมแกช่ าวโลกน้นั ไดบ้ ังเกดิ รังสสี อ่ งสว่าง กระจ่างแจ้งข้ึนในยามค่าํ คืนมดื สนิท เขาหนิ ทั้งหลายส่งเสยี งกัมปนาท ระลอกคล่นื ใน มหาสมทุ รบรรเลงเพลงกลอ่ ม และปวงบุปผชาตนิ านาพรรณ แย้มกลบี ขยายชูชอ่ อรชร ท้ัง ๆ ทอี่ รุโณทยั ยงั ไมไ่ ดม้ าถงึ พระพายพดั เย็นชุม่ ฉ่ํา และสรรพสิง่ ทั้งหลายดเู หมอื นจะ กระซบิ บอกกันว่า ทา่ นทัง้ หลาย ผู้ตายท่กี าํ ลังจะเกิด และผูเ้ กิดทตี่ ายไปแลว้ จงตนื่ ขึ้น และจงฟง๎ วันนี้พระพุทธเจ้าไดเ้ สดจ็ ลงมาปฏิสนธิแล้ว จงรูแ้ ละจงมหี วงั เถดิ ในตอนเช้าวันนัน้ พระโหราจารย์ไดท้ ูลถวายพระพร พระเจ้าสิรสิ ทุ โธทนะ พระพุทธ บดิ าวา่ “พระโอรสของพระองคไ์ ด้ทรงปฏสิ นธแิ ลว้ และจะทรงเติบโตขน้ึ เปน็ บุรุษอัน ใหญย่ ่ิง เปน็ ผู้ทรงปญ๎ ญายอด หากมิเปน็ พระมหาจกั รพรรดิ ครองทั่วทุกทวีป ก็จะทรง เป็นพระบรมศาสดา โปรดบรรดาสัตว์โลกทงั้ หลาย และชว่ ยมนษุ ยใ์ หพ้ น้ จากความโง่ เขลาอนั มดื มน” คร้นั พระพทุ ธมารดาทรงครรภ์ครบถ้วนทศมาส กท็ รงประสตู ิพระโอรสใต้รุกขฉายาใน ปุาลุมพินีวัน เทพเจ้าท้ังหลาย เสด็จจากฟากฟูาลงมาอญั เชิญพระวอทอง พ่อค้า ชาวเมอื งได้สดบั ข่าวก็เดินทางมาแตไ่ กล เพือ่ เอาของขวัญอนั มีคา่ มาถวายพระบรมราช กมุ าร และในหมชู่ นทั้งหลาย ซึง่ เดนิ ทางมาชมบญุ บารมีนน้ั มฤี ๅษตี นหน่ึงทรงนามวา่ อสติ ฤๅษี ทา่ นผนู้ ้ที รงบาํ เพญ็ พรตอยู่ใตต้ น้ ไม้ ไดส้ ดับเสียงเทพยดาลงมาบอกวา่ บัดนี้ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ ลงมาในโลกแลว้ ใหไ้ ปชมพระบารมีเถิด ท่านจึงรบี ร้อนมาในเมือง กบลิ พสั ดุ์ ครั้นเดินเข้ามาใกล้ พระพทุ ธมารดากท็ รงวางพระกุมารลงแทบบาท พระดาบส พระฤๅษเี หน็ พระโอรสก็รอ้ งห้ามว่า “อยา่ อยา่ พระนาง อย่าทรงวางพระโอรสลง” แลว้ พระฤๅษกี ็กม้ ลงกระทาํ อภิวันทนาการพระบรมกุมารถึง ๘ ครั้ง กลา่ วว่า พระองคน์ ีแ้ หละ คอื พระพุทธเจา้ อย่างแน่แท้ ด้วยปรากฏมรี ังสกี ุหลาบจา้ จากพระวรกาย พระลักษณะ ๓๒ ประการ ของมหาบรุ ษุ ปรากฏอยูใ่ นพระองคพ์ รอ้ มสิ้น พระองคน์ ี้แหละ คอื ผกาของปวง ชนอันจะบานเพียงคร้ังเดียวในระยะอสงไขยปี เม่อื บานแลว้ ก็ส่งกลนิ่ หอมขจรขจายไป ทัว่ พภิ พอบโลก ให้หอมหวานด้วยปญ๎ ญาปานมธุรส ครั้นพระชนม์ของพระบรมกมุ าร ลุถงึ ๗ วัน พระพุทธมารดาก็เสด็จสสู่ วรรคาลยั ด้วย เหตวุ ่าพระนางเธอประสูตพิ ระโอรสประเสริฐ เทพยดาเจา้ ทั้งปวงทรงรกั ใคร่ มยิ อมให้ เสด็จทนทุกขเ์ วทนาอยใู่ นโลกนสี้ ืบไป จงึ รับเสด็จพระนางไปสถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชวั่ นริ นั ดร สว่ นพระราชโอรสน้ัน เม่ือพระชนม์ได้ ๘ พรรษา พระพุทธบดิ าก็ทรงหาพระวศิ วา มติ รฤๅษมี าสั่งสอนศิลปวิทยา แก่พระกมุ าร พระวศิ วามิตรรับพระราชโองการ พอถงึ วัน ฤกษ์ดี เรียกกมุ ารมาส่ังสอน พระราชโอรสทรงยนื ถอื กระดานไม้จันทนแ์ ดงขดั มันเป็นเงาวบั และมรี ิมขอบฝ๎ง พลอยอยตู่ รงหนา้ พระอาจารย์ พระหตั ถ์น้อย ๆ ผจงจบั ดินสอมั่น และพระเนตรอันสกุ ใส จบั อย่ทู ีพ่ ระอาจารย์ดว้ ยความเคารพและสนพระทยั พระฤๅษีบอกว่า “พระกมุ ารจงเขยี นคมั ภีรน์ ี้ลง” แล้ว ทา่ นก็ท่องคาถาตายตั รี ซึง่ ยาก ลกึ ล้าํ ผ้สู งู ยง่ิ ด้วยปญ๎ ญาและความรอบรู้เท่าน้ันจงึ จะเขยี นได้ พระกุมารทรงฟ๎งแลว้ ก็ เขียนลงบนกระดานอย่างถูกตอ้ ง ใชแ่ ต่ภาษาเดียวเทา่ นน้ั เธอยังเขียนเปน็ ภาษาเท วนาครี ยะวา เดียรถยี ์ และอื่น ๆ อีกเป็นหลายสบิ ภาษา จนพระอาจารย์ตอ้ งร้องว่า
พอแลว้ พระเจา้ ข้า แล้วทา่ นก็สอนให้นบั เลขถึงสิบ แต่พระกุมารทรงนบั ต่อไปได้ ถึง โกฏิ อสงไขย นะหตุ และนีนหุต พระอาจารย์ต้องทูลว่า พอแลว้ แลว้ ก็สอนดาราศาสตร์ พระโอรสตรสั เล่าให้ฟ๎งส้ิน ถึงโคจรของจกั รวาล ดวงดาวใหญ่น้อยเดินไปอยา่ งไร เหตุ ใดจึงเกิดมคี น สัตว์ พชื ผล และแม่นํา้ ในมหาสมทุ รนีเ้ กดิ จากปรมาณเู ปน็ ตน้ นาํ้ ในแม่น้ํา ต้องความรอ้ นละลายเป็นไอ ลอยไป แลว้ ตกลงมาเปน็ ฝน นา้ํ ฝนทาํ ให้เกดิ มหาสมทุ ร และ มหาสมทุ รกท็ าํ ใหเ้ กิดฝน ความหมุนเวียนอันเปน็ ธรรมคาของโลกนน้ั มีอยู่ดงั น้ี พระฤๅษจี ะสอนอะไร พระกุมารกท็ รงทราบสิ้น พระดาบสจงึ กม้ ลงกราบพระกุมาร แลว้ ทลู ว่า “พระองคเ์ ป็นศาสดาของอาจารย์ ข้าพเจ้าหาใชค่ รูของพระองค์ไม่ ขา้ พเจา้ มาถวาย ความรู้ กลบั ต้องมาเรยี นจากพระองค์เสียแลว้ พระองค์ทรงรอบรู้ทัว่ ทุกสิ่งโดยมิตอ้ งใช้ หนังสอื เลย อันพระกมุ ารแห่งศากยวงศ์นั้น จะเก่งเพยี งความรูอ้ ยา่ งเดียวก็หาไม่ แมใ้ นการวาง พระองค์ และในการประลองศกึ ฝึกกําลังเยี่ยงบรุ ุษนักรบก็หาอาจมีใครเทียบไม่ แตน่ ้าํ พระทยั ของเธอนน้ั เตม็ ไปด้วยเมตตามาแต่พระชนม์ยังนอ้ ย ๆ ยามเม่ือทรงเลน่ สนุกกบั พระสหาย แม้กําลังมีชัยในการละเล่น หากได้ทรงเห็นพระสหายหดหพู่ ระทัย ก็ทรง สงสารและหย่อนพระกาํ ลงั ลง ให้พระสหายได้เป็นผชู้ นะบ้าง พระสิทธตั ถกมุ ารน้นั ทรงมี พระอัธยาศัยดงั น้ี เม่ือทรงเจรญิ วัย พระทัยอนั เมตตากแ็ ผ่กว้างขยายออกไปทกุ ที ประดุจต้นไมใ้ หญ่ ซงึ่ แตกใบกง่ิ กา้ นไปจากเมล็ดพชื เพียงเมด็ เดยี ว ในวันหนง่ึ พระพุทธบิดาไดต้ รัสชวนพระ กมุ ารไปทอดพระเนตรพิธแี รกนาขวัญ ชมความสดชน่ื ในท้องนาและการหวา่ นไถข้าวกลา้ ทั้งหลาย ซงึ่ จะตกเปน็ ของพระกุมารทนั ทที ่พี ระพุทธบดิ าเสด็จส่สู วรรคาลัย เวลานั้นต้นไมก้ าํ ลงั ออกดอกงามสะพรงั่ ชาวนากาํ ลัง ไถนาอยรู่ มิ ลาํ ธารอันมีนา้ํ ไหล รนิ ระหว่างหมตู่ น้ ตาลรายเรยี ง เป็นวสนั ตฤดู หมู่นกเบกิ บานแจ่มใสสง่ เสยี งเจอื้ ยแจ้ว แมลงเลก็ ๆ และสตั ว์เลอ้ื ยคลานตา่ งกม็ คี วามสุขอยทู่ ่ัวหนา้ จาก ไกล ๆ ได้ยินเสยี งตี กลองใหญ่อันแสดงว่าพธิ ีอาวาหมงคลไดม้ ีขึน้ ในท่ีใดท่หี น่ึง พระมหากษตั ริย์และพระ บรมราชโอรสไดท้ อดพระเนตรธรรมชาติ และทรงสดับเสียงเหลา่ นีด้ ้วยความสุขอย่างย่งิ แตใ่ นทา่ มกลางความชืน่ บานเกษมสันตห์ รรษานน้ั เอง เจ้าชายพระองคน์ อ้ ย ไดท้ รง มองซึ้งลงไป และทรงเห็นสิ่งซง่ึ ไมม่ ีใครไดเ้ อาใจใสม่ าแตก่ อ่ นว่า ในดอกกุหลาบอนั สวยงามงามนนั้ กม็ หี นามอยู่ ในชีวิตซึง่ เตม็ ไปด้วยความร่ืนรมย์นนั้ มคี วามทกุ ข์ ดเู อาเถิด ชาวนาน้ันต้องจับคันไถไปทา่ มกลางสุรยิ ะ แสงอันแผดจ้า ควายซึง่ ลากคนั ไถนนั้ เลา่ ก็ตอ้ งเดอื ดร้อนสาหสั เพื่ออะไรเล่า เพือ่ การยงั ชพี ไวเ้ ทา่ น้ันเอง ดูไปบน อากาศนัน้ เถดิ พญาเหย่ยี วกาํ ลงั ถลาไล่จับนกเล็กเป็นอาหาร นกเล็กเลา่ กไ็ ลต่ ้อนฝงู ผเี สอื้ ซึ่งบินหนีดว้ ยความตระหนกตกใจ จะดไู ปในนาํ้ การฆ่าและถกู ฆา่ เพื่อยงั ชีวติ ก็มี ให้เห็นประจกั ษ์แจง้ เราฆา่ เขาเพ่ือยงั ชีพ และเราก็ถูกฆ่าตอ่ ไป เพ่ือผูอ้ ่นื ไดค้ รองชีพไว้ ฆ่ากนั มาต้งั แต่สตั ว์เลก็ จนถงึ สัตวใ์ หญ่ โลกอันดูงามแต่ภายนอกนี้ ภายในเตม็ ไปดว้ ย ความทกุ ขเวทนาท้ังสน้ิ อนิจจา พระกุมารทรงรําลกึ ดงั นนั้ แล้ว กม็ ิอาจประทับดคู วามนา่ สงั เวชของสัตวโ์ ลกอยู่ ณ ท่ี นั้นได้ จึงเสดจ็ ไปประทบั เสียใต้รุกขชมพูล่ ําพงั พระองคเ์ ดียว เพ่ือทรงใคร่ครวญถงึ ทุกข์ โศกของโลก ทรงรําพึงไปในพระทัยว่า ทาํ อยา่ งไรดีหนอ เหลา่ สตั วโ์ ลกผู้นา่ สงสาร ทง้ั หลายจะพ้นเสียได้ ซ่งึ ทุกขเวทนาท้งั ปวงนี้ กษณะทพี่ ระบรมโอรสทรงบําเพญ็ ญาณราํ ลกึ ทางดบั ทกุ ข์ของสตั วใ์ ตร้ ุกขฉายา นน้ั เอง พระฤๅษี ๕ ตนเหาะผ่านมาทางอากาศ มาถึงต้นชมพู่ กม็ ิอาจไปตอ่ ไปได้ ต่างก็ สนเทห่ ์นัก มองลงมาเบอื้ งล่างเหน็ พระมหาบรุ ษุ ประทบั อยู่ มีพระรัศมีปรากฏจากพระ
วรกายเปล่งปล่ัง จึงรีบลงจากอากาศ ถวายนมสั การเปลง่ เสยี งสรรเสรญิ พระคณุ แล้วจงึ พากนั เหาะ ตอ่ ไป บทที่ ๒ ยโสธราเทวี คร้ันพระสทิ ธตั ถะมพี ระชนมไ์ ด้ ๑๘ พรรษา พระพทุ ธบดิ าก็ให้ทรงสร้างปราสาทอัน วจิ ติ รตระการตาข้นึ ๓ องค์ สําหรับฤดรู ้อน ฤดหู นาว และฤดดู อกไม้หอม มีนามว่า จําปา กาํ ลังออกดอก ปราสาทองค์ทห่ี นึง่ ซึง่ มนี ามว่า สุภะ น้ันสรา้ งด้วยไม้สักตัดเปน็ รปู ส่ีเหลี่ยมจตั รุ สั วางซอ้ นกนั และ ภายในกอปรด้วยไมส้ นสลักเสลาเป็นลวดลายงามตา อนั ปราสาทองค์นม้ี ไี วส้ ําหรบั ประทับในฤดูหนาว เพราะเม่อื เสดจ็ เขา้ ไปแลว้ ความอบอุ่นจัก บงั เกิดขึ้นแด่พระองค์ ปราสาทองคท์ ส่ี องน้นั มีนามวา่ สุรมมะ สําหรบั ประทบั ในฤดูรอ้ น เพ่ือผ่อนบรรเทาความรอ้ นอันโหดร้ายของธรรมชาติ องคป์ ราสาทจึงก่อด้วยศิลาอ่อนขาว ทง้ั องค์ และปราสาทอีกองค์หนง่ึ ซึง่ มไี ว้ สาํ หรบั ต้อนรบั เวลาจาํ ปาออกดอก และพชื ผล ท้งั หลายผลิใบ นน้ั มีนามว่ารัมมะ อิฐเผาสแี ดงฉาน ประกอบขึน้ เปน็ พระ ปราสาทองค์น้ี และมหี ลังคาทําดว้ ยกระเบ้อื งสีนํ้าเงินงาม บริเวณภายนอกพระปราสาททง้ั สาม ก็ล้วนแล้วไปด้วยบุปผชาตินานาชนิด ชูช่อและ ส่งกล่ินหอมระรวยรินอย่ไู ม่ขาดสกั ทิวาวัน ถัดไปจากไมด้ อกกม็ ีไม้ดง ปลูกไวร้ ายเรยี ง ริมฝ๎่งน้ําอันไหลหลั่งถ่งั แรง เสียงคะครกึ คร้นื มิได้ย้งั หยุด จะ เปรียบก็ประดุจพระโลหติ กษตั รยิ ห์ นมุ่ อันสดสี ย่อมไหลแรง เร็วดี และไม่มีการถอยหลัง ดงั น้นั ความสุขสนุกสนาน กบ็ ังเกดิ ข้ึนทุกวนั ทกุ เวลามิไดข้ าด แต่ทวา่ ยงั มีหลายเวลา ซงึ่ พระพักตร์ของพระสิทธัต ถะหม่นหมองเหมือนพระสุรยิ ะซ่งึ ตอ้ งเมฆดํามาเปน็ เงาบัง คราใดท่ีทรงระลกึ ถึงความ ทกุ ข์อนั แฝงอยู่ในสีกุหลาบของชวี ิต คราน้ันพระพักตรข์ องพระบรมโอรสกซ็ ดี สลดลง ทนั ที การท้งั หมดนี้มริ อดพ้นความสงั เกตของพระพุทธบิดาไปได้ พระองค์ทรงพระวิตกยิ่ง นัก ด้วยหวาดหวนั่ พระทยั วา่ พระโอรสจะทรงหลีกทางโลกไปแสวงสขุ ในทางแคบ และ โดดเดี่ยวเต็มไปดว้ ยความกันดาร เพือ่ เสาะหาพระธรรมลา้ํ เลิศมาส่งั สอนมนษุ ยเ์ ป็นแน่ แท้ พระเจา้ สิรสิ ุทโธทนะทรงเป็นกษตั รยิ ์ ซ่งึ รกั ม่ันและภาคภมู ิในความเป็นขตั ติยะย่งิ กว่า ส่ิงใด อดุ มคตขิ องพระองคค์ อื การมีพระโอรสเปน็ จักรพรรดิของยอดจกั รพรรดิทงั้ หลาย เพราะวา่ น่นั เป็นอาํ นาจสงู สุดและเปน็ ความสุขอยา่ งยิง่ ยวด พระองค์มทิ รงปรารถนาจะ เห็นพระราชโอรสเปน็ พระพทุ ธเจา้ ผโู้ ปรดสัตวเ์ ลยแม้แต่นอ้ ย เมอ่ื เห็นพระสทิ ธัตถะทรงมีพระพกั ตรห์ มน่ หมอง เฝาู วติ กวิจารณถ์ งึ สขุ ทุกขข์ อง มนุษย์ พระองค์กท็ รงหวัน่ ไปว่าพระโอรสจะทรงสละทางโลกเสยี จึงทรงปรกึ ษาเหลา่ มหาอํามาตย์หาทางปูองกันเสีย เหลา่ มขุ มนตรีกราบทลู ว่า สงิ่ ท่ีจะผูกจติ มนุษย์ไดน้ ัน้ หา ใชโ่ ซ่ตรวนไม่ เส้นเกศาแห่งนางงามเท่านั้นจึงจะผูกจิตบรุ ุษได้ พระโอรสทรงเศร้าหมอง ดังน้ี เพราะยังมไิ ด้ทรงอภเิ ษกสมรส ยงั ไม่ไดท้ รงรู้จกั ความสุขยง่ิ ยอดอนั เกดิ จากความ รัก ขอใหท้ รงหานางผู้งามเลิศมาพระราชทานพระโอรสเถดิ พระเจา้ สริ ิสทุ โธทนะทรงเหน็ ว่า การเลือกชายาให้พระโอรสนั้นเป็นการมิชอบ เพราะวา่ การท่พี ระองค์ทรงเลือกชายาให้พระโอรส “ก็เป็นเขาผู้อ่ืนเลอื กรักให้สมสู่” ดูไม่ เปน็ การที่จะทาํ ใหพ้ ระโอรสรู้จักรกั จริงได้ จงึ ทรงตกลงวา่ ให้มงี านมโหฬารข้นึ แล้วให้ นางงามท้ังหลายมาประชมุ กนั และให้ทุกนางมารบั ของขวัญจากพระสทิ ธัตถะ พระองค์ ต้องพระทยั นางใด ก็ใหอ้ าํ มาตย์คอยสังเกตไว้ เม่อื งานเสร็จลงแล้ว พระชนกจะทรงส่ขู อ นางนน้ั ใหพ้ ระโอรส ไมช่ ้า วนั งานรื่นเริงในพระราชวงั ก็มาถึง เหล่ากัลยาณที ้ังหลายแตง่ กายของตน อย่างวิจติ รเพรศิ แพรว้ หวเี สน้ เกศาอนั ดาํ สนทิ แลว้ เกล้าเมาฬี แต้มขนตาดว้ ยนา้ํ ยาอัน เป็นเสน่หล์ ะลานจิต มือเท้านอ้ ย ๆ นัน้ ยอ้ มดว้ ยชาดสีงาม ต่างสวมเคร่อื งประดบั ลูบไล้
วิเลปนะอนั มีกลนิ่ หอมชวนจติ พิศวง แล้วตา่ งก็เยอ้ื งกรายเขา้ วังใน พอถงึ เวลา ดรณุ แี ห่ง กบิลพสั ดุ์ ก็ค่อย ๆ เดนิ ผ่านบลั ลังก์พระโอรส ซงึ่ ประทับทอดพระเนตรอยเู่ ปน็ สงา่ นา่ เกรง พอนางนัน้ ๆ ชมอ้ ยชมา้ ยเนตรอนั ดาํ ขํา ข้ึนสบเนตรพระกมุ าร ตา่ งก็เกิดความ ประหว่นั กลัว ใจระรวั สัน่ มิอาจเอื้อมยกตนขึ้นเปน็ คเู่ สน่หาแห่งพระองค์ได้ พระกุมารนน้ั ประทบั สงบนงิ่ พระพกั ตร์ออ่ นหวานกรณุ าและดวงเนตรเพียบไปด้วยความปรานี แตก่ ็หา อาจจะมีนางใดกลา้ สบเนตรได้ ตา่ งรับของขวญั จากพระหัตถ์ดว้ ยมือส่ันระรวั แล้วหอ่ ไหล่ คอ้ มตวั เดนิ หลบหายเข้าไปปะปนอยู่ในหมู่เพอื่ นกนั เสยี โดยเร็ว ทุกนางมอิ าจมอี าการ สงบนิง่ อยู่ได้ เกิดประหวัน่ พร่ันใจ กายสั่นระรวั ดว้ ยกนั ทุกนาง และแลว้ นางสดุ ทา้ ยก็ไดด้ ําเนนิ มาตรงพระพกั ตร์ กลั ยาณโี ฉมงามดงั อปั สรสวรรค์ อาการเยอื้ งกรายกง็ ามสงา่ เหมือนพระลกั ษมี สองเนตรเทวดี ําสนิท แลว้ มแี ววหวาน บริสทุ ธ์ิเหมือนตานางเมอื่ เวลารัก เธอหยุดลงตรงพระพกั ตร์พระกมุ าร พนมหตั ถข์ ึน้ ระหวา่ งอุระ ชศู อแล้วเงยพักตรข์ น้ึ สบเนตรพระองค์ ย้มิ อยา่ งแจม่ ใส พลางทูลถามไม่ลด เลีย้ ววา่ “หม่อมฉันจะไดร้ บั ของขวัญไหมเพคะ” บคุ คลซ่งึ อยู่ใกลช้ ดิ ในเวลานนั้ ได้กราบทลู พระเจ้าสริ สิ ุทโธทนะว่า “ทันทที ีพ่ ระโอรสทอดพระเนตรเห็นยอดกลั ยาณียโสธรา ธิดาแห่งสปุ ปพทุ ธะ พระ พกั ตรข์ องพระองคเ์ ปลยี่ นไปเห็นถนัด” พระกมุ ารทรงตอบวา่ “ของขวัญน้นั หมดเสียแล้ว แตข่ อให้ภคินผี ูท้ รงโฉมงามล้าํ รบั เอาส่งิ น้ีไป” ตรสั แล้วก็ทรงถอดสรอ้ ยพระศอมรกตออกคาดเอวอันอรชร อันห้มุ ไวด้ ้วยกํามะหย่ีดํา พระเนตรสบเนตรนางดว้ ยความรกั อันท่วมทน้ มิอาจปกปดิ ไวไ้ ด้ เมอ่ื พระพุทธบิดาทรงทราบแนว่ า่ พระโอรสผูกสมัครรกั ใคร่ยโสธราแลว้ ก็ทรงแต่ง ทูตใหไ้ ปส่ขู อนางจากพระสปุ ปพุทธะผ้เู ปน็ ชนก แต่พระสปุ ปพทุ ธะตรสั ตอบวา่ ตามธรรม เนยี มนางกษตั รยิ ์ในศากยะตระกลู นนั้ ผูจ้ ะเปน็ คู่ของนาง ตอ้ งแสดงว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญใน ยทุ ธศลิ ปศาสตร์ อาจรบชนะผู้ทา้ ทง้ั หลายใหไ้ ด้เสยี กอ่ น พระองค์ทรงสั่งมากบั ทูตวา่ “ลูกของเราน้มี โี อรสกษัตรยิ ป์ องอย่มู ากหลาย หากว่าพระโอรสของ กษัตริย์ท่านโกง่ ศรแกว่งดาบ และข่มี ้าได้ดีกว่าผใู้ ด เธอก็จะได้นางไปเป็นชายา แต่เราสงสัยนกั พระ สิทธัตถะหรือจะทาํ กจิ ของนักรบได้ เธอแกว่ ดั ออกยังง้ัน” พระเจา้ สริ ิสุทโธทนะก็เสียพระทัยทพี่ ระโอรสจะไม่ได้นางผเู้ ป็นที่รกั แตพ่ ระกมุ าร หนมุ่ ทลู ว่า ใหท้ รงจัดการประลองรบขึ้นเถิด พระองคไ์ ด้ทรงฝึกฝนวชิ าของบรุ ษุ อยู่บา้ ง เหมือนกบั พระญาติเหล่านั้น เม่อื พระองคท์ รงรักนางแลว้ หายอมเสยี นางไปไม่ ด้วยเหตุท่ีพระสิทธัตถะตรสั ดงั น้ี เจ็ดวนั หลังจากนั้น กม็ ีพิธีประลองกาํ ลงั คร้ังใหญ่ ผ้ใู ดได้ชยั ชนะ ผู้น้นั ก็จะได้นางยโสธรา พระเทวทัตผชู้ ํานาญทางศร พระอรชุนผเู้ ก่งทาง ขม่ี า้ และพระนันทะผ้เู ช่ยี วชาญดาบ กไ็ ปประชุมพรอ้ ม พระสทิ ธัตถะน้ันทรงมา้ กณั ฐกะสี ขาวผอ่ ง ซึ่งว่ิงระเรงิ รอ้ งกอ้ งกังวานเพราะความแปลกตาเข้ามาในสนามยทุ ธ์ พระโอรส กวาดพระเนตร ตรวจดมู หาชนทวั่ และเมือ่ ทอดพระเนตรเหน็ ยโสธราจอมขวญั ก็เสดจ็ ลง จากอสั ดรกัณฐกะ และร้องประกาศว่า “ผูท้ ีท่ รงไวซ้ ึ่งความเลศิ เทา่ น้นั จึงจะค่คู วรกับมกุ ดาเทวีผู้น้ี ขอให้เรามาพิสูจนฝ์ มี อื กนั เดีย๋ วน”้ี ทแี รกพระนันทะทา้ ยิงธนู โดยใช้เปาู กลองทองเหลือง วางในระยะไกลหกโกศ พระ เทวทตั ขอยิงในระยะแปดโกศ แตพ่ ระสทิ ธตั ถะขอให้เลยสิบโกศออกไป จนกระท่งั มองเหน็ กลองเทา่ หอยแครงเทา่ นน้ั เอง พระนันทะยงิ ทะลกุ ลองของเธอ พระอรชุน พระ เทวทัตก็ดจุ กัน ฝูงชนโห่รอ้ งชมเชยข้ึนอึงม่ี จนนางยโสธราต้องยกพสั ตราขึ้นคลุมเนตร ดว้ ยความหวาดหวัน่ ว่า พระผ้เู ป็นท่ีรักจกั พา่ ยแพแ้ กค่ ู่ตอ่ สู้
พระสทิ ธตั ถะทรงจบั คนั ศรของพระญาตขิ นึ้ นา้ วสาย กาํ ลงั แรงทาํ ให้ศรนั้นหกั ลงกับ หัตถ์ ทัง้ ๆ ท่วี า่ ศรนั้นมีกลางคนั อนั หนา ชายชาตรีซึ่งมีกรแขง็ แรงอยา่ งยิ่งเท่านัน้ จึงจะ ทาํ ใหโ้ คง้ ได้ พระโอรสหน่มุ ตรัสวา่ “ศรน้เี ป็นของเลน่ คันศร ใหม่ที่แข็งแรงสมศักด์ิ กษัตรยิ ์ศากยะนน้ั ไมม่ หี รือ ?” มีผทู้ ลู ตอบวา่ มศี รช่อื สงิ หหานุใหญเ่ หลือและแขง็ แรงมาก คนั ทาํ ดว้ ยเหล็ก เกบ็ ไว้ ในโบสถห์ ลายรอ้ ยปมี าแลว้ ไม่ปรากฏวา่ เปน็ ของใคร และหาเคยมีใครอาจใช้ไดไ้ ม่ พระ สิทธัตถะทรงสงั่ ใหไ้ ปนําศรนั้นมาส่งให้พระอนชุ าน้าวสายก่อน แตห่ ามพี ระองค์ใด แขง็ แรงพอทจี่ ะโนม้ ปลายให้เขา้ ใกลค้ นั กว่าศอกหน่ึงได้ไม่ พระองค์จงึ รับคันศรมาน้าว สายแล้วเสียบลกู ศรลงทีช่ อ่ งเสยี บ ยงิ ไปด้วยกาํ ลงั แรง ศรถลาวิง่ ประดุจนกอนิ ทรี เสียง สน่ันกังวานอากาศ จนผ้เู จบ็ ไข้มิอาจมาในงานนน้ั ได้ ต้องลกุ ข้ึนถามกันว่า “เสียงอะไร นน่ั ” ลูกศรว่ิงถลาออกไปทะลกุ ลองอันวางไว้ไกลถึงสบิ โกศกว่านน้ั แลว้ ยงั แลน่ ต่อไปอกี ไม่หยดุ ยง้ั ต่อไปพระเทวทัตทา้ ใชด้ าบตดั ต้นไม้ พระองค์เองทรงตดั ตน้ ตาลหนาหกนิว้ ด้วยการ ฟน๎ เพยี งครัง้ เดยี ว พระอรชุน ตดั ต้นไม้หนา ๗ นวิ้ และพระนันทะตัดตน้ ไมไ้ ดห้ นาถงึ ๙ นิว้ แต่พระสิทธตั ถะทรงตัดต้นไมม้ หมึ าคหู่ นึ่ง ดว้ ยการฟ๎นเพียงครัง้ เดียวเทา่ น้ัน รอยดาบ ราบดจี นต้นไมน้ ัน้ ขาดจากโคนแลว้ ยังยนื ตรงอยู่ ณ ทเ่ี กา่ ไมล่ ม้ ลงไปได้ คราวนถี้ งึ คราวข่ีม้าแขง่ ม้ากณั ฐกะของพระกมุ ารก็วิ่งได้รวดเร็วกวา่ มา้ ของพระญาติ ท้งั สาม พระนนั ทะตรัสค้านว่า หาไดเ้ ปน็ เพราะความเก่งของผู้ขบั ขไ่ี ม่ ม้ากณั ฐกะนัน้ ฝีเทา้ เร็วเอง ถา้ หากพระองคท์ รงข่ีกัณฐกะก็อาจชนะไดเ้ หมอื นกัน ขอใหม้ าปราบม้าพยศ แข่งกันดีกวา่ เขาจงึ ได้นาํ มา้ พยศกล้า กายสูงใหญ่ ดํามันสนิทเหมือนคาํ่ คนื ตาดขุ วาง จมูกบาน กว้างใหญ่ ผมยาวยุง่ เหยิงด้วยไม่ได้ตดั สาง มีโซล่ า่ มอยสู่ ามชนั้ โกลนอานใดหามีไม่ เพราะมันพยศนกั ใครจะข้นึ หลังไม่ไดเ้ ลย กษัตริย์หนมุ่ ตรสั ส่งั ให้เอาโซ่ออก แลว้ ผลดั กนั ขึน้ หลัง มา้ ดโุ ลดเต้นสลดั เอาพระ เทวทัต และนันทะตกลงมาเจบ็ ปวด ไดค้ วามอายเปน็ อันมาก พระอรชุนขนึ้ บังคับควบขบั ไปไดส้ ักครู่ มันกบ็ ันดาลโทสะ หนั มาแวง้ กัดขาอรชนุ ผูแ้ กล้ว รว่ งผลุนลงมา ผูเ้ ลีย้ งม้า ต้องรีบวิ่งไปเอาโซ่พันถึงสามช้ัน ฝงู ชนร้องวา่ “ม้านบ้ี า้ นกั ขอพระสทิ ธตั ถะอยา่ จบั มา้ ผนี ้ี เลย” แตพ่ ระกมุ ารทรงบอกเขาวา่ ให้แก้สายโซ่ออกและให้สง่ ผมมา้ มา พระองค์คอ่ ย ๆ จบั ผมม้า กม้ ลงกระซิบปลอบเบา ๆ วางหตั ถข์ วาลงบนตาทั้งสอง แลว้ ผจงลูบหนา้ และลี ขา้ งดว้ ยความปรานี มา้ ซง่ึ คึกคะนองเหน่ือยหอบอยู่ ก็มอี าการสงบนง่ิ ก้มหัวลงดุจคาํ นับ และเม่อื พระองค์เสด็จขนึ้ หลัง กม็ ีอาการสงบนงิ่ ประดจุ มันมีความเคารพรักพระองค์ พระ สิทธัตถะใชพ้ ระชงฆ์แตะสองข้างม้าเบา ๆ แลว้ มันกว็ ่ิงไปอย่างเรยี บร้อย คนดูทัง้ หลายตา่ งรอ้ งว่า “พระสทิ ธัตถะทรงชนะแลว้ ใครอ่นื อย่าขวนขวายต่อสอู้ กี เลย” ดงั น้ียโสธรานงเยาวก์ ท็ รงลกุ จากทีป่ ระทบั หยบิ พวงโมกขรมาลา เสด็จดําเนนิ ผา่ น ปวงขตั ตยิ ะและปวงชน ไปถึงทซ่ี ึ่งพระโอรสเสดจ็ ลงจากพาชี กม้ องค์ลงอัญชลุ แี ลว้ ทรง สวมพวงมาลัยรอบพระศอพระโอรสหนุ่ม พระองค์ทรงโอบนางไวแ้ นบพระอรุ ะ แล้วก็จงู หัตถน์ างกลับมายังพระพลบั พลา ไมช่ า้ พธิ ีอภิเษกสมรสแห่งขตั ตยิ ะสองกม็ ีข้นึ อย่างมโหฬาร เพ่ือจะผูกเสน่หาไว้ ไม่ใหเ้ หือดหาย และทรงละท้ิงโลกียสุขไปได้ พระบดิ าจงึ ทรงสรา้ งมหาปราสาทรักขน้ึ ไว้ สาํ หรบั พระโอรสหนุ่มและพระสณุ ิสา รอบบรเิ วณปราสาทน้นั มีเขาโรหิณสี เี ขยี วสด รอบ เขาช่มุ ไปด้วยธารนาํ้ ใสสะอาดไหล ผ่านระริกเร่ือยจากต้นนํ้าหมิ าลัยไปสมู่ หาสมทุ ร มไี ม้ ดอกไม้ผลสะพร่งั พรอ้ ม และปราสาทนน้ั กอ็ ยไู่ กลจากฝูงชน ความสกปรกอันใด ไม่ให้
เกิดมีขึ้นเปน็ อนั ขาด ผรู้ ักษาปราสาทตอ้ งปลิดดอกไม้ทีจ่ ะโรยทง้ิ เสียก่อนทมี่ นั จะเห่ยี ว คาต้น ใบไม้ ซง่ึ เหลืองตายตอ้ งไมใ่ ห้พระโอรสได้เหน็ เลยเป็นอนั ขาด แมน้ างสนมกาํ นัล ผูข้ ับฟูอนบําเรอถวาย หากเกดิ ปวุ ยไขห้ รือเปน็ ลมโดยป๎จจุบนั นางนน้ั จะตอ้ งเนรเทศ ออกจากสถานแห่งบรมสุขนี้ บุคคลซึง่ แก่กายแล้วจะไมไ่ ด้ปรากฏ เรอื่ งความทกุ ขข์ อง โลกภายนอกทงั้ หลาย ใครอย่าไดน้ ํามากลา่ วเปน็ อนั ขาด แม้จะประดิษฐ์ขึน้ เป็นเพลงร้อง ก็มไิ ด้ พระบดิ าวางโทษผกู้ ล่าวถึงความทุกข์ทง้ั หลายไวว้ ่าเปน็ กบฏ พระโอรสจักไดเ้ หน็ ไดย้ นิ ได้ฟ๎ง แต่ความร่นื รมย์และความสดชืน่ เท่านนั้ เม่ือสรา้ งความสขุ ทัง้ มวลไวใ้ นมหาปราสาทอนั มโหฬารนน้ั แลว้ เพ่อื จะกักโอรสไว้ แต่ในท่คี ุมขังแหง่ ความรักและความสนกุ เพลดิ เพลิน พระองคท์ รงสร้างกาํ แพงใหญ่ ลอ้ มรอบพระปราสาท ณ ท่หี ่างไกล สร้างประตูใหญ่ซง่ึ ต้องใชค้ นเปิดถงึ ร้อยคน เสยี ง เปดิ ประตนู ้นั กงั วานก้องไปทุกหนทุกแห่ง แล้วทรงสร้างกําแพงและประตขู ้นึ อีกสองช้ัน รวมเปน็ สามด้วยกัน ลงสลกั มน่ั ลัน่ กญุ แจและมีคนเฝูาแขง็ แรง พระบดิ าส่งั แกย่ ามวา่ “อย่าใหใ้ ครเขา้ ออกเปน็ อนั ขาด แมแ้ ต่ลกู เรากม็ ิได้ หากละเมดิ คําสงั่ โทษเจ้าถึง ตาย บทท่ี ๓ เสยี งครวญของสายพิณ ภายในมหาปราสาทแหง่ ความรักของพระสทิ ธัตถะนั้น เต็มไปด้วยความสงบสุขและ ร่ืนรมย์ พระพทุ ธองคข์ องเราไม่เคยร้จู ักความทกุ ข์ เรื่องเดอื ดร้อนอันใดก็ไมเ่ คยไดย้ นิ เพราะพระบดิ าตรสั ส่งั ไวอ้ ย่างเข้มงวดหนกั หนาวา่ อย่าใหผ้ ใู้ ดเอย่ ถงึ สงิ่ ท่ีเกดิ ขึน้ นอก กําแพงปราสาทน้เี ลยเปน็ อนั ขาด แมก้ ระน้ัน ก็มหี ลายครง้ั ทพี่ ระบรมโอรสบรรทมหลับ แลว้ ทรงสบุ นิ ว่า ไดเ้ สดจ็ ออกไปนอกปราสาท ทอดพระเนตรเห็นโลกอนั กวา้ งใหญ่ บอ่ ยครั้งทพ่ี ระองค์ทรงสะด้งุ ผวาตื่น ออกโอษฐอ์ ุทานวา่ “โลกของฉัน โลก-ฉันได้เหน็ ได้ยินและไดร้ ู้ทง้ั หมด ฉันมาในโลกนแ้ี ลว้ ” และเม่อื น้ันพระนางยโสธราเทวี ซงึ่ ถวายการปรนนิบตั พิ ดั วีอยู่ กจ็ ะประหวัน่ จติ หวาด พระทยั และทูลถามว่า ประชวรเป็นอะไรไปหรือ พระสทิ ธตั ถะกจ็ ะทรงรสู้ กึ องค์และทรง ปลอบโยนพระชายาให้หายตระหนกอกส่ัน พระพักตรข์ องพระองคซ์ ีดสลด น้ําพระเนตร ไหลคลอพระนัยนา แต่ก็ทรงฝืนยม้ิ และรบั ส่งั ใหน้ างนาฏกาดดี พิณสซี อถวาย ผอู้ ่ืนได้ สดับเสียงซอน้ันก็ช่ืนจติ เหมอื นได้ยนิ เพยี งคนสรวลระเริงใจ แต่องค์พระโอรสนนั้ ทรงแวว่ วา่ เสยี งซอครวญสะอน้ื ไห้ราํ พันวา่ “เรานีค้ อื เสียงของลมพายุ ซึง่ พัดไปดว้ ยความโหยหา ความสงบแห่งดวงจิต แตก่ ็หา มเี วลาสงบลงได้ไม่ ชีวิตของมนษุ ย์ก็เช่นเดยี วกับลม ความสงบไม่มี จงึ มีแต่ความครวญ คร่าํ โหยหาและสะอืน้ ไห้ เรามาจากไหน ไปท่ใี ด เกิดจากแหล่งใดไม่เคยทราบ เรากเ็ หมอื นทา่ น เราเป็นเพยี ง ที่ว่าง ไม่มีอะไรยนื ยง เรามแี ต่ความทกุ ข์ไม่ร้จู กั หาย แตพ่ ระองคม์ แี ตค่ วามสขุ สาํ ราญ ไม่รู้จกั หมด แตค่ วามรกั นัน้ กจ็ ะหมดลงสกั วันหนง่ึ เพราะชีวติ ก็เหมอื นกันกบั สายลม ไม่มี ความยืนยงคงอยูต่ ลอดไป พระโอรสแหง่ มายา จงทราบเถิด ในโลกนเ้ี ตม็ ไปด้วยความทุกข์แสนสาหสั เราได้ ทอ่ งเที่ยวไปรอบโลก ได้เหน็ ความทกุ ข์หลายอย่างตา่ ง ๆ กนั ชีวิตนี้คือความว่างเปล่า เราจะไขว่คว้าอะไรมาไวเ้ ป็นของเราไดห้ รือ เราจะคว้าเมฆ มาไวใ้ นหตั ถ์และห้ามหว้ งน้ํามใิ ห้ไหลรนิ ไดห้ รอื โอ้ -พระโอรสทรงตื่นเถดิ อยา่ บรรทมหลบั อยู่เลย โลกกาํ ลงั เศร้านัก โลกกาํ ลงั จะจม โลกกําลงั รอคอยพระองคอ์ ยู่
ขอพระทรงตื่นขนึ้ และทรงช่วยมนุษย์ให้พน้ ทกุ ขเ์ ถิด จงละเสยี ซึ่งอํานาจจกั รพรรดิ ในประเทศ เราคอื ลมซึง่ พัดไปรอบโลก และเรามาครวญคราง ณ สายซอหิรญั นี้ กเ็ พือ่ หวงั จะให้ พระผู้หลบั อยแู่ ละไมร่ ้จู ัก ไดร้ ู้จักโลก เราหวงั จะให้พระรูว้ ่ากษณะน้พี ระองค์ไดเ้ ลน่ แต่เงา งามเท่าน้นั ” นบั แต่นัน้ มา พระหฤทัยของพระบรมโอรสกม็ อิ าจต้ังอยใู่ นความรืน่ เริงดงั แตก่ ่อนได้ เสยี งซอกก็ ลายเปน็ ลมคราง นางระบําและการฟูอนทั้งหลายลว้ นแต่ทาํ ให้เกิดความ เหนือ่ ยหน่าย พระองคก์ ลบั สนพระทยั ในนยิ ายต่าง ๆ ซ่ึงนางกํานัล นํามาเล่าถวาย ใน คราวหยดุ พกั จากการฟอู นราํ นางน้ันเลา่ ถึงส่ิงประหลาดต่าง ๆ เลา่ ถงึ บุคคลผูม้ ีผวิ ขาว เลา่ ถงึ ดวงตะวันอนั ตกจมลงในมหาสมุทรในยามสนธยา พระทรงฟ๎ง แล้วก็ซักถามไมไ่ ด้ หยดุ โลกของเรานนั้ ใหญก่ ว้างนักหรอื มนุษย์ผูอ้ ่ืนทเี่ หมือนเรานั้นยงั มอี ีกหรือ ถา้ เรารู้จัก เขา เราจะช่วยเขาไดไ้ หม พระอาทิตยน์ น้ั ข้นึ จากขอบฟาู ในเวลาเชา้ และไปตกลงใน มหาสมุทรยามอสั ดง เราจะเป็นเหมือนพระอาทิตย์ ไปอยูบ่ นทอ้ งฟาู ดูแลคนให้ท่ัวได้ หรอื พระสทิ ธัตถะรู้สึกพระองค์ว่าทรงกลัดกล้มุ พระทยั เหมอื นจะประชวรไข้อยู่ แลว้ ตรสั ถามเขาถึงเรื่องมา้ กายสิทธิ์อันเหาะไดร้ วดเร็วของเทวดาว่า มีจริงหรือ พระองค์ทรง ปรารถนามา้ นั้น เพ่อื จะได้ขบั ขี่ไปดูโลกอนั กว้างใหญ่ ทรงปรารถนาปกี ของนกอนิ ทรี อัน จะพาพระองคเ์ หาะทะยานลว่ิ ออกไปยนื บนยอดเขาหิมาลยั อนั สงู สุด แล้วมองดูวา่ ภายนอกพระทวารปราสาทน้นั มีอะไรอยู่บา้ ง มผี ้ลู ว่ งละเมดิ พระบรมราชโองการพระบิดาเป็นคนแรก กราบทลู ว่า ภายนอกนัน้ มี เรือกสวนไร่นาปุาร้าง และมีโบสถ์ มพี ระมหานครอันกวา้ งใหญข่ องพระเจ้าพมิ พสิ าร และ ในโลกน้ีมมี นุษยห์ ลายอยา่ งตา่ ง ๆ กัน หลายสบิ โกฏเิ หลือจะพรรณนาได้ พระโอรสรบั สงั่ ว่า “ดีแล้ว ไปบอกฉันนะผู้สารถี ให้เทยี มรถของเราไว้ พรุง่ น้ีจะ ออกไปดอู ะไรทีไ่ กล ๆ ออกไป” พระเจ้าสริ ิสทุ โธทนะไดท้ รงสดบั อาํ มาตยท์ ลู ความปรารถนาของพระโอรส กท็ รง วา้ วุน่ พระทัยยิง่ นัก พระองคท์ รงตระหนักดวี า่ ถงึ เวลาแล้วทพ่ี ระโอรสจะได้ทรงรู้จกั โลก แตอ่ ีกพระทัยหนึง่ กเ็ กรงพระสิทธัตถะจะไปทอดพระเนตร เหน็ ความสกปรกและสง่ิ โทมนสั พระทยั เขา้ จึงทรงสงั่ ให้ปาุ วประกาศราษฎรทุกคนว่า พระโอรสจะเสด็จเลียบพระ นคร ใหต้ กแตง่ บา้ นเรือนให้งามตา เอาบปุ ผานานาพรรณมาแตง่ ซุ้มประตู ส่ิงที่จะทําให้ หดหใู่ จให้เก็บซอ่ นเสยี จงสนิ้ ในวนั น้ัน คนแกช่ รารา่ งรา้ ย คนเจบ็ จวนตาย คนพกิ ารง่อย เปลยี้ เสยี ขา อย่าปรากฏใหเ้ หน็ แมก้ ระทัง่ การเผาศพซึ่งจําเป็นกข็ องดไวก้ ่อน ใหว้ ันน้ัน ส้ินไปแลว้ จงึ ทํา ดว้ ยเหตนุ ี้ เมอื่ พระโอรสเสดจ็ ทอดพระเนตรพระนคร กท็ รงเห็นแต่สงิ่ ลว้ นงามตา ชาวเมอื งหญงิ ชายเดก็ เลก็ แต่งกายอย่างดที สี่ ุก มาหมอบเฝูารายเรยี งถวายช่อดอกไม้ และคารวะ ตา่ งย้มิ สรวลสันตเ์ บิกบานประหนง่ึ วา่ โลกนี้หาเคยมคี าํ วา่ ทุกข์ไม่ พระสิทธตั ถะทรงพอพระทัยยงิ่ ตรสั ว่า “โลกของเราน้ี งามจรงิ หนอ คนทงั้ หลายก็ใจดี หนุ่มสาวเหลา่ น้กี ล็ ้วนขยนั ในการ งาน เขาชา่ งใจดีจรงิ หนอ ดูสฉิ ันยังไม่ทันทําอะไรให้เขาเลย เขากม็ าเอาใจใสใ่ นฉัน เดก็ ๆ เหล่าน้ีก็รกั ฉนั เขาคงจะรูว้ า่ ฉนั รกั เขาเปน็ แน่ เขารูไ้ ด้อย่างไรหนอ ดจี รงิ ประหลาดจริง บา้ นเมอื งของเรานชี้ า่ งมีแตค่ นย้ิมแย้มแจ่มใส ฉันนะ ขบั รถออกนอกประตูเมืองสิ โลกน้ี งามดชี วนให้ดู เราอยากเห็นท้ังหมด” พอรถทรงเจ้าชายหนุ่มผ่านไป ฝงู ชนโหร่ อ้ งดว้ ยความยินดี บ้างเอาดอกไม้พวงมาลา มาถวาย บา้ งก็เข้าไปลูบคลําวัว เอาขนมและถว่ั ไปใหว้ วั กนิ ต่างคนมคี วามยินดที ัว่ หนา้ ท่ไี ด้เหน็ เจ้านายของตน
ทา่ มกลางความสวยงามและความโหร่ อ้ งยินดนี ัน้ เอง ชายชรารา่ งเล็กคนหน่ึงคลาน งุม่ ง่ามออกมาจากกระตอ๊ บอันมีหลังคาโหว่และฝาทะลุของแก รา่ งกายชายนนั้ แสนจะ สกปรก เครอื่ งนงุ่ ห่มสซี ีดและเป่อื ยขาด แค่พนั กายก็เกอื บจะมมิ ิด หลงั งองมุ้ จวนจะพับ เปน็ สองอยูแ่ ลว้ เพราะตอ้ งแบกภาระมานาน เน้ือหนงั ตกกระ ถกู แดดเผาดาํ เกรยี มเหีย่ ว ย่นติดกระดูก จะหาเนอื้ แตส่ กั นอ้ ยก็แสนยาก ขอบตาแดงชํา้ ดว้ ยสนมิ นํ้าตาอนั เกาะเปน็ คราบมานานหนกั หนา ลูกตามัวเปน็ น้ําข้าว เมือ่ อ้าปากกไ็ มม่ ีฟน๎ ขากรรไกรสั่นอยู่งันงก ประดุจเปน็ ไขส้ ันนิบาต แกถอื ไม้เทา้ ตวั สนั่ รัวเดนิ หลังโคง้ โกง้ มาถงึ กระบวนคนซงึ่ ยืน อยู่ หอบหายใจฮัก ๆ พลางรอ้ งครางว่า “ได้โปรดสงสารคนยากจนเถิด หิวจะตายอยูแ่ ลว้ ” คนยนื อยขู่ า้ ง ๆ เห็นแกออกมาก็ตกใจ พากนั ฉุดแข้งขาลากแขนใหแ้ กออกไปเสยี พลางบอกว่า “นนั่ เจา้ นาย เห็นไหม กลับไป กลบั ไปรงั ของแก” พระโอรสหันมาทอดพระเนตรเห็นเข้ากต็ กพระทยั ทรงพิศวงย่งิ นัก ดว้ ยไม่เคยทรง เหน็ คนแกช่ ราอยา่ งนี้มาแตก่ ่อน ทรงถามนายสารถวี ่า “ฉันนะ นั้นตวั อะไรนะ่ ดู ๆ กค็ ล้ายคน แตท่ าํ ไมหลังงอโคง้ ตัวส่นั ลําบากดงั นั้น น่า สงสารเหลือเกนิ เขาไม่มอี าหารกนิ หรือ กระดูกจงึ ได้โปนออกมาดังน้นั ทําไมเขาจงึ ร้อง วา่ เขาจะตาย มันแปลวา่ อะไร ฉันนะ จงบอกให้เขาเข้ามาเถิด” นายฉันนะสารถีผู้มีใจซื่อ ทลู ถามความเปน็ จรงิ วา่ “พระทูลกระหม่อมเจ้าข้า น้คี อื คนเหมอื นกัน และเม่ือแปดสบิ ปีกอ่ น เขายงั แขง็ แรง ว่องไวสวยงามอยู่ นยั น์ยาก็ใสแจ๋วดี ดวงประทปี ซ่งึ เคยสุกใสในครั้งหนงึ่ นัน้ บัดน้ีน้ํามนั ได้หมดเสยี แล้ว ไส้กไ็ หมด้ ํา ดวงชีวิตของเขายงั เหลืออยู่นอ้ ยหน่งึ ไม่ชา้ ก็จะดับไปพระ เจ้าข้า” พระโอรสรับสง่ั ถามว่า “ฉันนะ คนเราตอ้ งเป็นดังน้ที กุ คนหรอื ” “เม่ือมีอายลุ ว่ งนานไปก็เป็นดังนีท้ ุกคนพระเจ้าขา้ ” “ฉนั ก็เหมอื นกันหรอื ฉันนะ ถา้ ยโสธราอยถู่ งึ แปดสบิ ปี กเ็ ปน็ ดงั นห้ี รือ ชาลนิ ี คงุ คา โคตมี หสั ดาน้อย และ ใคร ๆ ก็เป็นดงั น้หี รือ ฉนั นะ” “พระเจา้ ขา้ เชน่ นน้ั ” นายสารถีทลู สนองพระวาจา พระโอรสรับสั่งว่า “กลบั รถเถอะ ฉนั นะ พาฉนั ไปสง่ บา้ น เราได้เหน็ สิง่ ซ่ึงเราไม่เคย คิดเลยว่าจะมีอย”ู่ พระโพธสิ ตั ว์ มีพระพกั ตรอ์ ันซีดเผอื ด พระทยั เศร้าหมองและหดหู่ รีบเสดจ็ เขา้ วงั แลว้ น่งิ ขรึม ไม่แยม้ สรวล และไม่เสวยกระยาหาร ไมเ่ หลียวดเู หลา่ นางราํ ท่ขี บั ฟูอน บําเรอ ใหเ้ หน็ ท่สี ําราญหฤทยั ยโสธราเทวีเหน็ พระสวามีหมน่ หมอง และไม่เออ้ื นโอษฐ์ แตป่ ระการใด กห็ วาดหวั่นพระทยั นกั เกรงไปว่าพระองคไ์ ม่พอพระทัยในการปรนนบิ ัติ ของพระนาง จงึ กนั แสงไหแ้ ล้วทูลถามวา่ พระนางได้ทรงกระทําอนั ใดไมเ่ ปน็ ทพี่ อ พระทยั หรือ พระสทิ ธตั ถะปลอบชายาวา่ ทพ่ี ระองค์เศร้าเชน่ นี้ หาใช่เพราะนางไม่ หากเพราะทรง คาํ นงึ ถึงว่า ความสุขท้ังหลายน้ัน ท่แี ท้คอื ความทกุ ข์หนกั เพราะมนั ไมอ่ ยู่ยนื นาน เวลา ย่อมเข้ามาแทรกแซง ทาํ ลายสิ่งสวยงามใหห้ มดสนิ้ ไป ร่างกายจะเต็มไปดว้ ยเสน้ เอน็ ระเกะระกะ หลังงอโค้ง และเนอ้ื กเ็ หย่ี วยน่ เมอ่ื ตรองถึงส่ิงน้ี พระองค์กม็ อิ าจเปน็ สขุ อย่ไู ด้ ในคืนวันน้ัน พระบดิ าทรงสุบนิ ถึงสง่ิ นา่ หวาดหวั่น และซง่ึ เขา้ พระทยั ไม่ได้อยเู่ จด็ ประการ
อนั แรกซึง่ สุบินเหน็ คอื ธงใหญข่ องพระอนิ ทรถ์ กู ลมพัดขาดยับ และปลวิ ไปตกยังฝุน ละออง ทันใดนน้ั มเี งาเขา้ มาหยบิ เอาธงขาดออกไป อนั ที่สอง เห็นชา้ งสารใหญง่ าขาวสบิ เชอื ก เดินสะเทอื นเลอ่ื นลนั่ มาจากทิศทักษณิ พระโอรสประทบั มาบนคชสารใหญ่ตัวนาํ และมีฝงู ชนเดินตามมาเปน็ แถว อนั ทสี่ าม ทรงเหน็ ราชรถเพลาตก ลากดว้ ยม้าวิเศษสีต่ ัว และพระโอรสประทบั อยใู่ น รถนั้น อนั ท่สี ่ี มีจกั รทองหมุนวนมาแต่ไกล กํากงฝง๎ เพชรพลอยสกุ ใส มีอักษรจารึกในดุม กงของล้อ และเวลาท่ีหมนุ ไปกม็ องดูโชติช่วง ประดุจแสงเพลงิ เสียงดนตรีเสนาะกงั วาน ออกจากคาํ จารึกนั้น อันทห่ี ้า คือกลองใหญ่มหึมาวางอย่รู ะหวา่ งเมืองและขุนเขาต่าง ๆ พระโอรสถือต้มุ เหล็กใหญเ่ สดจ็ มาตกี ลอง เสียงสน่นั ก้องไปทวั่ ทกุ ทิศ อนั ท่ีหก เปน็ หอใหญส่ งู โดดข้ึนไปถึงฟาู พระสทิ ธัตถะยนื อยบู่ นหอ สองหตั ถ์โปรย แกว้ มณีนพรตั น์ลงมาดังสายฝนใหแ้ ก่ปวงชนท่วั โลก ซึง่ เบียดเสียดกันเขา้ มาเก็บแก้วมณี อันท่เี จด็ คอื เสยี งคนร้องโอดครวญแลว้ มคี นหกคนเดินร้องไห้ออกไป พระเจ้าสริ ิสทุ โธทนะทรงให้บรรดาโหราจารย์ทํานาย พระสบุ นิ นี้ แตห่ ามใี ครอาจ ทายถกู ไม่ พอดีมีผเู้ ฒา่ คนหนึ่ง แต่งกายอย่างฤๅษีมาจากไหนไม่ปรากฏ รับอาสา ทํานายพระสุบนิ ถวาย ผูช้ รากราบทลู พระราชาวา่ พระสบุ นิ น้ีดียง่ิ นกั สิ่งทเี่ ห็นท้งั เจ็ด อยา่ งนน้ั แหละคือความปีตใิ หญย่ ิง่ ๗ ประการ ดว้ ยกนั อันที่หน่ึง ธงพระอนิ ทร์ขาดยบั น้ันหมายความว่า ความเชอ่ื ถอื อย่างเกา่ จะหมดไป อนั ที่สอง ช้างสารสบิ เชอื กนัน้ หมายถึงทศพลญาณของพระบรมศาสดา อนั ที่สาม มา้ ๔ ซ่ึงเทยี มราชรถน้ันหมายถึงวา่ จตุราริยลัจซึง่ จะนาํ พระโอรสใหพ้ น้ ความเศร้าหมองและสงสยั ทั้งปวง อันท่สี ี่ ล้อหมุนคอื พระธรรมจักรอันลํา้ เลศิ และ อนั ทห่ี า้ กลองใหญซ่ ง่ึ พระโอรสทรงตี หมายความวา่ คาํ สอนของพระองค์จะสะท้อน ไปทว่ั ทง้ั โลกสาม อันท่ีหก รัตนะมคี า่ ลาํ้ ที่พระโอรสทรงโปรยปรายประทานปวงชนนนั้ คอื พระธรรมอนั ลํา้ เลศิ ซึ่งไม่เคยมมี าแต่กอ่ น และเป็นท่ีต้องประสงคข์ องมนุษยแ์ ละเทพยดาทั้งหลาย อันสดุ ท้าย หกคนทีร่ ้องไหน้ ั้น คืออาจารยข์ องพระโอรสผู้ย่ิงกว่าตนเอง ผู้ชรานน้ั ทํานายถวายแลว้ ก็กราบบังคมลาหายไป พระเจา้ สิรสิ ุทโธทนะใหอ้ าํ มาตย์ ไปตาม เพือ่ พระราชทานรางวลั แต่หาตามพบไม่ เขากลบั มากราบทลู ว่า เมอ่ื ไปถงึ ท่ี เทวาลยั ซึ่งฤๅษนี ัน้ อยู่ ไดพ้ บแต่นกเคา้ แมวบินจากแท่นบชู าเทา่ นนั้ เอง พระเจ้าสริ สิ ุทโธทนะไดท้ รงสดับคําทํานายก็ยิ่งทวคี วามหวาดหวั่นวา่ พระโอรสจะ เสดจ็ ออกทรงผนวชเพื่อแสวงหาธรรมเสยี จึงรับสงั่ ใหเ้ พ่ิมจาํ นวนทหารยามประตขู ึ้นอีก การดแู ล ใหเ้ ข้มงวดกวดขันย่ิงขึ้น แตอ่ นจิ จา พระองค์จะทรงหา้ มดวงตะวนั มิให้ส่องแสง ห้ามได้หรอื ? พระโอรสหน่มุ ขอพระราชทานอนุญาตเสด็จเลยี บพระนครอกี ครั้งหน่ึง และคราวนข้ี อ เสด็จอย่างเงยี บ ๆ ปลอมพระองค์อยา่ งชนสามัญออกไป และขออย่าใหร้ าษฎรรตู้ ัวกอ่ น เพราะทรงปรารถนาจะเหน็ ภาวะท่แี ท้จรงิ ของราษฎร ทูลพระบดิ าว่า
“กลบั มาคราวนี้ หมอ่ มฉนั จะไมท่ ูลขออีกต่อไป เพราะไดเ้ ห็นทุกอย่างสนิ้ แล้ว ถา้ ได้ เหน็ วา่ คนเป็นสขุ ท้งั หมดกจ็ ะสบายใจ แตถ่ า้ ได้เห็นคนเป็นทกุ ข์ หมอ่ มฉนั กค็ งได้ความ ฉลาดขึน้ บ้าง” พระบดิ าไม่อาจขดั พระทัยพระโอรส จาํ ต้องพระราชทานอนุญาต ดงั นน้ั ในวันรุ่งข้นึ โดยพระบรมราชโองการ ทหารยามตอ้ งเปิดประตูให้พ่อค้าคน หนึง่ และเสมียนออกไป พระสทิ ธัตถะกับนายฉนั นะนั่นเอง อันสภาพของชาวเมืองกบลิ พัสดุ์ ซึ่งพระสทิ ธัตถะทอดพระเนตรเห็นในคร้ังนี้ ก็ เป็นไปดงั ทม่ี ันเปน็ อยู่แตเ่ ดิม ปราศจากการตบแต่งเพ่ือลวงแตอ่ ยา่ งใด ตามถนนเซง็ แซ่ไปดว้ ยศัพทส์ ําเนียงตา่ ง ๆ พอ่ คา้ นัง่ ขดั สมาธิริมทาง ร้องขาย เครอ่ื งเทศและเสื้อผ้าอึงม่ี ผู้ซื้อกย็ นื ตอ่ ราคา เกยี่ งกนั ทะเลาะกันวุน่ วาย รถบดหนิ ว่ิงมา และเสียงรอ้ งตะโกนให้หลกี ทาง คนหามแคร่เดินร้องเพลงมาอยา่ งสบายใจ มองไปอกี ทางหนึง่ ก็เหน็ ร้านชาํ ขายของต่าง ๆ แมลงวันตอมอยู่วุ่น หญิงหนึง่ ทูนไหนํ้าเดนิ มา ท่าทางทะมัดทะแมง มือหน่งึ อุ้มเดก็ ออ่ นตาดาํ ๆ ช่างทอผ้ากช็ กั เสน้ ดา้ ย กระตกุ กระสวย ช่างทําเกราะเอาฆอ้ นตแี ผแ่ ผน่ เหลก็ ออกไปให้บาง บ้างก็เอาหอกดาบซกุ เข้าไปในเตา ไฟแดงฉาน ไอ รอ้ นพุ่งมาปะทะ สุนขั ว่ิงมาดอ้ ม ๆ มอง ๆ หาอาหาร ทหารเดินผา่ นไป เสียงดาบกระทบฝก๎ ดงั กริง่ ๆ พราหมณเ์ ดินหลีกเจา้ ไพร่ศทู รไปอยา่ งถอื ตน หมองนู ่งั เปาุ ปีเ่ สยี งแหบโหย งูตวั ใหญต่ าลกุ แผพ่ ังพานร่านา่ สะพรงึ กลัว เจ้าสาวแตง่ กายสีงาม น่ัง คลุมหน้ามาในรถววิ าห์ หญงิ หนง่ึ ถือเครือ่ งสกั การะเขา้ ไปในเทวาลยั เพ่อื ขอบุตรจาก เทพเจา้ พระโอรสทรงเพลินไปในการทอดพระเนตรส่ิงเหล่าน้ี ด้วยไม่เคยเห็นมาแตก่ ่อน ทนั ใดน้ันเอง พระองคไ์ ดส้ ดบั เสียงครางข้างถนนว่า “ช่วยดว้ ย ช่วยดว้ ย จะตายกอ่ น ถึงเรอื นอยูแ่ ล้ว” คนเจบ็ เปน็ กาฬโรคคนหนึง่ นอนจมฝุนอยู่ รา่ งกายเต็มไปด้วยผ่นื แดง เหงอื่ เม็ดใหญเ่ ต็มหน้าผาก บิดตัวเครยี ด ๆ ชักไปมา ปากบูดเบ้ยี ว นัยน์ตาเหลอื กถลน มองดูน่าเวทนา เขาพยายามลุกข้นึ ยนื แตก่ ็โงนเงนล้มควา่ํ ลงไปอีก ปากร้อง โอย โอย ดว้ ยความเจ็บปวด พระบรมโอรสทรงผละจากนายสารถี วงิ่ เข้าไปประคองไวท้ นั ที พระหตั ถล์ บู ร่างกาย คนเจ็บเบา ๆ ด้วยความเวทนา ทรดุ องค์ลงน่ัง แลว้ ยกศีรษะคนเจบ็ วางบนพระชงฆ์ ปลอบโยนแล้วตรัสถามด้วยปรานีว่า “ภราดร เจ้าเปน็ อะไรไปหรือ ?” เมอื่ ไมไ่ ดค้ ําตอบ ก็ตรสั ถามมหาดเล็กวา่ “ฉันนะ คนผู้น่าสงสารนี้เป็นอะไร ?” นายฉันนะทูลสนองว่า “พระยุพราชพระจ้าขา้ คนนี้ เขาเจ็บเปน็ กาฬโรค แตก่ อ่ นเขา ก็แข็งแรงอยู่ เลอื ดบรสิ ทุ ธิ์ อยา่ งคนท้งั หลาย แต่บดั น้โี รครา้ ยกินเขาแล้ว หัวใจเขาเพลยี ไป เต้นชา้ และไม่เปน็ จงั หวะ เส้นประสาทของเขากต็ ึงเครยี ด เจยี นจะขาด ทอดพระเนตรดเู ขาสิ พระเจ้าข้า เขาชักใหญ่ ตาแดงดงั ไฟ หายใจแรง ประเดี๋ยวเถดิ ประเดยี๋ วกาฬโรคทาํ ลายเขาหมด เขาต้องตายอยา่ งทุเรศ ทรงวางเขาเสียเถิด พระองค์ ไมด่ ดี อก โรคอาจติดตอ่ ถงึ พระองคไ์ ด”้ พระยพุ ราชหนมุ่ หาอาจทอดท้งิ เขาไดไ้ ม่ ทรงลูบคลําเขาต่อไป แลว้ รับสัง่ ว่า “ฉนั นะ คนอื่นก็เป็นอย่างนไี้ ดเ้ หมือนกนั หรือ ?” “พทุ โธ่ ไดส้ พิ ระเจ้าข้า โรครา้ ยมหี ลายอยา่ ง กลาก เกลื้อน เหนบ็ ชา อัมพาต สนั นิบาต อหวิ าต์ พยาธิ และ อืน่ ๆ อกี สตั ว์ทัง้ หลายต้องเจ็บตามยถากรรมของตน” “โรคมันมาสู่คนอยา่ งไร ฉันนะ ? มันไม่มตี ัวไมใ่ ช่ หรือ ?” มันมาเหมอื นงูพษิ พระเจา้ ขา้ มาเงยี บ ๆ มาเร็ว เหมือนอสุนีบาต บางคนมนั กท็ าํ ลาย บางคนมันกเ็ วน้ ”
“ถา้ อยา่ งนนั้ มนุษยก์ อ็ ยดู่ ้วยความกลวั เวลาจะนอนใจเขาส่นั ระริก หลับไมส่ บายเลย เพราะวา่ เขากลวั ความเจ็บไข้ เจบ็ แล้วก็พกิ าร และแกอ่ ยา่ งน้ันหรือ ฉนั นะ ?” “พระเจ้าข้า ดงั นั้น” เม่ือเจบ็ นาน ๆ และเม่อื ชราลงมาก ๆ แลว้ เขาเป็นอย่างไรในที่สุด” “ตาย พระเจา้ ขา้ คนเราตอ้ งตายทุกคน นนั่ อย่างไร เล่าคนตาย ทอดพระเนตรสิพระ เจ้าข้า” บคุ คลหมู่หนึ่งเดนิ ครํ่าครวญสะอ้ืนไห้มาสรู่ ิมแมน่ า้ํ คนหนึง่ ถืออา่ งดินใสถ่ า่ นสุกแดง แกวง่ นําหน้ามา ถัดไปกญ็ าติ โกนผมแสดงความทกุ ข์ ผ้าพันศรี ษะไม่มี ปากเขาร้อง “รา มะ-โอ รามะจุ่งโปรด” ถดั จากน้นั ก็มคี นหามแคร่ไม้ ไผ่ ภายในมผี ี ซากศพแข็งผอมแหง้ ขาเหยียดตงึ สีข้างกลวง ซีโ่ ครงขนึ้ เปน็ อัน ๆ ยิงฟ๎นแหง กายน้นั ชโลมดว้ ยขมน้ิ และ เหลือง เขานําไปยงั จติ กาธานริมลําธาร แล้วกจ็ ดุ ไฟขึน้ เผา หนงั แหง้ เกราะ ไหม้เร็ว กระดกู แตก ควันข้นึ โขมง ไฟกระหมึ่ คราง แล้วคอ่ ย ๆ มอดลง รา่ งกายหายไปแล้ว เหลอื แต่กระดูกชิ้นเลก็ นอ้ ยเป็นสขี าวอย่ใู นถา่ นสีแดง-อนิจจา เจา้ ชายหนุม่ ตรัสวา่ “นีห่ รือทสี่ ุดของคนทั้งหลาย” “พระเจา้ ข้า นแ่ี หละคนเราซ่ึงเดนิ ไปมาน้ี พอตายแล้ว ซากเขากไ็ รค้ า่ เขาไม่มี ความรู้สึก ไม่รจู้ กั เจบ็ จักทุกข์ ไม่ ร้จู ักสนกุ สบาย อคั คเี ผาไหมเ้ ขากไ็ ม่รู้ เขาไมไ่ ด้ยิน ไม่ได้เห็นตอ่ ไป คนร้องไห้เขากไ็ ม่รู้ สัตว์โลกทุกตน ไมอ่ ยยู่ ่ังยนื ได้ เขาต้องเป็นดงั น้ี เขาต้องตายด้วยอาการต่าง ๆ กัน คนผู้ใหญ่ ผู้นอ้ ย แม้กระทง่ั สตั ว์ก็เหมือนกันหมด น่ี แหละคอื สภาพของสตั วโ์ ลก การหมนุ เวียนของสัตวโ์ ลกเป็นดงั นี้ พระเจ้าขา้ ” พระสิทธตั ถะไดส้ ดบั กน็ า้ํ พระเนตรไหล สะอ้นื ไหด้ ว้ ยความสงสารเหลา่ มนษุ ย์ ทรง แหงนดูอากาศ และกลับทอดพระเนตรดปู ฐพี แตท่ รงทําอยดู่ ังนก้ี ็หลายครงั้ พระทัยครุ่น คํานึงถึงแตค่ วามทกุ ขข์ องโลก “โอ้ โลกน้หี นอเศรา้ นกั เพอื่ นมนษุ ยข์ องเราจักต้องพบโรคาพยาธิ ต้องแก่ ตอ้ งตาย ความสุข ไม่อยยู่ ืนนาน แม้ความรักกต็ ้องจบส้ินด้วยมัจจภุ ัยเปน็ ทีส่ ดุ และเมื่อตายแลว้ ก็ เกิดใหม่ รับทกุ ขต์ ่อไปไมร่ จู้ ักจบส้นิ ที่เราหลงระเรงิ อยนู่ ้ี กเ็ ปน็ ความสุขปลอมทั้งสิน้ ความสุขของเราเองก็เชน่ น้นั แตก่ อ่ นน้เี ราไมร่ เู้ ลย ไม่เคยเหน็ ไมเ่ คยได้ยินสง่ิ เหลา่ นี้ ชวี ติ สุขของเราจะเปรียบกไ็ ม่ผดิ กระแสนา้ํ ไมไ่ หลผ่านเฉพาะสวนบุปผชาตแิ ละบ้านเรอื น เทา่ น้นั มนั จะตอ้ งผา่ นโขดหินโคลนตม และก็ไปสุดลงทหี่ ว้ งมหรรณพ มา่ นที่เคยบังตา อยูก่ ็จะเผยให้เห็นความทกุ ข์ เราเองก็ไมผ่ ิดอะไรกบั เขาเหล่านัน้ ทอี่ อ้ นวอนใหพ้ ระเจา้ ชว่ ยทกุ ข์ แต่กห็ าไดร้ บั ความช่วยไม่ บางทเี ทพเจา้ จะทรงต้องการความช่วยเหลือด้วย กระมงั เพราะเม่อื คนร้องไห้นั้น ทา้ วเธอไม่ทรงชว่ ยเหลอื หรอื วา่ ท้าวเธอจะทรงมีอาํ นาจ นอ้ ย พระพรหมทําไมจงึ สร้างโลกใหล้ ําบากดงั น้ี จําเปน็ เหลือเกนิ ทจี่ ะต้องมผี ู้ชว่ ยเหลอื คนทุกขย์ ากทง้ั หลาย ถา้ ฉันชว่ ยได้ ฉนั จะไม่ให้ใครต้องรอ้ ง ไหเ้ ลย” “ฉันนะ พาเรากลบั บ้านเถดิ เราไดเ้ หน็ หมดแล้ว เอน็ ดูชว่ ยพาเรากลบั บา้ นด้วย” พระราชบดิ าไดส้ ดบั ความไม่สบายพระทัยของพระโอรส ก็เรง่ สั่งให้นายยามกวดขัน เร่อื งคนเข้าออกกวา่ แตก่ อ่ น จะลดหย่อนได้กเ็ มื่อครบเจด็ วันหลงั จากทรงสบุ ินแล้ว บทท่ี ๔ จันทร์เพ็ญในจิตรมาส ในที่สุด วันกาํ หนดท่ีพระผมู้ ีพระภาคเจ้าจะทรงสละโลกียสุขและอาํ นาจอันใหญ่ หลวง ไปบาํ เพญ็ ญาณเพือ่ จะหาทางดับทุกข์ และแสวงสขุ อันไมม่ ที ี่สิน้ สดุ ก็มาถึง วนั น้นั เปน็ วันข้นึ สบิ หา้ คาํ่ เดือนเมษายน พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวงสวา่ ง ส่องแสงอันสุก สกาวเปน็ นวลใยลงจบั ตน้ มะมว่ ง ซ่งึ มีลกู เปน็ พวงสุกหอม ดอกอโศกเริ่มบานส่งกล่นิ
หอมหวน ไปทั่วท้งั พระนคร ลมพดั เฉ่ือย ๆ ลงมาจากยอดเขาหมิ าลัย แสงนวลใยของ ดวงจนั ทร์กระจา่ งจับโลกดูแจ่มใส สรรพสาํ เนียงใด ๆ ก็เงยี บสงัด แวว่ แตเ่ สยี งจ้งิ หรีด และเรไรกรีดร้องระงมไปทว่ั สนามหญ้า นานๆ จงึ จะไดย้ นิ เสยี งทหารยามตีกลอง และ รอ้ งขานเวลาเปลยี่ นเวร มนั เป็นเวลาอันเงยี บสงัด และเปน็ สขุ แต่ในคืนวนั น้ันเอง พระนางยโสธราผู้ยอดรกั ของพระบรมโอรส หาอาจบรรทมหลบั สนทิ ไม่ พระเทวหี วาดผวา สะดงุ้ ตื่นทงั้ องค์ แล้วกันแสงไห้ จับพระหตั ถพ์ ระสวามีมาจูบ ถงึ สามครัง้ ด้วยพระอาการหวนละหอ้ ย พระสิทธตั ถะตื่นบรรทมขน้ึ ถามวา่ กันแสงดว้ ย เรือ่ งอะไรกัน พระนางเลา่ ถวายว่า พอหลับเนตรลงก็ทรงเหน็ สามส่ิงนา่ สะพรงึ กลวั เมอื่ หลบั เนตรคร้ังแรก ทรงเหน็ โคเผอื กผู้ขาวผ่องตวั หน่งึ กายกํายําสมเป็นจา่ ฝูง ที่ หน้าโคน้นั มีแกว้ มณเี มด็ ใหญ่ซงึ่ ตกลงมาจากฟากฟาู มาติดอยู่ รัศมีดวงมณนี ้นั โชตชิ ่วง ชัชวาลยง่ิ นกั ววั ผเู้ ดนิ อยา่ งแชม่ ชา้ ออกพระทวารไป หามใี ครขดั ขวางไวไ้ ม่ ทัง้ ๆ ท่มี ี เสียงร้องลงมาจากเบอ้ื งบนว่า “ถ้าปลอ่ ยโคออกไปแลว้ ความรุ่งเรอื งพระนครจะหมดไป ดว้ ย” พระนางทรงรอ้ งสง่ั ให้คนปดิ พระทวารไว้ม่นั และพระองค์ก็ทรงกอดคอโคน้ันไว้ แต่โคพยศแผดเสยี งรอ้ งกอ้ งกังวานแล้วเผน่ ทะยานออกนอกประตไู ป พระนางก็ทรง สะดงุ้ ผวาข้นึ ครนั้ ระงบั หลบั เนตรลงใหม่ กท็ รงสบุ ินเห็นเทพเจ้าส่ีองค์เสด็จลงมาจากฟากฟาู มาสู่ พระนครนี้ ในขณะเดยี วกนั ธงชัยหน้ารถทรงอนิ ทราธริ าชก็หักสะบนั้ แลว้ มีธงใหมข่ นึ้ ปลิวสะบัดแทน ธงนนั้ มรี ัศมีสีแดงสดใส มอี ักษรเงินป๎กไว้ เมื่อใครอา่ นเขา้ ก็มีความยนิ ดี ยง่ิ ลมพัดมาเฉื่อย ๆ คลธ่ี งออกให้คนเหน็ ตัวหนังสอื แลว้ บนั ดาลมีดอกไม้สีต่าง ๆ โปรย ปราย ลงมาดังสายฝน อนั พรรณบุปผาชนดิ น้ีในพระอุทยานหามีไม่ พระสวามตี รสั วา่ “ฝน๎ อย่างนกี้ ด็ แี ล้วนี่” แต่พระนางทรงเล่าคือไปว่า “ยงั มอี ีกเพคะ ในตอนทา้ ยของฝ๎น หม่อมฉันได้ยินเสยี ง รอ้ งดงั สน่ันหวน่ั ไหววา่ „จวนถงึ เวลาแลว้ เวลากาํ หนดใกลเ้ ขา้ มาแล้ว‟ หมอ่ มฉนั เลย สะดุง้ ตกใจต่ืนขึน้ ” พอหลับไปอีกเป็นครัง้ ท่สี าม กท็ รงสบุ นิ วา่ พระนางหวาดผวาลกุ ข้ึนในตอนดึก ลืม พระเนตรดทู ้งั ๆ ไมเ่ หน็ พระสวามี พบแต่เขนยเปล่ากับฉลองพระองคท์ ง้ิ ไว้ พระนางทรง หวัน่ หวาดยิ่งนกั และพอขยับองคล์ ุกขน้ึ น่ัง สายสะอง้ิ ซ่งึ พระสวามีประทานให้กก็ ลบั เป็น งูพษิ กาํ ไลขอ้ บาทหลน่ กระจาย สายสังวาลขาดหลุด พทุ ธชาดซงึ่ แซมเกศาอยกู่ เ็ หย่ี ว แห้ง พระวิสูตรขาดหล่น แล้วกไ็ ดส้ ดับเสยี งโคเผอื กร้องมาแต่ไกล และอีกครัง้ หนึง่ มี เสยี งรอ้ งวา่ “ถึงเวลากําหนดแล้ว” เลา่ จบแล้วพระนางก็กนั แสงไห้ ทูลถามวา่ สบุ นิ น้ีหมายความวา่ พระนางจะ สิ้นพระชนม์ หรือว่าจะทรงประสบความร้ายแรงยง่ิ ไปกว่ามจั จภุ ยั คอื การถกู พระภสั ดา ทอดทิ้ง หรอื ว่าพระสวามีจะถูกทําร้ายลกั พาไปเสยี พระสิทธตั ถะทรงพศิ ดูพระพกั ตรเ์ ทวี พระเนตรเปี่ยมไปด้วยความกรณุ า ตรัสปลอบ พระนางว่า พระองค์ทรงรกั นางอยเู่ สมอ แม้พระสบุ ินน้นั เป็นนมิ ิตบอกถงึ มรรคอนั จะ นาํ ไปสคู่ วามสุขและความปลอดภัยของโลก ก็ขอให้ทรงแนพ่ ระทัยว่า พระองค์ทรงรกั เธออยูเ่ สมอ พระนางก็ไดท้ รงทราบแล้ววา่ พระองค์ทรงวติ กถงึ ความทกุ ข์ของชาวโลก มานานแล้ว และใคร่จะทรงหาหนทางดบั ทุกขใ์ หเ้ ขาเหล่าน้ี พระทัยของพระองคห์ าได้ แปรไปรกั นางอ่นื ไม่ หากมเี หตใุ ดเกดิ ข้นึ ขอให้นึกถงึ โคผแู้ ละธงอนั สดใสน้นั เถิด อันใด ทพ่ี ระองค์ทรงเสาะแสวงหาเพ่ือความสขุ ของชาวโลกท้ังหลาย กจ็ ะต้องนาํ สุข อนั สูงสดุ มาสพู่ ระนางด้วยเหมอื นกนั “เธอก็ทราบอย่แู ล้วว่า ใจของพี่เปน็ อยา่ งไร พร่ี กั เธอมากทสี่ ดุ เพราะว่าใจของพ่นี น้ั รกั สตั วม์ ชี ีวติ ทั้งหมดทีเดียว ขอให้หลับเสยี เถิดและไม่ต้อง สะดงุ้ หวาดผวา พจ่ี ะเฝูาดูแล อนั ตรายให้”
ดงั น้นั พระนางยโสธราก็บรรทมหลบั ไปอยา่ งว่างา่ ย หลบั ไปทัง้ ๆ ที่นา้ํ พระเนตรยงั อาบพกั ตรแ์ ละพระทยั หวาดผวา เพราะทรงสดบั เสยี งว่า “ถงึ เวลาแล้ว ถึงเวลาแล้ว” มิได้ ขาดเลย ในยามน้นั รชั นีเตม็ ดวงกําลังขึ้นสงู ท้องฟาู ปราศจากเมฆหมอก รัศมีสีเงินยวง กระจ่างจับโลก ดปู ระดจุ กลางวัน และจนั ทรเ์ พญ็ ในคืนน้นั กเ็ สมือนจะกลา่ วถ้อยทลู วา่ “ราตรีนี้ เหมาะท่ีสดุ แลว้ พระเจา้ ข้า พระองค์เสดจ็ มาถงึ ทางแยกแล้ว จะทรงเลอื ก เอาทางของจกั รพรรดผิ ูย้ ิง่ ใหญ่ เคล่ือนลอ้ รถไปบน ความสมบูรณ์พูนสุข หรือจะทรง เลอื กทางทุรกนั ดาร เสดจ็ โดย องคเ์ ดยี วไปโปรดสตั ว์ทั้งหลายในโลก” และในเวลาเดยี วกนั นน้ั พระมหาโพธสิ ตั วท์ รงสดับเสยี งทลู จากทม่ี ืดวา่ “ถงึ เวลา แลว้ - ถงึ เวลาแลว้ ” เมือ่ ทรงได้ยินเสยี งนพี้ ระบรมโอรสกท็ รงตะลึง พระเนตรจับนงิ่ อย่ทู ี่ ดวงรชั นีอันแจ่มใสและบริสทุ ธ์ิ จริงหรอื ? เวลาได้มาถงึ แลว้ ท่ยี โสธราสุบนิ ไปวา่ ถงึ เวลาที่เราจะจากโลกนีไ้ ปแสวง ธรรมมาถึงแลว้ นั้นจริงหรือ เธอไดร้ ลู้ ว่ งหน้าและอ่านชะตาของเราออก ทีจ่ ริงกถ็ ูกของ เธอแลว้ เราเกดิ มาเพ่ือความสุขของผอู้ นื่ เราไม่เคยต้องการชักดาบ และให้ล้อรถของเรา หมุนไปในทะเลเลือดและบนซากศพเลย เราตอ้ งการเดินไปตามทาง ซงึ่ สะอาดผอ่ งแผว้ ปราศจากเวร แม้เราจะนอนบนพ้นื ดนิ กินอาหารอันเขาบริจาคให้ และแต่งกายอย่างคน โซกต็ าม เราจะประพฤตติ นอยา่ งนั้น เพราะเราไม่อาจทนดม่ื ดํา่ ความสขุ อยูใ่ นวงั แลว้ ท้งิ ผูอ้ ่นื ใหท้ รมานอยู่ได้ อนจิ จา เศรา้ นัก โลกเรานเี้ ศร้านัก ใครเลา่ จะช่วยโลกได้ พระเจ้าหรอื พระอนิ ทร์ พระพรหม หรอื ? เรายังไมเ่ ห็นว่าพระองคท์ รงช่วยใครเลย กองไฟท่ี เขาก่อขนึ้ บชู า และ ออ้ นวอนขอความชว่ ยเหลือนัน้ มีประโยชน์อันใด ควันไฟลอยขึ้นสูง แลว้ ก็หายไปใน ทอ้ งฟูา มนษุ ยผ์ ้บู นบวงสรวงยงั จะไดพ้ ้นทกุ ข์ พน้ ความเจบ็ ไข้ และพน้ ความตายหรือ อนจิ จา ใครเลา่ จะพน้ ความเกดิ ความตาย ความว่ายวนอยู่ในวฏั สงสารได้ แมพ้ ระ พรหมเอง พระคมั ภีร์กย็ งั บอกวา่ เวยี นเกดิ เวยี นตายเหมอื นกัน ไม่ผิดอะไรกับมนษุ ย์ และ ไมผ่ ิดอะไรกบั สัตวส์ ีเ่ ท้าสองเท้าและเลอื้ ยคลาน โลกเราน้ีมืดนัก เรายังเตม็ ไปดว้ ยความ ไมร่ ู้ ความหวาดกลวั ความมัวเมาขมขื่น เราท้ังหลายตกอยู่ในหว้ งทกุ ขเ์ ดียวกนั ทง้ั สิ้น เราไมค่ วรจะน่ิงอยใู่ นความเพลินเพลิน ในเม่ือคนอ่ืน เขาต้องทกุ ข์ และอีกประการ หนงึ่ เราเองกห็ าอาจหลีกพน้ โรคาพยาธิ ความแกแ่ ละความตายไดไ้ ม่ เราจะสละเสียซ่งึ ความสขุ นี้ ไปแสวงหาความจรงิ คน้ ความลับ ซ่งึ แฝงอย่ใู นทุกสิง่ ทกุ อย่าง แล้วนําความรู้ นน้ั มาชว่ ยชาวโลกทัง้ หลายให้พ้นทกุ ขด์ กี ว่า อันสมบตั ิในโลกนห้ี ายง่ั ยนื และหาอาจทํา เราใหเ้ ป็นสุขได้ตลอดไปไม่ เมื่อทรงราํ พงึ ถึงความทกุ ข์ และความเวยี นว่ายอยใู่ นหว้ งทกุ ข์ของมนษุ ยท์ ้งั หลาย แลว้ พระผทู้ รงสมภพมาเพ่ือช่วยโลกใหพ้ ้นจากความมดื มน ก็เปย่ี มไปดว้ ยความรักและ ความสงสารในชาวโลก พระหทัยไหวหวน่ั ประหนง่ึ วา่ ความทกุ ข์ทัง้ หลายนนั้ เป็นของ พระองคเ์ อง ตัดสินพระทัยได้ทนั ทีวา่ จะยอมเสียสละอํานาจและราชสมบตั มิ ไหศวรรย์ ยอมสละแม้กระทง่ั พระบิดา และพระชายาผู้เป็นทร่ี ักยิง่ พระหฤทัย “ยโสธราเอ๋ย พข่ี อจากไปกอ่ น ลูกน้อยของเราก็เช่นกัน ทูลกระหม่อมพระบดิ าของ หม่อมฉนั ยโสธราผูเ้ ป็นทร่ี กั ลูกน้อยและชาวเมอื งทั้งปวง ขอให้ทนความทกุ ขร์ อไปสัก หน่อยหนง่ึ ก่อน ขอลาออกไปเรยี นพระธรรม นําแสงสว่างกลบั มาให้ ตราบใดท่ียงั ไมพ่ บ หนทางอันดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงแลว้ จะไม่ขอกลบั มาเป็นอนั ขาด” แล้วพระสวามีหนุ่มกโ็ นม้ พระองคล์ งจมุ พติ ยโสธราแต่เบาๆ ด้วยเกรงวา่ พระนางจะ ทรงตื่นบรรทมขน้ึ เขย้ือนพระองค์ออกมาหา่ ง แล้วเพง่ พนิ จิ ดูพระชายายอดหทัยดว้ ย ความรักและอาลยั อย่างสุดซงึ้ ถ้อยคาํ ที่ร่าํ ไห้น้ันครวญอย่แู ตภ่ ายใน เพราะพระองคม์ ิ อาจเอย่ โอษฐ์ออกวาจาใหไ้ ปกระทบโสตพระนางได้ ทรงเกรงไปวา่ พระวาจาอนั เบา
ทสี่ ดุ นัน้ จะไปสัมผสั ประสาทอนั หวาดไหวเป็นทสี่ ดุ แล้ว และมันจะทาํ ให้พระนางทรงต่นื ขนึ้ ขัดขวางการเสด็จออกทรงผนวชของพระองค์เสีย ความรกั ความอาลัยนั้นสดุ กลั้นได้ พระองค์ทรงปลอ่ ยให้น้ําพระเนตรไหลลงอาบพระพักตรไ์ ม่ขาดสาย ค่อย ๆ ขยบั พระองค์ ลงจากพระแท่นบรรทม เสด็จเวียนประทกั ษิณสามรอบพระชายา เพอื่ กนั ภัยมใิ หม้ าแผ้ว พานผูเ้ ป็นทร่ี กั ซึง่ อยหู่ ลงั แล้วทรงยกพระกรกมุ พระอรุ ะ กันมใิ ห้ดวงหทัยอนั เต้นน้ันส่ง เสยี งออกมาให้กระทบโสตพระนาง จรดปลายพระบาทดําเนนิ ไปทางพระทวารโดยเงียบ ยังไมท่ ันออกไปกท็ รงชะงักด้วยหวนอาลยั พระนาง แตท่ รงหวนไปหวนมาอยูด่ งั นน้ั ถึง สามคร้งั ในทีส่ ดุ ก็ทรงตัดสินพระทยั ได้อย่างเด็ดขาด ทรงหยบิ พระภษู าขึ้นคลุมพระเศยี ร แล้วเปิดพระวสิ ตู รออกไปทนั ที โดยไมเ่ หลยี วมองมาเบื้องพระปฤษฎางค์อกี เลย เบ้อื งหน้าพระวสิ ูตรน้ัน เหลา่ นางสนมกาํ นัลนอนหลับอยดู่ ารดาษ มองดูประดจุ ดอกบัวอันหบุ กลีบในเวลากลางคนื นางโคตมีและคงุ คาฝาแฝดท้ังคู่ผู้นัยนต์ าดาํ สนทิ กําลังหลบั เนตรพร้มิ อยู่เคยี งกัน พระมหาโพธิสัตวเ์ สด็จผ่าน ทอดพระเนตรเหน็ กต็ รสั ว่า “ลากอ่ นเธอผเู้ ปน็ ท่ีรกั เราจะตอ้ งขอลาไปก่อน เพราะถา้ เราไมไ่ ป เธอจะตอ้ งตาย สูญหายไปตามธรรมดาโลก แตว่ ่าเมื่อตายไปแล้วไปไหนไม่มใี ครรู้ เหมือนกุหลาบซึง่ เหย่ี วแหง้ ลงแลว้ สีอันสวยงามของมันหายไปไหน ? เมื่อเทียนดบั เปลวเพลงิ หายไป ไหน ? ถ้าหากเราขนื อยู่กบั พวกเธอดว้ ยความสนกุ สบายต่อไป เราจะไมม่ ีวันรเู้ รือ่ งนน้ั เลย เป็นอันขาด แม้วา่ จะสขุ สบาย เรากอ็ ยู่ไม่ได้เป็นอนั ขาด หัวใจเราระทมไปดว้ ยทุกข์ ใน เมอื่ เหน็ คนอนื่ ต้องเป็นเหยื่อของความทุกข์ ลากอ่ น เราขอลาเพือ่ นรกั ทงั้ หลายไปนาํ แสงสว่างนน้ั กลบั มา” แลว้ พระผู้ยอมตัดขาดจากความสุขกจ็ รดปลายพระบาท ค่อย ๆ กา้ วไปยังทีซ่ ึ่งไมม่ ี แสงโคม กษณะนัน้ รชั นเี ปลง่ แสงจ้ากระจ่างงามน่ารกั ยิง่ ขึ้นกว่าเดมิ ดจุ ทอดสายตาลงมา ดูพระองค์ฉะนัน้ ลมโชยมาออ่ น ๆ ชายฉลองพระองคส์ ะบัดพลิ้ว ดอกไม้ในสวนกแ็ ยม้ กลีบออกดังยามร่งุ อรณุ สีเหลอื ง แดง ชมพู มว่ งตระการตา พระพายพัดมาในคราวใด กล่นิ หอมหวนกต็ ลบอบอวลไปท้ังส้ินในคราวน้นั แผน่ ดนิ ไหวสะเทอื นเล่ือนลั่น ประหนง่ึ ว่า อรุ ะพระธรณีเต้นโดดด้วยความปรีดาเปน็ ทีย่ ิ่ง ในการเสดจ็ ออกทรงผนวช เทพเจ้าทกุ ห้องฟูาแซ่ซ้องสาธกุ าร บรรเลงดรุ ยิ างค์ดนตรวี ังเวงหวานไปท่วั ทิศานทุ ศิ พระโอรสทรงปลุกมหาดเล็กว่า “ฉันนะลุกข้ึนเถอะ ชว่ ยผกู ม้าให้เราที” “อะไรกนั พระเจ้าขา้ จะทรงอาชาในเวลาดึกด่ืนอย่างนีห้ รอื พระเจ้าข้า” นายฉันนะ ผลดุ ลกุ ขึน้ และออกอุทานด้วยความประหลาดใจ “จุย๊ ์ ค่อย ๆ หนอ่ ย ฉนั นะ ถึงเวลาแล้วท่ีเราจะหนกี รงทองออกไปแสวงหาความจริง และหนทางดับความทกุ ข์ท้ังหมดให้ส้ินไป เพือ่ จะได้กลบั มาช่วยคนทุกคน” “อนจิ จา นี่ก็เปน็ จรงิ ดังพระดาบสทาํ นายแล้วพระเจา้ ข้า การเสด็จทุรกันดารในปุา ทรมานพระกายนัน้ เป็นความดอี ย่หู รือ ?” “ฉนั นะ เราเกิดมาเพื่อประโยชนอ์ นั นี้ให้แก่ผู้อน่ื เราไมใ่ ชจ่ กั รพรรดิ รฐั สมี าของเรา นนั้ กว้างขวางกวา่ ดนิ แดน ซึง่ เตม็ ไปด้วยมรณภัยมากนกั ฉนั นะ ขอมา้ ใหเ้ ราเถิด” “พระเจา้ ข้า แล้วพระชนกเลา่ ? พระองค์ก็จะทรงโศกเศร้า หทัยสลาย เพราะ ความสขุ ของพระบดิ าน้ันอยทู่ ่ีการไดเ้ ห็นพระองค์ทรงเปน็ มหาจักรพรรดดิ ังนี้ แล้วพระ ยพุ ราชจะกลบั มาโปรดพระบดิ าไดอ้ ยา่ งไร พระเจา้ ขา้ ?” “ความรัก ซ่ึงเตม็ ไปดว้ ยหว่ งผกู พันนั้นมิชอบดอก เรารักบดิ าเราเหมือนอัน แตร่ ัก ความจริง และรักทจ่ี ะสรา้ งความสขุ ใหแ้ ก่โลกมากกวา่ ฉนั นะ ขอม้าใหฉ้ นั เถิด” นายฉนั นะเหลือทีจ่ ะทัดทานได้ กล็ กุ ขน้ึ ไปหาม้ากณั ฐกะด้วยใจสลดระทด จดั แจง แปรงขนให้ แลว้ ผูกอาน รดั สายหนังฝง๎ เพชรโชติชว่ ง ใส่โกลนทองทั้งคู่ เสร็จแล้วนาํ มา
ถวาย อัสดรแสนรูม้ องเห็นเจ้านาย กว็ งิ่ เข้าหารอ้ งก้องสนั่นดว้ ยความยนิ ดี แต่เทพเจ้าปดิ กรรณคนท้ังหลายหาใหไ้ ด้ยินไม่ พระสทิ ธตั ถะจับเส้นผมมา้ ตบคอ แล้วก็ระซบิ บอกอาชาไนยวา่ “กัณฐกะ อย่าเอะอะ ไปนะ เราจะไปแสวงหาความจรงิ เพอ่ื เอามาช่วยทุกข์คนทัง้ หลาย จะไปพบ ณ ที่ใด นัน้ เรายังร้ไู ม่ได้ จะลําบากยากแคน้ เพยี งใด เรายงั ร้ไู ม่ได้ กัณฐกะ ชว่ ยพาเราหนไี ปด้วยนะ พอเราแตะสขี ้างขอใหค้ วบไปเร็วดงั ลม ดังไฟ ดงั อากาศ ขอให้เจ้าเปน็ กาํ ลงั ชว่ ยเรา ใน การทาํ งานเพอื่ ประโยชน์ของโลกด้วย ชว่ ยพาเราไปใหพ้ ้นกบลิ พสั ดุ์ก่อนสว่างนะ” พอตรสั ขาดคาํ กเ็ สดจ็ ขึ้นหลังอาชา ม้าทรงแสนรู้ควบออกล่วิ ไปโดยเรว็ และเมอ่ื ถึง กาํ แพงประตู ก็กลายเป็นพระทวารเปิดออกเองอย่างงา่ ยดาย เหล่าทหารยามทงั้ หลาย พากันหลับสนิท ทงั้ รอ้ ย ท้งั พัน ด้วยมิอาจทนลมอนั โชยเฉือ่ ยสบายน้นั ได้ ไมท่ ันรุ่งสาง พระโอรสกเ็ สดจ็ พน้ กรงุ กบลิ พสั ดุ์เข้าเขตปุา พอไปถึงฝ่ง๎ แมน่ ้าํ อโนมา อนั มีคลน่ื สาดฝ่ง๎ อยซู่ ่า ๆ เปน็ ฟองขาว พระองคท์ รงหยุดกัณฐกะ เสดจ็ ลงจากอาชา ทรง จมุ พิตกณั ฐกะระหวา่ งกรรณ แลว้ ตรสั แก่นายฉนั นะว่า “เราขอบใจมาก ในการออกมาด้วยในคร้งั นี้ จงแนใ่ จเถิดวา่ เรารกั เจา้ เสมอกับท่เี จา้ รกั เรา เราถงึ ท่หี มายแลว้ ชว่ ยนาํ มา้ กลบั ไปบา้ นดว้ ย สร้อยคอไขม่ กุ นี้หนกั เกนิ ไป เครอื่ ง ทรงนก้ี ็ไมเ่ หมาะแก่สภาพของเราแลว้ เข็มขัดกเ็ อาคืนไปเสียดว้ ย และอ้อ เกศาของเรา ยาวนัก ชว่ ยตัดใหด้ ้วย นาํ ไปถวายพ่อด้วยนะ ทูลว่า ลกู ชายขอกราบลา จนกระทงั่ ไป เรียนรูส้ ่ิงทเี่ ขาต้องการแล้วจะกลับวงั พรอ้ มด้วยแสงสวา่ งแห่งปญ๎ ญาอนั จะพาโลกใหพ้ ้น ความมดื มน มันเปน็ สมบตั ทิ ีเ่ ลศิ กวา่ สมบัติจกั รพรรดยิ ง่ิ นกั ชว่ ยทูลด้วยว่า ลูกชายทลู ลา ไป ทง้ั นีเ้ พราะรัก รักและหวังใหท้ กุ คนได้เป็นสุขทวั่ หน้ากนั ไปบอกด้วยนะ ฉนั นะวา่ เรา จะกลบั มาชว่ ยโลก” บทท่ี ๕ ดาบสหนมุ่ แหง่ รตั นครี ี ล้อมรอบเมืองราชคฤห์แห่งพระเจ้าพมิ พิสารนัน้ มีปญ๎ จคีรีภูเขา ๕ ยอดเป็นอาณา เขตกางกั้น ยอดหน่งึ คือไพภาระ เขียวชอุ่มอยูด่ ว้ ยตน้ มะนาว ยอดหนึง่ คือพิบูลละสงู ใหญ่ ท่ีเชิงเขามแี ม่นาํ้ อุ่น ๆ ไหลผา่ น ยอดหน่งึ ชอื่ ตะโปวนั ทอดเงามืดทะมึนลงไปใน สระกว้างใหญ่ มองดูดจุ มีหนิ ดาํ ตระหง่านอย่ใู ต้นาํ้ ยอดหนึ่งช่อื คิชฌกูฏ และอีกยอดหนง่ึ ซง่ึ อยทู่ างบูรพทิศนั้นมีนามว่ารตั นคีรี ด้วยเปน็ ทเี่ กิดของแก้วมณหี ลายหลาก มีรอยทาง จรคดเคี้ยวอยูแ่ ถบดงไผ่ ผ่านหญ้าฝรัน่ และ ปาุ อมั พพฤกษ์ ผ่านศิลานอ้ ยใหญ่และหิน ขาวบรสิ ทุ ธิ์ด้วยนํา้ นม ทางลาดไปตามไหล่เขา ซง่ึ ดารดาษไปดว้ ยดอกไม้ปุานานา พรรณ ค่อย ๆ สูงข้นึ ไปทางทิศประจมิ จนกระท่ังถึงปุามะเดอื่ อนั ให้ร่มเงา บังแสงตะวนั ตรงหนา้ ถา้ํ แหง่ หนงึ่ ทา่ นทง้ั หลายผู้มาถงึ ณ ที่นี้ ควรถอดรองเท้าและโนม้ เศยี รลง อภวิ าทน์ จะหาท่ีใดบรสิ ทุ ธแิ์ ละควรแก่การเคารพยิง่ ไปกว่านไ้ี มม่ ีอกี แล้ว เพราะว่าพระผู้ ทรงสละบลั ลังกจ็ ักรพรรดขิ องเราได้เสดจ็ มาประทับอาศัย ณ ท่นี ี้ พระองคท์ รงละเพศฆราวาส คลมุ องคด์ ้วยจวี รเหลอื ง เสวยอาหารอย่างแรน้ แคน้ ซง่ึ ฝูงชนบรจิ าคถวาย ค่ําลงกบ็ รรทมบนพ้นื หญา้ แต่องค์เดียว สดบั เสียงเสือคาํ รณรอ้ ง กระหึ่มครางรอบถํ้า ดว้ ยพระทัยอันสงบเยือกเย็น ทรงบาํ เพ็ญสมาธสิ งบนิ่งประดุจภาพ ป๎้น น่ิงนานและไมร่ สู้ กึ เลย แมก้ ระท่ังเวลาท่ลี กู กระรอกซกุ ซนขน้ึ ไปวงิ่ เลน่ บนพระเพลา นกเลก็ ๆ นําลูกออ่ นมาวางท่ีซอกพระบาท พริ าบบินมาจิกขา้ วจากบาตรขา้ ง ๆ พระองค์ นกั บวชหนมุ่ จะประทบั เข้าสมาธิตง้ั แต่เวลาเท่ียง ตะวันเผาโลกแผดแสงจ้า จนกระทัง่ ถงึ เวลาอาทติ ยอ์ สั ดง พระก็หาลืมพระเนตรดดู วงตะวนั อันเหล่อื มเขา ว่าจะลับ ไปอยา่ งไรไม่ สีม่วงแห่งสายณั ห์ลบั หายไปจากเขตกวา้ งใหญแ่ ลว้ ดารกาขึ้นดารดาษ ท้องฟาู นกเค้าแมวสง่ เสยี งร้องน่าสะพรงึ กลวั แต่ พระหาไดท้ รงสดบั ไม่ ยังคงสงบ พระทยั นิง่ อยกู่ บั การใครค่ รวญหาเหตุผล สืบสาวเร่ืองราวของชีวิตว่ามนั ตง้ั ต้นมาอย่างไร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113