Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

m61

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2019-10-06 03:42:55

Description: m61

Search

Read the Text Version

๒. P = plan มีการจัดท�ำแผนสขุ ภาพต�ำบลแบบมีสว่ นร่วม เกณฑ์การประเมินผล ผลการด�ำเนนิ งาน รายละเอยี ด มี ไมม่ ี การด�ำเนินการ ๒.๑ มกี ารรวบรวมข้อมลู วเิ คราะห์สถานการณ์ และจัดท�ำฐานข้อมลู เกย่ี ว กับทุนของชุมชน (เงิน/ทรัพยากร/ผลผลิต/ความรู้/ภูมิปัญญา/ทุนทาง วฒั นธรรม/ทุนทางสงั คม/ทุนทางสุขภาพ) ๒.๒ มกี ารคนื ข้อมลู สถานะสุขภาพเพ่ือสรา้ งการรับรู้ และมีสว่ นร่วมในการ จัดท�ำแผนสุขภาพต�ำบล ๒.๓ มีการร่วมกันจัดท�ำแผนสุขภาพต�ำบล ด้วยการระดมทรัพยากร ทุน และภูมิปัญญาท้องถ่ินจากในและนอกชุมชน มาใช้สนับสนุนโครงการและ กิจกรรมที่ก�ำหนดไว้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้าร่วมในการ วิเคราะห์ปัญหาด้วยกระบวนการของชุมชน และมีการสื่อสารแผนงาน/ โครงการแกผ่ เู้ ก่ยี วขอ้ งให้รับร้เู พอื่ น�ำไปสู่การปฏบิ ัติ ๒.๔ มีการติดตาม ประเมินผล การพัฒนาต�ำบลจัดการสุขภาพ ตามเป้าหมาย ทีต่ ง้ั ไว้อยา่ งสมำ่� เสมอและรายงานความก้าวหนา้ ใหช้ ุมชนรับรอู้ ย่างต่อเนือ่ ง ๓. A = activity มีการจัดกจิ กรรมหรือบรกิ ารสขุ ภาพตามกลมุ่ วยั เกณฑ์การประเมนิ ผล ผลการด�ำเนนิ งาน รายละเอยี ด มี ไมม่ ี การด�ำเนินการ บท ่ีท ๖ ๓.๑ มีชุมชน/ท้องถ่ิน/อสม.นักจัดการสุขภาพชุมชน/อสค.เป็นพลังส�ำคัญ ขับเคล่ือนแผนสุขภาพต�ำบล เพื่อการดูแลสุขภาพตามกลุ่มวัย และแก้ไข ปญั หาสุขภาพตามบริบทของพืน้ ท่ี ๓.๒ มกี ารเฝ้าระวัง ประเมนิ คดั กรอง ปัญหาสุขภาพตามกลมุ่ วยั การสือ่ สาร ความรู้ด้านสขุ ภาพ การปรบั เปลีย่ นพฤติกรรม ๓อ.๒ส. และมาตรการทาง สงั คมในการแก้ไขปัญหาสขุ ภาพชมุ ชนตามบริบทของพืน้ ที่ ๓.๓ มีการจัดกิจกรรมและบริการสขุ ภาพที่เหมาะสมทกุ กลมุ่ วยั ๓.๔ มกี ารส่งเสรมิ วสิ าหกจิ ชมุ ชนพ้ืนฐาน (การด�ำเนนิ การเพื่อกิน เพ่ือใชใ้ น ชุมชน เพ่ือใหค้ รอบครวั พง่ึ ตนเองได้ ลดรายจา่ ย เพิ่มรายรบั ) 46 คูม่ อื วทิ ยากรพี่เล้ยี งขับเคลือ่ นต�ำ บลจัดการสุขภาพแบบบูรณาการ

๔. R = result มผี ลลพั ธก์ ารด�ำเนินงานด้านสุขภาพในชุมชน เกณฑ์การประเมินผล ผลการด�ำเนนิ งาน รายละเอียด มี ไม่มี การด�ำเนินการ ๔.๑ มวี ิทยากรชมุ ชนท่ีได้รบั การพฒั นาศักยภาพความเปน็ ครู หรือวทิ ยากร กระบวนการ วิทยากรต้นแบบในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ และมี ศูนย์เรียนรู้สุขภาพชุมชน เช่น โรงเรียนนวัตกรรมสุขภาพชุมชน โรงเรียน อสม. ที่มีหลักสูตรเป็นไปตามความต้องการของชุมชน รวมท้ังมีการแลก เปลย่ี นเรียนร้ภู ายในชมุ ชนและระหวา่ งชุมชน ๔.๒ มีการสรุปบทเรียน การพัฒนา การจัดการความรู้ การจัดการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสุขภาพชุมชนที่น�ำไปสู่การส่งเสริมสุขภาพ การ ป้องกันโรค และการฟื้นฟูสขุ ภาพ ๔.๓ มีการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ การพัฒนาระหว่างชุมชนหรือต�ำบล อ่ืนๆ อย่างกว้างขวาง ๔.๔ มีผลลัพธ์ของการพัฒนา เช่น ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีความรอบรู้ ด้านสุขภาพ ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพท่ีเหมาะสม จ�ำนวนผู้สูงอายุได้ รับการดูแลและบริการท่ีเหมาะสม พัฒนาการเด็กสมวัย อุบัติการณ์ผู้ป่วย รายใหม่ โรคเบาหวาน ความดันโลหติ สงู และไข้เลอื ดออก มีแนวโน้มลดลง หรือไม่เพม่ิ ขนึ้ ส่วนท่ี ๓ ปัญหา/อปุ สรรคและข้อเสนอแนะการพัฒนา บทท่ี ๖ ปัญหา/อปุ สรรค .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ข้อเสนอแนะการพัฒนา .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ขอบคณุ ที่ใหค้ วามร่วมมอื ตอบแบบรายงานผล คู่มือวทิ ยากรพเ่ี ลย้ี งขบั เคลื่อนต�ำ บลจัดการสขุ ภาพแบบบูรณาการ 47

๗บทท่ี หลกั สตู รฝกึ อบรม อสม. นักจัดการสขุ ภาพ ชุมชน (สมารท์ อสม. ๔.๐) ตามกลมุ่ วยั บท ่ีท ๗ หลักสตู รฝกึ อบรม อสม. นกั จัดการสุขภาพชุมชน (สมาร์ท อสม. ๔.๐) ตามกลมุ่ วยั ในต�ำบลจดั การสุขภาพ แบบบูรณาการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๑ มุ่งพฒั นาผเู้ รียนใหม้ สี มรรถนะส�ำคัญตามมาตรฐานของกรม สนับสนนุ บริการสขุ ภาพ กระทรวงสาธารณสขุ ทกี่ �ำหนด เพื่อใหม้ ีความรอบรดู้ ้านสุขภาพ มคี วามสามารถและทกั ษะ ท่ีจ�ำเป็นในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ ในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน การจัดการสุขภาพตนเอง ครอบครัว ชุมชนในแต่ละช่วงวัย รวมถึงเป็นแกนน�ำในการขับเคล่ือนคนในชุมชน สังคมให้มีบทบาท และมีส่วนร่วมในการ ด�ำเนินการให้บรรลผุ ลต�ำบลจดั การสขุ ภาพแบบบูรณาการ ดังนี้ ๑. ความเช่อื ม่นั ในศกั ยภาพของประชาชนและเครอื ขา่ ย (Potential public confidence) ๒. การประสานงาน (Coordination-COOR) ๓. การส�ำรวจข้อมลู (Information Seeking-INF) ๔. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล (Analytical Thinking-AT) ๕. การก�ำหนดแนวทาง มาตรการในการแก้ปญั หาชมุ ชน (Problem Solving-PS) ๖. การวางแผน (Planning-PLAN) ๗. การประเมินความส�ำเร็จโครงการอย่างมีสว่ นร่วม (Project Management/ Project Evaluation -PM/PE) ๘. ความสามารถในการสื่อสาร (Communication & Influencing-CI) ๙. ความสามารถพฒั นาพฤติกรรมสุขภาพตนเอง ๑๐ การขบั เคล่ือนต�ำบลจัดการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จึงได้ก�ำหนดเกณฑ์และแนวทางในการประเมินเพ่ือให้สอดคล้องกับนโยบาย และหลักสูตรฯ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพ อสม. ผู้ผ่านการอบรมต่อไป โดยศึกษารายละเอียดได้จากหลักสูตรฝึกอบรม อสม. นักจัดการสุขภาพชุมชนตามกลุ่มวัย ปพี ุทธศักราช ๒๕๖๑ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. เกณฑ์และเปา้ หมายการประเมิน (อสม. ทีผ่ า่ นการอบรมทุกคน) ๑.๑ เข้ารับการฝกึ อบรมระยะเวลาอย่างน้อยรอ้ ยละ ๘๐ ของระยะเวลาการอบรมตลอดหลักสูตร ๑.๒ มคี วามรูแ้ ละทกั ษะผา่ นเกณฑไ์ มน่ อ้ ยกว่า รอ้ ยละ ๘๐ ๒. เครอื่ งมือทีใ่ ชใ้ นการประเมินผล ๒.๑ แบบทดสอบความรู้กอ่ น-หลงั การอบรม ๒.๒ แบบบนั ทึกการสังเกตพฤติกรรมการมสี ่วนรว่ มระหว่างการอบรม ๒.๓ แบบประเมินเชิงคณุ ภาพ ๓. วิธกี ารประเมนิ ผลการฝึกอบรม ๓.๑ ประเมนิ ในชว่ งระยะเวลาฝึกอบรม ๑) ทดสอบความรู้ กอ่ น-หลงั การฝึกอบรม ๒) การสงั เกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นร่วมระหวา่ งการอบรม 48 คู่มอื วิทยากรพ่ีเลีย้ งขับเคล่ือนต�ำ บลจัดการสุขภาพแบบบูรณาการ

๓.๒ การประเมินเชิงคณุ ภาพ การประเมินผลการปฏิบัติงานเชิงคุณภาพ ตามแบบประเมินผลเชิงคุณภาพหลังจากผู้เรียนกลับไป ปฏิบตั ิภารกจิ ในชุมชนหลงั การอบรม ๓ เดอื น ๔. ส่อื ประกอบการฝกึ อบรม ๔.๑ เอกสารการด�ำเนนิ การต�ำบลจดั การสขุ ภาพแบบบูรณาการ ปี ๒๕๖๑ ๔.๒ เอกสารวิชาการท่ีเกีย่ วกับ ๔ กลมุ่ วัย ๔.๓ แบบประเมินความรอบร้ดู า้ นสขุ ภาพ และพฤตกิ รรมสุขภาพ ๔.๔ ใบงานประชุมกลมุ่ ๔.๕ สอื่ ประกอบการเรียนการสอน ๔.๖ เอกสารแผนท่คี วามคดิ ๔.๗ ใบงานมอบหมาย ๕. เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการประเมินผล ๕.๑ แบบทดสอบความรกู้ ่อน-หลงั การอบรม ๕.๒ แบบบนั ทึกการสังเกตพฤติกรรมการมสี ่วนร่วมระหวา่ งการอบรม ๕.๓ แบบประเมินผลการปฏิบัติงานเชงิ คณุ ภาพหลงั การอบรม ๖. การจบหลักสตู ร/การฝกึ อบรม ๖.๑ ผู้เข้ารับการอบรมจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมระยะเวลาอย่างน้อยร้อยละ ๘๐ ของระยะเวลาการ อบรมตลอดหลักสตู ร ๖.๒ ผู้เขา้ รับการอบรมมีความรูแ้ ละทกั ษะผ่านเกณฑท์ ่กี �ำหนดไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ ๘๐ ตารางอบรม อสม. นักจดั การสขุ ภาพชุมชนตามกลมุ่ วยั ในพืน้ ท่ีต�ำบลจดั การสขุ ภาพแบบบรู ณาการ ครง้ั ที่ ๑ (๒ วนั ) วันที่ ภาคเช้า ภาคบา่ ย ๑ PRE หลักการ แนวคดิ แนวทางการ สขุ ภาพชมุ ชน ๔ กลุ่มวัย อสม. กบั การเปน็ ต้นแบบสุขภาพชมุ ชน TEST ขบั เคล่อื นตำ�บลจดั การสุขภาพ และแนวทางการพัฒนา และแนวทางการปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรม แบบบรู ณาการ สุขภาพชมุ ชน บทท่ี ๗ ๒ การบริหารจัดการ ๔ กลุ่มวัยและปัญหาสาธารณสุขของชุมชน การเขยี น นำ�เสนอแผนงาน/ POST แบบบูรณาการ แผนงาน/ โครงการ สรปุ มอบ TEST โครงการ หมายภารกิจ ครง้ั ที่ ๒ (๑ วัน) (Booster) วนั ที่ ภาคเชา้ ภาคบ่าย ๑ PRE หลักการประเมนิ ประชมุ กลมุ่ เตรยี มน�ำเสนอ น�ำเสนอความก้าวหน้า สรุปบทเรยี น POST TEST แผนงาน/ ความก้าวหน้าการพัฒนา การพัฒนาตามกลมุ่ วยั อภปิ ราย TEST โครงการ ตามกลมุ่ วัย ภารกิจตอ่ ไป หมายเหตุ : การอบรม อสม.นักจัดการสขุ ภาพตามกลุ่มวยั ในพนื้ ทีต่ �ำบลจดั การสขุ ภาพ แบง่ ออกเปน็ ๒ ครั้ง คู่มือวทิ ยากรพเ่ี ลยี้ งขบั เคลอ่ื นต�ำ บลจดั การสขุ ภาพแบบบรู ณาการ 49

บท ่ีท ๗ ครัง้ ที่ ๑ ใชเ้ วลา ๒ วัน ม่งุ เนน้ ให้เหน็ ภาพรวมข้ันตอนการพัฒนาพฤตกิ รรมของตนเอง และเพ่มิ ทักษะ การวเิ คราะห์ และเขียนโครงการ คร้งั ท่ี ๒ ใช้เวลา ๑ วัน (Booster) ม่งุ เนน้ การเรียนรู้หลักการประเมินแผนงาน/โครงการ น�ำเสนอความ กา้ วหนา้ ในการพัฒนา สรุปบทเรียนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพือ่ กลบั ไปพฒั นาตอ่ ไป โดยจัดกระบวนการเรียนรู้หลังจากการอบรมระยะแรก (๒ วัน) และกลับไปปฏิบัติงานในพื้นที่ ๒ - ๓ เดือนหรือตามระยะเวลาท่ีเหมาะสม แบบทดสอบความรู้ ก่อน - หลงั การฝกึ อบรมหลกั สูตร อสม. นักจัดการสขุ ภาพชมุ ชนตามกลุ่มวัย ในต�ำบลจดั การสุขภาพแบบบรู ณาการ โปรดเลอื กค�ำตอบทถ่ี กู ต้องทีส่ ุดเพยี งข้อเดียว ๑.  ต�ำบลจดั การสุขภาพแบบบูรณาการ หมายถงึ ก. ชมุ ชน ทอ้ งถิน่ และภาคสว่ นอื่นๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ร่วมกันวิเคราะหป์ ัญหาสุขภาพ ข. ชมุ ชน ท้องถิ่น และภาคส่วนอนื่ ๆ ทเี่ กีย่ วขอ้ ง รว่ มกนั วางแผนแก้ไขปญั หาสขุ ภาพ ค. ชมุ ชน ทอ้ งถ่นิ และภาคส่วนอื่นๆ ที่เก่ียวข้อง ร่วมกันด�ำเนนิ การแกไ้ ขปญั หาสุขภาพ ง. ถูกทกุ ขอ้ ๒.  ปญั หาวัยรนุ่ ในชุมชน ควรใหค้ วามสนใจและเนน้ หนักประเดน็ พฒั นาเร่ืองอะไร ก. การขบั รถเร็ว เกนิ อตั ราก�ำหนด ข. การด่ืมสรุ า การจดั ฟนั แฟช่ัน ค. การเจาะหู การจัดฟนั แฟชัน่ ง. การดมื่ สุรา สูบบหุ รี่ และการเสพยาเสพตดิ ๓.  บทบาทของ อสม.ในการเฝา้ ระวังและป้องกันอุบตั ิเหตุในชุมชน ก. อบุ ัติเหตุ เป็นเร่ืองของต�ำรวจ อสม. ไมค่ วรเขา้ ไปยุง่ ข. อสม. ควรส่งเสริมให้ชุมชนและภาคส่วนต่างๆ ร่วมประชุมหามาตรการเฝ้าระวังและป้องกันโรค อย่างยั่งยนื ค. เปน็ เรอ่ื งของพฤติกรรมของคนไทย ไมส่ ามารถแกไ้ ขปัญหาได้ ง. คนไทยเป็นคนชอบสนกุ ชอบดืม่ ในเทศกาล อสม. ถึงแม้จะใหค้ วามรู้ ชกั ชวนก็ท�ำส�ำเร็จยาก ๔.  การเฝา้ ระวงั และปอ้ งกันอุบตั เิ หตุในชมุ ชนให้ได้ผลอย่างย่งั ยนื ก. ชมุ ชนควรมกี ารเชื่อมโยงกับหน่วยงานหรอื องคก์ รภายนอกชมุ ชนทีเ่ ก่ยี วข้อง เพอ่ื รว่ มกนั แกไ้ ขปัญหา ข. ชุมชนต้องมีระบบการส�ำรวจความปลอดภัยในส่ิงแวดล้อมและพฤติกรรมเส่ียงในชุมชน และน�ำมา วเิ คราะห์ เพอ่ื ทจ่ี ะด�ำเนนิ การวางแผนแก้ไขอยา่ งมสี ่วนรว่ มของหลายฝา่ ยต่อไป ค. ชมุ ชนควรมีดา่ นตรวจในชว่ งเทศกาลเพื่อค้นหาผ้ทู ่มี ึนเมา ง. ถกู ทกุ ข้อ ๕.  บทบาทของ อสม.ในการแกป้ ัญหาเด็กเลก็ ท่ีมีพัฒนาการไมส่ มวัย ก. ชง่ั นำ้� หนักเดก็ เลก็ ทกุ คนในชุมชน เพอ่ื คน้ หาเดก็ เล็กทม่ี ีพัฒนาการไม่สมวัย ข. อ่านบันทกึ สมุดแม่และเด็กเลม่ ชมพูของผู้ปกครอง ค. เร่งการค้นหาและคัดกรอง เมื่อสงสัยเด็กเล็กท่ีมีพัฒนาการไม่สมวัย รีบแจ้งเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข เร็วที่สดุ ง. นัดผู้ปกครองเดก็ ตามทีเ่ จ้าหน้าที่มอบหมาย 50 คมู่ อื วิทยากรพ่ีเลย้ี งขบั เคลอื่ นตำ�บลจัดการสุขภาพแบบบูรณาการ

๖.  การวางเปา้ หมายในโครงการหรือกจิ กรรมของชุมชน มหี ลักการส�ำคญั อย่างไร บทท่ี ๗ ก. ควรวางเปา้ หมายในกิจกรรม/โครงการ ให้สามารถวดั ความส�ำเรจ็ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ข. ควรวางเป้าหมายไว้เปน็ ๕ ปีอยา่ งนอ้ ย ค. ควรวางเปา้ หมายไวเ้ ป็น ๑ ปอี ยา่ งน้อย ง. ระยะเวลาของเปา้ หมายข้ึนกบั กจิ กรรมทท่ี �ำไมส่ ามารถระบไุ ด้ ๗.  อาหารชนดิ ใดท่ีเส่ียงตอ่ การท�ำให้เกดิ โรคความดนั โลหิตสูง เบาหวาน และโรคหวั ใจ มากทสี่ ุด ก. อาหารท่มี รี สเปร้ยี ว เผ็ด ขมจดั ข. อาหารทใี่ ชป้ ง้ิ ยา่ ง เผา ทอดน�้ำมันซ้�ำ ค. อาหารท่ีมีรสหวาน มัน เค็ม ง. อาหารอบแหง้ หมกั ดอง ๘.  การกนิ ผกั หลายๆ ชนิด ทมี่ สี สี นั แตกต่างกนั ในปรมิ าณที่มากพอ จะช่วยปอ้ งกันไมใ่ หป้ ว่ ยเปน็ โรคใดไดม้ ากที่สดุ ก. ความดนั โลหิตสงู ข. มะเรง็ ค. เบาหวาน ง. ไขมันในเลอื ดสงู ๙.  การออกก�ำลงั กายอยา่ งไรถึงจะลดความเส่ียงต่อการเกดิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดนั โลหติ สงู ได้ ก. ออกก�ำลังกายอยา่ งหนัก แลว้ พักด่มื น้ำ� ให้มาก อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๓ วนั ข. ออกก�ำลังกายอยา่ งหนักทกุ วันตอ่ เนื่อง อย่างน้อยวันละ ๖๐ นาที ค. ออกก�ำลงั ดว้ ยการท�ำงานบา้ นทุกวนั อย่างนอ้ ยวันละ ๓๐ นาที ง. ออกก�ำลังกายจนเหน่อื ย อยา่ งนอ้ ยสปั ดาห์ละ ๕ วนั วันละ ๓๐ นาที ๑๐.  บคุ คลในข้อใด ทม่ี กี ารจดั การกบั อารมณ์ตนเองไดด้ ี ก. วรี ะคดิ หาทางแก้ปัญหากับทุกเรอื่ งไดส้ �ำเร็จ ข. ชัยยศหมน่ั ระวงั ตวั ไมใ่ หม้ ภี ัย ศัตรหู รืออบุ ัตเิ หตุ ค. นงนชุ ตง้ั ใจท�ำงานอย่างมีสติดว้ ยใจทีเ่ ปน็ สุข ง. น้อยหน่าเขา้ วดั ฟังธรรม แมจ้ ะไมอ่ ยากเข้ากต็ าม เฉลยขอ้ ทีถ่ กู ตอ้ งมากทส่ี ุด ข้อ ๑ ง. ขอ้ ๒ ง. ข้อ ๓ ข. ขอ้ ๔ ง. ขอ้ ๕ ค. ขอ้ ๖ ก. ข้อ ๗ ค. ข้อ ๘ ข. ขอ้ ๙ ง. ข้อ ๑๐ ค. คูม่ ือวทิ ยากรพ่ีเล้ยี งขบั เคลอื่ นต�ำ บลจดั การสุขภาพแบบบูรณาการ 51

แบบสังเกตพฤติกรรมแบบมีส่วนร่วม หวั ขอ้ วชิ า…………………………………………………………………………………………………………………… กล่มุ /บุคคล…………………………………………………………………………………………………………………. ค�ำชแี้ จง: กรณุ าท�ำเครอ่ื งหมาย / ในช่องที่ตรงกบั ความเป็นจริง พฤติกรรมท่ีสังเกต คะแนน ๑ ๓๒ ๑. มสี ่วนรว่ มในการแสดงความคิดเหน็ ๒. มีความกระตือรือรน้ ในการท�ำงาน ๓. รบั ผดิ ชอบในงานที่ไดร้ บั มอบหมาย ๔. มขี ั้นตอนในการท�ำงานอยา่ งเปน็ ระบบ ๕. ใช้เวลาในการท�ำงานอย่างเหมาะสม รวม เกณฑ์การให้คะแนน พฤตกิ รรมท่ที �ำเปน็ ประจ�ำ ให้ ๓ คะแนน พฤติกรรมทีท่ �ำเปน็ บางคร้ัง ให้ ๒ คะแนน พฤตกิ รรมที่ท�ำนอ้ ยครั้ง ให ้ ๑ คะแนน เกณฑ์คณุ ภาพ บท ่ีท ๗ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ ๑๑ - ๑๕ ดี ๖ - ๑๐ ๑-๕ พอใช้ ปรับปรุง ลงชื่อผู้สังเกต…………………………………………………………. ..…………../….………../………….. 52 คู่มือวทิ ยากรพ่เี ลยี้ งขบั เคล่อื นตำ�บลจดั การสุขภาพแบบบรู ณาการ

ใบงานท่ี ๑ ก�ำหนดแนวทางการพฒั นาเป็น อสม. ต้นแบบพฤตกิ รรมสขุ ภาพและขยายผลสูช่ มุ ชน ต�ำบล ……………………….อ�ำเภอ………………………………จงั หวดั ………………………………… วตั ถปุ ระสงค์ : เพื่อให้ อสม.ท่ีเขา้ รว่ มอบรม มกี ารแลกเปลี่ยนประสบการณแ์ ละระดมความคดิ เหน็ ในการก�ำหนด แนวทาง/วธิ กี ารปฏิบตั ิตนเองด้านสุขภาพ เพอ่ื เป็นต้นแบบพฤตกิ รรมสุขภาพของชมุ ชน โดยการน�ำ ประสบการณ์และใช้ผลจากการประเมนิ ตนเองมาประกอบในการประชมุ กลุ่ม การแบง่ กลมุ่ : แบ่งตามต�ำบล หรอื ตามความเหมาะสม ระยะเวลา : ใชเ้ วลา ๒๕ นาที หรอื ตามความเหมาะสม ประเดน็ : ๑.  น�ำสรปุ ผลการประเมินมาแลกเปลีย่ นกนั ในกลุ่ม ๒.  วิธีการปฏิบตั ติ นดา้ นสุขภาพของ อสม. เพือ่ ให้เปน็ อสม.ตน้ แบบพฤตกิ รรมสุขภาพของชุมชน ๓.  วธิ กี ารขยายผลตน้ แบบสู่ อสม.คนอ่ืน และสู่ชมุ ชน ประเด็น วิธีการ ๑. วธิ กี ารปฏบิ ัติตนของ อสม. เพ่อื เปน็ ตน้ แบบ ๒. วิธกี ารขยายผลต้นแบบ สู่ อสม. คนอืน่ และส่ชู มุ ชน น�ำเสนอผลการประชมุ : กลมุ่ ละ ๕ นาท/ี วทิ ยากรสรปุ ผลของการประชมุ ในภาพรวม ผลทีไ่ ดจ้ ากการประชมุ : ไดแ้ นวทาง/วิธกี ารปฏิบัติตนของ อสม.เพอ่ื เป็นต้นแบบ และแนวทาง/วิธกี ารขยายผล ต้นแบบสู่ อสม.คนอืน่ และสูช่ มุ ชน ที่ อสม.ทุกคนน�ำไปใชใ้ นชุมชนได้ บทท่ี ๗ ค่มู อื วทิ ยากรพ่ีเลย้ี งขับเคลอื่ นตำ�บลจัดการสขุ ภาพแบบบรู ณาการ 53

บท ่ีท ๗ ใบงานท่ี ๒ วตั ถุประสงค์ : เพ่ือให้ผู้เข้ารับการอบรมได้พัฒนาสมรรถนะทางด้านการใช้เครื่องมือแผนท่ีทางความคิด เพ่ือการ วิเคราะห์ปัญหาสุขภาพชุมชนแบบมีส่วนร่วม และการวางมาตรการ แนวทางแก้ไขปัญหา และ แนวทางการประสานความรว่ มมือกับท้องถิน่ และภาคส่วนอ่ืนๆ การแบ่งกลมุ่ : แบ่งกล่มุ รายจงั หวดั /อ�ำเภอ หรอื ตามความเหมาะสม ระยะเวลา ๔๕ นาที หรือตามความเหมาะสม กจิ กรรม/ประเดน็ การเรยี นรู้ ๑. ใหแ้ ต่ละกลมุ่ ก�ำหนดผทู้ �ำหนา้ ทเี่ ปน็ ผ้นู �ำในกระบวนการเรยี นรู้ ดังนี้ ๑) ผูจ้ ดบันทกึ การประชุม ๒) ผูเ้ ขยี นฟลปิ ชาร์ต (โดยใช้เคร่ืองมือแผนทค่ี วามคดิ ) ในขณะท่ีผู้เข้าอบรมในกลุ่ม ได้แสดงบทบาทสมมติเป็นภาคส่วนต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับการพัฒนา อาทิ เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข พัฒนาชุมชน อบต. เจ้าหน้าท่ีศูนย์เด็กเล็ก อสม.ผู้น�ำชุมชน แกนน�ำกลุ่มสตรี กลุ่มผู้สูงอายุ กล่มุ เยาวชน เป็นต้น ๒. ผู้น�ำการเรียนรสู้ รา้ งบรรยากาศทีเ่ ปน็ กนั เอง และใหท้ ีป่ ระชุมสรา้ งกติกาการเรียนรู้ภายในกล่มุ ๓. ผู้น�ำการเรยี นรู้ ๓.๑ วเิ คราะหป์ ญั หาสขุ ภาพชุมชนตามกลุม่ วยั ๓.๒ วางมาตรการ แนวทางแก้ไขปัญหา ๓.๓ ก�ำหนดแนวทางการประสานความร่วมมือกับท้องถ่นิ และภาคส่วนอน่ื ๆ ๔. ผู้น�ำการเรียนรู้สรปุ และน�ำเสนอแผนท่คี วามคดิ ของกล่มุ ตามประเด็นขอ้ ๓ ใบงานที่ ๓ วตั ถุประสงค์ : เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้พัฒนาสมรรถนะทางด้านการเขียนแผนงานโครงการแก้ปัญหาสุขภาพ ตามกลมุ่ วยั การแบง่ กลมุ่ : แบง่ กล่มุ รายจงั หวัด/อ�ำเภอ หรอื ตามความเหมาะสม ระยะเวลา ๔๕ นาที หรือตามความเหมาะสม กจิ กรรม/ประเด็นการเรียนรู้ ๑. ใหแ้ ต่ละกลุม่ ก�ำหนดผทู้ �ำหน้าท่เี ป็นผนู้ �ำในกระบวนการเรยี นรู้ ดังน้ี ๑) ผู้จดบนั ทึกการประชมุ ๒) ผเู้ ขยี นฟลปิ ชาร์ต (ตามแบบฟอรม์ การเขียนแผนงานโครงการ) ๒. ผู้น�ำการเรียนรู้สร้างบรรยากาศท่ีเป็นกันเอง และให้ท่ีประชุมสร้างกติกาการเรียนรู้ภายในกลุ่มและ คัดเลือกประเด็นปญั หาสุขภาพ ตามกลุ่มวัย (ตามท่ีวิเคราะหใ์ บงานท่ี ๒) อย่างน้อย ๑ ประเดน็ ปัญหาในกลุม่ วยั ใด กลุ่มวัยหน่ึง มาเพื่อเขยี นแผนงานโครงการพฒั นาสุขภาพชุมชน และก�ำหนดเครอื่ งมอื วธิ กี ารประเมินผลความส�ำเร็จ ตามแผนงาน/โครงการ ๓. ผู้น�ำการเรยี นรู้ น�ำกล่มุ ระดมสมองเขียนแผนงานโครงการตามประเด็นในแบบฟอร์มแผนงานโครงการ ๔. ผ้นู �ำการเรยี นรู้ สรปุ และน�ำเสนอแผนงานโครงการกลมุ่ 54 คมู่ ือวทิ ยากรพ่ีเลีย้ งขับเคล่อื นต�ำ บลจัดการสุขภาพแบบบรู ณาการ

ภาคผนวก ภาคผนวก แนวคดิ /องค์ความรู้ท่ีจ�ำเป็น ……………………………………. ๑. การจดั การสุขภาพชุมชนอยา่ งยงั่ ยืน การจัดการเพ่ือสร้างสุขภาพชุมชนเปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ที่ชื่อ “ต้นสุข” เพราะน่ันคือหนทางที่จะ ท�ำให้ชุมชนเปน็ สขุ เข้มแข็ง แข็งแรงอย่างยัง่ ยืน (สายสริ ิ ด่านวฒั นะ, ๒๕๕๖) การจัดการ หมายถึง กระบวนการที่ผู้จัดการใช้ศิลปะและกลยุทธ์ต่างๆ ด�ำเนินกิจการตามข้ันตอนต่างๆ โดยอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของสมาชิกองค์กร การตระหนักถึงความสามารถ ความถนัด ความต้องการ และความมุ่งหวังด้านความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติงานของสมาชิกองค์กรควบคู่ไปด้วย องค์กรจึงจะสัมฤทธิผล ตามเปา้ หมายที่ไดก้ �ำหนดไว้ (พะยอม วงศ์สารศรี, ๒๕๔๒) การจดั การจึงมีหนา้ ท่ี (Management Function) ท่สี �ำคญั ๕ ประการ คอื การวางแผน การจัดองค์การ การจัดบคุ คลเขา้ ท�ำงาน การส่ังการ และการควบคุม (ธงชัย สนั ติวงษ,์ ๒๕๓๙) สังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในทุกมิติ โดยเฉพาะมิติทางสังคมและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากกระแสโลกาภิวัตน์ท่ีเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง การเพ่ิมของประชากร การขยายตัวของเมือง และ การพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นความเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา นอกจากจะท�ำให้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมถูกท�ำลายจนเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็วแล้ว ยังท้ิงภาระในการแก้ปัญหาอันเนื่องมาจากการเสีย สมดุลของระบบโดยรวมของสิ่งต่างๆ ปัจจุบันจึงได้มีแนวคิดที่น�ำเอาเร่ืองของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อมมาผสมผสานเข้ากบั การพัฒนาประเทศทุกมติ ิภายใตร้ ูปแบบการพัฒนาทเี่ รียกวา่ “การพัฒนาอย่างยัง่ ยนื ” (Sustainable Development) ท่ีเน้นในเร่ืองการใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์ อย่างยาวนาน สามารถตอบสนองต่อความต้องการของคนยคุ ปจั จบุ นั โดยไม่มีผลกระทบเชงิ ลบต่อคนรุน่ อนาคต มิติของการพัฒนาอย่างยงั่ ยืน การพัฒนาอยา่ งยง่ั ยืนประกอบดว้ ยมติ ขิ องการพัฒนาในด้านตา่ งๆ ทเี่ กีย่ วขอ้ งอยา่ งน้อย ๔ มติ ิ ได้แก่ ๑. มิติทางเศรษฐกิจ การท�ำให้เกิดดุลยภายในของการพัฒนาคือเศรษฐกิจท่ีมีรากฐานม่ันคง มีขีดความ สามารถในการแข่งขันและสามารถพ่ึงตนเองได้ โดยมีเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ ๙ เป็นแนวคดิ หลกั ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในการท�ำให้คนมคี ุณภาพชวี ติ ที่ดขี นึ้ ประชาชน มีความมน่ั คงปลอดภัย และสามารถพึ่งพาตนเองได้ในท่ีสดุ ๒. มติ ิทางสังคม วฒั นธรรม และภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ ซงึ่ เป็นระเบยี บวิถชี ีวิตของสงั คม ท่ีท�ำใหม้ นุษยป์ รับตัว และด�ำรงชีวิตอยู่กับสิ่งแวดล้อมของท้องถ่ินได้ โดยไม่ท�ำลายส่ิงแวดล้อม และให้รวมถึงศาสนธรรม ซ่ึงเป็นระเบียบ จิตใจของคนในสังคมท่ีท�ำให้สังคมอยู่ได้โดยสงบสุข สิ่งเหล่าน้ีล้วนถือเป็นการสร้างเง่ือนไขสังคมใหม่ ให้สังคมมีการ เปล่ยี นแปลงไปสูก่ ารพฒั นาทีพ่ งึ ปรารถนา ก่อให้เกดิ ความเอือ้ อาทร ความรกั ความสามัคคี สมานฉันทต์ อ่ กนั ชมุ ชน สงั คมมคี วามเข้มแข็ง ๓. มิติทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ทุกส่ิงทุกอย่างท่ีอยู่รอบตัวมนุษย์ท้ังท่ีเป็น สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เกี่ยวโยงสัมพันธ์กันเป็นระบบนิเวศที่สามารถให้คุณและโทษต่อมนุษย์ได้ ท้ังท่ีขึ้นกับ ความสมดุลหรือไม่สมดุลของระบบนิเวศ โดยจะต้องมีการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม พัฒนา เทคโนโลยีและพลงั งานท่สี ะอาด ปลอดภัย ปลอดมลภาวะ เพ่อื การมีสภาพแวดลอ้ มที่ดี คู่มอื วิทยากรพ่เี ล้ียงขบั เคล่ือนตำ�บลจัดการสขุ ภาพแบบบูรณาการ 55

ภาคผนวก ๔. มิตทิ างการเมืองการปกครอง ปฏริ ูปการเมอื งการปกครอง การบรหิ าร ใหม้ ีการกระจายอ�ำนาจ ภารกิจ หน้าท่ใี ห้แกท่ อ้ งถนิ่ โดยแทจ้ ริง ให้สามารถตดั สินใจแกไ้ ขปญั หา และพฒั นาท้องถิ่นเพมิ่ มากขึ้น และพ่ึงพาตนเองได้ อย่างแทจ้ รงิ การจัดการสุขภาพชมุ ชนอย่างย่ังยนื การจัดการสุขภาพชุมชนอย่างยั่งยืน (Sustainable Community Health Management) จึงเป็น เร่ืองของการจัดการท้ังหมดที่เก่ียวกับการดูแลสุขภาพของบุคคลในชุมชน และถือว่าเป็นรากฐานท่ีส�ำคัญของ สังคม ไม่เพียงแต่จ�ำกัดอยู่ในส่วนของการท�ำนุบ�ำรุงสุขภาพ การป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ การวินิจฉัยโรค และการรักษาพยาบาลเท่านั้น แต่การจัดการสุขภาพชุมชนอย่างยั่งยืน เป็นการพัฒนาที่มุ่งให้เกิดการพ่ึงตนเอง ด้านสุขภาพของชุมชน ท่ีมีการด�ำเนินการควบคู่ไปกับการปรับปรุงวิถีการด�ำเนินชีวิตของผู้คนในชุมชน ให้เอ้ือต่อ การมีสุขภาพดี มีความเข้มแข็ง สามารถดูแลสุขภาพของตนเองตามวิธีการท่ีก�ำหนดข้ึนเองของชุมชน ด�ำเนินการ เองได้โดยชุมชน และประเมินผลโดยชุมชน ในขณะที่บุคคล องค์กร หรือนักพัฒนาจากภายนอก มีหน้าท่ีเพียง ใหก้ ารสง่ เสริมและสนับสนนุ กลไกตา่ งๆ ทเี่ ออื้ ตอ่ การท�ำงานหรอื พฒั นาสขุ ภาพใหม้ ีความเชื่อมโยงกบั การปฏบิ ตั ิการ และการประสานงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเหมาะสมและย่ังยืนในการจัดการสุขภาพชุมชน เราไม่สามารถ ท่ีจะยึดแนวคิดหรือทฤษฎีใดเพียงอย่างเดียว มาใช้ให้ประสบผลส�ำเร็จได้ ชุมชนย่ิงมีลักษณะแตกต่างกัน เพียงใด วิธีการหรือกระบวนการการพัฒนาท่ีน�ำมาใช้ก็จะยิ่งมีความแตกต่างกัน เราไม่สามารถท่ีจะลอกเลียน รูปแบบการจัดการท่ีประสบผลส�ำเร็จในชุมชนใดชุมชนหน่ึง ไปใช้กับอีกชุมชนหน่ึงให้ประสบผลส�ำเร็จโดยไม่มี การปรับรูปแบบและวิธีการให้เหมาะสมกับบริบทของชุมชนใหม่ และการที่จะบอกว่ารูปแบบการจัดการแบบใด มีความเหมาะสมกับการพัฒนาชุมชนมากที่สุด ก็คงไม่ใช่ค�ำตอบท่ีนักจัดการสุขภาพชุมชนควรเป็นผู้ตอบ แต่ผู้ที่จะ ให้ค�ำตอบของค�ำถามน้ีได้ดที สี่ ดุ ก็คือชุมชน ซึง่ เปน็ ทัง้ เปา้ หมายและวถิ แี หง่ การจัดการ หัวใจส�ำคัญของการจัดการอย่างย่ังยืนอยู่ที่ความเหมาะสมลงตัวของวิธีการจัดการกับบริบทของ พื้นท่ี การด�ำเนินงานต้องด�ำเนินการไปด้วยกันในทุกส่วน ไม่สามารถที่จะแยกส่วนได้ ดังท่ีเคยปรากฏให้เห็น เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ในอดีตแล้วว่า การพัฒนาที่แยกส่วน นอกจากไม่ได้ท�ำให้เกิดผลการพัฒนาท่ียั่งยืนแล้ว ยังได้สร้างปัญหาทับซ้อนข้ึนมาในสังคมนานัปการ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเพิ่มตัวเลข GDP ให้สูงๆ และยดึ ตวั เลขนเี้ ป็นตัววัดระดบั ของการพฒั นา ละเลยการพัฒนาในด้านอ่นื ๆ ควบคู่กันไปดว้ ย เช่น สงั คมการศกึ ษา ส่ิงแวดล้อม คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเร่ืองสุขภาพอนามัย ได้สร้างปัญหาและความเหลื่อมล้�ำข้ึนในสังคมไทย หลายประการ เช่น การเคลื่อนย้ายแรงงานจากชนบทเข้าสู่เมือง ปัญหายาเสพติด อาชญากรรมความรุนแรง และความแตกแยกทางสังคม ปัญหาการศึกษาท่ีมุ่งพัฒนาสติปัญญาที่เป็นเปลือกนอก แต่ละเลยในเรื่องจิตใจ และศีลธรรม การแก้ปัญหาข้างต้นให้บังเกิดผลจึงไม่สามารถที่จะแยกส่วนกันท�ำให้เสร็จเป็นเร่ืองๆ ไปได้ แต่เป็นเรื่องท่ีจะต้องลงมือปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ท�ำนองเดียวกันกับการพัฒนาสุขภาพชุมชน เราไม่สามารถ ท่ีจะด�ำเนินการพัฒนาในเรื่องสุขภาพแต่เพียงด้านเดียว โดยไม่ค�ำนึงถึงปัจจัยอ่ืนๆ ของสังคม/ชุมชน ได้เพียง ส่วนเดียว ในขณะที่ส่วนอ่ืนๆ ของสังคม/ชุมชนก�ำลังถูกปัญหาและสถานการณ์ความท้าทาย รุกคืบเข้าหาอยู่ทุก ช่ัวขณะ ทุกเรื่องของการแก้ปัญหาและพัฒนาสุขภาพในอนาคตจึงต้องเน้นที่ความเป็นระบบ ท่ีประกอบด้วย ความเช่ือมโยงกันขององค์ประกอบต่างๆ อย่างสมดุลและเป็นองค์รวม เพื่อไปสู่ความย่ังยืนของการพัฒนาในท่ีสุด ซึ่ง ประเวศ วะสี (๒๕๕๐) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของระบบสุขภาพชุมชนว่า ประกอบด้วยความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันของ ๑๐ องค์ประกอบ เมื่อองค์ประกอบท้ังหมดได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบสมบูรณ์ และมีการ บูรณาการอยู่ในกันและกัน ย่อมเอื้อให้เกิดสุขภาวะ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา แก่คนท้ังมวลที่มี ส่วนรว่ มกนั สร้างขึน้ มาอย่างย่ังยืนในท่สี ุด 56 คูม่ อื วิทยากรพ่ีเลย้ี งขบั เคลือ่ นต�ำ บลจัดการสขุ ภาพแบบบรู ณาการ

บทบาทของประชาชนในการจัดการสขุ ภาพ ภาคผนวก ศกั ยภาพในการจดั การสขุ ภาพของชุมชน มีรากฐานมาจากศักยภาพและความสามารถในการจัดการสขุ ภาพ ตนเองของบุคคลและครอบครวั ซึง่ มลั ลกิ า มตั ิโก (๒๕๕๓) ได้ให้แนวคิดทแ่ี สดงใหเ้ ห็นถึงบทบาทและความส�ำคญั ของประชาชนในการจัดการสขุ ภาพไว้ ดงั น้ี ๑. สุขภาพและการเจ็บป่วยเป็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนมาพร้อมๆ กับสังคม ดังนั้น การดูแลจัดการด้านการเจ็บป่วย จึงเป็นสทิ ธแิ ละหนา้ ทีข่ องประชาชน ครอบครวั และชุมชน ๒. สุขภาพและความเจ็บป่วยจัดอยู่ในขอบข่ายทางวัฒนธรรม บุคคลแต่ละคนย่อมมีวิธีในการแก้ไขปัญหา ท่แี ตกต่างกนั ออกไป แม้จะเป็นปญั หาโรคภยั ไขเ้ จ็บเดียวกัน ทั้งนี้แต่ละคนยอ่ มมีประสบการณ์ คา่ นิยม และแนวคิด ความเชือ่ ทางสขุ ภาพและความเจ็บป่วยแตกตา่ งกันไป ๓. ในชุมชนทุกชุมชนการแก้ไขปัญหาเร่ืองสุขภาพและความเจ็บป่วยถูกก�ำหนดแล้ว โดยกฎเกณฑ์ทาง สังคม สังคมเป็นผู้ระบุและตัดสินใจว่าใครป่วย ป่วยเป็นอะไร และรักษาอย่างไร ดังนั้นการเยียวยาจึงเป็นเร่ืองของ ประชาชนในชมุ ชน ๔. บริการทางการแพทยย์ ังไปไมท่ ว่ั ถึง มรี าคาแพง และไม่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประชาชน จึงมีความจ�ำเป็นท่สี งั คมต้องมีการดแู ลสุขภาพตนเอง เพื่อตอบสนองความต้องการขัน้ พนื้ ฐาน ๕. การดูแลสุขภาพเป็นกระบวนการตัดสินใจ ซึ่งรวมต้ังแต่การสังเกต การรับรู้อาการ การให้ความหมาย อาการ การตดั สนิ ใจเกีย่ วกบั ความรุนแรง การเลือกวธิ ีการรกั ษา และการประเมินผลของการรักษา ลักษณะของชุมชนจดั การตนเองด้านสขุ ภาพ ธีรพงษ์ แก้วหาวงษ์ (๒๕๔๓) ได้อธิบายลักษณะของชุมชนท่ีมีศักยภาพและขีดความสามารถในการจัดการ สุขภาพไวด้ งั นี้ ๑. ชุมชนสามารถจัดบรกิ ารสาธารณสุข ท่ีสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของประชาชนในชมุ ชนได้ดว้ ยตนเอง ๒. ชุมชนสามารถจัดองค์การและทรัพยากรบุคคลท่ีมีความสามารถและทักษะการจัดการ เพ่ือแก้ปัญหา สาธารณสุขในชุมชน จัดบรกิ ารสาธารณสุขชุมชน และส่งเสริมการมสี ่วนร่วมของบคุ คล ครอบครัว และกล่มุ องคก์ ร ตา่ งๆ ใหเ้ ข้ามามีสว่ นร่วมในการพัฒนาสุขภาพของคนในชุมชน ๓. ชุมชนมีการจัดกระบวนการ เพ่ือให้การศึกษาเร่ืองสุขภาพ การพัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะ ของบุคคล ครอบครวั กลุ่ม และแกนน�ำต่างๆ ในชมุ ชน ใหม้ ีค่านิยมทดี่ ใี นดา้ นสุขภาพ ๔. ชุมชนมีการส�ำรวจและประเมินสถานะทางสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน พัฒนาระบบ การส�ำรวจและน�ำข้อมูลด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตมาใช้ในการวางแผนและประเมินผล เผยแพร่ข้อมูลสุขภาพ เพื่อร่วมกันป้องกันแก้ไขและพัฒนาสุขภาพของคนในชุมชน ปรับปรุงวิถีการด�ำเนินชีวิตของบุคคลให้เอ้ือต่อการมี สุขภาพดี และปกป้องผลประโยชน์ดา้ นสุขภาพของคนในชมุ ชน ๕. ชุมชนมีการพัฒนาเพื่อสร้างหลักประกันส�ำหรับการเข้าถึงบริการสุขภาพของคน กลุ่มต่างๆ ในชุมชน โดยเฉพาะผูด้ ้อยโอกาส ผยู้ ากจน และกล่มุ เสีย่ งด้านสุขภาพตา่ งๆ คู่มอื วทิ ยากรพี่เลย้ี งขบั เคลอ่ื นต�ำ บลจดั การสขุ ภาพแบบบรู ณาการ 57

ภาคผนวก ระบบสขุ ภาพภาคประชาชน ๔.๐ ระบบสุขภาพของประเทศไทยยุค ๑.๐ ก่อน พ.ศ. ๒๕๒๐ มีลักษณะของความเจ็บป่วยเป็นโรคติดต่อ และการแก้ไขปัญหาสุขาภิบาล เช่น ส้วม น�้ำ จากนั้นเข้าสู่ยุค ๒.๐ เป็นยุคสาธารณสุขมูลฐาน ซ่ึงประเทศเราเป็น ผู้น�ำการบุกเบิก ยุค ๓.๐ เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของปัญหาสาธารณสุขเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และปัจจัยสังคม ก�ำหนดสุขภาพ มีงานที่เด่น คือ การสร้างเสริมสุขภาพ เกิดระบบประกันสุขภาพ ประชาชนในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ส่วนยุค ๔.๐ เป็นยุคสังคมผู้สูงอายุ นโยบายห่วงใยสุขภาพการพัฒนาอย่างยั่งยืน การบริการสุขภาพอยู่บน ฐานของการมีคุณค่า (value-based) ระบบสุขภาพภาคประชาชน ๔.๐ ต้องเสริมสร้างพลังการดูแลตนเอง การจัดการตนเองของชุมชน ประกอบดว้ ย ๕ องค์ประกอบ คือ ๑. ตอ้ งเป็นระบบสุขภาพของประชาชนโดยประชาชน เป็นลกั ษณะท่สี �ำคญั ไมใ่ ช่เพือ่ ประชาชน หน่วยงาน ระบบบริการ เป็นผู้ใหแ้ ลว้ ชุมชนเปน็ ผ้รู บั เหมอื นที่ผา่ นมา ๒. มีลกั ษณะ สร้าง น�ำ ซอ่ ม ๓. ตอ้ งมีความรอบรู้ด้านสขุ ภาพ ตอ้ งรู้เท่าทันขอ้ มลู ขา่ วสารในการตดั สนิ ใจและการใชเ้ ทคโนโลยี ๔. ต้องจดั การตนเองต้งั แตร่ ะดบั ปัจเจก ครอบครวั ชุมชน ๕. ต้องเชื่อมโยง สง่ ตอ่ จากระบบสุขภาพภาคประชาชนกบั ระบบปฐมภมู ิ ทุติยภมู ิ ตติยภมู ิ ระบบสขุ ภาพ ของชุมชนโดยชมุ ชน ชมุ ชนตอ้ งเข้มแขง็ มที ักษะในการจดั การ ถา้ หากชุมชนเขม้ แขง็ มกี ารคิดจดั การตนเอง มีกองทุน สุขภาพชุมชน ชุมชนอาจสามารถจัดการโรคง่ายๆ อาจมีทุนให้ลูกหลานของคนในชุมชนเข้าศึกษาพยาบาลแล้ว กลับมาท�ำงานในชุมชน มีการเชื่อมต่อกับการดูแลผู้ป่วยระยะยาว คณะกรรมการสุขภาพระดับอ�ำเภอ ทีมหมอ ครอบครวั กลไกภาคประชาชนในระบบสุขภาพของประชาชนโดยประชาชน ต้องใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมของคน ในชุมชนที่ใช้เทคนิค กระบวนการก�ำหนดนโยบายด้วยการมีส่วนร่วมบนฐานภูมิปัญญาอย่างรวดเร็ว หรือ participatory rapid policy process based on wisdom โดยมเี ครอ่ื งมอื ตวั อย่างคือ ธรรมนูญสขุ ภาพ ธรรมนูญ สุขภาพระดบั ต�ำบลเป็นการตอ่ ยอดจากกองทนุ สุขภาพระดบั ต�ำบลท่ี สปสช. สนับสนนุ มีเนอื้ หาเป็นเจตนารมณข์ อง คนในชมุ ชนทอี่ ยากเหน็ ระบบสุขภาพชุมชน ประกอบดว้ ย ๑. ภาพความฝนั ท่พี ึงประสงค์ของคนในชุมชนและรายละเอยี ดในองค์ประกอบต่างๆ ๒. หลักการส�ำคัญ และวิธีการที่จะท�ำให้ถึงภาพฝันท่ีพึงประสงค์ อะไรท่ีควรระวัง อะไรที่ต้องสนับสนุน และมีการตกลงรว่ มกัน ๓. ประกาศเป็นธรรมนูญสุขภาพซึ่งเป็นกติกา ไม่ใช่กฎหมาย เช่น โรงงาน จะมาต้ังในชุมชนต้องศึกษา ธรรมนูญสุขภาพชุมชนก่อน ปฏิบัติตามข้อบัญญัติหรือกฎหมายท้องถิ่น หรือแผนพัฒนายุทธศาสตร์ จัดท�ำเป็น ผงั การใชท้ ่ดี ิน ๔. แผนของระบบบริการสุขภาพพัฒนาคุณภาพชีวิต อาจท�ำร่วมกับ สปสช. ท�ำให้ฐานใหญ่ขึ้นกลับไปให้ ชมุ ชนจดั การตนเอง (นายแพทย์พลเดช ปิน่ ประทปี เลขาธกิ ารคณะกรรมการสขุ ภาพแห่งชาต)ิ ๒. การพัฒนาสมารท์ อสม. ๔.๐ การขับเคลื่อนงานต�ำบลจัดการสุขภาพแบบบูรณาการ เพื่อให้ประชาชนสุขภาพดีและสามารถพึ่งตนเองได้ อยา่ งยงั่ ยืน และสามารถเขา้ ถึงบรกิ ารสุขภาพได้อยา่ งเทา่ เทียม โดยการน�ำเทคโนโลยีดิจทิ ลั มาใช้ส�ำหรับการสือ่ สาร ข้อมูลข่าวสาร ความเคล่ือนไหวด้านสาธารณสุขและภัยสุขภาพ โดยการพัฒนา อสม.นักจัดการสุขภาพชุมชน ใหม้ ีทักษะในการใช้เทคโนโลยดี ิจทิ ลั (Digital Skill) ทท่ี ันสมยั อยา่ งถูกต้อง รวดเร็ว เป็นแกนน�ำด้านการดแู ลสขุ ภาวะ 58 ค่มู อื วิทยากรพเี่ ล้ยี งขับเคลือ่ นตำ�บลจัดการสขุ ภาพแบบบูรณาการ

ใหม้ คี วามรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) และมพี ฤตกิ รรมดา้ นสขุ ภาพท่ดี ี มคี วามเปน็ จติ อาสาและเป็นผ้นู �ำ ภาคผนวก การเปลี่ยนแปลงสุขภาพ ที่จะน�ำไปสู่การเสริมต่อยอดให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ผ่านระบบเทคโนโลยี ดิจิทัล และเป็นสมาร์ท อสม ๔.๐ ซ่ึงน�ำไปสู่ Smart Cityzen ๔.๐ ทั้ง ๔ ด้าน คือ เกิความม่ันคงทางสุขภาพ ลดการปว่ ย ลดโรค ลดคา่ ใชจ้ า่ ย ท�ำใหป้ ระเทศชาติและประชาชนมคี วามม่งั คั่ง ยงั่ ยืน ๓. การจัดการนวตั กรรมสุขภาพชุมชน (Community health Innovation Management) การจัดการนวัตกรรมสุขภาพชุมชน หมายถึง ชุมชนมีสวนรวมใหเกิดกระบวนการวางแผนการพัฒนา นวัตกรรม วางแผนกระบวนการผลิต และมีการเผยแพรนวัตกรรมใหประชาชนในชุมชนนําไปใชประโยชน ในการดูแลสขุ ภาพตนเอง โดยสงผลใหผ ูใชเ กดิ ความพงึ พอใจในประสิทธิผลของนวตั กรรมนัน้ ๆ ในชวงระยะเวลาเปลี่ยนผานประเทศไทยกาวสูยุคการกระจายอํานาจดานสุขภาพและอํานาจตัดสินใจ ในการใชทรัพยากร เพ่ือใหภาคสวนในระดับทองถิ่นและชุมชนปฏิบัติงานเพ่ือตอบสนองความต้องการของชุมชน และประชาชนอย่างแท้จริง และเพ่ิมขีดความสามารถการมีสว นรวมของทองถิ่นและชุมชน รวมท้ังเพ่ิมคุณภาพของ บริการ โดยเฉพาะบริการสาธารณสุข ซ่ึงเป็นด่านแรกที่จะต้องเสริมสร้างกลไกการเชื่อมต่อระหว่างนโยบายระดับ ประเทศและท้องถิน่ เพ่ือใหเ้ กดิ ภาคคี วามร่วมมือและความสมานฉนั ทใ์ นชมุ ชนและสังคมทุกระดบั โดยค�ำนงึ ถึงสทิ ธิ และประโยชนของประชาชนในแต่ละพ้นื ที่ ภาวการณเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลให้มีการพัฒนาระบบสาธารณสุขอย่างต่อเน่ือง ภายใต้การมี พระราชบัญญตั สิ ุขภาพแหง่ ชาตใิ หก้ ารสนบั สนนุ ท�ำใหเ้ กดิ องค์กรใหม่ๆ เข้ามามบี ทบาท โดยเฉพาะในระดบั ท้องถิ่น และชุมชน หนว่ ยงานสาธารณสุขซง่ึ เดมิ เคยผูกขาดงานดา้ นน้ี ก็ต้องปรับบทบาท ตลอดจนต�ำแหนง่ หนา้ ที่ของตนใน บรบิ ทใหม่ คอื ต้องแขง่ ขนั กบั ตวั เอง เพอื่ การพัฒนาและความอยรู่ อดจงึ เกดิ การสรา้ ง “นวัตกรรม” ซงึ่ เปน็ การน�ำเอา สิ่งใหม่ๆ หรือการปรับปรุงวิธีการหรือกระบวนการใหม่ๆ แล้วน�ำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาท�ำให้มีความแตกต่าง จากการท่ีเคยด�ำเนินการ จากน้ันชุมชนมีการน�ำนวัตกรรมนั้นมาปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ต่อการสร้างเสริมสุขภาพ และปอ้ งกันโรค โดยมีการใชแ้ ผนท่ที างเดนิ ยุทธศาสตร์ (Strategic Route Map) เปน็ เครอ่ื งมือในการพัฒนาจนเกิด ผลส�ำเร็จ และสามารถถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์การพัฒนาให้ชุมชนอ่ืนๆ ได้เรียนรู้และน�ำไปขยายผลต่อได้ ซงึ่ เรียกวา่ นวตั กรรมสุขภาพชมุ ชน (Community health Innovation) ซ่งึ การสรา้ งนวัตกรรมสุขภาพชุมชนน้นั ต้องร่วมมือกันหลายกลุ่มหลายองค์กร เช่น ชุมชนองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หนวยงานสาธารณสุข รวมท้ังภาคี เครอื ข่ายตา่ งๆ ในชมุ ชน ร่วมสนับสนุนและด�ำเนนิ งาน โดยมกี ารสร้างและใชแ้ ผนท่ีทางเดนิ ยทุ ธศาสตร์เป็นเครอ่ื งมอื มีการสร้างงานหรือโครงการชุมชนปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพจนเกิดผลงานหรือผลส�ำเร็จที่ชัดเจน มีการสร้าง หลกั สตู ร การเรียนร้แู ละแผนการถา่ ยทอดความรู้ สามารถถ่ายทอดความร้ใู ห้ชมุ ชนอนื่ ๆ เพ่อื ขยายผลตอ่ ไปได นวัตกรรมสุขภาพชุมชน (Community health Innovation) หมายถึง การทชี่ ุมชนมกี ารน�ำสงิ่ ที่มีอยู่ มาปรับปรุงให้เกิดประโยชนต่อการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยมีการใช้แผนท่ีทางเดินยุทธศาสตร์มาเป็น เคร่ืองมือในการพัฒนาจนเกิดผลส�ำเร็จ และสามารถถ่ายทอดความรูและประสบการณการพัฒนาให้ชุมชนอ่ืนๆ ไดเ รียนรูและน�ำไปขยายผลต่อได้ การสร้างนวัตกรรมจะเน้นท่ีการบริหารจัดการ และกระบวนการท่ีด�ำเนินการได้โดยท้องถ่ินและประชาชน เป็นส�ำคัญ ส่วนนวัตกรรมผลผลิตเป็นผลสืบเนื่องจากกระบวนการซึ่งน�ำมาสู่การให้ประโยชนกับเจาของนวัตกรรม และประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้น ความส�ำคัญของการสรรสร้างนวัตกรรมในระบบสุขภาพชุมชน จึงมิอาจ จะละเลยในเร่ืองของการส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดการสร้างนวัตกรรมเชิงการบริหารจัดการ (กระบวนการ) นวัตกรรมรูปแบบบริการ และนวัตกรรมเชิงผลผลิต ซ่ึงเป็นประเภทของนวัตกรรมที่สามารถส่งผลเช่ือมโยงต่อกัน คมู่ ือวทิ ยากรพ่ีเลย้ี งขับเคลือ่ นตำ�บลจดั การสุขภาพแบบบรู ณาการ 59

ภาคผนวก และก่อเกิดคุณประโยชน์ให้กับภาคส่วนบริการ สุขภาพท้องถ่ิน และชุมชนแหล่ก�ำเนิดนวัตกรรม ประมวลได้ใน ๘ แหล่ง หรือ ๘ ช่องทาง อันเป็นที่มาของนวัตกรรม ได้แก่ การเปล่ียนแปลงระบบ การเปลี่ยนแปลงองคกร การเปลีย่ นแปลงทศั นะ การเปล่ียนแปลงประชากร การเปลย่ี นแปลงองคความรู จากความไมเขา กนั จากคอขวดใน งาน และจากเหตไุ มค าดคดิ การเปล่ียนแปลงดังกลาวนี้ คือโอกาสสําคัญ ผูมีความคิดกาวหนาในการเพียรพยายามสรางสรรคสิ่งใหมๆ ที่จะกาวขามไปสูการพลิกโฉมหนาแวดวงการสาธารณสุข บทบาทของสังคมและชุมชนในการพัฒนาสุขภาพ ที่จักตองเดินเคียงคูกันและสัมพันธกัน เง่ือนไขสําคัญของการสรางสรรคนวัตกรรมการบริหารจัดการสุขภาพ ชุมชน คือการมีเคร่ืองมือประเมินเพื่อศึกษาและพัฒนากระบวนการรูปแบบบริการและผลผลิต มีการสนับสนุน ใหนักประดิษฐ (นวัตกร) และเพื่อนรวมงานติดตามตรวจสอบและคนพบบทเรียนตนเอง กาวนําไปสูการพัฒนา แตงเติมนวตั กรรมในมิติใหมๆ อยตู ลอดเวลา และจดั การดแู ลใหด ํารงอยูอยางมั่นคงตามบริบทพืน้ ที่ ประเภทของนวตั กรรม มี ๓ ประเภท คอื ๑. นวัตกรรมเชิงกระบวนการ (Process Innovation) หมายถึง การคิดริเริ่มหรือปรับปรุงข้ันตอน เพ่ือการพัฒนาระบบสุขภาพระหวางระบบสุขภาพชุมชนใหเช่ือมโยงกับระบบบริการสุขภาพของสถานบริการ สาธารณสขุ ดานแรกใหเกดิ ประสทิ ธภิ าพ ๒. นวัตกรรมเชิงรปู แบบบริการ (Service Model Innovation) หมายถึง ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นการ สร้างจดุ เช่อื ม ระหวา งระบบบรกิ ารสาธารณสขุ ดานแรกกบั ระบบสาธารณสขุ ชุมชน เพือ่ แสดงสญั ลักษณห รอื สัญญา ขอ ตกลงทางสงั คมท่สี ามารถสอื่ ใหเหน็ วา การพฒั นาสุขภาพเปน หนาทคี่ วามรบั ผิดชอบของทุกคน และสงผลใหเ กิด ผลผลติ ในงานบรกิ ารสขุ ภาพท่ผี ูใ หบ ริการและผูรบั บรกิ ารมคี วามพงึ พอใจรวมกนั ๓. นวัตกรรมเชงิ ผลผลติ (Product Innovation) การน�ำแนวคิดทสี่ ร้างสรรคไ์ ปประดิษฐ์หรือสรา้ งเปน็ สงิ่ ใหม่ใหเ้ กดิ ข้ึน และน�ำไปปฏิบัติแทนที่ส่ิงเก่า ประชาชนในพน้ื ทีเ่ ป้าหมายยอมรบั และพึงพอใจ น�ำไปใช้ได้ผลดแี ละ ทันสมัยกับภาวการณ์เปล่ียนแปลงของสังคมและชุมชน ก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดูแลสุขภาพ ท่ีสามารถพึ่งตนเองไดของชุมชน ภาพท่ี ๘ กระบวนการสร้างนวัตกรรมสงั คมเพอื่ ปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรม 60 คู่มอื วิทยากรพเี่ ลย้ี งขบั เคลื่อนตำ�บลจัดการสขุ ภาพแบบบูรณาการ

การจดั การนวตั กรรมสุขภาพ ประกอบดว ย ๕ ขัน้ ตอน คอื ภาคผนวก ขนั้ ตอนท่ี ๑ การจดั ต้ังและก�ำหนดหนา้ ทีค่ ณะผูจ้ ดั การนวตั กรรม (Innovation Management Team) ใหมีการจัดต้ังคณะผูจัดการนวัตกรรมสุขภาพระดับจังหวัดโดยมีนายแพทยสาธารณสุขจังหวัดเป็นประธาน สมาชิก ประกอบดว้ ย ผทู ี่มีประสบการณห รือมคี วามคดิ สรางสรรคท่ีมาจากท้งั ภาครัฐ และเอกชนทปี่ ฏบิ ตั กิ ารอยใู นระดับตางๆ (จังหวัด/อ�ำเภอ/ต�ำบล/หมูบ้าน แต่ไม่จ�ำเป็นต้องมีครบทุกระดับ) ที่สําคัญคือเปนคณะท่ีมีความหลากหลายใน ภูมิหลังและประสบการณ และถ้าหาเจาของความคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมที่ได้รับการคัดเลือกไวส�ำหรับ การพัฒนาหรือถ่ายทอด จ�ำนวนสมาชิกของคณะนี้ ไมจํากัด แตควรพิจารณาเท่าที่จาํ เปน คณะผูจ ัดการนวัตกรรม ระดบั จงั หวดั ควรมอี ายุการท�ำงานประมาณ ๑ ป แลว คดั เลือกแตง ต้งั ใหมเพอื่ ใหโ อกาสกบั บุคคลทม่ี ศี กั ยภาพอ่นื ๆ บ้าง ในระดับท้องถิ่นหรือพื้นท่ี ใหมีการจัดตั้งคณะผูจัดการนวัตกรรมระดับท้องถิ่นหรือพ้ืนที่ เนื่องจากงานนี้ จะพัฒนาควบคูไปกับกองทุนสุขภาพต�ำบล จึงให้บางส่วนของคณะกรรมการสุขภาพต�ำบล โดยเฉพาะบุคคลท่ี ผา่ นการอบรมแผนที่ยุทธศาสตร์ ซ่งึ ๓ คน จะเปน็ ผู้แทนจากองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ สาธารณสขุ และ อสม. สวนท่ีเหลือจะเป็นบุคคลท่ีเปนเจ้าของความคิดสรางสรรคหรือนวัตกรรมที่ไดรับการคัดเลือกไวสําหรับการพัฒนา หรือถา ยทอดซึ่งอาจจะมีมากกวา ๑ คนกไ็ ด้ เจ้าของความคดิ เหล่านอี้ าจมกี ารเปล่ียนแปลงได้ตามโอกาสความจ�ำเปน็ คณะผู้จัดการนวัตกรรมทั้ง ๒ ระดับจะได้รับการแนะแนวทางการจัดการนวัตกรรมจากกระทรวงสาธารณสุขและ/ หรอื กรมวิชาการต่างๆ ที่เกย่ี วข้องกบั ประเดน็ ของนวตั กรรมนน้ั ๆ ข้ันตอนท่ี ๒ การก�ำหนดแหล่งที่มาของความคิดสร้างสรรค์/นวัตกรรม เน่ืองจากจุดมุ่งหมายของการ สร้างนวัตกรรมอยู่ท่ีความส�ำเร็จในการท่ีประชาชนจะมีบทบาท ตลอดจนตัดสินใจในการดูแลสุขภาพของตนเอง สภาวะแวดล้อม และสังคมไดอย่างถูกต้องเหมาะสม ดังน้ันจึงอาจจะใช้รูปจ�ำลองของกระบวนการสร้างบทบาท ของประชาชนเป็นจุดเริ่มต้นหรือแหล่งท่ีมาของนวัตกรรม เนื่องจากภายในวงจรนี้จะสามารถสร้างนวัตกรรมได้ครบ ทุกด้านท้ังท่ีเกี่ยวกับบทบาทของผู้ที่เกี่ยวข้องแผนงานโครงการกระบวนการและบทบาทของประชาชน อย่างไรก็ดี วิวัฒนาการของนวัตกรรมย่อมมีขอบเขตจ�ำกัด ซึ่งอาจจะเกิดจากประเด็นปัญหาน้ันๆ ถูกแก้ไขแล้วหรือแก้ไขไม่ได้ หรือไม่เต็มท่ีด้วยความจ�ำกัดของเทคโนโลยีหรือทรัพยากร ส่ิงที่ควรระวังคือการหมกมุนอยูกับการสร้างนวัตกรรม เรื่องใดเรื่องหน่ึงนานจนกระทั่งวิวัฒนาการเข้าใกล้ขอบเขตจ�ำกัด อาจน�ำไปสู่การแก้ปัญหาโดยลดมาตรฐานลงจน เกินสมควร ดังนั้นจึงควรเลือกเปิดประเด็นอื่นท่ีจะแกไขโดยสร้างแผนท่ียุทธศาสตร์ส�ำหรับประเด็นใหม่ๆ เหล่าน้ัน (จากประเดน็ ที่ ๑ ไป ๒-๓-n) ตอ่ ไป ขั้นตอนท่ี ๓ การแกปัญหาความขัดแย้งทางแนวคิดและความสับสนในบทบาท จุดแรกท่ีควรปรับปรุง คือ แผนงานโครงการดานสุขภาพขององคกรปกครองสวนทองถิ่น/กองทุน การปรับปรุงนี้เปนการกระทํากอน ปฏบิ ตั ิการโดยการสรางแผนทย่ี ุทธศาสตรยอยเฉพาะประเด็นตา่ ง ๆ (Mini-SLM) ทช่ี มุ ชนหรอื ผูบ รหิ ารทอ งถน่ิ ได้ตกลง กันเมื่อไดแผนท่ียุทธศาสตรฯ แลว จึงใชแผนท่ียุทธศาสตรนั้นปรับแผนงานโครงการที่มีอยูเดิมสูแนวทางใหมใน ขณะที่สรางแผนที่ยุทธศาสตรฉบับปฏิบัติการยอยเฉพาะประเด็นน้ัน ใหจัดการปรับกลยุทธในแผนท่ียุทธศาสตรฯ ใหมีสวนผสมของมาตรการทางเทคนิควิชาการและมาตรการทางสังคมที่สมดุลกัน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดและเป็น การขจดั ความความขัดแย้งทางแนวคิดเร่ืองการพฒั นาที่เนนความตองการผลลพั ธ (ระบบราชการทั่วไป) กบั การพฒั นา ที่ตองการสรางความเขมแข็งใหชุมชน (ระบบพัฒนาชุมชน) ในการน้ีอาจต้องอาศัยการสนับสนุนจากกรมวิชาการ ทั้งฝายสาธารณสุขและพัฒนาชุมชนด้วย การใชแผนที่ยุทธศาสตรจะทําใหสามารถเขาถึงและแกปญหาท่ีเกี่ยวกับ บทบาทของผทู ี่เกย่ี วของกับการพฒั นาในระดับทอ้ งถิ่น ชมุ ชน โดยเฉพาะความสบั สนในบทบาทของฝา ยสาธารณสุข และองคกรปกครองสวนทองถิ่น ขอเน้นย้�ำว่าแผนที่ยุทธศาสตร์จะมีส่วนแกปัญหาเก่ียวกับความสับสนในบทบาทได กจ็ ําเปนตองสรา งไปจนถึงขน้ั แผนท่ียุทธศาสตรฉบบั ปฏบิ ตั ิการยอย หรือ Mini-SLM คมู่ อื วทิ ยากรพ่เี ลยี้ งขบั เคลอ่ื นตำ�บลจดั การสขุ ภาพแบบบรู ณาการ 61

ภาคผนวก ขั้นตอนที่ ๔ การสอดแทรกความคิดริเริ่มในกลยุทธ์และกิจกรรมส�ำคัญ เม่ือปรับกลยุทธ์ให้มีความสมดุล ระหวา่ งมาตรการทางเทคนิควชิ าการและมาตรการทางสงั คมแลว้ ข้นั ต่อไปจงึ ส�ำรวจหาความคิดริเรม่ิ และนวัตกรรม ว่ามีบรรจุอยู่ในกลยุทธ์และกิจกรรมส�ำคัญของกลยุทธ์เหล่าน้ันหรือไม ควรเพ่งเล็งที่ระดับประชาชนและระดับ กระบวนการ ท้ังสองระดับน้ีควรมีความคิดริเร่ิมใหมๆ บรรจุอยู (หากไมมีก็ควรปรับปรุงแผนที่ยุทธศาสตรฯ เสียใหมเ ทา ทจ่ี ําเปน) เม่ือไดดําเนนิ การตามข้ันตอนท่ี ๓ และ ๔ เรยี บรอยแลว จงึ สาํ รวจแผนงานโครงการสุขภาพ ขององคกรปกครองสวนทองถ่ิน แลวทําการปรับปรุง (เฉพาะประเด็นท่ีมีแผนที่ยุทธศาสตรกํากับแลว) ใหเป็นไป ในแนวทางของแผนที่ยุทธศาสตรน ้ัน ข้ันตอนที่ ๕ การสร้างนวัตกรรมระหว่างปฏิบัติการ คือกระบวนการของประชาชนมาจากมาตรการ ทางสังคมที่ปรับปรุงไวในข้ันตอนก่อนหนา หลังจากไดปฏิบัติการไปแลวระยะหน่ึง เชน ภายหลัง ๓ เดือน ควรจะ มีการส�ำรวจเพ่ือปรับปรุงกระบวนการ ซ่ึงอาจจะท�ำโดยคณะผู้จัดการนวัตกรรมระดับท้องถิ่นหรือพ้ืนท่ี เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานหรือประชาชนผู้มีบทบาทในกิจกรรมเหล่านั้น เป็นที่คาดว่าการปรับปรุงหลายๆ ครั้งที่เกิดข้ึนภายหลัง การปฏิบัติงาน จะน�ำไปสู่นวัตกรรมท่ีเหมาะสมกับบริบทของท้องถ่ิน ชุมชน และนวัตกรรมน้ันๆ จะมีวิวัฒนาการ ตลอดเวลา หรือหากการปรับปรงุ เปลยี่ นแปลงไมนําไปสูความสาํ เรจ็ ตามคาดกอ็ าจมกี ารปรับกลยุทธ์ใหม่ ซง่ึ หมายถึง ปรับแผนท่ียุทธศาสตรฉบับปฏิบัติการตอไป สําหรับผูปฏิบัติคือคณะผูจัดการนวัตกรรมระดับทองถ่ิน ชุมชน ควรพิจารณาทบทวนงานท่ีทําไปแลว อภิปรายถึงความคิดริเริ่มใหม่ๆ ท่ีสมควรจัดให้มีนวัตกรรม ความคิดเหล่านี้ หากตัดสินใจว่าจะเป็นผลดีก็น�ำไปทดลองปฏิบัติหรือถ้าไม่แน่ใจก็น�ำเสนอคณะผู้จัดการนวัตกรรมระดับจังหวัดต่อไป ในการปรับกลยุทธหรือกระบวนการใหมอาจตองมีการสนับสนุนท้ังทรัพยากรเทคโนโลยีหรือวัสดุอุปกรณ์ ซึ่งจะ เป็นบทบาทของกองทุนสุขภาพประจ�ำต�ำบลนั้นๆ แตคณะผูจัดการนวัตกรรมระดับ จังหวัด และองค์กรในระดับ เหนือข้ึนไปก็อาจให้การสนับสนุนไดตามควรแก่กรณี อย่างไรก็ดีการสร้างนวัตกรรมจะเน้นท่ีการบริหารจัดการและ กระบวนการทด่ี �ำเนนิ การได้โดยท้องถน่ิ และประชาชน (มาตรการทางสงั คม) เป็นส�ำคัญ สว นนวัตกรรมดานผลผลติ อาจจะมีบา้ งก็ถอื วา่ เปน็ ผลพลอยได้ ซง่ึ จะน�ำประโยชน์มาสู่เจาของนวัตกรรมด้านผลผลิตนั้น นวัตกรรมไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นความจ�ำเป็นในปัจจุบัน เราอยู่ในช่วงเวลาของการเปล่ียนแปลงทาง สังคม ประชาชนจะมีบทบาททางสุขภาพมากขึ้น สังเกตได้จากการเกิดข้ึนของนโยบายประชารัฐ นอกจากนี้ ท้องถน่ิ โดยองค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ ประเภทตา่ งๆ กจ็ ะมบี ทบาทหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบต่อสุขภาพของประชาชน มากขึ้นเปน็ ล�ำดบั ตามแนวทางการกระจายอ�ำนาจซึ่งด�ำเนินการมาอย่างตอ่ เนือ่ ง ในขณะทีร่ ะบบสาธารณสขุ มกี ารเปลย่ี นแปลงอย่างตอ่ เนอื่ ง มีองค์กรใหม่ๆ ผู้แสดงบทบาทเกดิ ขน้ึ โดยเฉพาะ ในระดับท้องถิ่นและชุมชน องค์กรเหล่านี้จ�ำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับหน้าท่ีมากข้ึน หน่วยงานสาธารณสุขซ่ึงเดิมเคย ผูกขาดงานอยู่ก็ต้องปรับบทบาท ตลอดจนต�ำแหน่งของตนในบริบทใหม่ให้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือต้องแข่งขันกับ ตวั เองเพือ่ ความอยูร่ อด ๔. การประเมินแบบเสริมพลัง (Empowerment Evaluation) การประเมินแบบเสริมพลัง (Empowerment Evaluation) เป็นการประเมินยุคใหม่ที่เน้นการมีส่วนร่วม ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยมีนักประเมินท�ำหน้าท่ีเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกิดการประเมิน ตนเอง เพื่อให้ผลการประเมินถูกน�ำไปใช้ประโยชน์และท�ำให้การประเมินเป็นกระแสหลักในปัจจุบัน แนวคิด การประเมินแบบเสริมพลัง ถูกน�ำมาประยุกต์ใช้ในการประเมินหลายประเภทท้ังทางด้านสุขภาพ (Fetterman, ๒๐๐๑; Dwyer, ๒๐๐๖; Secret, Jordan & Ford, ๑๙๙๙) และด้านการศึกษา (Fetterman, ๑๙๙๔, ๒๐๐๑; สาธดิ า สกลุ รตั นกุลชยั , ๒๕๕๔; สวสั ดิ์ชยั ศรีพนมธนากร, ๒๕๔๙; ผอ่ งศรี แก้วชเู สน, วรรณดี แสงประทปี ทอง, สมคดิ พรมจุ้ย และจุฬารตั น์ วัฒนะ, ๒๕๕๕; พิมพร ใจงาม และพรชยั หนูแก้ว, ๒๕๕๗) 62 ค่มู อื วทิ ยากรพ่เี ล้ยี งขับเคล่อื นต�ำ บลจัดการสขุ ภาพแบบบูรณาการ

เป้าหมายของการประเมินแบบเสริมพลังคือ การพัฒนาความส�ำเร็จของโครงการโดยนักพัฒนา ภาคผนวก โครงการ เตรียมเครื่องมือส�ำหรับประเมิน วางแผน การด�ำเนินการตามแผน และการประเมินโครงการ ผู้ปฏิบัติในโครงการมีโอกาสในการพัฒนาการวางแผนการด�ำเนินการตามแผนด้วยคุณภาพ ประเมินผลลัพธ์ และพัฒนาคุณภาพอย่างมีระบบและต่อเน่ือง การประเมินแนวน้ีให้คุณค่าอย่างชัดเจนหรือได้รับการออกแบบไว้ อย่างชัดเจนคือ ความต้องการท่ีจะช่วยประชาชนหรือบุคคลให้สามารถช่วยตนเองได้ และน�ำไปสู่การปรับปรุง แผนงานต่างๆ ที่ด�ำเนินการอยู่ได้อย่างต่อเน่ือง โดยการใช้สิ่งที่เรียกว่า “การประเมินตนเองและการสะท้อนกลับ” (Self Evaluation and Reflection) อยู่ตลอดเวลานั่นเอง ผู้มีส่วนร่วมท้ังหมดหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย รวมทั้งลูกค้า ผู้รับบริการหรือผู้รับประโยชน์ จะต้องท�ำการประเมินด้วยตนเองหรือประเมินงานโครงการ แผนงาน ของตัวเอง โดยทผ่ี ู้ประเมินภายนอกกระท�ำหนา้ ท่เี ป็นเหมอื นผฝู้ กึ อบรม (Coach) หรืออาจเป็นผอู้ �ำนวยความสะดวก เป็นครั้งคราวเท่านั้น ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับศักยภาพหรือความสามารถภายในของทีมงานในระดับต่างๆ ของแผนงาน ว่าเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ การประเมินแนวใหม่น้ีจึงเป็น “กิจกรรมแห่งความร่วมมือร่วมใจของหลายๆ ฝ่าย” (Collaborative Activity) ไม่ใช่เป็นเรื่องของใครเพียงคนใดคนหนึ่งหรือฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเท่าน้ัน (Fetterman, ๒๐๐๑) จึงเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานท่ีจะท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดหลักการของ การประเมินแบบเสริมพลังและตัวอย่างการประยุกต์ใช้ เพ่ือที่จะสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้กับการด�ำเนินโครงการ และวจิ ัยในประเด็นต่างๆ ท้งั ดา้ นสาธารณสุขและการศึกษา ความเปน็ มาของการประเมนิ เสริมพลัง การประเมินเสริมพลัง (Empowerment Evaluation : EE) เปน็ อีกวิธกี ารหรอื แนวคดิ หนง่ึ ของการประเมนิ ทไี่ ดร้ ับการคดิ คน้ น�ำเสนอโดย David Fetterman แห่ง Stanford University ในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ พ้ืนฐานของแนวคิดนี้ มาจากแรงจูงใจของ Fetterman ท่ีต้องการจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือบทเรียนระหว่างนักวิชาการ นักประเมินกับกลุ่มบุคคลเป้าหมายที่ได้รับโครงการต่างๆ เพื่อให้กลุ่มบุคคลเป้าหมายสามารถที่จะพัฒนา ตนเองได้ นอกจากน้ันพื้นฐานแนวคิดของการประเมินนี้ ยังอาศัยความรู้ทางด้านจิตวิทยาชุมชน (Community Psychology) ปฏบิ ัตกิ ารทางมานษุ ยวทิ ยา (Action anthropology) ประกอบด้วยเช่นกนั นอกจากนกี้ ารประเมนิ เสริมพลังยังเป็นการน�ำเอานวัตกรรมทางการบริหารมาใช้ในการประเมิน รูปแบบการประเมินถูกน�ำมาใช้ในการ ประเมินการด�ำเนนิ งานของอุดมศึกษา รัฐบาล การจดั การศึกษาของการปกครองระดับท้องถนิ่ องคก์ รท่ีไมแ่ สวงหา ผลก�ำไร และมูลนิธิ ตลอดจนประเทศสหรัฐอเมรกิ าและประเทศตา่ งๆ นอกจากน้ี ยงั ถูกใชใ้ นการประเมินโครงการ ต่างๆ และการด�ำเนินงานขององค์กรที่เก่ียวข้องกับนโยบาย เช่น การป้องกัน การท�ำทารุณกรรม การป้องกัน การติดเช้ือเอดส์ การป้องกันอาชญากรรม การปฏิรูประบบสังคมสงเคราะห์ บ้านพักสตรีท่ีถูกทารุณ การเกษตร และพัฒนาชนบท การคุมประพฤติ การป้องกันการตั้งท้องในวัยรุ่น การร่วมมือจากชนเผ่าพื้นเมืองเก่ียวกับ สารเสพตดิ การให้คนไร้ความสามารถตดั สนิ ใจได้ดว้ ยตวั เอง (Fetterman, ๑๙๙๖) ลักษณะส�ำคญั ของการประเมินเสริมพลัง รัตนะ บวั สนธ์ (๒๕๕๐) กล่าวถงึ ลกั ษณะส�ำคญั ของการประเมนิ เสรมิ พลงั ไวด้ งั น้ี ๑. เปน็ แนวทางการประเมินทใ่ี ชท้ ้ังวิธีเชิงปรมิ าณและเชิงคุณภาพในการด�ำเนินงาน ๒. มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคคลสามารถช่วยตนเองได้ในการปรับปรุงโครงการ โดยอาศัยการประเมิน ตนเองและการสะทอ้ นผลการประเมินมาใชใ้ นการปรบั ปรงุ โครงการ ๓. ผู้มีส่วนร่วมในโครงการรวมทั้งผู้รับบริการจากโครงการ จะด�ำเนินการประเมินโครงการด้วยตนเอง นกั ประเมนิ ภายนอกจะแสดงบทบาทเป็นผฝู้ ึกสอน ผใู้ หก้ ารสนบั สนนุ ขึ้นอย่กู บั ความสามารถหรอื ความช�ำนาญของ บุคคลในโครงการนัน้ ๆ คูม่ อื วทิ ยากรพเ่ี ล้ียงขับเคลอ่ื นต�ำ บลจัดการสุขภาพแบบบูรณาการ 63

ภาคผนวก ๔. อาศัยความร่วมมือและกิจกรรมกลุ่มในการด�ำเนินงานประเมิน ปรับปรุง พัฒนา นักประเมินจะไม่ ด�ำเนินการเสริมพลังคนใดคนหน่ึง แต่บุคคลจะเสริมพลังด้วยตนเอง โดยอาศัยความช่วยเหลือหรือให้ค�ำแนะน�ำ จากนักประเมิน กล่าวโดยสรุปก็คือ อาศัยกระบวนการแบบประชาธิปไตยในการด�ำเนินการ เพ่ือให้กลุ่มบุคคล ค้นพบตนเอง ตดั สนิ ตนเอง และพฒั นาตนเองได้ ๕. การตัดสินคุณค่าของโครงการ ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของการประเมิน ดังเช่นการประเมินแบบด้ังเดิม หากเป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการด�ำเนินงานปรับปรุงโครงการ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ต่อเนื่องกันไป ตามเง่อื นไขหรือบริบททีเ่ กีย่ วข้องในแต่ละชว่ ง นั่นคอื มีลักษณะทเี่ ป็นพลวตั รของการด�ำเนนิ งาน ๖. อาศัยหลักความจรงิ และความซ่อื สตั ยใ์ นการด�ำเนินงาน เนื่องจากเป็นวิธีการทีม่ ุง่ ให้กลุ่มบคุ คลสามารถ ประเมินปรับปรุงช้ีน�ำพัฒนาตนเองได้ ดังน้ัน แนวทางการประเมินแบบเสริมพลังจึงต้องอาศัยหลักการยอมรับ ความจรงิ และความซ่อื สตั ย์ทมี่ ีต่อตนเองของกลมุ่ บุคคลดังกล่าว ในการประเมินตนเองหรือโครงการ และสะทอ้ นกลบั ผลการประเมินด้วยความจริงใจซึ่งกันและกัน เพราะการยึดหลักดังกล่าวน้ีจะท�ำให้บุคคลค้นพบตัวตนท่ีแท้จริง ของตน (หรอื สิง่ ท่เี ปน็ จรงิ ของโครงการน้ันๆ) ซ่งึ จะน�ำไปสู่การปรับปรุงพฒั นาตนเองหรอื โครงการไดใ้ นทสี่ ุด องค์ประกอบของการประเมนิ เสรมิ พลัง Fetterman (๑๙๙๖) กลา่ วถึงองค์ประกอบของการประเมินเสรมิ พลัง ดงั นี้ ๑. การฝึกอบรม (Training) ในมุมมองแรกของการประเมินเสริมพลัง ผู้ประเมินจะสอนกลุ่มบุคคลให้ มีความสามารถในการด�ำเนินการประเมินและการประเมินผลด้วยตนเอง วิธีการน้ีจะท�ำให้ลดความรู้สึกเก่ียวกับ การประเมินท่ีไม่ชัดเจน มีความชัดเจนมากขึ้น และยังช่วยท�ำให้องค์กรสามารถผนวกหลักการและการปฏิบัติ เก่ียวกับการประเมินเข้าไว้ในส่วนประกอบการวางแผนงาน และบ่อยครั้งที่การประเมินผลขึ้นอยู่กับผู้ประเมิน ภายนอก จึงท�ำให้เกิดการพึ่งพามากกว่าการเพ่ิมประสบการณ์ในการสร้างเสริมพลังอ�ำนาจ แทนท่ีจะสิ้นสุดเมื่อ ผู้ประเมินจากไป ผู้มีส่วนร่วมขาดความรู้หรือขาดประสบการณ์ที่จะด�ำเนินงานต่อเน่ืองไปด้วยตนเอง ดังนั้น การด�ำเนินการวางแผนงานโครงการคือการออกแบบอย่างต่อเนื่อง ได้บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของระบบการท�ำงาน ซึง่ จะเปน็ การสรา้ งโอกาสในการสร้างสมรรถนะในการท�ำงาน ๒. การอ�ำนวยความสะดวก (Facilitation) ผู้ประเมินเสริมพลังสามารถแสดงบทบาทเป็นผู้ฝึกสอน และผู้ชี้แนะแนวทางหรือผู้อ�ำนวยความสะดวก เพื่อช่วยให้คนอ่ืนๆ สามารถท�ำการประเมินตนเองได้ในฐานะท่ีเป็น ผู้ฝึกสอน จะเป็นการให้แนวทางหรือข้อเสนอแนะที่หลากหลาย การเข้าร่วมประชุมในโอกาสต่างๆ ที่จ�ำเป็น นอกจากน้ียังเน้นให้ความส�ำคัญกับทุกๆ คนที่อยู่ในแผนงานโครงการ ให้พยายามเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ มิเช่นนั้นแล้ว ทุกๆ คนจะมองผู้ประเมินภายนอกเป็นผู้เชี่ยวชาญ ท�ำให้พวกเขาต้องพึ่งพาบุคคลภายนอกอยู่เสมอ ในบางครั้งนักประเมินผลแนวใหม่ ต้องแสดงบทบาทเป็นผู้ให้ความกระจ่างหรือผู้แก้ปัญหาเสนอแนะ และเป็น ที่ปรึกษาในกระบวนการด�ำเนินงานต่างๆ ผู้ฝึกสอนหรือผู้ชี้แนะในการประเมินเสริมพลัง สามารถให้ข้อมูลท่ีเป็น ประโยชน์เกี่ยวกับการสร้างทีมงานที่จะเข้ามาท�ำหน้าท่ีช้ีแนะหรือเอื้ออ�ำนวยความสะดวก (ทีมงานมีทักษะหรือ ความสามารถด้านสังคมและการวิเคราะห์) และท�ำงานกับหน่วยต่างๆ ท่ีอาจจะยังไม่ได้เข้าร่วมพัฒนาวิธีการที่จะ กระตุ้นเพ่ือให้พลังแก่ส่วนงานต่างๆ ที่อาจจะรู้สึกเหน็ดเหน่ือยกับการท�ำงาน นอกจากนี้ผู้ฝึกสอนอาจจะถูกเชิญ ให้ช่วยออกแบบการประเมินผลอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกสอนในการประเมินเสริมพลังต้องรับประกันด้วยว่า การประเมินนั้นตกอยใู่ นมอื ของบคุ คลท่ดี �ำเนนิ แผนงานโครงการ ภาระหนา้ ทีข่ องผู้ฝึกสอนก็คอื การใหข้ ้อมูลข่าวสาร ทเี่ ป็นประโยชน์ รวมท้งั ประสบการณท์ ่ผี า่ นมาจากการฝึกอบรม มาชว่ ยในการท�ำความพยายามต่างๆ เป็นส่งิ ท่ีเปน็ แนวปฏิบตั ิทีเ่ ป็นไปได้ 64 คู่มือวทิ ยากรพี่เลย้ี งขบั เคลอื่ นต�ำ บลจดั การสขุ ภาพแบบบูรณาการ

๓. การชี้น�ำหรือการสนับสนุน (Advocacy) โดยปกติแล้ว สถานท่ีท�ำงานจะมีการวางแผนเตรียมการ ภาคผนวก ภาพของการประสานงาน เพอ่ื ประเมินเองและการเชื่อมต่อไปสกู่ ารสนับสนนุ ในระดับบคุ คล บอ่ ยคร้งั ท่พี นักงานกับ หัวหน้างานร่วมมือกันมุ่งให้เกิดความพึงพอใจกับลูกค้า ก�ำหนดเป้าหมาย ยุทธวิธีของความส�ำเร็จตามเป้าหมาย และเอกสารหลักฐานท่ีแสดงความกา้ วหนา้ โดยลกู จ้างจะเก็บรวบรวมขอ้ มลู การปฏบิ ัตงิ านของพวกเขา เพ่อื น�ำเสนอ หลักฐานส�ำหรับประเมินผลการปฏิบัติงานประจ�ำปี (Performance Appraisal) ดังนั้น การประเมินผล การปฏิบัติงานด้วยตนเอง จึงกลายเป็นเคร่ืองมือในการสนับสนุนเพื่อสร้างการยอมรับและเป็นส่ิงท่ีง่ายต่อการ ถ่ายทอดไปสูร่ ะดบั กลมุ่ หรอื ระดบั แผนงานท่ปี ฏบิ ตั ิ ๔. การท�ำให้กระจ่าง (Illumination) การท�ำให้กระจา่ งหรือความสวา่ ง คอื การเปดิ หู เปิดตา เปดิ เผย และสร้างประสบการณ์ เพ่ือให้รู้เห็นตามความเป็นจริง (Enlightening) เพ่ือให้เกิดปัญญา เกิดความเข้าใจลึกซ้ึง กับส่ิงใหม่ๆ เก่ียวกับบทบาท โครงสร้าง และพลวัตรของแผนงานน้ันที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในกระบวนการท�ำงาน เพื่อใช้ในการตัดสินคุณค่าและปรับปุรงแผนการท�ำงานให้ดีขึ้น การประเมินผลเพ่ือเสริมสร้างพลังอ�ำนาจคือ ความสว่างในหลายๆ ระดับ ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารท่านหนึ่งท่ีมุ่งเน้นการประเมินแบบเสริมพลังอ�ำนาจ เป็นผู้ท่ี ไม่มีพื้นฐานเก่ียวกับการวิจัยหรือมีเพียงเล็กน้อย แต่สามารถพัฒนาสมมติฐานทางการวิจัยท่ีสามารถทดสอบได้ และมีการอภิปรายถึงตัวชี้วัดและการประเมินตนเอง ไม่ใช่การให้ความสว่างหรือสิ่งท่ีกระจ่างส�ำหรับกลุ่ม แต่เกี่ยวข้องกับการท�ำให้กลุ่มมีโอกาสในการคิดเกี่ยวกับปัญหาและสามารถท�ำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม และท�ำให้เกิด ทางเลือกสมมติฐาน การทดสอบกระบวนการดังกล่าวยังต้องอาศัยประสบการณ์และความสามารถท้ังศาสตร์และ ศิลป์ เพอ่ื ใหส้ ามารถประเมนิ ตนเองและท�ำให้เกดิ ชุมชนแห่งการเรียนรอู้ ยา่ งต่อเนอื่ ง ๕. การปลอ่ ยใหเ้ ปน็ อสิ ระ (Liberation) การให้ความกระจา่ งเปน็ ขนั้ ตอนทีส่ �ำคัญทจี่ ะน�ำไปสูก่ ารปลดปล่อย ให้เป็นอิสระ มันสามารถปลดปล่อยพลังอ�ำนาจ การปล่อยให้เป็นอิสระ คือ การด�ำรงอยู่ซึ่งความเป็นไทหรือมี ความเป็นไทจากบทบาทเดิมและก�ำจัดออกไป มันจะเกิดการสร้างแนวคิดใหม่ๆ เป็นความคิดรวบยอดที่เกิดขึ้น ในตนเอง การประเมินเสริมพลังสามารถปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากแนวทางการประเมินแบบเดิม มีตัวอย่างอีก หลายตัวอย่างที่มีการอภิปรายในหลายประเด็น ที่ท�ำให้ผู้มีส่วนร่วมทั้งหลายได้ค้นหาโอกาสใหม่ๆ มองเห็นคุณค่า ของทรัพยากรทีอ่ ยู่ในมุมใหม่ๆ และก�ำหนดเอกลักษณข์ องตนเองในบทบาทใหม่ๆ ทีจ่ ะเกิดข้นึ ในอนาคตดว้ ยตนเอง ขน้ั ตอนของการประเมินเสรมิ พลัง Fetterman and Eiler (๒๐๐๑) ได้กล่าวถึงข้ันตอนของการประเมินเสริมพลังในการน�ำไปปฏิบัติ เพื่อช่วยเหลอื คนอ่นื ที่จะเรียนรกู้ ารประเมินตนเองประกอบด้วย ๔ ข้นั ตอน ดงั นี้ ๑. การจัดล�ำดับความส�ำคัญ (Taking Stock) ขั้นตอนแรกของการประเมินเสริมพลังคือ การจัดล�ำดับ ความส�ำคัญ ซึ่งผู้เข้าร่วมแต่ละคนจะให้ระดับคะแนน ๑ - ๑๐ ระดับ (โดยที่ ๑๐ คือระดับคะแนนสูงสุด) โดยเขาเหล่าน้ันจะถามถึงความเป็นไปได้ของการแบ่งแยกระดับในแผนงาน ทุกๆ คนจะมีส่วนร่วมในการค้นหา และจัดล�ำดับความส�ำคัญ เร่ิมจากการลงรายการ การอธิบาย และแต่ละคนจะให้ระดับความส�ำคัญของแผนงาน นอกจากนี้บางกิจกรรมของแผนงานที่มีลักษณะพิเศษ อาจจะประกอบไปดว้ ยการสรรหาใหม่ การยอมรบั เครอ่ื งมอื หลกั สูตร เกณฑก์ ารส�ำเรจ็ และการเป็นศษิ ย์เกา่ ซึง่ ศกั ยภาพของแผนงานเหล่านต้ี ้องมกี ารจัดเรยี งล�ำดบั ความส�ำคัญ ก่อนหลัง ๑๐ กิจกรรม แผนงานการมีส่วนร่วมจะเก่ียวข้องกับหลักฐานเอกสารเพื่อเป็นหลักในการให้ระดับ ความส�ำคัญ ประกอบด้วย การขาดเอกสารหลักฐานสนับสนุนที่เหมาะสม ระดับความเช่ียวชาญ ส่ิงท่ีช่วยเตือน เกี่ยวกับความเป็นจริง และสภาพแวดล้อม แผนงานการมีส่วนร่วมน้ีมีความจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยการรวบรวม ข้อมูลเพอ่ื สนับสนนุ การประเมินค่าหรือการประเมินผล คู่มอื วิทยากรพ่เี ล้ยี งขับเคล่อื นตำ�บลจดั การสขุ ภาพแบบบูรณาการ 65

ภาคผนวก ๒. การก�ำหนดเป้าหมาย (Setting Goal) หลังจากจัดล�ำดับความส�ำคัญกิจกรรมของแผนงานและการ หาเอกสารมาประกอบการสนับสนุนแผนงาน ผู้มีส่วนร่วมในแผนงานเกิดค�ำถามอีกค�ำถามหน่ึงคือ จะท�ำอย่างไร ให้แผนงานได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นในอนาคต และอะไรคือเป้าหมายในการรับประกันในอนาคต วัตถุประสงค์นี้ ควรจะได้รับการรับรู้ร่วมกันกับที่ปรึกษาหรือผู้ควบคุมการสอนและผู้มีส่วนร่วมทุกคน วัตถุประสงค์ควรจะ มีความสมเหตสุ มผลและสามารถน�ำไปปฏิบัติได้ เป้าหมายทีม่ ีความส�ำคัญคือ ความสัมพันธข์ องกิจกรรมกับแผนงาน ความสามารถพเิ ศษ ทรัพยากร ขอบเขตของความสามารถ แต่กย็ ังมปี ัญหาในการก�ำหนดเปา้ หมายคอื มกี ารก�ำหนด เป้าหมายไว้อย่างยิ่งใหญ่และใช้ระยะเวลาที่ยาวนานในการมีส่วนร่วมเพ่ือให้ได้ผลลัพธ์ท่ีเกิดข้ึน ไม่มีการเชื่อมโยง ระหว่างกิจกรรมที่ท�ำอยู่บ่อยๆ และกิจกรรมที่ท�ำต้องใช้ระยะเวลานานในการบรรลุเป้าหมายในการประเมินผลเพ่ือ สร้างเสริมพลังอ�ำนาจนั้น แผนการมีส่วนร่วมคือการสนับสนุนเป้าหมายระดับสูงที่เช่ือมโยงกับกิจกรรมประจ�ำวัน และมีความเก่ียวข้องเป็นห่วงโซ่กับผลลัพธ์ท่ีจะเกิดขึ้น แผนงานการมีส่วนร่วมถูกกระตุ้นให้เกิดจากความคิด สร้างสรรค์ในการยอมรับเป้าหมายของทุกๆ ฝ่าย วิธีการระดมสมองเพ่ือท่ีจะสร้างสรรค์เป้าหมายใหม่ๆ ตลอดจน การร่วมอภิปราย ทบทวน และการหาฉันทามติเพื่อการยอมรับจากทุกฝ่าย พร้อมทั้งการร่วมแรงใจกันปฏิบัติ กจิ กรรมของแผนงานที่ทกุ คนยอมรับร่วมกนั ๓. การพัฒนายุทธวธิ ี (Developing Strategies) แผนงานการมสี ว่ นร่วมคือการตอบสนอง ซึง่ การเลอื ก และการพัฒนายุทธวิธีเพ่ือให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของแผนงาน เช่นเดียวกับกระบวนการในการระดมสมอง การทบทวนและวิพากษ์วิจารณ์ การหาฉันทามติ และการยอมรับการใช้ยุทธวิธีเพ่ือให้เกิดความส�ำเร็จ โดยการ ทบทวนจากการตัดสินใจด้วยความมีประสิทธิภาพและความเหมาะสม ยุทธวิธีในการตัดสินใจที่เหมาะสมตาม ความพอใจของผู้สนับสนุนและผู้รับบริการ กระบวนการนี้เป็นกระบวนการท่ีมีความจ�ำเป็นมาก ซึ่งต้องอาศัย ความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ท�ำงานของแต่ละคน วิธีการแสวงหาความรู้ การใช้ผู้เช่ียวชาญ และในกระบวนการนี้ คอื การวางตวั บุคคลในการขบั เคล่อื นกระบวนการและการวางตัวบุคคลใหเ้ หมาะสม (Driver’s seat) ๔. การบนั ทกึ ความกา้ วหน้า (Documenting Progress) แผนการมสี ว่ นร่วมจะถูกบนั ทึกความต้องการไว้ เพ่ือใช้เป็นภาพฉายถึงกระบวนการและความก้าวหน้า ในการบรรลุตามวัตถุประสงค์น้ีเป็นขั้นตอนเก่ียวกับ การวิจารณ์ แบบฟอร์มของเอกสารแต่ละแบบจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด การเข้าสู่ประเด็น การหลีกเล่ียง การอุทิศเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล สิ่งน้ันจะไม่มีประโยชน์หรือเข้าประเด็น แผนการการมีส่วนร่วมจะอธิบาย รายละเอียดของข้อมูลจากการบันทึกในเอกสารประกอบตามวัตถุประสงค์เฉพาะการทบทวน กระบวนการนี้มี ความยากและเปน็ การปอ้ งกันการใช้เวลาท่ไี รป้ ระโยชน์ และความผดิ หวงั เมือ่ เสร็จสิ้นโครงการ การบันทกึ ขอ้ มลู จะมี ความนา่ เช่ือถือและแมน่ ย�ำ ถา้ มคี วามคงทนต่อการวพิ ากษว์ ิจารณ์ และการช่วยเหลือในการประเมินตนเอง (วารสาร ครศุ าสตร์ปริทรรศนฯ์ - ๑๖๙ - ปที ่ี ๓ ฉบบั ท่ี ๒ พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๕๙ การประเมนิ เสรมิ พลัง : มติ ิใหมข่ อง การประเมินเพ่อื การพฒั นางาน พระมหาประยูร ติกฺขปญโฺ ญ (ช่างการ) แม่ชรี ะเบียบ ถริ ญาณี) ดังน้ัน การประเมินแบบเสริมพลังจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียพัฒนางานของตนเอง อย่างต่อเน่ือง ดังนั้นหากผู้บริหารองค์กรน�ำแนวคิดการประเมินแบบเสริมพลังมาใช้ในโครงการต่างๆ ให้กลายเป็น ส่วนหน่ึงของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในโครงการ จะส่งผลให้เกิดวงจรพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องในองค์กร อยา่ งไรก็ตาม ผบู้ รหิ ารต้องเปล่ยี นวธิ คี ดิ คา่ นิยม ใหค้ วามไวว้ างใจต่อผมู้ ีส่วนได้สว่ นเสีย ใหค้ วามเทา่ เทียมกับทุกคน และให้มีส่วนร่วมต้ังแต่ขั้นการวางแผน การลงมือปฏิบัติ และการประเมินผล ส�ำหรับการน�ำแนวคิดการประเมิน แบบเสรมิ พลังมาประยุกตใ์ ชใ้ นงานสาธารณสุข หากผมู้ ีส่วนไดส้ ว่ นเสียในชุมชนร้สู ึกเปน็ เจ้าของชุมชนแล้ว จะท�ำให้ เขาอยากพัฒนาตนเอง พัฒนางาน และแสวงหาวิธีการเพ่ือบรรลุความส�ำเร็จของโครงการต่างๆ นอกจากนี้หากน�ำ แนวคิดการประเมินผลแบบเสริมพลังมาใช้ในการศึกษา เป็นกลวิธีที่ท�ำให้เกิดความร่วมมือท่ีดีในองค์กร โดยเฉพาะ 66 คู่มอื วทิ ยากรพ่เี ลีย้ งขบั เคลอื่ นตำ�บลจัดการสขุ ภาพแบบบูรณาการ

การน�ำมาใช้กับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา หากทุกคนมีอิสระในการคิดวางแผนงานของตนเอง โดย ภาคผนวก มีผู้ประเมินคอยให้ค�ำปรึกษาอย่างเป็นกัลยาณมิตร จะท�ำให้เกิดการสร้างวัฒนธรรมท่ีมีความพร้อมและสนใจ ในการพัฒนางาน หากมีความประสงค์จะเพ่ิมการวิจัยเข้าไปในโครงการ ก็จะท�ำให้วงจรการประเมินแบบเสริมพลัง ครั้งนี้ กลายเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) หรือ PAR ไปในท่ีสุด (วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, ปีท่ี ๔ ฉบับที่ ๑ มกราคม - เมษายน ๒๕๖๐. อมาวสี อัมพนั ศิรริ ัตน์ การประเมินแบบเสรมิ พลัง: แนวคิดและการประยุกต์ใช้) ๕. ชมุ ชนรอบร้ดู ้านสุขภาพ ความฉลาดทางสขุ ภาพหรือความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ (Health Literacy) หมายถงึ ความสามารถและ ทักษะในการเข้าถึงข้อมูล ความรู ความเข้าใจ เพื่อวิเคราะห์ประเมินการปฏิบัติและจัดการตนเอง รวมทั้งสามารถ ชี้แนะเรื่องสุขภาพส่วนบุคคล ครอบครัว และชุมชน เพื่อสุขภาพที่ดี (กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, ๒๕๕๖) สามารถจ�ำแนกความฉลาดทางสุขภาพเปน็ ๓ ระดบั คือ ระดับ ๑ ความฉลาดทางสุขภาพขัน้ พื้นฐาน (functional health literacy) ไดแ ก่ ทกั ษะพื้นฐานด้าน การฟงั พูด อา่ น และเขยี นทจี่ �ำเปน็ ตอ่ ความเข้าใจและการปฏิบัตใิ นชีวิตประจ�ำวัน (Kickbusch, ๒๐๐๑) สามารถ ประยุกต์ทกั ษะด้านการอ่านและความเข้าใจเกีย่ วกับจ�ำนวนตวั เลข (numeracy skill) อาทิเชน่ การอา่ นใบยินยอม (consent form) ฉลากยา (medical label) การเขียนข้อมลู การดูแลสขุ ภาพ ความเขา้ ใจต่อรูปแบบการใหข้ ้อมลู ท้ังข้อความเขยี น และวาจาจากแพทย์ พยาบาล เภสชั กร รวมทง้ั การปฏบิ ตั ิตัวตามค�ำแนะน�ำ ได้แก่ การรับประทาน ยา ก�ำหนดการนดั หมาย ระดับ ๒ ความฉลาดทางสุขภาพข้ันการมีปฏิสัมพันธ์ (communicative/interactive health literacy) ได้แก่ ทักษะพ้ืนฐานและการมีพุทธปัญญา (cognitive) รวมทั้งทักษะทางสังคม (social skill) ท่ีใช้ใน การเข้ารว่ มกจิ กรรม ร้จู กั เลอื กใชข้ ้อมูลขา่ วสาร แยกแยะลักษณะการสอื่ สารทแ่ี ตกต่างกนั รวมทง้ั ประยุกต์ใช้ข้อมูล ขา่ วสารใหม่ๆ เพ่ือการปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ ระดับ ๓ ความฉลาดทางสุขภาพข้ันวิจารณญาณ (critical health literacy) ได้แก่ ทักษะทาง ปัญญาและสังคมที่สูงขึ้น ประยุกต์ใช้ข้อมูลข่าวสารในการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและควบคุมจัดการสถานการณ์ ในการด�ำรงชีวิตประจ�ำวันได้ ความฉลาดทางสุขภาพระดับวิจารณญาณเน้นการกระท�ำของปัจเจกบุคคล (indi- vidual action) และการมีส่วนร่วมผลักดันสังคมการเมืองไปพรอมกัน จึงเป็นการเชื่อมประโยชน์ของบุคคลกับ สังคมและสุขภาพของประชาชนท่ัวไป แนวคิดการพัฒนาความฉลาดทางสุขภาพ (ความรอบรู้ด้านสุขภาพ) และ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ : การพฒั นาและสง่ เสริมให้ประชาชนมคี วามฉลาดทางสขุ ภาพ (ความรอบรู้ดา้ น สุขภาพ) เป็นการสร้างและพัฒนาขีดความสามารถในระดับบุคคลในการรักษาสุขภาพตนเองอย่างย่ังยืน มีการน�ำ ระบบสุขภาพท่ีสอดคลอ้ งกบั ปญั หาและความตอ้ งการของประชาชน มีการแลกเปลีย่ นขอ้ มลู สุขภาพของตนเองร่วม กับผู้ให้บริการและสามารถคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสุขภาพท่ีอาจเกิดขึ้นได้ รวมทั้งก�ำหนดเป้าประสงค์ในการดูแล สุขภาพตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการโรคเรื้อรังที่ก�ำลังเป็นปัญหาระดับโลก ดังน้ัน หากประชากรส่วนใหญ่ ของประเทศมีระดับความฉลาดทางสุขภาพต่างกัน ย่อมจะส่งผลต่อสภาวะสุขภาพในภาพรวมกล่าวคือ ประชาชน ขาดความสามารถในการดูแลสุขภาพของตนเอง จ�ำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังจะเพ่ิมขึ้น ท�ำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษา พยาบาลเพิ่มสูงขึ้น ต้องพ่ึงพาบริการทางการแพทย์และยารักษาโรคที่มีราคาแพงโรงพยาบาลและหน่วยบริการ สุขภาพจะต้องมีภาระหนักในด้านการรักษาพยาบาล จนท�ำให้เกิดข้อจ�ำกัดในการท�ำงานส่งเสริมสุขภาพและไม่อาจ สรา้ งความเท่าเทียมในการเข้าถงึ บรกิ ารอยา่ งสมบูรณไ์ ด้ ความฉลาดทางสุขภาพจะเปน็ เสมือนกุญแจสกู่ ารปรับเปลยี่ น พฤติกรรมสุขภาพ โดยการพัฒนาความฉลาดทางสุขภาพเป็นดัชนีที่สามารถสะท้อน และใช้อธิบายความเปล่ียนแปลง คมู่ อื วิทยากรพเ่ี ลี้ยงขับเคลอื่ นต�ำ บลจัดการสุขภาพแบบบรู ณาการ 67

ภาคผนวก ของพฤติกรรมสุขภาพท่ีเกิดข้ึนจากกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการสื่อสารสุขภาพ ซ่ึงเป็นกระบวนการการ พัฒนาความฉลาดทางสุขภาพโดยตรง การพัฒนาความฉลาดทางสุขภาพมีคุณลักษณะส�ำคัญที่จ�ำเป็นต้องพัฒนา เพื่อเพ่ิมความฉลาดทางสุขภาพ ประกอบด้วย ๖ องค์ประกอบหลัก (กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗) คอื (๑) การเข้าถงึ ขอ้ มูลสขุ ภาพ และบริการสขุ ภาพ (access) (๒) ความรู้ ความเขา้ ใจ (cognitive) (๓) ทักษะการสอ่ื สาร (communication skill) (๔) ทกั ษะการตดั สินใจ (decision skill) (๕) การรู้เท่าทันสื่อ (media literacy) (๖) การจดั การตนเอง (self-management) การเพ่ิมความฉลาดทางสุขภาพ ด้วยการจัดกระบานการเรียนรู้และการจัดปัจจัยแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการ ปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรมสุขภาพ จะส่งผลท�ำให้ประชาชนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ และมีพฤตกิ รรมสขุ ภาพทีถ่ ูกต้องอนั จะ ส่งผลต่อการป้องกันและลดโรค (กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, ๒๕๕๖) แสดงให้เห็นว่าความฉลาด ทางสุขภาพ (Health Literacy) มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องของคนไทย (กองสุขศึกษา กรมสนบั สนุนบรกิ ารสุขภาพ, ๒๕๕๗) ซ่งึ ขน้ึ อยูกับ ๓ องคประกอบ คือ (๑) ปจั จยั ท่มี ผี ลตอ่ พฤติกรรมสขุ ภาพ ประกอบดว้ ย ๓ ปัจจยั ไดแ้ ก่ (ก) ปจั จัยน�ำเปน็ ปจั จัยภายในตวั คน เชน่ ความรู้ ความเช่อื คา่ นยิ ม และทัศนคติ (ข) ปจั จยั เอือ้ เปน็ ปัจจัยภายนอกที่เป็นสภาพแวดลอ้ ม เช่น แหลง่ ทรพั ยากร สถานที่เออื้ และส่งิ อ�ำนวย ความสะดวก (ค) ปัจจัยเสรมิ เปน็ ปจั จัยภายนอกทีเ่ ปน็ สภาพทางสงั คม เช่น การบงั คับใชม้ าตรการทางสงั คม กระแส สงั คม การสร้างแรงจงู ใจ และการให้รางวัล/สงิ่ ตอบแทน (๒) กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นกระบวนการด�ำเนินงานสุขศึกษา ได้แก่ กระบวนการ พัฒนาความฉลาดทางสขุ ภาพ และกระบวนการปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ (๓) ผลผลติ /ผลลพั ธด์ า้ นสุขภาพ ประกอบด้วย ๓ องคป์ ระกอบ คอื (ก) ความฉลาดทางสุขภาพ หรอื ความรอบรู้ด้านสขุ ภาพ (Health Literacy) (ข) ประชาชนมีพฤตกิ รรมสุขภาพที่ถูกต้อง (ค) ผลกระทบด้านสุขภาพ ได้แก่ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ลดความแออัดของโรงพยาบาล ลดค่ารักษาพยาบาล และลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนและประเทศ ส�ำหรับเป้าหมายการด�ำเนินงานพัฒนาความฉลาด ทางสุขภาพและการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพของสถานบริการสุขภาพในกลุ่มประชาชนท่ีมีอายุ ๑๕ ปข้ึนไป มุ่งเน้นผลลัพธ์ด้านสุขภาพให้ประชาชนมีพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง โดยมุ่งเน้นพฤติกรรม ๓อ. ๒ส. ได้แก่ การออกก�ำลังกาย การบริโภคกินผกั ผลไม้สด ลดอาหารหวาน มนั เคม็ การคลายเครียด การด่มื สุรา และ การสบู บหุ ร่ี ซ่ึงจะส่งผลใหล้ ดความเสย่ี งตอ่ การเกิดโรคตอ่ ไป 68 คมู่ อื วทิ ยากรพี่เล้ียงขับเคลอ่ื นต�ำ บลจดั การสุขภาพแบบบูรณาการ

ความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพเก่ียวกับการปฏิบัติตนตามหลัก ๓อ. ๒ส. : ความสามารถและทักษะ ภาคผนวก ของประชาชนที่มีความรู้และจ�ำในเน้ือหาสาระส�ำคัญด้านสุขภาพ อธิบายถึงความเข้าใจในประเด็นเน้ือหาสาระ ด้านสุขภาพที่จะน�ำไปปฏิบัติและสามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบ เน้ือหา/แนวทางการปฏิบัติด้านสุขภาพได้อย่าง มีเหตุผล (กองสุขศกึ ษา กรมสนับสนนุ บริการสขุ ภาพ, ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗) และมคี วามสามารถทางสตปิ ญญาในการ วิเคราะหเพื่อการปฏิบัติตัวใหมีสุขภาพที่ดี (เบญจมาศ สุรมิตรไมตรี, ๒๕๕๖) และความฉลาดทางสุขภาพเกี่ยวกับ ความรูความเขาใจยังมีความตองการเพ่ิมข้ึน ท่ีสะทอนถึงสุขภาพดีของประชาชนและเปาหมายการดําเนินงาน สาธารณสุข นําไปสูการลดคาใชจายการดูแลสุขภาพในโรคท่ีปองกันได้ (นฤมล ตรีเพชรศรีอุไร และ เดช เกตุฉ่า, ๒๕๕๔) การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพตามหลัก ๓อ. ๒ส. : ความสามารถและทักษะของประชาชนในการ เลือกแหล่งข้อมูลด้านสุขภาพ รู้วิธีค้นหาและการใช้อุปกรณ์ในการค้นหา ตลอดถึงค้นหาข้อมูลที่ถูกต้องพร้อม ตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งได้เพ่ือยืนยันความเข้าใจของตนเองและได้ข้อมูลที่น่าเช่ือถือ (กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗) รวมไปถึงมีการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพระดับ พื้นฐาน ไปจนถึงระดับปฏิสัมพันธ์และสามารถค้นหาข้อมูลสุขภาพท่ีถูกต้องและทันสมัย เพ่ือการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพ นอกจากนี้ยังต้องสามารถตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง จนข้อมูลมีความน่าเช่ือถือส�ำหรับ การน�ำมาใช้ได้ (เบญจมาศ สุรมิตรไมตรี, ๒๕๕๖) ซ่ึงความฉลาดทางสุขภาพมีความสอดคล้องเชิงประจักษ์กับการ เขา้ ถงึ ขอ้ มูลและบรกิ ารสขุ ภาพ สามารถใชจ้ �ำแนกระดบั ความฉลาดทางสุขภาพได้เปน็ อยา่ งดี (นฤมล ตรีเพชรศรีอไุ ร และ เดช เกตุฉ่า, ๒๕๕๔) การส่ือสารเพ่ือเพ่ิมความเช่ียวชาญทางสุขภาพตามหลัก ๓อ. ๒ส. : ความสามารถและทักษะของ ประชาชนในการสื่อสารเพอื่ ให้ได้รับขอ้ มูลทางสุขภาพ สามารถส่อื สารขอ้ มูลความรู้ดา้ นสขุ ภาพดว้ ยวธิ ีการพดู อา่ น เขียนให้บุคคลอ่ืนเข้าใจ และสามารถโน้มน้าวให้บุคคลอ่ืนยอมรับข้อมูลด้านสุขภาพ (กองสุขศึกษา กรมสนับสนุน บริการสุขภาพ, ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗) รวมท้ังสามารถโน้มน้าวให้ผู้อ่ืนยอมรับแนวทางการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ ถกู ตอ้ ง มกี ารแลกเปลย่ี นความรู้สึกนึกคิดทีส่ อดคล้องหรือแตกต่างกันในบริบทสุขภาพได้ (เบญจมาศ สุรมิตรไมตร,ี ๒๕๕๖) ซึง่ ความฉลาดทางสขุ ภาพมีความสอดคล้องเชิงประจกั ษ์กบั การสื่อสาร เพ่ือเสริมสรา้ งสขุ ภาพและลดความ เสีย่ งต่อสขุ ภาพ สามารถใช้จ�ำแนกระดับความฉลาดทางสขุ ภาพได้เปน็ อย่างดี (นฤมล ตรีเพชรศรอี ุไร และ เดช เกตุ ฉ่า, ๒๕๕๔) การจัดการเงื่อนไขของตนเอง เพ่ือเสริมสร้างสุขภาพตามหลัก ๓อ. ๒ส. : ความสามารถและทักษะของ ประชาชนท่ีสามารถก�ำหนดเป้าหมายและวางแผนการปฏิบัติให้สามารถปฏิบัติตามแผนท่ีก�ำหนดได้ ตลอดถึงมีการ ทบทวนและปรับเปล่ียนวิธีการปฏิบัติตนเพ่ือให้มีพฤติกรรมสุขภาพท่ีถูกต้อง (กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการ สขุ ภาพ, ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ และ เบญจมาศ สุรมติ รไมตรี, ๒๕๕๖) ซง่ึ ความฉลาดทางสุขภาพมคี วามสอดคลอ้ ง เชิงประจกั ษ์กบั การจดั การตนเอง สามารถใช้จ�ำแนกระดบั ความฉลาดทางสขุ ภาพไดเ้ ปน็ อย่างดี (นฤมล ตรีเพชรศรีอไุ ร และ เดช เกตุฉา่ , ๒๕๕๔) การรู้เท่าทันส่ือและสารสนเทศเพ่ือเสริมสร้างสุขภาพตามหลัก ๓อ. ๒ส. : ความสามารถและทักษะของ ประชาชนท่ีสามารถตรวจสอบความถูกต้อง ความน่าเช่ือถือของข้อมูลสุขภาพที่ส่ือน�ำเสนอ โดยสามารถเปรียบเทียบ วิธีการเลือกรบั สือ่ เพื่อหลีกเลย่ี งความเส่ยี งที่จะเกิดขนึ้ กบั ตนเองและผอู้ ืน่ ตลอดถึงสามารถประเมินขอ้ ความสอ่ื เพอ่ื ชี้แนะแนวทางให้กับชุมชนหรือสังคมตัดสินใจอย่างมีเหตุผล (กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗; เบญจมาศ สุรมิตรไมตรี, ๒๕๕๖) ซ่ึงความฉลาดทางสุขภาพมีความสอดคล้องเชิงประจักษ์กับการ รูเ้ ท่าทันสือ่ สามารถใชจ้ �ำแนกระดับความฉลาดทางสุขภาพได้เป็นอย่างดี (นฤมล ตรีเพชรศรีอไุ ร และ เดช เกตุฉ่า, ๒๕๕๔) คมู่ ือวทิ ยากรพีเ่ ลีย้ งขบั เคล่ือนต�ำ บลจัดการสุขภาพแบบบูรณาการ 69

ภาคผนวก การตัดสินใจเลือกปฏิบัติท่ีถูกต้องตามหลัก ๓อ. ๒ส. : ความสามารถและทักษะของประชาชนในการ ก�ำหนดทางเลือกและปฏิเสธ หลีกเลี่ยงหรือเลือกวิธีการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดีตลอดถึงการใช้เหตุผลหรือ วิเคราะห์ผลดี-ผลเสยี เพ่ือการปฏิเสธ หลกี เล่ยี ง เลอื กวิธกี ารปฏิบัติและสามารถแสดงทางเลือกทีเ่ กดิ ผลกระทบนอ้ ย ต่อตนเองและผู้อื่น หรือแสดงข้อมูลที่หักล้างความเข้าใจผิดได้อย่างเหมาะสม (กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการ สุขภาพ, ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗) รวมทง้ั การตดั สนิ ใจ การต่อรอง การท�ำความตกลง เพ่อื บรรลุความตั้งใจหรอื ทางเลอื ก ที่ตนสามารถรับผดิ ชอบได้ เพือ่ ใหม้ ชี ีวติ ทป่ี ลอดภัย มคี วามสขุ พึงพอใจ ไม่ถกู บังคบั ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และไม่ถกู กระท�ำความรนุ แรง (เบญจมาศ สรุ มติ รไมตรี, ๒๕๕๖) และความฉลาดทางสขุ ภาพเกีย่ วกับการตดั สนิ ใจเพือ่ สุขภาพ ยังมีความต้องการเพ่ิมข้ึนที่สะท้อนถึงสุขภาพดีของประชาชนและบอกเป้าหมายของการด�ำเนินงานสาธารณสุขได้ จะน�ำไปสกู่ ารลดคา่ ใช้จา่ ยการดูแลสุขภาพในโรคท่ปี อ้ งกันได (นฤมล ตรีเพชรศรอี ุไร และ เดช เกตฉุ ่า, ๒๕๕๔) การมสี ว่ นร่วมกิจกรรมสขุ ภาพทางสังคม : ความสามารถและทักษะของประชาชนในการเขา้ รว่ มกจิ กรรม ประเมินพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ของตนเองและผู้อื่น ร่วมแลกเปล่ียนเรียนรูเพ่ือป้องกันโรค ร่วมรณรงค์ด้าน สุขภาพในชุมชน ร่วมจัดกิจกรรมเพ่ือเพ่ิมความรอบรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพแก่ผู้อื่น ตลอดถึงการร่วม ก�ำหนดและบังคับใช้มาตรการทางสังคมในการดูแลสุขภาพ (ขวัญเมือง แก้วด�ำเกิง และ นฤมล ตรีเพชรศรีอุไร, ๒๕๕๖; เบญจมาศ สรุ มติ ร ไมตร,ี ๒๕๕๖; องั ศินนั ท์ อนิ ทรก�ำแหง, ๒๕๕๖) อันเป็นผลท่ไี ดร้ บั จากการดแู ลรักษา สขุ ภาพตนเองท่ดี ี การคงดูแลรกั ษาสขุ ภาพตนเอง : ความสามารถและทกั ษะของประชาชนในการดแู ลสุขภาพตนเองเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมสุขภาพตามหลกั ๓อ. ๒ส. คอื พฤติกรรมการบริโภคอาหาร ออกก�ำลังกาย การคลายเครยี ดทางอารมณ์ การดม่ื สรุ าและการสบู บุหรี่ (ขวญั เมือง แกว้ ด�ำเกิง และ นฤมล ตรเี พชรศรอี ุไร, ๒๕๕๖; Smith, et al., ๒๐๐๔) ซึ่งพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองเก่ียวกับการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคและภาวะแทรกซ้อน การรับรู้ อุปสรรคในการปฏิบัติตนและการกระตุ้นจากบุคคลในครอบครัว จากแพทย์พยาบาล หรือเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง สามารถน�ำไปใช้ในการวางแผนการเสริมความรู้ให้กับผู้ท่ีอยู่ใน ครอบครัวกล่มุ เสยี่ งโรคความดนั โลหติ สูงได้ (กัลยารัตน์ แก้ววันดี วราภรณ์ ศริ สิ วา่ ง และ จติ มิ า กตญั ญ,ู ๒๕๕๘) และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน ยังมีความสัมพันธ์กับการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ แทรกซอ้ นของโรคเบาหวาน การรบั รคู้ วามรุนแรงของโรคเบาหวาน การรบั รู้ประโยชนข์ องการปฏบิ ัตติ นเพ่ือควบคุมโรค และการรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติ เพ่ือการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวาน (วรรณรา ชื่นวัฒนา และ ณชิ านาฎ สอนภกั ด,ี ๒๕๕๗) แสดงใหเ้ ห็นวา่ การคงดูแลรักษาสุขภาพตนเองท่ีดี ประชาชนต้องมพี ฤตกิ รรมการดูแล สุขภาพตนเองอยา่ งต่อเนือ่ ง จึงจะสง่ ผลให้มสี ขุ ภาพทด่ี ไี ด้ (วารสารการวิจยั การพฒั นาการบริหาร ปที ี่ ๙ ฉบับที่ ๑ มกราคม - มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๕๙) ๖. พฤตกิ รรมสขุ ภาพท่พี งึ ประสงค์ ในปัจจุบันน้ันจะเห็นได้ว่า ปัญหาสุขภาพโดยส่วนใหญ่เกิดจากการกระท�ำของบุคคลที่แสดงออกมาใน การด�ำรงชีวิต โดยความแตกต่างของการกระท�ำของบุคคลนั้น มาจากปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆ เช่น ความคิด ความเชื่อ ดังนั้น การท่ีบุคคลจะมีพฤติกรรมสุขภาพท่ีดีได้น้ัน จ�ำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องความหมาย ความส�ำคัญประเภทปัจจัย รวมทั้งวิธีการต่างๆ เพื่อจะน�ำมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของแต่ละบุคคลให้เกิดผลดีต่อ สขุ ภาพ พฤตกิ รรมท่พี ึงประสงคห์ รอื พฤติกรรมเชงิ บวก (Positive Behavior) หมายถึง พฤติกรรมท่ีบุคคลปฏบิ ัตแิ ลว้ สง่ ผลดตี ่อสขุ ภาพของบคุ คลน้นั เอง เป็นพฤติกรรมท่ีควรสง่ เสรมิ ให้บคุ คลปฏบิ ัติต่อไปและควรปฏิบตั ใิ หด้ ขี ้นึ 70 คูม่ อื วทิ ยากรพเ่ี ล้ียงขบั เคลื่อนตำ�บลจัดการสุขภาพแบบบูรณาการ

พฤติกรรมสุขภาพท่ีควรปฏิบัติเพ่ือส่งเสริมและป้องกันโรค สามารถท�ำได้หลายๆ วิธีการ โดยยึดหลักการ ดแู ลสขุ ภาพตามสุขบญั ญัตแิ หง่ ชาติ ๑๐ ประการ หรือหลักการสรา้ งเสรมิ สุขภาพดว้ ยหลักการ ๖ อ. (ออกก�ำลงั กาย อาหาร อารมณ์ อโรคยา อนามัยสิ่งแวดล้อม และอบายมุข) หรอื ๓อ. ๒ส. (๓อ. คือ อาหาร ออกก�ำลงั กายอารมณ์ และ ๒ส. คือ ไมส่ ูบบุหร่ี และไมด่ ่มื สุรา) โดยสามารถน�ำวิธกี ารต่อไปนี้ ไปเปน็ แนวทางในการปฏิบัตเิ พ่อื ป้องกันโรคท่ี เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพ ๖.๑ กินถูก กินเป็น พลังงานท่ีตอ้ งการของวัยท�ำงานในหนงึ่ วนั กล่มุ อาหาร หนว่ ยครัวเรอื น พลังงาน (กิโลแคลอร)ี พลงั งาน ๑,๖๐๐ ๒,๐๐๐ ๒,๔๐๐ (กโิ ลแคลอรี / ๑ หน่วยครวั เรอื น) ข้าว-แปง้ ทัพพี ๘ ๑๐ ๑๒ ๘๐ ผัก ทพั พี ๖๕๖ ๑๑ ผลไม้ ส่วน ๔๔๕ ๗๐ ช้อนกนิ ขา้ ว ๖ ๙ ๑๒ ๒๕ เนอ้ื สตั ว์ แก้ว ๑๑๑ ๑๒๕ นม ชอ้ นชา ๔๖๖ ๔๕ น�ำ้ มัน ช้อนชา ๕๗๙ ๒๐ ชอ้ นชา ใช้แตน่ ้อยเทา่ ทจี่ �ำเป็น ไมเ่ กิน ๑ ช้อนชา นำ�้ ตาล เกลือ หญงิ วัยท�ำงาน อายุ ๒๕ - ๖๐ ปี แนะน�ำควรกนิ อาหารไมเ่ กิน ๑,๖๐๐ กโิ ลแคลอรี ชายวยั ท�ำงาน อายุ ๒๕ - ๖๐ ปี แนะน�ำควรกนิ อาหารไม่เกิน ๒,๐๐๐ กิโลแคลอรี หญงิ - ชาย ทใ่ี ชพ้ ลังงานมากๆ เชน่ เกษตรกร ผ้ใู ชแ้ รงงาน นักกฬี า แนะน�ำควรกนิ อาหารไม่เกนิ ๒,๔๐๐ กโิ ลแคลอรี กนิ รสจืด ยืดชวี ิต การกินอาหารรสจดื โดยลดการกนิ อาหาร หวาน มัน เค็ม โดยกนิ ให้ไดต้ ามสูตร ๖:๖:๑ คอื กินนำ้� ตาลไม่เกนิ วันละ ๖ ช้อนชา น้�ำมนั ไมเ่ กนิ ๖ ชอ้ นชา เกลอื ไมเ่ กิน ๑ ช้อนชา เพอื่ ลดความเสยี่ งการเกิดโรคไมต่ ิดต่อเร้ือรัง เชน่ โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหิตสงู เป็นต้น หวาน..มาจากไหน ความหวานพบในอาหารเกือบทุกชนิด ทั้งอาหารคาว หวาน และผลไม้ เช่น แกงกะทิ ขนมไทย ขนม เบเกอรี ขนนุ ทเุ รยี น เงาะ เป็นตน้ ดังนนั้ การเลือกกินอาหารท่มี ปี รมิ าณน้ำ� ตาลมากหรอื น้อย จงึ เปน็ ส่ิงส�ำคัญล�ำดับ ตน้ ๆ ของการดแู ลสขุ ภาพและควบคุมน�้ำหนัก มนั ..มาจากไหน ภาคผนวก ไขมนั พบท้งั ท่ีมาจากพืชและสตั ว์ เช่น เนอ้ื หมู เน้ือไก่ เนย น�ำ้ มนั มะพร้าว น�ำ้ มันปาลม์ เป็นตน้ การไดร้ ับ ไขมันมากเกินความต้องการของร่างกาย เป็นสาเหตุส�ำคัญท่ีก่อให้เกิดโรคอ้วน และยังเพ่ิมความเสี่ยงต่อการเป็น โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของคนไทย จึงควรมีการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการ บรโิ ภคอาหารให้ถูกตอ้ งเหมาะสม เพือ่ ให้มีสขุ ภาพดี เค็ม..มาจากไหน ส่วนประกอบของเกลือทีใ่ ช้ในการปรุงอาหาร คือ โซเดียม นอกจากนยี้ งั มกี ารใช้เกลอื โซเดียม ในอุตสาหกรรม อาหารแปรรูป เช่น เบกกิ้งโซดาที่ใช้ในขนมอบต่างๆ อาหารหลายชนิด โดยเฉพาะอาหารแห้งหรืออาหารหมัก คูม่ ือวทิ ยากรพเ่ี ลีย้ งขับเคล่อื นต�ำ บลจดั การสขุ ภาพแบบบรู ณาการ 71

ดอง กะปิ น้�ำปลา ซอี วิ๊ มีสว่ นผสมของเกลอื ในปริมาณสงู นอกจากนี้ เกลอื ยงั แฝงอยูใ่ นอาหารส�ำเรจ็ รูปหลายชนดิ เช่น ขนมกรุบกรอบ บะหม่ีก่ึงส�ำเร็จรูป เครื่องแกง อาหารกระป๋อง ซอสปรุงรสต่างๆ และอาหารท่ีใช้โซเดียมเป็น สว่ นประกอบ เชน่ คกุ ก้ี ขนมปงั ขนมเคก้ เปน็ ต้น การประเมินตนเอง การประเมินตนเอง โดยการชั่งนำ้� หนัก วัดสว่ นสูง และค�ำนวณค่าดชั นีมวลกาย ดงั น้ี ๑.๑ ดชั นมี วลกาย (BMI) = นำ�้ หนัก (กิโลกรัม) ส่วนสูง (เมตร๒) BMI < ๑๘.๕ ๑๘.๕ - ๒๒.๙ ๒๓.๐ - ๒๔.๙ ๒๕.๐ - ๒๙.๙ ≥ ๓๐ ผอม ปกติ น้ำ�หนกั เกนิ อว้ นระดับ ๑ อว้ นระดับ ๒ ท่มี า BMI : http://apps.who.int/bmi/index.jsp ๑.๒ การประเมินตนเอง โดยการวดั รอบเอว การวัดüทีถ่ กู วธิ ี การวดั ท่ผี ิดวิธีคûือ รัดแน น่ การวดั ที่ผดิ วิธคี ûือ วัดเหนอื สะดอื รอบเอวปกติ = สว่ นสงู (เซนตเิ มตร) ๒ ตวั อยา่ ง : นาย ก ทีม่ ีส่วนสงู ๑๖๘ เซนตเิ มตร รอบเอวปกตขิ องนาย ก = ๑๖๘ = ๘๔ เซนตเิ มตร ๒ ภาคผนวก ๖.๒ กจิ กรรมทางกาย (Physical Activity : PA) ความส�ำคัญของการมกี ิจกรรมทางกายและการออกก�ำลงั กายเพอ่ื สุขภาพ การขยับกายและการเคล่ือนไหวร่างกายในชีวติ ประจ�ำวัน หรือท่เี รียกว่า “กิจกรรมทางกาย” มีความส�ำคญั ต่อสขุ ภาพ กจิ กรรมทางกาย หมายถงึ การเคล่ือนไหวรา่ งกายทกุ รปู แบบท่เี กิดจากการหดตวั ของกลา้ มเน้อื มัดใหญ่ และท�ำให้ร่างกายมีการใช้พลังงานเพิ่มข้ึนจากขณะพัก ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสุขภาพและสมรรถภาพทางกายของ บุคคล แต่เน่ืองจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อการ ด�ำเนินชีวติ ของประชาชนคนไทย มคี วามสะดวกสบายมากยิ่งขนึ้ ใช้เวลาสว่ นใหญก่ ับพฤตกิ รรมนง่ั นาน (Sedentary 72 คู่มอื วิทยากรพีเ่ ลีย้ งขบั เคล่อื นต�ำ บลจดั การสขุ ภาพแบบบูรณาการ

Behavior) ปัจจัยเหล่าน้ี ส่งผลให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ ซ่ึงเป็นปัจจัยเสี่ยงท่ีท�ำให้เกิดกลุ่มโรค ไม่ติดต่อเรือ้ รงั (NCDs) กจิ กรรมทางกาย แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑. กิจกรรมทางกายในชีวิตประจ�ำวัน (Daily - routine Physical Activity) ได้แก่ การท�ำงานบา้ น การเดนิ ทาง และการประกอบอาชีพ ๒. กจิ กรรมทางกายในยามว่าง (Leisure - time Physical Activity) ได้แก่ การเลน่ /นันทนาการ (Play) การออกก�ำลังกาย (Exercise) และกีฬา (Sport) การออกก�ำลังกาย (Exercise) หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายต่างๆ ท่ีเป็นระบบ แบบแผน และมีการ ปฏิบัติอย่างสม�่ำเสมอ ส่งผลให้สมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness) ระบบต่างๆ ท้ัง ๕ ด้านของร่างกายเกิด การคงสภาพ ปรับปรุงการท�ำงานให้มีความสมบูรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมทางกายทั้งหมดนี้ จะมีความ แตกต่างกันที่ระดับความหนัก/ระดับการออกแรง (Intensity) ระยะเวลา (Duration) ความถี่/ความบ่อยคร้ัง (Frequency) และรูปแบบของกิจกรรมทางกาย จ�ำนวนก้าวเดนิ ตอ่ วัย ส�ำหรบั ผู้ใหญ่ (Stepping For Health) ก้าวต่อวัน ค�ำอธบิ าย ≥๑๒,๕๐๐ มกี จิ กรรมทางกายสงู มาก ๑๐,๐๐๐ - ๑๒,๔๙๙ ๗,๕๐๐ - ๙,๙๙๙ มีกิจกรรมทางกายสูง ๕,๐๐๐ - ๗,๔๙๙ มกี จิ กรรมทางกายปานกลาง <๕,๐๐๐ มีกิจกรรมทางกายตำ�่ มพี ฤตกิ รรมนง่ั นาน การเดนิ จ�ำนวนกา้ ว ๗,๕๐๐ - ๙,๙๙๙ เทยี บเท่ากบั การมกี ิจกรรมทางกาย ทคี่ วามหนกั ระดับปานกลาง ๓๐ นาที ชนิด / ประเภท ระดบั ความหนกั / ระยะเวลา ความถ่ี การออกก�ำลังกาย ความเหนื่อย อย่างน้อย ๓๐ นาที อยา่ งน้อย ๕ วันตอ่ สัปดาห์ แอโรบกิ ปานกลาง อยา่ งนอ้ ย ๒๐ - ๒๕ นาที อยา่ งนอ้ ย ๓ วนั ต่อสัปดาห์ (Aerobic Exercise) อยา่ งนอ้ ย ๒๐ - ๓๐ นาที อยา่ งน้อย ๓ - ๕ วนั ต่อสัปดาห์ มาก/สูง ๒ - ๔ เซท ๒ - ๓ วันต่อสปั ดาห์ ผสมผสาน (ท้งั ปานกลางและสงู /มาก) พัก ๒ - ๓ นาทีต่อเซท ๒ - ๓ วันตอ่ สปั ดาห์ แรงต้าน ออกแรงหรือยกได้ ๘ - ๑๒ ครั้ง ๑ - ๒ เซท พัก ๑ นาที (Resistant Exercise) แลว้ หมดแรงพอดี ตอ่ เซท ๒ - ๓ วนั ต่อสัปดาห์, เพือ่ พัฒนาความแขง็ แรงของ (๖๐ - ๘๐% ๑ RM) ก่อนและหลังการออกก�ำลังกาย ภาคผนวก กลา้ มเนื้อ คงค้างไว้ ๑๕ - ๓๐ วินาที ประเภทอนื่ ๆ เพือ่ พฒั นาความอดทนของ ออกแรงหรอื ยกได้ ๑๕ - ๒๕ ครัง้ กลา้ มเน้ือ แลว้ หมดแรงพอดี (< ๕๐% ๑ RM) ยืดเหยียดกล้ามเนอื้ รสู้ ึกตงึ ที่กลา้ มเนอ้ื เปา้ หมาย (Stretching Exercise) ค่มู ือวิทยากรพีเ่ ล้ียงขบั เคลือ่ นต�ำ บลจัดการสุขภาพแบบบรู ณาการ 73

ภาคผนวก ข้นั ตอนของการออกก�ำลงั กาย ๑. ช่วงการอบอุ่นร่างกาย (Warm up) เป็นการเตรียมความพร้อมของร่างกายในการออกก�ำลังกาย ป้องกันและลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บของกล้ามเน้ือและข้อต่อต่างๆ โดยเพ่ิมการเคล่ือนไหว กระตุ้นอัตราการเต้น ของหัวใจ การไหลเวียนของเลือด การแลกเปลย่ี นออกซิเจน อตั ราการเผาผลาญพลงั งาน และ อุณหภมู ใิ นร่างกาย การอบอนุ่ รา่ งกายมีขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ดิ งั น้ี ๑.๑ เคลอ่ื นไหวรา่ ยกายโดยใช้กลา้ มเนื้อมดั ใหญ่ หรือออกก�ำลงั กายในระดบั เบาๆ ประมาณ ๕ - ๑๐ นาที ๑.๒ ยดื เหยียดกล้ามเนื้อบรเิ วณกล้ามเนอ้ื มัดใหญๆ่ เชน่ หนา้ อก หลัง ล�ำตัว ขา และ แขน ๒. ช่วงการออกก�ำลงั กาย (Exercise) เป็นช่วงการออกก�ำลงั กายทั้ง ๓ ประเภท คือ ๑) การออกก�ำลงั กายแบบแอโรบิก ๒) การออกก�ำลังกายแบบแรงต้าน ๓) การยืดเหยียดกล้ามเน้ือ เพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกายตามเป้าหมายท่ีก�ำหนดของแต่ละบุคคล อยา่ งเหมาะสมและปลอดภยั ๓. ช่วงการคลายอนุ่ หรอื คูลดาวน์ (Cool down) เปน็ ชว่ งท่รี า่ งกายค่อยๆ ปรับสภาพการท�ำงานจากการ ออกก�ำลังกายกลับสูส่ ภาวะปกติ ช่วงการคลายอ่นุ หรือคลู ดาวน์ (Cool down) มขี ้ันตอนการปฏิบัติดังน้ี ๓.๑ คอ่ ยๆ ปรับการออกก�ำลงั กายร่างกายให้เบาลง เคลอื่ นไหวใหช้ า้ ลง ประมาณ ๕ - ๑๐ นาที เช่น ลดความเร็วในการวิ่งใหช้ า้ ลง หรอื เปล่ียนจากการวงิ่ เหยาะเป็นการเดนิ เรว็ ประมาณ ๕ - ๑๐ นาที ๓.๒ ยดื เหยียดกล้ามเนือ้ แบบหยดุ ค้าง (Static) บรเิ วณกลา้ มเนอ้ื มัดใหญๆ่ เช่น หน้าอก หลงั ล�ำตัว ขา และแขน เพื่อการลดความตงึ เครียดของกลา้ มเนื้อจากการออกก�ำลงั กาย ประโยชน์กิจกรรมทางกาย (ดร.เกษม นครเขตต)์ ๑. มีเพ่ือน/สนกุ สนาน ๒. ทกั ษะทางสังคม การให้/แบ่งปัน ๓. สรา้ งเสริมคณุ ธรรม/จริยธรรม ๔. กระตุ้นการเรยี นรแู้ ละปอ้ งกันความจ�ำเสื่อม ๕. หัวใจหลอดเลอื ดแขง็ แรง ๖ .ลดนำ�้ ตาลในเลือด และเบาหวาน ๗. ช่วยลดการสะสมไขมันในรา่ งกาย ๘. ป้องกันอาการภมู ิแพ้ และหอบหืด ๙. ลดความวิตกกงั วล ซึมเศรา้ เครยี ด ๑๐. เพม่ิ ความเชอ่ื ม่ันในตนเอง มสี มาธิ ๖.๓ การนอนหลับอยา่ งมีคุณภาพ การนอนหลับเป็นสิ่งท่ีจ�ำเป็นและส�ำคัญส�ำหรับชีวิตไม่น้อยไปกว่าการได้รับประทานอาหารที่ดี มนุษย์เรา ใช้เวลาถงึ ๑ ใน ๓ ของชวี ติ ไปกบั การนอนหลับ บทบาทส�ำคัญของการนอนหลับ - ร่างกายของเราได้พักผ่อน - ร่างกายได้ฟ้นื ฟูและซอ่ มแซมตัวเอง - ช่วยใหร้ ะบบการใช้พลงั งานกบั การเผาผลาญไขมันในรา่ งกายเปน็ ปกติ 74 คมู่ อื วิทยากรพเี่ ลีย้ งขบั เคลอื่ นต�ำ บลจดั การสุขภาพแบบบรู ณาการ

- ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ฮอร์โมนแต่ละตัวที่หลั่งออกมาก็จะท�ำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ การเจริญ ภาคผนวก เตบิ โตและสรา้ งภูมคิ ุ้มกนั โรค - สมองจะได้จัดเรียงข้อมูลท่ีได้รับในแต่ละวัน เข้าสู่ล้ินชักสมองอย่างเป็นหมวดหมู่ ท�ำให้ความจ�ำเราดีขึ้น และในวนั ต่อไปเราจะสามารถเรียนรู้ และท�ำงานได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพมากขน้ึ ลกั ษณะการนอนหลบั ทปี่ กติ - ตื่นมาควรสดชืน่ - ไม่มอี าการหาวนอน ตอนกลางวนั - ประกอบกจิ วัตรประจ�ำวนั ท�ำงานได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ท่านอนทเี่ หมาะสม - ทา่ นอนทีถ่ ูกตอ้ ง ควรเป็นท่าทน่ี อนแลว้ สบายตามธรรมชาติ เชน่ นอนหงาย หรอื นอนตะแคงก็ได้ - ควรเลือกทนี่ อนและหมอนทีถ่ ูกสขุ ลกั ษณะ ทจี่ ะไมท่ �ำใหเ้ กดิ อาการปวดเม่อื ยหลัง หรือท�ำใหค้ อแหงนหรือ พับจนเกนิ ไป - คนทม่ี ภี าวะนอนกรน หรือภาวะหยดุ หายใจขณะหลับ จากการอดุ ก้ัน การนอนหงายอาจท�ำให้มอี าการมากข้นึ ได้ สุขอนามยั ทดี่ ีในการนอนหลับ ควรปฏบิ ตั ิ ดังนี้ ๑. ควรก�ำหนดเวลานอนหลับ ให้มีระยะเวลาเพียงพอ เข้านอนและต่ืนนอนให้ตรงเวลาเป็นประจ�ำทุกวัน ทัง้ วนั ท�ำงานปกติและวนั หยุด ๒. หลกี เลย่ี งการงบี หลบั ตอนกลางวนั ๓. หลีกเลยี่ งเคร่อื งดื่มท่มี ีสว่ นผสมของคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และงดสูบบุหร่ี อย่างน้อย ๔ ช่ัวโมง กอ่ นนอน ๔. หลีกเลีย่ งการออกก�ำลงั กาย อย่างน้อย ๒ ชว่ั โมง ก่อนนอน ๕. หลกี เลีย่ งการรบั ประทานอาหารม้อื หนัก อยา่ งน้อย ๒ ช่วั โมง ก่อนนอน ๖. หอ้ งนอนควรเงียบ สงบ สบาย อณุ หภมู ทิ พ่ี อเหมาะ ไมม่ ีเสยี งหรอื แสงรบกวนขณะหลบั ๗. การผ่อนคลาย ลดความวติ กกงั วล ช่วยให้การนอนหลับงา่ ยข้ึน ๘. หลีกเลีย่ งการโต้เถยี ง คุยโทรศัพท์ หรอื ดูภาพยนตรต์ นื่ เตน้ สยองขวัญ กอ่ นนอน ๙. ควรใช้ห้องนอนเพ่ือการนอน หรือกจิ กรรมทางเพศเทา่ นนั้ ๑๐. หากนอนไมห่ ลับภายใน ๒๐ นาที ไมค่ วรกงั วล ไมค่ วรมองนาฬกิ า ควรลุกจากทนี่ อน ท�ำกจิ กรรมอ่นื ๆ เช่น ดูโทรทศั น์ อา่ นหนังสอื แล้วกลบั มานอนใหม่อีกครั้งเมอ่ื งว่ ง ๑๑. รบั แสงแดดใหเ้ พยี งพอในตอนเช้า อยา่ งน้อย ๓๐ นาทที กุ วัน เนอื่ งจากแสงแดดเป็นตัวควบคมุ นาฬิกา ชวี ติ ที่ส�ำคัญ สุขอนามยั ทด่ี ีในการนอนหลบั ทีแ่ นะน�ำข้างตน้ ควรท�ำติดตอ่ กันอย่างน้อย ๔ สปั ดาห์ ทา่ นจะหลบั สบาย ๖.๔ การดแู ลสุขภาพช่องปากส�ำหรบั ผูส้ ูงอายุ สามารถปฏิบัติได้ด้วยตัวผู้สูงอายุเอง หรือโดยผู้ดูแลในกรณีที่ผู้สูงวัยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ส�ำหรับผู้สูงอายุ ทชี่ ่วยเหลือตนเองได้ เรื่องทตี่ อ้ งการดแู ลมี ๔ เร่ือง คือ ๑. การท�ำความสะอาดฟันแท้ และฟันเทยี ม (ฟนั ปลอม) กรณีที่มีฟันแท้ ควรท�ำความสะอาดด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ ๒ ครั้ง เช้าและก่อนนอนให้ ทั่วถึงทุกซี่ ทุกด้านให้มากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณคอฟัน ด้วยแปรงสีฟันขนาดเล็กเหมาะสมกับขนาดช่องปาก ค่มู ือวิทยากรพเี่ ลีย้ งขับเคล่อื นต�ำ บลจัดการสุขภาพแบบบรู ณาการ 75

ภาคผนวก ขนแปรงน่มิ ซ่งึ อาจใช้แปรงสีฟนั ส�ำหรับเดก็ น�ำมาดัดแปลงดา้ มแปรง เพือ่ ใหจ้ ับไดถ้ นดั มือขึน้ รว่ มกบั การใช้ยาสฟี นั ผสมฟลอู อไรดท์ มี่ ีจ�ำหนา่ ยทว่ั ไป ส�ำหรับด้านหลังของฟันซ่ีสุดท้ายหรือฟันท่ีเหลือซ่ีเด่ียว โดยไม่มีฟันข้างเคียง การใช้แปรงกระจุกเดียว จะท�ำความสะอาดได้ง่ายกวา่ และดีกว่า บรเิ วณระหว่างซี่ฟันหรือซอกฟัน ขนแปรงสฟี นั อาจเข้าไมถ่ ึง ควรใชไ้ หมขัด ฟนั ชว่ ยท�ำความสะอาดเพิม่ เติม ถา้ มชี อ่ งระหว่างซ่ีฟันท่กี วา้ ง ควรใช้แปรงซอกฟนั หรอื ไมจ้ ิ้มฟันช่วยก�ำจดั เศษอาหารด้วย ซึง่ ถา้ เลอื กใช้ ไม้จ้ิมฟันก็ตอ้ งใชอ้ ย่างระมดั ระวัง โดยไมจ้ ิ้มฟนั ทีใ่ ชต้ ้องมปี ลายเรียว บาง มนกลม ไม่มีเสี้ยน ใชเ้ พื่อเขยี่ เศษอาหาร ออกจากบริเวณซอกฟันเพิ่มเติมจากการแปรงฟันปกติ ถ้าใช้ท�ำความสะอาดคอฟัน ควรท�ำให้ปลายแตกเป็นพู่ก่อน แลว้ ค่อยๆ ครูดไประหว่างคอฟันและขอบเหงอื ก กรณใี สฟ่ นั เทยี มชนดิ ถอดได้ - ถอดฟนั เทียมออกทกุ ครั้งก่อนท�ำความสะอาดฟนั แทต้ ามปกติ - หลงั อาหารทกุ ม้ือ ใหถ้ อดฟันเทียมออกมาท�ำความสะอาด - ก่อนนอนทุกครั้ง ท้ังนอนกลางวันและกลางคืน ให้ถอดฟันเทียมออกมาท�ำความสะอาด และแช่น้�ำ สะอาดทิง้ ไว้ - การท�ำความสะอาดฟันเทยี มชนดิ ถอดได้ สามารถท�ำได้โดยใช้แปรงสฟี นั ขนน่ิม ชบุ น้�ำสบู่ หรอื นำ�้ ยา ล้างจาน แปรงให้ทวั่ แล้วลา้ งออกด้วยนำ้� สะอาด หรือใช้แปรงสีฟันขนน่มิ และยาสีฟันชนดิ ครมี แปรงให้ทัว่ แล้วลา้ ง ออกดว้ ยน้�ำสะอาด ไมใ่ ช้ยาสีฟันท่ีเปน็ ผง เพราะจะท�ำให้ฟันเทยี มทเี่ ป็นพลาสตกิ สกึ งา่ ย - กรณีทีฟ่ นั เทียมนนั้ ใชม้ านาน ติดสีนำ้� ตาลด�ำ มคี ราบบุหรหี่ รอื คราบอาหารทลี่ า้ ง และแปรงด้วยนำ้� สบู่ ไมอ่ อก ใหใ้ ช้เมด็ ฟู่ส�ำหรับแชท่ �ำความสะอาดฟนั เทยี มช่วย ซง่ึ มจี �ำหน่ายในคลินกิ ทนั ตกรรมท่ัวไป ๒. การหลกี เลีย่ งพฤตกิ รรมเสยี่ ง พฤติกรรมเสี่ยงหลายอย่าง ท�ำให้เนื้อเยื่อในช่องปากเกิดอาการอักเสบ แสบ ร้อน ระคายเคือง เช่น กระพุ้งแก้ม เพดานปาก ล้ิน อาจกลายเป็นสาเหตุของรอยโรคในช่องปากได้ ตั้งแต่เชื้อรา ไปจนถึงเป็นมะเร็งใน ชอ่ งปาก ดงั นั้นจงึ ควรหลกี เล่ียงพฤติกรรมเส่ยี ง เช่น การสูบบุหร่ี ยาเส้น ยานัตถุ์ นอกจากจะเส่ียงต่อการเกิดโรคท่ีเน้ือเย่ือ เช่น การติดเช้ือราไปจนถึง เป็นมะเร็งในช่องปากแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคปริทันต์ สูญเสียกระดูกที่หุ้มรอบตัวฟัน อาจท�ำให้ฟันโยกโดยไม่มี อาการบวมแดงที่เหงือก และต้องสูญเสยี ฟนั ในทีส่ ดุ นอกจากน้ี ยงั สง่ ผลตอ่ สขุ ภาพร่างกาย ท�ำให้เสยี่ งตอ่ โรคความ ดันโลหติ สูง หลอดเลอื ดอุดตนั และมะเรง็ ปอดอีกด้วย การเคย้ี วหมาก หรือเคี้ยวหมากผสมยาเส้น การดืม่ เครอื่ งดม่ื หรือใชน้ ้ำ� ยาบว้ นปากทม่ี ีแอลกอฮอลผ์ สมบอ่ ยๆ การละเลยต่อการดูแลสุขภาพช่องปาก เช่น ปล่อยให้มีรากฟัน หรือฟันผุท่ีต้องถอนอยู่ในช่องปากนานๆ ปล่อยใหม้ วี สั ดอุ ุดฟนั แตก บ่ิน มฟี นั เทยี มทีใ่ ชม้ านานหลวม ขยับไปมา เวลาเคีย้ วอาหาร หรอื ฟันเทียมแตกหัก ช�ำรุด คม บาดแก้ม และลิน้ หรือฟันเทยี มท่ีไม่พอดี กดบรเิ วณข้างแกม้ จนเจ็บเป็นแผล มแี ผลในชอ่ งปากเร้อื รังจากการกัด ขา้ งแก้ม กดั ล้ิน ๓. การเลือกรับประทานอาหาร - ควรรบั ประทานอาหารให้เปน็ มื้อ งดอาหารวา่ งและหลีกเลยี่ งการรบั ประทานหลังการแปรงฟันและก่อนนอน - ถ้างดอาหารว่างไม่ได้ ควรเลือกรับประทานอาหารพวกโปรตีน ถั่วต้ม หรือผลไม้สด แทนอาหาร ประเภทแป้งและน�ำ้ ตาล โดยเฉพาะทห่ี วาน หรอื ติดฟนั งา่ ย แปรงออกจากฟันไดย้ าก 76 คมู่ อื วทิ ยากรพี่เลีย้ งขับเคล่อื นตำ�บลจัดการสุขภาพแบบบรู ณาการ

- หลกี เลยี่ งอาหารท่ีเหนยี วและแขง็ ทอ่ี าจท�ำใหฟ้ นั และวสั ดุอดุ ฟันบิ่น หรือแตกหกั ภาคผนวก - หลีกเลย่ี งชา กาแฟ บุหรี่ ยาเสน้ ยานตั ถุ์ หมาก เครอื่ งดม่ื ผสมแอลกอฮอล์ ๔. การรบั บรกิ ารตรวจปอ้ งกันและรักษาจากทนั ตบคุ ลากร - ควรตรวจสุขภาพช่องปากทุก ๖ เดือน เพ่ือการป้องกันและรักษาโรคในช่องปากในระยะแรกเริ่ม ซึง่ บรกิ ารทคี่ วรไดร้ ับ ไดแ้ ก่ - ค�ำแนะน�ำในการดูแลสขุ ภาพช่องปากท่ีถูกต้องและเหมาะสม - การทาฟลอู อไรด์แบบเขม้ ข้น บรเิ วณคอฟนั เชน่ ฟลอู อไรด์เจล วานิช เพ่อื ป้องกนั รากฟันผุ - การอดุ ฟันในกรณีฟนั ผุดว้ ยวสั ดชุ นิดกลาสไอโอโนเมอร์ ซง่ึ ปลดปล่อยฟลอู อไรดช์ ่วยปอ้ งกันฟันผซุ �ำ้ - การขดู หนิ น้�ำลาย และท�ำความสะอาดฟัน เพือ่ ป้องกันการเกิดเหงอื กอักเสบ โรคปรทิ นั ตห์ รอื ร�ำมะนาด ๕. พฤตกิ รรมสุขภาพจิตทพี่ งึ ประสงค์ พฤติกรรมสุขภาพจิตที่พึงประสงค์ หมายถึง พฤติกรรมที่ส่งเสริมให้มีสภาพชีวิตท่ีเป็นสุขปราศจาก โรค และปัญหาสุขภาพจิต มีความพอใจตัวเอง สามารถจัดการปัญหาในการด�ำเนินชีวิต มีสัมพันธภาพที่ดีกับ คนอื่น สามารถปรับตัวและพัฒนาตนเองให้เข้ากับสังคมได้อย่างมีความสุข โดยครอบคลุมถึงความดีงามในจิตใจ ภายใตส้ งั คมและสงิ่ แวดล้อมที่เปลีย่ นแปลงไป(ค่มู ือค�ำอธบิ ายตวั ชีว้ ัดตามค�ำรบั รองการปฏบิ ัตริ าชการของหนว่ ยงาน ในสังกัดกรมสขุ ภาพจิต ปงี บประมาณ ๒๕๖๑ ช่อื ตวั ชี้วัด ร้อยละของประชาชนมีพฤตกิ รรมสขุ ภาพจติ ทพ่ี งึ ประสงค์ โดยหนว่ ย PM (บรหิ ารและติดตามผล) กองสขุ ภาพจติ สังคม กรมสุขภาพจิต) สุขภาพจิต คอื สภาพชวี ิตทเ่ี ปน็ สขุ มีอารมณม์ ั่นคงสามารถปรับตวั ให้เข้ากบั ส่ิงแวดลอ้ มท่เี ปล่ียนแปลง อยู่ตลอดเวลา มีสมรรถภาพในการท�ำงาน และอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความพอใจสุขภาพไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกายหรือ สุขภาพจิตเป็นสิ่งส�ำคัญและจ�ำเป็นส�ำหรับทุกชีวิตในการด�ำรงอยู่อย่างปกติ เป้าหมายของการเรียนรู้วิชาสุขภาพจิต กค็ อื การท�ำให้ชวี ติ มีความสขุ ความพอใจ ความสมหวังทั้งของตนเองและของผอู้ ่ืน ความส�ำคญั ของสุขภาพจติ “สุขภาพจิต” มีผลต่อการด�ำรงชวี ิตของมนุษย์หลายด้าน ดังนี้ ๑. ดา้ นการศึกษา ผ้ทู ส่ี ขุ ภาพจิตดยี อ่ มมจี ิตใจปลอดโปรง่ สามารถศกึ ษาไดส้ �ำเร็จ ๒. ด้านอาชพี การงาน ผู้ที่สขุ ภาพจิตดีย่อมมีก�ำลังใจตอ่ สู้อุปสรรคไมท่ อ้ แท้ เบ่ือหน่าย ท�ำงานก็บรรลผุ ลส�ำเรจ็ ๓. ด้านชีวติ ครอบครวั คนในครอบครวั สขุ ภาพจิตดี ครอบครวั ก็สงบสขุ ๔. ด้านเพ่อื นร่วมงาน ผู้ท่ีสุขภาพจิตดยี ่อมไม่เป็นทรี่ ังเกยี จปรบั ตัวเข้ากบั ผู้อืน่ ไดด้ ี ๕.ดา้ นสุขภาพรา่ งกายถา้ สุขภาพจิตดรี า่ งกายก็สดชื่นหนา้ ตายิม้ แยม้ สมองแจ่มใสเปน็ ที่สบายใจแกผ่ ูพ้ บเหน็ อยากคบคา้ สมาคมดว้ ย สุขภาพจติ ลักษณะของผ้ทู ี่มีสุขภาพจิตดี ประโยชนข์ องการมสี ขุ ภาพจิตดี สขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิต ของคนย่อมมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น เด็กท่ีมีความบกพร่องทางกาย เช่น หูตึง หรือสายตาสั้น อาจได้รับ ความล�ำบาก ในการปรบั ตวั เดก็ ทีม่ โี รคประจ�ำตัวบางอย่างมกั มีอารมณ์หงดุ หงดิ ท�ำตัวให้เขา้ กับเพอื่ นฝงู ได้ยาก เดก็ ประเภทนี้จ�ำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ มิฉะน้ันสุขภาพจิตของเด็กก็มีหวังเสื่อมทรามลงไปได้มาก ๆ คนที่ขาด สขุ ภาพจิตมกั มีสุขภาพกายเส่อื มลงไปด้วย เดก็ ท่ีเสียสขุ ภาพจติ ถา้ เกดิ เจบ็ ปว่ ยขน้ึ มา กม็ ักเจบ็ ปว่ ยมาก กล่าวคือ เดก็ จะเสียก�ำลังใจและตีโพย ตีพายไปเกินกว่าเหตุ อาการเจ็บป่วยธรรมดาอาจเพิ่มขึ้นโดยไม่จ�ำเป็น ก�ำลังใจของคนไข้ เป็นส่วนประกอบอันส�ำคัญในการที่จะรักษาโรคให้ได้ผล ถ้าคนไข้เป็นคนขาดสุขภาพจิตแล้วก็จะท�ำให้การรักษา โรคล�ำบากย่ิงขึ้น ร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดถ้าร่างกาย เกิดผิดปกติก็จะท�ำให้จิตใจผิดปกติไป ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับบุคคล และส่ิงแวดล้อมด้วย ในทางกลับกัน ถ้าสุขภาพจิตไม่ดีก็จะมีผลให้ สุขภาพกาย เปล่ยี นแปลงไป อาจท�ำใหเ้ กดิ โรคทางกายได้ ผู้ทมี่ ีอารมณ์หวนั่ ไหว วิตกกงั วล หรอื เครยี ด อาจจะมีอาการท้องเดิน คูม่ อื วทิ ยากรพ่ีเลย้ี งขับเคล่ือนตำ�บลจดั การสขุ ภาพแบบบรู ณาการ 77

ภาคผนวก เมอ่ื เกดิ ความกลวั ก็อาจจะมอี าการปวดศรี ษะหรือเกดิ อารมณ์ทางกายอ่นื ๆเมื่อเราตน่ื เตน้ ตกใจก็จะท�ำให้การหายใจ เร็วขึ้น ตัวสั่น เป็นต้น ดังน้ัน การที่คนเราจะมีร่างกายที่สมบูรณ์ได้ก็ควรจะต้องมีอารมณ์อยู่ในภาวะที่สมบูรณ์ด้วย จากความสัมพนั ธก์ นั อย่างใกล้ชดิ ของรา่ งกายและจติ ใจนี้ จึงมีผูก้ ล่าวว่า จิตใจทแ่ี จม่ ใสย่อมอยู่ในร่างกายทสี่ มบูรณ์ ลกั ษณะของผ้ทู ่ีมสี ุขภาพจิตดี มลี ักษณะหลายประการ ดังน้ี ๑. เป็นผู้ท่มี คี วามสามารถและความเตม็ ใจท่จี ะรบั ผิดชอบอยา่ งเหมาะสมกับระดบั อายุ ๒. เป็นผทู้ ม่ี ีความพอใจในความส�ำเรจ็ จากการได้เขา้ รว่ มกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่ม โดยไม่ค�ำนึงวา่ การเขา้ รว่ ม กิจกรรมนั้นจะมกี ารถกเถยี งกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม ๓. เป็นผู้เต็มใจท่ีจะท�ำงานและรับผิดชอบอย่างเหมาะสมกับบทบาทหรือต�ำแหน่งในชีวิตของเขา แม้ว่าจะ ท�ำไปเพือ่ ตอ้ งการต�ำแหนง่ ก็ตาม ๔. เม่ือเผชิญกับปัญหาท่จี ะต้องแกไ้ ข เขาก็ไม่หาทางหลบเลยี่ ง ๕. จะรสู้ กึ สนกุ ต่อการขจัดอปุ สรรคที่ขดั ขวางตอ่ ความสุขหรือพฒั นาการ หลังจากทเ่ี ขาค้นพบดว้ ยตนเองว่า อุปสรรคนัน้ เป็นความจรงิ ไมใ่ ช่อปุ สรรคในจนิ ตนาการ ๖. เป็นผทู้ ่ีสามารถตัดสินใจด้วยความกงั วลนอ้ ยท่สี ุด มคี วามรู้สกึ ขัดแยง้ ในใจและหลบหลีกปญั หานอ้ ยที่สุด ๗. เปน็ ผู้ท่สี ามารถอดได้ รอได้ จนกวา่ จะพบสิง่ ใหม่ หรอื ทางเลือกใหม่ท่มี ีความส�ำคญั หรือดีกวา่ ๘. เปน็ ผูท้ ี่ประสบผลส�ำเรจ็ ดว้ ยความสามารถท่แี ทจ้ ริงไม่ใชค่ วามสามารถในความคิดฝนั ๙. เปน็ ผทู้ ี่คิดกอ่ นท�ำ หรือมีโครงการแน่นอนก่อนทจ่ี ะปฏิบัติ ไม่มีโครงการท่ีถ่วงหรอื หลกี เล่ียงการกระท�ำต่างๆ ๑๐. เปน็ ผทู้ ่เี รยี นรู้จากความล้มเหลวของตนเองแทนท่จี ะหา ข้อแก้ตัวด้วยการหาเหตุผลเขา้ ข้างตนเอง หรือ โยนความผิดใหแ้ ก่คนอนื่ ๑๑. เม่ือประสบผลส�ำเรจ็ กไ็ ม่ชอบคุยโออ้ วดจนเกินความเป็นจรงิ ๑๒. เป็นผูท้ ปี่ ฏิบตั ติ นได้สมบทบาท รู้วา่ จะปฏิบตั อิ ยา่ งไรเม่ือถึงเวลาท�ำงาน หรือจะปฏบิ ตั อิ ยา่ งไรเมอื่ ถึงเวลาเล่น ๑๓. เป็นผู้ท่ีสามารถจะปฏิเสธต่อการเข้าร่วมกิจกรรมท่ีใช้เวลามากเกินไปหรือกิจกรรมที่สวนทางกับท่ีเขา สนใจแมว้ ่ากจิ กรรมนั้นจะท�ำให้เขาพอใจไดใ้ นชว่ งเวลาใดเวลาหนง่ึ กต็ าม ๑๔. เป็นผู้ท่ีสามารถตอบรับที่จะเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ส�ำหรับเขา แม้ว่ากิจกรรมนั้นจะไม่ท�ำให้ เขาพงึ พอใจกต็ าม ๑๕. เป็นผู้ท่ีจะแสดงความโกรธออกมาโดยตรง เมื่อเขาได้รับความเสียหายหรือถูกรังแก และจะแสดงออก เพื่อป้องกันความถูกต้องของเขาด้วยเหตุด้วยผลการแสดงออกนี้จะมีความรุนแรงอย่างเหมาะสมกับปริมาณความ เสยี หายที่เขาไดร้ บั ๑๖. เปน็ ผทู้ ี่สามารถแสดงความพอใจออกมาโดยตรงและจะแสดงออก อยา่ งเหมาะสมกับปริมาณและชนิด ของสง่ิ ทก่ี อ่ ให้เกดิ ความพึงพอใจ ๑๗. เปน็ ผทู้ ส่ี ามารถอดทน หรืออดกลน้ั ต่อความผิดหวัง และภาวะความคบั ข้องใจทางอารมณ์ไดด้ ี ๑๘. เป็นผู้ที่มีลักษณะนิสัยและเจตคติท่ีก่อรูปขึ้นอย่างเป็นระเบียบเมื่อเผชิญกับส่ิงยุ่งยากต่างๆ ก็สามารถ จะประนีประนอมนสิ ยั และเจตคตเิ ข้ากบั สถานการณท์ ยี่ ุ่งยากต่าง ๆ ได้ ๑๙. เป็นผู้ที่สามารถระดมพลังงานท่ีมีอยู่ในตัวออกมาใช้ได้อย่างทันทีและพร้อมเพรียง และสามารถรวม พลงั งานนั้นสู่เป้าหมายอยา่ งใดอย่างหน่งึ เพือ่ ความส�ำเรจ็ ของเขา ๒๐. เป็นผู้ท่ีไม่พยายามที่จะเปล่ียนแปลงความจริงซ่ึงชีวิตของเขา จะต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่มีที่ส้ินสุด แต่ เขาจะยอมรับว่าบุคคลจะต้องต่อสู้กับตนเอง ฉะนั้นเขาจะต้องมีความเข้มแข็งให้มากท่ีสุด และใช้วิจารณญาณท่ีดี ทสี่ ุด เพื่อจะผละจากคล่นื อุปสรรคภายนอก (https://titleparkker.wordpress.com) 78 คู่มอื วิทยากรพ่เี ลี้ยงขบั เคลื่อนต�ำ บลจดั การสุขภาพแบบบูรณาการ

บรรณานกุ รม ทักษิณา เครือหงส์. รายงานการวิจัยเพ่ือเสริมสร้างการเห็นคุณค่าในตนเองของนักศึกษา มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ. ม.ป.พ., ๒๕๕๑. เทคโนโลยีอุตสาหกรรม, คณะ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ล�ำปาง. คมู่ อื การจดั การเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเปน็ ส�ำคญั . ล�ำปาง : ม.ป.พ., ๒๕๕๓. ธงชัย สันติวงษ์. การบริหารงานบุคคล. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๓๙. ธรี ะพงษ์ แกว้ หาวงษ์. กระบวนการเสรมิ สรา้ งชมุ ชนเข้มแขง็ : ประชาคม ประชา สังคม. พิมพค์ ร้ังท่ี ๖. ขอนแก่น : คลงั นานาวิทยา, ๒๕๔๓. พะยอม วงศส์ ารศรี. การบรหิ ารทรัพยากรมนุษย์. กรงุ เทพฯ : ส�ำนกั พิมพ์สุภา, ๒๕๔๕. พิชติ ฤทธจิ์ รญู . หลักการวัดและประเมินผลการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : เฮา้ ส์ ออฟ เคอร์มสี ท์, ๒๕๔๘. มลั ลิกา มัติโก และคนอื่น ๆ. รายงานการวิจัยภาวะสขุ ภาพอนามัยและการดูแลตนเองเกี่ยวกับสขุ ภาพ อนามยั ของผูสงู อายพุ ื้นท่ีศกึ ษาในเขตภาคเหนอื . นครปฐม, ๒๕๔๐. วฒั นา ระงับทกุ ข์. แผนการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง. กรุงเทพฯ : แอล ที เพรส จ�ำกดั , ๒๕๔๒. วิชาการ, กรม กระทรวงศึกษาธิการ. การสังเคราะห์งานวิจัยเก่ียวกับรู้แบบการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียน เป็นส�ำคัญ. ม.ป.พ., ๒๕๔๔. สมนึก ภทั ทิยธน.ี การวัดผลการศกึ ษา. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๔. กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ,์ ๒๕๔๖. สุพิมพ์ ศรีพันธ์วรสกุล. เอกสารประกอบการบรรยายของส�ำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมา ธิราช. ม.ป.พ., ๒๕๕๒. อมร นนทสตุ . การพฒั นาแผนที่ยุทธศาสตร์ = Strategy map. นนทบุรี : ม.ป.พ., ๒๕๔๘. สายสิริ ด่านวัฒนะ, มาปลูกต้นสุขให้เต็มแผ่นดินคู่มือการจัดการสุขภาพชุมชน.กรุงเทพฯ: สหมิตรพริ้นติ้ง แอนดพ์ ับลิชช่งิ จ�ำกัด,๒๕๕๖. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน ส�ำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (๒๕๖๐). ยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี ดา้ นสาธารณสุข ประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑. นนทบรุ .ี คู่มอื วทิ ยากรพ่เี ลยี้ งขบั เคลือ่ นต�ำ บลจัดการสุขภาพแบบบรู ณาการ 79

คณะผจู้ ดั ท�ำ ทีป่ รกึ ษา อธบิ ดีกรมสนับสนนุ บริการสขุ ภาพ พญ.ประนอม ค�ำเทยี่ ง รองอธบิ ดีกรมสนับสนุนบริการสขุ ภาพ นพ.ภานุวฒั น์ ปานเกต ุ ผูอ้ �ำนวยการกองสนบั สนนุ สขุ ภาพภาคประชาชน อญั ธกิ า ชชั วาลยางกูร รองผู้อ�ำนวยการกองสนับสนนุ สขุ ภาพภาคประชาชน ชาติชาย สุวรรณนติ ย์ คณะผู้จัดท�ำ จนั ทรักษ ์ กองสนับสนนุ สขุ ภาพภาคประชาชน สุธาทิพย ์ นวลขาว กองสนับสนุนสขุ ภาพภาคประชาชน ชอ่ เพ็ญ สงวนรัตน ์ กองสนบั สนุนสุขภาพภาคประชาชน รตี กอ้ นทองด ี กองสนับสนนุ สขุ ภาพภาคประชาชน ญาณณิ ษา ทพิ ย์อุทยั กองสนับสนนุ สุขภาพภาคประชาชน วลัยภรณ ์ เผา่ พัฒน ์ กองสนับสนนุ สุขภาพภาคประชาชน กาญจนา เสราดี สถาบนั พฒั นานวตั กรรมด้านระบบบรกิ ารสขุ ภาพ กมลาภรณ์ ภาคเหนือ จังหวัดนครสวรรค์ โตเทศ สถาบนั พฒั นานวัตกรรมด้านระบบบริการสขุ ภาพ เพญ็ ศร ี ภาคเหนอื จงั หวดั นครสวรรค์ กติ ตวิ ราวุฒิ สถาบนั พัฒนานวัตกรรมดา้ นระบบบรกิ ารสุขภาพ มณฑา ภาคกลาง จังหวดั ชลบรุ ี กิจพจน ์ สถาบนั พัฒนานวัตกรรมดา้ นระบบบรกิ ารสขุ ภาพ วรารตั น์ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จังหวดั ขอนแกน่ ส�ำอางศร ี สถาบันพฒั นานวตั กรรมดา้ นระบบบรกิ ารสขุ ภาพ วณี าพร ภาคใต้ จังหวดั นครศรีธรรมราช อกั ษรแก้ว สถาบันพัฒนานวัตกรรมดา้ นระบบบรกิ ารสขุ ภาพ วนิ ยั ชายแดนภาคใต้ จงั หวดั ยะลา อว่ มสุข ส�ำนักงานสนบั สนุนบรกิ ารสขุ ภาพเขต ๒ นฤดล ป้อมข�ำ ส�ำนกั งานสนับสนุนบรกิ ารสขุ ภาพเขต ๒ ศรญั ญู ครุฑจับนาค ส�ำนักงานสนับสนนุ บรกิ ารสขุ ภาพเขต ๓ อรพินท์ ข�ำนาค ส�ำนกั งานสนับสนุนบรกิ ารสขุ ภาพเขต ๓ พิมพ์พชิ ชา เหมริชี ส�ำนักงานสนบั สนนุ บริการสุขภาพเขต ๔ สุดารตั น ์ ทองค�ำ ส�ำนักงานสนับสนนุ บรกิ ารสขุ ภาพเขต ๖ จ�ำรัส เลกิ ชัยภมู ิ ส�ำนกั งานสนับสนนุ บริการสุขภาพเขต ๗ ถวลิ อาจชนะศึก ส�ำนักงานสนับสนนุ บรกิ ารสุขภาพเขต ๙ สมภพ ปญั ญา ส�ำนกั งานสนับสนนุ บริการสขุ ภาพเขต ๑๐ นิสา 80 คู่มอื วทิ ยากรพเ่ี ลี้ยงขบั เคลอื่ นต�ำ บลจัดการสขุ ภาพแบบบรู ณาการ

~~L~l7tq lII:u.f1\"\"~ih'Jl,d'l'l1t-n~~Ml~u.¢hl@llSBB\"L'1ft%'l~\"~l~~ ---- -.flL.;'%ftB~1h11~~\"~U.~'f1\"'1I.ib~fl~~afl,u%1 fi%\"~l srms u..a:_lOJf \"\"~SLL.'lfl,,\"1'fl\"f11~, ';iBlI\"\"lIl~~m\"l@1 ~lII:cy)it-n'-~'liLf1,-;'-uImTfQlLm ';il\"11%~d'lffq\"llB~4'~\"~L ena M'fl l\"\"1)\"'';'fl~~'Jl,lII:Lii~y,,;~Lm -.flL;'%~'fl~'fll\"\"a\"'';il!s'''~!~l1 , ~'l\"\"'% u.,j~!t% ~,,:,j\"L\"11Jl:'lI';i:d'lI\"'';im t~\"tb~,,~~ f\"1'Ja<\"Q,,%aiedn\"Lll@l'J\"lI'1fl~'f\"lSl~L\",l,I!lt'.fl\"L\"lI1L.1II ti~Tll~L.iJ~@J~~iJQ~flldt~~1QTI ... \"\"a f1,u%t1fu..a:;t'.lm ~1 ~~;tB~ltil\"lil\"lS'll%L\"\"t'll;t L';il'fl'f)\"LlI%enl~tli%TfTn%Tf!'f)~~ B@hU\"\"11Jil\"lll1\"'Jl\"~'f\")'Jl~ffc!en1il u..a:fil'J1~~~,t1it%il1';it~\"1)1~f1t~L~%'lI';i:tS1,t L~%~\"lIL\"}l~lII:L~-uIm


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook