1 คำนำ หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอบางเสาธง ได้จดั ทำหนังสืออเิ ลคทรอนกิ ส์ “ความร้เู ร่ืองปลา” ขึ้นมาเพ่ือเปน็ องค์ความรู้ ให้กับผู้เข้าร่วมทำแบบทดสอบในกิจกรรมองค์ความรแู้ บบทดสอบออนไลน์ “ความรู้เร่ืองปลา”โดยรวบรวมข้อมลู จาก หนังสอื สารานกุ รมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวพระบรมชนกาธเิ บศรมหา ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชเล่ม ท่ี ๑ เพื่อเป็นการขยายผลของโครงการหนังสอื สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน อีกทาง หนงึ่ และสามารถใช้เปน็ แหล่งค้นคว้าข้อมลู ให้กบั ผู้สนใจทั่วไปได้
2 บทนำ.......................................................................................................................................................................... 3 ความรทู้ ั่วไปในเร่ืองปลา..........................................................................................................................................5 ขนาดและรูปร่าง ..................................................................................................................................................... 7 ผวิ หนังและเกลด็ ปกคลมุ ร่างกาย.............................................................................................................................8 สีบนตวั ปลา ......................................................................................................................................................... 12 ปลาหายใจหรือไม่................................................................................................................................................ 17 การหาอาหารและการเจรญิ เตบิ โตของปลา.......................................................................................................... 20 การเจรญิ เติบโตของปลา ...................................................................................................................................... 26 การสืบพันธ์ขุ องปลา ............................................................................................................................................ 28 การประมงของประเทศไทยและการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงของประเทศของเรา............................................... 43 การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ........................................................................................................................... 45
3 บทนำ ประเทศไทย มีภูมิประเทศท่ีอุดมสมบรู ณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาตทิ ี่ใชเ้ ปน็ อาหารประเทศ หนึ่งในโลก นบั ตัง้ แต่โบราณกาลตลอดมา ประเทศของเรามผี กั ปลาและอาหารอยา่ งบรบิ ูรณ์ จะเหน็ ไดจ้ ากข้อความทีว่ ่า \"ในน้ำมี ปลา ในนามีข้าว\" ซึง่ ปรากฏบนศิลาจารกึ ของพ่อขนุ รามคำแหงมหาราช ในสมยั เจ็ดร้อยปีทผ่ี า่ นมา คนไทยสว่ นใหญ่ ซง่ึ เป็นชาวไรช่ าวนากเ็ ป็นชาวประมงโดยปรยิ าย จับปลาในแหลง่ นำ้ ธรรมชาติ เช่น แมน่ ้ำ ลำคลอง หนอง บงึ ฯลฯ เป็นต้น เพือ่ ใช้บรโิ ภคกันใน ครอบครวั สว่ นทเ่ี หลอื กน็ ำไปแลกเปล่ียนหรอื ขาย ทำใหเ้ ขาเหล่านนั้ ดำรงชีพอยูด่ ้วยความ สงบ มีสันตสิ ุขโดยท่ัวไป สว่ นประชาชนซงึ่ อยูต่ ามจงั หวัดชายทะเล ๒๓ จังหวดั ของประเทศของเรา สว่ นใหญย่ งั ดำรง ชีพอยู่ ด้วยการทำการประมง เม่ือ ๖๐ ปีกอ่ น การประมงทะเลของประเทศเราเป็นการ ประมงแบบชายฝั่ง ชาวประมงจบั ปลา ด้วยเคร่ืองมือประจำท่ีชนิดตา่ งๆ เช่น ลอบ โพงพาง หรอื โป๊ะ เป็นต้น ในรอบสามสิบปที ผ่ี า่ นมา ภายหลังทไี่ ดม้ ีการพฒั นาการประมงโดยท่ัวไป ชาวประมงของประเทศรูจ้ ักใช้เคร่ืองมือจับปลา ท่ีทันสมยั ขึน้ เปน็ เคร่ืองมือเคลอื่ นที่ เช่น อวนลอย และ อวน ลอ้ มจับชนิดต่างๆ และในรอบยส่ี ิบห้าปีท่ผี ่านมา กไ็ ด้มกี ารใช้อวนลาก ทำ การประมงในทะเล ทำให้กิจการประมงของประเทศเจรญิ รุดหนา้ ไปอย่างรวดเรว็ ปรมิ าณปลาที่จับไดเ้ พ่มิ ข้ึนอย่าง มากมาย ทำใหบ้ ังเกดิ ผลดแี ก่เศรษฐกจิ ของประเทศของเรา ดงั นั้น จงึ เห็นได้ว่าทรัพยากรสตั ว์นำ้ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ปลา มีความสำคัญอยา่ งย่งิ ต่อการพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศของเรา อยา่ งไรกต็ าม ความเจริญทางด้านวัตถแุ ละเทคโนโลยขี องประเทศ และการเพิม่ ปริมาณ อย่างรวดเรว็ ของประชากร ของประเทศของเรา ภายหลงั สงครามโลกคร้ังท่ี ๒ มีผลกระทบกระเทือน ต่อความเป็นอยู่ของปลาหลายชนดิ การ สรา้ งเขือ่ นกน้ั ลำนำ้ ทำให้พ้ืนท่ใี ต้เข่ือนซง่ึ เคยเป็นทล่ี มุ่ นำ้ ท่วมถึงในฤดูน้ำหลาก และเป็นเขตที่ปลานำ้ จืดหลายชนิด ชอบตามน้ำขึน้ ไปวางไข่ และหาอาหารกนิ ลดลงอยา่ งมากมาย เปน็ เหตใุ หพ้ วกปลาเหลา่ น้ันหลายชนิดมขี นาดเล็กลง ปลาบางชนดิ เม่ือมีการเปล่ยี นแปลง ของสภาพท่ีอยู่อาศัย ก็เร่มิ มีจำนวนลดลงเรื่อยๆ จนเหลือน้อยมาก เช่น ปลาสรอ้ ย ชนิด ต่างๆ และปลาเทพา (Pangasius sanitwongsei) เปน็ ต้น แหลง่ น้ำหลายแหลง่ ตืน้ เขินข้นึ เนอื่ งจาก ประชาชน บุกรุกเข้าไปอยอู่ าศัยและทำเปน็ ท่เี พาะปลูกหากนิ ทำให้บรเิ วณเหลา่ นี้มสี ภาพไม่เหมาะสม ท่ีจะเป็นท่ีอยู่อาศัยของ
4 สตั วน์ ำ้ หลายชนิด นอกจากน้ี ในแม่น้ำลำคลองใกลต้ วั เมือง ที่มปี ระชาชนอยู่อยา่ งหนาแน่นและมโี รงงานอตุ สาหกรรม เพิม่ ขึ้น น้ำสะอาดจะค่อยๆ เปลยี่ นสภาพเปน็ น้ำเสีย ปลาและสัตวน์ ้ำสว่ นใหญก่ ็ไม่สามารถจะอยู่อาศัยสบื พันธ์ุต่อไปได้ ความต้องการปลาเพอ่ื เปน็ อาหารสำหรบั บรโิ ภคของประชาชนภายในประเทศ และการส่งปลาเปน็ สินค้าออก ทำให้ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการประมงทะเล โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การประมง อวนลากและอวนรนุ ชายฝ่งั เปน็ มูลเหตุ หนงึ่ ทท่ี ำให้ประชากรของปลาทะเล ซึ่งหากินตามบริเวณพื้น ท้องทะเล หรือท่เี ราเรียกกันว่า ปลาหนา้ ดิน ท้งั ในอ่าว ไทยและด้านทะเลอันดามันมีปริมาณลดนอ้ ย ถอยลงเป็นลำดับ ดงั นั้น เราจึงตอ้ งเร่งโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรเหล่านี้ เพื่อให้บังเกดิ ประโยชน์แก่เศรษฐกิจใหม้ ากทีส่ ดุ เทา่ ที่จะทำได้ และโดยตอ่ เนื่อง ในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรประมง เราจำเปน็ ท่จี ะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม เพ่อื ให้ชาวประมงได้ รว่ มมือ และไดร้ ับผลประโยชน์จากมาตรการดังกลา่ ว และ ในขณะเดยี วกนั ให้บังเกดิ ผลดีตอ่ เศรษฐกจิ และความเปน็ อยู่ ของคนในชาติ การวางมาตรการทเ่ี หมาะสม จำต้องอาศยั ความรเู้ กย่ี วกับชนิด ลักษณะรูปร่างโดยทวั่ ไป ปรมิ าณของปลาท่ีมีคุณคา่ ทางเศรษฐกจิ นสิ ยั และความเปน็ อยู่ และการเปล่ยี นแปลงสภาวะและ ขนาดของประชากรของปลาที่เราต้องการจะ อนุรักษ์ ดังนั้น ความรู้ทางดา้ นชวี วิทยาของปลาหรือสตั วน์ ้ำจึงมีความสำคัญในการอนรุ ักษ์หรือพฒั นาการใชท้ รัพยากร เพ่ือเราจะไดร้ บั ประโยชน์ จากทรพั ยากรเหล่านีอ้ ย่างเตม็ ที่ บทความเร่ืองปลาในสารานุกรมฯ ฉบบั นี้ ได้เรยี บเรียงข้นึ เพอ่ื ให้ผู้อ่านและผทู้ ่สี นใจทั่วไป มีความร้เู บือ้ งต้นเกยี่ วกับ รปู ร่าง และลกั ษณะของปลาโดยท่วั ไป ให้เข้าใจถึงความตอ้ งการในเรื่อง ที่อยู่อาศัย อุปนิสัยและพฤติกรรมบาง ประการท่ชี ว่ ยให้ดำรงชีวติ อยู่ และการจำแนกปลาออกเป็น กลุม่ ใหญเ่ พื่อความสะดวกในการศึกษาทางชวี วทิ ยาต่อไป
5 ความรูท้ ่วั ไปในเร่ืองปลา นกั วทิ ยาศาสตร์จดั ความรแู้ ละเร่ืองราวต่างๆ เกย่ี วกบั รปู รา่ งลกั ษณะ การจำแนกแยกชนิด และ ชวี ประวัติของปลาไวใ้ นหมวดวิชา มนี วทิ ยา ซงึ่ เป็นสาขาหนงึ่ ของวิชาสตั ววทิ ยา ในภาษา องั กฤษเรยี กวิชาน้วี ่า ichthyology (ichthyo + logy) คำวา่ ichthyo มาจากภาษากรกี \"ichthys\" ซ่ึง แปลว่า ปลา และตรงกบั คำว่า มนี ส่วน \"logy\" แปลว่า วชิ าหรอื วทิ ยา แผนภาพแสดงจำนวนชนดิ ของปลา เปรียบเทยี บกบั จำนวนชนิดของสตั ว์ประเภททม่ี กี ระดกู สันหลงั อ่ืนๆ ปลาเป็นสตั วท์ ม่ี กี ระดูกสนั หลังจำพวกหน่งึ จดั อยู่ในกลุ่มของสตั วจ์ ำพวกเลอื ดเย็น (poikilothermal animals) ซึ่งหมายความวา่ อุณหภมู ขิ องเลือดในตัวของมันไมค่ งที่ เปลีย่ นแปลงได้ ตามสภาพแวดล้อม โดยทวั่ ไป อณุ หภูมิของตัวปลาแตกตา่ งจากนำ้ รอบตัวของมนั เพียง ๐.๕-๑ องศา เซลเซียส แตอ่ ย่างไรกต็ าม ปลาบางจำพวก เชน่ ปลาทนู า (Yellow Fin Tuna; Thunnus albacares) ซึง่ วา่ ยนำ้ เร็วและใช้พลังงานมาก อาจมีอณุ หภมู ทิ ี่แตกตา่ งจาก นำ้ ทมี่ ันอยู่อาศยั มากกว่า ๑๐ องศา เซลเซยี ส
6 ลกั ษณะและครบี ของปลาชนิดตา่ งๆ ๑) ปลาลำตวั แบนขา้ ง ๒) ปลาจำพวกปักเป้าในวงศเ์ ตตราโอดอนติดี (Tetraodontidae) รูปรา่ งกลมแบบลูกโลก ๓) ปลาจำพวกปลาสเี่ หลี่ยมในวงศอ์ อสตราไซออนตดิ ี (Ostraciontidae) รปู ร่างเปน็ เหลยี่ ม ๔) ปลาจำพวกกระเบนลำตวั แบนลง ๕) ปลาจำพวกปลาผเี ส้ือหรือโสรง่ แขก ในวงศโ์ มโนดกั ทลิ ิดี (Monodactylidae)ลำตัวแบนขา้ ง ๖) ปลาท่มี ีครบี หลังและครีบทวารเจรญิ เตบิ โตดมี าก (Pteraclis spp.) ๗) ปลาคางคกในวงศ์โลฟิอิดี (Lophiidae) ลำตวั แบนลง ๘) ปลากระเบนลำตัวแบนลง ๙) ปลาหชู ้างในวงศ์แพลทาซิดี (Platacidae) ลำตวั แบนขา้ ง ๑๐) ปลาซกี เดียว ลำตวั แบนขา้ ง ๑๑) ปลามา้ นำ้ ลำตัวมเี กล็ดเช่อื มกันเปน็ เกราะหุ้มตวั
7 ๑๒) ปลาจำพวกปลาบู่ ๑๓) ปลาตหู นา ลำตวั ยาวคลา้ ยงู ๑๔) ปลาทูนา ลำตวั เปน็ แบบกระสวย ๑๕) ปลาจำพวกปลาหลังเขยี ว ลำตัวเป็นแบบกระสวย ๑๖) ปลากระทุงเหว ลำตวั ยาวเปน็ ส่เี หลี่ยม หน้าตดั ปลาหายใจด้วยเหงอื ก สว่ นใหญ่มีครบี เพือ่ ช่วยในการทรงตัวและเคล่ือนไหว ปลาใช้น้ำ เปน็ แหลง่ ในการดำรงชีวิต จากหลักฐานทมี่ ีอยู่ในปัจจุบนั ปรากฏวา่ ปลามีจำนวนชนดิ มากที่สดุ ในบรรดาสตั ว์ทม่ี กี ระ- ดูกสนั หลงั ด้วยกนั โดยสามารถเปรียบเทียบอยา่ งประมาณดงั ต่อไปนี้ ขนาดและรูปรา่ ง ปลาทวั่ ๆ ไปก็เหมือนกบั สัตว์บกท่ีเราเหน็ ท้ังหลาย คอื เป็นสัตว์ทม่ี ีลักษณะด้านซีกซา้ ยของ ลำตวั เหมอื นกับทางซีกขวา ซง่ึ ทางวทิ ยาศาสตรเ์ รียกว่า bilaterally symmetrical shape ปลาจำพวก ต่างๆ มีขนาดและ รูปร่างไม่เหมือนกัน ปลาทม่ี ีขนาดเลก็ ทีส่ ุดเห็นจะได้แก่ ปลาจำพวกปลาบู่ ในประเทศฟลิ ิปปินส์ มีชือ่ ว่า \"มิ สติคธสี ลูซอเนนซสิ \" (Mistichthys luzonensis) ปลาชนิดนเ้ี มอ่ื โตเต็มวัยและสามารถสืบพนั ธไ์ุ ด้ จะมขี นาดความยาว เพียง ๑.๒ เซนตเิ มตร ปลาทู (Rastrelliger spp.) ที่พบในตลาดบ้านเรามขี นาดเฉลย่ี ต้งั แต่ ๑๐.๕ เซนติเมตร ถงึ ประมาณ ๒๓ เซนติเมตร ปลาอนิ ทรี (Scomberomorus spp.) ทจ่ี บั ได้ในอ่าวไทยมีขนาดความยาวประมาณ ๒๐ ถึง ๙๐ เซนติเมตร ปลาที่ใหญ่ทสี่ ุดในโลกท่พี บเหน็ กัน ได้แก่ ปลาฉลามวาฬ (Rhincodon typus) ซ่ึงอาจมคี วามยาว ถงึ ๒๐-๒๒ เมตร และหนกั ประมาณ ๒๕ ตัน รปู ร่างของปลาโดยท่ัวไปแตกตา่ งกันไปตามชนิดของปลา ปลาส่วนใหญม่ ีรูปร่างเปน็ แบบ กระสวย (fusiform) ซ่ึงเป็นลักษณะของปลาท่วี ่ายน้ำเร็ว และปลาพวกน้มี กั อยูร่ วมกนั เป็นฝูง เช่น ปลาทู ปลาโอ หรอื ปลาทูนา ในมหาสมุทร เมื่อตัดปลาในแนวตั้งฉากกบั แกนยาวของลำตัวจะเห็น หนา้ ตัดเปน็ รปู กลมหรือรูปไข่ รูปแบบน้ีเป็น รปู ลักษณะของปลาส่วนใหญ่ ปลาจำพวกอน่ื ๆ รูปรา่ ง อาจจะผดิ แผกไปจากแบบท่ไี ดก้ ล่าวไว้ เช่น มีรูปกลมเหมือน ลูกโลก (globiform) ได้แก่ ปลาปกั เปา้ บางชนดิ มรี ูปยาวคลา้ ยงู (anguilliform) เช่น ปลาไหลทะเล (Muraenesox spp.) หรือปลาไหลนำ้ จดื (Fluta alba) ท่มี ใี นบ้านเราปลาบางจำพวกอาจมรี ปู แบนข้าง (compressed form) เช่น
8 ปลาผเี สื้อ หรอื ปลาจะละเม็ด (Pampus spp.) บางชนดิ อาจจะแบนมากและลำตวั ยาวคล้ายแถบผ้า เชน่ ปลา ดาบเงิน (Trichiurus lepturus) บางพวกอาจมีรปู ร่างแบบแบนลง (depressed form) เช่น ปลากระเบน ปลาคางคก เปน็ ตน้ ผิวหนังและเกลด็ ปกคลุมร่างกาย ปลามีผิวหนังเรียบอ่อนนุ่มคลุมตลอดลำตวั และมีต่อมขบั เมอื กโดยทั่วไป เมือกท่ีขบั ออกมามปี ระโยชน์ ชว่ ยทำใหก้ ารเสียดสี และความฝืดลดลงในขณะท่ีปลาว่ายน้ำ ปลาบางจำพวก เชน่ ปลาไหลนา ปลากด ปลาแขยง และปลาดุก เป็นปลาทีไ่ ม่มเี กลด็ ปกคลมุ จงึ มีเมือกมาก แต่ปลา สว่ นใหญ่มีเกล็ดปกคลุมทั่วตวั เกล็ดปลาแบบตา่ งๆ ทีม่ ีชวี ติ อยู่ในปจั จบุ ัน :เกรด็ แบบแกนอยด์เปลือกบาง พบในปลาทม่ี อี วัยวะคล้ายปอด เกลด็ ของปลามหี ลายแบบดว้ ยกัน ในปลาจำพวกปลากระดูกอ่อน เช่น ฉลามและกระเบน ถ้าเราเอามือ ลูบจากทางหางไปส่วนหัว จะรู้สกึ สากๆ ทที่ ำใหร้ ้สู กึ สาก เพราะมือเราสมั ผสั กบั เกล็ด เล็กๆ ทป่ี กคลมุ รอบตัว เกลด็ ของ ปลาดังกล่าวเปน็ เกล็ดแบบแพลคอยด์ (placoid scales) ซ่งึ มี ลกั ษณะคลา้ ยฟัน (ฟันของปลาฉลามกค็ ือส่วนท่ี เปลยี่ นแปลงมาจากเกล็ดน่นั เอง) เกล็ดแบบนี้ มีปลายเปน็ หนามย่ืนไปทางท้าย เกล็ดปลาแบบตา่ งๆ ทีม่ ชี ีวิตอยู่ในปจั จุบัน : เกล็ดปลาแบบแกนอยดเ์ ปลือกหนา พบในปลาการใ์ นแหลง่ น้ำจดื ของทวีปอเมริกาเหนอื
9 ปลานำ้ จืดจำพวกการ์ (gars) ในทวีปอเมริกาเหนือ มีเกลด็ หนาๆ เรยี งติดกนั แต่ไม่ซอ้ นกัน เกล็ดเหลา่ น้มี ี สารเคมีจำพวกแกโนอนี (ganoine) อยู่ดว้ ย เราจงึ เรยี กเกล็ดชนิดนี้ว่าแกนอยด์ (ganoid scales) ในปลาโบราณบาง ชนดิ ซง่ึ พบกลายเป็นซากติดอยูใ่ นหิน หรือเรียกวา่ ซากดึกดำบรรพ์ (fossil) เป็นปลาจำพวกที่มอี วัยวะคลา้ ยปอด สำหรบั หายใจ มเี กล็ดพเิ ศษปกคลุมร่างกายเรยี กวา่ คอสมอยด์ (cosmoid scales) มีลกั ษณะคลา้ ยเกลด็ แกนอยด์ แต่ สารเคมีที่อยู่ในเกล็ดเปน็ จำพวกคอสมนี (cosmine) เกล็ดปลาแบบตา่ งๆ ทมี่ ีชีวิตอยูใ่ นปจั จุบัน :เกลด็ ปลาแบบแพลคอยด์ พบในปลาจำพวกฉลามและกระเบน ปลาสว่ นใหญ่ในปจั จบุ ัน นอกจากปลาจำพวกฉลาม และกระเบน มเี กลด็ แบบไซคลอยด์ (cycloid) และ ทนี อยด์ (ctenoid) แลว้ ยังมีปลากระดูกแขง็ (Teleosts) ท่ีมโี ครงครบี เปน็ กา้ นออ่ น เช่น ปลาหลังเขียว (Sardinella spp.) ปลานวลจนั ทร์ทะเล (Chanos chanos) และปลาตะเพียน (carps) มีเกล็ดแบบไซคลอยด์ ซง่ึ ถา้ เรานำมา ตรวจดโู ดยแวน่ ขยายจะเห็นรอยบนเกล็ดปรากฏเปน็ วงๆ ไดช้ ัด เจน วงเหล่าน้เี ราเรยี กว่า \"เซอรค์ ไู ล\" (circuli) สำหรับ ปลาทอ่ี ยใู่ นเขตร้อนและเขตหนาว ระยะระหวา่ งวงแต่ละวง จะเห็นชดั เจนไมเ่ หมือนกัน ในหน่ึงรอบปีของอายุของปลา วงเหลา่ นบ้ี นเกลด็ อาจจะอยู่ชดิ กนั ตอนหน่ึง และอีกตอนหนง่ึ ห่างกัน ทำให้เกดิ เหน็ เปน็ วงปี (annuli) ขึ้นบนเกลด็ ทง้ั นี้ เพราะการเจริญเตบิ โตของปลาในเขตหนาวสว่ นใหญ่ มีการเจรญิ เตบิ โตดี เฉพาะในฤดูท่มี ีอาหารการกิน อุดม สมบูรณ์ คือในฤดใู บไม้ผลิเท่านน้ั นักชีวประมงจงึ ใชป้ ระโยชนจ์ ากเกล็ด ในการทำนายอายขุ องปลาได้
10 กล็ดปลาแบบตา่ งๆ ทม่ี ชี ีวิตอยู่ในปจั จุบนั : เกล็ดปลาแบบไซคลอยด์ พบในปลากระดูกแข็งขั้นตำ่ ซง่ึ มโี ครง ครบี เป็นก้านอ่อน เช่น ปลากระโห้ เปน็ ต้น ปลากระดูกแขง็ ท่ีมีโครงครีบเปน็ หนาม (spines) สว่ นใหญม่ เี กล็ดแบบทนี อยด์ หรือ ไซคลอยด์ เกล็ดที นอยด์เปน็ เกลด็ คลา้ ยเกล็ดไซคลอยด์ แตต่ รงขอบท้ายเกลด็ ทม่ี องเห็นจากภาย นอกมหี นามเล็กแหลมอยู่ท่วั ไป ตัวอย่างปลา ทีม่ ีเกลด็ แบบทีนอยด์ ได้แก่ ปลากะพง (Lutianus spp.) ในทะเล และปลาเสือ (Toxotes chatarcus) ตามแมน่ ้ำในภาคกลาง ของประเทศไทย เฉพาะ ปลาชนิดหลงั มวี ิธีการหาอาหารแปลกกว่าปลาทั้งหมดเพราะมีความไว และสายตาดี จงึ สามารถใช้ปากพ่นนำ้ ให้ถกู ตวั แมลงท่เี กาะอยูส่ งู ถงึ ๑.๕๐ เมตร จากผิวน้ำรว่ งลงน้ำแลว้ กนิ ได้ เกล็ดปลาแบบต่างๆ ทมี่ ชี วี ิตอยู่ในปจั จบุ ัน :เกรด็ ปลาแบบทีนอยด์ พบในปลากระดูกแขง็ ชน้ั สูง ซ่งึ มี โครงครีบเป็นหนามแข็งเชน่ ปลากระพง เปน็ ตน้ เกล็ดของปลากระดกู แข็งทั้งหลายไม่ได้เรยี งกนั เหมือนปลาฉลาม แต่ซ้อนกันแบบเราเอากระเบื้องมงุ หลงั คาบ้าน ในปลาบางจำพวกอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงของเกลด็ เช่น เช่อื มติดกันเป็นแผ่นห่อหมุ้ ตวั ปลา พบใน ปลาขา้ งใส (Centriscus spp.) หรอื ปลาเขาววั สว่ นปลาปักเป้าเกลด็ จะเปลีย่ นเปน็ หนามแหลม
11 ปลาเทพาเปน็ ปลาน้ำจดื พวกไมม่ เี กลด็ ขนาดใหญ่ที่สดุ ในโลกชนดิ หนงึ่ พบเฉพาะในประเทศไทย เขตลุ่มแม่น้ำเจา้ พระยา อาจเติบโตได้จนมีความยาวถึง ๓ เมตร ปลาบางจำพวก เช่น ปลากระเบน ปลาดกุ ทะเล หรอื ปลาหัวโขนบริเวณผวิ หนงั บางส่วนจะ มีตอ่ มขับสาร มพี ิษ ต่อมเหลา่ นโ้ี ดยมากจะอยู่ใกลก้ ับโคนก้านครบี แขง็ หรือเงย่ี ง ถา้ อวยั วะเหล่านี้ ทมิ่ ตำเข้า พิษจะถูกขบั เขา้ สแู่ ผล จะทำใหเ้ กิดความเจ็บปวด อาจเกดิ เปน็ แผลเน่า และมอี นั ตรายถึงตายได้ ปลาเสือ เป็นปลานำ้ จืดประเภทเลยี้ งไวด้ ู เพือ่ ความสวยงามชนิดหนึง่ มีถิ่นอาศยั อยใู่ นไทย บอร์เนียว สมุ าตรา และกมั พชู า ปลาท่อี าศยั อยู่ในท่ีลกึ ในมหาสมุทร มหี ลายชนิดที่มีอวัยวะเรือง แสงอยบู่ นลำตวั หรอื หวั อวยั วะเหล่านม้ี ี ประโยชน์แก่ปลา เพราะทำหน้าทีล่ อ่ เหยอ่ื ใหเ้ ขา้ มาหา ช่วยในการมองเห็น ช่วย ปอ้ งกนั ศัตรู และช่วยในการรวมกลุม่ ต่อมเรืองแสงเปน็ อวยั วะพิเศษ ทมี่ กี ารเปลีย่ นแปลง โดยววิ ฒั นาการมาจากต่อมขับเมือก ซ่ึงอาจเปน็ แสงท่ีปลาทำขึ้น เอง หรอื มาจากส่ิงมชี ีวติ อ่ืนก็ได้
12 สบี นตวั ปลา ปลามีสีสวยงามไม่แพส้ ตั วบ์ กพวกนกหรือผีเสื้อ เราจงึ นยิ มเลย้ี งปลาไวด้ เู ล่นในตู้กระจก หรอื อ่างน้ำ ใน ประเทศ เยอรมนี ซึ่งแมจ้ ะอยู่ในเขตอบอุน่ ก็มีอุตสาหกรรมการเล้ียงปลาสวยงามเปน็ ลำ่ เปน็ สันมาก สามารถเพาะปลา สวยงามชนิดต่างๆ ท่ีเป็นปลาจากเขตร้อน ส่งไปขายใหส้ หรัฐอเมริกามมี ลู คา่ เทา่ กับฝ้าย ท่ปี ระเทศต้องสงั่ ซื้อมาจาก สหรฐั ฯ เพือ่ นำมาทอใช้ในประเทศของตน ปลาสนิ สมุทรลาย (Emperor angelfish; Pomacanthodes imperator) ขณะโตเต็มวัย พ้ืนลำตวั มสี ีฟา้ หม่น ซง่ึ เปน็ สีท่พี บไมบ่ ่อยนกั ในสตั วจ์ ำพวกปลา ธรรมชาตไิ ม่ไดส้ รา้ งสสี นั ของปลาเพยี งเพอ่ื ให้มคี วาม สวยงามเท่านัน้ แตย่ ังชว่ ยให้ปลาสามารถหลบซ่อนเหยอื่ หรือ ปรับตัวให้กลมกลืนเข้ากับสภาพแวดลอ้ ม เพ่ือหลกี เลยี่ งภยัน- ตรายจากศตั รู หรือเป็นส่ือชว่ ยกระตุ้นในฤดูทีม่ กี าร สบื พนั ธุ์ (nuptial dress) อีกดว้ ย การเข้าอยู่รวมกันเปน็ ฝงู ของปลาสองชนดิ ท่มี ีสีคลา้ ยคลึงกัน
13 โดยทัว่ ไปปลามกั มีสีเงนิ และสีฟา้ หรือนำ้ เงนิ บา้ งก็มีสีเขียว สเี ทาหรือสีนำ้ ตาล ปลาทะเลบางจำพวก เชน่ ปลาตามโขดหนิ กองหรือปะการัง มสี สี นั สลบั สดใสนา่ ดมู าก เชน่ สีเหลือง สีแดง สีม่วง หรือสีนำ้ เงนิ แก่ เป็นต้น นอกจากมีสตี ่างๆ เป็นสีพืน้ ปลาหลายชนิดยงั มีจุดหรอื แถบสีอยปู่ ระปรายโดยท่วั ไป ในปลาหลายชนิด ปลาเพศผู้ และ เพศเมีย มสี ีไมเ่ หมอื นกัน เช่น ปลากนิ ยุง (Poecilia) หรอื ปลากดั (Betta spp.) ปลาเพศผมู้ ีสี สวยงามมากกว่าเพศเมยี นอกจากนป้ี ลาบางชนิด เชน่ ปลา จำพวกกะพงทะเล เมอ่ื ยังมีขนาดเล็กจะมีจุดหรือแถบสีชดั เจน แตเ่ มอ่ื ปลาโตมาก ข้นึ จดุ หรอื แถบสนี ั้น กจ็ ะเลือนราง หรอื หายไป กลายเปน็ สอี ่นื สีต่างๆ ทั้งหมดท่ีเราเห็นอยู่บนตัวปลา เกิดจากการ ปะปนของเซลลส์ ร้างสีสองสามชนดิ เท่านัน้ สี นอกจากน้นั อาจเกิดจากการสะทอ้ นของแสงในนำ้ (apparent color) ตามปกติ ปลามเี ซลลส์ ร้างสดี ำ (melanophores) ซ่งึ มอี นุภาคของสารเมลานนิ (melanin) อย่เู ปน็ จำนวนมาก การเปล่ียนแปลงตามอายขุ องปลา แสงสะท้อนจากอนุภาคเมลานินเหล่านี้ ผ่านผลึกของ กัวนิน (guanin) ซ่ึงเป็นของเสียท่ีปลาขบั ถา่ ยออกมากบั เมือกที่ เกาะอยู่ตามผิวหนงั ซึง่ อยเู่ หนือช้นั ท่ีมีเซลลส์ ร้างสดี ำ ทำใหเ้ รา เห็นปลามสี ีเขยี ว สฟี ้า หรือสีนำ้ เงิน แล้วแต่ปริมาณ และสัดส่วน ของเมลานินและกวั นินในปลาบางชนดิ จุดสีหรอื รงควัตถุ (pigment) จากเซลลส์ รา้ งสเี หลืองผสมกับเม ลานนิ และสารทีเ่ รียก วา่ อิรร์ ิดิโอไซต์ (irridiocytes) ทำให้เกิดเป็นสีเขยี วขนึ้ มาได้ สีแดงเกดิ จากจดุ สที ส่ี รา้ งดว้ ยเซลลส์ ีแดง (erythophres) สชี มพู สีมว่ ง และสีคล้ายดอกกล้วยไมท้ ่ี ปรากฏบนตัวปลาเกิด จากการผสมเป็นสัดสว่ นตา่ งๆ ของจุดสีจากเซลล์สรา้ งสดี ังกลา่ ว และจากแสงสะท้อนจากนำ้ มายังนัยน์ตาของเรา
14 การเปลี่ยนแปลงตามสิง่ แวดล้อม ปลาส่วนใหญ่สามารถปรับสี และลวดลายบนตัวใหก้ ลมกลืนกบั สภาพแวดล้อมได้ดี มาก ทงั้ ยงั เพื่อหลบหลกี อนั ตรายจากศตั รูของมัน ตวั อย่างทด่ี ใี นเร่ืองน้ี ได้แก่ ปลาจำพวกปลาซีกเดียว (floundr) ซง่ึ สามารถเปล่ยี นสไี ด้รวดเรว็ มาก ได้พบว่า การกระตุน้ ท่ีทำใหเ้ กดิ การเปลีย่ นสีและลวดลายบนตวั ปลา เกดิ จากการ มองเหน็ ของปลา แล้วทำใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงบางอยา่ ง ทางดา้ นสรรี วิทยา และการยืดหดของเซลลส์ รา้ งสใี นผวิ หนงั ของปลา ในภาพนีห้ ากหัวปลาอยูบ่ นพนื้ ท่ีมสี ขี าว ปลาจะมีสีจางมาก เม่ือเปลี่ยนพื้นเป็นสดี ำ ปลาตวั นั้นกจ็ ะเปลยี่ นสี ดำเขม้ ขนึ้ หากปลาอยู่บนพน้ื ที่ท่มี สี ดี ำขาวประปราย ปลาก็จะเปล่ยี นสแี ละลวดลายให้กลมกลืนเขา้ กบั สภาพแวดล้อม ดว้ ย เซลล์สร้างจดุ สเี หล่านีส้ ามารถหดหรอื ขยายตวั ไดโ้ ดยรวดเรว็ การหดหรอื ขยายตวั เกดิ ขนึ้ จากการกระต้นุ โดยระบบประสาท อันเกย่ี วเน่ืองอย่างมากในการเหน็ ของปลา และการเปล่ยี นแปลงทางดา้ นสรรี วทิ ยาภายในตวั ปลา เอง ดงั น้ัน ปลา จึงสามารถเปล่ยี นสีและลวดลายใหเ้ ขา้ กับสภาพแวดล้อมไดด้ ีมาก มนุษย์เราสามารถปรับปรุงให้ปลาเปลย่ี นรูปรา่ งและสีสนั ได้ โดยการคัดเลือกพนั ธุ์ (selective breeding) และผสมข้าม พนั ธ์ุ (cross breeding) การคดั เลอื กและผสมขา้ มพันธ์ปุ ลาได้ ทำกันมาเป็นเวลานานกวา่ ๑,๐๐๐ ปแี ล้ว นกั เพาะพันธ์ปุ ลาชาว จนี และญี่ปุน่ สามารถทำให้เกิดปลาแบบใหม่ข้นึ ไดโ้ ดยวิธีการดงั กลา่ ว เชน่ การ ทำให้เกดิ พนั ธปุ์ ลาเงินปลาทองหัวสิงโต ปลาเงนิ ปลาทองที่มคี รบี ยาวและสวยงาม ปลาแฟนซีคาร์พ ฯลฯ นกั เพาะพันธปุ์ ลาสวยงามในปจั จุบนั ก็ยงั ใช้วิธกี ารดังกล่าวอยู่ เชน่ ในอุตสาหกรรมการเลย้ี งปลาสวยงามของไทยและ สงิ คโปร์ ทำ ใหเ้ กดิ ปลาท่ีมรี ปู ร่างและสสี ันตามความต้องการของตลาด ซึ่ง บงั เกิดผลดตี ่อเศรษฐกจิ ของประเทศ การเคลอ่ื นไหวและทรงตัวในน้ำของปลา ปลาแหวกว่ายดำนำ้ หรอื ผดุ จากระดับลึกข้นึ ส่ผู ิวนำ้ อย่างรวดเรว็ ได้ กโ็ ดยอาศยั ครีบและกล้ามเนอ้ื ลำตวั เป็นสำคญั ปลาทีว่ ่ายน้ำเร็ว เชน่ ปลาทู หรอื ปลาทนู า มีการโบกพดั ของ หาง และการยืดและหดของกล้ามเนอื้ ข้าง ลำตวั สลบั สัมพนั ธ์ กนั ไปดมี าก ทำให้ปลาเคลื่อนท่ีไปขา้ งหนา้ ไดโ้ ดยรวดเร็ว ครบี ต่างๆ ของปลา นอกจากจะมีสว่ นท่ี ชว่ ยในการเคลื่อนไหวของปลาแล้ว ยังมหี นา้ ทพี่ ยุงและรักษาการทรงตวั ของปลาในน้ำ เวลาปลาวา่ ยนำ้ เร็วครีบตา่ งๆ จะหบุ ลงหรอื ยบุ ลงทอดแนบตามตัวของปลา ทงั้ นเ้ี พอ่ื ใหล้ ูต่ ามนำ้ และความ ต้านทานน้อยลง ครีบหางทำหน้าที่
15 เปรยี บเสมอื นหางเสือของเรือ เมือ่ ต้องการจะหยดุ ครบี อกและครีบท้องจะกางออกต้านนำ้ ครีบอ่นื กจ็ ะแผ่ออก ทำ หน้าที่ทรงตวั พร้อมกนั ครบี ตา่ งๆ ของปลาแบ่งออกไดเ้ ป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ ครีบคู่ (paired fins) และครีบเดย่ี ว (median fins) สำหรับครบี คู่ในปลาสว่ นใหญ่มสี องคูด่ ้วยกนั คือ ครีบอก (pectoral fins) และครีบทอ้ ง (pelvic หรือ abdominal fins) ซ่ึงครีบทง้ั สองเปรยี บ ไดเ้ หมอื นขาหนา้ และขาหลงั ของสัตวส์ ่ีเทา้ บนบก ครบี อกตั้ง อย่ถู ดั จาก กระพ้งุ แกม้ ของปลา โดยอาจอยูส่ องข้างของลำตวั ทั้ง ซ้ายและขวาหรืออยู่ค่อนมาทางด้านล่างของลำตวั แล้วแต่จำพวก ของปลา ทตี่ ้ังของครีบทอ้ งมกั มสี ว่ นสัมพนั ธ์กับตำแหน่งทต่ี ัง้ ของครบี อก ในปลากระดูกแขง็ ช้นั ตำ่ คือปลาท่ไี ม่มีการ เปลี่ยน แปลงรูปร่างจากแบบปกตทิ ่ัวไปมากนัก เช่น ปลาหลังเขยี ว ปลาเขม็ ตำแหนง่ ของครีบท้องจะอยชู่ ิดส่วนสัน ทอ้ งทางด้าน หน้าของรูทวาร (anus) ส่วนตำแหนง่ ของครบี อกจะอยตู่ ำ่ หรือ ค่อนมาทางด้านลา่ งของลำตัว ในปลา กระดูกแขง็ ชนั้ สูงคือปลา ท่ีมีการเปล่ยี นแปลงของรูปรา่ ง และลกั ษณะไปจากแบบทัว่ ไป ไม่ว่านอ้ ยหรือมาก ตำแหนง่ ของครีบท้องจะอยตู่ รงบริเวณหน้า อกของปลา (thoracic position) ใตค้ รบี อกซ่ึงอยู่ถดั สงู ขึ้นไป ขา้ งลำตวั เชน่ ปลา ทู ปลามา้ หรืออยูเ่ ลยค่อนไปทางข้างหน้า ของครบี อก คืออยู่ท่ตี รงบริเวณคอหอยของปลา (jugular position) เช่น ปลาจำพวกปลาบู่ เป็นตน้ การแยกประเภทปลากระดกู แขง็ นกั อนุกรมวธิ านใชต้ ำแหนง่ ครีบอกและครบี ท้องแยกปลากระดกู แข็งออกเป็น ๒ ประเภทใหญๆ่ คือ ๑. ปลากระดูกแขง็ ช้นั ต่ำ ซง่ึ มีโครงครบี เปน็ ก้านอ่อน ตำแหนง่ ของครบี ท้องต้ังอยบู่ ริเวณส่วนท้อง เช่น ในปลา หลังเขยี ว (ก) เป็นต้น ๒. ปลากระดูกแขง็ ช้ันสูง ซ่งึ มีโครงครบี เป็นหนาม จะเหน็ ได้วา่ ในปลาจำพวกนค้ี รีบท้องจะอยบู่ ริเวณหนา้ อก ของปลา เช่น ปลาหางเหลือง (ข) หรอื ที่บริเวณคอหอย เช่น ในปลาไหลทราย (ค) ครบี อกของปลาจำพวกปลากระเบนมคี วามสำคัญในการ เคลอื่ นไหวในน้ำเปน็ อยา่ งมาก แต่ในปลาหลายชนิด ครีบคูม่ ี หนา้ ท่ีเฉพาะ เพอื่ การทรงตัวในน้ำ ปลาบางจำพวก เชน่ ปลา ในวงศ์ปลานกกระจอก (Exocoetidae) ครบี อกมีขนาด ใหญม่ าก ใช้ช่วยพยงุ ตัวใหป้ ลาถลาขึ้นพน้ น้ำ ร่อนไปได้ไกลๆ
16 ปลาสิงโต (Pterois lunulata) เป็นปลาทะเลที่อาศยั อยู่ในเขตร้อน บรเิ วณหนิ ปะการงั ลำตัวมีสีและ ลวดลายสวยงาม ครีบทีใ่ ชใ้ นการเคลอื่ นไหวมีลักษณะแตกก่ิง คล้ายสตั ว์นำ้ หลายชนดิ ในบรเิ วณทีอ่ าศัย กา้ นครีบมี ความแหลมคม แข็ง และมีพิษ เพ่อื ใชป้ ้องกนั ตนเองจากภยนั ตราย ปลาบางชนดิ เชน่ ปลาไหลนา ครีบคูเ่ สอ่ื มหายไป เพราะ การเคลอ่ื นไหวของปลาไหล ใชก้ ารยดื หดของ กลา้ มเนื้อลำตวั แทนทัง้ หมด ทำให้ปลาเคล่ือนทไี่ ดเ้ หมือนงูเลือ้ ย ปลาบางชนิด ไม่มคี รีบท้อง เชน่ ปลาจะละเม็ด ปลา ดาบเงนิ ปลาปกั เป้า เปน็ ต้น เป็นท่ีนา่ สังเกตวา่ ในบรรดาครีบทัง้ หลาย ครบี ท้องมี ประโยชน์นอ้ ยทส่ี ุดในการพยงุ ตวั และการทรงตวั ของปลา จึง เหน็ ไดช้ ัดวา่ มีขนาดเล็กกวา่ ครีบอนื่ ปลาเงินปลาทอง (Carasius auratus) เปน็ ปลานำ้ จดื ในกลุ่มใกลเ้ คยี งกับปลาตะเพียน มกี ารคัดเลอื ก พนั ธ์ุมานานนบั พนั ปี จนมลี ักษณะแปลก โดยเฉพาะชนิดที่มคี รบี ตา่ งๆ ขนาดใหญโ่ บกพดั น้ำดสู วยงามมาก ดงั ไดก้ ล่าวมาแล้ว นกั อนุกรมวธิ านปลาจงึ พอจะใช้ ตำแหน่งของครีบคู่ ในการจำแนกกลุ่มของปลาออกเปน็ ปลา จำพวกทม่ี ีโครงครบี ซง่ึ เปน็ ก้านออ่ น (soft-rayed fish) และปลา ท่ีมีโครงครีบซ่งึ มีก้านเป็นหนาม (spiny-rayed fish) ครบี เดี่ยว ไดแ้ ก่ ครีบหลัง (dorsal fin) ครบี หาง (caudal fin) และครบี ทวาร (anal fin)ครบี หลังอาจมีเพียงครบี เดยี ว หรือมากกว่าหนง่ึ ครบี กไ็ ด้ ในปลาบางชนิดครีบหลังอันท่ี ๒ อาจจะเป็นครบี ไขมนั (adipose fin) หรืออาจ ประกอบดว้ ยครีบฝอย (finlets) ก็มี ในปลากระดูกแขง็ ชนั้ ต่ำ ครบี หลงั จะมีก้านครีบอ่อนประกอบดว้ ย กระดกู ชิน้
17 เลก็ ๆ เรยี งต่อกันเป็นข้อๆ ตอนปลายของกา้ นแตกออกเปน็ แฉกๆ ปลาจำพวกนี้ไดแ้ ก่ ปลาโคก (gizzard shad) ปลา อกแลหรือหลงั เขียว (sardine) ฯลฯ ในปลากระดูกแขง็ ชั้นสูงข้ึนมา ครบี หลงั ตอนแรกก้านครีบจะเป็นหนามแข็ง สว่ นครบี หลงั อนั ถดั มาเปน็ ก้านครบี ออ่ น เช่น ในปลาจำพวกกะพง (Snappers) สว่ นปลาทู ปลาลัง ยังมคี รีบ ฝอย (finlets) จำนวน ๕ ครีบอยู่ ถัดไปทางโคนหาง กบั อีก ๕ ครีบอยตู่ รงกันขา้ มทางดา้ นทอ้ ง ท้ายครีบทวาร ครบี ทเ่ี ปน็ หนามทำให้ครบี แขง็ แรงขึน้ และอาจใชใ้ นการป้องกันศัตรูไดด้ ้วย ในปลาบาง จำพวก เช่น ปลาดกุ (Clarias spp.) มีครบี หลงั และครีบทวารยาว การโบกพดั ของครีบยงั ทำใหป้ ลา เดินหนา้ และถอยหลงั ได้ อยา่ งไรกด็ ี ในปลาบางชนิด เชน่ ปลาติด (sucker fish) ครบี หลงั อัน แรกซึ่งอยู่บนหัวจะมีววิ ัฒนาการไปเป็นอวัยวะที่ใชย้ ดึ เกาะตดิ ดงั น้ัน ปลาพวกน้ีจึงอาศยั เกาะติด ปลา ใหญ่ๆ เชน่ ปลาฉลาม ได้ และคอยรับเศษอาหารทีห่ ลงเหลือจากปลาใหญเ่ หลา่ นนั้ ครบี หางมคี วามสำคญั มากในการเคลอ่ื นไหว และการเปล่ยี นทศิ ทางในการเคล่ือนท่ี ปลา ท่ีวา่ ยน้ำเรว็ มักจะมีส่วนตัด (cross section) ของคอดหาง (caudal peduncle) เป็นรปู กลม เชน่ ปลา ฉลาม ครีบหางในปลา กระดูกแขง็ ชนิดต่างๆ มรี ปู รา่ งแตกต่างกันไป ปลาจำพวกที่วา่ ยนำ้ เรว็ หรอื ปลาฝงู ในมหาสมทุ ร เชน่ ปลาทูนา ครบี หางจะกว้างแต่เวา้ ลึกมีรปู คล้ายพระจนั ทรค์ รึ่งเสีย้ ว ปลาทู มคี รีบหางเป็นแฉกรูปส้อม ปลาทว่ี า่ ยนำ้ ชา้ อาจมีครีบหาง เปน็ รูปพัด หรอื รูปหางตัดหรือรูปกลม แล้วแตช่ นดิ ของปลา ปลาฉลามซ่ึงเปน็ ปลาจำพวกทมี่ ีกระดูกอ่อนมีลักษณะของ ครีบหางผิดแผก ไปจากปลาจำพวกกระดกู แข็ง กล่าวคือ แกนหางงอนขนึ้ ไปทางส่วนบนของครีบหางทำให้ส่วนบน ของครบี หางยาวกว่าสว่ นล่าง (heterocercal tail) นเ่ี ปน็ ลกั ษณะที่แสดงถึงความสมั พันธ์ระหว่าง ปลาฉลามกับปลา โบราณบางพวกทีพ่ บกลายเป็นซากหิน ส่วนหางของปลากระเบนหลายชนดิ มี ลกั ษณะเป็นแสย้ าว ครีบทวารมีสว่ นช่วยในการพยงุ ตวั และในการเคลือ่ นไหวของปลาเหมือนกนั เช่น ในปลา กรายและปลา สลาดหรอื ฉลาดมีครบี ทวารยาวมาก การพัดโบกของครบี ทวารจะทำใหป้ ลาว่ายไปข้าง หน้าหรอื ถอยหลังได้ จะเห็นได้ ว่าในปลาจำพวกนี้ ครีบอกมขี นาดเลก็ ส่วนครบี ทอ้ งยิ่งเล็กมาก จนไม่นา่ ใช้ประโยชนไ์ ด้ ปลาหายใจหรือไม่ มีบางคนอาจมีคำถามว่า ปลาอยใู่ นนำ้ จะหายใจได้อย่างไรในเมื่อเวลาเราดำน้ำเรายังต้อง กลนั้ หายใจ ในขอ้ นี้อาจจะชีแ้ จงได้ว่า ปลากเ็ หมือนสัตว์บกทั้งหลาย คือต้องหายใจโดยตอ้ งการ ออกซิเจนและขับคาร์บอนไดออกไซด์ออก เชน่ กัน ปลาโลมาหรือปลาวาฬซ่ึงเป็นสัตว์เล้ียงลกู ด้วย นม (mammals) แตอ่ าศยั อยู่ในน้ำจงึ ตอ้ งโผล่ขน้ึ มาจากนำ้ เปน็ ระยะๆ เพ่ือทำการหายใจ โดยปกติ ปลาหายใจด้วยเหงือก (gills) ของมนั เหงือกตัง้ อย่สู องขา้ งของตวั ปลาทบ่ี ริเวณ สว่ นทา้ ยของหวั เม่อื เราแง้มหรอื เปดิ กระพุ้งแก้ม (opercles) ของปลา เราจะเห็นอวัยวะสำหรับใช้ ในการหายใจ มีลกั ษณะเปน็ เส้นคลา้ ย ขนนกหรือหวีเรยี งกนั เป็นแผงเปน็ ระเบยี บและมสี ีแดงจัด อวัยวะดังกล่าวคือเหงือก ทีเ่ หงือกนนั้ มเี สน้ โลหติ ฝอยเป็น จำนวนมากมาหล่อเล้ยี งอยู่ ก๊าซออกซิเจนที่ละลายปนอยู่ในน้ำ จะถูกเหงือกดดู ซมึ เข้าไปในกระแสเลือด และเลอื ดท่ีมี
18 ออกซิเจนนี้จะไหล ผ่านออกจากเหงือกไปเลีย้ งสว่ นต่างๆ ของรา่ งกาย ของเสยี เช่น กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะถูก ขับถา่ ยออกจากเหงือกบริเวณเดยี วกนั หากเรานำปลาขน้ึ จากน้ำ ปลาจะตายในระยะเวลาต่อมา ทั้งนี้ เพราะปลาสว่ นใหญ่ ไมส่ ามารถใช้ก๊าซออกซเิ จนจากบรรยากาศโดยตรงได้ เนื่องจากมนั ไม่มีปอด สำหรับหายใจเหมอื นสัตวบ์ กทงั้ หลาย ได้มี นักวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศทำการทดลองทาง สรรี วทิ ยา (physiology) โดยนำปลาขึ้นมาวางในท่ีแห้งปรากฏว่า ปรมิ าณกรดแล็กติก (latic acid) ในเลือดและในกล้ามเนื้อเพ่มิ ขน้ึ อย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพยี งไม่กนี่ าที แตเ่ มื่อปล่อย ปลากลบั ลง ไปในนำ้ แล้ว ปริมาณกรดแล็กติคจะค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ จนถึงระดับปกติ การหายใจของปลาเริ่มขนึ้ เมื่อมีน้ำเขา้ ทางปากหรือท่อ เชน่ สไปเรเคลิ (spiracles) ในปลา พวกฉลามและ กระเบน น้ำท่ีมีกา๊ ซออกซิเจนละลายอยู่กจ็ ะผ่านเข้าไปตามช่องเหงือก คร้ันเมื่อปลาหบุ ปากและกระชับกระพุ้งแกม้ นำ้ ก็ จะถกู ขบั ออกทางช่องแก้ม ซ่ึงเปดิ อยู่ทางส่วนท้ายของส่วนหัว น้ำที่ถูกขับออกทางสว่ นทา้ ยน้ี ยงั เป็นแรงท่ชี ่วยดนั ใหป้ ลา เคลือ่ นท่ีไปขา้ งหนา้ อีกสว่ นหน่ึงด้วย ยังมปี ลาบางจำพวกที่มีอวัยวะพิเศษใชช้ ่วยในการหายใจ นอกเหนือจากผวิ หนังของปลา ซึ่งมีส่วนสำคญั ในการขบั ถ่าย ของเสีย เช่น กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ ปลาบางจำพวก เชน่ ปลา ไหลนำ้ จืด ใชล้ ำไสช้ ว่ ยในการหายใจได้ดว้ ย ในลูก ปลาวยั ออ่ น (larvae) ของปลาส่วนใหญท่ ี่ยงั มี ถุงไข่แดงอยู่ ปรากฏว่าเส้นเลือดฝอยบนถุงไขแ่ ดง และท่ีสว่ นต่างๆ ของ ครีบสามารถดดู ซับเอา กา๊ ซออกซิเจนไปเลีย้ งร่างกายไดเ้ ชน่ กัน ในลูกปลาจำพวกที่มีอวัยวะคล้ายปอด (lung fishes)
19 จะมี เหงือกพิเศษซึ่งพัฒนาดใี นระยะแรกของการเจรญิ เตบิ โตของปลาเทา่ นน้ั ต่อมาเม่ือลูกปลาดังกล่าว โตขน้ึ เหงอื ก พเิ ศษจะค่อยๆ หดหายไป ปลาน้ำจืดหลายชนดิ ในประเทศของเรา สามารถอาศัยอยู่ในแหลง่ นำ้ ทตี่ น้ื เขนิ แห้งขอด ขาดความอุดม สมบรู ณ์ได้ และมีก๊าซออกซเิ จนละลายอย่ใู นน้ำน้อยได้ ปลาเหลา่ นีม้ ีอวยั วะพิเศษ แทรกอยู่ตรงส่วนบนของเหงือก ใช้ ช่วยหายใจไดโ้ ดยตรงจากบรรยากาศ ปลาเหลา่ น้ี ได้แก่ ปลา ช่อน (Ophiocephalus spp.) ปลาหมอ (anabantids) ปลาไหลนำ้ จืด และปลาดุก เปน็ ต้น ในโลกเรายังมปี ลาอีกกลุ่มหน่ึง ทมี่ ีววิ ฒั นาการใชก้ ระเพาะลมเปน็ อวยั วะสำหรบั การหายใจ อวยั วะ ดังกล่าวจึงสามารถทำใหป้ ลาหายใจจากบรรยากาศโดยตรงได้ กระเพาะลมในปลาท่ัวๆ ไป ใชเ้ ปน็ อวยั วะรับความรสู้ กึ เกีย่ วกบั ความกดดนั หรอื การส่นั สะเทือนทเ่ี กิดขน้ึ ในนำ้ ตลอดจนใชช้ ่วย ประกอบการดำวา่ ยขนึ้ ลง หรอื บางชนดิ ชว่ ย ทำใหเ้ กดิ เสียง กระเพาะลมในปลากลมุ่ นม้ี ีลักษณะ คลา้ ยกบั ปอดในสัตว์ช้นั สงู คือมเี ส้นโลหิตมาหล่อเลี้ยงเป็นจำนวน มาก ปลากลมุ่ นี้ ได้แก่ ปลานำ้ จืดทม่ี ีอวยั วะคล้ายปอด พบเฉพาะแหลง่ ในทวปี อเมริกาใต้ (Lepidosiren spp.) ใน ทวปี แอฟริกา (Protopterus spp.) และในทวปี ออสเตรเลีย (Neoceratodus spp.) ปลาสองพวกแรกน้ีเท่านนั้ ท่ยี งั สามารถอยู่อาศัยในแหล่งนำ้ ท่ีแหง้ ในฤดแู ลง้ โดยหมกฝงั ตัวอยใู่ นกระเปาะ (cocoon) ใต้ดินคล้าย จำศีล (estivation) ปลามีอวยั วะคลา้ ยปอดชนิดหนึ่งในทวปี อเมรกิ าใต้ ต้องหายใจจากอากาศโดย ตรงตลอดชีวติ คอื ไม่สามารถท่ีจะมี ชีวิตอยไู่ ด้หากหายใจในนำ้ โดยการใชเ้ ฉพาะเหงือกเทา่ น้นั ลักษณะกระเพาะลมประเภทหนง่ึ ของปลาจวด ก๊าซออกซิเจนทลี่ ะลายอย่ใู นน้ำมีความสำคัญตอ่ ความเปน็ อยขู่ องปลามากปลาท่ีอาศัยอยู่ ในนำ้ ทไ่ี หลอยู่เสมอ เชน่ ใน ลำธาร ในชีวิตต้องการออกซเิ จนมากกว่าปลาทอี่ าศยั อยู่ในน้ำน่ิง ปลาเทราต์ (trout) ซ่ึงเป็นปลาอาศัยอยู่ตามลำธารใน เขตอบอนุ่ เชน่ ในทวีปอเมรกิ าเหนอื จะ ต้องอยู่ในนำ้ ที่มีออกซเิ จนไมต่ ่ำกว่า ๓ สว่ นในลา้ นส่วนของน้ำ ปลาตะเพยี น หรือปลาไน ใน บา้ นเมืองเรา สามารถอาศัยอยู่ไดใ้ นแหลง่ น้ำซ่งึ มอี อกซิเจนเพียง ๑ ถึง ๒ ส่วนในน้ำล้านสว่ น ในเรอ่ื งเกีย่ วกับกระเพาะลมของปลา ได้มีนกั วทิ ยาศาสตร์หลายท่านสันนิษฐานวา่ ในระยะ แรกๆ ของวิวัฒนาการของ
20 ปลา ปลาอาจใชอ้ วยั วะดงั กล่าวเพือ่ การหายใจ แต่ต่อมาได้เปล่ียนเป็น อวยั วะใช้รบั ความรูส้ กึ กดดันและการ ส่นั สะเทือนในนำ้ ในปลากระดูกแข็งชน้ั ตำ่ ซึง่ มโี ครงครีบเป็นก้านอ่อน กระเพาะลมของปลาเหล่านม้ี ีทอ่ (pneumatic duct) ตดิ ตอ่ กับทางเดนิ อาหารตลอดชีวติ แต่ในปลากระดูกแข็งที่มวี วิ ฒั นาการไปเปน็ ปลาท่ีมโี ครงครบี เป็นหนาม จะมีทอ่ ดังกล่าวเฉพาะในวัยออ่ นเท่านนั้ ครั้นเมอ่ื ปลาเจรญิ เติบโตขึ้น ทอ่ ดังกลา่ วจะค่อยๆ เส่ือมหายไปในทสี่ ดุ ดงั นน้ั ในปลา กระดูกแข็งช้นั สูง กระเพาะลมจงึ มี หนา้ ท่ใี นการรับความรู้สึกเก่ยี วกับการทรงตวั ของปลาภายใตค้ วามกดดันของนำ้ หรอื รับความสั่น สะเทือนทีเ่ กิดขึ้นในนำ้ เท่าน้ัน นอกจากความรดู้ งั กล่าวเรอื่ งกระเพาะลมของปลา เรายงั พบวา่ กระเพาะลมของปลาหลาย ชนิด เชน่ ปลายอดจาก ปลาจวด ปลากด ปลาววั ฯลฯ ยงั สามารถนำมาตากแหง้ และทำเปน็ อาหาร ทเ่ี รยี กว่า กระเพาะปลา (isinglass) การหาอาหารและการเจริญเตบิ โตของปลา สตั วท์ ุกชนดิ ไมว่ ่าจะเปน็ สตั ว์บกหรือสัตว์น้ำ จำตอ้ งไดร้ บั พลังงานเขา้ ไวใ้ นร่างกายเพ่ือใช้ ในการ ดำรงชวี ิต เช่น การเคล่ือนไหว การซ่อมแซมส่วนของร่างกายที่สกึ หรอ การเจริญเติบโต และการสบื พนั ธ์ุ พลงั งานท่ี ไดร้ ับ เหล่าน้มี าจากอาหารที่สัตวก์ ินเข้าไป และการหายใจ สตั วข์ นาดเล็กชนดิ หน่ึงท่ีปลากนิ เปน็ อาหาร สำหรบั ปลาโดยท่ัวไป เมื่อลูกปลาฟกั ออกมาจากไข่ใหม่ๆ อาหารทล่ี กู ปลาได้รับจะมาจาก ถงุ ไข่แดงซึ่งอยตู่ ดิ กับตวั ลกู ปลานั่นเอง ซึง่ เปน็ สว่ นเดมิ ท่ไี ด้รับจากแมเ่ พื่อช่วยใหล้ ูกปลาอยูร่ อด ไปได้ระยะหน่งึ แตอ่ าหารที่มใี นไขแ่ ดงก็จะถูกใช้ หมดไปในระยะเวลาอันสัน้ ดังน้ัน ลกู ปลาจึง จำต้องเร่ิมหาอาหารจากภายนอก และในระยะนีเ้ องทลี่ ูกปลาทัว่ ไปจะ ตายเป็นจำนวนมาก เหลือ รอดเพยี งเล็กน้อย หากไม่ได้อาหารท่ีเหมาะแก่ความต้องการหรือขนาดของอาหารใหญ่ เกินไป ลูก ปลาก็ไมส่ ามารถจะกลืนกนิ ได้
21 ลูกปลาชนิดหนึง่ ปลาแต่ละชนิดมีความตอ้ งการในเรื่องชนิดของอาหารไม่เหมอื นกัน ปลาบางชนิดกินพืช นำ้ เป็นอาหารตลอดชีวิต เชน่ ปลาจีน (Hypophthalmichthys sp.) ส่วนปลาทูกินสิง่ มีชวี ิตขนาดเลก็ ทีล่ ่องลอยไปตามกระแสนำ้ ซึง่ เราเรียกว่า แพ ลงก์ตอน (plankton) เปน็ อาหารปลา บางจำพวก หากินตามพืน้ ท้องน้ำ เชน่ กินหอย ปู ก้งุ เปน็ อาหาร ปลาขนาด ใหญห่ ลายชนิดตามล่าเหย่ือเปน็ อาหาร เชน่ ปลาช่อน ปลาดาบเงนิ ปลาอนิ ทรี เปน็ ต้น ลกู ปลาทูทส่ี ำรวจพบว่ามีถน่ิ เกดิ อยูใ่ นบรเิ วณอา่ วไทย มใิ ชเ่ กดิ ในทะเลจนี แล้วเคลื่อนฝงู เข้ามาในเขตน่านน้ำไทยอย่างทเี่ คยเข้าใจ นอกจากอาหารทป่ี ลาจะหาไดแ้ ล้ว ยงั มีแรธ่ าตอุ ืน่ ๆ ซึง่ ปลาต้องใช้เพ่อื การเจริญเติบโต แร่ธาตุตา่ งๆ เหลา่ นี้ เป็น จำพวกเกลือหลายชนิด ท่ลี ะลายอยใู่ นนำ้ ปลาสามารถรับแร่ธาตเุ หล่านไ้ี ด้ โดยการซมึ เขา้ ทางเหงอื ก เยื่อหุ้มโพรงปาก และทางผวิ หนัง แรธ่ าตุบางอยา่ งหากมีมากก็อาจเป็น พษิ แกป่ ลา เช่น สารจำพวกสังกะสี ทองแดง ปรอท โคบอลต์ ฯลฯ
22 แผนภาพแสดงความสัมพนั ธใ์ นหว่ งโซอ่ าหาร (food chain)ของปลาบางชนิด กบั ส่ิงที่มีชวี ิตอน่ื ๆ ท้ังพืชและสัตว์ในทะเล อาหารที่ปลาหาไดใ้ นธรรมชาติ นอกจากจะเปน็ พวกพืชน้ำ หรือ แพลงกต์ อนแล้ว ยงั มีสัตว์ทไี่ ม่มีกระดูกสนั หลงั เช่น หนอน (annelids) หอย กุ้ง ปู และแมลงชนดิ ต่างๆ (arthropods) นอกจากน้ีเรายังอาจพบสัตว์ทม่ี ีกระดูกสนั หลงั ขนาดใหญ่ เชน่ นก สตั วเ์ ลี้ยงลกู ดว้ ยนม สตั ว์เลื้อยคลาน และสัตวค์ รง่ึ น้ำคร่ึงบก ในกระเพาะของปลาบางจำพวก ซ่ึง แสดงว่าปลากนิ มันเขา้ ไป จะเหน็ ได้วา่ นักตกปลาช่อนชอบใช้เขียดเปน็ เหยอื่ ล่อปลาช่อน เปน็ ต้น อาหารของปลาทเี่ ป็นสง่ิ ทมี่ ชี วี ิตอาศยั ในแหลง่ นำ้ ไมว่ ่าจะเป็นน้ำจืดหรือนำ้ ทะเล จะมปี ริมาณไม่คงที่ทกุ ปี ท้ังน้ี ขน้ึ อยู่ กบั ชวี ประวัติ และสภาพแวดลอ้ มของปลาเป็นส่วนใหญ่ น่ีเองเปน็ สาเหตุสำคัญท่ีทำให้เกิดการเพ่ิมลดโดยธรรมชาตใิ น ขนาดของประชากร (natural fluctuation) ของปลาท่ีกินสิ่งทม่ี ีชีวิตเหล่านั้นเป็นอาหาร นอกจากน้ี ความอุดม สมบูรณข์ องอาหาร ยงั มอี ิทธพิ ลตอ่ การอพยพย้ายถิน่ ของปลาหลายชนดิ ตวั อยา่ งเชน่ ปลาทใู นอา่ วไทยซึง่ กินแพลงก์ ตอนจำพวก พชื เปน็ อาหาร ปลาชนดิ น้จี ะวางไข่ในราวเดือนมกราคม-มนี าคม และอกี ระยะหนึ่งราวเดอื น พฤษภาคม- มถิ นุ ายน เมื่อลกู ปลาฟักออกเป็นตวั และเรม่ิ หาอาหารกินเอง ภายในหน่ึงอาทิตย์หลังจากที่ฟักเปน็ ตวั แลว้ ฝูงลูกปลา จะเคลื่อนท่ีเข้ามาในท่ีตน้ื บริเวณใกล้ฝั่ง เพื่อหาอาหารบรเิ วณเหล่านี้ ได้แก่ ชายฝ่ังทะเลจังหวัดประจวบครี ขี ันธแ์ ละ ชมุ พร แลว้ ลกู ปลาดงั กล่าวจะคอ่ ยๆ เคลื่อนฝูงส่กู น้ อ่าวไทย และในระยะระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคมจนถงึ ประมาณเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน กจ็ ะมีขนาดใหญข่ ึ้น เป็นปลาขนาดท่ีชาวประมง เรียกวา่ ปลาทูสาว ปลาเหลา่ น้ี จะเดินทางย้อนกลับลงไปยังบริเวณทะเล นอกจังหวดั ประจวบครี ขี ันธ์ และชมุ พร เพอื่ วางไขต่ ่อไป
23 เม่ือได้ทราบถึงความสมั พนั ธ์ระหว่างอาหารและการเจรญิ เตบิ โตของปลา ผสู้ นใจก็ควรมีความเขา้ ใจในหลักการทาง นเิ วศวิทยา (ecology) ในสว่ นทีเ่ ก่ยี วข้องกับเร่ืองน้ีดว้ ย กลา่ วคือ สิ่งที่มีชวี ติ และอาหารของปลา มีความสมั พันธก์ ัน เปน็ หว่ งโซ่ เช่น ปลาชอ่ นท่ีเลี้ยงไว้ในบ่อ จะเจริญเติบโตมนี ้ำหนักเพิ่มข้ึนถึง ๑ กิโลกรัม ก็อาจจะต้องกินปลาหมอเทศ ถึง ๑๐ กิโลกรมั เป็นอาหาร และปลาหมอเทศจะเพิ่มนำ้ หนัก ๑ กโิ ลกรัม กอ็ าจจะต้องกนิ พืชน้ำ และสาหรา่ ยในบ่อ เปน็ น้ำหนักนบั สบิ กิโลกรัม พืชน้ำและสาหร่ายจะเจรญิ เติบโตดี ก็จำตอ้ งอาศัยแร่ธาตุและอาหารต่างๆ ในบ่อพร้อม ท้ัง พลงั งานแสงแดด แรธ่ าตุต่างๆ และเกลือ ท่ีเปน็ ประโยชนต์ ่อการเจรญิ เติบโตของพชื ได้จากกการย่อย และการ เปลีย่ นแปลงสภาพของอนิ ทรียวัตถตุ า่ งๆ เช่น โดยการกระทำของบัคเตรีซึ่งอาศัยอยู่ ในโคลนตม บคั เตรีทำการย่อย สตั ว์และพืชทตี่ าย และตกลงบนชัน้ โคลนในบอ่ ใหส้ ลายตวั และเนา่ เปอื่ ย จึงทำใหเ้ กดิ เป็นห่วงโซอ่ าหารขนึ้ เมื่อคิด พลงั งานที่ใชใ้ นการเตบิ โตของสง่ิ ท่มี ชี ีวติ แต่ละตอน เราจะไดเ้ ปน็ รปู พรี ะมิด พรี ะมิดปริมาณอาหาร (ecological piramid หรอื hypothetical piramid หรือ piramid of numbers) เป็นรูป สามเหลย่ี ม แสดงระดบั และปรมิ าณทเี่ กย่ี วพันกนั ตามลำดบั สูงต่ำ หรอื ความมากน้อยของส่งิ ท่ีมชี ีวิตที่กินสตั ว์อื่น และ สง่ิ ที่มีชวี ติ หรืออ่ืนๆ ท่ีถกู ใช้เป็นอาหารหรือที่เกี่ยวพันกัน ซ่ึงอยรู่ ะดบั รองลงไป พวกหลงั นี้จะตอ้ งมปี ริมาณ หรอื จำนวน มากกวา่ ผูล้ ่าของมนั เสมอ โดยหลักการดังกล่าวขา้ งตน้ นักวิทยาศาสตรจ์ งึ สามารถประเมนิ ขนาดของประชากรของปลา ท่มี ีคณุ ค่า ทางเศรษฐกิจในบริเวณหนงึ่ ได้ เพ่อื นำผลการวเิ คราะหด์ ังกล่าวไปใช้ในการพจิ ารณา พฒั นาการประมง ทำให้ ทรัพยากรดงั กลา่ ว มีขนาดมากพอท่ีจะผลิดอกออกผลใหบ้ ังเกิดประโยชนแ์ ก่มนุษย์ได้
24 ฟันท่ีอยู่บริเวณส่วนลึกในช่องปากของปลาตะเพียน ใช้บดอาหารทีเ่ ป็นพวกพชื การตรวจดูลกั ษณะของอวยั วะบางอยา่ งของปลา ทำให้เราทราบถงึ พฤติกรรมในการหาอาหาร และการกนิ อาหารของปลาได้ เช่น ก) ลกั ษณะของปากและฟัน ปลาจำพวกท่ีถูกจัดเป็นผ้ลู า่ (predators) สว่ นใหญ่จะมีฟันแหลมคมเหน็ ได้ชดั การกนิ อาหารกเ็ ปน็ แบบไล่กดั กนิ ทีละตัว นอกจากนี้หากดูขากรรไกรจะเหน็ ว่าขากรรไกรบนและล่างแข็ง แรง ปลาเหลา่ น้ี ไดแ้ ก่ ปลาชอ่ น ปลาปากคม (Saurida spp.) ปลาเค้า (Wallago spp.) ปลาอนิ ทรี เปน็ ต้น ปลาจำพวกท่ีกนิ แพลงกต์ อนเป็นอาหาร เช่น ปลาทู (Club mackerel; Rastrelliger brachysoma) ปลา แปน้ (Leiognathus spp.) ปลาหลังเขยี วมฟี นั ขนาดเล็กมาก หรือไมม่ เี ลย ขากรรไกรก็ไม่แขง็ แรง เชน่ ปลาแป้นซ่ึงมี ปากขนาดเล็กแต่ยืดออกมาได้มาก ปลาบางชนดิ เช่น ปลาปากแตร (Fistularidae) มปี ากคลา้ ยหลอดดดู กนิ แพลงก์ ตอนเป็นอาหารเชน่ กนั เหงอื กปลาทู (ปลาทก่ี ินแพลงก์ตอนเปน็ อาหาร) มลี กั ษณะยาวเรียวและมจี ำนวนมากประมาณ ๕๔ ซี่ แต่ละซมี่ ีกิ่งแยกออกมาเพ่อื เพ่มิ ประสิทธภิ าพในการกรองอาหาร
25 ปลาตามหนิ ปะการัง เช่น ปลาสลิดหิน (green puller) มฟี ันซ่ึงมีลักษณะคล้ายฟนั กระต่าย เพ่ือใช้แทะ เลม็ สาหรา่ ยตามหินปะการังกินเปน็ อาหาร มกี ารศกึ ษาพบวา่ ปลานกแก้ว (parrot fish) ตัวหนึง่ ๆ สามารถขบบดหนิ ปะการงั ได้ประมาณ ๓๐ กโิ ลกรมั ตอ่ ปี เหงือกปลาอนิ ทรีจุด (ปลาทกี่ ินปลาซ่ึงเล็กกวา่ มันเปน็ อาหาร) มีซีเ่ หงือกสน้ั กว่าซ่ีเหงอื กของปลาทู และมจี ำนวนนอ้ ยกว่าคอื มีเพยี ง ๑๑ ซ่ีเท่านั้น ปลาอีกกล่มุ หน่ึงมีฟันเปน็ แผงแขง็ แรง เชน่ ปลาจำพวกกระเบน ชอบกนิ หอยเป็นอาหาร กใ็ ช้ฟนั ดงั กล่าว ขบเปลอื กหอยให้แตก แล้วจึงกนิ เนอื้ หอย ในปลาจำพวกตะเพยี น ปลาไน อาจมีฟนั บดตรงบริเวณคอหอย เพ่ือใชบ้ ด สาหร่าย หรือ พืชน้ำที่กนิ เขา้ ไปให้ละเอยี ด ปลาอินทรจี ดุ (Spotted spanish mac-kerel; Scom beromorus guttatum) ข) ซ่เี หงือก เม่ือเปิดกระดูกกระพุ้งแก้มของปลาเราจะเห็นเหงอื กอยภู่ ายใน บนดา้ นหนา้ ของกระดูก โครงเหงือกจะมี สว่ นทยี่ ื่นออกมาเป็นซเ่ี รยี วยาวหรือเปน็ ต่มุ ส่วนนเ้ี ราเรยี กวา่ ซ่ีเหงอื ก ปลาทก่ี นิ พืชนำ้ เชน่ กนิ สาหร่าย ซ่ีเหงือกของ ปลาเหลา่ น้ี จะสนั้ และมจี ำนวนนอ้ ย ส่วนปลาจำพวกท่ีกิน แพลงกต์ อนเปน็ อาหาร ซ่ีเหงือกยาวเรียว และมเี ป็นจำนวน
26 มาก สำหรบั ปลาบางชนิด เช่น ปลาทู ซี่ เหงือกแต่ละซ่ยี งั แตกแขนงออกไปอีก ทง้ั นีเ้ พือ่ ช่วยเพม่ิ สมรรถภาพให้แก่ปลา ในการกรองอาหาร ขนาดเล็กจากน้ำ ปลากินเน้ือหรอื ล่าเหย่อื เป็นอาหาร ซีเ่ หงือกอาจจะมจี ำนวนลดลงมาก และส้นั ทู่ หรอื เหน็ เป็นเพียงตุ่มเท่านั้น หรืออาจจะไม่มเี ลย เชน่ ปลาปากคม ปลาปากคม (Lizard fish; Sauridagraclis) ปลาแตล่ ะชนดิ อาจมจี ำนวน ขนาด และรูปร่างซีเ่ หงอื กเกือบคงท่ี เช่น ปลาทูจะมีซีเ่ หงือก บนโครงเหงอื กคู่ทีห่ นึง่ เปน็ จำนวน ๕๔ ซี่ นักวิทยาศาสตรท์ างด้านอนุกรมวิธานของปลา จึงใช้ ลักษณะดังกล่าวในการจำแนกแยกชนดิ ของปลา ค) กระเพาะและลำไส้ของปลา ปลาท่ลี ่าเหยื่อเป็นอาหารมกี ระเพาะยานใหญ่ และมีลำไส้สน้ั เม่ือเปรียบเทียบกบั ขนาดของ ลำตัว สำหรบั ปลาทกี่ นิ พชื เป็นอาหาร มีกระเพาะเล็กหรือเปน็ เพยี งสว่ นของลำไส้ทโี่ ปง่ ขนึ้ มา และ มลี ำไส้ ยาวเพ่อื เพม่ิ พืน้ ทแ่ี ละเวลาในการยอ่ ยอาหาร ในปลาหลายชนิด เราจะพบอวัยวะพิเศษท่ีสว่ น ปลายของกระเพาะ ใน ปลาที่กนิ พืช เช่น ปลาโคก จะมตี งิ่ ย่ืนออกมามากมาย เพื่อชว่ ยในการดูดซับ อาหาร อวัยวะดงั กล่าวเรยี กว่า \"ไพรอลกิ ซกี า\" (pyloric caeca) ในปลาจำพวกฉลาม กระเบน เราจะพบวา่ ลำไส้ของปลาเหล่าน้ี มีสว่ นมว้ นหรือเป็นเกลยี ว เรียกวา่ สครอลวลั ฟ์ (scroll valves) หรอื สไปรัลวัลฟ์ (spiral valves) ใชช้ ่วยในการยอ่ ย และดูดซมึ เอาอาหารไป เลย้ี งร่างกาย การเจรญิ เตบิ โตของปลา ถา้ ปลามีอาหารกนิ อุดมสมบูรณ์ อัตราการเจริญเติบโตกจ็ ะเป็นไปตามปกติ และปลากจ็ ะ เจริญเติบโต อย่างรวดเรว็ โดยเฉพาะในระยะแรกขณะท่ปี ลายังเล็ก อาหารท่ีปลากนิ เข้าไปส่วนหนึง่ จะเปลยี่ นเปน็ พลังงานทใ่ี ชใ้ น การเคล่ือนไหว ใชใ้ นการซ่อมแซมเนือ้ เยื่อที่สึกหรอแต่ส่วนใหญ่จะ ใช้ในการเจริญเติบโตเสริมสรา้ งเน้อื เย่ือของปลา จนกระท่ังปลาเจรญิ เตบิ โตเกือบเต็มวยั อาหาร สว่ นใหญ่จึงเริ่มใช้ในการเสริมสรา้ งอวยั วะเพศ เพ่ือใหป้ ลาสามารถ สืบพนั ธไ์ุ ด้ต่อไป ถึงแมว้ ่าปลา โตเตม็ วยั และพร้อมทจี่ ะสืบพันธไ์ุ ด้แลว้ การเจริญเติบโตก็ยังมอี ยู่แต่อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่า ที่เปน็ มา ดังนั้น การเจริญเติบโตของปลาจงึ แตกต่างไปจากสัตว์ท่มี กี ระดูกสันหลัง เช่น นก หรอื สตั วเ์ ลี้ยงลกู ดว้ ยนม
27 ภาพแสดงอวยั วะภายในทส่ี ำคญั ต่างๆ ของปลาโอลาย (Mackerel tuna; Euthynnus affinis) นกั วิทยาศาสตร์สามารถทำนายอายุของปลา และหาอัตราการเจรญิ เติบโตได้โดยใช้วธิ กี าร ตา่ งๆ หลายวธิ ีด้วยกนั เช่น ทำการวิเคราะหว์ งปีบนเกล็ดหรือสว่ นกระดูกอนื่ ๆ เชน่ ชนิ้ กระดูกแก้ม (opercular bones) กระดูกในกล่องหู (otoliths) ขอ้ กระดูกสนั หลงั เปน็ ต้น ถ้าหากไมป่ รากฏวงปี บนสว่ นแขง็ ของปลา นักวทิ ยาศาสตรอ์ าจใช้การวิเคราะห์ องคป์ ระกอบของความยาวของปลา โดย ทำการสมุ่ ตวั อย่างวัดปลาในประชากรเดียวกนั ตลอดปี เพื่อตรวจดกู าร เปล่ยี นแปลงในองค์ประกอบ ของความยาว นอกจากน้ี เรายงั สามารถประเมนิ อัตราการเจริญเตบิ โตของปลา โดยทำ การตดิ เคร่ืองหมายปลาแล้วเลย้ี งไวใ้ นบ่อหรือกระชงั เพ่ือตรวจดคู วามเจริญเติบโตเปน็ ระยะๆ ปลากระเบนลายเสือ หรือกระเบนลายแมลงวัน (Banded whip-tail stingray; Dasyatis uranak) ในการประเมนิ อัตราการเจรญิ เติบโตของปลาทใู นอ่าวไทย โดยหน่วยงานอนรุ ักษป์ ลาผวิ นำ้ สถานวจิ ัยประมงทะเล
28 กรมประมง ได้พบว่าปลาทูในอา่ วไทยมีการเจริญเตบิ โตสงู มากในระยะเวลาเพยี ง ๗ เดอื น หลังจากทไ่ี ขไ่ ด้ฟกั ตัว ออกมาเปน็ ลูกปลาแลว้ โดยในปแี รกปลาก็อาจจะมีความยาวถึง ๑๕ เซนติเมตร และก็สามารถทำการสบื พนั ธ์ุได้ ช่วงชีวิตของปลา จากหลกั ฐานทป่ี รากฏในรายงานทางวิชาการพบว่า ปลาจีนบางชนดิ ท่ีเลี้ยงไว้ในบ่อมีอายุ มากกว่า ๒๐ ปี แตไ่ มเ่ กนิ ๕๐ ปี ปลาทะเลหลายชนดิ ในเขตอบอนุ่ เช่น ปลาแฮรร์ งิ (herring) ในทะเลเหนอื อาจมอี ายุถึง ๒๐ ปี ปลา บึกในแม่น้ำโขง (Pangasianodon gigas) อาจมีอายุมากกว่า ๑๕ ปี ปลาเขตรอ้ นเช่นในบ้านเราสว่ นใหญม่ กี าร เจรญิ เติบโตเรว็ มาก และมชี ว่ งชวี ติ สั้น เชน่ ปลาทูในบ้านเราอาจมชี ่วงชวี ติ อย่างมากเพียง ๓ ปี เทา่ นั้น ท้งั นี้ เพราะ ปลาสว่ นใหญ่ถูกจับโดย การประมงเสียก่อนท่ีจะมีอายถุ ึง ๓ ปี วงป่บี นเกล็ดของปลา เกลด็ ของปลาหลายชนดิ ทีอ่ ยู่ในเขตอบอุ่นและเขตหนาว แสดงวงปีซ่ ง่ึ นกั วทิ ยาศาสตร์สามารถใช้ ในการศึกษาเกี่ยวกบั อายุและการเจรญิ เตบิ โตของปลาเหลา่ นน้ั ได้ ท้งั นีเ้ พราะการขยายขนาดของเกล็ด มีส่วนสัมพันธ์ กับการเจรญิ เตบิ โตของปลาดังตัวอย่างที่เห็นในภาพนเ้ี ป็นเกลด็ ของปลาแฮดดอก (haddock) ในครอบครัวแกดดิ ี (Gadidae) ซ่งึ อาศยั อยู่ในทะเลเหนอื ปลาตัวนมี้ ีความยาว ๑๘.๕ น้ิว เกลด็ ที่เห็นในภาพแสดงวงปี่ ๓ วง รวมท้งั จดุ กำเนิดนิวเคลียส (nucleus) เป็นสวี่ ง ซึ่งแสดงว่าปลากำลงั มีอายุย่างเขา้ ปีท่ี๔ เกลด็ ทเี่ ห็นในภาพเปน็ เกลด็ แบบไซ คลอยด์ การสบื พนั ธข์ุ องปลา สิ่งทมี่ ีชวี ิตทั้งหลายเม่ือมกี ารเจรญิ เติบโตเตม็ วัยแลว้ กจ็ ะมีการสบื พันธุ์ ทั้งน้เี พอ่ื ให้ส่ิงซ่งึ มชี วี ิตเหลา่ น้ัน สามารถคงอยู่ และรักษาพืชพันธุ์ของมนั สบื ต่อไป ภายใตส้ ภาวะท่เี หมาะสมแก่การ ดำรงชีวติ ของส่ิงท่ีมีชีวิตนน้ั ๆ แตใ่ น ขณะเดียวกนั หากมสี าเหตุ ที่กอ่ ให้เกิดการเปลย่ี นแปลงใน เจอร์มปลาซึม (germ plasm) ของส่ิงท่ีมชี วี ิตนั้นๆ และ การเปลย่ี นไปนัน้ ยงั คงทนในการถ่ายทอด ก็อาจจะทำให้เกิดสงิ่ ท่ีมีชวี ิตแบบใหม่ขน้ึ มา ซึ่งผิดแผกไปจากเดมิ ได้
29 สำหรบั ปลากม็ ีระบบการเช่นเดยี วกัน ในระยะแรกๆ ของการเจริญเติบโต อาหารทปี่ ลากินเข้าไป จะชว่ ย ในการเจรญิ เติบโตของปลาเป็นส่วนใหญ่ ต่อเมอ่ื ปลาโตเตม็ วัยแลว้ สว่ นใหญ่ของอาหารท่ีกนิ เขา้ ไป จะไปช่วยในการ เจรญิ เตบิ โตของอวัยวะเพศ (gonads) ซ่ึงเราเรยี กวา่ ถุงน้ำเชอื้ (testes) ในปลาตัวผู้ และรงั ไข่ (ovary) ในปลาตัวเมีย พอ่ แมป่ ลาช่วยกันเฝา้ ดแู ลไข่ทก่ี ำลงั ฟกั ออกเปน็ ตัว โดยปกตปิ ลาแต่ละตัวมีอวยั วะเพศแยกจากกัน แต่กย็ งั มปี ลาบางจำพวก เชน่ ปลาในวงศ์ ปลากะรงั (Serranidae) บางชนิดมีอวยั วะเพศผู้และเพศเมียในตวั เดยี วกนั (protandic hermaphrodite) ได้พบวา่ ในปลา จำพวกนี้ ปลาตวั เดยี วกัน ในระยะแรกอาจเป็นเพศผูก้ ่อน แต่ในระยะต่อมาจะ เปลีย่ นเพศ (sex reversal) เป็นเพศ เมีย ปลาบางชนดิ อาจออกลกู ได้ โดยไมม่ ีการผสมระหวา่ งน้ำเชอ้ื และไข่ โดยลกั ษณะการเชน่ น้เี ราเรียกว่า ปารเ์ ธโนเจนิ ซสิ (parthenogenesis) เราพบลักษณะดังกลา่ ว ในปลาจำพวกกินยุง (Poecilidae) บางชนดิ อยา่ งไรก็ดี ในการ สบื พนั ธขุ์ องปลาดังกลา่ ว จำต้องมีตวั ผู้เข้ารว่ มดว้ ย แต่อสุจิ (sperm) ของตวั ผไู้ ม่ได้มสี ว่ นร่วมในการผสมกับไข่ หากแต่ เพียงไปกระตนุ้ ไข่ ให้เจรญิ เติบโตเทา่ นนั้ ปลาเหลา่ น้ีจงึ ออกลกู เปน็ ตัวเมียท้ังหมด และไม่แสดงลักษณะอย่างหนึ่งอยา่ ง ใดของปลาตัวพ่อเลย เราไมส่ ามารถมองเห็นความแตกตา่ ง ระหว่างอวัยวะเพศผู้และเพศเมีย ขณะเมือ่ ปลายังอยใู่ นวยั ออ่ น แตเ่ มื่อปลา เจริญเตบิ โตข้นึ มาระยะหนึ่งแล้ว เราจึงจะสามารถสังเกตเพศจากอวัยวะดงั กล่าวได้ ถงุ นำ้ เชอื้ มีลักษณะเป็น แถบสีขาว ขนุ่ ๑ คู่ อยูท่ างส่วนบนของท้องใต้ไตของปลา แถบน้จี ะมีความหนาขึน้ เปน็ ลำดบั เมื่อปลาเกอื บจะสบื พันธุ์ได้ และใน ฤดูสืบพนั ธ์อุ าจมนี ้ำหนักมากกว่า ๑๒ เปอร์เซน็ ต์ ของน้ำหนกั ตัวปลา ปลาทม่ี ีอวยั วะเพศสมบูรณ์เตม็ ที่ในข้ันสกุ ไหล (running ripe) ถ้าเราเอามือบบี เบาๆ ทีบ่ ริเวณท้องปลา แล้วค่อยๆ รดู ไปทางด้านหลงั ของตัวปลา นำ้ อสุจิจะเคล่อื น ออกมาทันที นำ้ อสจุ ใิ นปลาท่ัวไปมสี ีขาวขุ่นคลา้ ยน้ำนม เม่ือนำเอาตัวอยา่ งอสจุ ิ มาตรวจดูดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ จะเห็น วา่ ตวั อสจุ ิมีลักษณะคลา้ ยตัวอสจุ ิของสตั วช์ ้นั สูง และจะไม่คอ่ ยเคล่ือนไหว แต่ถ้าหากหยดน้ำลงไปในตัวอย่างอสจุ ิ จะ
30 ปรากฏว่า ตวั อสจุ ิเรม่ิ มีชีวิตชีวาทันที และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรกต็ ามตัวอสุจจิ ะกระปร้ีกระเปร่าอยู่ใน ระยะเวลาอันสน้ั คือ ประมาณ ๑๐ วนิ าทถี งึ ๖๐ วนิ าที แล้วแต่ชนดิ ของปลา และจะหยดุ นิ่งไมเ่ คลอ่ื นไหวอีก สำหรับรังไข่ ก็มตี ำแหน่งท่ีตั้งอยูใ่ นบริเวณเดยี วกับถงุ น้ำเชื้อและมักเป็นอวยั วะคู่ เราจะเห็นรังไข่ในระยะแรกของการ เจรญิ เตบิ โต เป็นเพยี งแถบสีขาวข่นุ แต่ถา้ ดูดว้ ยแว่นขยายจะเห็นวา่ ผิว ของรังไข่ไม่เรียบเหมือนถงุ น้ำเชื้อ แต่เปน็ เมด็ เล็กๆ เมือ่ รังไขเ่ จริญเตบิ โตเต็มทีแ่ ลว้ จะมขี นาดใหญ่มาก และอาจมนี ้ำหนักถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของนำ้ หนักตัวปลาใน ปลาบางชนดิ สว่ นสขี องรงั ไข่ แทนทจ่ี ะเปน็ สขี าวขนุ่ ก็อาจจะเปลย่ี นเปน็ สีเหลือง หรือสีส้มขณะท่ีรงั ไขม่ ีไขส่ ุกเต็มที่ ไขป่ ลากะตัก ปริมาณไขท่ ่ีปลาวางในฤดูหน่ึงๆ มจี ำนวนไม่เทา่ กนั ข้ึนอยู่กับชนดิ ของปลา ปลาพระ อาทิตย์ (Mola mola) ซ่งึ เปน็ ปลาทีอ่ าศัยอยใู่ นมหาสมทุ ร มไี ข่ขนาดเล็กมาก ในฤดูหนึง่ ๆ ปลา ชนดิ นี้ อาจวางไข่มากกว่า ๓๐ ลา้ นฟอง ตรงข้ามกับ ปลาฉลาม ซง่ึ เป็นปลาท่ีมไี ข่ขนาดใหญ่ ใน ฤดวู างไขฤ่ ดูหนงึ่ อาจวางไข่เพียง ๓-๔ ฟองเท่านนั้ หนว่ ยงานอนุรักษ์ปลาผวิ น้ำ สถานวิจัยประมงทะเล ของกรมประมง ไดเ้ คยทำการศึกษาความดกของไข่ปลาทูในอ่าวไทย ในระยะหลายปที ่ีแลว้ มา และไดป้ ระเมนิ ความดกของไข่ปลาทูไวว้ า่ อยู่ในระหวา่ ง ๕๐,๐๐๐ ถงึ ๒๐๐,๐๐๐ ฟอง ท้งั นี้ขึ้นอยู่กบั ขนาดของแม่ ปลาที่วางไข่ ปลาน้ำจดื ในบ้านเราหลายชนดิ ซึ่งปลาตัวพ่อหรอื ตวั แมร่ ะวังและดแู ลรักษาไขใ่ นระยะฟักตัว ออกไข่น้อย
31 กว่าปลาทะเลดงั กล่าวขา้ งตน้ มาก ปลากัดอาจวางไขเ่ พยี ง ๒๐๐-๓๐๐ ฟองในหนึง่ ปี จงึ อาจสรุปได้ว่า ปลาที่ออกไข่ มากที่สดุ สว่ นใหญ่ ไดแ้ ก่ ปลาทะเล ซงึ่ พอ่ แมป่ ลามักไม่ดแู ลรกั ษาไข่ แตจ่ ะปล่อยใหล้ ่องลอยไปตามกระแสน้ำ พวก ตอ่ มาเปน็ ปลาทว่ี างไขใ่ หเ้ กาะตดิ ตามสาหรา่ ยหรือพชื น้ำ สว่ นปลาทร่ี ะวังรกั ษาหรือซ่อนไขม่ คี วามดกของไข่น้อยท่สี ุด ความดกของไข่ขน้ึ อยู่กบั อายุความสมบรู ณ์และขนาดของปลา แต่เมอ่ื ปลามีอายุมากข้ึน ความดกอาจลดลง หรอื ถ้าเข้า ในวยั แก่มาก ไข่จะไมฟ่ ักเปน็ ตวั สาเหตทุ ่สี ำคญั ในการควบ คุมการเจริญเติบโตของอวยั วะเพศ ไดแ้ ก่ อาหาร ดังนัน้ ความดกของไข่ และปรมิ าณไข่ท่ปี ลาวาง แตล่ ะปีมักจะมจี ำนวนไมส่ มำ่ เสมอ คือจะเปล่ียนไปทกุ ปี ไขป่ ลาฉลามกบหรือฉลามหนิ ก่อนท่ปี ลาจะทำการสบื พันธุ์ ปลาหลายชนดิ จะมีการเปล่ยี นแปลงตา่ งๆ เกิดข้ึน เพ่ือชว่ ย กระตุ้นใหป้ ลาพรอ้ มที่จะเข้า ร่วมสบื พันธุ์ (secondary sexual characteristics) เช่น ปลาตวั ผ้อู าจมีสี สนั สวยงามในปลาจำพวกปลากินยุง หรอื ปลาตวั เมียอาจจะใหญก่ ว่าปลาตวั ผู้ ท้ังน้ี เนอ่ื งจากปลาตัวผู้เจรญิ เตบิ โตเต็มวยั เร็วกว่าปลาตัวเมีย ครบี ในปลาบางชนดิ ก็อาจจะเปลยี่ นแปลงไป เชน่ ใน ปลาสลิด (Trichogaster pectoralis) สำหรบั ปลาแซลมอนในมหาสมุทรแปซิฟิก ใน ฤดูสืบพนั ธ์ตุ วั ผ้จู ะมสี ีสนั เข้มกว่าปลาตัวเมยี และมีการเปลยี่ นแปลงในโครงกระดกู ขากรรไกรทำให้โค้งงอ เห็นไดช้ ดั มาก ในฤดสู ืบพนั ธุข์ องปลาแต่ละชนิด สาเหตุทกี่ ระตุ้นให้ปลาเรมิ่ ทำการสบื พันธุ์ ไดแ้ ก่ สภาพแวดล้อมท่ี เหมาะสมกบั การดำรงชวี ิตของลูกปลาทจ่ี ะฟักเปน็ ตัวออกมา ในการศึกษาเกย่ี วกบั ประ ชากรของปลาทใู นอา่ วไทย พบวา่ ลูกปลาวัยออ่ น อาจมีความสัมพันธ์กับปริมาณของแพลงก์ตอน ทม่ี ีมากท่สี ดุ ในรอบปี เชน่ ในบริเวณอา่ วไทย ตอนใน ในระหว่างเดอื นมีนาคม-กันยายน ทุกปี สำหรับปลาบางชนิด การวางไข่จะอย่ใู นระยะเวลาท่ีการเจรญิ เตบิ โต ของศัตรู ซงึ่ เป็นตวั ทำลายไข่ หรอื ลูกปลา อยใู่ นระดบั ต่ำ ปลาทะเลสว่ นใหญจ่ ะวางไขใ่ นเวลากลางคืนหรือเชา้ มดื สำหรบั ปลาทใู นอา่ วไทย เราพบว่า ไข่สุกไหลในฤดสู ืบพันธุ์ มีปริมาณสงู ในเวลาพลบค่ำ หรือกลางคนื ซ่ึงอาจจะเป็น สาเหตุอันหน่ึงท่ีชว่ ยให้ไข่ท่ีสามารถฟักตัวได้ในระยะเวลาอันสน้ั รอดพน้ อันตรายจากการกระทำของศตั รู เพราะใน เวลากลางคนื โอกาสที่ศตั รจู ะมองเหน็ ไข่ ซึง่ โปรง่ ใส และมขี นาดเล็ก เช่น ไขป่ ลาทูมีน้อยมาก
32 ไขป่ ลานกกระจอก ปลาในเขตร้อนแถบบ้านเรา เช่น ปลาทู จะออกไขเ่ ปน็ ระยะเวลายาวนานถึง ๖ เดอื น โดยค่อยๆ วางไข่ เปน็ รุ่นๆ (fractional spawning) ทั้งน้ี นกั วิทยาศาสตร์ได้ลงความเห็นว่า การทำเชน่ นี้ ก็เนือ่ งจากว่า ธรรมชาติ ต้องการให้ลกู ปลา ที่ออกมา มอี าหารพอเพยี ง เพราะในเขตรอ้ นการ เปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมมไี ม่มากนัก การ งอกงามของอาหารปลาในธรรมชาติจึงเป็นไปตาม ปกติ ส่วนในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว ซึง่ การเจริญงอกงามของ อาหารปลาในธรรมชาตมิ ีไดเ้ พยี ง ระยะเดยี วในรอบปคี ือ ในระยะระหว่างฤดใู บไม้ผลิ-ฤดรู อ้ น ปลาในเขตดงั กล่าวสว่ น ใหญ่จึงมฤี ดู วางไข่สน้ั เพียง ๑-๒ เดอื นเทา่ น้นั และส่วนใหญ่วางไข่ทีเดยี วหมดในฤดวู างไข่ มิได้วางเป็น ร่นุ ๆ เหมือน ปลาทะเลในเขตร้อน การวางไข่ของปลา ขึน้ อย่กู ับการกระต้นุ ทางธรรมชาติท่ีปลาอาจมองเห็น ไดร้ บั กล่นิ หรอื ได้รบั สมั ผัส ปลาท่ีวางไขต่ ิดตามพืชน้ำ เช่น ปลาจนี เมือ่ ไดร้ ู้ความเจริญงอกงามของพชื น้ำเรยี บรอ้ ยแล้ว ความรู้สึกเชน่ น้ี กอ็ าจจะ กระตุ้นให้ปลาวางไข่ได้ ส่วนปลาบางชนดิ จะวางไข่ในระหวา่ งทีน่ ้ำ เอ่อขน้ึ เท่าน้นั
33 ไข่ปลานกกระจอก อย่างไรกด็ ี นกั วิทยาศาสตร์บางท่านพบวา่ ในปลาบางชนิดปลาตวั ผูจ้ ะขับหรอื สกัดและ ถา่ ยสารจำพวกฮอรโ์ มนท่ี เรยี กว่า \"คอปูลนิ \" ออกมาในนำ้ ซงึ่ จะเร่งกระต้นุ ใหป้ ลาตวั เมียเขา้ ร่วม ในการสบื พันธุ์ ไ ไข่ปลานกกระจอก เราอาจจะแบ่งปลาซง่ึ มีพฤตกิ รรมในการวางไขต่ า่ งๆ กนั ออกเป็นประเภทใหญๆ่ ดงั น้ี ก) พวกท่ีปลาตวั แมว่ างไข่ในน้ำ แล้วปลาตวั พ่อฉดี น้ำเชื้อออกมา และไข่ไดร้ บั การผสม จากนำ้ เชื้อทันที หลงั จากนั้น แลว้ ปลาพอ่ แม่ไมด่ ูแลรักษาไข่เลย ปลาจำพวกนี้ ได้แก่ ปลาทะเล สว่ นใหญ่ เชน่ ปลาทู ปลาโอ ปลาอินทรี ฯลฯ เปน็ ต้น ไขท่ ีแ่ ม่ปลาเหล่านว้ี าง มกั มีขนาดเล็ก มีเปน็ จำนวนมากและเป็นไขประเภทลอยนำ้ โดยมีลักษณะโปร่งใส ลักษณะหวอดซึ่งเปน็ แพฟองอากาศทป่ี ลากระดี่ (Trichogaster trichopterus) สร้างไวเ้ พอื่ วางไขผ่ สมพันธุ์ โดยไข่ท่ี ผสมแลว้ จะถกู พ่อปลารวบรวมพ่นตดิ ไวใ้ ตแ้ พ ลูกปลาที่เพิ่งฟักออกเป็นตวั ก็ยังอาศัยและไดร้ บั การดแู ลอยู่ในบริเวณน้ี ข) ปลาทีว่ างไขต่ ดิ บนสาหร่าย หรือพืชน้ำ ได้แก่ ปลานำ้ จดื เปน็ สว่ นใหญ่ เชน่ ปลาไน ปลาจีน ฯลฯ ค) ปลาจำพวกที่พ่อหรือแมป่ ลาทำรงั เพื่อวางไข่ แต่ไมอ่ าจดแู ลระวงั และรักษาไขต่ ่อไปได้ เช่น ปลาแซลมอน หรอื อาจจะดูแลรกั ษาจนกระทง่ั ไข่ฟักออกมาเปน็ ตวั เช่น ปลากัด ปลา สลดิ ปลากระดี่ โดยตวั ผู้กอ่ หวอดแล้วอมไข่ไปพ่น เก็บไว้ทีห่ วอด และดูแลรักษาจนไขฟ่ ักออก มาเป็นตวั
34 ง) พวกที่เก็บรักษาไข่ไว้ในปากหรอื ตามรา่ งกาย เช่น ปลาอมไข่ (Apogonidae) ปลากดทะเล (Tachysuridae) ตวั ผู้ รวมท้ังปลาหมอเทศ หรือปลานิล (Tilapia spp.) ตัวเมีย ปลาม้าน้ำตวั ผู้ มถี งุ เก็บไข่ไวท้ ี่หนา้ ทอ้ ง ปลากดหรือรวิ กวิ (Catfish; Arius thalassinus) ขณะฟักไข่ โดยการอมไขไ่ ว้ในปาก (mouth incubator) เป็นปลา ทะเลชนิดหน่งึ ทตี่ ัวผทู้ ำหน้าท่คี ุ้มกนั ไข่ทไ่ี ดผ้ สมแล้ว เม่อื ไข่ฟกั เป็นตัว พอ่ ปลาก็ยงั คมุ้ กันลกู อ่อนของมนั ซึง่ มีจำนวนน้อย และค่อนขา้ ง ใหญ่ ไว้อกี ระยะหนงึ่ โดยอมไว้ในชอ่ งปาก (mouth cavity) จ) ปลาทีอ่ อกลกู เปน็ ตัว เช่น ปลากินยุง และปลาเขม็ เป็นต้น สำหรับปลาทะเลสว่ นใหญ่ซึง่ ออกไข่เปน็ จำนวนมากและไม่ดแู ลรักษา ไข่มักเปน็ ไขแ่ บบ ลอยนำ้ (pelagic eggs) และมีขนาดเล็ก เมื่อตรวจดูด้วยแวน่ ขยายจะเหน็ วา่ ไข่ส่วนมากมรี ปู กลมมี เปลอื กหุ้มโดยรอบ เรียบ และโปรง่ ใส ทงั้ น้ี เพื่อป้องกนั อันตราย จากการทำลายของศตั รู ในขณะทตี่ ัวอ่อนกำลังเจรญิ เตบิ โตอยู่ภายในไข่ พวกนี้ ลอยน้ำได้ เนื่องจากมจี ดุ น้ำมันอย่ใู นไข่ ทำให้มคี วาม ถว่ งจำเพาะใกลเ้ คียงหรอื ต่ำกว่าเล็กนอ้ ย ไข่ปลาบางชนดิ มชี ่อง ระหวา่ งเปลอื กไข่ และตวั อ่อน ภายในไข่กว้าง เพอ่ื ช่วยให้ไข่ลอยนำ้ ได้ ปลาบางชนิดมเี มือกห้มุ รอบเปลอื กไข่ ปลา นกกระจอกซึง่ รอ่ นเหนอื น้ำไปไดไ้ กลๆ มีไขท่ ม่ี สี ายยื่นยาวออกมาจากเปลือกไขห่ ลายสาย เพอ่ื ช่วยให้ไข่จมช้าลง ไข่ ของปลานำ้ จดื ส่วนใหญ่เป็นแบบจมลงสู่พื้นท้องน้ำ (demersal eggs) หรอื เกาะติดกบั พืชน้ำหรอื สาหร่าย หากเปน็ ไข่ แบบจม ท่ีอยู่ในบรเิ วณที่ไม่มีออกซเิ จนมากนกั ไขม่ ักมสี เี หลืองจัด เพราะจะมี สารคาเรตินอยด์ (caretinoid) ซึ่งชว่ ย ในการถ่ายเทอากาศของไข่
35 ปลาม้าน้ำ (Sea horse; Hippocampus spp.) มีรปู ร่างแปลก นยิ มเล้ยี งไวด้ สู วยงาม เปน็ ปลาทะเลอกี ชนดิ หนงึ่ ที่ตัวผู้ทำหน้าท่ีฟกั ไข่ โดยเกบ็ รักษาไขท่ ีผ่ สมแลว้ ไว้ทถ่ี งุ หนา้ ท้อง (brood pouch) จนลกู อ่อนฟักออกเป็นตัว การเจริญเตบิ โตของไข่ขนึ้ อยู่กบั สภาวะแวดลอ้ ม เชน่ ก๊าซละลายในน้ำ ศตั รหู รืออุณหภมู ิ แต่สาเหตุท่ี สำคัญ ได้แก่ อุณหภมู ิ จากผลของการศึกษาของหน่วยงานอนุรกั ษป์ ลาผิวนำ้ สถานวิจยั ประมงทะเล กรมประมง ปรากฏว่า ในการทดลองผสมเทียมของปลาทู ไข่ปลาทูทไ่ี ด้รับการ ผสมกบั น้ำเชื้อของปลาตวั ผแู้ ล้ว จะฟกั ออกมาเปน็ ตัวเร็วขน้ึ โดยใช้เวลา ๒๓ ช่ัวโมง ท่อี ุณหภูมิ ของน้ำประมาณ ๒๗.๒ องศาเซลเซยี ส และจะตอ้ งใชเ้ วลานานประมาณ ๒๗ ชัว่ โมง หากอณุ หภมู ิ ลดลงมาเป็น ๒๔.๔ องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตรป์ ระมงพบว่า หากเราเอาอุณหภูมิเฉล่ยี ของแตล่ ะวัน คูณกบั จำนวนวันท่ีปลาใช้ในการฟัก ไขใ่ ห้ออกมาเป็นตวั ต้ังแต่ได้รับการผสม จะไดค้ ่าคงที่ สำหรับปลาชนดิ ใดชนดิ หน่ึง ดังนน้ั หากเราทราบอุณหภูมขิ อง แต่ละวนั เราก็จะทำนายไดว้ ่า ปลาจะฟักออกจากไข่มาเปน็ ตัวไดเ้ ม่อื ใด ลักษณะไข่ปลากดหรอื ริวกิว ทไ่ี ดจ้ ากชอ่ งปากของปลาตวั ผู้ แสดงให้เห็นถุงอาหาร (yolk-sac) ท่ยี งั ยบุ ไม่หมดพร้อมทง้ั ตัวออ่ น
36 หลงั จากทไี่ ข่ได้ฟกั ออกมาเปน็ ตวั แลว้ ตวั ออ่ นของปลายังไม่หาอาหารทันที แตจ่ ะใชอ้ าหารเดมิ ซงึ่ สะสมไวใ้ นไขแ่ ดงที่ ติดกบั ตัวมนั จนหมดกอ่ น แล้วจงึ เรมิ่ หาอาหารตามธรรมชาติ ต่อไป ในระยะท่ีลูกปลาเปลยี่ นวิธกี ารหาและกนิ อาหาร อตั ราการตายของลกู ปลาในระยะนี้ จะสงู มาก หากมิได้รับอาหารทเี่ หมาะสม เช่น ในบางปี ลกู ปลาถูกกระแสน้ำพัด ออกไปนอกฝงั่ สู่บรเิ วณท่ีมอี าหารนอ้ ย ดังน้นั ลูกปลาในปนี ้ันจะเหลอื น้อยมากและอาจทำใหป้ ระชากรของปลาในปี ตอ่ ไป ท่ีอยใู่ นขา่ ยของการประมงลดลง ก. ภาพถา่ ยของไขป่ ลาทูที่เรม่ิ มกี ารแบง่ เซลลภ์ ายหลังที่ไดร้ ับการ ผสมของนำ้ เชื้อจากตวั ผู้ ข. ภายหลังจากการผสมกบั น้ำเชือ้ ๒ ช่วั โมง ไข่มี ๖๔ เซลล์ ค. ภายหลังจากการผสมกบั น้ำเช้ือ ๑๓ ช่วั โมง ปรากฏวา่ ตวั ออ่ น เร่มิ มีการเจรญิ เติบโตของเบา้ นัยน์ตา ง. ภายหลังจากการผสมกบั น้ำเชอ้ื ๒๑ ชว่ั โมง สว่ นหางตัวออ่ นหลุดเปน็ อิสระ จากไข่แดง จ. ตัวอ่อนทเ่ี พ่ิงฟักออกมาจากไข่ใหมๆ่ ๒๕ ช่ัวโมง หลังจากทีไ่ ข่ ได้รับการผสมจากนำ้ เช้ือ ไดม้ ีนกั วทิ ยาศาสตรช์ าวอเมริกันทำการศึกษาอัตราการตายของปลาในสกลุ ใกล้เคยี งกบั ปลา- ทู (Scomber spp.) ใน มหาสมทุ รแอตแลนติก ปรากฏวา่ ในระยะเป็นไขแ่ ละลกู ปลาวยั อ่อน อัตรา การตายตามธรรมชาติจะสงู ถงึ ๙๙.๙๙ เปอรเ์ ซน็ ต์ ซ่ึงหมายความวา่ หลงั จากระยะนี้ผา่ นพ้นไปแล้ว จะเหลือลกู ปลาเจรญิ เตบิ โตต่อไปเพียง ๒-๓ ตัวเทา่ นน้ั จากไข่ประมาณ ๒๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ ฟอง ทีแ่ ม่ปลาชนดิ น้ีวางไขใ่ นฤดูหนง่ึ
37 ไข่ปลาทะเล สว่ นใหญม่ ีขนาดเล็ก โปรง่ ใสและลอยนำ้ (pelagic eggs) การที่ไขล่ อยนำ้ ได้อาจเน่อื งจากมจี ุดน้ำมนั หรือ ไขม่ ีเปลือกบาง และมชี ่อง ระหว่างตัวออ่ นและเปลือกไข่ (perivitelline space) กว้างหรือมเี มือก ซ่ึงทำให้ความ ถ่วงจำเพาะ ใกลเ้ คียงกบั น้ำท่ีไข่ลอยอยู่ ในภาพเป็นภาพถ่าย ขยายของไข่ปลาทู ซึ่งมีขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลางประมาณ ๘๖๐ ไมครอน (๐.๘๖ มลิ ลิเมตร) เปลือกไขบ่ าง มีจดุ น้ำมนั ๑ จุด มีเส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง ๒๑๔ ไมครอน (๐.๒๒ มลิ ลเิ มตร) ตวั อย่างไขเ่ หล่านี้ ไดจ้ ากการทดลองผสมเทียมปลาทู โดยหน่วยงานอนุรกั ษ์ปลาผวิ นำ้ สถานวจิ ยั ประมง ทะเล กรมประมง เมอ่ื วนั ที่ ๑๒ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๑๔ โดยเจ้าหน้าท่ีของ หนว่ ยงานนปี้ ระสบความสำเรจ็ เป็นคร้ังแรก สำหรับปลาทู ในการทดลอง ครั้งนี้ได้พบวา่ ไข่ท่ีไดร้ บั การผสมน้ำเชือ้ จากตวั ผู้ จะฟักเป็นตวั ภายใน ระยะเวลา ประมาณ ๑๒ ช่ัวโมงทีอ่ ุณหภมู ิของนำ้ ระหวา่ ง ๒๕.๓-๒๗.๙ องศาเซลเซยี ส การรับความรูส้ ึกของปลา ก) การรบั กล่ิน ปลามีจมกู สำหรับรับกลิน่ เช่นเดยี วกบั สตั ว์บก แต่มิได้ใช้หายใจ จึงไม่มที ่อตดิ ต่อกับคอ หอย ปลา ฉลามมีจมูกไวมาก สามารถรับกลิน่ เลือดได้ในระยะไกล ข) สายตา ตาปลามลี ักษณะคลา้ ยคลงึ กบั ตาของสตั ว์ทีม่ ีกระดกู สันหลงั ประเภทอื่นๆ แตม่ กี ารเปล่ยี น แปลงบ้าง เพ่ือ ช่วยให้มันสามารถมองได้ในน้ำ ผนังภายนอกของตาปลาแบนกว่าของสตั ว์บก แต่เลนส์ของตาปลากลมกวา่ และเวลา ใชม้ อง เลนส์จะไม่เปลยี่ นรูปร่างเหมือนตาของสตั วช์ นั้ สูง แต่จะเล่อื นเข้าเลือ่ นออกจนภาพชดั ปลาส่วนใหญม่ ีสายตา ส้ัน จากผลของการทดลองปรากฏวา่ ปลา สามารถจำสตี ่างๆ ได้ ในจำพวกปลาท่ีอาศัยในนำ้ ขนุ่ ตามขี นาดเล็กลง ปลา ที่อาศยั อย่ใู นถ้ำมตี า เปน็ จุดเลก็ ๆ เท่านนั้ หรือไม่มีเลยโดยถกู คลมุ อยใู่ ต้ผิวหนงั กไ็ ด้ ค) การรับฟงั หูของปลาไมม่ ีส่วนนอกและสว่ นกลางเหมอื นสตั วช์ ้ันสูง ดังน้ัน ปลาจงึ มีแตเ่ พียงหูสว่ น ใน ใช้เป็นอวัยวะ สำหรบั ช่วยการทรงตัว ปลานำ้ จืดจำพวกปลาไน ปลาตะเพียน และปลาดุก กระเพาะลมมีส่วนตดิ ต่อกับสว่ นหูโดยชน้ิ กระดูกเลก็ ๆ ซง่ึ สามารถทำให้ปลาจำพวกน้ีรับความสัน่ สะเทือนในนำ้ ไดด้ ี นอกจากนปี้ ลาส่วนใหญย่ งั มเี ส้นขา้ งตัว (lateral line system) สามารถรับความ สัน่ สะเทือนในนำ้ ได้ ง) การรับรส ปลาหลายชนิดสามารถรบั รสต่างๆ ได้ เช่น ปลาพวกตะเพยี น แต่หน้าที่การรับรสอาจ ทำโดยอวยั วะ พิเศษ ซึ่งอยู่บนหนวด (barbels) หรือบนหัวและตวั ปลา โดยบรเิ วณเหลา่ นจ้ี ะมปี ุ่ม รบั รส (taste bud) จ) การรบั ความสมั ผสั ปลารบั สัมผสั ไดด้ ีมาก อวัยวะรับสัมผัสมีอยบู่ นส่วนตา่ งๆ ของตวั ปลา เชน่ ตามผวิ หนัง ตามผวิ ของหนวด (barbels of feelers) หรอื ครบี สำหรบั ปลาท่หี ากนิ บนพ้นื ทอ้ งน้ำใช้อวยั วะดังกลา่ ว ในการหาอาหารโดย การคลำ
38 ต้นกำเนิดของปลา นักวทิ ยาศาสตร์สามารถสบื หาค้นควา้ เกี่ยวกบั ต้นกำเนดิ ของปลาได้ โดยการตรวจดูซาก ปลาโบราณทีป่ รากฏในหนิ ชนั้ ต่างๆ และสามารถจะคำนวณอายุความเกา่ ได้ นักวิทยาศาสตรไ์ ดล้ ง ความเห็นวา่ ปลาจำพวกแรก ทีเ่ ปน็ บรรพบรุ ุษ ของสตั ว์ท่ีมีกระดกู สนั หลัง ได้แก่ ปลาท่ไี ม่มขี ากรร ไกร (Agnatha) ซึง่ ประกอบด้วยปลาท่ีเรียกว่า ออสตราโคเดริ ม์ (ostracoderms) ปลาจำพวกนี้มี เหงือกอย่ใู นถุงกล้ามเน้อื ซึ่งหดและขยายตวั ไดเ้ วลาหายใจ ปลาออสตราโคเดริ ์มมี ๒ จำพวก คือ พวกที่ว่ายน้ำได้ และพวกท่ีหากินบนพืน้ ท้องน้ำ พวกหลงั นม้ี เี กราะหุ้มสว่ นหนา้ ของลำตวั (cephalaspida) ปลาโบราณเริม่ มอี ยู่ในยุคซีลูเรยี น (Silurian) และดีโวเนยี น (Devonian) คือ ประมาณ ๔๐๐ ล้านกวา่ ปีมาแล้ว ซากดกึ ดำบรรพข์ องปลาโบราณชื่อ พิกนอดดสั รอมบสั (Pycnoddus rhombus) ต่อมานานเขา้ ปลาจำพวกแรกนก้ี ็มีวิวฒั นาการ มีการเปลีย่ นแปลงรูปร่างเพื่อความเหมาะสม ในการดำรงชวี ิต วิวฒั นาการของมนั แบ่งออกเปน็ ๒ สาย สายท่หี นงึ่ เป็นปลาปากกลม ซ่ึงยังคงมอี ยู่จนถึงทุกวันน้ี สายที่สองเปน็ ปลา โบราณทม่ี ขี ากรรไกร (placoderms) ซ่ีงมกี ารเปล่ยี นแปลงไป เป็นปลาจำพวกกระดกู อ่อน คอื พวกฉลามและกระเบน (Chondrichthyes) และพวกปลากระดูกแข็ง (Osteichthyes) หลกั การแบ่งจำพวกของปลา เน่ืองจากในโลกเรานี้มีปลาชนิดต่างๆ อยู่มากกวา่ ๒๐,๐๐๐ ชนิด นักวทิ ยาศาสตรจ์ ึงได้หาวธิ ีการจำแนกแยกชนิดของ ปลา ออกเปน็ จำพวก และเป็นชนดิ ตา่ งๆ เช่น ๑) แบ่งออกตามถิ่นฐานที่อยู่อาศยั และการแพร่กระจายของปลา ทางด้านนิเวศวิทยานี้ เราอาจแบง่ ปลาชนิดตา่ งๆ ออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังตอ่ ไปนี้ (๑) ปลาทะเล เป็นปลาที่อาศัยอยูใ่ นนำ้ ที่มคี วามเคม็ สูงกว่าน้ำจดื ปลาทะเลอาจแบง่ ออกไปไดอ้ ีกเปน็ ๒ จำพวกคือ ก) ปลาผิวน้ำ (pelagic fishes) เป็นพวกท่ีอาศยั ในทะเลต้ังแตร่ ะดับผิวน้ำลงไปถึงระดบั กลางนำ้ เชน่ ปลาจำพวกปลาทู ปลาอินทรี ปลาโอ เปน็ ตน้
39 ข) ปลาหน้าดิน (demersal fishes) เปน็ ปลาที่อาศัยและหากินบนพ้ืนท้องทะเล หรอื อาจจะอยู่เหนือ พนื้ ท้องทะเลเล็กน้อย เชน่ ปลากระเบน ปลาตาเดียว ปลาทรายแดง และปลา สีกุน เป็นต้น หรอื อีกวิธหี น่ึงเรายงั อาจแบ่งปลาทะเลออกเป็นจำพวกทอี่ ยอู่ าศัยในมหาสมทุ รหรือทะเล หลวง (oceanic species) เช่น ปลานกกระจอก ปลาโอ ปลาทูนา พวกที่อาศัยและหากนิ ใกลฝ้ ่งั เชน่ ปลาทู ปลาตามหนิ ปะการัง และปลาที่อาศัย อยู่ในทะเลลกึ (abyssal species) ซ่งึ แสงแดด ส่องลงไปไมถ่ ึง (๒) ปลานำ้ จดื เป็นปลาทีอ่ าศัยอยู่ในนำ้ จืดตลอดชวี ติ อาจแบง่ ออกเป็นสองจำพวกใหญ่ๆ คอื ปลาท่ี อาศยั อยู่ในนำ้ นิ่ง เชน่ ในบ่อบึง ได้แก่ ปลาสวาย ปลาเทโพ และปลาที่อาศัยใน ลำธารหรือแมน่ ้ำ เชน่ ปลาตะเพยี น ปลาเทพา และปลาสรอ้ ย เป็นตน้ (๓) ปลาท่อี พยพย้ายถิน่ เปน็ ปลาท่วี างไข่ในนำ้ จดื แต่เดนิ ทางออกไปหาอาหารเพ่ือการ เจรญิ เตบิ โตใน น้ำเคม็ เชน่ ปลาตะลมุ พุก ปลาแซลมอน หรือปลาทว่ี างไข่ในทะเลแต่กลบั เขา้ มาหากินในน้ำจืด เชน่ ปลาตหู นา (Anguilla spp.) เป็นต้น (๔) ปลาทอี่ าศัยในนำ้ กรอ่ ย เป็นปลาที่ชอบอยู่อาศัยในนำ้ ที่ไม่ค่อยเค็มอยตู่ ลอดชีวิต เช่น ปลาในบรเิ วณ ปา่ ไมแ้ สม โกงกาง ชายเลนที่มลี ำนำ้ จดื ไหลผ่าน เชน่ ในบรเิ วณปากแมน่ ้ำ ปลา จำพวกนี้ ได้แก่ ปลานวลจนั ทรท์ ะเล ปลากะพงขาว (Lates calcarifer) ปลากระบอก (Mugil spp.) เปน็ ต้น ๒) การแบ่งจำแนกแยกชนิดของปลาตามความสัมพันธ์ระหว่างหมวดหมแู่ ละตามหลกั วิชาวิวัฒนาการ (evolution) นกั วิทยาศาสตร์ได้อาศยั รากฐานเก่ียวกับรูปซากดกึ ดำบรรพข์ องปลา ความรู้ทางดา้ นโครง สรา้ ง (structure) อวยั วะ ต่างๆ และการเจรญิ เตบิ โตของปลา รวมทง้ั ความร้ทู างด้านวิวัฒนาการ และพันธวทิ ยา (genetic) สรีรวทิ ยา ในการ จัดลำดับแสดงความสัมพนั ธข์ องปลากลุม่ ตา่ งๆ ใน ปัจจบุ นั ปลากลมุ่ ตา่ งๆ อาจจะแบ่งตามแผนผังกว้างๆ ไดด้ ังนี้
40 ตามหลักฐานของ ดร.ฮิวจ์ เอ็ม สมิท (Hugh M.Smith) ผซู้ ึ่งมาดำรงตำแหน่งทป่ี รึกษาทาง การประมงของรัฐบาลไทย ในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๖-๒๔๗๘ ไดร้ ายงานปลานำ้ จืดในประเทศไทย ไวเ้ ปน็ จำนวนทง้ั สิ้น ๔๙ ครอบครัวด้วยกนั เป็น
41 ปลาทงั้ หมด ๕๖๐ ชนิด สำหรบั ปลาทะเล หนว่ ย งานอนุกรมวธิ าน (Taxonomic Unit) ของสถานวจิ ยั ประมงทะเล กรมประมง ไดร้ วบรวม และจำแนกชนดิ ปลาทะเลไวไ้ ด้มากกวา่ ๙๐๐ ชนดิ ปลาทะเลทไี่ ด้จำแนกชนิดไวเ้ หลา่ นี้ ได้ถกู เกบ็ รกั ษาไว้ ณ พิพธิ ภัณฑ์สัตว์นำ้ ของสถานวิจัยประมงทะเล และพิพธิ ภณั ฑส์ ตั ววทิ ยา จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั สว่ นปลาน้ำจดื สว่ นใหญไ่ ด้เก็บไว้ ณ พิพธิ ภัณฑ์สตั ว์น้ำ ของคณะประมง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ และพิพิธภณั ฑ์ สัตวข์ องสถาบนั วจิ ัยวิทยาศาสตร์ประยกุ ตแ์ ห่งประเทศไทย วิวัฒนาการของปลา ตัง้ แตแ่ รกกำเนดิ ของสัตว์ท่ีมกี ระดกู สนั หลงั พวกปลา จนถงึ สัตวท์ ่ีมกี ระดกู สนั หลงั อน่ื ๆ ความสำคญั ของปลาต่อมนษุ ย์ ปลาเปน็ อาหารหลกั สำคัญของมนษุ ย์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในประเทศไทย เน้ือปลาอุดม สมบรู ณ์ไปด้วย โปรตนี ไขมนั และแรธ่ าตตุ ่างๆ ซง่ึ รา่ งกายของเราต้องการ ตามหลกั ฐานของ องค์การอาหารและเกษตรแหง่ สหประชาชาติ ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ บรโิ ภคปลาเปน็ อาหาร จำนวนถึง ๕๕.๒ เปอรเ์ ซน็ ต์ ของอาหารโปรตีนที่ ไดจ้ ากสตั วท์ งั้ หมดท่ใี ชบ้ ริโภค ประชาชนในประเทศของเราใชป้ ลาเปน็ อาหารเป็นจำนวนประมาณ ๒๒ กโิ ลกรัมต่อคน ต่อปี ในประเทศอ่ืนๆ โดยเฉพาะญป่ี ่นุ เกาหลี และประเทศในยโุ รปหลายประเทศ กใ็ ชป้ ลาเปน็ อาหารประจำวันกัน อย่างแพรห่ ลาย ตามสถติ ิขององค์การอาหารและเกษตรฯ ปรมิ าณปลาทะเลที่จบั ขนึ้ มาใช้ประโยชน์ ในโลกมีปริมาณ ทัง้ สนิ้ กว่า ๖๐ ล้านตนั คิดเป็นมูลค่าหลายแสนลา้ นบาท นอกจากเราจะใช้ปลาเปน็ อาหารแลว้ ยงั ใชใ้ นการ อตุ สาหกรรมอ่ืนๆ เช่น ใช้ในการเล้ียงไก่ เป็ด และสกุ ร เป็นตน้ ทำให้บังเกิดผลประโยชนท์ ด่ี ีตอ่ เศรษฐกิจของประเทศ ของเราเป็นอนั มาก การประมงของประเทศมีส่วนทำให้อุตสาหกรรมอืน่ ๆ ขยายตวั อยา่ งกว้างขวาง เชน่ การทำเค็ม ตากแหง้ การทำนำ้ ปลา การผลิตน้ำมันตบั ปลา น้ำมนั ปลาสร้อย การผลติ ปุ๋ยจากปลา การทำอวน ฯลฯ เปน็ ต้น
42 ปลาสำคัญบางชนิดทางเศรษฐกิจเช่น ปลากะพงชนดิ ตา่ งๆ ปลาสวยงามหากเลี้ยงไวด้ เู ล่นในบา้ นก็มสี ว่ นทำใหเ้ ราได้รบั ความสุขเพลิดเพลนิ และความ สงบทางจติ ใจ ประเทศ สงิ คโปรม์ รี ายไดจ้ ากปลาประเภทปลาสวยงามตา่ งๆ เป็นอนั มาก เพราะเป็นประเทศทผี่ ลิตปลาสวยงามส่งขายใน ต่างประเทศ จนเป็นอุตสาหกรรมใหญโ่ ตเปน็ ลำ่ เป็นสัน นักวทิ ยาศาสตร์ใช้ปลาเป็นสตั ว์ทดลอง เพ่ือนำความรู้ใหมๆ่ มา ทำให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์ เชน่ ใชป้ ลาในการทดลองหาวงจรชวี ติ ของพยาธิบางจำพวก ที่เป็นอันตรายแก่มนุษย์ ตลอดจนใช้ปลาในการทดลองประดิษฐ์รูปยานพาหนะทีเ่ หมาะสม และวงิ่ เร็ว ในระดับความต้านทานต่างๆ กนั รวมทั้ง การใชป้ ลาในการศกึ ษาเสียงใต้นำ้ เป็นตน้ นอกจากนีป้ ลายังมสี ่วนช่วยทำใหส้ วสั ดิภาพความเป็นอยู่ของมนษุ ย์ดีขึ้น เช่น ช่วยทำลาย แมลง เช่น ยงุ ในแหล่งน้ำใหล้ ดน้อยลง เป็นการช่วยป้องกนั โรคระบาด ของมนษุ ย์ได้เปน็ อย่างดี เพราะเป็นวธิ กี ารควบคมุ ทางชวี ภาพ ปลาทะเลหลายชนิดเป็นปลาทส่ี วยงาม
43 การประมงของประเทศไทยและการอนุรกั ษ์ทรัพยากรประมงของประเทศของเรา ประเทศไทยเปน็ ประเทศซงึ่ มเี ศรษฐกจิ อยู่บนรากฐานของเกษตรกรรมและการใช้ทรพั ยากร ทาง ธรรมชาตขิ องประเทศ การประมงจงึ มีความสำคญั ตอ่ เศรษฐกิจของประเทศมาก เพราะกจิ การประมง ทำให้อุต สาหกรรมใกล้เคียงเจริญขน้ึ และให้อาหารโปรตนี ท่ีมคี ุณภาพสูงแตม่ รี าคาถูกแก่ประชาชนภายในประเทศซึง่ ส่วนใหญ่มี รายไดต้ ่ำ นอกจากน้ี ยงั มผี ลทำให้รัฐได้รับเงินตราตา่ งประเทศเพ่ิมขน้ึ โดยการจัดสง่ ผลิตภัณฑ์ประมง เชน่ กุ้ง ปลาแช่ เยน็ ปลากระป๋อง ฯลฯ ไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศเป็นการชว่ ยแกไ้ ขปญั หาดลุ การคา้ ระหว่างประเทศทางหนง่ึ เนอ่ื งจากประชาชนในประเทศของเราได้เพมิ่ ขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัง้ แตส่ งครามโลกครั้งทส่ี อง สงบลง ใน อัตราสงู ถึงร้อยละ ๓.๒ ต่อปี การประมงของประเทศจงึ ได้มคี วามสำคญั ข้ึนเป็นลำดบั โดยเฉพาะการประมงทะเลได้ ขยายตัวรดุ หน้าไปอยา่ งรวดเร็ว จะเห็นได้จากสถิตขิ องกรมประมง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ปรมิ าณสตั วน์ ำ้ ทีจ่ ับไดท้ ั่ว ราชอาณาจกั ร มีจำนวน ๓๔๐,๐๐๐ ตนั แต่ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ปริมาณสตั ว์นำ้ ท่ีจบั ได้ทั้งสิ้นเพ่ิมขึ้น (ในปรมิ าณที่ลดลง) เป็น ๑,๗๙๗,๐๐๐ ตนั สภาพชายทะเลซ่ึงเปน็ บรเิ วณทำอวนรุน เมื่อประมาณ ๖๐ ปีมาแล้ว การประมงนำ้ จืดมคี วามสำคัญต่อประเทศมาก ชาวไร่ชาวนาหาปลา โดยใชเ้ ครื่องมือ ท่ใี ช้ มาแตโ่ บราณกาล เช่น ลอบ เบด็ แห สวิง ยอ บอ่ ล่อ เป็นต้น สำหรับชาวประมงที่อยู่ตามหมู่บ้านชายทะเลก็หากนิ โดย ทำการประมงใกล้ฝ่ังในน้ำลกึ ไมเ่ กนิ ๑๕ เมตร โดย ใช้ลอบ โพงพาง โปะ๊ ฯลฯ ซึ่งสว่ นใหญเ่ ป็นเครอ่ื งมือประจำทแี่ ทบ ทง้ั สน้ิ และเรอื ท่ใี ช้หาปลาก็เปน็ เรือใช้ใบมีขนาดความยาวประมาณ ๓-๖ เมตร
44 หมู่บา้ นชาวประมงทะเล ตอ่ มาเม่อื ความต้องการปลาเป็นอาหารมเี พม่ิ ข้นึ ชาวประมงเรมิ่ ร้จู กั ใชอ้ วนท่ีมปี ระสิทธิภาพสงู ขนึ้ ก็มีการใชเ้ ครอ่ื งมอื ทีเ่ รยี กกนั ท่วั ไปวา่ อวนตงั เก ในการจบั ปลาฝงู เช่น ปลาทู ปลาลัง สว่ นชาวประมงที่มที ุนทรพั ยน์ อ้ ยก็เร่มิ ใชอ้ วนลอย เพ่อื หาปลา การจับปลาด้วยยอเพอ่ื ใช้บริโภคในครวั เรือน ในระยะ ๒๕ ปที ี่ผา่ นมาการประมงทะเลไดร้ ุดหน้าไปไกลมาก ไดม้ ีการใช้เคร่ืองมือจับ ปลาทม่ี ปี ระสิทธภิ าพสงู คอื เครอื่ งมืออวนลากแบบต่างๆ เรอื ทใ่ี ช้หาปลา ก็มีปรมิ าณเพ่ิมข้ึน และเป็นเรือใช้เคร่ืองยนตแ์ ทบท้ังสนิ้ ขนาดของเรือได้ เพิ่มขน้ึ จาก ๖-๗ เมตร เปน็ ประมาณ ๓๐ เมตร ในปจั จบุ ัน อาณาบริเวณการทำการประมงไดแ้ ผ่ขยายไปในทะเลจนี ตอนใต้ และในทะเลอันดามัน การขยายตวั อย่างรวดเร็วของการประมงทะเลและจบั ปลาเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ ปรมิ าณปลาที่จับไดเ้ พ่ิมขน้ึ อย่างมากมาย ในปจั จุบันผลติ ผลจากการประมงทะเลมปี ริมาณสงู ขน้ึ ถึง ๙๐ เปอรเ์ ซ็นต์ของปรมิ าณสัตว์นำ้ ท่ีจับได้ทัว่ ประเทศ แต่อยา่ งไรก็ตาม การขยายตัวของอวนลาก อย่างรวดเรว็ ไดท้ ำให้ประชากรของปลาและสัตว์น้ำหนา้ ดินในอา่ ว ไทยลดน้อยถอยลงเปน็ ลำดับจน เปน็ ท่ีนา่ วิตกกว่า หากไม่มมี าตรการทเี่ หมาะสมในการอนรุ กั ษ์ทรัพยากรประมง ดังกล่าวแล้ว ทรพั ยากรดงั กล่าว ก็จะไม่ให้ผลประโยชน์ทางดา้ นเศรษฐกจิ แก่ประเทศต่อไป กรมประมงซง่ึ เป็นส่วนราช
45 การของประเทศที่เก่ยี วข้องในเร่ืองนี้ จงึ ได้วางโครงการอนุรักษท์ รัพยากรทมี่ คี ุณค่าทางเศรษฐกิจ เปน็ โครงการระยะ ยาว ทจ่ี ะวางมาตรการที่เหมาะสมและถูกต้อง ตามหลักวิชาการ ทง้ั นเี้ พื่อให้ทรพั ยากรดังกลา่ ว ผลดิ อกออกผลบงั เกดิ ประโยชนอ์ ย่างเต็มที่แก่ประเทศของเราเร่ือยๆ ไป การอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติ กอ่ นอน่ื เราควรทราบว่า ทรัพยากรธรรมชาตมิ ีอยู่ ๒ ประเภท ด้วยกัน คอื ทรัพยากรที่ไม่ มกี ารชดใช้ แทนท่ี (non-renewable resources) เช่น สินแรบ่ างประเภท นำ้ มัน ฯลฯ เมือ่ ใชก้ ็หมดไป และทรัพยากรทม่ี ีการ ชดใชแ้ ทนที่ (renewable resources) ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีชวี ติ เชน่ ปลา ตน้ ไม้ ฯลฯ สำหรับทรัพยากรประเภทหลัง หากมกี ารใชอ้ ยา่ งเหมาะสมแล้ว กจ็ ะบังเกิดผล ประโยชน์เรื่อยไป เพราะทรัพยากรดงั กล่าวสามารถมกี ารชดใชแ้ ทนท่ี โดยทสี่ ิ่งซ่ึงมีชีวติ เหล่านัน้ เมอ่ื โตเต็มวัย กส็ ามารถสบื พนั ธุ์ ให้ลูกหลานออกมาได้ ดังนั้น คำว่าอนุรักษท์ รัพยากรจงึ มีความหมายกว้างขวาง แต่พอสรุปง่ายๆ วา่ เปน็ การ กระทำทุกรปู แบบ เพอ่ื ใหท้ รัพยากรดังกล่าว ผลดิ อกออกผลและบังเกิดประโยชนแ์ ก่มนุษยเ์ ราอย่าง เต็มทเ่ี รื่อยๆ ไป หากกลบั มา พิจารณาเก่ยี วกับทรัพยากรประมงของเรา ถ้าเราพิจารณาถงึ ปลาประชากรหนึ่ง ซ่งึ ไมม่ ีการจบั เลย ปลาในประชากรน ้ี ก็จะมีการดำเนนิ ชวี ติ ไปในปีหนึ่งๆ และเกิดสมดุลในประชา- กรตามแผนผงั ท่ี ๑ จะเหน็ ได้ว่าในกรณที ่ีเราไมจ่ ับปลาขึ้นมาใชป้ ระโยชน์ ปลาเหล่าน้ีก็จะตายไปเองตามกฎ แหง่ ธรรมชาติ เชน่ แก่ตาย บางตัวเป็นโรค อาหารไม่พอเพียงถูกศัตรูทำลาย เป็นต้น หากประชากรของปลาดงั กล่าวถกู มนษุ ย์นำขึ้นมาใชใ้ ห้เปน็ ประโยชนป์ ริมาณนำ้ หนักของ ปลาท่ีเหลือรอดในปีต่อไป ก็ จะเปน็ ไป ดงั แผนผงั ที่ ๒
46 ตามหลักการง่ายๆ ดงั กลา่ วข้างตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ถา้ เราจับปลาส่วนหนึง่ ทมี่ ปี รมิ าณพอ เหมาะขึ้นมาใช้ให้ บงั เกิดประโยชน์ กจ็ ะไมเ่ กิดผลเสยี หายแกป่ ระชากรปลาแต่อย่างใด เพราะปลา เหล่านจ้ี ะตายไปเองตามธรรมชาติ จึง เปน็ การเปิดโอกาสใหป้ ลาที่เหลืออยู่ มีอาหารพอเพยี ง และมกี ารเจรญิ เติบโตดียิ่งขึ้น แต่ถา้ เราจบั ปลามากเกินควรแล้ว จะทำให้สมดุลดังกล่าวเสยี ไป และจะสง่ ผลกระทบกระเทอื นไปยังจำนวนลูกหลานที่จะเพม่ิ ขึน้ มาต่อเนื่องกนั ไป ตลอดจน อตั ราการเจรญิ เติบโตของปลาในประชากรนน้ั ๆ ด้วย เพอ่ื ทีจ่ ะอนุรกั ษ์ทรัพยากรดงั กล่าวให้บงั เกดิ ประโยชน์ใหม้ ากที่สุด เราอาจจะพิจารณาวาง มาตรการ บางอยา่ ง เพ่อื เปิดโอกาสใหป้ ลามลี ูกหลานเพม่ิ มากขึน้ ในประชากร หรือพิจารณาหาวธิ ี การทำให้การเจรญิ เติบโตเร็ว ขึ้น หรืออาจช่วยปอ้ งกนั อนั ตรายจากศัตรู ฯลฯ หรือวางมาตรการควบ คุมการประมงทเ่ี หมาะสม เช่น กำหนดจำนวน และขนาด ของเรือประมง ควบคุมทำการประมง ในระยะใดระยะหนง่ึ กำหนดเขตหรอื บริเวณทำการประมง หรือห้าม ทำการประมงในเขตท่ีหวง ห้ามเพ่ือสงวนไวเ้ ป็นท่ีวางไข่ และหลบซอ่ นของลูกปลาวัยอ่อน ควบคุมหรือห้ามการใช้ เคร่ืองมือ บางประเภท เช่น หา้ มการใชว้ ตั ถุระเบิดหรือไฟฟ้าจับปลา ตง้ั โควตา (quota) เพอ่ื กำหนดปริมาณ ท่ีพึงจะ จับได้ เหล่านี้เป็นตน้ ปลาตาโต(Priacanthus tayenus) วธิ ีการทีด่ อี ีกวธิ หี นง่ึ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรปลาทมี่ ีคุณคา่ ทางเศรษฐกิจกค็ ือ การเรง่ รดั พัฒนาการคัดเลอื กพนั ธ์ุ และ การเพาะเลี้ยงปลาในนำ้ จืดและในบรเิ วณชายฝ่ัง เพ่ือเพม่ิ ผลผลิตและ วางโครงการระยะยาว ในการใหก้ ารศึกษาอบรม เยาวชนใหเ้ ลง็ เห็น และฝงั ใจในความสำคญั ของการอนุรักษ์ทรพั ยากรของประเทศ เพอ่ื ให้ผลดิ อกออกผลเปน็ ประโยชน์ แกป่ ระเทศชาติสบื ไป
Search
Read the Text Version
- 1 - 48
Pages: