การศกึ ษาการดแู ลสขุ ภาพด้วยตนเองของครอบครวั ในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื โดย นายประสิทธิ์ พิริยะไพบลู ย์ กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปี พ.ศ.2559
ก หัวข้อศกึ ษา : การศึกษาการดแู ลสขุ ภาพดว้ ยตนเองของครอบครวั ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ชอ่ื ผศู้ ึกษา : นายประสิทธิ์ พิรยิ ะไพบลู ย์ หน่วยงาน : กองสนับสนุนสขุ ภาพภาคประชาชน กรมสนบั สนนุ บริการสุขภาพ บทคดั ยอ่ การศึกษาครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลสุขภาพด้วยตนเองของครอบครัวในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยศึกษาในประเด็นสาคัญ ดังน้ี 1. ศึกษาสถานะสุขภาพและการดูแลสุขภาพของครอบครัว 2. การได้รับบริการด้านสุขภาพจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) และระบบบริการสุขภาพ ของชุมชน 3. ศกึ ษาภาพรวมของการดูแลสุขภาพของครอบครัวเชอื่ มโยงการจัดกิจกรรมด้านสุขภาพของชุมชน เป็นการศึกษาแบบเชิงสารวจ (Survey study) ประชากรที่ศึกษาคือ ครอบครัวในพ้ืนที่ภาคตะวันออก เฉียงเหนือของประเทศไทย มีจานวนท้ังสิ้น 6,233,840 ครัวเรือน ผู้ศึกษาได้คานวณกลุ่มตัวอย่างจากสูตร n = N / [1+N(e2)] ของ Taro Yamane โดยขนาดของประชากร (N) เท่ากับ 6,233,840 ครัวเรือน ค่าความคลาดเคล่ือนที่ยอมรับได้ (e) เท่ากับ 5% หรือ 0.05 ได้จานวนครัวเรือนท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่าง ของทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขั้นต่าเท่ากับ 400 ครัวเรือน เพ่ือให้ข้อมูลท่ีเก็บได้สะท้อนถึงความ หลากหลายและมีจานวนมากพอที่จะเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรผู้วิจัยจึงได้กาหนดขนาดตัวอย่างจังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามเขตตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข แบ่งออกเป็น 4 เขตๆ ละ 1 จังหวัด รวม 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธ์ุ มุกดาหาร หนองบัวลาภู และบุรีรัมย์ ซ่ึงในแต่ละจังหวัดจะคัดเลือก 2 อาเภอ และแต่ละอาเภอจะคัดเลือก 1 ตาบล โดยที่ 1 ตาบล จะคัดเลือก 2 หมู่บ้าน หลังจากน้ันจะทาการ สมุ่ เลอื กตวั แทนครอบครวั จากหมบู่ า้ นๆ ละ 30 คน ดงั นนั้ กลุ่มตวั อย่างมีจานวนทง้ั สนิ้ 480 คน ผลการศกึ ษา สรุปไดด้ งั น้ี 1. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 67.10 มีอายุระหว่าง 46 - 60 ปี ร้อยละ 32.50 มีสถานภาพแต่งงานแล้วอยู่กับคู่สมรส ร้อยละ 69.0 ส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าครอบครัว ร้อยละ 46.40 จบการศกึ ษาในระดับประถมศึกษา ร้อยละ 65.10 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 65.20 มีรายได้เฉล่ีย ต่อเดือนจานวน 5,001 – 10,000 บาท ร้อยละ 29.90 มีจานวนสมาชิกในครอบครัว 4 - 6 คน รอ้ ยละ 61.90 2. สถานะดา้ นสขุ ภาพในรอบ 1 ปีท่ีผ่านมาสมาชิกในครอบครัว 2.1 มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้หวัด ปวดกล้ามเนื้อ ปวดท้อง หรือโรคกระเพาะ ร้อยละ 66.67 รองลงมาป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อ ร้อยละ 45.21 เช่น โรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 18.96 โรคไต/นิ่ว ร้อยละ 5.21 และโรคเบาหวาน ร้อยละ 5.00 และปัญหาด้านสุขภาพจิตและความพิการใน จานวนทเ่ี ทา่ กนั รอ้ ยละ 7.05 2.2 วิธีการดูแลสุขภาพของในครอบครัวเมื่อเจ็บป่วยเล็กน้อย ส่วนใหญ่เข้ารับบริการที่สถานพยาบาล เช่น รพ.สต./คลินิก/โรงพยาบาล ร้อยละ 77.50 รองลงมาคือดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เช่น การซ้ือยากินเอง เชด็ ตวั ลดไข้ ปฐมพยาบาล ฯลฯ ร้อยละ 48.96 และขอคาปรึกษา/ขอรบั คาแนะนาจาก อสม.รอ้ ยละ 47.71 2.3 เมื่อสมาชิกในครอบครัวมีการเจ็บป่วยรุนแรง พบว่าส่วนใหญ่จะเลือกใช้บริการจากสถานพยาบาล เปน็ หลัก ร้อยละ 83.33 รองลงมาคือขอคาปรึกษา/คาแนะนาจาก อสม.และดูแลสขุ ภาพตนเอง เช่น ซ้ือยากิน เอง เช็ดตัวลดไข้ ปฐมพยาบาลฯ คิดเปน็ ร้อยละ 35.42 และร้อยละ 20.63 ตามลาดับ 2.4 การส่งเสริมสุขภาพของครอบครัวในภาวะปกติ ด้านการรับประทานอาหาร คือการรับประทาน อาหารรสชาติกลางๆ ร้อยละ 76.25 รับประทานผักและผลไม้เป็นประจาทุกวัน ร้อยละ 64.58 รับประทาน
ข อาหารประเภทต้ม นึ่ง แกง ร้อยละ 88.45 ด้านการออกกาลังกาย มีการออกกาลังกายสม่าเสมออย่างน้อย สปั ดาห์ละ 3 คร้ัง ร้อยละ 83.13 ด้านอารมณ์ มีวิธีการพักผ่อนจิตใจ เช่น น่ังสมาธิ สวดมนต์ ทาบุญร้อยละ 90.63 นอกจากนั้นคนในครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ด่ืมสุราหรือเครื่องด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์และติดสูบบุหร่ีหรือสาร เสพตดิ รอ้ ยละ 61.25 และ 57.71 ตามลาดบั 3. การได้รับบริการด้านสุขภาพจาก อสม. และระบบบริการสุขภาพของชุมชน พบว่าส่วนใหญ่ได้รับ ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพจาก อสม.ร้อยละ 96.67 ได้รับคาแนะนาและการถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแล สุขภาพจาก อสม. รอ้ ยละ 96.25 รองลงมาได้รับการตรวจคัดกรองด้านสุขภาพ เช่น วัดความดันโลหิต ตรวจ เบาหวาน ฯลฯ ได้รบั การเย่ียมบา้ นจาก อสม. รอ้ ยละ 93.33 และ 87.50 ตามลาดับ การได้รบั บรกิ ารด้านสุขภาพจากระบบบริการสุขภาพของชุมชน พบว่าส่วนใหญ่มีการเฝ้าระวังปัญหา สาธารณสุขในหมู่บ้าน/ชุมชน เช่น การกาจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การตรวจสารปนเป้ือนในอาหารฯลฯ ร้อยละ 97.71 รองลงมามีกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพของชุมชน เช่น การออกกาลังกาย จัดกิจกรรมรณรงค์ด้าน สุขภาพ ฯลฯ ร้อยละ 87.92 และในหมู่บ้าน/ชุมชนมี ศูนย์สุขภาพชุมชน (ศสมช.) หรือจุดให้บริการด้าน สขุ ภาพ โดย อสม.ทส่ี มาชกิ ในครอบครัวสามารถเข้ารับบรกิ ารไดส้ ะดวก รอ้ ยละ 85.83 4. การรว่ มประชุมประชาคม วางแผนจัดทาโครงการ/กิจกรรมด้านสาธารณสุขของชุมชน พบว่า ส่วน ใหญ่ คือ ร้อยละ 87.08 ของครอบครัวมสี ่วนร่วมประชุมประชาคม/วางแผนฯของชมุ ชน การมสี ว่ นรว่ มของครอบครวั ในการจดั กิจกรรมร่วมกจิ กรรมด้านสาธารณสุขของชุมชน พบว่าส่วนใหญ่ ร่วมจดั กจิ กรรมการจดั สิง่ แวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการมีสุขภาพดี เช่น การรณรงค์กาจัดลูกน้ายุงลาย รณรงค์ทาความ สะอาดชุมชน ฯลฯ ร้อยละ 95.83 รองลงมาการเฝ้าระวังคัดกรองด้านสุขภาพ เช่น วัดความดันโลหิต ตรวจ น้าตาลในปัสสาวะ ร้อยละ 95.42 ร่วมถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารความรู้สุขภาพให้กับสมาชิกในครอบครัว ร้อย ละ 94.79 และรว่ มกิจกรรมสง่ เสรมิ สขุ ภาพของชุมชนโดยการออกกาลังกาย ฯลฯ รอ้ ยละ 86.25 ขอ้ เสนอแนะ 1. การดูแลสุขภาพของครอบครัว ควรมีนโยบายในการเสริมสร้างศักยภาพของครอบครัวในการดูแล สุขภาพด้วยตนเอง ซ่ึงเป็นการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนให้มีความรู้ ความเข้าใจ และประพฤติปฏิบัติตนในการดูแลสุขภาพด้วยตนเองอย่างรับผิดชอบด้วยความรู้สึกว่า “สุขภาพเป็นของตนเอง” ในทกุ ครอบครัว อยา่ งน้อยครอบครวั ละ ๑ คน ทาหน้าท่ีเป็นแกนนาทางด้านสุขภาพ มีความรู้ความสามารถใน การดูแลสุขภาพตนเองและสมาชกิ ในครอบครัว โดยมภี าครฐั ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ พีเ่ ลย้ี งในการจัดระบบบริการสุขภาพ ที่มคี ุณภาพของประชาชน ตลอดจนทาให้ประชาชนพง่ึ ตนเองได้ 2. การได้รับบริการด้านสุขภาพจาก อสม.และระบบบริการสุขภาพของชุมชน จากการศึกษาพบว่าส่วน ใหญ่ได้รับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพได้รับคาแนะนาและการถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแลสุขภาพจาก อสม. และควรจัดหาส่ิงสนับสนุนหรืออุปกรณ์ท่ีจาเป็นสาหรับ อสม.ในการปฏิบัติงานในหมู่บ้าน/ชุมชนมี ศูนย์สุขภาพ ชมุ ชน (ศสมช.) 3. พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมการพัฒนาศักยภาพ อสม.ในการปฏิบัติงานร่วมกับทีมหมอครอบครัว หรือ ทีมสหวชิ าชพี อืน่ ๆ ในการปฏบิ ัติงานในชมุ ชน 4. พัฒนาเทคโนโลยีและช่องทางการส่ือสารทางด้านสุขภาพในชุมชนท่ีมีประสิทธิภาพเพื่อถ่ายทอด ความรูใ้ ห้กับแกนนาสขุ ภาพครอบครัว อสม. และเจา้ หน้าทใี่ นทุกระดับ ----------------------------------------------------------------------
ค สารบญั บทคัดยอ่ หน้า สารบญั ก สารบญั ตาราง ค บทท่ี 1 บทนา ง 1 1. ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา 1 2. วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษา 2 3. ขอบเขตการศกึ ษา 2 - ขอบเขตเน้ือหา 2 - ขอบเขตด้านประชากร 3 - ขอบเขตด้านระยะเวลา 4. นิยามศัพท์ 5. ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รับ บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วขอ้ ง 4 1. ทฤษฏีการดแู ลตนเอง (Self care) 4 2. แนวคดิ และทัศนะการดูแลตนเอง 5 3. แนวคดิ ของการสาธารณสขุ มลู ฐาน 8 4. แนวคิดระบบสขุ ภาพภาคประชาชน 11 5. สถานการณ์สขุ ภาพของครอบครวั ไทย 12 6. สขุ ภาพและการดูแลสุขภาพตนเองระดับครอบครัว 14 7. ผลงานศกึ ษาทเ่ี กยี่ วขอ้ ง 15 บทท่ี 3 วธิ กี ารศกึ ษา 16 1. รูปแบบการศึกษา 16 2. ประชากร และกลุ่มตวั อย่าง 16 3. เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการศึกษา 17 4. วิธีการวัดตัวแปร 18 5. วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 21 6. การวเิ คราะหข์ ้อมลู 21 บทท่ี 4 ผลการศึกษา 22 สว่ นท่ี 1 ขอ้ มูลทว่ั ไปของกลมุ่ ตวั อย่าง 22 ส่วนที่ 2 สถานะสขุ ภาพและการดแู ลสขุ ภาพของครอบครัว 24 ส่วนที่ 3 การได้รับบรกิ ารด้านสขุ ภาพจาก อสม. และระบบบรกิ ารสขุ ภาพของชมุ ชน 28 สว่ นท่ี 4 ภาพรวมของการดแู ลสขุ ภาพของครอบครวั เชือ่ มโยงการจัดกจิ กรรม 29
บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ง 1. สรุปผลการศึกษา 30 30 2. อภิปรายผล 32 34 3. ขอ้ เสนอแนะ 35 38 บรรณานกุ รม 39 ภาคผนวก 40 1. เครือ่ งมอื ประเมินแบบสอบถามการศึกษาการดแู ลสขุ ภาพด้วยตนเองของครอบครวั ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2. แจ้งเวียนผลงานวจิ ยั และเผยแพรบ่ นเว็บไซต์ phc.moph.go.th
สารบญั ตาราง จ ตารางท่ี 1 จานวนและร้อยละของข้อมลู ทเ่ี ก็บได้ตามเปา้ หมาย จาแนกรายจงั หวดั หน้า ตารางที่ 2 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง จาแนกตามขอ้ มูลทว่ั ไป 20 ตารางที่ 3 ร้อยละของสถานะสขุ ภาพและการดูแลสขุ ภาพของครอบครัว จาแนกตามปญั หาสุขภาพ 21 22 และ วิธกี ารดูแลสขุ ภาพของสมาชกิ ในครอบครัว ตารางที่ 4 รอ้ ยละของกลุม่ ตวั อยา่ ง จาแนกตามการส่งเสรมิ สุขภาพของครอบครัวดา้ นอาหาร 23 ตารางท่ี 5 รอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อยา่ ง จาแนกตามการส่งเสรมิ สุขภาพของครอบครวั ด้านการ 24 ออกกาลงั กาย และดา้ นจติ ใจ 25 ตารางที่ 6 รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอย่าง จาแนกตามการไดร้ บั บรกิ ารดา้ นสขุ ภาพจาก อสม. 26 และระบบบริการสขุ ภาพของชุมชน ตารางที่ 7 รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอย่าง จาแนกตามการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการจดั การกจิ กรรม 26 ดา้ นสุขภาพชุมชน ตารางที่ 8 ร้อยละความพึงพอใจต่อการให้บริการของอสม.
๑ บทท่ี 1 บทนำ 1. ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ ปัจจุบันสังคมไทยไดเ้ ปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ท้ังทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และ สงิ่ แวดล้อม ววิ ัฒนาการของการพฒั นาสาธารณสขุ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนพัฒนา สาธารณสุขท่ีผ่านมาระบบบริการสุขภาพของไทยนั้นได้มีการพัฒนาตามลาดับ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าประเทศ ไทยได้มีพัฒนาการทางด้านสาธารณสุขมาอย่างต่อเนื่องทาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพ ได้มากขึ้น ส่งผลใหใ้ นปัจจบุ ันพบวา่ คนไทยมีค่าเฉลี่ยอายุยืนขึ้น ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในทศวรรษที่ผ่านมาและ สังคมไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ การเจ็บป่วยและเสียชีวิตเปล่ียนจากโรคติดต่อเป็นหลักเปลี่ยนแปลงมาเป็น โรคไม่ติดต่อเร้ือรัง ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมสุขภาพของมนุษย์ ได้แก่ โรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ จากผลการสารวจสุขภาพของคนไทย พบว่า มักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรค เรื้อรัง หรือกลุ่มที่รู้ว่าเป็นโรคเร้ือรังน้ันส่วนใหญ่ยังไม่สามารถควบคุมอาการของโรคและดูแลรักษาตนเองได้ อย่างถูกต้อง ซึ่งภาวะดังกล่าวนามาซึ่งภาวะทุพพลภาพในที่สุด ทาให้มีภาวะพึ่งพิงในการดารงชีวิต และมี ผสู้ งู อายจุ านวนเพม่ิ ข้นึ ทต่ี ้องการได้รับการดูแลสขุ ภาพจากบคุ คลในครอบครัวหรอื สงั คมตอ่ ไป ด้วยสถานการณ์สุขภาพที่เปล่ียนแปลงดังกล่าวข้างต้น กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มีบทบาทภารกิจในการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบาย และยุทธศาสตร์ด้านระบบสุขภาพภาคประชาชน พัฒนามาตรฐาน รูปแบบ กลไก การดาเนินงานสาธารณสุข มูลฐานเพ่ือพัฒนาสุขภาพภาคประชาชนและพิทักษ์สิทธิของประชาชนด้านสุขภาพ เสริมสร้างศักยภาพ อสม. ในการจัดการสุขภาพชุมชนได้ตามมาตรฐาน เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการจัดการสุขภาพ ชุมชนและพิทักษ์สิทธิของประชาชนด้านสุขภาพ และศึกษา วิเคราะห์ วิจัย พัฒนา ถ่ายทอดและประเมิน เทคโนโลยีระบบสขุ ภาพภาคประชาชน ได้กาหนดวิสัยทัศน์ คือ “ภายในทศวรรษต่อไป ทุกชุมชนจัดการระบบ สุขภาพและพิทักษ์สิทธิได้ตามมาตรฐาน เพ่ือการพ่ึงตนเองของประชาชนด้านสุขภาพ” และได้กาหนด ยุทธศาสตร์รองรับการดาเนินงานประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาและขับเคลื่อน นโยบายและยุทธศาสตร์ด้านระบบสุขภาพภาคประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนา อสม. ในการจัดการระบบ สุขภาพชุมชนและพิทักษ์สิทธ์ิด้านสุขภาพของประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ 3 เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคี เครือข่ายในการจัดการระบบสุขภาพและพิทักษ์สิทธ์ิด้านสุขภาพของชุมชน ยุทธศาสตร์ท่ี 4 พัฒนารูปแบบ จัดการความรู้ นวัตกรรม และประเมินเทคโนโลยีระบบสุขภาพภาคประชาชน กองสนับสนุนสุขภาพภาค ประชาชนรับผิดชอบเป้าหมายการให้บริการของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ คือ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมี พฤติกรรมสุขภาพท่ีถูกต้องและชุมชนมีการจัดการระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง มีการบูรณาการงานสุขภาพภาค ประชาชนให้เป็นสว่ นหนึ่งในการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ และปรับบทบาทภารกิจให้สอดคล้องกับการปรับ โครงสร้างและบทบาทภารกิจของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ในส่วนของการดาเนินงานที่ผ่านมา กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชนได้มีการจัดทาแผนปฏิบัติการประจาปี และได้มีการถ่ายทอดนโยบาย และแผนสกู่ ารปฏบิ ัตใิ ห้แก่ผู้รับผดิ ชอบทง้ั ในสว่ นกลางและสานักงานสนับสนุนบริการสุขภาพเขต มีการประชุม เชิงปฏบิ ตั กิ ารปรบั แผนคร่ึงปี เพื่อประเมินสถานการณ์การดาเนินงานสุขภาพภาคประชาชนที่ผ่านมาว่าเกิดผล ผลิต ผลลัพธ์ใดบ้างกับชุมชนและประชาชน การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ อสม.ในการจัดการสุขภาพชุมชน และการส่งเสริมให้ครอบครัวดูแลสุขภาพตนเองได้ เป็นเป้าหมายสาคัญของการพัฒนางานสุขภาพภาค
๗ - สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ หมายถึง เป็นสุขภาวะที่เกิดจากการทาความดี หรือจิตสัมผัส กับส่งิ ท่มี คี า่ สงู สดุ เช่น การเสยี สละ การมีความเมตตากรณุ า การเข้าถงึ พระรตั นตรยั เปน็ ตน้ การดูแลสุขภาพของตนเองตามความหมายขององค์กรอนามัยโลกหมายถึงการดาเนินกิจกรรม ทางสุขภาพดว้ ยตนเองของปัจเจกบุคคล ครอบครัว กลุ่มเพ่ือนบา้ น กลุ่มผรู้ ่วมงาน และชมุ ชน โดยมีความหมาย รวมถึงการตัดสินใจในเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับสุขภาพ การป้องกันโรค การวินิจฉัยโรค การรักษาโรค ตลอดจน การปฏบิ ตั ิตนหลงั รบั บรกิ าร การดแู ลสุขภาพตนเองเป็นกระบวนการซึง่ บุคคลปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง เพ่อื สง่ เสรมิ สุขภาพและป้องกันโรค การค้นหาหรือรักษาโรคในระยะเริ่มแรกโดยการใช้แหล่งบริการสุขภาพ และยังรวมถึงแหล่งสนับสนุนอื่น ๆ ได้แก่ ครอบครัว เพื่อนบ้าน เพ่ือนที่ทางาน เครือข่ายต่าง ๆ ในสังคม และเน้นว่าผลจากการปรับปรุง ส่ิงแวดล้อมรวมท้ังชุมชน เป็นพื้นฐานในการริเร่ิมการดูแลสุขภาพตนเองของบุคคล นอกจากน้ี ปัจจัย ด้านค่าใช้จ่าย ปัญหาทางเศรษฐกิจ ตลอดจนนโยบายของสถานบริการสาธารณสุขหรือหน่วยงาน ก็ยังเป็น เหตุผลท่เี ก่ียวเนื่องกบั การดูแลสุขภาพตนเองอกี ด้วย การดูแลตนเองเป็นการปฏิบัติกิจกรรมท่ีบุคคลริเริ่มและกระทาในแนวทางของตนเพื่อดารงรักษาชีวิต ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่อันดีของตนเองการดูแลตนเองต้องมีแบบแผน เป้าหมาย ข้ันตอน ตลอดจน ความต่อเนื่อง และเมื่อใดกระทาอย่างถูกต้องครบถ้วน จะทาให้มีประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพของตนเอง เปน็ การปฏิบัติกิจกรรม ทบี่ ุคคลริเรมิ่ และกระทาด้วยตนเอง เพ่ือรักษาไว้ซึ่งชีวิต สุขภาพและสวัสดิภาพของตน และเมื่อกระทาอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีส่วนช่วยให้โครงสร้างหน้าท่ี และพัฒนาการดาเนินไปได้ถึงขีดสูงสุด การที่บุคคลจะสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสมนั้นต้องริเร่ิมและปฏิบัติกิจกรรมการดูแลตนเอง อยา่ งตอ่ เนือ่ ง ซง่ึ ประกอบดว้ ยปจั จัยตอ่ ไปนี้ คือ มีความรู้ ความชานาญ และความรับผิดชอบในการดูแลตนเอง มีแรงจูงใจท่ีจะกระทาและมีความพยายามอย่างต่อเน่ืองจนได้รับผลสาเร็จให้ความสาคัญกับการมีสุขภาพดี รับรู้พฤติกรรมการดูแลตนเอง สามารถลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ ให้กระทากิจกรรมอย่างสม่าเสมอ โดยมีข้อบกพร่องหรือการลืมน้อยที่สุดจนบรรลุผลสาเร็จตามต้องการมีกาลังใจและความตั้งใจสูง ตั้งแต่ เร่มิ ปฏบิ ัติจนส้นิ สดุ จากความหมายของการดูแลสุขภาพของตนเองท่ีกล่าวไว้โดยนักวิจัยต่างๆ ดังน้ันจึงสามารถสรุปได้ว่า การดูแลสุขภาพตนเองต้องกระทาอย่างอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงมีปัจจัยด้านต่างๆที่ทาให้ไม่สามารถกระทาอย่าง ต่อเนื่องได้ เช่น เรื่องของหลักความรับผิดชอบต่อตนเอง แรงจูงใจ และพฤติกรรมการดูแลตนเอง เป็นต้น ซึ่งส่ิงต่างๆเหล่านี้คือกระบวนการในการดูแลสุขภาพของตนเอง เพ่ือป้องกันและรักษาสุขภาพของตนเอง ไม่เกิดการเจ็บป่วย ตลอดจนการส่งเสริมสุขภาพให้กับครอบครัว เครือข่ายทางสังคม และชุมชน ซ่ึงเหมาะสม กับสถานการณใ์ นปจั จบุ นั สว่ นที่ 2 แนวคิดและทฤษฎที ่เี กี่ยวขอ้ งกบั กำรดูแลสุขภำพตนเอง (Self care) 2.1 ทฤษฎีการดูแลตวั เอง (Self – care Theory) (Orem, 2001 : 47-49) เป็นแนวคิดทอ่ี ธิบายการดูแลตนเองของบุคคล และการดูแลบุคคลท่ีพ่ึงพา กล่าวคือ บุคคลท่ีมีวุฒิภาวะมีการเรียนรู้ในการกระทาและผลของการกระทาเพื่อสนองตอบความต้องการดูแล ตนเองที่จาเป็น โดยการควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อหน้าท่ี หรือพัฒนาการของบุคคลเพื่อคงไว้ซ่ึงชีวิต สุขภาพ และความผาสุก การกระทาดังกล่าวรวมไปถึงการกระทาเพื่อบุคคลท่ีต้องพ่ึงพาซึ่งสมาชิกในครอบครัว หรือบคุ คลอื่น
๘ แนวคิดของโอเร็ม การดูแลตนเองเป็นรูปแบบหน่ึงของการกระทาอย่างจงใจและมี เป้าหมาย ซ่ึงเกิดข้นึ อยา่ งเป็นกระบวนการประกอบดว้ ย 2 ระยะสัมพันธก์ ัน คือ ระยะที่ 1 เป็นระยะของการประเมินและตัดสินใจ ในระยะนี้บุคคลจะต้องหาความรู้ และข้อมูลเก่ียวกับสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึน และสะท้อนความคิด ความเข้าใจในสถานการณ์ และพิจารณาว่า สถานการณ์น้ันจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ อย่างไร มีทางเลือกอะไรบ้าง ผลท่ีได้รับแต่ละทางเลือกเป็น อยา่ งไร แลว้ จงึ ตดั สินใจที่จะกระทา ระยะท่ี 2 ระยะของการกระทาและประเมินผลของการกระทา ซ่ึงในระยะน้ีจะมีการแสวงหา เป้าหมายของการกระทา ซึ่งเป้าหมายมีความสาคัญเพราะจะช่วยกาหนดทางเลือกกิจกรรมท่ีต้องกระทา และเป็นเกณฑท์ ี่จะใช้ในการตดิ ตามผลของการปฏบิ ตั ิกิจกรรม วัตถุประสงค์หรือเหตุผลของการกระทาการดูแลตนเองน้ัน โอเร็ม เรียกว่า การดูแลตนเอง ท่ีจาเป็น (Self-care requisites) ซ่ึงเป็นความตั้งใจหรือเป็นผลที่เกิดได้ทันทีหลังการกระทา การดูแลตนเอง ท่ีจาเป็นมี 3 อย่าง คือ การดูแลตนเองท่ีจาเป็นโดยทั่วไป ตามระยะพัฒนาการ และเมื่อมีภาวะเบ่ียงเบน ทางด้านสขุ ภาพ 2.2 แนวคดิ และทศั นะการดแู ลตนเอง การดูแลตนเอง ประกอบด้วยคาว่า “ดูแล” กับ “ตนเอง” ตามพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายดูแล คือ เอาใจใส่ ปกปักรักษา ปกครอง ตน คือ ตัว (ตัวคน) เม่ือรวมคาว่า ดูแลตนเอง จึงหมายถึง เอาใจใส่ในตัวคนน่ันเอง หรือปกปัก ปกครองตนเอง การดูแลตนเองถูกอธิบาย ในลักษณะของมโนทัศน์ กรอบแนวคิด รูปแบบ ทฤษฎีกระบวนการ การเคล่ือนไหว หรือปรากฏการณ์ (Gantz,1990 อ้างใน อรสา พันธ์ภักดี 2542) ความหมายการดูแลตนเองจะต่างกันในแต่ละสาขาวิชาชีพ มผี ใู้ ห้นยิ ามการดูแลสขุ ภาพของตนเอง มดี ังน้ี เลวิน (Levine Cited in Hill & Smith, 1985 : 8) กล่าวว่า การดูแลตนเองเป็นกระบวนการ ท่ี บุคคลหน่ึงๆ ทาหน้าท่ีโดยตัวเองและเพื่อตัวเอง ในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพตลอดจนการสืบ คน้ หาโรคและการรักษาขน้ั ต้นดว้ ยตนเอง สไตเกอร์และลิบสัน (Steiger & Lipson, 1985 : 12) ให้ความหมายของการดูแลตนเองว่าเป็น กิจกรรมท่ีรเิ รมิ่ กระทาโดย บุคคล ครอบครวั ชมุ ชน เพอ่ื ให้บรรลุ หรอื คงไว้ซ่ึงภาวะสุขภาพใหด้ ีท่สี ุด นรู ิส (พิมพ์วัลย์ ปรีดาสวัสดิ์, 2530: 9; อ้างอิงจาก Noris) ให้ความหมายของการดูแลสุขภาพตนเอง คือ กระบวนการที่ประชาชนและครอบครัว มีโอกาสท่ีจะช่วยเหลือตนเองและรับผิดชอบตนเอง ด้านสุขภาพ อนามยั โดยพัฒนาศักยภาพความสามารถ เพ่อื การดแู ลสขุ ภาพอนามัยของตนเอง สมจิต หนูเจริญกุล (2536 : 22-23) กล่าวว่า การดูแลตนเองหมายถึงการปฏิบัติในกิจกรรม ที่บคุ คลริเรม่ิ และกระทาเพ่ือทจี่ ะรกั ษาไว้ซง่ึ ชีวติ สุขภาพและสวัสดภิ าพของตน การดูแลตนเอง เป็นการกระทา ท่ีจงใจ และมีเป้าหมาย (Deliberate Action) และเมื่อกระทาอย่างมีประสิทธิภาพจะมีส่วนช่วยให้โครงสร้าง หน้าที่และพัฒนาการของแต่ละบคุ คลดาเนนิ ไปถงึ ขดี สงู สุด เพนเดอร์ (Pender, 1987 :150) กล่าวว่าการดูแลตนเองเป็นการปฏิบัติที่บุคคลริเร่ิมและกระทา ในวถิ ีทางของตนเองเพื่อดารงรกั ษาชีวติ สง่ เสรมิ สุขภาพและความเป็นอยูท่ ด่ี ีของตน
๙ ส่วนท่ี 3 แนวคิดการสาธารณสุขมูลฐานและระบบสขุ ภาพภาคประชาชน 3.1 แนวคิดของการสาธารณสุขมลู ฐาน สานักงานคณะกรรมการสาธารณสุขมูลฐาน (2529) ได้ให้ความหมายว่า “การสาธารณสุขมูลฐาน” เป็นกลวิธีทางสาธารณสุขท่ีเพ่ิมข้ึนจากระบบบริการสาธารณสุขของรัฐ ซ่ึงมีอยู่ในระดับตาบลและหมู่บ้าน การสาธารณสุขเป็นวิธกี ารใหบ้ รกิ ารสาธารณสุขที่ผสมผสานท้ัง ทางด้านการรักษาพยาบาลการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคและการฟื้นฟูสภาพท่ีดาเนินงาน โดยประชาชนเองซ่ึงประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการวางแผน ดาเนนิ งานและประเมนิ ผลโดย ได้รับการสนับสนนุ จากภาครัฐในดา้ นวิชาการ ข้อมลู ขา่ วสาร การให้การศึกษา ฝึกอบรม และ ระบบการสง่ ตอ่ ผ้ปู ่วย โดยอาศยั ทรพั ยากรที่มอี ยู่ในท้องถนิ่ เป็นหลัก” โดยการที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐ เปล่ียนบทบาทใหม่จากเดิมเป็นผู้บริการประชาชน (ผู้ให้) เปลี่ยนเป็น ผู้กระตุ้นให้คาแนะนา และผู้สนับสนุน ให้กับประชาชน แล้วให้ประชาชนเป็นผู้เริ่มบริการประชาชนด้วยตนเองและประชาชนท่ีจะเป็นผู้ให้บริการ ประชาชนด้วยกันเอง กิจกรรมท่ีจะให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อช่วยเหลือบริการประชาชนกันเอง เรียกว่า กิจกรรมจาเป็นของสาธารณสุขมูลฐานมี 14 กิจกรรม ได้แก่ 1. โภชนาการ 2. สุขศึกษา 3. จัดหา น้าสะอาดและสุขาภิบาล 4. เฝ้าระวังโรคประจาถิ่น 5. สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 6. รักษาพยาบาลเบื้องต้น 7. จัดหายาท่ีจาเป็น 8. อนามัยแม่และเด็ก 9. สุขภาพจิต 10. สุขภาพฟัน 11. อนามัยและส่ิงแวดล้อม 12. คุ้มครองผู้บริโภค 13. อุบัติเหตุและฟื้นฟูสภาพผู้พิการ 14. โรคเอดส์ การที่จะกระทากิจกรรมเหล่านี้ ได้สาเร็จนั้น จะต้องใช้กลวิธีของสาธารณสุขมูลฐานหรือจะเรียกว่าหลักการของสาธารณสุขมูลฐานท่ีสาคัญ 4 ประการ คอื 1) การมีสว่ นร่วมของชมุ ชน ซึ่งสาคัญต้ังแต่การเตรียมเจ้าหน้าท่ีเตรียมชุมชนการฝึกอบรมการติดตาม ดาเนินกิจกรรมต่างๆให้ประชาชนในหมู่บ้านได้รู้สึกเป็นเจ้าของและเข้ามาร่วมช่วยเหลืองานด้านสาธารณสุข ท้ังด้านกาลังคน กาลังเงิน และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ มิได้ หมายถึงชุมชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการพัฒนา หากแต่หมายถึงประชาชนใน ชุมชนน้ันเองเป็นผู้วิเคราะห์ปัญหา ตลอดจนแนวทางการแก้ไข ปัญหาของชุมชน ทั้งนี้ โดยชุมชนมีความสามารถในการแยกแยะได้ว่าวิธี การแก้ไขปัญหาใดประชาชนในชุมชน สามารถแก้ไขได้ วิธีการใดที่อยู่นอกเหนือความสามารถของชุ มชนก็จะต้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลภายนอกชุมชนเป็นผูแ้ กไ้ ขปญั หานัน้ 2) การใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมเทคนิคและวิธีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐานควรเป็นเทคนิควิธีการ ที่ง่าย ไม่ซับซ้อนยุ่งยาก เหมาะสมกับแต่ละสภาพท้องถิ่นและประชาชนสามารถปฏิบัติได้ เทคนิควิธีการ ซ่ึงหมายรวมตั้งแต่วิธีการค้นหาปัญหา ขบวนการในการแก้ไขปัญหา จนกระทั่งเทคนิคในการแก้ไขปัญหา โดยชมุ ชนเอง เช่น การใช้สมุนไพรในชุมชน การนวดไทยเพ่ือบรรเทาอาการปวดเม่ือยในชุมชนเป็นต้น เทคนิค เหล่าน้ี อาจเป็นภูมิความรู้เดิมในชุมชนท่ีชุมชนมีการถ่ายทอดในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของตนเอง มาเป็นเวลาช้านานแล้ว เช่น การใช้ยาหรือแพทย์แผนไทยในการรักษาพยาบาลโรคง่าย ๆ บางอย่าง หรือเป็น ภูมิความรู้ใหม่ท่ีชุมชนได้เรียนรู้เพ่ิมเติมว่าเหมาะสมกับชุมชนในการแก้ไขปัญหาหากการเรียน รู้ไปยังอีกชุมชน หน่ึงในลกั ษณะทีป่ ระชาชนถ่ายทอดความร้สู ่ปู ระชาชนกนั เองอาจจะเกดิ ข้ึนโดยธรรมชาติหรือโดยการสนับสนุน ช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ภาครัฐโดยวิธีการที่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ระหว่างหมู่บ้าน จะทาให้ ขบวนการเรียนรู้เหล่าน้ีเป็นไปโดยกว้างขวางรวดเร็ว ซ่ึงจะเป็นประโยชน์กับประชาชนในการแก้ไขปัญหา ของเขาเองประชาชนสามารถปฏิบตั ิได้
๑๐ 3) มีการปรับระบบบริการพ้ืนฐานของรัฐ เพื่อรองรับการสาธารณสุขมูลฐาน ระบบบริการของรัฐ และระบบบริหารจัดการที่มีอยู่แล้วของรัฐจะต้องปรับให้เชื่อมต่อและรองรับงาน สาธารณสุขมูลฐานด้วย ทัง้ นี้โดยมีความมงุ่ หมาย ดงั น้ี - ตอ้ งการให้เกิดการกระจายการครอบคลุมบริการใหท้ ว่ั ถึง - การกระจายทรัพยากรลงสู่มวลชน - การจัดระบบสง่ ต่อผปู้ ่วยทีม่ ีประสทิ ธิภาพ 4) การผสมผสานกับงานกระทรวงอ่ืน ๆ งานสาธารณสุขมูลฐานจะสาเร็จผลได้ต้อง ผสมผสาน ทางานไปดว้ ยกนั ไดท้ ้งั ภายในกระทรวงสาธารณสุขเองและกระทรวงอื่น ๆ 3.2 แนวคดิ ระบบสุขภาพภาคประชาชน ระบบสุขภาพภาคประชาชน คือการทาให้พ่ึงตนเองของประชาชนซึ่งการพึ่งตนเองเป็นตัวเร่ง ใหป้ ระชาชนเข้มแข็งลดการพ่งึ รัฐ และจะทาใหเ้ กิดสุขภาพดีแบบพอเพียงซ่ึงสุขภาพที่ดีจะ เกิดข้ึนได้เป็นหน้าที่ ของประชาชนทุกคนที่จะต้องดูแลสุขภาพตนเองและช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน ในการดูแลสุขภาพในชุมชน ในสังคม ดังน้ัน ระบบสุขภาพภาคประชาชนจึงเป็นระบบที่เติมเต็มระบบสุขภาพของชาติ ระบบเดิม และเกิดเป็นระบบสุขภาพที่สมบูรณ์ขึ้น เพราะเป็นกลไกการ เช่ือมต่อระหว่างกลไกภาครัฐ กับภาคประชาชน ทีจ่ ะใหบ้ รรลุผลการมสี ุขภาพดี และลดค่าใช้จ่ายใน ระบบของสุขภาพลดลง ระบบสุขภาพภาคประชาชน หมายถึงกระบวนการที่สมาชิกของสังคมหรือชุมชนนั้นมี ความรู้ความ เข้าใจ ร่วมมือกัน ดูแล และบริหารจัดการให้เกิดสุขภาวะท่ีดีขั้นพ้ืนฐานด้วยตนเอง ด้วยการสนับสนุนองค์ ความรู้เทคโนโลยีและทรัพยากรท่ีจาเป็นจากภาครัฐภาคเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน (กรมสนับสนุน บริการสุขภาพ, 2546, หน้า22) โดยองค์ประกอบของการพัฒนาระบบสุขภาพภาคประชาชนเพื่อการพัฒนา สขุ ภาพของคนในชุมชน ประกอบด้วยองคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ “คน”เป็นองค์ประกอบหลักที่สาคัญในการพัฒนาใดๆก็ตามจะต้องมีคนท่ีอยู่ในชุมชนรวมตัวกัน ร่วมกันคิด ร่วมกันทาอาจเร่ิมจากคนกลุ่มหน่ึงอาจจะมากหรือน้อยก็ตามซึ่งมีความแตกต่าง หลายกลุ่ม ต่างอาชีพ ต่างฐานะ ต่างความคิด ต่างเพศ ต่างวัย แต่มีจิตใจเดียวกันเพื่อส่วนรวมและมีเป้าหมายร่วมกัน มกี ารขยายแนวรว่ มออกไปเรอ่ื ย ๆ “องค์ความรู้” ในการดาเนินกิจกรรมต่างๆของชุมชนจาเป็นต้องมีองค์ความรู้วิธีการ เทคโนโลยี ภมู ปิ ญั ญาและประสบการณจ์ ะทาใหเ้ กิดกระบวนการเรียนรู้การถ่ายทอดและการกระจายความรู้ข้อมูลข่าวสาร ในชุมชน “ทุน”เพื่อการพัฒนาสุขภาพการดาเนินงานพัฒนาสุขภาพจาเป็นต้องอาศัยทุนท่ีเป็นตัว เงิน และทุน ที่ไม่ใช่ตัวเงินหรือทุนทางสังคมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งทุนท่ีเป็นตัวเงินจะมีความหมายในลักษณะการเงิน การคลังด้านสุขภาพและการพัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อจัดการบริการ ให้กับคนในชุมชนอย่างคุ้มค่า คุ้มเวลา ท่ีทางานและประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ซ่ึงแต่ละชุมชน สามารถแสวงหาแหล่งทุนได้ท้ังภายนอก และภายในชุมชนนามาบริหารจัดการใหเ้ กดิ ผลกาไรแลว้ นาดอกผลมาใช้ในการพัฒนาต่อไป นอกจากองค์ประกอบหลัก 3 ประการแล้วหัวใจสาคัญของระบบสุขภาพภาคประชาชน คือ การจัดการเพื่อให้ประชาชนมีความสามารถในการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ซึ่งการจัดการในท่ีน้ี คือ การปฏิบัติการประสานให้ความสมดุลเพื่อการเคล่ือนไหวของปัจจัยคนองค์ความรู้หรือ วิธีการทางาน และทุน เพือ่ การพัฒนาสุขภาพ ใหเ้ กิดการดาเนินกิจกรรมการพัฒนาสุขภาพ เพ่ือสนองตอบต่อความต้องการของคนใน
๑๑ ชุมชนป้องกันและแก้ปัญหาสุขภาพของคนในชุมชน แสดงเป็นแผนภาพเชิงแนวคิดองค์ประกอบระบบสุขภาพ ภาคประชาชนดงั แผนภูมิที่ 1 แผนภูมทิ ี่ 1 กรอบแนวคิดระบบสขุ ภาพภาคประชาชน ท่มี า : เมธีจนั ท์จารุภรณ์. (2545). ระบบสุขภาพภาคประชาชน(พมิ พค์ ร้ังที่ 4).กรุงเทพฯ : บริษัทเรดิเอชั่นจากดั . สว่ นที่ 4 งำนวิจยั ทเี่ กยี่ วข้อง จากผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสถานะสุขภาพและการดูแลสุขภาพของครอบครัวการได้รับ บรกิ ารด้านสุขภาพจาก อสม. และระบบบริการสุขภาพของชุมชนตลอดจนศึกษาภาพรวมของการดูแลสุขภาพ ของครอบครัวเชื่อมโยงการจัดกิจกรรมด้านสุขภาพของชุมชนซ่ึงเป็นส่วนสาคัญในการกาหนดกรอบแนวคิดใน การศึกษาและช่วยให้การทาวิจัยคร้ังนี้มีข้อมูลสนับสนุน เพ่ือใช้ในการอ้างอิง และสามารถรวบรวมใน รายละเอยี ดได้ดงั นี้ ทมี วจิ ัยของสานกั งานคณะกรรมการการสาธารณสุขข้ันมูลฐาน (2545) ได้ทาวิจัยในการศึกษาปัญหา สุขภาพและวิธีการดูแลสุขภาพด้วยตนเองของครอบครัวท้ังในภาวะปกติและเม่ือเกิดการเจ็บป่วย ใน พ.ศ.2545การวิจยั ดังกล่าวเปน็ การวิจยั เชิงสารวจ (Survey research)กลุม่ ประชากรที่ศึกษาคือครอบครัวไทย ในเขตชนบท โดยกลุ่มตัวอย่างคัดจากภาคท้ัง 4 ภาคๆ ละ 3 จังหวัด รวม 12 จังหวัด แต่ละจังหวัดคัดเลือก 1 อาเภอ 2 ตาบล 4 หมู่บ้านๆละ 35 ครอบครัว รวมทั้งส้ิน 1,680 ครอบครัว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง ร้อยละ 74.1 มีอายุเฉล่ีย 44.9 ปี ส่วนใหญ่แต่งงานและอยู่กับคู่สมรส ร้อยละ 71.9 สถานภาพส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน ร้อยละ 61.9 การศึกษาสูงสุดระดับประถมศึกษา ร้อยละ 71.8 ประกอบ อาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 61.3 มีรายได้เฉล่ียไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 37.3 ความเพียงพอ ของรายได้อยู่ในระดับพอใช้ ร้อยละ 67.8 ลักษณะของครอบครัวเป็นครอบครัวเดียว ร้อยละ 74.6 จานวนสมาชิกในครอบครัวอยู่ระหว่าง 4-5 คน ร้อยละ 46.0 สมาชิกในครอบครัวเป็น อสม. ร้อยละ 11.2 ผลของการวจิ ัยสามารถสรปุ ไดด้ งั นี้
๑๒ 1. ปญั หาสุขภาพของครอบครัว ประกอบด้วยการเจ็บป่วยเลก็ น้อย เช่น ไข้หวัด/ไข้หวัดใหญ่ ร้อยละ 67.4 ปวดคอ/เข่า/หลัง/ไหล่ ร้อยละ 64.5 ปวดท้อง/โรคกระเพราะ ร้อยละ 39.9 โรคติดต่อ ได้แก่ อุจจาระร่วง ร้อยละ 26.0 ไข้เลือดออก ร้อยละ 2.9 วัณโรค ร้อยละ 1.0 และโรคเอดส์ ร้อยละ 0.4 โรคไม่ติดต่อ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ร้อยละ18.0 โรคเบาหวาน ร้อยละ 7.9 โรคหัวใจ ร้อยละ 6.5 โรคไต/น้ิว ร้อยละ 5.6 ไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 2.9 และโรคมะเร็ง ร้อยละ 1.1 อุบัติเหตุท่ัวไป ร้อยละ 13.9 ปัญหาสุขภาพจิต ได้แก่ วิตกกังวล/เครียส ร้อยละ 30.3 ติดยา/สารเสพติด ร้อยละ 2.7 ติดสุราเรื้อรัง ร้อยละ 1.6 ปัญหาสุขภาพที่มี ผลกระทบต่อครอบครัวในการดารงชวี ติ ประจาวัน การประกอบอาชีพ คา่ ใชจ้ ่ายและดา้ นจิตใจ รอ้ ยละ 58.1 2. วิธีการดูแลสุขภาพของครอบครัวเมื่อเกิดการเจ็บป่วย จากการวิจัยพบว่า ครอบครัวส่วนใหญ่ ทราบวิธีการดูแลสุขภาพเมื่อเกิดการเจ็บป่วยเล็กน้อย ได้แก่ ไข้หวัด/คัดจมูก ร้อยละ 96.6 ปวดข้อ/เข่า/ หลัง/ไหล่ ร้อยละ 93.3 ปวดท้อง/โรคกระเพาะ ร้อยละ 91.9 และเป็นไข้ ตัวร้อน ร้อยละ 97.8 โรคติดต่อ ได้แก่ ท้องร่วง/ท้องเดิน/ท้องเสีย ทราบวิธีป้องกัน ร้อยละ 89.1 ทราบวิธีรักษา ร้อยละ 89.5ไข้เลือดออก ทราบวิธีปอ้ งกนั ร้อยละ 93.9 ทราบวิธีดูแลผู้ป่วย ร้อยละ 83.8 ทราบวิธีการป้องกันโรคเอดส์ ร้อยละ 86.8 ทราบวิธีการดูแลชว่ ยเหลอื ผปู้ ว่ ยเอดส์ ร้อยละ 68.7 ทราบวิธีการดูแลสุขภาพเม่ือเจ็บป่วย โรคไม่ติดต่อ ได้แก่ ความดนั โลหติ สงู ร้อยละ 64.9 โรคเบาหวาน ร้อยละ 66.9 อุบัติเหตุจราจร ร้อยละ 92.3 สุขภาพจิต ได้แก่ ภาวะวิตกกังวล เครียส กลุ้มใจ ร้อยละ 91.4 วิธีการดูแลสุขภาพเม่ือเกิดการเจ็บป่วยท่ีครอบครัวส่วนใหญ่ ไม่ทราบคือ ภาวะไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 55.1 ครอบครัวมียาสามัญประจาบ้านไว้ใช้ในยามเจ็บป่วย ร้อยละ 92.5 มีการใช้ยาสมุนไพรในการรักษาโรค ร้อยละ 54.6 ครอบครัวได้รับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ ผ่านทางโทรทัศน์มากที่สุด ร้อยละ 66.8 รองลงมาคือได้รับจาก อสม. ร้อยละ 59.8 และเจ้าหน้าทีสาธารณสุข ร้อยละ 55.6 ครอบครัวมีสิทธิ์ได้รับการรักษาพยาบาล ร้อยละ 99.6 เป็นบัตรทอง (30 บาท) ร้อยละ 89.9 สถานบริการสาธารณสุขที่ครอบครัวส่วนใหญ่ใช้บริการได้แก่ สถานีอนามัย ร้อยละ 74.6 โรงพยาบาลรัฐ รอ้ ยละ 71.6 โรงพยาบาล/คลนี ิกเอกชน ร้อยละ 29.8 และสว่ นใหญพ่ ึงพอใจในบริการทไี่ ด้รบั ร้อยละ 93.1 3. วิธีการดูแลสุขภาพของครอบครัวในภาวะปกติ ในด้านการส่งเสริมสุขภาพ งานวิจัย พบว่า ครอบครัวส่วนใหญ่กินอาหารครอบ 3 ม้ือ ร้อยละ 71.0 กินผักสด/ผักพ้ืนบ้านร้อยละ 88.4 มีการนอนพักผ่อนท่ีเพียงพอ ร้อยละ 81.1 มีการดูแลลสุขภาพจิตด้วยการดูโทรทัศน์ ฟังเพลง ร้องเพลง ร้อยละ 55.4 ทากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เดินเล่น นั่งเล่น เล้ียงนก เล้ียงปลา ไปเที่ยว ร้อยละ 50.1 ในด้านการป้องกันโรค พบว่าครอบครัวนาบุตรหลานไปรับวัคซีนตามนัด ร้อยละ 93.2 การดูแลสุขภาพของ ครอบครัวท่ีมีโอกาสเส่ียงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพคือ การกินอาหารไม่ตรงเวลา ร้อยละ 57.1 กินอาหารท่ีมี ไขมันสงู ร้อยละ 73.7 กินอาหารสจดั รอ้ ยละ 62.6กินอาหารปรงุ เสร็จ (อาหารถุง) ร้อยละ 70.1 การใช้ผงชู รสในการปรุงอาหาร ร้อยละ 90.2 ไม่กินข้าวกล้อง/ข้าวซ้อมมือ ร้อยละ 72.7 การดื่มสุรา ร้อยละ 57.5 ไมอ่ อกกาลงั หรือนานๆครัง้ ร้อยละ 80.2 ตดิ บหุ ร่ี รอ้ ยละ 53.1 ไมส่ วมหมวกกันนริ ภยั ขณะขับข่ีจักรยานยนต์ รอ้ ยละ 68.3 ไม่คาดเขม็ ขัดนิรภัยขณะขบั รถยนต์ รอ้ ยละ 54.3 ไม่ตรวจสุขภาพประจาปี 58.7 อมาวสี อัมพันศิริรัตน์ (2539) ความสามารถในการดูแลตนเองกับภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ เขตชนบท อาเภอพล จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่มีอายุต้ังแต่ 60 ปีขึ้นไป จานวน 213 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสัมภาษณ์ข้อมูลท่ัวไป แบบประเมินความสามารถในการดูแลตนเอง และแบบ ประเมินภาวะสุขภาพ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ความสามารถในการดูแลตนเอง มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ ภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.5939 (p<0.001)
๑๓ 2. เปรียบเทียบความสามารถในการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ ตามปัจจัยพ้ืนฐาน 2.1 ผู้สูงอายุ มคี วามสามารถในการดูแลตนเองแตกตา่ งกันตามปัจจัยพื้นฐานอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ ระดับ 0.01 ได้แก่ ระดับการศึกษา และลักษณะการพักอาศัย และที่ระดับ 0.05 ได้แก่ บทบาทหน้าที่ของ ผู้สูงอายุในครอบครัว 2.2 ผ้สู งู อายุมคี วามสามารถในการดูแลตนเองไม่แตกต่างกันตามปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ รายได้ สถานภาพสมรส การเป็นเจ้าของบ้าน และจานวนสมาชิกในครอบครัว 3. เปรียบเทียบ ภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ ตามปัจจัยพ้ืนฐาน 3.1 ผู้สูงอายุมีภาวะสุขภาพแตกต่างกันตามปัจจัยพ้ืนฐาน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่รี ะดับ 0.01 ได้แก่ ระดบั การศึกษา การเปน็ เจา้ ของบ้าน และบทบาทหน้าที่ ของผู้สูงอายุในครอบครัว และที่ ระดับ 0.05 ได้แก่ รายได้ สถานภาพสมรส 3.2 ผู้สูงอายุมีภาวะสุขภาพ ไม่แตกต่างกันตามปัจจัยพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ ลักษณะการพกั อาศัย และจานวนสมาชิกในครอบครัว ผู้วิจัยได้ มีข้อเสนอแนะให้พยาบาลควรมีบทบาท ในการให้ความรู้ กระตุ้นให้ดูแลผู้สูงอายุให้ความสาคัญในการส่งเสริมความสามารถในการดูแลตนเอง ของผู้สูงอายุ โดยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการพัฒนาและคงไว้ซ่ึงความสามารถในการดูแลตนเอง ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้รับข้อมูลข่าวสาร รวมท้ังคาแนะนาวิธีการ ป้องกัน และรักษาสุขภาพอนามัยของตนเอง คู่สมรส และบุตรหลาน ควรให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้ ความรัก ความอบอุ่นแก่ผู้สูงอายุ เปิดโอกาสให้ ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในกิจกรรมของครอบครัวตาม ศักยภาพของตน เพื่อส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความภาคภูมิใจ ในตนเอง และเหน็ คุณค่าของการดารงชีวิตอย่าง มคี ณุ คา่ ตอ่ ไป จากการศึกษาของ ฤทัยชนก กุลสืบ และวรัญญา เช้ือทอง (2550)ศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ของประชาชนในตาบลห้วยกระเจาอาเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง จานวน 250 คน ดาเนินการศึกษาเชิงพรรณนา เคร่ืองมือท่ีใช้เป็นแบบสอบถามซึ่งผู้วิจัยสร้างข้ึน เก็บรวบรวมข้อมูล โดยการส่งแบบสอบถามไปให้กลุ่มตัวอย่างที่อ่านหนังสือได้ตอบกลับมา นาข้อมูลมาวิเคราะห์โดยโปรแกรม สาเร็จรูป เพื่อหาค่า รอ้ ยละค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้สถิติ t-test และ F-test การวิจยั ครง้ั นก้ี าหนดความมนี ัยสาคญั ทางสถิตเิ ทา่ กบั 0.05 ผลของการศกึ ษาได้มขี อ้ เสนอแนะดงั น้ี 1. จากการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีโรคประจาตัวมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองมากกว่า กลมุ่ ตวั อยา่ งทไี่ ม่มโี รคประจาตัว ดังนั้น ในการถ่ายทอดความรู้ให้กับประชาชนท่ีนอกเหนือจากตัวอย่างที่มีโรค ประจาตัวและกลมุ่ อ่นื ๆ ควรให้กล่มุ ตัวอยา่ งทีม่ ีโรคประจาตัวนน้ั ๆถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ การปฏิบัติตน การดูแลตนทีถ่ กู ต้องและเหมาะสมแทนบคุ คลากรทางการแพทย์ เพราะการถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงและ การปฏิบัติตนท่ีเป็นแบบอย่างให้แก่ประชาชนเข้าใจ จะทาให้ประชาชนได้รับความรู้ที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ และตระหนักถึงความสาคญั ของการดแู ลสุขภาพตนเองและมกี ารปฏบิ ตั ิอย่างต่อเน่อื งจนติดเปน็ นิสยั 2. ผลการศึกษาพบวา่ การรับร้ปู ระโยชน์ของการดูแลสุขภาพมีผลต่อการดูแลสุขภาพตนเอง ดังน้ันใน การวางแผนการพัฒนาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของประชาชนควรสนับสนุนให้ประชาชนได้รับรู้ถึง ประโยชน์การดแู ลสุขภาพตนเองมากท่สี ดุ ด้วยวธิ ีการต่างๆ ตามความเหมาะสมความถนัดและเกิดความถูกต้อง มากที่สุด เพื่อให้เกิดความตระหนักและสามารถตัดสินใจปฏิบัติตนได้ถูกต้องด้วยตนเอง จนเป็นนิสัยติดตัว ตลอดไป ซ่งึ จะทาใหเ้ กดิ ผลของพฤตกิ รรมในการดูแลสุขภาพท่ถี ูกตอ้ งและเกดิ ประโยชน์แกต่ นเอง 3. ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการรับรู้ประโยชน์ของการดูแลสุขภาพตนเองในระดับ ปานกลาง ดังน้ัน จึงควรส่งเสริมให้บริการส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก โดยการประสานงานกับหน่วยงานที่เก่ียวข้อง เพ่ือดาเนินการร่วมกัน สามารถท่ีจะดาเนินงานที่ประสานสอดคล้องกันได้ในทุกฝ่าย เพ่ือให้เกิดประโยชน์ เก่ียวกับการรับรู้ประโยชน์ของการดูแลสุขภาพของตนเองในระดับที่สูงข้ึนและควรให้บริการความรู้โดยการ แนะนาเรอ่ื งการดูแลสขุ ภาพไปดว้ ย เพ่ือทีจ่ ะทาใหเ้ กดิ ความรู้ความเข้าใจในระดับทีส่ งู ข้นึ
๑๔ บทที่ 3 วธิ ีกำรศกึ ษำ การวิจัยคร้ังน้ี เป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey research) เพ่ือศึกษาการดูแลสุขภาพด้วย ตนเองของครอบครัวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งในภาวะปกติและเม่ือเกิดการเจ็บป่วย วิธีการดูแลสุขภาพ สมาชิกในครอบครัว การส่งเสริมสุขภาพกายและจิตของครอบครัว การได้รับบริการด้านสุขภาพจาก อสม. ตลอดจนการมสี ่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมด้านสุขภาพชุมชนของครอบครัว ในการวิจัยจะทาการเก็บข้อมูล ในพ้ืนที่ 4 จงั หวดั ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย โดยการใชแ้ บบสอบถามตัวแทนของครอบครวั ประชำกร กลุ่มตัวอยำ่ ง และวิธกี ำรสุ่มตวั อยำ่ ง ประชำกร ประชากรในการทาวิจัยคร้ังน้ีได้แก่ ครอบครัวในพ้ืนท่ีภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ไทย มีจานวนทั้งสิ้น 6,233,840 ครัวเรือน (ข้อมูลดังกล่าวอ้างอิงจากสานักงานสถิติแห่งชาติ http://stat.bora.dopa.go.th สบื คน้ ข้อมลู วันที่ 6 ตลุ าคม 2556) กำรสุ่มตวั อยำ่ ง กำรคำนวณขนำดตวั อย่ำงและขัน้ ตอนกำรส่มุ ตวั อยำ่ ง ผวู้ จิ ัยได้คานวณกลุ่มตัวอย่างจากสูตรทาโร ยามาเน (Taro Yamane, 1973 : 125) สูตร n N 1 Ne เมอ่ื n แทน ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ ง N แทน ขนาดของประชากร e แทน ความคลาดเคลื่อนของการสมุ่ ตวั อย่าง เท่ากบั 5% หรือ 0.05 แทนค่าในสูตร n = 6,233,840 1+6,233,840(0.05)2 n = 399.97 ประมาณ 400 ในการคานวณขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ผู้ศึกษาได้คานวณกลุ่มตัวอย่างจากสูตร n = N / [1+N(e2)] ของ Taro Yamane โดยขนาดของประชากร (N) เทา่ กับ 6,233,840 ครัวเรือน ค่าความคลาดเคล่ือนที่ยอมรับได้ (e) เท่ากับ 5% หรือ 0.05 ได้จานวนครัวเรือนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างของทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือข้ันต่า เท่ากับ 400 ครัวเรือน เพื่อให้ข้อมูลท่ีเก็บได้สะท้อนถึงความหลากหลายและมีจานวนมากพอที่จะเป็นตัว แทนท่ีดีของประชากรผู้วิจัยจึงได้กาหนดขนาดตัวอย่างจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามเขตตรวจ ราชการกระทรวงสาธารณสุข แบ่งออกเป็น 4 เขตๆ ละ 1 จังหวัด รวม 4 จังหวัด เพ่ือความสะดวกในการเก็บ ข้อมูลจึงได้กาหนดให้มีการเก็บข้อมูลจังหวัดละ 120 ครอบครัว ดังนั้นขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี จงึ มที ั้งส้นิ รวม 480 ครวั เรอื น
๑๕ วิธกี ำรส่มุ ตัวอย่ำง ในการสุ่มตัวอย่างผู้ศึกษาได้มีการคัดเลือกให้มีการกระจายครอบคลุมในทุกเขตตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุขในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายข้ันตอน (Multi-Stage Random Sampling) ดงั นี้ ขน้ั ตอนท่ี 1 สุ่มจังหวดั ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เขตตรวจราชการละ 1 จังหวดั รวม 4 จังหวัด ดงั น้ี เขต 7 ได้แก่ จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์ เขต 8 ไดแ้ ก่ จงั หวดั หนองบัวลาภู เขต 9 ไดแ้ ก่ จงั หวัดบรุ ีรมั ย์ เขต 10 ได้แก่ จังหวัดมุกดาหาร ขน้ั ตอนที่ 2 สุม่ อาเภอ จากจงั หวดั ทถี่ กู ส่มุ ในขน้ั ตอนที่ 1 โดยการสุม่ ตวั อย่างจงั หวดั ละ 2 อาเภอ ได้ อาเภอพน้ื ท่ใี นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล จานวน 8 อาเภอ ข้ันตอนท่ี 3 สุ่มตาบล จากอาเภอที่ถูกสุ่มในขั้นตอนที่ 2 โดยการสุ่มตัวอย่างอาเภอละ 1 ตาบล (ตาบลจัดการสุขภาพ) ได้ตาบลที่เป็นพ้ืนทีใ่ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล จานวนรวม 8 ตาบล ขนั้ ตอนท่ี 4 สุ่มหมู่บ้าน จากตาบลท่ถี กู สมุ่ ในขั้นตอนที่ 3 โดยการส่มุ ตัวอย่างตาบลละ 2 หมู่บ้าน ดงั นั้น จะได้พ้นื ที่ในการเกบ็ ข้อมูลรวมทงั้ สนิ้ 16 หมบู่ า้ น ขั้นตอนที่ 5 สุ่มครอบครัว จากตาบลที่ถูกสุ่มในขั้นตอนที่ 4 โดยการสุ่มตัวอย่างหมู่บ้านละ 30 ครอบครัว ดงั นนั้ จะไดต้ วั แทนครอบครัวในการเกบ็ ข้อมูล จานวนทงั้ สิน้ 480 ครอบครัว ดังรายละเอยี ดในตารางที่ 1 ตำรำงที่ 1 จานวนและรอ้ ยละของข้อมลู ท่ีเก็บไดต้ ามเปา้ หมาย จาแนกรายจังหวัด จงั หวัด เป้ำหมำย จำนวนทเ่ี ก็บได้ ร้อยละ 1. กาฬสินธุ์ 120 120 100 100 2. มุกดาหาร 120 120 100 100 3. หนองบัวลาภู 120 120 100 4. บุรรี ัมย์ 120 120 รวม 480 480 เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นกำรวจิ ยั เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวจิ ัย คือ แบบสอบถามทีผ่ ูว้ ิจัยสร้างข้ึน โดยได้ตรวจสอบเอกสารแนวคิดและทฤษฎี ตา่ งๆ ท่เี กีย่ วข้อง เชน่ ความหมายของการดูแลสขุ ภาพด้วยตนเอง แนวคิดและบทบาทการดแู ลสขุ ภาพ ครอบครัว และงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างมลี กั ษณะคาถามเป็นแบบ ให้เลอื กตอบหรือเติมข้อความทเ่ี ปน็ จรงิ ประกอบดว้ ย 4 สว่ นดงั น้ี ส่วนที่ 1 ขอ้ มลู ทั่วไปของกลมุ่ ตัวอยา่ ง เปน็ คาถามเกย่ี วกับ คุณลกั ษณะทางดา้ นประชากร ของกลุ่มตวั อย่าง ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส สถานภาพในครอบครวั ระดบั การศึกษา อาชีพ รายได้ ครอบครวั เฉล่ยี ต่อเดือน จานวนสมาชกิ ในครอบครวั รวม 8 ข้อ สว่ นท่ี 2 สถานะสุขภาพและการดแู ลสุขภาพของครอบครัว โดยแบ่งเปน็ คาถามดังต่อไปน้ี
๑๖ - การเจ็บป่วยของสมาชิกในครอบครัว ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การเจ็บป่วยเล็กน้อย โรคตดิ ตอ่ โรคไมต่ ดิ ต่อ ปญั หาสขุ ภาพจิตและความพิการ และโรคอน่ื ๆ รวม 20 อาการ/โรค - วธิ ีการดูแลสขุ ภาพของสมาชกิ ในครอบครัว เปน็ คาถามเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ เม่ือเกิดการเจ็บปว่ ยของสมาชกิ ในครอบครัว ไดแ้ ก่ การเจ็บป่วยเล็กน้อย การเจ็บป่วยรุนแรง คาถามที่เก่ียวกับ การส่งเสริมสุขภาพของครอบครัวด้านการรับประทานอาหาร ด้านการออกกาลังกาย ด้านอารมณ์ ตลอดจน คาถามทเ่ี กี่ยวข้องกับการดืม่ สรุ าหรอื เคร่ืองด่ืมท่มี ีแอลกอฮอล์ และการติดบุหร่หี รือสารเสพตดิ รวม 15 ขอ้ ส่วนที่ 3 การได้รับบริการด้านสุขภาพจาก อสม.และระบบบริการสุขภาพของชุมชน เป็น คาถามที่เกี่ยวกับ การได้รับบริการสุขภาพจาก อสม. ได้แก่ การได้รับข้อมูลข่าวสาร คาแนะนา การถ่ายทอด ความรู้ การบริการสุขภาพเบ้ืองต้น การเยี่ยมบ้านจาก อสม. และการได้รับบริการสุขภาพจากระบบบริการ สขุ ภาพของชุมชน ได้แก่ มีศสมช.หรอื จดุ ให้บรกิ ารด้านสขุ ภาพโดย อสม. มกี ารเฝา้ ระวังปญั หาสาธารณสุข และ มกี จิ กรรมสง่ เสรมิ สขุ ภาพ ของชมุ ชน รวม 8 ขอ้ ส่วนที่ 4 ภาพรวมของการดูแลสุขภาพของครอบครัวเชื่อมโยงการจัดกิจกรรมด้านสุขภาพ ของชุมชน เป็นคาถามท่ีเกี่ยวกับ การมีส่วนร่วมของครอบครัวในการจัดกิจกรรมด้านสุขภาพของชุมชน ได้แก่ การร่วมประชุมประชาคม/วางแผนจัดทาโครงการ/กิจกรรมด้านสาธารณสุขของชุมชน และการร่วม กิจกรรมด้านสาธารณสุขของชุมชน เช่น การร่วมจัดกิจกรรมเฝ้าระวังคัดกรองด้านสุขภาพ การร่วมจัดการ ส่งิ แวดล้อมท่ีเอือ้ ต่อการมีสุขภาพดี การร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพของชุมชนและการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร ความรู้สุขภาพให้กับสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น ตลอดจนการประเมินความพึงพอใจต่อการให้บริการ ของ อสม. และขอ้ เสนอแนะต่อการปฏิบัติงานของ อสม.ในชมุ ชน รวม 7 ขอ้ เมื่อทีมวิจัยสร้างแบบสอบถามเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้มีการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือโดย ผู้เช่ียวชาญ จานวน 5 ท่าน เพื่อตรวจสอบเน้ือหา (Content validity) และได้มีการปรับปรุงแก้ไขตาม คาแนะนาผู้เชย่ี วชาญ กำรวัดตัวแปร ในการศึกษาวิจยั ครั้งนี้ มกี ารวัดตัวแปร ดังตอ่ ไปน้ี 1.ขอ้ มูลทว่ั ไป ไดแ้ ก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส สถานภาพในครอบครวั ระดบั การศึกษา อาชีพ รายไดค้ รอบครวั เฉลย่ี ต่อเดอื น จานวนสมาชิกในครอบครวั วธิ กี ำรวดั ตัวแปร เพศ แบ่งออกเป็น 2 ระดบั คือ จานวนชาย และหญงิ วิธีกำรวัดตัวแปร อายุ แบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ น้อยกว่า 30 ปี, 31-45 ปี, 46-60 ปี,61 ปี ขึ้นไป วธิ ีกำรวัดตัวแปร สถานภาพสมรส แบง่ ออกเปน็ 3 ระดับคือโสด, ค,ู่ หมา้ ย/หย่า/แยกกันอยู่ วิธีกำรวัดตัวแปร สถานภาพในครอบครัว แบ่งออกเป็น 5 ระดับคือหัวหน้าครอบครัว, สามี/ภรรยาของหัวหนา้ ครอบครัว, สมาชกิ ในครอบครัว, อน่ื ๆ วิธีกำรวัดตัวแปร ระดับการศึกษา แบ่งออกเป็น 6 ระดับคือไม่ได้เรียน, ประถมศึกษา, มธั ยมศึกษาตอนต้น, มัธยมศกึ ษาตอนปลาย/ปวช., อนปุ ริญญา/ปวส., ปริญญาตรหี รือสงู กวา่ วิธกี ำรวดั ตวั แปร อาชีพแบง่ ออกเป็น 6 ระดบั คือไม่ได้ประกอบอาชีพ, เกษตรกรรม, รับจ้างท่ัวไป, ค้าขาย/ธุรกจิ สว่ นตัว, รับราชการ/รฐั วิสาหกิจ, อ่นื ๆเชน่ การเมืองท้องถน่ิ , กาลังศึกษา,พระภิกษุ
๑๗ วิธีกำรวัดตัวแปร รายได้ครอบครัวเฉลี่ยต่อเดือนแบ่งออกเป็น 5 ระดับคือรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 3,000 บาท, 3,001 – 5,000 บาท, 5,001 – 10,000 บาท, 10,001 – 15,000 บาท, มากกว่า 15,000 บาท วิธีกำรวัดตัวแปร จานวนสมาชิกในครอบครัวแบ่งออกเป็น 4 ระดับคือจานวนสมาชิก 1-3 คน, 4-6 คน, 7-9 คน, มากกวา่ 9 คน 2. ปัญหำสุขภำพของครอบครัว 2.1 อาการเจ็บปว่ ยของสมาชิกในครอบครัว ในรอบ 1 ปี 2.2 การเจบ็ ป่วยเล็กนอ้ ย เชน่ ไข้หวัด ปวดกล้ามเนอื้ /ปวดท้อง/โรคกระเพาะ 2.3 โรคติดต่อ เชน่ อจุ จาระรว่ ง ไข้เลอื ดออก วณั โรค ฯลฯ 2.4 โรคไม่ตดิ ต่อ ความดนั โลหติ สูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต/น่วิ ไขมันในเลือดสงู โรคมะเร็ง 2.5 ปญั หาสขุ ภาพจิต เชน่ วิตก กังวล/เครยี ด ตดิ ยา/สารเสพตดิ ตดิ สุราเร้อื รัง 2.6 พกิ าร และอนื่ ๆ เช่นโรคเกี่ยวกบั ข้อ และกระดูก วิธีกำรวัดตัวแปร แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คอื ๑. มีปัญหาสุขภาพ หมายถึง สมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 1 คน มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรค หรอื อาการดังกลา่ ว ๒. ไม่มีปญั หาสุขภาพ หมายถึง ไมม่ สี มาชิกในครอบครวั เจ็บปว่ ย 3.วิธกี ำรดแู ลสขุ ภำพของสมำชกิ ในครอบครัว 3.1 วธิ กี ารดแู ลสุขภาพเม่ือสมาชกิ ในครอบครวั มีการเจบ็ ปว่ ยเล็กนอ้ ยไดแ้ ก่ - ดแู ลสขุ ภาพดว้ ยตนเอง เช่น ซื้อยากนิ เอง เชด็ ตัวลดไข้ ปฐมพยาบาล ฯลฯ - ปรกึ ษา/ขอรบั คาแนะนาจากอสม. - ใช้บรกิ ารสขุ ภาพที่สถานพยาบาล เชน่ รพ.สต./คลนิ กิ /โรงพยาบาล - อน่ื ๆ 3.2 วธิ กี ารดูแลสุขภาพเมื่อสมาชิกในครอบครัวมีการเจ็บปว่ ยรุนแรง - ดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เช่น ซ้อื ยากนิ เอง เชด็ ตวั ลดไข้ ปฐมพยาบาล ฯลฯ - ปรึกษา/ขอรับคาแนะนาจากอสม. - ใช้บริการสขุ ภาพท่สี ถานพยาบาล เชน่ รพ.สต./คลินกิ /โรงพยาบาล - อนื่ ๆ วิธีกำรวดั ตัวแปร แบง่ ออกเป็น 2 ระดบั คอื ๑. ทราบวิธีการดูแล หมายถึง ครอบครัวสามารถดูแลชว่ ยเหลือผปู้ ่วยเม่ือเกดิ โรคหรืออาการดงั กลา่ ว ๒. ไมท่ ราบวิธีการดูแล หมายถงึ ครอบครัวไมส่ ามารถดูแลชว่ ยเหลอื ผปู้ ่วยเม่อื เกิดโรคหรอื อาการดังกลา่ ว 4. กำรสง่ เสริมสขุ ภำพของครอบครวั 4.1 การสง่ เสรมิ สขุ ภาพของครอบครัวดา้ นการรับประทานอาหาร ไดแ้ ก่ - การรับประทานอาหารรสชาดใดเปน็ ประจา เช่น รสจดั รสชาดกลางๆ รสจืด - การรบั ประทานผักและผลไม้ เช่น ทกุ วนั , 2-3 วนั ครง้ั , นานๆครัง้ - การรับประทานอาหารประเภทใดเช่น ต้มน่งึ แกง ผัดทอด สุกๆดบิ ๆ ยา่ ง
๑๘ วิธกี ำรวดั ตัวแปร แบ่งออกเป็น 2 ระดบั คือ ๑. ทราบการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ หมายถึง สมาชิกในครอบครัวทราบ ประโยชน์ของการกินอาหารในรสชาดตา่ ง ประโยชน์ของผักผลไม้ และประเภทของอาหาร ๒. ไม่ทราบการรับประทานอาหารท่ีเป็นประโยชน์ หมายถึง สมาชิกในครอบครัวไม่ทราบ ประโยชน์ของการกินอาหารในรสชาดตา่ ง ประโยชนข์ องผกั ผลไม้ และประเภทของอาหาร 4.2 การส่งเสรมิ สุขภาพของครอบครวั ด้านการออกกลงั กายสมา่ เสมออยา่ งนอ้ ยสัปดาห์ละ๓ครง้ั วธิ ีกำรวัดตัวแปร แบ่งออกเปน็ 2 ระดับคอื ๑. ออก หมายถึง การออกกาลังกายอย่างน้อยสปั ดาห์ละ๓คร้งั ๒. ไมอ่ อก หมายถงึ ไมก่ ารออกกาลงั กายหรือออกกาลงั กายนอ้ ยกวา่ สัปดาหล์ ะ ๓ ครงั้ 4.3 การสง่ เสริมสขุ ภาพของครอบครวั ด้านวิธีการพักผอ่ นจติ ใจเชน่ นัง่ สมาธสิ วดมนต์ทาบญุ วิธกี ำรวดั ตวั แปร แบง่ ออกเป็น 2 ระดบั คอื ๑. ทาหมายถึง นงั่ สมาธิสวดมนตท์ าบญุ ๒. ไมท่ าหมายถงึ ไมน่ ั่งสมาธสิ วดมนต์ทาบญุ 4.4 การส่งเสริมสุขภาพของครอบครัว ด้านการด่ืมสุราหรือเคร่ืองด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์ บุหรี่ หรอื สารเสพติด วิธกี ำรวดั ตัวแปร แบง่ ออกเปน็ 2 ระดับคือ ๑. ดม่ื /สบู หมายถึง การด่ืมสุราและสูบบุหรี่ ๒. ไมด่ ่มื /ไมส่ ูบหมายถึง ไม่ดื่มสุราและไม่สบู บุหร่ี 5. กำรได้รบั บริกำรด้ำนสุขภำพจำกอสม. และระบบบรกิ ำรสุขภำพของชุมชน 5.1 การไดร้ บั บรกิ ารสุขภาพจากอสม.ได้แก่ - ไดร้ ับขอ้ มูลข่าวสารดา้ นสุขภาพจากอสม. - ได้รับคาแนะนาและการถ่ายทอดความรดู้ ้านการดแู ลสุขภาพจากอสม. - ได้รับการบริการสุขภาพเบื้องต้นจากอสม.เช่นปฐมพยาบาลการส่งตอ่ - ได้รบั การตรวจคัดกรองด้านสุขภาพเช่นวัดความดันโลหิตตรวจเบาหวานฯลฯ จากอสม. - ไดร้ บั การเยีย่ มบา้ นจากอสม. วิธกี ำรวดั ตวั แปร แบง่ ออกเปน็ 2 ระดับคือ ๑. ไดร้ ับ หมายถึง การได้รับบริการด้านต่างๆ จาก อสม. ๒. ไม่ได้รบั หมายถงึ การไม่ได้รบั บรกิ ารด้านตา่ งๆ จาก อสม. 5.2 การได้รับบริการสุขภาพจากระบบบริการสุขภาพของชุมชน ได้แก่ หมู่บ้าน/ชุมชนมีศสมช. หรอื จดุ ใหบ้ ริการด้านสุขภาพโดยอสม. ทส่ี ามารถไปใชบ้ รกิ ารได้สะดวก - มกี ารเฝ้าระวังปัญหาสาธารณสุขในหมบู่ า้ น/ชุมชนเชน่ กาจดั แหล่งเพาะพันธุย์ ุงลายการตรวจ สารปนเปอ้ื นในอาหารฯลฯ - มกี จิ กรรมการส่งเสริมสุขภาพของชุมชนเช่นออกกาลงั กายจัดกิจกรรมรณรงคด์ า้ นสขุ ภาพ ฯลฯ วิธกี ำรวัดตวั แปร แบง่ ออกเป็น 2 ระดับคือ ๑. ได้รบั หมายถึง การไดร้ ับบรกิ ารด้านตา่ งๆ จากระบบบรกิ ารสขุ ภาพของชมุ ชน ๒. ไม่ได้รับ หมายถึง การไม่ได้รับบรกิ ารดา้ นตา่ งๆ จากระบบบรกิ ารสุขภาพของชุมชน
๑๙ 6. กำรมีสว่ นร่วมของครอบครวั ในกำรจดั กจิ กรรมด้ำนสุขภำพของชุมชน 6.1 รว่ มประชุมประชาคม/วางแผนจดั ทาโครงการ/กจิ กรรมดา้ นสาธารณสุขของชมุ ชน 6.2 รว่ มกจิ กรรมด้านสาธารณสขุ ของชมุ ชน ได้แก่ - ร่วมจัดกิจกรรมเฝ้าระวังคัดกรองด้านสุขภาพ เช่น วัดความดัน โลหิต ตรวจน้าตาลใน ปสั สาวะ - ร่วมจัดการสิ่งแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการมีสุขภาพดี เช่น รณรงค์ กาจัดลูกน้ายุงลาย รณรงค์ทา ความสะอาดชมุ ชน ฯลฯ - รว่ มกจิ กรรมสง่ เสรมิ สขุ ภาพของชมุ ชน เชน่ ออกกาลังกาย ฯลฯ - ถา่ ยทอดขอ้ มลู ขา่ วสารความรู้สุขภาพใหก้ ับสมาชิกในครอบครวั วธิ กี ำรวัดตัวแปร แบง่ ออกเปน็ 2 ระดบั คือ ๑. มี หมายถงึ การมสี ่วนร่วมของครอบครวั ในการจดั กจิ กรรมดา้ นสุขภาพของชมุ ชน ๒. ไม่มี หมายถึง การไม่มสี ่วนรว่ มของครอบครวั ในการจัดกิจกรรมดา้ นสขุ ภาพของชมุ ชน กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู มขี ้นั ตอนในการดาเนนิ งานดังต่อไปน้ี 1. วางแผนและจดั ทาแนวทางในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 2. ประสานงานกับสานักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่เป้าหมาย เพ่ือช้ีแจงรายละเอียดแผนการเก็บ ขอ้ มูลพ้ืนท่เี ปา้ หมายเพอ่ื ขอความร่วมมือจงั หวัดในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 3. ชแี้ จงรายละเอียดของแบบสอบถาม วธิ กี ารเกบ็ ข้อมลู แกผ่ ้ปู ระสานงานจังหวดั 4. ลงพนื้ ทเี่ ก็บข้อมูล และติดตามสนบั สนุนการเกบ็ ข้อมูลของแต่ละจังหวัด 5. ตรวจสอบความถกู ต้องและครบถว้ นของแบบสอบถามทุกชุด ก่อนนาไปวเิ คราะห์ขอ้ มูลต่อไป กำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู ในการประมวลผลและวิเคราะหข์ อ้ มลู เชิงปริมาณ มีข้ันตอนในการดาเนินงานดงั นี้ 1. นาแบบสอบถามมาลงรหสั ข้อมูลตามคูม่ อื ลงรหสั 2. บนั ทึกข้อมูลลงเครอื่ งคอมพิวเตอร์ 3. วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป SPSS for window (Statistical Package for the Social Science for window) โดยใช้สถิติเชิงพรรณา (Descriptive statistics) ได้แก่ การแจกแจงความถ่ี รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย คา่ สงู สดุ ค่าตา่ สุด และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
๒๐ บทที่ 4 ผลกำรศึกษำ ผลการศึกษาสามารถจาแนกขอ้ มลู ออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้ สว่ นท่ี 1 ขอ้ มูลทว่ั ไปของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนที่ 2 สถานะสขุ ภาพและการดูแลสขุ ภาพของครอบครัว สว่ นท่ี 3 การได้รับบรกิ ารด้านสขุ ภาพจาก อสม. และระบบบริการสขุ ภาพของชมุ ชน ส่วนที่ 4 ภาพรวมของการดูแลสุขภาพของครอบครวั เช่อื มโยงการจัดกจิ กรรม ส่วนท่ี 1 ขอ้ มูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง จากการศึกษาข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 67.1๐ มีอายุระหว่าง 46 – 60 ปี ร้อยละ 32.5๐ มีสถานภาพสมรสแบบ คู่/สมรส ร้อยละ 69.0๐ส่วนใหญ่ เป็นหัวหน้าครอบครัว ร้อยละ 46.4๐ จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา ร้อยละ 65.1๐ ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม ร้อยละ 65.2๐ มีรายได้เฉล่ียต่อเดือนจานวน 5,001 – 10,000 บาท ร้อยละ 29.9๐ และส่วนใหญ่มีจานวนสมาชิกในครอบครัว 4 – 6 คน ร้อยละ 61.9๐ ดงั รายละเอยี ดในตารางท่ี 2 ตำรำงท่ี 2 จานวนและร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง จาแนกตามข้อมูลทว่ั ไป จำนวน รอ้ ยละ ข้อมูลทั่วไป 157 32.90 320 67.10 เพศ ชาย 75 15.60 หญิง 132 27.50 156 32.50 อำยุ 117 22.40 น้อยกว่า 30 ปี 31 – 45 ปี 60 12.50 46 – 60 ปี 331 69.00 61 ปีข้นึ ไป 89 18.50 สถำนภำพสมรส 220 46.40 โสด 125 26.40 คู่ 127 26.80 หม้าย/หยา่ /แยกกนั อยู่ 0.40 2 สถำนภำพในครอบครวั หัวหนา้ ครอบครัว สามี/ภรรยาของหวั หนา้ ครอบครวั สมาชิกในครอบครัว อ่นื ๆ
๒๑ ตำรำงท่ี 2 จานวนและร้อยละของกล่มุ ตวั อยา่ ง จาแนกตามข้อมลู ท่วั ไป (ตอ่ ) ขอ้ มูลทั่วไป จำนวน รอ้ ยละ ระดบั กำรศกึ ษำ 2.10 65.10 ไม่ได้เรียน 10 13.80 16.30 ประถมศึกษา 311 1.30 1.50 มธั ยมศึกษาตอนต้น 66 7.70 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย/ปวช. 78 65.20 13.70 อนุปรญิ ญา/ปวส. 6 8.30 1.50 ปรญิ ญาตรีหรอื สงู กว่า 7 3.60 อำชพี 26.5๐ 26.3๐ ไม่ไดป้ ระกอบอาชีพ 36 29.9๐ 7.2๐ เกษตรกรรม 305 10.0๐ รบั จ้างทัว่ ไป 64 28.30 61.90 คา้ ขาย/ธรุ กจิ สว่ นตัว 39 7.50 2.30 รบั ราชการ/รัฐวสิ าหกจิ 7 อาชีพอืน่ ๆ เช่น การเมืองท้องถิ่น กาลงั ศึกษา 17 และพระภกิ ษุ เป็นต้น รำยได้เฉลยี่ ตอ่ เดือน ไมเ่ กนิ 3,000 บาท 125 3,001 – 5,000 บาท 124 5,001 – 10,000 บาท 141 10,001 – 15,000 บาท 34 มากกวา่ 15,000 บาท 47 จำนวนสมำชิกในครอบครัว 1 – 3 136 4 – 6 297 7 – 9 36 มากกว่า 9 11 ส่วนที่ 2 สถำนะสขุ ภำพและกำรดูแลสุขภำพของครอบครวั จากการศึกษา พบว่าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วย เล็กน้อย เช่น ไข้หวัด ปวดกล้ามเนื้อ ปวดท้อง หรือโรคกระเพาะ ร้อยละ 66.67 รองลงมาป่วยด้วยโรคไม่ ติดต่อ ร้อยละ 45.21 เช่น โรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 18.96 โรคไต/นิ่ว ร้อยละ 5.21 และ โรคเบาหวาน ร้อยละ 5.00 และปัญหาด้านสุขภาพจิตและความพิการในจานวนท่เี ท่ากัน รอ้ ยละ 7.05 วิธีดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวเม่ือเจ็บป่วยเล็กน้อย ส่วนใหญ่เข้ารับบริการที่สถานพยาบาล เช่น รพ.สต./คลนิ กิ /โรงพยาบาล ร้อยละ 77.50 รองลงมา คอื ดูแลสุขภาพดว้ ยตนเอง เช่น การซ้ือยากินเอง เช็ดตัว ลดไข้ ปฐมพยาบาล ฯลฯ รอ้ ยละ 48.96 และขอคาปรกึ ษา/ขอรบั คาแนะนาจากอสม.รอ้ ยละ 47.71
๒๒ เมื่อสมาชิกในครอบครัวมีการเจ็บป่วยรุนแรง พบว่าส่วนใหญ่จะเลือกใช้บริการจากสถานพยาบาลเป็น หลัก ร้อยละ 83.33 รองลงมาคือขอคาปรึกษา/คาแนะนาจาก อสม.และดูแลสุขภาพตนเอง เช่น ซื้อยากินเอง เชด็ ตวั ลดไข้ ปฐมพยาบาลฯ คดิ เป็นร้อยละ 35.42 และรอ้ ยละ 20.63 ตามลาดบั รายละเอียดได้ดงั ตารางท่ี 3 ตำรำงที่ 3 ร้อยละของสถำนะสุขภำพและกำรดูแลสุขภำพของครอบครัวจำแนกตำมปัญหำสุขภำพ และ วิธีกำรดูแลสุขภำพของสมำชิกในครอบครัว ปัญหำสขุ ภำพของครอบครวั จำนวน รอ้ ยละ 1. ในรอบ 1 ปีสมำชิกในครอบครวั มีอำกำรเจ็บป่วยด้วยอำกำร/โรค (N=480) - เจ็บปว่ ยเลก็ น้อย เชน่ ไขห้ วัด ปวดกล้ามเน้อื /ปวดท้อง/โรคกระเพาะ 312 65.00 - โรคติดตอ่ เช่น อจุ จาระรว่ ง ไขเ้ ลอื ดออก วัณโรค ฯลฯ 10 2.08 - โรคไมต่ ดิ ต่อ 217 45.21 ความดันโลหติ สูง 91 18.96 โรคเบาหวาน 24 5.00 โรคหวั ใจ 23 4.79 โรคไต/นิ่ว 25 5.21 ไขมันในเลอื ดสงู 7 1.46 โรคมะเร็ง 7 1.46 - ปญั หาสขุ ภาพจติ เช่น วติ กกังวล/เครยี ด ตดิ ยา/สารเสพติด ติดสุราเรื้อรงั 33 6.88 - พกิ าร 33 6.88 - อ่นื ๆ เชน่ โรคเก่ียวกบั ขอ้ และกระดกู 13 2.78 2. วิธกี ำรดูแลสุขภำพของสมำชกิ ในครอบครวั (N=480) 2.1 สมาชิกในครอบครวั มีการเจบ็ ปว่ ยเลก็ น้อย - ดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เช่น ซอ้ื ยากนิ เอง เช็ดตัวลดไข้ ปฐมพยาบาล ฯลฯ 235 48.96 - ปรกึ ษา/ขอรบั คาแนะนาจาก อสม. 229 47.71 - ใช้บรกิ ารสุขภาพทส่ี ถานพยาบาล เช่น รพ.สต./คลนิ ิก/โรงพยาบาล 372 77.50 - อื่นๆ 7 1.46 2.2 สมาชกิ ในครอบครัวมีการเจ็บปว่ ยรุนแรง - ดแู ลสขุ ภาพด้วยตนเอง เชน่ ซอื้ ยากนิ เอง เช็ดตัวลดไข้ ปฐมพยาบาล ฯลฯ 99 20.63 - ปรึกษา/ขอรับคาแนะนาจาก อสม. 170 35.42 - ใชบ้ ริการสุขภาพทสี่ ถานพยาบาล เชน่ รพ.สต./คลนิ กิ /โรงพยาบาล 400 83.33 - อืน่ ๆ 10 2.08
๒๓ 3.การส่งเสริมสุขภาพของครอบครัว ดา้ นการรับประทานอาหาร การออกกาลังกาย และด้านจติ ใจ 3.1) การส่งเสรมิ สุขภาพของครอบครัว ดา้ นการรับประทานอาหาร - รสชาติของอาหารท่ีรบั ประทานเปน็ ประจา พบว่า ส่วนใหญ่รบั ประทานอาหาร รสชาตกิ ลาง ๆ คิดเปน็ รอ้ ยละ 76.25 รองลงมารสจดื 13.54 และ รสจดั รอ้ ยละ 8.75 - การรับประทานผักและผลไม้ พบว่า ส่วนใหญ่รับประทานทุกวัน คิดเป็นร้อยละ 64.58 รองลงมา 2-3 วนั /ครง้ั รอ้ ยละ 30.63 และนาน ๆ ครัง้ ร้อยละ 2.71 - ประเภทของอาหารทที่ ีร่ ับประทานเป็นประจา พบว่า ส่วนใหญร่ บั ประทานอาหาร ประเภท ต้มน่ึงแกง คิดเป็นร้อยละ 88.54 รองลงมา ผัด ทอด ร้อยละ 7.29 และ สุก ๆ ดิบๆ ร้อยละ 1.67 รายละเอยี ดได้ดังตารางที่ 4 ตำรำงที่ 4 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอยา่ ง จาแนกตามการสง่ เสริมสขุ ภาพของครอบครวั ด้านอำหำร กำรส่งเสรมิ สขุ ภำพของครอบครวั จำนวน รอ้ ยละ ครอบครวั มีการรับประทานอาหารรสชาติใดเปน็ ประจา 8.75 76.25 - รสจดั 42 13.54 - รสชาตกิ ลางๆ 366 64.58 30.63 - รสจืด 65 2.71 ครอบครัวมีการรบั ประทานผักและผลไม้ 88.54 7.29 - ทกุ วนั 310 1.67 1.46 - 2-3 วันครง้ั 147 - นานๆ ครงั้ 13 ครอบครวั มีการรับประทานอาหารประเภทใด - ตม้ นงึ่ แกง 425 - ผัด ทอด 35 - สุกๆดบิ ๆ 8 - ย่าง 7 3.2) การส่งเสรมิ สุขภาพของครอบครัวดา้ นการออกกาลงั กาย และดา้ นจติ ใจ ดา้ นการออกกาลังกายสมาชิกครอบครัวส่วนใหญ่ออกกาลังกายสม่าเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 83.13 ด้านจิตใจส่วนใหญ่สมาชิกครอบครัวมีวิธีการพักผ่อนจิตใจ เช่น นั่งสมาธิ สวดมนต์ ทาบุญ คิด เป็นร้อยละ 90.63 นอกจากน้ันสมาชกิ ครอบครัวในครอบครวั ส่วนใหญ่ไม่ด่ืมสุราหรือเครื่องดื่มท่ีมีแอลกอฮอล์ และติดสบู บุหรีห่ รอื สารเสพติด รอ้ ยละ 61.25 และ 57.71 ตามลาดบั รายละเอียดดงั ตารางที่ 5
๒๔ ตารางที่ 5 รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง จาแนกตามการสง่ เสริมสขุ ภาพของครอบครัวดา้ นการออก กาลังกายและด้านจิตใจ กำรส่งเสรมิ สขุ ภำพของครอบครัว จำนวน ร้อยละ 1) ครอบครวั มีการออกกาลงั กายสมา่ เสมออย่างน้อยสัปดาหล์ ะ ๓ ครงั้ 83.13 8.54 - ใช่ 399 90.63 - ไมใ่ ช่ 41 8.54 2) ครอบครวั มีวธิ กี ารพกั ผ่อนจติ ใจ เช่น นง่ั สมาธิ สวดมนต์ ทาบุญ 37.92 61.25 - ใช่ 435 41.04 - ไม่ใช่ 41 57.71 3) มคี นในครอบครวั ด่ืมสรุ าหรือเครื่องดืม่ ที่มแี อลกอฮอล์ - มี 182 - ไม่มี 294 2.3.7 มีคนในครอบครัวตดิ บุหร่ี หรอื สารเสพตดิ - มี 197 - ไม่มี 277 ส่วนที่ 3 กำรได้รบั บริกำรด้ำนสขุ ภำพจำก อสม. และระบบบริกำรสุขภำพของชุมชน 3.1 การได้รบั บริการสุขภาพจากอสม. สามารถแบง่ ออกได้ดงั นี้ การได้รับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ พบว่า ส่วนใหญ่คือ ร้อยละ 96.67 ของครอบครัวได้รับ ขอ้ มลู ข่าวสารดา้ นสุขภาพจาก อสม. การได้รับคาแนะนาและการถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแลสุขภาพ พบว่า ร้อยละ 96.25 ได้รับ คาแนะนาและการถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแลสขุ ภาพจาก อสม. การได้รับการบริการสุขภาพเบื้องต้น เช่น ปฐมพยาบาล การส่งต่อผู้ป่วย พบว่า ส่วนใหญ่ของ ครอบครวั คอื ร้อยละ 85.83 ไดร้ บั การบรกิ ารสขุ ภาพเบอ้ื งตน้ จากอสม. การได้รบั การตรวจคดั กรองดา้ นสุขภาพ เชน่ วัดความดันโลหิต ตรวจเบาหวาน ฯลฯ พบว่า ส่วน ใหญ่ของครอบครวั คอื รอ้ ยละ 93.33 ไดร้ ับการตรวจคดั กรองด้านสุขภาพจาก อสม. การได้รับการเย่ียมบ้าน พบว่า ส่วนใหญ่ของครอบครัวคือร้อยละ 87.50 ได้รับการเย่ียมบ้าน จาก อสม. 3.2 การไดร้ ับบรกิ ารสขุ ภาพจากระบบบริการสุขภาพของชมุ ชน สามารถแบง่ ออกได้ดังน้ี หมู่บ้าน/ชุมชนมีศสมช.หรือจุดให้บริการด้านสุขภาพโดยอสม.ที่สามารถไปใช้บริการได้สะดวก พบวา่ สว่ นใหญค่ อื ร้อยละ 85.83 ของหมู่บา้ น/ชุมชนมี ศสมช. หรอื จุดใหบ้ ริการดา้ นสุขภาพโดย อสม. การเฝ้าระวงั ปญั หาสาธารณสุขในหม่บู า้ น/ชมุ ชน เช่น กาจดั แหล่งเพาะพันธุย์ งุ ลาย การตรวจสาร ปนเป้ือนในอาหาร ฯลฯ พบว่า ส่วนใหญ่คือร้อยละ 97.71 ของหมู่บ้าน/ชุมชนมีการเฝ้าระวังปัญหา สาธารณสุข การจัดกิจกรรมการสง่ เสริมสุขภาพของชมุ ชน เช่น ออกกาลงั กาย รณรงคด์ า้ นสุขภาพ ฯลฯ พบวา่ ส่วนใหญ่คือรอ้ ยละ 87.92 ของหม่บู า้ น/ชุมชน มีกจิ กรรมการสง่ เสริมสขุ ภาพของชุมชน รายละเอยี ดดังตารางท่ี 6
๒๕ ตำรำงที่ 6 ร้อยละของกลุ่มตัวอย่ำง จำแนกตำมกำรได้รับบริกำรด้ำนสุขภำพจำก อสม. และระบบบริกำร สุขภำพของชุมชน (N=480) กำรได้รับบรกิ ำรด้ำนสขุ ภำพ จำนวน รอ้ ยละ 1. ไดร้ บั บรกิ ำรสขุ ภำพจำก อสม. 1.1 ได้รับข้อมลู ข่าวสารดา้ นสขุ ภาพจาก อสม. 464 96.67 1.2 ไดร้ ับคาแนะนาและการถ่ายทอดความรู้ด้านการดแู ลสุขภาพจาก อสม. 462 96.25 1.3 ได้รบั การบริการสขุ ภาพเบอ้ื งต้นจาก อสม.เช่น ปฐมพยาบาล 412 85.83 การสง่ ตอ่ 1.4 ได้รบั การตรวจคัดกรองด้านสขุ ภาพ เชน่ วดั ความดันโลหติ 448 93.33 ตรวจเบาหวาน ฯลฯ จาก อสม. 1.5 ได้รับการเย่ียมบ้านจาก อสม. 420 87.50 2. ได้รบั บริกำรสขุ ภำพจำกระบบบรกิ ำรสุขภำพของชุมชน ๒.๑ หม่บู ้าน/ชมุ ชนของทา่ นมี ศสมช. หรอื จดุ ใหบ้ ริการดา้ นสุขภาพโดย อสม. 421 85.83 ทท่ี า่ นสามารถไปใช้บรกิ ารไดส้ ะดวก 2.2 มกี ารเฝา้ ระวงั ปญั หาสาธารณสุขในหมบู่ ้าน/ชมุ ชน เชน่ กาจัดแหล่ง 469 97.71 เพาะพนั ธ์ุยงุ ลาย การตรวจสารปนเปอ้ื นในอาหาร ฯลฯ 2.3 มกี จิ กรรมการสง่ เสรมิ สุขภาพของชมุ ชน เช่น ออกกาลังกาย จัดกิจกรรม 422 87.92 รณรงคด์ ้านสุขภาพ ฯลฯ ส่วนที่ 4 ภำพรวมของกำรดูแลสุขภำพของครอบครัวเชื่อมโยงกำรจัดกิจกรรมด้ำนสุขภำพของชมุ ชน 1. กำรมีส่วนร่วมของครอบครัวในกำรจดั กำรกจิ กรรมดำ้ นสุขภำพชมุ ชน การมสี ่วนร่วมของครอบครวั ในการจัดกิจกรรมด้านสุขภาพของชมุ ชน สามารถแบง่ ออกไดด้ ังน้ี การร่วมประชุมประชาคม วางแผนจัดทาโครงการ/กจิ กรรมดา้ นสาธารณสุขของชมุ ชน พบวา่ ส่วนใหญ่ คือ รอ้ ยละ 87.08 ของครอบครวั มีส่วนรว่ มประชุมประชาคม/วางแผนฯของชุมชน การเขา้ ร่วมกิจกรรมด้านสาธารณสุขของชุมชน ประกอบด้วย - การเขา้ ร่วมจดั กจิ กรรมเฝ้าระวงั คดั กรองด้านสุขภาพ เชน่ วัดความดันโลหิต ตรวจนา้ ตาลใน ปสั สาวะ คดิ เปน็ ร้อยละ 95.42 - การร่วมจดั การสิง่ แวดล้อมที่เออ้ื ต่อการมีสุขภาพดี เชน่ รณรงคก์ าจดั ลกู นา้ ยุงลาย รณรงคท์ า ความสะอาดชมุ ชนฯลฯ คิดเป็นรอ้ ยละ 95.83 - การร่วมกจิ กรรมสง่ เสริมสุขภาพของชมุ ชน เชน่ ออกกาลังกายฯลฯ คิดเป็นร้อยละ 86.25 - การถ่ายทอดข้อมูลขา่ วสารความรูส้ ุขภาพให้กบั สมาชิกในครอบครัว คิดเปน็ ร้อยละ 94.79 รายละเอียดไดด้ ังตารางที่ 7
๒๖ ตำรำงที่ 7 รอ้ ยละของกล่มุ ตัวอย่าง จาแนกตามการมีสว่ นรว่ มของครอบครวั ในการจัดการกจิ กรรม ด้านสขุ ภาพชุมชน (N=480) กำรมีส่วนร่วมของครอบครัวในกำรจดั กำรกจิ กรรมดำ้ นสขุ ภำพชมุ ชน จำนวน รอ้ ยละ 87.08 1.ร่วมประชมุ ประชาคม/วางแผนจัดทาโครงการ/กิจกรรมด้านสาธารณสขุ ของชมุ ชน 418 95.42 2.ร่วมกจิ กรรมดา้ นสาธารณสุขของชมุ ชน 95.83 - ร่วมจัดกิจกรรมเฝา้ ระวงั คดั กรองด้านสุขภาพ เชน่ วดั ความดนั โลหติ ตรวจ 458 86.25 นา้ ตาลในปัสสาวะ 94.79 - รว่ มจดั การสงิ่ แวดล้อมทีเ่ อื้อต่อการมสี ุขภาพดี เชน่ รณรงค์กาจดั ลกู นา้ ยงุ ลาย 460 รณรงคท์ าความสะอาดชมุ ชน ฯลฯ - ร่วมกิจกรรมสง่ เสริมสขุ ภาพของชมุ ชน เช่น ออกกาลงั กาย ฯลฯ 414 - ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารความรู้สุขภาพให้กบั สมาชกิ ในครอบครวั 455 2. ควำมพงึ พอใจต่อกำรใหบ้ ริกำรของอสม. กลุ่มตวั อย่างสว่ นใหญ่มรี ะดบั ความพึงพอใจตอ่ การให้บริการของ อสม.ในระดบั มาก คิดเป็นร้อยละ 58.60 รองลงมาคือ ระดับปานกลาง คดิ เป็นร้อยละ 41.00 และระดับนอ้ ย ร้อยละ 0.40 รายละเอียดไดด้ ังตารางที่ 8 ตำรำงท่ี 8 รอ้ ยละควำมพึงพอใจตอ่ กำรให้บรกิ ำรของอสม. (N=466) ควำมพงึ พอใจต่อกำรให้บรกิ ำรของอสม. จำนวน ร้อยละ - มาก 273 58.60 - ปานกลาง 191 41.00 - นอ้ ย 2 0.40 3. ข้อเสนอแนะ - ควรเพม่ิ อุปกรณ์ของ อสม.ให้เพียงพอกับ เช่น เคร่ืองมือวัดความดัน เคร่ืองพน่ ยากนั ยุง - ให้ อสม. เพ่มิ ประสิทธภิ าพการทางานใหม้ ากขน้ึ - ให้ อสม. เยยี่ มบา้ นประชาชนในชุมชนให้บ่อยมากย่ิงขน้ึ ตอ้ งมีทีมงานชว่ ยกนั ทางาน - ควรมกี ารประชาสมั พันธข์ า่ วสารความรแู้ ก่ชาวบ้านเพื่อใหท้ นั เหตกุ ารณ์ของการเกิดโรค
๒๗ บทท่ี 5 สรปุ อภปิ รำยผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลกำรศึกษำ การวิจัยคร้ังนี้จัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาข้อมูลการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ของครอบครวั ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื โดยมีวัตถุประสงคเ์ พ่อื 1. ศึกษาสถานะสุขภาพและการดูแลสุขภาพของครอบครัว 2. ศึกษาการไดร้ ับบริการดา้ นสขุ ภาพจาก อสม.และระบบบรกิ ารสุขภาพของชมุ ชน 3. ศึกษาภาพรวมของการดูแลสุขภาพของครอบครัวเชื่อมโยงการจัดกิจกรรมด้านสุขภาพ ของชุมชน โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือก คือจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจานวน 4 จังหวัด ซึ่งในแต่ละจังหวัดจะคัดเลือก 2 อาเภอ และแต่ละอาเภอจะคัดเลือก 1 ตาบล โดยท่ี 1 ตาบล จะคัดเลือก 2 หมู่บ้าน หลังจากนั้น จะทาการสุ่มเลือกตัวแทนครอบครัวจากหมู่บ้านๆ ละ 30 คน ดังนั้น กลุม่ ตวั อย่างมจี านวนทง้ั สนิ้ 480 คน อภปิ รำยผล ผลการศึกษาสามารถจาแนกข้อมูลออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลท่ัวไป ของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนท่ี 2 สถานะสุขภาพและการดูแลสุขภาพของครอบครัว ส่วนที่ 3 การได้รับบริการ ด้านสุขภาพจาก อสม. และระบบบริการสุขภาพของชุมชน และ ส่วนท่ี 4 ภาพรวมของการดูแลสุขภาพ ของครอบครวั เชือ่ มโยงการจดั กจิ กรรมด้านสขุ ภาพของชุมชน โดยมขี อ้ มลู ดงั ต่อไปนี้ ส่วนท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่ำง จากการศึกษาข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 46 – 60 ปี มีสถานภาพสมรสแบบ คู่/สมรส ส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าครอบครัว จบการศึกษาในระดับ ประถมศึกษา ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนจานวน 5,001 - 10,000 บาท และส่วน ใหญ่มีจานวนสมาชกิ ในครอบครัว 4 – 6 คน สว่ นท่ี 2 สถำนะสุขภำพและกำรดูแลสุขภำพของครอบครัว จากการศึกษาข้อมูลสถานะสุขภาพและการดูแลสุขภาพของครอบครัว พบว่าในรอบ 1 ปีท่ีผ่านมา สมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่มีอาการเจ็บป่วย โดยมีอาการป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้หวัด ปวดกล้ามเน้ือ ปวดท้อง หรือโรคกระเพาะ รองลงมาป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง รองลงมาโรคไต/นิ่ว และ โรคเบาหวาน รวมถึงปัญหาด้านสุขภาพจิตและความพิการในจานวนที่เท่ากัน และโรคอ่ืนๆ เช่น โรคเก่ียวกับ ข้อและกระดกู ซ่ึงสว่ นใหญด่ ูแลสุขภาพของสมาชกิ ในครอบครัวโดยการเข้ารับบริการท่ีสถานพยาบาล เช่น รพ. สต./คลินิก/โรงพยาบาล รองลงมาใช้วิธีการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เช่น ซ้ือยากินเอง เช็ดตัวลดไข้ ปฐม พยาบาล ฯลฯ มีการขอคาปรึกษา/ขอรับคาแนะนาจาก อสม. และอ่ืนๆ ทั้งน้ีเมื่อสมาชิกในครอบครัวมีการ เจ็บป่วยรุนแรง ก็จะเลือกใช้บริการจากสถานพยาบาลเป็นหลัก นอกจากนี้คนในครอบครัวยังมีการส่งเสริม สขุ ภาพในดา้ นตา่ งๆ ไดแ้ ก่ การสง่ เสริมสขุ ภาพของครอบครัวด้านการรับประทานอาหาร คือการให้ทานอาหาร รสชาติกลางๆ มีการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจาทุกวัน ส่วนใหญ่รับประทานอาหารประเภทต้ม น่ึง แกง และมีการออกกาลังกายสม่าเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 คร้ัง รวมถึงมีวิธีการพักผ่อนจิตใจ
๒๘ เช่น นั่งสมาธิ สวดมนต์ ทาบุญ คนในครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ดื่มสุราหรือเคร่ืองด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ หรอื สารเสพตดิ สว่ นที่ 3 กำรไดร้ บั บริกำรดำ้ นสขุ ภำพจำก อสม. และระบบบรกิ ำรสขุ ภำพของชมุ ชน จากการศึกษาการได้รับบริการด้านสุขภาพจาก อสม. และระบบบริการสุขภาพของชุมชน พบว่าส่วน ใหญ่ได้รับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพได้รับคาแนะนาและการถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแลสุขภาพจาก อสม. ในจานวนที่เท่ากัน ได้รับบริการสุขภาพเบื้องต้น ได้รับการตรวจคัดกรองด้านสุขภาพ เช่น วัดความดันโลหิต ตรวจเบาหวาน ฯลฯ และได้รับการเย่ียมบ้าน ท้ังน้ีจากการศึกษาในด้านการได้รับบริการสุขภาพจากระบบ บรกิ ารสขุ ภาพของชุมชน พบว่าในหมู่บ้าน/ชุมชนมี ศูนย์สุขภาพชุมชน (ศสมช.) หรือจุดให้บริการด้านสุขภาพ โดย อสม. ทีส่ ามารถเข้ารับบริการได้สะดวก มีการเฝา้ ระวงั ปญั หาสาธารณสุขในหมู่บ้าน/ชุมชน เช่น การกาจัด แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การตรวจสารปนเปื้อนในอาหาร ฯลและมีกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพของชุมชน เช่น การออกกาลงั กาย จัดกิจกรรมรณรงค์ด้านสขุ ภาพ ฯลฯ ส่วนที่ 4 ภำพรวมของกำรดูแลสุขภำพของครอบครัวเชื่อมโยงกำรจัดกจิ กรรมดำ้ นสขุ ภำพของชุมชน 1. กำรมีสว่ นรว่ มของครอบครัวในกำรจัดกำรกจิ กรรมด้ำนสุขภำพชุมชน จากการศึกษาการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการจัดกิจกรรมด้านสุขภาพของชุมชน พบว่าส่วนใหญ่ ร่วมกิจกรรมด้านสาธารณสุขของชุมชน โดยการร่วมจัดกิจกรรมการจัดสิ่งแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการมีสุขภาพดี เชน่ การรณรงค์กาจดั ลูกน้ายงุ ลาย รณรงคท์ าความสะอาดชุมชน ฯลฯ รองลงมาการเฝ้าระวังคัดกรองด้านสุขภาพ เช่น วัดความดันโลหิต ตรวจน้าตาลในปัสสาวะ ร่วมถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารความรู้สุขภาพให้กับสมาชิก ในครอบครัว และร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพของชุมชนโดยการออกกาลังกาย ฯลฯ อีกทั้งได้ร่วมประชุม ประชาคม/วางแผนจดั ทาโครงการ/กิจกรรมดา้ นสาธารณสขุ ของชมุ ชน ๒. ควำมพงึ พอใจต่อกำรใหบ้ รกิ ำรของอสม. กลุม่ ตัวอยา่ งสว่ นใหญ่มีระดับความพึงพอใจในระดบั มากตอ่ การให้บริการของอสม. ข้อเสนอแนะ 1. การดูแลสุขภาพของครอบครัว ควรมีนโยบายในการเสริมสร้างศักยภาพของครอบครัวในการดูแล สุขภาพด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนให้มีความรู้ ความเข้าใจ และประพฤติปฏิบัติตนในการดูแลสุขภาพด้วยตนเองอย่างรับผิดชอบด้วยความรู้สึกว่า “สุขภาพเป็นของตนเอง” ในทกุ ครอบครัว อยา่ งน้อยครอบครวั ละ ๑ คน ทาหน้าท่ีเป็นแกนนาทางด้านสุขภาพ มีความรู้ความสามารถใน การดูแลสุขภาพตนเองและสมาชกิ ในครอบครวั โดยมีภาครัฐทาหน้าทเ่ี ป็นพี่เลย้ี งในการจัดระบบบริการสุขภาพ ทมี่ คี ุณภาพของประชาชน ตลอดจนทาให้ประชาชนพ่ึงตนเองได้ 2. การได้รับบริการด้านสุขภาพจาก อสม.และระบบบริการสุขภาพของชุมชน จากการศึกษาพบว่าส่วน ใหญ่ได้รับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพได้รับคาแนะนาและการถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแลสุขภาพจาก อสม. และควรจัดหาสิ่งสนับสนุนหรืออุปกรณ์ท่ีจาเป็นสาหรับ อสม.ในการปฏิบัติงานในหมู่บ้าน/ชุมชนมี ศูนย์สุขภาพ ชุมชน (ศสมช.) 3. พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมการพัฒนาศักยภาพ อสม.ในการปฏิบัติงานร่วมกับทีมหมอครอบครัว หรือ ทมี สหวิชาชีพอืน่ ๆ ในการปฏบิ ัติงานในชุมชน 4. พัฒนาเทคโนโลยีและช่องทางการสื่อสารทางด้านสุขภาพในชุมชนที่มีประสิทธิภาพเพ่ือถ่ายทอด ความรใู้ ห้กับแกนนาสุขภาพครอบครวั อสม. และเจ้าหน้าที่ในทกุ ระดบั
๒๙ บรรณำนกุ รม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย. 2550. มาตรฐานงานสาธารณสุขมูลฐาน. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. 2546. แผน ยุทธศาสตร์การดาเนินงานสุขภาพภาคประชาชน แผน 9. พิมพ์คร้ังท่ี 3. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, น.ส.ปารณฐั สขุ สุทธิ์. (2550) ศกั ยภาพอาสาสมัครสาธารณสขุ : บทบาทและ บรบิ ททีเ่ ปล่ียนไปในสังคมไทย. ไชยา ไชยชนะ. (2549). การมสี ่วนร่วมในการดาเนนิ งานโครงการเมืองแขง็ แรงของอาสาสมคั รสาธารณสุข ประจาหมู่บ้าน จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี. มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์. ช่อทพิ ย์ บรมธนรตั น์. (2539). ปัจจัยทมี่ ผี ลตอ่ การปฎบิ ตั งิ านดา้ นสาธารณสุขมลู ฐานตามบทบาทหน้าที่ ของอาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจาหมู่บ้าน ณ ศนู ยส์ าธารณสขุ มูลฐานชุมชน จงั หวัดสพุ รรณบรุ ี. สานกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั สุพรรณบุรี. ธวชั ชยั วีระกิตกิ ุล. (2552). ปจั จยั ที่มีความสมั พันธ์กบั การปฎิบตั ิงานตามบทบาทของอาสาสมคั ร สาธารณสขุ ประจาหมบู้ ้านในการดาเนนิ งานหมู่บา้ นจดั การสขุ ภาพ จงั หวดั พัทลุง. มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ. นรศิ รา ธนาภิวฒั นกรู . (2542). การประเมนิ การปฎิบัตงิ านของ อสม. ในศูนยส์ าธารณสขุ มลู ฐาน จังหวัด อ่างทอง. มหาวิทยาลยั มหิดล. ปตั พงษ์ เกษสมบูรณ์ และอนุพงศ์ สุจริยากุล. 2543. นโยบายสาธารณะเพ่ือสุขภาพ. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั วิจยั ระบบสาธารณสขุ สานักงานปฏริ ูประบบสุขภาพแหง่ ชาติ. พีระพล ศิริไพบูลย์. (2553). แนวทางการพัฒนาบทบาทอาสาสมัครสาธารณสขุ ต่องานสาธารณสขุ มลู ฐานกรณศี กึ ษา เขตพญาไท. วารสารวิทยบรกิ าร. ปที ี่ ๒๑ ฉบบั ท่ี ๒. เมธี จันทจ์ ารภุ รณ์. (2545). ระบบสุขภาพภาคประชาชน (พมิ พค์ รัง้ ที่ 4). กรงุ เทพฯ : บริษัท เรดิเอช่ัน จา กดั . ยามลี ะ ดอแม, โชตกิ า ภูถี่ถ้วน, อรษา ชยั ชพุ ร. (2556). การพฒั นาศกั ยภาพอาสาสมัครสาธารณสขุ ประจา หม่บู ้านเพอ่ื สรา้ งเสรมิ สุขภาพดา้ นภูมิปัญญาไทยในอาเภอเมอื งปทุมธานี. รุจา ภไู่ พบูลย์. (2541). การพยาบาลครอบครวั : แนวคดิ ทฤษฎี และการนาไปใช้. กรงุ เทพฯ: คณะ แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธบิ ดี มหาวิทยาลัยมหดิ ล. ฤทัยชนก กุลสืบ และวรัญญา เชอ้ื ทอง (2550). พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของประชาชนในตาบล ห้วยกระเจา อาเภอห้วยกระเจา จงั หวัดกาญจนบุรี. คณะวทิ ยาศาสตร์และ ลอ้ มวงปฏิรปู สขุ ภาพ: ที่ยนื ของภาคประชาชนในการรว่ มกาหนดนโยบายสุขภาพ. (2545). วารสาร หมอ อนามัย, 11(4). วทิ ยาลัยประชากรศาสตร์. (2550). ประชากรผสู้ ูงอายุปี พ.ศ. 2555 คนชราจะลน้ เมือง. ต้นเม่ือ 5 เมษายน 2551. จาก http://www.cps.chula.ac.th/pop_base/ageing_034,htm. สานกั งานกจิ การสตรแี ละสถาบันครอบครัว. (2552) , บทวเิ คราะห์ครอบครวั ไทย ปัจจุบัน.
๓๐ สานกั งานคณะกรรมการการสาธารณสุขข้ันมูลฐาน. (2545), การดแู ลสุขภาพด้วยตนเองของครอบครัวไทย. โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินคา้ และพัสดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.). สานกั งานสง่ เสรมิ สถาบนั ครอบครัว สานักงานกจิ การสตรแี ละสถาบันครอบครัวกระทรวง การพฒั นาสงั คมและความมั่นคงของมนุษย์. (2548) สานักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร: จานวนครวั เรือน จาแนกตามภาค และจงั หวดั พ.ศ. 2545 – 2556. สานกั งานสถติ ิแห่งชาติ. สานักงานสถิติแห่งชาติ. (2550). รายงานการสารวจการเปลย่ี นแปลงของประชากร พ.ศ. 2548-2549. [ม.ป.ท.]: กระทรวงเทคโนโลยีสารสรเทศและการสอ่ื สาร. สขุ ชยั อรรคธรรม. (2525). ทศั นคติของอาสาสมคั รสาธารณสุขประจาหมู่บ้านและประชาชน จังหวดั ชยั ภูมิ ท่ที ีต่องานสาธารณสุขมูลฐาน. มหาวิทยาลัยมหดิ ล. สชุ าติ โสมประยูร. 2543. สขุ ภาพเพ่ือชวี ิต. กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพม์ หาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. สวุ ทิ ย์ วบิ ลุ ผลประเสรฐิ , วโิ รจน์ ตั้งเจริญเสถยี ร, ศรเี พญ็ ตันติเวสส และ ยศ ตรี ะวัฒนานนท์. (2546). การ วิจัยนโยบายสาธารณสุข ใน แผนกลยทุ ธการวิจัยสุขภาพ, สานกั งานคณะกรรมการสภาวิจัย แหง่ ชาติ. สมประสงค์ ปวิ ไธสง, (2554). การพัฒนา การบริหารนโยบายสุขภาพของชุมชน : กรณศี กึ ษา หมบู่ ้านจดั การสุขภาพอาเภอเมอื งชลบรุ ี. วทิ ยาลัยบณั ฑิตศกึ ษาด้านการจดั การ มหาวิทยาลยั ศรี ปทุม. พงศ์ และวโิ รจน์ ต้งั เจริญเสถียร. (2541). การวิจยั นโยบายสาธารณสขุ ใน แผนกลยุทธการวจิ ยั สขุ ภาพ. สานกั งานคณะกรรมการสภาวจิ ัยแห่งชาติ. สิรภัทร พงศป์ ิยะไพบลู ย์. (2549). การปฎิบัติของอาสาสมคั รสาธารณสุขในการพัฒนาหมบู่ ้านจดั การ สุขภาพ จงั หวดั นนทบรุ ี. สานักงานสาธารณสขุ จังหวัดนนทบรุ ี. อาพล จนิ ดาวัฒนา. (2551). การสรา้ งนโยบายสาธารณะเพอื่ สุขภาพ. วารสารการสง่ เสรมิ สุขภาพและ อนามยั ส่งิ แวดล้อม, 26(4) (ออนไลน์) เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://advisor.anamai.moph.go.th/264/26401.html [ 2009, September 26]. อุไรวรรณ บญุ สาลีพิทักษ์. (2542). การประเมนิ การปฎบิ ัติงานของ อสม. ในศูนย์สาธารณสุขมูลฐาน จังหวดั ลพบรุ ี. มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. อวยพร เพช็ รบริสทุ ธิ์. (2552). การมสี ว่ นรว่ มของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน(อสม.)ใน Abel-Smith, Brian. (1997). An introduction to health policy, planning and financing. Singapore: Longman Singapore Publishers. Orem, D. E. (1985). Nursing Concept of Practice (3th ed.). New York: mc Graw-Hill.
๓๑ ภำคผนวก
เลขทแ่ี บบสอบถำม......๓...๒............ เคร่ืองมอื ประเมิน แบบสอบถำมกำรศกึ ษำกำรดูแลสขุ ภำพด้วยตนเองของครอบครัวในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรบั ตวั แทนครอบครัว -------------------------------------------------- คำช้ีแจง 1. แบบสอบถามนีใ้ ชส้ อบถามประชาชนท่ีเป็นตวั แทนของครอบครัวท่ีได้รบั การสุ่มตวั อย่างในพ้นื ที่ เปา้ หมาย 2. โปรดทาเคร่อื งหมาย ลงในชอ่ ง หน้าขอ้ ความหรือเติมข้อความเกย่ี วกบั ตัวท่านตามความ เปน็ จริง สว่ นท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไปของผตู้ อบแบบสัมภำษณ์ ๑. เพศ ๑. ชาย ๒. หญิง ๒. อายุ..................ปี (เกิน 6 เดือนปดั ขึน้ ) ๓. สถานภาพสมรส ๑.โสด ๒. คู่ ๓.หมา้ ย/หย่า/แยกกันอยู่ ๔. สถานภาพในครอบครัว ๑.หัวหน้าครอบครวั ๒. สามี/ภรรยาของหัวหน้าครอบครวั ๓.สมาชิกในครอบครวั ๔. อนื่ ๆ ระบุ............................................ ๕. ระดับการศกึ ษาสูงสดุ ๑.ไมไ่ ด้เรยี น ๒.ประถมศึกษา 3.มธั ยมศึกษาตอนตน้ 4.มธั ยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. 5.อนุปริญญา/ปวส. ๖.ปรญิ ญาตรหี รือสูงกว่า 6. อาชพี ๑.ไมไ่ ดป้ ระกอบอาชีพ ๒. เกษตรกรรม 3.รับจา้ งทั่วไป 4. ค้าขาย/ธุรกจิ ส่วนตวั 5.รบั ราชการ/รัฐวิสาหกิจ ๖. อื่น ๆ ระบุ............................................ ๗. รายได้ครอบครวั เฉล่ยี ต่อเดอื น.......................บาท 8. จานวนสมาชิกในครอบครัว..............................คน(ตามทีอ่ ยจู่ รงิ ) สว่ นที่ 2 สถำนะสขุ ภำพและกำรดแู ลสขุ ภำพของครอบครวั 1. ในรอบ ๑ ปที ่ผี ่ำนมำ สมำชกิ ในครอบครัวของทำ่ นมีกำรเจ็บปว่ ยหรือไม่ ๑.1 ไมม่ ี 1.๒ มี ระบโุ รค/อาการ (ตอบไดม้ ากกว่า 1 ขอ้ ) 1.๒.๑ เจ็บปว่ ยเล็กนอ้ ย เชน่ ไข้หวัด ปวดกลา้ มเนอ้ื /ปวดทอ้ ง/โรคกระเพาะ 1.๒.๒ โรคตดิ ตอ่ เช่น อจุ จาระร่วง ไข้เลือดออก วณั โรค ฯลฯ
๓๓ 1.๒.๓ โรคไมต่ ิดตอ่ (ตอบไดม้ ากกวา่ 1 ขอ้ ) ความดนั โลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต/น่วิ ไขมนั ในเลอื ดสูง โรคมะเร็ง 1.2.4 ปญั หาสขุ ภาพจติ เช่น วติ กกงั วล/เครียด ตดิ ยา/สารเสพตดิ ตดิ สรุ าเร้อื รัง 1.๒.๕ พิการ 1.๒.๖ อ่นื ๆ ระบุ.................................................................................................. ๒. วธิ ีกำรดูแลสุขภำพของสมำชกิ ในครอบครวั ๒.๑ สมาชิกในครอบครวั มีการเจ็บปว่ ยเลก็ นอ้ ย (ตอบได้มากกวา่ 1 ข้อ) ๑. ดแู ลสุขภาพด้วยตนเอง เช่น ซอ้ื ยากนิ เอง เชด็ ตวั ลดไข้ ปฐมพยาบาล ฯลฯ ๒. ปรึกษา/ขอรับคาแนะนาจาก อสม. ๓. ใช้บริการสุขภาพทีส่ ถานพยาบาล เชน่ รพ.สต./คลนิ ิก/โรงพยาบาล ๔. อืน่ ๆ ระบุ..................................................... ๒.๒ สมาชิกในครอบครัวมีการเจ็บปว่ ยรุนแรง (ตอบได้มากกว่า 1 ขอ้ ) ๑. ดแู ลสขุ ภาพด้วยตนเอง เชน่ ซอื้ ยากินเอง เช็ดตัวลดไข้ ปฐมพยาบาล ฯลฯ ๒. ปรึกษา/ขอรบั คาแนะนาจาก อสม. ๓. ใช้บรกิ ารสุขภาพทส่ี ถานพยาบาล เชน่ รพ.สต./คลินกิ /โรงพยาบาล ๔. อน่ื ๆ ระบุ..................................................... ๒.๓ การส่งเสรมิ สุขภาพของครอบครวั ด้านการรับประทานอาหาร 2.3.1 ครอบครวั ของทา่ นรับประทานอาหารรสชาดใดเป็นประจา 1. รสจดั 2. รสชาดกลางๆ 3. รสจดื 2.3.2 ครอบครวั ของทา่ นรับประทานผักและผลไม้ 1. ทุกวัน 2. 2-3 วนั คร้ัง 3. นานๆ คร้ัง 2.3.3 ครอบครวั ของท่านรับประทานอาหารประเภทใด 1. ต้ม นงึ่ แกง 2. ผัด ทอด 3. สกุ ๆดิบๆ 4. ย่าง ๒.๔ การสง่ เสรมิ สุขภาพของครอบครัวดา้ นการออกกาลงั กาย ครอบครัวของท่านออกกาลังกายสม่าเสมออย่างน้อยสปั ดาห์ละ ๓ คร้ัง 1. ใช่ 2. ไมใ่ ช่ ๒.5 การสง่ เสริมสุขภาพของครอบครวั ดา้ นอารมณ์ ครอบครัวของท่านมีวิธีการพกั ผ่อนจิตใจ เช่น นั่งสมาธิ สวดมนต์ ทาบุญ 1. ใช่ 2. ไมใ่ ช่ ๒.6 มีคนในครอบครัวด่ืมสรุ าหรอื เคร่อื งด่ืมที่มแี อลกอฮอล์ 1. มี 2. ไมม่ ี ๒.7 มีคนในครอบครวั ติดบหุ รี่ หรือสารเสพติด 1.มี 2. ไม่มี
๓๔ ส่วนท่ี 3 กำรไดร้ ับบริกำรด้ำนสขุ ภำพจำก อสม. และระบบบรกิ ำรสุขภำพของชุมชน 1. ท่านหรือสมาชกิ ในครอบครวั ได้รบั บรกิ ารดา้ นสขุ ภาพจาก อสม. หรือระบบบริการสุขภาพของชุมชนในเร่ือง ตอ่ ไปนี้หรอื ไม่ บรกิ ำรดำ้ นสุขภำพ ใช่ ไมใ่ ช่ 1.๑ ไดร้ บั บรกิ ารสุขภาพจาก อสม. 1. ได้รับข้อมูลข่าวสารดา้ นสขุ ภาพจาก อสม. ๒. ไดร้ ับคาแนะนาและการถา่ ยทอดความร้ดู า้ นการดแู ลสุขภาพจาก อสม. ๓. ไดร้ บั การบรกิ ารสุขภาพเบ้ืองตน้ จาก อสม.เช่น ปฐมพยาบาล การส่งต่อ ๔. ไดร้ บั การตรวจคดั กรองดา้ นสขุ ภาพ เชน่ วดั ความดนั โลหิต ตรวจเบาหวาน ฯลฯ จาก อสม. ๕. ได้รับการเย่ียมบ้านจาก อสม. 1.๒ ไดร้ บั บรกิ ารสขุ ภาพจากระบบบรกิ ารสุขภาพของชมุ ชน ๑. หมบู่ า้ น/ชุมชนของท่านมี ศสมช. หรือจดุ ใหบ้ รกิ ารดา้ นสุขภาพโดย อสม. ท่ีท่าน สามารถไปใช้บรกิ ารไดส้ ะดวก ๒. มกี ารเฝา้ ระวงั ปัญหาสาธารณสุขในหมูบ่ ้าน/ชุมชน เชน่ กาจดั แหล่งเพาะพนั ธ์ุ ยุงลาย การตรวจสารปนเป้อื นในอาหาร ฯลฯ ๓. มกี จิ กรรมการสง่ เสรมิ สขุ ภาพของชุมชน เช่น ออกกาลังกาย จดั กจิ กรรมรณรงค์ ด้านสขุ ภาพ ฯลฯ สว่ นที่ 4 ภำพรวมของกำรดูแลสขุ ภำพของครอบครัวเชื่อมโยงกำรจดั กิจกรรมด้ำนสุขภำพของชุมชน 1. การมสี ว่ นร่วมของครอบครัวในการจดั กิจกรรมดา้ นสขุ ภาพของชมุ ชน กจิ กรรม มี ไม่มี สว่ นร่วม ส่วนรว่ ม 1. รว่ มประชมุ ประชาคม/วางแผนจดั ทาโครงการ/กิจกรรมดา้ นสาธารณสุขของชมุ ชน ๒. รว่ มกจิ กรรมด้านสาธารณสขุ ของชมุ ชน ๒.๑ รว่ มจดั กจิ กรรมเฝา้ ระวงั คัดกรองด้านสขุ ภาพ เช่น วดั ความดนั โลหิต ตรวจ น้าตาลในปสั สาวะ ๒.๒ รว่ มจัดการสง่ิ แวดล้อมที่เออ้ื ต่อการมีสขุ ภาพดี เช่น รณรงคก์ าจดั ลูกนา้ ยงุ ลาย รณรงค์ทาความสะอาดชุมชน ฯลฯ ๒.๓ รว่ มกจิ กรรมสง่ เสรมิ สุขภาพของชุมชน เชน่ ออกกาลังกาย ฯลฯ ๒.๔ ถา่ ยทอดข้อมูลขา่ วสารความรสู้ ุขภาพให้กับสมาชิกในครอบครัว ๒. ท่านพึงพอใจต่อการให้บรกิ ารของ อสม. มาก น้อยเพียงใด 1. มาก 2. ปานกลาง 3. นอ้ ย ๓. ข้อเสนอแนะตอ่ การปฏิบตั ิงานของ อสม.ในชุมชน …………………………………………………………………………………………………………………………………………….…. ขอขอบคณุ ทใี่ ห้ความรว่ มมอื ในการตอบแบบสอบถามคร้ังนี้
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: