1 คำนำ หนงั สือเลคทรอนกิ ส์ “ชุดแต่งกายประจำชาติไทย” นี้ ห้องสมุดประชาชนอำเภอบางเสาธง ได้สืบค้นข้อมูลและ รวบรวมจดั ทำขึน้ มาจากหนังสอื และเวปไซต์ต่างๆ เพื่อเป็นเอกสารใชใ้ นการอ่านเปน็ องค์ความรู้ใหก้ บั ผู้ทำแบบทดสอบ ออนไลน์ “ชุดแต่งกายประจำชาตไิ ทย” และเพื่อให้ นกั เรยี น นักศึกษา และประชาชนทัว่ ไปไดร้ ับทราบถงึ พระมหา กรณุ าธิคุณสมเดจ็ พระนางเจ้าสริ ิกติ ต์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชนนีพนั ปหี ลวง หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอบางเสาธง หวงั เปน็ อย่างย่งิ ว่าหนังสอื อเิ ลคทรนิกส์เลม่ น้ีจะเปน็ ประโยชนใ์ หก้ บั ผู้อ่าน ทกุ ทา่ นรวมท้ัง ผทู้ ่สี นใจเกี่ยวกับวิวฒั นาการของชุดไทยและความเป็นมาของชดุ ไทย นำไปเป็นฐานขอ้ มลู ได้ ห้องสมุดประชาชนอำเภอบางเสาธง
2 ประวัตชิ ุดแตง่ กายไทย เครอื่ งแต่งกายสตรไี ทย การแต่งกายของไทยตงั้ แต่อดีต มลี กั ษณะเด่นๆ ๓ ประการใหญ่ๆ ลักษณะแรกของการแต่งกายของไทยคือ การใชป้ ระโยชน์ เครื่องนุ่งหม่ ของไทยเรานับต้ังแต่อดตี เนน้ การใชป้ ระโยชน์ในดา้ นความเหมาะสม การประหยัดและความ คล่องตวั ในการดัดแปลงตัวอย่างเช่น ในสมยั อยธุ ยาการแต่งกายของสตรีไทย ตามปกติจะแสดงออกซึ่งความนมุ่ นวลและ ความเปน็ ผหู้ ญิง แตค่ ร้นั ปลายสมยั อยุธยา เรามสี งครามกับพมา่ เป็นเวลาทีส่ ตรีไทยต้องออกต่อสเู้ คยี งบา่ เคียงไหลก่ ับชาย การแตง่ กายของสตรกี เ็ ปล่ียนไปให้เหมาะสมกับบทบาทใหม่ท่เี พ่ิมขึ้น กลา่ วคือ ให้รดั กุมไมร่ ุ่มรา่ ม สะดวกในการเคล่ือนไหว ห่มผ้า”ตะเบงมาน” คือห่มผ้าอ้อมทางด้านหลงั มาไขว้กนั ตรงอก เอาชายขึน้ ไปผกู ไว้ท่ตี น้ คอ สว่ นผมก็ตดั สัน้ เพอื่ สะดวกใน การรบ ในการหนภี ัย และการปลอมแปลงตวั เป็นชาย สำหรับเคร่ืองแต่งกายที่ใชส้ ำหรบั ทำงานกลางแจ้งหรือทำไร่ของคนไทยน้นั จะใชส้ เ่ี ข้มเพื่อไม่ให้เห็นสกปรกง่าย ตัวเสือ้ ของ สตรีเปน็ เสอื้ ผา่ อก แขนกระบอก เพอ่ื กันแดด ในเร่อื งการใชป้ ระโยชนน์ ี้ ชาวต่างประเทศเคยวิจารณ์วกี ารนงุ่ ห่มแบบหน่ึงดว้ ยความทงึ่ นน่ั กค็ อื การนงุ่ โจงกระเบน และหม่ สไบหรือห่มผา้ แถบคาดอก ซ่ึงสำหรับคนไทยเองเป็นเครือ่ งแต่งกายในอดีตท่คี ่อนข้างจะค้นุ เคย ไม่แปลกตาแต่อย่างใด แต่ประเด็นทท่ี ำให้ชาวตา่ งประเทศท่ึงก็คอื ผา้ ที่นำมาโจงกระเบนก็ดี หม่ เป็นสไบหรือผ้าแถบก็ดี ไมไ่ ดเ้ ย็บใหเ้ ป็นเสอ้ื ผา้ แต่ เป็นเพียงผา้ ๒ ช้ิน ยาวเป็นแถบ แต่เมื่อนำชน้ิ หนงึ่ มานงุ่ โดยทบชายท้ังสองเข้าดว้ ยกัน มว้ นและรงั้ ไปเหฯบไวข้ า้ งหลัง หรือที่ เรียกว่า “โจง” และสไบอีกช้ินหนงึ่ มาห่มหรอื คาดอกกจ็ ะเป็นเครอ่ื งแต่งกายที่รดั กุมโดยไมต่ ้องมีการเยบ็ เลย ความสวยงาม ชาติใดกต็ ามมีประวตั ิอารยธรรมยาวนาน มีวฒั นธรรมเป็นของตนเองยอ่ มมีการแสดงออกซงึ่ เป็นเอกลกั ษณ์ ของตนเอง ฉะนนั้ การแตง่ กาบของไทย โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งของสตรี จึงเนน้ ความละเอยี ดออ่ นละเมียดละไมซึ่งเป็นเอกลกั ษณ์ อีกอย่างหน่งึ ของวัฒนธรรมไทย เราจะมองยอ้ นไปถึงเคร่ืองแต่กายของคนไทยตั้งแต่ต้นสมยั รัตนโกสินทร์ ในสมัยรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ ระหว่าง รัชกาลที่ ๑ -๓ ผ้หู ญิงยงั คงตดั ผมส้ันอยู่เหมือนปลายสมยั อยธุ ยา ซ่ึงผูห้ ญิงไวผ้ มสั้น เพือ่ ความสะดวกดังพูดไว้แล้วส่วนแบบ การแต่งกายกน็ งุ่ ผา้ จีบสไบเฉียง ตอ่ มาในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั สตรีนยิ มนุง่ ผา้ ลายโจงกระเบนห่มสไบทบั เส้ือแขนกระบอก ภายนอก ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว เคร่ืองแตง่ กายสตรีมีหลายแบบ แบบที่ใชใ้ นรชั กาลที่ ๔ ก็ ยงั คงมี นอกจากนัน้ กม็ ีแบบซ่ึงนุ่งโจงกระเบน เส้ือแขนยาวจบี โปง่ ถ้าจบี โป่งทตี่ ้นแขนตอนใกล้บ่า ก็เรยี กเสอ้ื หมูแฮม แลว้ ยังมี สะพายแพรอยา่ งหม่ สไบเฉียงอกี ทีเพ่ือรกั ษาเคา้ เดิม ตอ่ มามผี า้ คาดเอวทำด้วยแพรเยื่อไมส้ ตี า่ งๆจบี ย่น หรอื คาดเอวเปน็ แถบ รบิ บ้ินแบบใหญๆ่ เปน็ สตี ่างๆผมสัน้ ในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ ัว สตรเี ริ่มไว้ผมยาวขน้ึ นุ่งโจงพระเบนก็มี นุ่งผ้าซ่นิ ก็มี ส่วนชาย นน้ั ทีย่ งั คงแตง่ ตวั อย่างเดมิ ในรัชกาลที่ ๕ กม็ ี ท่เี ร่มิ นิยมนุ่ง”กางเกงฝรัง่ ”กม็ ี สวมหมวกกะโล่
3 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั สตรนี ิยมนงุ่ ซิน่ ใส่เส้อื ยาวคลุมสะโพก เลกิ สะพายแพร สว่ นชายนิยมนงุ่ กางเกง แพรสตี ่างๆเชน่ เดยี วกบั ผ้ามว่ ง หวีผมเรียบ ไม่สวมหมวก เครือ่ งประดบั สมัยต้นๆรตั นโกสินทร์ สตรแี ละเดก็ ใช้เครื่องประดบั หลายอยา่ งซงึ มที ั้งทำด้วยทอง นาก เงิน ถ้ามีฐานะก็ใช้ทองหรอื นาก ถ้าเป็นราษฎรชาวบ้านธรรมดาสมัยน้นั ก็ใชเ้ งนิ แตส่ ว่ นใหญเ่ ป็นทองเพราะทองสมัยนน้ั ราคาถกู เป็นทองบางสะพานสกุ ปลงั่ เครือ่ งประดบั ดงั กลา่ วมีสรอ้ ยคอ สร้อยข้อมือ กำไลมือ กำไลเท้า ตุม้ หู (ต่างหู) แหวน พริกเทศ ประหลำ่ บา้ หวา่ แหวนรอบ ลกู ไม้ปลายมอื สังวาล เข็มขัด สรอ้ ยคอ สวมเฉพาะผูใ้ หญค่ ือสวมเปน็ ประจำ หรือสวมเวลามีงาน สร้อยขอ้ มือ สวมเฉพาะผใู้ หญ่เช่นกนั สมยั รชั กาลที่ ๕ เปน็ สร้อยบดิ (ข้อสรอ้ ยบดิ )กำไลมือ กำไลเท้า เป็นเคร่ืองมือ ประดบั สำหรบั เด็กๆ ตุ้มหู ใสเ่ ปน็ ประจำท้ังเด็กและผู้ใหญใ่ นอดตี พ่อแม่มักจะเจาะหใู ห้เด็กผูห้ ญงิ ตง้ั แต่อายุ ๕-๖ ขวบ แหวน สวมเฉพาะผใู้ หญ่ คอ สวมเป็นประจำและเวลามีงานมีการ สมัยรชั กาลท่ี ๕ แหวนเพชรนิยมทำเปน็ รูปดอก เบญจมาศ เพชรเกาะตวั ทองขาว ก้านดอกเป็นทอง พรกิ เทศ ทำเปน็ รูปเหมอื นพริกเทศหรือพริกแห้งเมด็ ยาวทม่ี าจากตา่ งประเทศ ติดกบั สวยเป็นระยะสำหรบั ผูกเอว ประหลำ่ หรอื ปะวะหล่ำ ทำเป็นรปู กลมๆสลักลวดลายสำหรบั ผูกขอ้ มือ บา้ หว่า คลา้ ยพาหรุ ัด สำหรบั ผู้ต้นแขนทัง้ สองข้าง เข็มขัด ไดแ้ ก่เข็มขดั ทอง นาก และเงิน สมัยก่อนราษฎรธรรมดาและเด็กใชเ้ ข็มขดั เงินกันประจำ ชุดไทยพระราชนิยม ไดถ้ ือกำเนิดข้ึนในวโรกาสทสี่ มเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัว รัชกาลที่ ๙ เสดจ็ พระราชดำเนินเยือนยุโรปและสหรัฐอเมรกิ าอย่างเป็นทางการ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๓ ได้พระราชทานพระราชดำริ วา่ สมควรทจี่ ะสรรคส์ ร้างการแตง่ กายชุดไทยใหเ้ ป็นไปตามประเพณที ่ดี ีงาม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มให้มี การศกึ ษา ค้นคว้าเครอ่ื งแตง่ กายสมยั ตา่ ง ๆ จากพระฉายาลกั ษณ์ของเจา้ นายฝา่ ยใน และปรึกษาผู้เชย่ี วชาญทาง ประวัติศาสตร์ โดยลำดับยุคน้ันตง้ั แตค่ รง้ั อาณาจักรสโุ ขทยั มาจนถงึ สมัยตน้ รัตนโกสนิ ทร์โดยทรงอาศัยเค้าแบบเหล่าน้ันมา กำหนดเปน็ พระราชนยิ ม จัดแบบแตง่ กายของหญงิ ไทยเป็นชุดสำหรบั โอกาสตา่ งๆไว้ใน ๘ แบบ โดยทรงกำหนดการมา ตกแตง่ ของแบบเหลา่ นีไ้ ว้อย่างเหมาะสมตามกาลเวลา สวยสงา่ ด้วยผ้าไหมแบบตา่ งๆของไทยประกอบด้วยฝีมอื การปักตกแต่ง เปน็ ลวดลายท่ปี ระณตี แบบไทย พร้อมด้วยแบบเครื่องประดับมฝี ีมอื ช่างไทยเป็นชดุ ๆ เปน็ ๘ ชดุ ไทย ทสี่ วยงามเหมาะสมกบั สตรไี ทยทมี ีความงาม ความเรียบรอ้ ยและอ่อนหวาน เปน็ ท่ีนยิ มยกย่องอยู่ทว่ั ไปว่า ชดุ ไทยพระราชนยิ มมีความสวยสดงดงาม เหมาะสมกับหญงิ ไทย ฉะนนั้ จงึ พูดได้วา่ ชดุ ไทยพระราชนิยม มใิ ชจ่ ากการออกแบบของบคุ คลทว่ั ไป โดยพระกรุณาของ สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว รัชกาลที่ ๙ พระองคเ์ ดียวท่ีไดท้ รงพระกรณุ าให้ หญิงไทย มีแบบอย่างการแต่งกายประจำชาติ นบั จากตน้ สมยั รชั กาลท่ี ๙ เป็นตน้ มา
4 เมอ่ื สตรไี ทยได้มชี ุดประจำชาติแล้ว จึงควรทสี่ ตรีไทยทุกคนจะได้ศกึ ษาให้รู้ถึงแบบอย่างท่ีถูกต้องไว้เปน็ ความรู้ ประจำ เพื่อแนะนำกนั ต่อไป ยงั มสี ตรีไทยรุ่นหลังๆอีกเป็นจำนวนมากทีย่ ังไมร่ ู้และใครจ่ ะรู้ ดงั นัน้ จึงนำมาลำดับใหเ้ ป็นที่ทราบ กนั ๑.ชดุ ไทยจติ รลดา ชดุ ไทยจติ รลดา คือชดุ ไทยในพิธกี ลางวัน ตง้ั ชือ่ ตามพระตำหนกั จิตรลดารโหฐาน ลักษณะเปน็ ทางการกวา่ ชดุ ไทยเรือนต้น เป็นเสอ้ื คอกลม ขอบต้งั ข้ึนมาเล็กน้อย ใชผ้ า้ ไหมมีเชิงหรอื ลายขวางสลับสตี ัด เปน็ ซิน่ ป้ายหนา้ ยาวจรดข้อเทา้ สวมเป็นชุดกบั เส้ือเขา้ รปู มีปกคอตง้ั ชดิ คอ มกี ระดุม ๕ เม็ด แขนยาวเขา้ ชดุ กับสร้อยคอ และตุ้มหแู บบไทย ใชใ้ นงานท่ผี ูช้ าย แต่งเต็มยศ เชน่ ต้อนรับผปู้ ระมุขจากต่างประเทศท่มี าเยือนเปน็ ทางการ ซ่ึงฝ่ายหญงิ ไม่ประดับเครื่องราชอสิ รยิ าภรณ์ ใช้เปน็ ชดุ รับหมนั้ และชดุ พิธที างศาสนาของเจา้ สาว และชดุ ไทยจิตรลดาน้เี ป็นทน่ี ิยมสวมใส่เป็นชุดไทยไว้ทุกขห์ รือถวายความอาลยั แตค่ วรตัดผา้ ท่งี ดงามเหมาะสมตามโอกาสนิยม ชดุ นถ้ี า้ ตดั ดว้ ยผา้ ฝา้ ย สวมเปน็ ชุดลำลองท่ัวไปก็ได้ ๒.ชุดไทยเรือนตน้ ชดุ ไทยเรอื นตน้ ต้ังชื่อตามเรือนตน้ คอื ชุดไทยแบบลำลองใช้ผา้ ฝา้ ย หรอื ผา้ ไหมท่ีมีลายทอสลับสีเปน็ ริว้ ตาม ขวาง ตดั เป็นซิน่ แบบปา้ ยหน้า มีความยาวเพยี งข้อเทา้ สวมเปน็ ชดุ กบั เสื้อผา้ เลี่ยน ตดั เปน็ เส้ือเขา้ รปู คอกลมแขนยาวสามส่วน ไดร้ ะดับกบั ชายเส้ือ ถ้าต้องการใหแ้ ขนสวมสบาย ปล่อยตะเข็บปลายแขนและตะเข็บชายเส้ือดา้ นขา้ งไว้ ๓ ซ.ม.ตดั เส้ือติด กระดมุ ๕ เม็ด เข้าชุดกับเคร่ืองประดบั แบบไทย เปน็ สรอ้ ยคอหรอื เขม็ กลดั ชุดไทยเรือนตน้ น้ี นิยมใช้เปน็ ชุดพิธรี ับหม้ันพิธี ทางศาสนา หรอื ในการต้อนรับแขกเมอื งจะเห็นได้จากพนกั งานของโรงแรมใหญ่ๆจะใช้ชุดไทยเรือนตน้ เป็นเคร่ืองแต่งกาย ซึง่
5 มชี าวต่างประเทศทมี่ าเท่ยี วและพกั ตามโรงแรมใหญๆ่ เป็นการเผยแพรช่ ุดแต่งกายประจำชาตไิ ทย นอกจากนั้นยังนยิ มใชใ้ น งานประเพณปี ระจำปสี ำหรับชุดนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงผ้าท่ีนำมาตดั เป็นผ้าซิน่ แบบตา่ งๆหรือจะตดั ผ้าซ่ินด้วยผา้ เนอื้ เกลี้ยง สวมเป็นชุดกบั เสอ้ื ท่ีตัดด้วยผา้ ลายพมิ พก์ ็ได้ ๓.ชดุ ไทยอมรนิ ทร์ ชุดไทยอมรนิ ทร์ เปน็ ชดุ ไทยสำหรบั งานพธิ ตี อนคำ่ โดยเฉพาะ ตัง้ ชอ่ื ตามพระท่ีนงั่ อมรนิ ทรว์ นิ ิจฉัย แบบ เหมอื นกับชุดไทยจติ รลดา แต่เน้ือผา้ และเคร่อื งประดบั หรหู รากวา่ เหมาะกบั งานเลีย้ งรบั รอง ไปดูมหรสพ พระราชพธิ ีตา่ งๆ พระราชพธิ สี วนสนามวนั เฉลิมพระชนมพรรษา หรืองานเล้ียงรับรองทีต่ ้องประดับเครือ่ งราชอิสรยิ าภรณ์ เสอ้ื ชุดไทยอมรินทร์ ตดั เปน็ เสอื้ คอกลมชิดคอ มีขอบคอตั้ง แขนยาว เหมือนกบั เสอ้ื ไทยจิตรลดา แตเ่ น้อื ผา้ และเครื่องประดับ หรูหรากวา่ ใช้ผา้ ไหมยกดอกทีม่ ีทองแกมหรอื ยกทองท้ังตวั เสอ้ื เป็นคอตงั้ แขนยาว สวมเป็นชดุ กบั ซ่นิ ป้ายหนา้ ตดั ด้วยผ้า ไหมยกดอกเต็มตัวดว้ ยดนิ้ เงนิ หรอื ด้ินทอง ไม่ใช้เข็มขัด เสอ้ื แบบนีอ้ นุโลมใช้สำหรบั สตรสี ูงอายทุ ่ีรปู ร่างอว้ น และไมป่ ระสงค์ จะคาดเข็มขัดแบบไทย สวมแทนเส้ือชุดไทยบรมพิมานได้ และอาจเปล่ยี นคอเสื้อให้เป็นคอกลมกว้างได้ แตผ่ ้าทีน่ ำมาตัด ควร ใหเ้ หมาะสมตามท่ีกำหนดไว้ เครอ่ื งประดับ ใชเ้ ครื่องทองลายไทย หรือเครอ่ื งเงนิ ทฝี่ งั พลอยก็ได้ ทง้ั นี้ต้องให้เหมาะกบั ผา้ ยกด้นิ เงนิ หรอื ดิน้ ทอง สวมสร้อยคอ ตุ้มหู กระดุม สร้อยข้อมือไดต้ ามโอกาสอนั ควร
6 ๔.ชดุ ไทยดุสติ ชุดไทยดุสิต เป็นเส้ือชุดไทยแบบเต็มยศ ตงั้ ชื่อตามพระท่ีนงั่ ดุสิตมหาปราสาทเสื้อชดุ ไทยดุสติ สำหรบั งานราตรี โดยเฉพาะ เปน็ เสื้อชุดไทยพระราชนิยมทเี่ หมาะสำหรบั สตรีวยั สาวท่ชี ่วงไหล่งาม และลำแขนกลมกลงึ ไดร้ ับความนยิ มอยา่ ง มาก สำหรับเจา้ สาวสวมในวนั เลี้ยงรับรองการสมรส ลักษณะตวั เสอ้ื เป็นคอกลม คอด้านหนา้ -หลังควา้ นคอกวา้ งมาก ไม่มีแขน แขนกุด ตดั ด้วยผา้ ไหมเลยี่ นนำมาปกั ลวดลายไทยเต็มตวั มีความสวยงามเป็นพิเศษด้วยลายปัก ทปี่ ระณีตดว้ ยเหลอื่ ม ลูกปัด ไขม่ ุก และพลอยสตี า่ งๆ สวมเปน็ ชุดกับซ่นิ จบี หนา้ นาง มชี ายพกที่ตดั ด้วยผา้ ด้ินเงนิ หรือดิ้นทอง ยกดอกเต็มตัว เป็นซิน่ แบบ เดยี วกบั เสือ้ ชดุ ไทยบรมพิมาน มเี ข็มขัดคาดไวด้ า้ นนอกเปน็ ชุดไทยพระราชนยิ มทีส่ วยงามมาก เหมาะกับการใสส่ ายสะพายใน พระราชพิธีเต็มยศ มักใช้ในงานตอนค่ำ เชน่ งานแต่งงาน งานราตรีสโมสร เครื่องประดับ ใช้เครื่องประดับชดุ ทองลวดลายไทยฝังพลอย เช่นสร้อยคอ สรอ้ ยข้อมือ ตมุ้ หู และเกยี้ วประดบั ผล
7 ๕.ชดุ ไทยบรมพิมาน ชดุ ไทยบรมพิมาน คือชุดไทยในพธิ ีตอนค่ำอีกแบบหน่งึ ต้งั ช่ือตามพระทีน่ ่ังบรมพมิ าน ท่ีใชเ้ ข็มขดั คาดทับซิ่นกับ เสอ้ื ใชผ้ ้ายกไหมดิ้นทอง มลี ายเชิงหน้านาง เป็นยกด้ินเตม็ ตัว ตัดเป็นซ่ินจีบหนา้ นางและชายพกความยาวของซิน่ จรดหลงั เท้า สวมกับเสอ้ื ลักษณะเป็นเสอ้ื คอกลม ขอบตัง้ แขนยาว ผา่ ด้านข้างหรอื ด้านหลงั หรอื เปน็ ชุดตดิ กนั กบั เส้ือท่ไี มม่ ีกระดุม ดา้ นหนา้ มขี อบคอตงั้ แขนยาว ตดิ ซิปรดู กลางหลัง ชดุ นี้เหมาะสำหรับผู้ทมี่ ีรูปร่างโปรง่ มักใชส้ ำหรับงานพธิ คี ำ่ งานเต็มยศหรอื ครึง่ ยศ เช่น งานอุทยานสโมสร งานพระราชทานเลี้ยงอาหารคำ่ อยา่ งเป็นทางการ เปน็ ชุดเจา้ สาวในพิธพี ระราชทานน้ำสงั ข์ เครื่องประดบั เข็มขัดประดับ เข็มขดั ทรงไทย สรอ้ ยคอสน้ั ตุ้มหู แหวน(ฯลฯ เนอ่ื งจากตัวเสอื้ นิยมเปน็ ไหมพืน้ จงึ ใช้เครื่องประดบั ไดม้ าก
8 ๖.ชดุ ไทยจกั รพรรดิ ชดุ ไทยจักรพรรดิ ตงั้ ชื่อตามพระตำหนักจักรพรรดิพิมาน เป็นเครื่องแตง่ กายของสตรีสูงศักดใ์ิ นสมัยโบราณ ปจั จุบนั ได้อนโุ ลมใหเ้ ปน็ เครอ่ื งแต่งกายของสตรตี ามแบบพระราชนิยม ให้เปน็ ชุดไทยในงานพระราชพธิ ีงานเล้ียงพระราชทานอย่าง เป็นทางการ สตรีไทยนยิ มสวมเปน็ ชดุ เจา้ สาวในงานเล้ียงรับรองตอนค่ำ เสือ้ ชุดไทยจักรพรรดิ ลักษณะเป็นชดุ ไทยห่มสไบ คล้ายชดุ ไทยจักรี ตัดเป็นเสื้อรดั รูปทรงอยู่ช้นั ใน มีสไบห่มทับอยู่ชนั้ นอก สวมเป็นชุดติดกับซิ่นจบี หน้านาง มชี ายพก ตัดด้วยผา้ ยกดิ้นเงนิ -ดนิ้ ทอง หรือยกไหมผสมทองเหมอื นกบั เสื้อชดุ ไทยจักรี หากแตใ่ ช้สไบปักลวดลายไทยเป็นสไบเนือ้ นาง หรือสไบกรองทองห่มทับผ้าสไบจีบ ทงิ้ ชายสไบหอ้ ยไว้ท่ีเอวด้านหนา้ แล้วโอบ ใต้แขนด้านขวา ท้ิงชายสไบไปดา้ นหลัง เสอ้ื ชดุ นีม้ ีสไบสวยเดน่ เป็นพิเศษ มีชายพกแต่งด้วยเคร่ืองประดับอย่างสวยงาม รดั แขน รดั เกลา้ สร้อยสงั วาล สร้อยข้อมือ ต่างหู สร้อยคอตา่ งๆ มักใชส้ ำหรับงานทเ่ี ป็นพิธีรตี องมากกวา่ ชดุ ไทยจักรี อย่างงาน แต่งงาน งานพธิ หี รอื ราชพิธีต่าง ๆ
9 ๗.ชุดไทยจักรี ชดุ ไทยจกั รี คือชุดไทยสไบเฉียง ตั้งชอ่ื ตามพระทนี่ ั่งจักรีมหาปราสาท ใชผ้ า้ ยกดนิ ทองมีลายเชิงหน้านาง เป็นยก ดนิ เตม็ ตวั ตัดเปน็ ซน่ิ จบี หน้านาง และมีชายพกแบบเดียวกบั ชดุ ไทยบรมพมิ าน หากแต่เปลีย่ นท่ตี วั เสือ้ เปดิ ไหล่ ห่มทับด้วยผ้า สไบที่ปักประกอบด้วย ลวดลายไทย ต้งั แตเ่ ข็มขดั สร้อยข้อมือ สร้อยคอ สร้อยสะพาย ตุ้มหู เกี้ยว และกำไลตน้ แขน ชุดไทย จักรเี ปน็ ชุดไทยที่สวยสงา่ เป็นชุดเต็มยศ มกั ใชใ้ นงานตอนค่ำงานเล้ยี งรบั รองฉลองการสมรส หรอื ราตรีสโมสรทไ่ี ม่เป็น ทางการก็ได้ ชุดไทยจักรี บางทนี ยิ มเรยี กไทยสไบ เป็นชุดสำหรบั งานกลางคนื ท่อี ากาศไมห่ นาวเย็นสามารถใชไ้ ด้กบั ทุก รูปร่างไม่วา่ ผอมหรืออ้วน เพราะสว่ นของชายสไบจะปัดแกว่งไปมา ทำใหด้ ูไหวพล้ิวลวงตา ดูออ่ นชอ้ ยย่ิงข้ึน แตเ่ ดมิ การนุง่ ผ้าปก้ จบั จีบ มักใชใ้ นโอกาสเข้าเฝา้ หรือมักใช้ผา่ ฝ้ายทส่ี วยงามเปน็ พเิ ศษ เช่นผ้ายก ผา้ เยยี รบบั ผ้าตาด หรอื ผา้ ต่วนปักดิ้นเงินดิ้นทอง การนุ่งห่มแบบจบี แตโ่ บราณ จะต้องจับจีบในขณะที่นุ่ง มิใช่จบั จีบไว้สำเร็จ เชน่ ปจั จบุ ัน จงึ ต้องพึ่งเข็ม ขัด เพ่ือความม่นั ใจว่าจะกระชบั เอวไวแ้ นน่ พอ จะต้องคาดเอวด้วยเชือกชัน้ หน่งึ ก่อน แล้วจงึ คาดด้วยเขม็ ขัดทบั เข็มขัดจงึ ทำ หน้าท่ที งั้ เป็นเคร่ืองประดบั ไปพรอ้ มกัน เข็มขดั คาดเอวแบบไทย มีความงดงามเฉพาะตัว โดยเฉพาะสว่ นหวั ของเข็มขัด มกี าร ตกแตง่ อยา่ งประณีต ตระการตาเป็นพิเศษ บ้างก็ฝังพลอย บา้ งกต็ กแตง่ ดว้ ยลวดลายไทย ทัง้ เขม็ ขดั ควรให้เข้าชดุ กับ เครอื่ งประดบั อน่ื ดว้ ย เช่นสรอ้ ยข้อมือ อุบะ ตมุ้ หู และแหวน ทำใหเ้ นน้ ความงามแบบไทย ใหเ้ ดน่ ย่งิ ขน้ึ นิยมใชเ้ ปน็ ชุดในพธิ ี ตอนคำ่ เพอ่ื ให้เหมาะกับงานพธิ ยี ามคำ่ สมยั ใหม่ และเหมาะกบั อากาศอบอา้ วของเมืองไทย
10 ๘.ชุดไทยศิวาลัย ชุดไทยศิวาลัย เปน็ ชุดไทยของสตรบี รรดาศกั ด์ิในสมัยก่อน ต้งั ชอ่ื ตามพระทนี่ ง่ั ศวิ าลัย เป็นชุดไทยของสตรี บรรดาศักด์ิในสมยั ก่อน เป็นเสอื้ ชดุ ไทยสำหรับงานพิธีทมี่ หี มายกำหนดการใหฝ้ า่ ยชายแต่งกายเต็มยศ เป็นเสื้อชดุ ไทยที่มสี ไบ หม่ ทับเส้อื แขนยาว สวยงามด้วยลวดลายการปักสไบและเคร่ืองประดับแบบไทย สตรไี ทยนยิ มสวมเปน็ ชดุ เจ้าสาว ในพิธรี ด นำ้ สังข์ และในพธิ เี ลย้ี งรับรองตอนคำ่ งานฉลองสมรส หรอื งานพิธเี ต็มยศ เหมาะสมสำหรับชว่ งอากาศเยน็ เพราะมหี ลายชัน้ เสือ้ ชุดไทยศิวาลยั มลี กั ษณะคล้ายกบั ชดุ ไทยบรมพมิ าน ตัดเปน็ เสอ้ื คอกลม คอต้ังเล็กน้อย แขนยาว ตดั ดว้ ยผา้ ไหมเล่ยี นหรือ ผา้ ไหมสอดดิน้ ทอง สวมเป็นชดุ กบั ซน่ิ จบี หน้านาง มีชายพกตัดดว้ ยผ้าไหมยกดิ้นทอง หรอื ผ้ายก ดอกไหมผสมทอง เหมือนเสอ้ื ชุดไทยบรมพมิ าน แตห่ ่มสไบปักลายไทยอย่างสไบชดุ ไทยจักรพรรดิ แต่ไม่ต้องมีแพรจีบรองพน้ื ก่อน มีสไบกรองทองโอบทับเสอื้ รอบตัว ทง้ิ ชายสไบไปด้านหลังยาวถงึ ชายซน่ิ และอาจเปล่ียนจากสไบกรองทองเปน็ สไบเน้ือ หนา ปกั ลวดลายไทยและห่มทิง้ ชายสไบไว้ทเ่ี อวเสอื้ ดา้ นหน้า โอบตัวดา้ นหลงั ลงไปดา้ นหนา้ ทิ้งชายดา้ นหลงั ยาวจรดซ่ิน แบบ เดยี วกบั การห่มสไบชดุ ไทยจักรพรรดกิ ็ได้ความสวยงามของสไบช่วยใหผ้ ู้สวมงามสงา่ เหมาะสมกบั บุคลกิ ของสตรีไทย เครื่องประดับ ใช้เคร่ืองประดับชดุ ทองลายไทย ฝงั พลอย ไดค้ รบชดุ เช่นสร้อยคอ สร้อยสังวาล สร้อยข้อมือ เข็มขัด ตุ้มหู และรัดเกลา้
11 ชดุ เครง่ื แต่งกายชาย ชุดราชปะแตน ชุดราชปะแตน(เดิมเรียกว่า ราชแปตแตน มาจากคำบาลผี สมอังกฤษว่า Raj pattern แปลวา่ แบบหลวง) คอื เครอื่ งแต่งกายชายไทย ประกอบด้วยเสื้อสูทสีขาว คอตง้ั สูง และมกี ระดมุ ห้าเมด็ โจงกระเบน สวมถุงเท้ายาวถงึ เข่า และ รองเทา้ หุ้มส้น ในเดอื นธันวาคม พ.ศ. ๒๔๑๕ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวเสด็จประพาสอินเดีย ผตู้ ามเสดจ็ แต่ง เครอ่ื งแบบเสื้อฝรง่ั เวลาปกติกเ็ ปดิ อกผกู เน็กไท แต่นุง่ โจงกระเบนไม่นุ่งกางเกงแบบฝรั่ง ท่ีเมอื งกลั กตั ตามีชา่ งฝีมือดี โปรด เกล้าฯ ให้ตัดฉลองพระองค์ใส่เล่นแบบปิดตง้ั แต่คอ มีดมุ กลัดตลอด เพื่อไม่ต้องผกู เน็กไท เปน็ ท่ีพอพระราชหฤทัย เจ้าพระยา ภาสกรวงศ์ (พร บนุ นาค) ซงึ่ ขณะน้ันยังเป็นนายราชานัตยานุหาร ในฐานะราชเลขานุการ ได้ขอพระราชทานพระบรมรา ชานุญาตคิดชอื่ ถวายวา่ ราชแพตเทิรน์ (Raj pattern) แต่ตอ่ มาเพยี้ นมาเปน็ ราชปะแตน ราชปะแตนเปน็ เสมือนเครื่องแบบของข้าราชการพลเรือนไป โดยสว่ นมากสวมกบั ผา้ นุ่งโจงสีกรมทา่ ผา้ นุง่ โจง นนั้ เรียกกนั สน้ั ๆ วา่ ผ้ามว่ ง บ้างกต็ ดั ด้วยแพร ผา้ ลายบา้ ง ต่อมาไมส่ วมแตเ่ ฉพาะกบั ผา้ ม่วง หากแตส่ วมกบั กางเกงแพรดว้ ย เสือ้ ราชปะแตนเป็นท่นี ยิ มอยู่นาน จนยุคต้นเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ มปี ระกาศกฎหมายวฒั นธรรม ห้ามนงุ่ ผ้าม่วง และกางเกงแพร เส้อื ราชปะแตนจึงหายไปต้ังแตน่ น้ั ตอ่ มา
12 ในสมัยทพี่ ลเอก เปรม ติณสลู านนท์ ดำรงตำแหนง่ นายกรัฐมนตรี ดว้ ยแนวคดิ ของการกำหนดรปู แบบเครื่องแต่งกายไทยใหม้ ี ลักษณะเฉพาะแต่ยังเปน็ สากล จงึ ไดท้ ูลเกลา้ ฯ ขอพระราชทานแบบจากพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั ซงึ่ ก็ได้พระราชทาน แบบเสื้อตามทเี่ คยทรงอยบู่ ่อย ๆ โดยเปน็ เสอ้ื สูทคอตั้งที่เรียกกันว่าคอแมนดาริน (Mandarin Collar) หรือคอเหมา (Mao Collar) โดยมี ๓ แบบคอื แบบแขนสน้ั สำหรับงานกลางวนั แบบแขนยาวสำหรับงานกลางคืน และแบบแขนยาวมผี า้ คาดเอว สำหรับงานทเี่ ป็นทางการ หลังจากนน้ั คณะรัฐมนตรีจงึ มีมติให้สวมเสอื้ พระราชทานนี้แทนชุดสากลนับต้ังแต่วันท่ี ๒๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๓ แตย่ ังมีลกั ษณะพิเศษเพม่ิ เติมแตกตา่ งจากเส้อื ราชปะแตนเดิม คือใหเ้ ลือกใชผ้ ้าตามแต่ละท้องถ่นิ ทำให้ ชดุ มีสสี นั และลวดลายแปลกตากวา่ เดมิ เสอื้ พระราชทาน เสอื้ พระราชทาน เป็นเสื้อท่พี ระบาทสมเดจ็ พระมหาภูมิพลอดลุ ยเดชมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรด กระหม่อมให้ช่างตัดฉลองพระองค์ ได้แก่ ชพู าสน์ ชูโต, พิชยั วาศนาส่ง และสมภพ หลุยลาภประเสรฐิ ออกแบบใหเ้ ป็น เคร่ืองแบบประจำชาติในปี พ.ศ.๒๕๒๒ จากนนั้ โปรดให้พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรฐั มนตรใี นขณะนัน้ แต่งเส้ือดังกล่าว เพอื่ เปน็ แบบอย่างแก่สาธารณชนจนภาพจำของพลเอกเปรมมักคู่กบั เสอ้ื พระราชทานนเี้ สมอ ตอ่ มามีการประยุกตแ์ ละมีการ แตง่ กายด้วยเส้ือแบบนี้เปน็ จำนวนมาก โดยเฉพาะนักการเมืองและขา้ ราชการในวาระสำคัญต่าง ๆ บ้างก็แตง่ ในงานพิธีต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมร เสอ้ื พระราชทานนม้ี ลี กั ษณะใกล้เคียงกบั เสือ้ ราชปะแตนซึง่ เปน็ เส้อื ทีม่ ีมาก่อนโดยไดร้ บั การประยุกต์จากเสือ้ คลุมเนห์รขู องอนิ เดยี แตม่ คี วามต่างทว่ี ัสดุในการตัดเย็บท่ีมีความหลากหลายกวา่ เสือ้ พระราชทานมีลกั ษณะคอเส้อื ตั้งอยา่ ง แมนดารินสูง ๓.๕ ถึง ๔ เซนตเิ มตร และเรียวคอเสอ้ื เขา้ สาบอก ขลิบรอบคอ สาบอก แขนเสอ้ื หรือรอยพบั แขนเสื้อ กระดุม กลมแบน ๕ เม็ดคลุมดว้ ยผ้าหรือวัสดุทใ่ี กลเ้ คยี งกบั สีและเนื้อผา้ มกั เจาะกระเป๋าบนเสื้อท่ีแนวเหนือกระดมุ เม็ดล่างสดุ เล็กนอ้ ย ข้างละ ๑ กระเป๋า กระเป๋านอก ๒ กระเปา๋ กระเป๋าดา้ นบนตรงอกซา้ ย ๑ กระเปา๋ หรืออาจมีมากกว่าหรือไม่มเี ลยก็
13 ได้ ตวั เสอื้ มีทั้ง แบบแขนส้ัน ใชส้ อี ่อนหรือมีลวดลายสุภาพ สวมใสใ่ นโอกาสธรรมดาทัว่ ไป หรอื ในการปฏิบัตงิ านหรใื นงานพธิ ีกลางวนั และ อาจใชส้ เี ขม้ ได้ในพิธีการเวลากลางคืน แบบแขนยาว ใชส้ อี ่อนหรอื มีลวดลายสุภาพ ในโอกาสพธิ ีกลางวนั หรอื ใช้สเี ขม้ ในโอกาสพธิ ีเวลากลางคืน
14 แบบแขนยาวผกู เอว เส้อื แบบแขนยาวโดยมากจะเย็บแขนเสื้อทาบดว้ ยผา้ แบบและสีเดยี วกนั กบั ตัวเสื้อกวา่ งประมาณ ๔ ถึง ๕ เซน็ ติเมตรเริ่มจากดา้ นในอ้อมด้านหน้าไปสุดเป็นปลายมนดา้ นหลังแขนเสอื้ และชายเส้อื อาจผ่ากนั ตงึ หรอื มเี ส้นรอยตดั ตอ่ มีหรอื ไม่มกี ็ได้ สวมกบั กางเกงขายาว โจงกระเบน หรือ ถกเขมร เป็นเครื่องแต่งกายท่พี ันรอบรา่ งกายส่วนลา่ งในประเทศกัมพูชา, ลาว และไทย ถือเป็นเคร่อื งแตง่ กายในชวี ิตประจำวันของชนชน้ั สงู และกลาง ซึ่งมีรปู ร่างคลา้ ยกางเกงมากกวา่ กระโปรง มีความแตกตา่ งจากผา้ นุ่ง เอกสดุ า สงิ ห์ลำพอง นักประวตั ิศาสตร์ศลิ ป์ กล่าวถึงโจงกระเบนไว้ว่า \"...เปน็ เครอ่ื งแต่งกายที่ดูคล้ายกับกางเกงหลวม ๆ ผูส้ วมใส่นำ ชิ้นผ้าสเี่ หลีย่ มผนื ผา้ มาพันรอบเอวของเขา [หรือเธอ] ขอบผ้าจะผ่านระหวา่ งขาและเหน็บทีข่ า้ งหลงั สว่ นล่างของผ้สู วมใส่ รายงานของชาวยโุ รปในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ หลายแห่งมักเรียกมนั ว่ากางเกงขายาวแคเ่ ข่า กางเกงขีม่ ้า หรือนกิ เกอรบ์ อก เกอส์\"
15 สไบ หรือ ผ้าแถบ เป็นผา้ ผืนยาวแคบสำหรบั คาดอกสตรีต่างเสอื้ พบได้ในภาคพื้นทวีปเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะใน ประเทศกมั พชู า ลาว และไทย ในขณะที่บริเวณชายฝัง่ สมุ าตรากับคาบสมุทรมลายูจะใช้คำนี้กับผู้คลมุ ไหล่ ๔๑๐ สไบมที ีม่ า จากสา่ หรอี ินเดีย ซ่ึงคลุมทับไหล่ขา้ งหนง่ึ ในกลุ่มวฒั นธรรมอ่นื นอกจากวัฒนธรรมไทย สไบยังถูกใชโ้ ดยผชู้ ายในกจิ กรรมทาง ศาสนา ในภาษาไทยจะเรยี กผ้าชนิดนีว้ า่ \"ผ้าแถบ\" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ วา่ \"ผา้ ผนื ยาว ๆ แคบ ๆ ใช้หม่ คาดหน้าอกต่างเสื้อ\" มีอกี คำหนึ่งคอื \"สไบ\" เป็นคำยืมมาจากภาษาเขมรว่า \"ไสฺบ\" มี ความหมายว่า \"ผา้ แถบ ผ้าคาดอกผู้หญิง\" นอกจากนย้ี งั เรยี กในอีกชื่อวา่ ผา้ กะแสง, กระแสง \"ตะเบ็งมาน\" หรือ \"ตะแบงมาน\" แปลว่า \"วิธหี ่มผา้ แถบแบบหน่งึ โดยคาดผ้าอ้อมตวั จากดา้ นหลงั ไขวข้ ึ้นมาดา้ นหน้า แล้ว เอาชายทั้ง ๒ ไขวไ้ ปผกู ท่ีต้นคอ\"
16 \"ผ้าสะพกั \" หรอื \"ผ้าทรงสะพัก\" เป็นสไบอีกชนิดหนงึ่ สำหรบั สตรชี น้ั สูงในราชสำนกั ไทย มีลักษณะเปน็ ผ้าแพรหรอื ผ้าสไบ อย่างหนาใชค้ ลุมทับสไบหรือเสอื้ อีกชนั้ หนง่ึ ต่อมาราชสำนักกัมพูชานำไปใช้ เรียกว่า \"พระสภุ าก\"และมสี ไบอกี อยา่ งหน่งึ คอื \"ผ้าหม่ \" มีวธิ หี ม่ หลากหลาย เช่น ห่มผ้าคลอ้ งไหล่ หม่ ผ้าคล้องคอ หรอื ห่มคลุมซ่งึ ใชใ้ นฤดูหนาว มีการต่อผ้าใหห้ น้ากว้างข้นึ จะ เรียกว่า \"เพลาะ\" ใชห้ ม่ ไหล่กันลมหนาว หรือห่มนอนก็ได้ส่วนผา้ ห่มอย่างสไบ จะเป็นสไบหนา้ แคบกลายเปน็ ผ้าเฉวียงซา้ ย การห่มผา้ สะพัก ต่อมาในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั มีการพฒั นาการการหม่ สไบเปน็ การ \"สะพายแพร\" คอื การนำผ้าแพรจบี ขวางเอวมาจีบตามยาวอีกคร้ัง จนเหลอื ผนื แคบ แลว้ ตรึงใหแ้ น่น สะพายบนบา่ ซ้าย รวบชายไว้ทเ่ี อว ดา้ นขวาเพื่อสะดวกแก่การเดินทางหากเปน็ ผา้ โปร่งบางไม่จับจบี จะเรียกวา่ \"แพรฝรงั่ \"และการสะพายแพรถูกยกเลิกไปใน รชั กาลถดั มา เส้ือปัด (ไทยถิ่นเหนือ: เสื้อป๊ัด, หรอื เสอื้ ปา้ ย เป็นเสอ้ื ท่ีนยิ มสวมใส่โดยสตรใี นภาคเหนือของประเทศไทย ประเทศลาว และ ประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ ซึ่งโดยมากมักนงุ่ โดยผ้หู ญงิ ไทยวนลา้ นนา ไทลือ้ ลาวหลวงพระบาง และ ลาว เวยี งจันทน์ เปน็ ต้น ปัจจบุ ันในประเทศลาวมกั มีการสวมใสเ่ ส้ือปัดในงานพิธีสำคัญต่าง ๆ เชน่ งานแต่งงานและในแขวงหลวงพระ บางของประเทศลาวจะมีการสวมใส่เสอื้ ปดั โดยนางสังขาร (นางสงกรานต)์ อีกด้วย บางคร้งั เส้อื ปัดมักถกู เรียกวา่ \"เส้ือคอปัด หรือ \"เสอื้ คอป้าย\" ที่มาของคำวา่ ปดั หรอื ปา้ ย น่าจะมีรากมาจากการท่ตี ้อง \"ปัด\" หรอื \"ป้าย\" เฉยี งมาผกู ไว้ขา้ งเอว นอกจากน้ยี ังมชี ื่อเรยี กอืน่ อกี ซ่งึ ขึ้นอยู่กบั ท้องถนิ่ ของผู้นงุ่ เชน่ \"เสื้อป๊ดั จา้ ง\" หรอื \"เส้ือ แขบ\" หรอื \"เสอ้ื ปา้ ยข้าง\"
17 ลักษณะของเสื้อปดั เสือ้ ปดั เป็นเสอ้ื แขนยาว ไม่มีกระดุม แต่จะปา้ ยเฉยี งมาผกู ไว้ทเ่ี อวดา้ นข้าง ชายเส้อื ยกลอยขึ้นทัง้ สองข้าง เส้ือ ปดั ของหลวงพระบางมกั จะมีปกคอทค่ี ่อนข้างหนาและมสี ีทอง นงุ่ ผ้าสีมงคลประจำวนั หญิงชาววงั ในราชสำนกั ไทยชว่ งต้นรัตนโกสนิ ทร์มีการเลือกสผี ้านงุ่ และผา้ หม่ ให้ตัดกันสวยงาม และ อบรำ่ ใหผ้ า้ มีกล่ินหอม โดยถือเป็นคติสีมงคลประจำวนั ดงั น้ี หญงิ สยามห่มสไบนางหน่งึ วันจนั ทร์ น่งุ เหลอื งอ่อนห่มนำ้ เงินอ่อนหรือบานเยน็ , นุ่งน้ำเงินนกพริ าบห่มจำปาแดง วันองั คาร นงุ่ สีปนู หรือม่วงเม็ดมะปรางห่มโศก, นงุ่ โศกหรือเขียวออ่ นห่มม่วงอ่อน วนั พุธ นงุ่ สีถัว่ หรอื สีเหลก็ ห่มจำปา วนั พฤหัสบดี น่งุ เขยี วใบไม้ห่มแดงเลือดนก หรือ นุ่งแสดห่มเขียวออ่ น วันศุกร์ น่งุ นำ้ เงินแกห่ ม่ เหลือง วนั เสาร์ นุ่งเม็ดมะปรางห่มโศก หรือนุง่ ผ้าลายพ้นื ม่วงห่มโศก วนั อาทิตย์ แตง่ เหมอื นวนั พฤหัสบดี หรอื นุ่งผ้าลายพืน้ สีลนิ้ จี่หรือเลอื ดหมู แล้วหม่ โศก
18 ส่วนใน สวัสดริ กั ษาคำกลอน อธิบายเก่ยี วกบั การนงุ่ หม่ ผ้าตามสีมงคลประจำวนั ดงั น้ี ๏ อนึง่ ภษู าผ้าทรงณรงค์รบ ให้มีครบเคร่ืองเสรจ็ ทงั้ เจ็ดสี วนั อาทติ ยส์ ิทธโิ ชคโฉลกดี เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคล เครอ่ื งวนั จนั ทรน์ ้นั ควรสนี วลขาว จะยืนยาวชนั ษาสถาพร อังคารม่วงชว่ งงามสีครามปน เปน็ มงคลขัตติยาเข้าราวี เครือ่ งวันพุธสดุ ดีดว้ ยสแี สด กับเหลอื บแปดปนประดับสลับสี วนั พฤหัสจดั เครือ่ งเขยี วเหลืองดี วันศกุ รส์ เี มฆหมอกออกสงคราม วนั เสาร์ทรงดำจึงล้ำเลศิ แสนประเสรฐิ เส้ียนศึกจะนกึ ขาม หนง่ึ พาชขี ข่ี ับประดับงาม ใหต้ อ้ งตามสีสนั จงึ กันภยั ฯ https://www.wongnai.com/articles/traditional-thai-clothing https://th.wikipedia.org/wiki/ ตำราตดั เส้ือสตรี
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: