ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมัญญาภธิ านและสนธิ - หนา ที่ 1 คาํ นํา วธิ แี สดงไวยากรณของตนั ติภาษา [ ภาษามีแบบแผน ] นน้ั นกั ปราชญทงั้ หลายไดจ ัดไวเ ปนหมวดหมูล ะมายคลา ยคลงึ กนั จนให สนั นษิ ฐานไดว า ภาษาเหลา นี้คงจะมีอรยิ กภาษาเปนมลู เดิม จะขอ กลา วยอ ๆ แตภ าษาท่ีขาพเจาไดทราบอยบู างเลก็ นอย คอื บาลีภาษา ๑ สนั สกฤตภาษา ๑ อังกฤษภาษา ๑ ในภาษาทง้ั ๓ นัน้ ในบาลี ภาษา นกั ปราชญทา นจัดไวยากรณเปน หมวด ๆ กนั ๙ หมวด ดงั น้ี อกั ขรวธิ ี แสดงอกั ษรพรอมท้งั ฐานกรณเปนตน ๑ สนธิ ตอ อกั ษร ทอี่ ยูใ นคําอ่ืน ใหเน่ืองเปนอนั เดียวกัน ๑ นาม แจกช่ือคน, สัตว, ท,่ี ส่ิงของตาง ๆ, สพั พนาม แจกศัพท ท่สี ําหรบั ใชแทนนามที่ ออกช่ือแลว เพือ่ จะไดไมเ รียกซ้ําใหรกโสต ๒ อยางนพ้ี รอ มท้ังลงิ คะ วจนะ วิภตั ติ ๑ สมาสยอนามตงั้ แต ๒ ข้นึ ไป ใหเปน บทเดยี วกนั ๑ ตัทธติ ใชปจ จยั แทนศพั ทใ หน อยลง มีเน้ือความไดเตม็ ท่ี ๑ อาขยาต แจกกริ ิยาศัพท พรอม วจนะ บุรษุ วิภัตติ กาล บอก กัตตุ กรรม และภาพ ๑ กฤต ใชปจ จัยเปนเครอ่ื งกาํ หนดรูส าธนะหรือ กาล ๑ อณุ ณาทิ มวี ธิ ใี ชปจ จยั คลายกฤต แตม กั เปนปจเจกปจจยั โดยมาก ๑ การก แสดงลักษณะของคําพูด ๑ ถานบั รวมทง้ั ฉนั ทลกั ษณะท่ีทา นจดั ไว เปนหมวดหน่ึงตา งหาก มไิ ดส งเคราะหเ ขา ในมลู ไวยากรณก เ็ ปน ๑๐ หมวด. ในสันสกฤตภาษา ก็ไมสูจะตางจากบาลภี าษา ตา งกนั เลก็ นอ ย ในสันสกฤต มวี จนะเปน ๓ คือ เอกวจนะ คาํ พดู ถึงคง หรือ
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมัญญาภิธานและสนธิ - หนาท่ี 2 ของสิ่งเดียว ๑ ทววิ จนะ คาํ พดู ถงึ คนหรือของ ๒ สิ่ง ๑ พหวุ จนะ คําพูดถึงคนหรอื ของมาก ๑. สว นในบาลภี าษามีวจนะแต ๒ คือ เอกวจนะ ๑ พหุวจนะ ๑ และในภาษาสันสกฤตมีวภิ ตั ตอิ าขยาต ๑๐ หมู ในบาลภี าษามีแต ๘ หมเู ปน ตน . ในองั กฤษภาษา นกั ปราชญช าว ประเทศนัน้ แบงไวยากรณ ( GRAMMAR ) ของตน เปน ๔ สว น เรยี กชือ่ วา ORTHOGRAPHY สอนใหว า และเขยี นถอยคํานน้ั ๆ ใหถูกตองตามตวั อกั ษรเหมอื นกบั อกั ขรวธิ ีในบาลภี าษา ๑ ETYMO- LOGY แสดงประเภทแหงถอยคาํ นั้น ๆ ทีอ่ อกจากตนเดิมของตน ๆ เหมือนกับนามเปนตน ในบาลภี าษา ๑ SYNTAX เรยี บเรียงมาตรา แหง ถอ ยคาํ นน้ั ๆ ทกี่ ลาวมาในเอติโมโลยี สวนที่ ๑ แลว ใหเ ปนประโยค เหมือนกับการกในบาลีภาษา ๑ PROSODY แสดงวิธอี านเสยี ง หนัก เบา ยาว สัน้ ดงั คอย หยุดตามระยะท่สี มควร และวิธแี ตง โคลง กลอน เหมอื นกับฉันทลกั ษณะในบาลภี าษา ๑ แตใ นเอติโมโลยีสวน ท่ี ๒ นน้ั แบง ออกเปน วจนวภิ าค ๙ สว น คือ NOUN คําพดู ท่เี ปน ชอ่ื คน , ท่ี, และส่ิงของ ตรงกนั กบั นามศพั ท ๑ ADJECTIVE คาํ พดู สําหรับเพ่มิ เขา กบั นามศัพท เพอ่ื จะแสดงความดีหรือช่ัวของนามศพั ทน ้นั ตรงกบั คุณศัพทหรือบทวิเศษ ๑ ARTICLE คาํ พดู สําหรบั นาํ หนา นามศพั ท เพือ่ เปน เคร่ืองหมายนามศัพท ทค่ี นพูดและคนเขยี น นยิ มและไมนยิ ม อาการคลา ยกับ เอก ศัพท ต ศพั ท ท่สี ําเร็จรปู เปน เอโก เปน โส แตจ ะวาเหมือนแทก ไ็ มได เพราะอาตกิ ล A หรอื AN ทา นไมไ ดส งเคราะหเขาในสังขยา มคี ําใชในสังขยาที่
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมญั ญาภธิ านและสนธิ - หนาท่ี 3 แปลวา หนง่ึ ตางหาก สวนเอกศัพทน้ี สงเคราะหเขาในสงั ขยา และ อาตกิ ล THE เลา ก็ไมเ หมือน ต ศัพทแท เพราะมคี ําอื่นท่ใี ชเ หมอื น ต ศพั ท อน่งึ เอก ศัพทแ ละ ต ศพั ทน ้นั เปนศพั ทนาม อาติกลนี้ ทา นมิไดส งเคราะหเ ขาในศัพทนาม แตน กั ปราชญท ัง้ หลายช้นั หลงั ๆ พิจารณาเหน็ วา อาติกลนี้ ไมตา งอะไรกบั คุณศัพท [ คําพดู ที่ ๒ ] ไมควรจะยกเปนแผนกหน่งึ ตา งหาก จึงสงเคราะหเขา เสียในคณุ ศพั ท คงเหลอื วจนวิภาคแต ๘ สวนเทา นน้ั ๑, PRONOUN คําพูดสําหรบั ใช แทนนามศัพท เพ่อื จะไดไมซงึ่ ๆ ซาก ๆ อนั เปน ทีรําคาญโสต ตรงกนั กบั สพั พนาม ๑, VERB กริ ยิ าศพั ทพ รอ มวจนะ ( NUMBER ),บรุ ุษ ( PERSON ) วภิ ตั ติ ( MOOD ) กาล ( TENSE ) จดั เปนสกัมมธาตุ กัตตกุ ิริยา ( ACTIVE VERB ) กมั มกริ ยิ า ( PASSIVE VERB ) อกัมมธาตุ ( NEUTER VEREB ) อพั ยยกิริยา ( INFINITIVE ) กฤตกริ ิยา ( PARTICIPLE ) ๑ , ADVERB คําพูดสาํ หรบั เพ่มิ เขากับ กริ ยิ าศัพทแ ละคณุ ศัพท บางทีกบั แอดเวิบเอง เพ่ือจะแสดงศัพทเหลานนั้ วาเปนอยางไร ดหี รือช่ัว เรว็ หรอื ชา เปน ตน เหมือนคณุ ศพั ท สําหรับเพิ่มเขา กับนามศัพทฉ ะนน้ั ตรงกับกริ ยิ าวิเศษ และอัพยยศพั ท และอุปสัค ๑, PREPOSITION เปน วิภตั ตสิ าํ หรับวางหนานามศพั ท หลงั กิริยาศพั ทด ว ยกนั เพอื่ จะแสดงใหศ พั ทนน้ั มีเนื้อความ เนือ่ งกัน แสดงอทุ าหรณในภาษาสยามเหมอื นหนึ่งวา ศพั ทคอื เส้อื คน มคี วามเปน ๒ อยาง ครนั้ ลง เปรโปสิชนั คือ ของ หนานามศพั ท คอื คน ก็ไดค วามเปน อันเดียวกันวา \" เสอ้ื ของคน \" จะเทยี บ
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมญั ญาภธิ านและสนธิ - หนา ท่ี 4 ดวยบาลีภาษา หรอื สนั สกฤตภาษา ก็ไมช ดั ความ เพราะภาษาทงั้ ๒ ไมใ ชเปรโปสชิ ันตรง เหมอื นภาษาองั กฤษและภาษาสยามของเรา ใชเปลย่ี นทสี่ ดุ นามศัพทนนั้ ๆ เอง ตามความท่ีจะตองลงเปรโปสชิ ัน เหมอื นภาษาลตินและภาษาครกิ แตข าพเจา เห็นหนงั สอื ไวยากรณบาลี และสันสกฤต ที่นกั ปราชญช าวยโุ รปแตง ไว ทา นแสดงเปรโปสชิ นั วา เปน อุปสคั ขาพเจา ยังจับเหตุไมไ ด เพราะเห็นวิธีที่ใช เปรโปสิชัน ใน ภาษาอังกฤษอยา งหน่ึง ใชว ิธอี ปุ สคั ในภาษาบาลอี ยางหน่ึง ไมเหมือน กนั ถาจะเทียบแลว เห็นวาอุปสัคคลายแอดเวิบ คอื กริ ยิ าวิเศษ เพราะนําหนากิรยิ า เพ่อื จะแสดงกริ ิยานั้นใหดขี น้ึ หรอื ใหชั่วลง จะเห็น งายกวา ๑, CONJUNCTION คําพดู สําหรับตอศัพทห รือประโยคให เนอ่ื งกัน ตรงกบั นบิ าตบางพวกมี จ และ วา เปน ตน ที่นักปราชญ ชาวยโุ รปใหช อื่ วา PARTICLE OR INDECLINABLE ๑, INTERJECTION คาํ พูดสําหรบั แสดงความอัศจรรยหรือความตกใจ ตรงกนั กบั นิบาตบางพวกมี อโห เปนตน . เอติโมโลยี สวนที่ ๒ ทา นแจกออกไปเปน ๙ อยางบา ง ๘ อยางบา ง ดงั น้ี.
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมัญญาภธิ านและสนธิ - หนาที่ 5 บาลีไวยากรณ บาลไี วยากรณนแี้ บงเปน ๔ ภาคกอ น คือ อักขรวิธี ๑ วจวี ิภาค ๑ วากยสัมพันธ ๑ ฉันทลกั ษณะ ๑. [ ๑ ] อกั ขรวธิ ี วา ดวยอกั ษร จดั เปน ๒ คือ สมัญญาภิธาน แสดงชอ่ื อักษร ทเี่ ปน สระ และพยญั ชนะ พรอ มท้งั ฐานกรณ ๑ สนธิ ตออกั ษรที่อยูในคําอ่นื ใหเนอ่ื งเปน อนั เดยี วกัน. [ ๒ ] วจวี ภิ าค แบงคาํ พดู ออกเปน ๖ สวน คือ นาม ๑ อัพยยศัพท ๑ สมาส ๑ ตัทธิต ๑ อาขยาต ๑ กฤต ๑. [ ๓ ] วากยสัมพันธ วา ดวยการก และประพนั ธผ กู คําพูดที่ แบง ไวใ นวจีวิภาค ใหเ ขา เปน ประโยคอนั เดียวกัน. [ ๔ ] ฉันทลักษณะ แสดงวิธแี ตงฉันท คือคาถาทีเ่ ปน วรรณพฤทธแ์ิ ละมาตราพฤทธ์.ิ --------------------- อักขรวธิ ี ภาคที่ ๑ สมญั ญาภธิ าน [ ๑ ] เนื้อความของถอยคําท้งั ปวง ตองหมายรกู นั ดว ยอกั ขระ เมื่ออกั ขระวิบัติแลว ก็เขาใจเนอ้ื ความยาก เพราะฉะน้นั ความเปน ผูฉลาดในอักขระ จงึ มอี ุปการะมาก คาํ วาอกั ขระ ๆ นัน้ วาตามท่ี นกั ปราชญทา นประสงค ก็เปน ๒ อยา ง เปนเสยี งอยาง ๑ เปน
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมญั ญาภิธานและสนธิ - หนา ที่ 6 หนงั สอื อยา ง ๑ มีเนอื้ ความเปน อนั เดยี วกนั เสยี งกด็ ี ตัวหนงั สอื กด็ ี ที่เปน ของชาติใด ภาษาใด ก็พอใชไ ดค รบสาํ เนียง ในชาตินน้ั ภาษานน้ั ไมบ กพรอ ง ถาจะกลา วหรือเขยี นสกั เทาใด ๆ ก็คงใช เสียง หรอื ตัวหนังสอื อยูเทา นน้ั เอง เสยี งและตวั หนงั สือน้ัน มไิ ด ส้ินไปเลย และไมเ ปน ของแขง็ ทจ่ี ะใชใ นภาษานั้นยาก เหมอื น หนง่ึ เสียงและตัวหนังสือของชาติอ่นื จะเอามาใชใ นภาษาอื่นจากภาษา น้นั ยาก เปน ของชาติไหนภาษา กใ็ ชไ ดพ อสมควรแกชาตินนั้ ภาษานน้ั ไมข ดั ของ เพราะฉะน้นั เสียงกด็ ี ตัวหนังสือก็ดี ชื่อวา อักขระ แปลวา ไมร จู ักส้ินอยาง ๑ ไมเ ปน ของแขง็ อยา ง ๑. [ ๒ ] อกั ขระทีใ่ ชใ นบาลภี าษาน้ัน ๔๑ ตัว คอื อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ๘ ตวั น้ีชอื่ สระ, ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ , ฏ ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น, ป ผ พ ภ ม, ย ร ล ว ส ห ฬ ๓๓ ตัวน้ีชอ่ื พยัญชนะ. [ ๓ ] ในอักขระ ๔๑ ตัวน้ัน อกั ขระเบ้อื งตน ๘ ตวั ตัง้ แต อ จนถงึ โอ ชอื่ สระ ออกเสียงไดตามลําพังตนเอง และทําพยญั ชนะ ใหออกเสยี งได, สระ ๘ ตวั น้ี ชอ่ื นสิ สัย เปนท่ีอาศัยของพยัญชนะ บรรดาพยัญชนะ ตองอาศัยสระ จงึ ออกเสยี งได ในสระ ๘ ตวั นนั้ สระมีมาตราเบา ๓ ตัว คอื อ อิ อุ ช่อื รัสสะ มีเสียงสัน้ เหมือน คําวา อติ คร,ุ สระอีก ๕ ตัว อื่นจากรัสสะ ๓ คอื อา อี อู เอ โอ ช่ือทฆี ะ มีเสียงยาว เหมือนคําวา ภาคี วธู เสโข เปน ตน, แต เอ โอ ท่ีมพี ยญั ชนะสังโยค คือซอ มกันอยูเบอ้ื งหลังทา นกลา ววา เปน รสั สะ
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมญั ญาภธิ านและสนธิ - หนา ท่ี 7 เหมือนคําวา เสยฺโย โสตถฺ ิ เปน ตน, สระที่เปนทีฆะลว น และสระ ที่เปน รสั สะมีพยัญชนะสังโยค และนคิ คหิตอยูเบื้องหลัง ชอ่ื ครุ มี เสียงหนกั เหมอื นคาํ วา ภปู าโล เอสี มนุสฺสินโฺ ท โกเสยยฺ เปนตน , สระทเ่ี ปน รัสสะลวน ไมม พี ยัญชนะสงั โยค และนคิ คหติ อยู เบอ้ื งหลัง ชอ่ื ลหุ มีเสยี งเบา เหมือนคําวา ปติ มนุ ิ เปน ตน. สระน้ัน จดั เปนคไู ด ๓ คู อ อา เรยี กวา อวณฺโณ, อิ อี เรียกวา อวิ ณโฺ ณ, อุ อู เรยี กวา อวุ ณฺโณ, เอ โอ ๒ ตวั น้ี เปนสงั ยตุ ตสระ ประกอบเสียงสระ ๒ ตวั เปน เสียงเดียวกนั ตรงกับคําอังกฤษเรียกวา DIPHTHONG อ กับ อิ ผสมกนั เปน เอ, อ กบั อุ ผสมกัน เปน โอ, เพราะฉะนนั้ สระ ๒ ตวั นี้ จึงเกิดใน ๒ ฐานตามทแี่ สดงไว ขา งหนา [ ๖ ]. พยัญชนะ [ ๖ ] อกั ขระทีเ่ หลอื จากสระนั้น ๓๓ ตวั มี ก เปนตน มีนคิ คหิต เปน ทส่ี ดุ ชอ่ื พยญั ชนะ คาํ วาพยัญชนะนน้ั แปลวา ทําเน้อื ความให ปรากฏ อักขระเหลา นี้เปน นสิ สิต ตอ งอาศัยสระจึงออกเสียง ไดกจ็ ริงอยู ถึงกระนัน้ ก็ทาํ เนอื้ ความใหปรากฏชดั จนถึงเขาใจ ความได แตล าํ พังสระเอง แมถ ึงออกเสียงได ถา พยัญชนะไม อาศยั แลว กจ็ ะมีเสียงเหมอื นกันไป แสดงเนื้อความไมช ัด ยากที่ จะสงั เกตได เหมือนหน่งึ จะถามวา \" ไปไหนมา \" ถาพยญั ชนะ ไมอ าศยั แลว สาํ เนยี งกจ็ ะเปน ตัว อ เปนอยางเดยี วกนั ไปหมดวา
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมัญญาภิธานและสนธิ - หนาท่ี 8 \" ไอ ไอ อา \" ดังนี้ ตอพยัญชนะเขา อาศัย จงึ จะออกเสียงปรากฏ ชัดวา \" ไปไหนมา \" ดงั นี.้ พยญั ชนะ ๓๓ ตัวน้ี จดั เปน ๒ พวก วรรค ๑, อวรรค ๑, วรรคจัดเปน ๕ ก ข ค ฆ ง ๕ ตัวนี้ เรยี กวา ก วรรค จ ฉ ช ฌ ๕ ตวั นี้ เรียกวา จ วรรค ฏ ฆ ฒ น ๕ ตวั น้ี เรยี กวา ฏ วรรค ต ถ ท ธ น ๕ ตวั น้ี เรียกวา ต วรรค ป ผ พ ภ ม ๕ ตัวน้ี เรยี กวา ป วรรค พยญั ชนะ ๒๕ ตวั น้เี ปนพวก ๆ กนั ตามฐานกรณที่เกิด ซ่งึ จะวาตอ ไป ขา งหนา จงึ ช่อื วรรค, พยญั ชนะ ๘ ตวั นี้ คอื ย ร ล ว ส ห ฬ เรยี กวา อวรรค เพราะไมเ ปนพวกเปนหมูกัน ตามฐานกรณทเ่ี กดิ . [ ๕ ] พยัญชนะ คอื เรยี กวา นิคคหติ ตามสาสนโวหาร, เรยี กวา อนสุ าร ตามคัมภีรศพั ทศาสตร, มีเนอื้ ความเปน อนั เดยี ว กนั , นคิ คหิต แปลวา กดสระ หรือ กรณ คือ อวัยวะทีท่ าํ เสียง เวลา เมอ่ื จะวาไมตอ งอาปากเกินกวา ปรกติ เหมอื นวาทฆี สระ. อนสุ าร แปลวา ไปตามสระ คอื พยัญชนะตัวน้ี ตองไปตาม หลงั สระคือ อ อิ อุ เสมอ เหมอื นคาํ วา อห เสตุ อกาสึ เปนตน , ถาไมมีสระ กไ็ มมที อ่ี าศัย ทา นเปรยี บไววา นิคคหติ อาศยั สระนั้น เหมือนนกจับตน ไม ถา ตนไมเ ปน ตน ซึ่งเปน ทีจ่ บั ไมมแี ลว นกก็จับ ไมไดฉะน้ัน สําเนยี งสระท่นี คิ คหิตเขาอาศัย จะแสดงไวข างหนา [ ๑๐ ]
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมญั ญาภิธานและสนธิ - หนาที่ 9 ฐานกรณของอกั ขระ [ ๖ ] ฐานกรณเ ปน ตนของอักขระ นกั ปราชญทานแสดงใน คัมภีรศพั ทศาสตร ยอ บาง พสิ ดารบา ง ครน้ั ขาพเจา จะนํามาแสดงใน ทน่ี ีใ้ หส ้นิ เชิง กเ็ หน็ วา จะพาใหผ แู รกศกึ ษาฟน เฝอนักไป จะแสดง พอสมควร. ฐานท่ีตงั้ ทีเ่ กดิ ของอกั ขระมี ๖ คอื กณฺโ คอ, ตาลุ เพดาน, มทุ ฺธา ศีรษะ กว็ า ปุม เหงอื ก ก็วา, ทนฺโต ฟน , โอฏโ รมิ - ฝปาก, นาสิกา จมูก. อกั ขระบางเหลา เกิดในฐานเดียว บางเหลา เกดิ ใน ๒ ฐาน, อ อา, ก ข ค ฆ ง, ห, ๘ ตวั นเี้ กิดในคอ เรยี กวา กณฺ ชา, อิ อ,ี จ ฉ ช ฌ , ย, ๗ ตวั น้เี กดิ ท่ีเพดาน เรียกวา ตาลุชา, ฏ ฑ ฒ ณ, ร ฬ, ๗ ตัวนี้เกดิ ในศรี ษะกว็ า ทป่ี มุ เหงอื กก็วา เรียกวา มทุ ธฺ ชา, ต ถ ท ธ น, ล ส, ๗ ตวั นี้เกดิ ทฟ่ี น เรยี กวา ทนฺตชา, อุ อ,ู ป ผ พ ภ ม, ๗ ตัวนี้เกดิ ทีร่ ิมฝปาก เรยี กวา โอฏ ชา, นิคคหิตเกิดในจมูก เรยี กวา นาสิกฏานชา, อักขระเหลา นี้ ยกเสียแตพ ยัญชนะทส่ี ุดวรรค ๕ ตวั คอื ง ณ น ม เกดิ ในฐานอันเดียว, เอ เกดิ ใน ๒ ฐาน คือ คอและเพดาน เรียกวา กณฺ ตาลโุ ชล, โอ เกิดใน ๒ ฐาน คือ คอและริมฝปาก เรียกวา คณโฺ ฏโช, พยัญชนะทสี่ ุดวรรค ๕ ตัว เกดิ ใน ๒ ฐาน คอื ตาม ฐานของตน ๆ และจมูก เรียกวา สกฏานนาสกิ ฏ านชา, ว เกิดใน ๒ ฐาน คือ ฟนและรมิ ฝป าก เรยี กวา ทนฺโตฏ โช, ห พยญั ชนะ ทป่ี ระกอบดวยพยัญชนะ ๘ ตัว คอื ณ น ม ย ล ว ฬ ทา น
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมัญญาภธิ านและสนธิ - หนาที่ 10 กลาววา เกดิ แตอก ท่ไี มไดประกอบ เกิดในคอตามฐานเดมิ ของตน. [ ๗ ] กรณท ที่ าํ อักขระมี ๔ คอื ชิวฺหามชฌฺ ทามกลางลน้ิ ๑ ชิวฺโหปคฺค ถดั ปลายลิ้นเขา มา ๑ ชวิ หฺ คฺค ปลายลิน้ ๑ สกฏ าน ฐานของตน ๑. ทา มกลางลิ้น เปนกรณของขระที่เปนตาลชุ ะ, ถัด ปลายลิน้ เขามา เปน กรณข องอักขระท่เี ปนมุทธชะ, ปลายล้นิ เปน กรณข องอกั ขระทีเ่ ปน ทันตชะ, ฐานของตนเปน กรณข องอกขระที่เหลอื จากนี.้ เสียงอักขระ [ ๘ ] มาตราทจ่ี ะวาอกั ขระน้ัน ดงั นี้ สระสน้ั มาตราเดยี ว, สระยาว ๒ มาตรา, สระมพี ยัญชนะสังโยคอยูเ บ้ืองหลงั ๓ มาตรา, พยัญชนะทง้ั ปวงกึง่ มาตรา, เหมือนหน่ึงวาสระน้ันตวั หน่ึงกึ่งวินาที ( คร่งึ ซกัน ) วา สระยาวตองวนิ าทีหน่ึง, วา สระท่ีมีพยัญชนะสงั โยค อยูเบอื้ งหลังวนิ าทีคร่ึง, วาพยัญชนะควบกัน เหมือน ตฺย ตงั้ แต ตล ถงึ ย เทา สว นที่ ๔ ของวินาที ซงึ่ กาํ หนดระยะเสียงวนิ าทีดังนี้ ก็เปน การไมแ นทเี ดยี ว เปนแตวา ไวพอจะไดร จู กั ระยะมาตราเทาน้ัน. [ ๙ ] สระ ๘ ตัวนั้น, มีเสียงไมตางกับภาษาของเรา เพราะ ฉะนัน้ ไมต องแสดงโดยพิศดาร ยอลงเปน ๒ คงมีเสียงสนั้ อยางหน่ึง ๑ มเี สียงยาวอยา ง ๑ ตามท่ีกลา วไวขางตน [ ๓ ] นนั้ แลว. [ ๑๐ ] แมถ ึงพยญั ชนะก็มีเสียงไมตางกันนกั ทีต่ างกนั คอื ค ช ฑ ท พ ๕ ตัวนี้ เปน แตใหผศู ึกษากาํ หนดพยัญชนะทีเ่ ปนโฆสะ และอโฆสะเปนตน อา นใหถูกตอ งดีข้นึ กวาแตก อน กจ็ ะเปนความ
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมัญญาภิธานและสนธิ - หนา ที่ 11 เจริญวิทยาของตน. พยญั ชนะแบงเปน ๒ ตามทม่ี ีเสียงกองและไมก อ ง. พยญั ชนะทม่ี ี เสียงกอง เรยี กวาโฆสะ ทีม่ เี สียงไมกอง เรียกวาอโฆสะ พยญั ชนะท่ี ๑ ท่ี ๒ ในวรรคท้ัง ๕ คอื ก ข, จ ฉ, ฏ , ต ถ, ป ผ, และ ส ๑๑ ตวั นี้ เปน อโฆสะ, พยญั ชนะท่ี ๓ ที่ ๔ ๕ ในวรรคทั้งท่ี ๕ คอื ค ฑ ง, ช ฌ , ฑ ฒ ฌ, ท ธ น, พ ภ ม, และ ย ร ล ว ห ฬ, ๒๑ ตัวน้ี เปน โฆสะ, นิคคหติ นกั ปราชญผ ูร ูศพั ทศาสตร ประสงคเปนโฆสะ, สว น นกั ปราชญฝา ยศาสนา ประสงคเ ปนโฆสาโฆสวิมตุ ติ พน จากโฆสะและ อโฆสะ, และเสยี งของนิคคหิตน้ีอานตามวธิ ีบาลีภาษา มสี ําเนียงเหมือน ตวั ง สะกด อานตามวธิ ีสันสกฤต มสี ําเนียงเหมือนตัว ม สะกด. [ ๑๑ ] พยัญชนะวรรคทเี่ ปน โฆสะและอโฆสะ ก็แบงเปน ๒ ตาม เสียงหยอนและหนัก, พยญั ชนะท่ถี ูกฐานของตนหยอ น ๆ ชอ่ื สถิ ลิ , พยญั ชนะทถ่ี กู ฐานของตนหนัก บันลือเสียงดงั ช่อื ธนติ , พยัญชนะที่ ๑ ท่ี ๓ ในวรรคท้งั ๕ เปน สิถลิ , พยญั ชนะท่ี ๒ ท่ี ๔ ในวรรคทัง้ ๕ เปนธนิต, ในคมั ภีรกจั จายนเภทแสดงไววา พยัญชนะที่สดุ วรรค ๕ ตัว ก็เปน สถิ ลิ แตใ นคัมภรี ท้ังหลายอน่ื ทานมไิ ดก ลา ว. [ ๑๒ ] เมอื่ ผูศ ึกษากาํ หนดจําโฆสะ อโฆสะ สถิ ลิ ธนติ ไดแ ลว พึงรเู สยี งดังนี้ พยญั ชนะทีเ่ ปนสิถลิ อโฆสะ มเี สยี งเบากวาทุกพยญั ชนะ, ธนติ อโฆสะ มีเสยี งหนักกวาสถิ ิลอโฆสะ. สถิ ลิ โฆสะ มเี สยี งดงั กวา ธนติ อโฆสะ, ธนิตโฆสะ มีเสียงดงั กองกวาสถิ ิลโฆสะ, เปน ชัน้ ๆ ดงั น้.ี
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมญั ญาภธิ านและสนธิ - หนา ท่ี 12 พยญั ชนะสงั โยค [ ๑๓ ] ลักษณะทีจ่ ะประกอบพยญั ชนะซอ นกนั ไดน ้ัน ดงั น้ี ใน พยญั ชนะวรรคทัง้ หลาย พยัญชนะที่ ๑ ซอนหนา พยัญชนะท่ี ๑ และ ท่ี ๒ ในวรรคของตนได, พยญั ชนะท่ี ๓ ซอ นหนา พยญั ชนะที่ ๓ และ ที่ ๔ ในวรรคของตนได, พยญั ชนะท่ี ๕ สุดวรรค ซอนหนา พยญั ชนะ ในวรรคของตนไดท ัง้ ๕ ตัว ยกเสียงแตต วั ง ซงึ่ เปนตวั สะกดอยา งเดยี ว, มิไดมสี ําเนยี งในภาษาบาลี ซอ นหนาตัวเองไมได, พยัญชนะวรรค ทซี่ อนกนั ดงั นี้ก็ดี ตวั ย ล ส ซอ นกนั ๒ ตวั กด็ ี ไมม สี ระค่นั , พยัญชนะตวั หนา เปน ตัวสะกดของสระท่อี ยหู นาตน ไมออกเสยี ง ผสมดว ยพยญั ชนะตัวหลงั สวนพยญั ชนะตัวหลงั อาศัยสระตวั หนา ออกสาํ เนียง เม่อื พยญั ชนะตวั ใดสะกด จะมีเสยี งเปน อยางไรน้ัน ก็ เหมอื นกับคําของเรา ไมตองกลาว แปลกกนั แตในภาษาของเรา ตวั ร ใชสะกด และมีสําเนยี งเปนกน เหมือนคาํ วา \" นคร \" เรา อา นกันวา \" นคอน \" เปน ตน เปน ตัวอยา ง ในตันติภาษาท้งั ปวง ตัว ร ไมเ ปน ตัวสะกดมเี สยี งเปน กน เลย. [ ๑๔ ] พยัญชนะ ๔ ตัว คือ ย ร ล ว ถา อยูหลงั พยญั ชนะ ตัวอืน่ ออกเสียงผสมกบั พยญั ชนะตวั หนา , ตวั ส มีสําเนยี งเปน อุสมุ ะ ไมม ีคําเทยี บในภาษาของเรา มแี ตภ าษาอังกฤษ เหมือน คําวา AS เปน ตน แมถ งึ เปนตวั สะกดของสระตัวหนา แลว กค็ งมีเสยี ง ปรากฏหนอยหนง่ึ ประมาณกง่ึ มาตราของสระส้ัน พอใหรูไดว าตัว ส สะกด ไมอ อกเสยี งเตม็ ที่ เหมือนอาศยั สระ, ตวั ห นนั้ ถา อยหู นา
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมัญญาภธิ านและสนธิ - หนาท่ี 13 พยัญชนะอื่น ก็ทําใหสระท่อี ยูข างหนา ตน ออกเสยี งมลี มมากขึ้น เหมือนคําวา พฺรหฺม ถา พยญั ชนะ ๘ ตัว ณ น ม, ย ล ว ฬ, นาํ หนา มีสาํ เนียงเขาผสมพยัญชนะนั้น. [ ๑๕ ] ขอที่วาไวข างตน วา พยัญชนะทั้งปวงกง่ึ มาตรานั้น วา ตามทที่ า นแสดงไวโ ดยไมแปลกกัน ถา จะแสดงใหพสิ ดารสักหนอย ตามวธิ ีนกั ปราชญช าวตะวนั ตกจัดแบงไวนัน้ เหน็ วา พยัญชนะวรรค ทัง้ ปวง เปน มูคะพยญั ชนะ MUTES ไมม ีมาตราเลย เพราะจะรวมเขา กบั พยญั ชนะวรรคตวั ใดตัวหน่งึ ลงในสระเดียวกนั ออกเสียงผสมกับ ไมได เปน ไดอ ยูแ ตตวั สะกดอยา งเดยี ว, สว นพยัญชนะ คือ ย ร ล ว ส ห ฬ ๗ ตัวน้ี เปน อฑั ฒสระ มีเสียงกงึ่ สระ คอื กงึ่ มาตรา เพราะพยัญชนะเหลาน้ี บางตัวก็รวมลงในสระเดียวกันดว ยพยญั ชนะ อนื่ ออกเสยี งพรอ มกันได บางตวั แมเ ปนตัวสะกด กค็ งออกเสยี ง หนอยหน่ึง พอใหรไู ดวาตวั นัน้ สะกด ลาํ ดบั อักขระ [ ๑๖ ] การเรยี งลาํ ดบั อกั ขระนนั้ ไมส ูเปน อปุ การะแกผ ูที่แรก ศึกษา ถึงกระนน้ั ก็เปน เครอื่ งประดับปญญาไดอ ยา งหนึ่ง จึงได แสดงไวในท่นี ี้ ในคัมภีรม ขุ มคั คสารทีปนี ทานแสดงลําดับแหง อักขระไวด งั น้ี อกั ขระ ๔๑ ตัว แมต า งกันโดยฐานทเ่ี กดิ เปน ตน ก็ เปน ๒ อยาง คือ เปน นสิ สยั อยาง ๑ เปนนสิ สติ อยาง ๑ สระทเี่ ปน ที่อาศยั ของพยัญชนะ ชอื่ นิสสยั , พยัญชนะอันอาศยั สระ ชอื่ นิสสิต
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมัญญาภิธานและสนธิ - หนาท่ี 14 เมอื่ จะเรียงอักขระใหเ ปนลาํ ดับ จาํ จะตอ งเรียงนิสสยั ไวก อ น ทา นจึง เรียงสระกอ น กส็ ระนนั้ เลา กเ็ ปน ๒ อยาง เกดิ ในฐานเดยี วบา ง เกดิ ใน ๒ ฐานบา ง, ควรจะเรยี งสระทเ่ี กิดในฐานเดยี วกอ น กส็ ระที่ เกิดในฐานเดียวน้ันเปน ๓ อยา ง กณั ฐชะ เกิดในคออยาง ๑ ตาลชุ ะ เกิดท่ีเพดานอยา ง ๑ โอฏฐชะ เกิดทร่ี ิมฝป ากอยาง ๑ สระทเ่ี กดิ ใน ฐานเดียว ท่ีจําจะตอ งเรยี งกอ นนน้ั ทา นก็เรียงไปตามลาํ ดับฐานท่ี เกดิ ต้ังตน แตคอ ถดั มากถ็ ึงเพดาน ตอมาจึงถึงริมฝปาก ในสระ ทีเ่ กิดในฐานเดียว ซง่ึ ไปตามลําดบั ฐานดังนน้ี นั้ รสั สสระเปนลหุ มเี สยี งเบา ทฆี สระเปน ครุ มเี สียงหนกั ควรเรียงลหกุ อน ทา นจงึ เรียงลหุกอน ครุภายหลงั ในสระท่เี กดิ ใน ๒ ฐาน ทานเรียงตัว เอ ไวกอน ตัว โอ ไวภายหลัง เพราะ เอ เกดิ ในฐานท้งั ๒ ทตี่ งั้ อยกู อน คือ คอและเพดาน, ตัว โอ เกดิ ในฐานท้ังอยูภ าย หลัง คอื คอและรมิ ฝปาก นเ้ี ปนลาํ ดบั สระ. [ ๑๗ ] สว นพยญั ชนะก็เปน ๒ เปน วรรค ๑.เปน อวรรค ๑. ทานเรยี งพยัญชนะวรรคไวกอ น พยญั ชนะทีม่ ิใชว รรคไวห ลัง เพราะ พยัญชนะวรรคมากกวาพยญั ชนะทม่ี ใิ ชว รรค ใหร จู กั ลาํ ดบั ของ พยญั ชนะวรรคทงั้ ๕ ตามลาํ ดบั ฐานดงั นี้ ฐาน คือ คอ เปนตน ถดั มา เพดาน ปมุ เหงือก ฟน ริมฝปาก เปน ลาํ ดับกันไป ทา น จึงเรยี ง ก วรรคไวตน ตอไป จ วรรค ฏ วรรค ต วรรค ป วรรค เปน ลําดบั ไป แมถ งึ อักขระในวรรคเลากเ็ ปน ๒ โฆสะอยาง ๑ อโฆสะ อยา ง ๑ แมถ งึ ควรจะเรยี งโฆสะไวก อน เพราะมากกวา กจ็ ริงอยู ถงึ
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมญั ญาภิธานและสนธิ - หนา ท่ี 15 กระนน้ั พยญั ชนะท่เี ปน โฆสะเสียงหนักกวา พยญั ชนะทีเ่ ปนอโฆสะ เสียงเบา จาํ จะตองเรียงพยญั ชนะทีท่ ่ีมเี สียงเบากอน เรียงพยัญชนะท่ี มีเสียงหนกั ไวภ ายหลัง ทา นจงึ ไดเรียงอโฆสะไวก อน โฆสะไวภาย หลงั , ในพยญั ชนะทม่ี ิใชว รรคกเ็ ปน ๒ คอื โฆสะและอโฆสะ ย ร ล ว ห ฬ ๖ ตวั นเ้ี ปนโฆสะ ส เปน อโฆสะ ในทนี่ ้ีโฆสะมากกวา อโฆสะ มีแตตวั เดยี วเทานั้น ทานจึงเรยี งโฆสะไปตามลาํ ดับฐานท่ีเกิดเสยี กอน ไมเ รยี งเหมอื นพยญั ชนะในวรรค ตอ นนั้ จึงอโฆสะ แต ห เพราะเปน โฆสะและกณั ฐชะ ควรจะเรยี งไวก อนก็จรงิ ถงึ กระน้ัน พึงเหน็ วา ทานเรียงไวผดิ ลาํ ดับ เพื่อจะใหรูวา แมเ รียงไปตามลาํ ดับกค็ งผิดลาํ ดบั [ เหตผุ ลที่เรียงตวั ห ตอตัว ส นี้ ทา นแสดงไวไมวิเศษอยางนี้ นกั ปราชญค วรพจิ ารณาดู ] นักปราชญซง่ึ รูคัมภีรศัพทศาสตรท ง้ั หลาย กลาวตัว ฬ ทาํ วกิ ารใหเ ปนตัว ฑ ในทนี่ ีท้ า นกลา วไวต างหาก สวน อาจารยผูท ําสตู รเลาเรียน [ มิใชพระสูตรในพระไตรปฏก ประสงค เอาสูตรเชนในมลู ] กลา วตัว ล ในทตี่ วั ฬ พยญั ชนะ คือ ฬ นี้ แมถ งึ ทา นไมไดพจิ ารณาวาเปน โฆสะหรอื อโฆสะ กอ็ าจรูไดต าม วจิ ารณ ล เพราะตง้ั อยใู นฐานเปนตัว ล แตใ นคมั ภีรศ ัพทศาสตร ทานหมายเอาเปน ตัว ฑ ไมกลาวไวต าง เพื่อจะใหรูวา ชนท้งั ปวง ไมก ลา วเหมือนกัน บางพวกกก็ ลา วตวั ล ในทตี่ ัว ฬ น้นั บางพวก กลาวตวั ฑ ในทตี่ วั ฬ น้นั เพราะเปน มทุ ธชะและโฆสะ ดงั น้ี ควรจะ เรียงไวในลําดบั แหง ร แตทานมาเรียงไวห ลงั [ ขอ น้ีกค็ วรวจิ ารณ หรือเพราะเปนพยญั ชนะท่นี ิยมเอาเปนแนไ มไ ดเหมือนพยญั ชนะอื่น จึง
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมญั ญาภธิ านและสนธิ - หนาท่ี 16 เรียงไวเสียขางหลงั ] นคิ คหติ ทานเรียงเอาไวในท่สี ุดของพยัญชนะ ทงั้ ปวงทีเดียว เพราะไมมเี สยี ง ไมม ีพวก และพน จากโฆสะอโฆสะ นเ้ี ปนลาํ ดับพยญั ชนะ. จบสมัญญาภิธานแตเทา น.ี้
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมัญญาภธิ านและสนธิ - หนาที่ 17 สนธิ [ ๑๘ ] ในบาลีภาษา มวี ธิ ตี อ ศัพทและอกั ขระ ใหเน่อื งกันดวย อักขระ เพอ่ื จะยนอักขระใหน อ ยลง เปน การอปุ การะในการแตงฉนั ท และใหคาํ พูดสละสลวย เรียกสนธิ แตม ใิ ชสมาส ท่ียน บทมีวภิ ตั ติ หลาย ๆ บทใหเปน บทเดียวกัน ซ่งึ จกลาวในวจวิ ภิ าคขางหนา. การตอ มี ๒ คือ ตอ ศัพทที่มีวิภัตติ ใหเ น่อื งดว ยศพั ทท มี่ ีวภิ ัตติ เหมอื น จตฺตาโร อเิ ม ตอเขาเปน จตตฺ าโรเม เปนตน อยา ง ๑ ตอ บทสมาส ยออักษรใหน อ ยลง เหมอื น กต อปุ กาโร ตอเขา เปน กโตปกาโร เปน ตนอยา ง ๑. ในที่น้ี ขา พเจาประสงคจ ะใหผ ูศึกษา เรียนแตวธิ อี กั ขระ ดวยอกั ขระอยา งเดียวเทา นั้น ยงั ไมประสงคจะใหเขา ใจเนื้อความ ของคําที่เขียนเปน อทุ าหรณไ ว ซงึ่ เปนเหตใุ หเนิ่นชา จึงมิไดแ ปล เนอื้ ความไวดวย เพราะยงั ไมเปน สมัยทจ่ี ะควรเรียนใหเขาใจเน้อื ความกอ น กก็ ารตออักขระดวยอกั ขระนนั้ จัดเปน ๓ ตามความที่ เปน ประธานกอน คือสระสนธิ ตอสระ ๑ พยญั ชนะสนธิ ตอ พยญั ชนะ ๑ นิคคหิตสนธิ ตอนิคคหิต ๑, สนธิกิริโยปกรณ วธิ ี เปนอุปการะแกการทาํ สนธิ ๘ อยาง โลโป ลบ ๑ อาเทโส แปลง ๑ อาคโม ลงตวั อกั ษรใหม ๑ วกิ าโร ทาํ ใหผ ิดจากของเดิม ๑ ปกติ ปรกติ ๑ ทโี ฆ ทําใหย าว ๑ รสสฺ ทําใหสนั้ ๑ สฺโโค ซอ นตวั ๑.
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมัญญาภิธานและสนธิ - หนา ที่ 18 สระสนธิ [ ๑๙ ] ในสระสนธิ ไดสนธกิ ิรโิ ยปกรณเ บือ้ งตนครบท้ัง ๘ ขาด แต สโฺ โค อยา งเดียว. โลโป ที่ตน มี ๒ คอื ลบสระหนา ๑ ลบ สระหลัง ๑. สระท่ีสดุ ของศัพทห นา เรียกสระหนา สระหนา ของ ศพั ทห ลงั เรยี กสระเบือ้ งปลาย หรอื สระหลัง เมอ่ื สระทงั้ ๒ นไี้ มม ี พยัญชนะอน่ื คั่นในระหวาง ลบไดตวั หนึง่ ถา พยญั ชนะคน่ั ลบ ไมได ลบสระเบือ้ งตน ทา นวางอุทาหรณไวด ังนี้ ยสฺส-อินฺทรฺ ยิ านิ, ลบสระหนา คือ อ ในทส่ี ดุ แหง ศัพท ยสสฺ เสยี สนธิเปน ยสสฺ นิ ทฺ ฺรยิ านิ, โนหิ -เอต ลบสระหนา คอื อิ ท่ีสุดแหง ศัพท โนหิ เสีย สนธิเปน โนเหต, สเมตุ-อายสมฺ า ลบสระหนา คือ อุ ทส่ี ดุ แหงศพั ท สเมตุ เสีย สนธเิ ปน สเมตายสฺมา. ในอุทาหรณเ หลา น้ี สระหนาเปน รัสสะ สระเบอ้ื งปลาย อยหู นา พยญั ชนะสงั โยคบาง เปนทฆี ะบาง จึงเปน แตล บสระหนา อยางเดียว ถาสระทง้ั ๒ เปนรสั สะมรี ปู เสมอกนั คอื เปน อ หรือ อิ หรือ อุ ทั้ง ๒ ตัว เม่อื ลบแลว ตอ งทาํ สระทไี่ มได ลบดว ยทฆี ะสนธิที่แสดงไวขางหนา เหมอื น อ.ุ วา ตตรฺ -อย เปน ตตฺราย เปน ตน. [ ถาส๑ระทงั้ ๒ เปนรัสสะ แตม ีรูปไมเสมอกัน คือ ขางหนึ่งเปน อ ขา งหนงึ่ เปน อิ หรอื อุ ก็ดี ขางหนง่ึ เปน อิ ขาง หนง่ึ เปน อุ หรือ อ ก็ดี ขา งหน่ึงเปน อุ ขางหนึ่งเปน อ หรือ อิ กด็ ี ๑. ตามวธิ ใี ชอ กั ษรในภาษามคธ ท่สี มเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เรยี งเมอื่ พ. ศ. ๒๔๖๒ ทรงแนะนาํ ไวในขอ ๑๙ วา บทหรือศพั ทท ี่เปน สระโลปสนธิ เมือ่ ลบสระตัวหนง่ึ เสยี แลว จกั ทีฆะสระทีเ่ หลือเชน ตตรฺ -อิเม เปน ตตรฺ เี ม ว-ิ อติกกฺ โม เปน วีตกิ ฺกโม ยกเลิกแบบวา สระสนั้ มีรูปไมเสมอกนั เขา สนธิ ไมท ฆี ะ ฯ
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมญั ญาภธิ านและสนธิ - หนา ท่ี 19 ไมตอ งทฆี ะกไ็ ด เหมอื น อุ. วา จตูห-ิ อปาเยหิ เปน จตหู ปาเยหิ เปน ตน ] ถาสระหนา เปน ทีฆะ สระเบอื้ งปลาย เปนรสั สะ ถาลบแลว ตองทฆี ะสระหลัง เหมือน อ.ุ วา สทธฺ า-อธิ เปน สทธฺ ธี เปน ตน เม่ือวาโดยสังเขป ถา ลบสระส้นั ทมี ีรปู ไมเสมอกัน ไมตอ งทฆี ะ สระ ส้นั ท่ไี มไดล บ ถาลบสระยาวหรือสระสน้ั ท่มี รี ปู เสมอกัน ตองทีฆะ สระส้นั ที่ไมไดลบ ถาสระ ๒ ตัวมีรปู ไมเ สมอกัน ลบสระเบ้ืองปลาย บา งกไ็ ด อุ. วา จตฺตาโร-อเิ ม ลบสระ อิ ท่ศี พั ท อเิ ม เสีย สนธิ เปน จตตฺ าโรเม, กนิ ฺน-ุ อิมา ลบสระ อิ ที่ศัพท อิมา เสีย สนธิ เปน กินนฺ มุ า, นิคคหติ อยหู นา ลบสระเบื้องปลายไดบ า ง อุ. วา อภนิ นทฺ -ุ อติ ิ เปน อภินนทฺ ุนตฺ .ิ [ ๒๐ ] อาเทโส มี ๒ แปลงสระเบื้องหนา ๑ แปลงสระเบอ้ื ง หลงั ๑. แปลงสระเบอื้ งหนา ดงั น้ี ถา อิ เอ หรือ โอ อยหู นา มีสระ อยูเ บอื้ งหลงั แปลง อิ ตวั หนาเปน ย ถาพยญั ชนะซอ นกนั ๓ ตวั ลบพยัญชนะที่มีรูปเสมอกนั เสียตวั หน่ึง อ.ุ วา ปฏิสณฺ ารวุตฺติ-อสสฺ เปน ปฏสิ ณฺ ารวุตยฺ สฺส, อคคฺ ิ-อาคาร เปน อคฺยาคาร, เอา เอ เปน ย อ.ุ วา เต-อสสฺ เปน ตฺยสสฺ ไดใ นคาํ วา ตฺยสฺส ปหนี า โหนตฺ ิ, เม-อย เปน มยฺ าย ไดใ นคาํ วา อธิคโต โข มฺยาย ธมโฺ ม, เต-อห เปน ตฺยาห ไดในคาํ วา ตฺยาห เอว วเทยฺย, เอา โอ เปน ว อ.ุ วา อถโข-อสฺส เปน อถขวฺ สสฺ เอา อุ เปน ว อ.ุ วา พห-ุ อาพาโธ เปน พหวฺ าพาโธ, จกฺขุ-อาปาถ เปน จกฺขวฺ าปาถ.
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมญั ญาภิธานและสนธิ - หนาที่ 20 แปลงสระเบื้องปลายนั้น ถามีสระอยูขา งหนา แปลง เอ ตวั หนา แหง เอง ศพั ทอันต้งั อยเู บื้องปลายเปน ริ ไดบา ง แลว รสั สะ สระเบอ้ื งหนาใหสัน้ อ.ุ วา ยถา-เอว เปน ยถริว, ตถา-เอว เปน ตถริว. [ ๒๑ ] อาคโม ลงตวั อักษรใหมน ้ันดงั น้ี ถา สระ โอ อยหู นา พยัญชนะอยหู ลงั ลบ โอ เสยี แลว ลง อ อาคมไดบา ง อ.ุ วา โส-สีลวา เปน สสลี วา, โส -ปฺวา เปน สปฺ วา, เอโส- ธมฺโม เปน เอสธมโฺ ม, พยญั ชนะอยเู บื้องปลายลง โอ อาคมได บาง อุ. วา ปร-สหสสฺ ลบ อ ท่สี ดุ แหง ปร ศพั ท แลว ลง โอ อาคม เปน ปโรสหสสฺ , สรท-สต ลบ อ ทส่ี ุดแหง สรท ศพั ท แลวลง โอ อาคม เปน สรโทสต. [ ๒๒ ] วิกาโร เปน ๒ คอื วกิ ารในเบือ้ งตน ๑ วกิ ารในเบื้อง ปลาย ๑ วกิ ารในเบอ้ื งตนดงั น้ี เมื่อลบสระเบอื้ งปลายแลว เอา สระเบือ้ งหนา คือ อิ เปน เอ เอา อุ เปน โอ อ.ุ วา มุน-ิ อาลโย เปน มเุ นลโย, ส-ุ อตฺถี เปน โสตถฺ ,ี วกิ ารในเบอ้ื งหลัง ก็มวี ิธี เหมือนวกิ ารในเบือ้ งหนา เปนแตลบสระหนา วกิ ารสระหลังเทา น้ัน อุ วา มาลุต-อิริต, เปน มาลุเตรติ , พนฺธุสฺส-อิว เปน พนฺธสุ ฺเสว, น-อเุ ปติ เปน โนเปต,ิ อุทก-อุมกิ ชาต เปน อุทโกมิกชาต ลบนิคคหติ ดวยโลปสนธิ. [ ๒๓ ] ปกติสระนัน้ ไมม ีวิเศษอนั ใด เปน แตเ มอ่ื สระเรียงกัน อยู ๒ ตวั ควรจะทําเปนสระสนธอิ ยา งหนึ่งอยา งใดได แตหาทาํ ไม คง
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมัญญาภิธานและสนธิ - หนาที่ 21 รปู ไวเ ปนปรกติอยา งเดิมเทา นั้น อ.ุ วา โก-อิม กค็ ง เปน โกอมิ . [ ๒๔ ] ทีฆ เปน ๒ คือ ทฆี ะสระหนา อยาง ๑ ทีฆะสระหลงั อยา ง ๑ ทฆี ะสระน้ัน ดงั น้ี สระหนา เม่อื สระหลังลบแลว ทีฆะไดบา ง อ.ุ วา กสึ -ุ อธิ เปน กสึ ธู -อติ ิ เปน สาธูติ เปน ตน หรอื พยญั ชนะอยหู ลังทฆี ะไดบ า ง อ.ุ วา มุน-ิ จเร เปน มนุ จี เร, ทีฆะสระเบ้ืองปลายก็อยางเดยี วกัน ผดิ กันแตลบสระหนา ทีฆะสระ หลงั ดงั น้ี สทฺธา-อิธ เปน สทธฺ ธี , จ-อภุ ย เปน จูภย. [ ๒๕ ] รสสฺ นนั้ ดงั นี้ ถาพยญั ชนะกด็ ี เอ แหง เอว ศพั ท กด็ ี อยเู บ้อื งหลงั รสั สะสระขางหนาใหม เี สียงส้ันไดบ า ง อุ. วา โภวาที-นาม เปน โภวาทินาม, ยถา-เอว เปน ยถรวิ . พยญั ชนะสนธิ [ ๒๖ ] ในพยญั ชนะสนธิ ไดสนธิกิริโยปกรณ ๕ คือ โลโป ๑ อาเทโส ๑ อาคโม ๑ ปกติ ๑ สโฺ โค ๑. ในโลปะทต่ี นนน้ั ดังน้ี เมอ่ื ลบสระเบอื้ งปลายท่ีมนี คิ คหิตอยูหนาแลว ถาพยัญชนะซอนเรยี ง กนั ๒ ตัว ลบเสยี ตัวหน่งึ อ.ุ วา เอว-อสฺส เปน เอวส ไดใ น คําวา เอวส เต อาสวา, ปปุ ฺผ- อสสฺ า เปน ปปุ ฺผสา. [ ๒๗ ] อาเทสพยัญชนะนั้น ดงั นี้ ถาสระอยหู ลัง แปลง ติ ท่ีทา นทาํ เปน ตยฺ แลวใหเปน จจฺ อุ. วา อิต-ิ เอว เปน อิจฺเจว. ปติ-อตุ ฺตริตวฺ า เปน ปจฺจุตฺตรติ ฺวา เปนตน แปลง ธ เปน ท ไดบาง อ.ุ วา เอก-อธิ -อห เปน เอกมิทาห [ เอก อยหู นา ] แปลง
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมญั ญาภิธานและสนธิ - หนา ท่ี 22 ธ เปน ห ไดบา ง อุ. วา สาธ-ุ ทสฺสน เปน สาหทุ สฺสน. แปลง ท เปน ต อ.ุ วา สุคโท เปน สคุ โต. แปลง ต เปน ฏ อุ. วา ทุกกฺ ต เปน ทุกกฺ ฏ. แปลง ต เปน ธ อ.ุ วา คนฺตพฺโพ เปน คนธฺ พฺโพ แปลง ต เปน ตฺร อ.ุ วา อตฺตโช เปน อตรฺ โช. แปลง ค เปน ก อุ. วา กลุ ุปโค เปน กลุ ปุ โก. แปลง ร เปน ล อุ. วา มหาสาโร เปน มหาสาโล. แปลง ย เปน ช อุ. วา คฺวโย เปน ควฺ โช. แปลง ว เปน พ อ.ุ วา กุวโต เปน กพุ ฺพโต. แปลง ย เปน ก อ.ุ วา สย เปน สก. แปลง ช เปน ย อ.ุ วา นชิ เปน นยิ . แปลง ต เปน ก อ.ุ วา นยิ โต เปน นยิ โก. แปลง ต เปน จ อ.ุ วา ภโต เปน ภจฺโจ. แปลง ป เปน ผ อ.ุ วา นปิ ฺผตตฺ ิ เปน นปิ ผฺ ตตฺ ิ. [ ๑๔ น้ไี มน ิยมสระ หรอื พยญั ชนะเบอ้ื งปลาย ] แปลง อภิ เปน อพภฺ อ.ุ วา อภิ-อคุ ฺคจฺฉติ เปน อพฺภุคฺคจฺฉติ, แปลง อธิ เปน อชฺฌ อุ. วา อธ-ิ โอกาโส เปน อชโฺ ฌกาโส, อธ-ิ อคมา เปน อชฌฺ คมา [ นสี้ ระอยูหลงั ], แปลง อว เปน โอ อ.ุ วา อว-นทฺธา เปน โอนทธฺ า [ พยัญชนะอยหู ลงั ]. [ ๒๘ ] พยญั ชนะอาคม ๘ ตัว ย ว ม ท น ต ร ฬ น้ี ถา สระ อยูเบ้อื งหลงั ลงไดบาง ดังนี้ ย อาคม ยถา-อิท เปน ยถายทิ ,
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมัญญาภธิ านและสนธิ - หนา ที่ 23 ว อาคม อ-ุ ทิกขฺ ติ เปน วทุ ิกขฺ ติ เปน วทุ กิ ฺขติ, ม อาคม คร-ุ เอสฺสติ เปน ครุเมสฺสติ, ท อาคม อตฺต-อตโฺ ถ เปน อตตฺ ทตฺโถ, น อาคม อโิ ต-อายติ เปน อโิ ตนายติ, ต อาคม ตสมฺ า-อิห เปน ตสฺมาตหิ , ร อาคม สพภฺ ิ-เอว เปน สพภฺ เิ รว, ฬ อาคม ฉ-อายตน เปน ฉฬายตน, ในสทั ทนีติ วา ลง ห อาคมกไ็ ด อุทาหรณ วา ส-ุ อุชุ เปน สุหุช,ุ ส-ุ อฏุ ติ เปน สุหุฏิต. [ ๒๙ ] ปกตพิ ยัญชนะนน้ั กไ็ มวิเศษอนั ใด เหมอื นกันกบั ปกติ สระ เปนแตเ มื่อลกั ษณะที่จะลบหรือแปลง ลงอาคมหรอื ซอนพยญั ชนะ ลงได หาทาํ ไม คงรปู ไวตามปรกตเิ ดิม เหมอื นคาํ วา สาธุ กไ็ ม แปลงเปน สาหุ คงรูป สาธุ ไวเ ปนตนเทานนั้ . [ ๓๐ ] สโฺ โค เปน ๒ คอื ซอ นพยญั ชนะทม่ี ีรปู เหมอื นกัน อยาง ๑ ซอ นพยญั ชนะท่ีมีรูปไมเหมอื นกันอยาง ๑ อุ. ที่ตนดงั น้ี อิธ-ปโมทติ เปน อิธปฺปโมทติ, จาตุ-ทสี เปน จาตุททฺ ส.ี อ.ุ ท่ี ๒ นั้น เอาอักขระที่ ๑ ซอนหนา ขระที่ ๒ เอาอกั ขระที่ ๓ ซอนหนา อักขระที่ ๔ ดงั น้ี จตฺตาริ-านานิ เปน จตตฺ าริฏ านานิ, เอโสว จ-ฌานผโล เปน เอโสวจชฌฺ านผโล.
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมัญญาภธิ านและสนธิ - หนา ท่ี 24 นิคคหติ สนธิ [ ๓๑ ] ในนิคคหิตสนธิ ไดส นธิกริ โิ ยปกรณ ๔ คอื โลโป ๑ อาเทโส ๑ อาคโม ๑ ปกติ ๑. ในโลปะทีต่ นนั้น ดังน้ี เมอื่ มสี ระ หรอื พยัญชนะอยูเบ้ืองหลัง ลบนิคคหิตซึง้ อยูหนาบา งก็ได มี อุ. วา ตาส-อห เปน ตาสาห ไดในคาํ วา ตาสาห สนตฺ ิเก พฺรหฺมจรยิ จริสฺสามิ, วทิ ูน-อคคฺ เปน วิทนู คคฺ , อริยสจฺจาน-ทสฺสน เปน อริยสจจฺ านทสฺสน, พุทฺธาน- สาสน เปน พทุ ธฺ านสาสน. [ ๓๓ ] อาเทสนคิ คหติ นน้ั ดงั น้ี เมอ่ื มพี ยัญชนะอยหู ลัง นิคคหิต อยูหนา แปลงนิคคหิตเปนพยญั ชนะสดุ วรรคไดท้ัง ๕ ตามสมควร แกพ ยัญชนะวรรคทอ่ี ยูเ บ้ืองหลงั ดงั น้ี เปน ง อ.ุ วา เอว-โข เปน เอวงฺโขง. เปน อุ. วา ธมมฺ - จเร เปน ธมฺมฺจเร เปน ณ อุ. วา ส-ติ ิ เปน สณฺ ติ ิ เปน น อุ. วา ต- นพิ พฺ ตุ เปน ตนฺนิพฺพต. เปน ม อุ. วา จิร- ปวาสึ เปน จริ มปฺ วาสึ. ถา เอ และ ห อยูเบอ้ื งหลงั แปลงนคิ คหติ เปน ดงั น้ี ปจจฺ ตฺต- เอว เปน ปจฺจตฺตเฺ ว, ต-เอว เปน ตเฺ ว, เอว- หิ เปน เอวหฺ ิ, ต-หิ เปน ตหฺ .ิ ถา ย อยูเบอ้ื งหลงั แปลงนิคคหติ กับ ย เปน ดงั น้ี สโ ยโค เปน สฺโโค ในสัททนีติวา ถา ล อยูเ บอ้ื งปลาย แปลง นิคคทิตเปน ล อทุ าหรณ ป-ุ ลิงคฺ
ประโยค๑ - บาลีไวยกรณ สมญั ญาภธิ านและสนธิ - หนา ที่ 25 เปน ปุลลฺ ิงคฺ , ส- ลกฺขณา เปน สลฺลกฺขณา เปน ตน , ถาสระอยู เบอ้ื งปลาย แปลงนคิ คหิตเปน ม และ ท ดังน้ี ต-อห เปน ตมห พรฺ ูมิ พฺราหมฺ ณ, เอต-อโวจ เปน เอตทโวจ. [ ๓๓ ] นคิ คหติ อาคมนั้นดงั น้ี เมื่อสระกด็ ี พยัญชนะก็ดี อยู เบื้องหลงั ลงนคิ คหิตไดบาง อ.ุ วา จกฺขุ-อทุ ปาทิ เปน จกขฺ ุ- อุทปาทิ, อว-สิโร เปน อวสโิ ร เปน ตน. [ ๓๔ ] ปกตนิ คิ คหิตนั้น ก็ไมวิเศษอนั ใด ควรจะลบหรอื แปลง หรอื ลงนิคคหิตอาคมได ไมทําอยางน้ัน ปกติไวต ามรูปเดิม เหมอื น คาํ วา ธมฺม จเร ก็คงไวตามเดมิ ไมอาเทสนิคคหิตเปน ใหเ ปน ธมมฺ จฺ เร เปนตน เทานัน้ . วธิ ที าํ สนธใิ นบาลีภาษานัน้ ทานไมนิยมใหเปน แบบเดยี ว ซ้งึ จะยกั เยอื้ งเปนอยา งอ่ืนไมไ ด เหมือนวธิ สี นธใิ นสนั สกฤตภาษา ผอ น ใหต ามอธั ยาศัยของผูทํา จะนอ มไปใหต อ งตามสนธกิ ริ ิโยปกรณ อยา งหน่ึงอยางใดทีต่ นชอบใจ ถาไมผ ิดแลว กเ็ ปนอันใชได สวน ในสันสกฤตนัน้ มวี ิธขี อ บังคบั เปนแบบเดยี ว ยกั เยอื้ งเปนอยางอื่น ไปไมไ ด จะเลือกเอาวธิ ีนั้น ซงึ่ จะใชไ ดใ นบาลภี าษามาเขยี นไวท่นี ี้ เพือ่ จะไดเปนเครือ่ งประดบั ปญญาของผูศกึ ษา แตพอสมควร.
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมัญญาภธิ านและสนธิ - หนา ท่ี 26 แบบสนธติ ามวธิ ีสันสกฤต [ ๓๕ ] ถาศัพทม ีทส่ี ดุ เปน สระ อ หรือ อา ก็ดี อิ หรือ อี กด็ ี อุ หรอื อู กด็ ี สระตามหลงั กเ็ ปนเหมอื นกนั อยางน้นั คือ ถาสระ หนา เปน อ หรอื อา กเ็ ปน อ หรอื อา เหมอื นกนั ถาสระหนาเปน อิ หรือ อี กเ็ ปน อิ หรือ อี เหมือนกนั ถาสระหนาเปน อุ หรือ อู กเ็ ปน อุ หรอื อู เหมือนกัน สระ ๒ นน้ั ผสมกนั เขา เปนทฆี ะ คอื เปน อา อี อู ตามรปู ของตน ถาสระหนาเปน อ หรอื อา สระหลงั เปน สระอนื่ ไมเหมือนกัน คอื เปน อิ อี ก็ดี อุ อู ก็ด,ี อ อา กบั อิ อี ผสมกนั เขา เปน เอ, อ อา กบั อุ อู ผสมกนั เขา เปน โอ. ถาสระหนา เปน อิ อี หรอื อุ อู สระหลงั เปน สระอ่นื มรี ูปไม เสมอกัน เอาสระหนา คือ อิ อี เปน ย, อุ อู เปน ว, ถา สระ หนา เปน เอ หรอื โอ สระหลังเปน อ ลบ อ เสยี ถาสระหลงั เปน สระอื่นนอกจาก อ, เอา เอ เปน อย, เอา โอ เปน อว, อนุสาร คือ นิคคหติ ถา พยัญชนะวรรคอยหู ลงั อาเทสเปนพยญั ชนะทสี่ ุดวรรค ดงั กลาวแลว ขา งตน [ ๓๒ ].
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมัญญาภิธานและสนธิ - หนา ที่ 27 [ ๓๖ ] คาํ ถามชอื่ สนธิใหผูศ ึกษาตอบ ๑ ตตฺร - อย - อาทิ ตตรฺ ายมาทิ ๒ ตตรฺ - อภิรตึ - อิจฺเฉยฺย ตตรฺ าภิรตมิ จิ เฺ ฉยฺย ๓ ยสฺส - อนิ ทฺ รฺ ิยานิ ยสสฺ นิ ทฺ ฺรยิ านิ ๔ จตตฺ าโร - อเิ ม จตตฺ าโรเม ๕ ตโย - อสสฺ ุ ตยสฺสุ ๖ พนธฺ สุ สฺ - อวิ พนธฺ สุ เฺ สว ๗ ตถา - อุปม ตถูปม ๘ ปฺจหิ - อปุ าลิ ปจฺ หปุ าลิ ๙ อิติ - อสสฺ อติสฺส ๑๐ เต - อสฺส ตฺยสสฺ ๑๑ วตถฺ ุ - เอตถฺ วตฺเถวตถฺ ๑๒ ปติ - อาหรติ ปจจฺ าหรติ ๑๓ สาธุ - ทสสฺ น สาหทุ สสฺ น ๑๔ วติ ฺติ = อนภุ ูยเต วิตฺยานุภูยเต ๑๕ ตถา - เอว ตถรวิ ๑๖ ขนฺติ - ปรม ขนฺตปี รม ๑๗ โภวาที - นาม โภวาทินาม ๑๘ โส - ปฺวา สปฺ วา ๑๙ อิธ - ปโมโท อธิ ปฺปโมโท
ประโยค๑ - บาลไี วยกรณ สมัญญาภิธานและสนธิ - หนา ที่ 28 ๒๐ น - ขมติ นกขฺ มติ ๒๑ ต - การณุ ิก ตงฺการุณิก ๒๒ สนฺต - ตสฺส สนฺตนฺตสสฺ มน ๒๓ ต - เอว - เอตฺถ ตฺ เวตฺถ ๒๔ ส - ยุตฺต สฺ ตุ ตฺ ๒๕ เอวรูป - อกาสึ เอวรปู มกาสึ ๒๖ ย - อิท ยทิท ๒๗ น - อิมสสฺ นยมิ สสฺ วชิ ชฺ า ๒๘ อชฺช - อคฺเค อชชฺ ตคฺเค ๒๙ อารคเฺ ค - อิว อารคเฺ คริว ๓๐ ปร - สหสสฺ ปโรสหสสฺ ๓๑ อนุ - ถูลานิ อนถุ ลู านิ ๓๒ วิทูน - อคคู วทิ ูนคฺค ๓๓ พทุ ฺธาน - สาสน พทุ ธฺ านสาสน ๓๔ ปปุ ผฺ - อสสฺ า ปปุ ผฺ สา ๓๕ วุตฺติ - อสสฺ วตุ ยฺ สสฺ ๓๖ เอว - อสสฺ เอวส เต อาสวา. จบสนธแิ ตเ ทา น้ี.
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: