ตารางวิเคราะห์ข้อสอบมาตรฐานช้ันปี วชิ า วทิ ยาศาสตร์ ชุดที่ 1 ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ข้อ มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั มฐ. ว 1.1 มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. ว 1.2 ว 3.1 ว 4.1 ว 6.1 ว 7.1 1 2 3 1 12 1 1 1 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 1
ข้อ มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. ว 1.1 ว 1.2 ว 3.1 ว 4.1 ว 6.1 ว 7.1 1 2 3 1 12 1 1 1 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 หมายเหตุ : มฐ. ว 8.1 ป.1 / 1-7 ประเมินในระหวา่ งการเรียนการสอน 2
ข้อสอบมาตรฐานช้ันปี ชุดที่ 1 กล่มุ สาระ วทิ ยาศาสตร์ วชิ า วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 จานวน 40 ข้อ ให้กาเคร่ืองหมาย ทับตวั อักษรหน้าคาตอบทีถ่ ูกต้อง 1. ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ ง ก. สิ่งมีชีวติ ทุกชนิดตอ้ งสร้างอาหารเองได้ ข. ส่ิงมีชีวติ ทกุ ชนิดตอ้ งเคลื่อนท่ไี ด้ ค. ส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดมีการเจริญเติบโต 2. สิ่งใดมีลกั ษณะแตกต่างจากพวก ก. กบเหลาดินสอ ข. มา้ หมุน ค. แมวไทย ใช้ตารางบันทกึ ผลการสารวจส่ิงต่างๆ รอบตัว ตอบคาถามข้อ 3 – 5 สิ่งท่ีสงั เกตได้ เคลื่อนทไี่ ด้ มีการเจริญเติบโต ตอ้ งการอาหารและน้า 1 - 2 3 - - - 3. ขอ้ ใดเป็ นส่ิงมีชีวติ ค. 1 , 2 ก. 3 ข. 2 ค. 2 4. จากตาราง ส่ิงทส่ี งั เกตไดช้ นิดใดเป็ นตน้ ไม้ ก. 3 ข. 1 5. จากตารางสรุปไดด้ งั น้ี (1) หมายเลข 3 เป็ นสิ่งมีชีวติ (2) ส่ิงมีชีวติ มีท้งั ที่เคลื่อนท่ไี ดแ้ ละเคล่อื นทไ่ี ม่ได้ (3) ส่ิงมีชีวติ ตอ้ งมีการเจริญเตบิ โต ขอ้ ใดสรุปไดถ้ ูกตอ้ ง ข. ขอ้ (2) และ (3) ค. ขอ้ (1) และ (3) ก. ขอ้ (1) และ (2) 3
ใช้ภาพต่อไปนี้ตอบคาถามข้อ 6 – 8 6. ถา้ พชื ขาดหมายเลข ไป พชื จะเป็ นอยา่ งไร ก. ไม่สามารถสืบพนั ธุไ์ ด้ ข. ไม่ไดร้ ับแสงแดดอยา่ งพอเพยี ง ค. ไม่มีอาหารและน้าไปเล้ียงลาตน้ 7. หมายเลข ช่วยในการสืบพนั ธุไ์ ดอ้ ยา่ งไร ก. ใชส้ ีสนั ล่อแมลงใหม้ าผสมเกสร ข. นาเมลด็ ไปขยายพนั ธุต์ ่อได้ ค. เม่ือร่วงลงสู่พ้นื แลว้ จะเกิดเป็นตน้ ใหม่ 8. ขอ้ ใดไม่ใช่ประโยชน์ของหมายเลข ก. ห่อหุม้ เมลด็ ข. ใชเ้ ป็นอาหาร ค. ใชใ้ นการสร้างอาหารของพชื 9. ขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง ก. โครงสรา้ งของพชื และสตั วม์ ีความแตกต่างกนั ข. รากของพชื เปรียบเสมือนจมูกของคนและสตั ว์ ค. ถา้ โครงสรา้ งพชื เกิดขาดหายไปจะไม่ส่งผลต่อการดารงชีวติ ของพชื 10. โครงสรา้ งภายนอกของสตั วช์ นิดใด แตกต่างจากพวก ก. ข. ค. 4
ใช้ข้อมูลท่กี าหนดตอบคาถาม ข้อ 11 – 12 (1) จมูก (2) ปาก (3) ขา สถานการณ์ทีก่ าหนดให้ มีความสมั พนั ธก์ บั อวยั วะใดของสตั ว์ 11. สุนขั ดมกลนิ่ ยาเสพตดิ ก. (2) ข. (3) ค. (1) 12. มา้ วงิ่ ขา้ มเคร่ืองกีดขวาง ก. (3) ข. (2) ค. (1) 13. โครงสร้างภายนอกของสตั วม์ ีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั สิ่งมีชีวติ ชนิดใด ก. มนุษย์ ข. พชื ลม้ ลุก ค. พชื มีดอก 14. ขอ้ ใดไม่ใช่เกณฑท์ ่ใี ชใ้ นการจาแนกพชื ก. ท่ีอยอู่ าศยั ข. การเคลื่อนท่ี ค. ลกั ษณะภายนอก 15. กลุ่มท่ี 1 มะม่วง กลว้ ย มะพรา้ ว กลุ่มที่ 2 ตาลึง พลูด่าง ฟักทอง ถา้ ด.ญ. ออ้ จาแนกพชื ไดต้ ามตาราง แสดงวา่ ด.ญ. ออ้ ใชเ้ กณฑอ์ ะไรในการจาแนก ก. ใชด้ อกเป็นเกณฑ์ ข. ใชท้ อี่ ยอู่ าศยั เป็นเกณฑ์ ค. ใชล้ กั ษณะของลาตน้ เป็นเกณฑ์ 16. ถา้ ใชท้ ีอ่ ยอู่ าศยั เป็นเกณฑ์ ขอ้ ใดจาแนกพชื ไม่ถูกต้อง ก. พริก คะนา้ สะระแหน่ ข. ทานตะวนั ไผ่ มะลิ ค. ผกั ตบชวา บวั มะเขือเทศ 5
ดูภาพแล้วตอบคาถามข้อ 17 – 18 (1) (2) (3) (4) (5) (6) 17. การจดั กลุ่มสตั วใ์ นขอ้ ใดใชท้ อ่ี ยู่อาศัยเป็นเกณฑ์ ก. (1), (2), (4) ข. (2), (3), (5) ค. (3), (4), (6) 18. ถา้ แบง่ กลุ่มสตั วท์ มี่ ีขากบั สตั วท์ ี่ไม่มีขา สตั วช์ นิดใดอยกู่ ลุ่มเดียวกนั ก. (4), (5) ข. (2), (6) ค. (5), (6) 19. ขอ้ ใดกล่าวถึงดินไดถ้ ูกตอ้ ง ก. ดินเน้ือหยาบมีการจบั ตวั กนั แน่น ข. ดินประกอบดว้ ยเศษหิน ซากพชื ซากสตั ว์ น้า และอากาศ ค. ดินทพ่ี บในบริเวณต่างๆ จะมีสีดาหรือน้าตาลเขม้ เท่าน้นั 20. ขอ้ ใดกล่าวถึงสมบตั ทิ างกายภาพของดิน ก. ดินบริเวณน้ีมีตน้ พชื ข้ึนอยมู่ าก ข. ดินบริเวณน้ีมีสีน้าตาลแดง ค. ดินบริเวณน้ีอยใู่ กลแ้ ม่น้า ใช้ผลการสารวจดนิ ในท้องถน่ิ ของ ด.ช. บาส ตอบคาถามข้อ 21 – 23 ดนิ ชนิดท่ี สี เม็ดดิน การอ้มุ นา้ การจับตวั 1 ดา ปานกลาง ดีพอสมควร ไม่แน่นเกินไป 2 น้าตาลเขม้ ใหญ่ ไม่ดี ไม่จบั ตวั กนั 3 ดา เลก็ มาก ดีมาก จบั ตวั กนั แน่น 21. การสารวจดินในทอ้ งถิ่นของ ด.ช. บาส เป็ นการศึกษาในเร่ืองใด ก. องคป์ ระกอบของดิน ข. การอุม้ น้าของดิน ค. สมบตั ิทางกายภาพของดิน 6
22. จากขอ้ มลู ของ ด.ช. บาส ขอ้ ใดสรุปไม่ถูกต้อง ก. ดินเน้ือละเอียดจะอุม้ น้าไดด้ ี ข. ดินจะจบั ตวั กนั ดีหรือไม่ข้ึนอยกู่ บั ขนาดของเมด็ ดิน ค. ดินชนิดท่ี 1 กบั ดินชนิดที่ 3 มีสมบตั ใิ กลเ้ คยี งกนั 23. ขอ้ ใดเรียงลาดบั ดินเน้ือหยาบ ดินเน้ือปานกลาง และดินเน้ือละเอียดไดถ้ กู ตอ้ ง ก. 2, 1, 3 ข. 1, 3, 2 ค. 3, 1, 2 24. การนาดินไปใชท้ าเคร่ืองป้ันดินเผา ใชส้ มบตั ิทางกายภาพของดินในขอ้ ใด ก. สีของดิน ข. การจบั ตวั ของดิน ค. การอุม้ น้าของดิน 25. มีความสมั พนั ธก์ บั ขอ้ ใด ก. ข. ค. 26. เมื่อนกั เรียนเป็นหวดั จะส่งผลต่ออวยั วะส่วนใดมากที่สุด ค. จมูก ก. หู ข. ปาก 27. ใครดูแลรักษาตาไดถ้ ูกต้อง ก. ตน้ ดูโทรทศั นใ์ กลห้ นา้ จอเพอ่ื จะไดเ้ ห็นภาพชดั ๆ ข. นุย้ อ่านหนงั สือขณะนงั่ รถไปโรงเรียน ค. นนทล์ า้ งตาดว้ ยน้าสะอาดเมื่อฝ่ นุ เขา้ ตา 28. ขอ้ ใดจบั คูไ่ ดถ้ ูกตอ้ ง ก. ข. ค. 7
29. ของเล่นในขอ้ ใดทาจากวสั ดุทม่ี ีความแขง็ ค. ก. ข. 30. ขอ้ ใดเป็นสมบตั ิของของเล่นที่ทาจากไม้ ก. น้าหนกั เบา ข. เป็ นสนิมง่าย ค. แขง็ แรง ค. รูปร่าง 31. สี่เหลี่ยม – วงรี เป็นสมบตั ิดา้ นใดของวสั ดุ ก. สี ข. พน้ื ผวิ ดูภาพแลว้ ตอบคาถามขอ้ 32 – 33 32. ขอ้ ใดไม่ควรใชเ้ ป็นเกณฑใ์ นการจาแนกของเล่นและของใชใ้ นภาพ ก. รูปร่าง ข. พ้นื ผวิ ค. น้าหนกั 33. ถา้ ใชร้ ูปร่างของของเล่นและของใชเ้ ป็ นเกณฑ์ ขอ้ ใดจดั กลุ่มไดถ้ ูกตอ้ ง ก. แกว้ น้า ไมบ้ รรทดั ข. นาฬิกา ผา้ เช็ดหนา้ ค. ผา้ เชด็ หนา้ ไมบ้ รรทดั 34. การออกแรงกระทาตอ่ วตั ถุในขอ้ ใดแตกต่างจากขอ้ อ่ืน ก. ข. ค. 8
35. ขอ้ ใดไม่ใช่ผลของแรงท่กี ระทาต่อวตั ถุ ก. ทาใหว้ ตั ถุสูญหาย ข. ทาใหว้ ตั ถุหยดุ นิ่ง ค. ทาใหว้ ตั ถุเคลื่อนท่ี 36. ขอ้ ความใดไม่ถูกต้อง ก. แรงดึงหรือแรงผลกั เป็นการออกแรงกระทากบั วตั ถุ ข. เม่ือออกแรงกระทากบั วตั ถุแลว้ วตั ถุจะเคล่ือนทเี่ สมอ ค. การทาใหว้ ตั ถุท่กี าลงั เคล่ือนทอี่ ยหู่ ยดุ น่ิงตอ้ งออกแรงกระทา 37. การออกแรงกระทาในขอ้ ใด ไม่ทาใหว้ ตั ถุเคล่ือนที่หรือเปลี่ยนรูปร่าง ก. ผลกั กาแพง ข. ขยากระดาษ ค. ฉีกใบตอง 38. ต้งั แต่ข้ึน 15 ค่า ไปจนถึงแรม 15 ค่า หลงั จากเห็นดวงจนั ทร์เตม็ ดวงแลว้ เราจะมองเห็นดวงจนั ทร์ เปลี่ยนแปลงไปอยา่ งไร ก. ดวงจนั ทร์คอ่ ยๆ สวา่ งข้นึ อีก ข. ดวงจนั ทร์มีขนาดใหญข่ ้นึ เร่ือย ๆ ค. ดวงจนั ทร์ค่อยๆ มืดลง 39. ในตอนเชา้ นกั เรียนเห็นดวงอาทติ ยข์ ้นึ ทางหนา้ บา้ น แสดงวา่ หลงั บา้ นของนกั เรียนเป็นทิศใด ก. ทิศตะวนั ตก ข. ทศิ ใต้ ค. ทศิ เหนือ 40. สถานทใ่ี ดที่นกั เรียนจะพบเห็นดวงดาวไดช้ ดั เจนทสี่ ุด ก. เขตโรงงานอุตสาหกรรม ข. ในเมืองท่มี ีตึกสูงๆ ค. ทอ้ งไร่ทอ้ งนา 9
ตารางวเิ คราะห์ข้อสอบมาตรฐานช้ันปี ภาควิชา วิทยาศาสตร์ ชุดที่ 2 ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1 ข้อ มาตรฐาน / ตวั ชีว้ ดั มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. ว 1.1 ว 1.2 ว 3.1 ว 4.1 ว 6.1 ว 7.1 1 2 3 1 12 1 1 1 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 10
ข้อ มาตรฐาน / ตวั ชีว้ ดั มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. มฐ. ว 1.1 ว 1.2 ว 3.1 ว 4.1 ว 6.1 ว 7.1 1 2 3 1 12 1 1 1 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 หมายเหตุ : มฐ. ว 8.1 ป.1 / 1-7 ประเมินในระหวา่ งการเรียนการสอน 11
ข้อสอบมาตรฐานช้ันปี ชุดที่ 2 กล่มุ สาระ วทิ ยาศาสตร์ วชิ า วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 จานวน 40 ข้อ ให้กาเครื่องหมาย ทบั ตวั อกั ษรหน้าคาตอบทถ่ี ูกต้อง ใช้ภาพท่กี าหนดให้ตอบคาถามข้อ 1 – 3 (1) (2) (3) 1. ภาพใดเป็ นสิ่งมีชีวติ ก. (1) ข. (2) ค. (1), (3) 2. ภาพหมายเลข (1) เป็ นส่ิงมีชีวติ หรือไม่ เพราะเหตใุ ด ก. เป็น เพราะสามารถสร้างอาหารได้ ข. เป็น เพราะมีการเจริญเตบิ โต ค. ไม่เป็น เพราะไม่สามารถเคล่ือนทไี่ ด้ 3. ภาพหมายเลข (2) กบั ภาพหมายเลข (3) เหมือนหรือต่างกนั อยา่ งไร ก. เหมือนกนั เพราะมีรูปร่างหนา้ ตาคลา้ ยกนั ข. ต่างกนั เพราะมีแหล่งกาเนิดต่างกนั ค. ต่างกนั เพราะภาพหมายเลข (3) เป็ นส่ิงมีชีวติ 4. คน ปาก สตั ว์ ปาก จากความสมั พนั ธ์ นกั เรียนคิดวา่ เป็นขอ้ ใด พชื ? ก. ใบ ข. ลาตน้ ค. ราก 5. ถา้ พชื ขาดโครงสร้างส่วนใด จะส่งผลต่อการดารงชีวติ ของพชื มากท่ีสุด ก. ราก ข. ใบ ค. ดอก 6. ถา้ สตั วข์ าดอวยั วะส่วนใดส่วนหน่ึงไปจะมีผลกระทบต่อการดาเนินชีวติ ของสตั วห์ รือไม่ อยา่ งไร ก. ไม่มี เพราะอวยั วะแต่ละส่วนทาหนา้ ทแี่ ตกต่างกนั ข. มี เพราะทาใหส้ ตั วใ์ ชช้ ีวติ ลาบากมากข้นึ ค. ไม่มี เพราะสตั วย์ งั คงมีชีวติ อยไู่ ด้ 12
7. เดิน วงิ่ กระโดด รับน้าหนกั ตวั จากขอ้ ความในกรอบเก่ียวขอ้ งกบั โครงสร้างส่วนใดของสตั ว์ ก. ผวิ หนงั ข. ขาและเทา้ ค. จมูก ค. เทา้ 8. โครงสร้างส่วนใดทีค่ นมีแต่จากสตั วส์ ่วนใหญ่ไม่มี ก. มือและน้ิวมือ ข. ผวิ หนงั 9. ขอ้ ใดจาแนกพชื ตามลกั ษณะภายนอกของพชื ก. กลุ่ม 1 มะลิ มะม่วง กลุ่ม 2 ผกั บงุ้ ผกั ตบชวา ข. กลุ่ม 1 พลูด่าง ตาลึง กลุ่ม 2 ทานตะวนั กหุ ลาบ ค. กลุ่ม 1 มะพรา้ ว ออ้ ย กลุ่ม 2 ถวั่ ลิสง ขา้ วโพด ใช้ภาพต่อไปนี้ ตอบคาถามข้อ 10 – 12 (1) (2) (3) (4) (5) (6) 10. จากร(4ูป)ภาพ ขอ้ ใดสรุปถูก(ต5อ)้ ง (6) ก. ถา้ ใชล้ กั ษณะของลาตน้ เป็นเกณฑ์ ภาพ (1) กบั ภาพ (5) จะอยกู่ ลุ่มเดียวกนั ข. ถภาา้ ใพช(ก้ 3า)รใเปช็ นป้ (พร1ะ)ชื โทยี่มชีลนา์เตป็น้นเเปก็นณเฑถา์ เภล้าือพย (4) ก(2บั )ภาพ (6) จะอยกู่ ลุ่มเดียว(3ก)นั ค. 13 (4) (5) (6)
11. พชื ชนิดใดไม่จดั อยใู่ นกลุ่มลาตน้ มีหนาม ก. ภาพ (1) ข. ภาพ (5) ค. ภาพ (6) ค. ภาพ (1) 12. พชื ชนิดใดสามารถนามาทาอาหารได้ ก. ภาพ (4) ข. ภาพ (2) 13. ขอ้ ใดจดั กลุ่มสตั วไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง ก. ไก่แจ้ นกแกว้ ผเี ส้ือ ข. งู กบ อ่ึงอ่าง ค. ปลากดั ยรี าฟ ไสเ้ ดือน 14. กลุ่ม A เป็ ด ไก่ ห่าน กลุ่ม B ววั ปลา กุง้ ด.ช. บอล ตอ้ งใชเ้ กณฑใ์ ดในการจาแนกสตั ว์ จึงจะไดผ้ ลตามตาราง ก. สตั วท์ ใ่ี ชเ้ ป็นอาหารได้ – ใชเ้ ป็ นอาหารไม่ได้ ข. สตั วบ์ ก – สตั วน์ ้า ค. สตั วม์ ีปี ก – สตั วไ์ ม่มีปี ก 15. จากขอ้ 14. ขอ้ ใดสรุปไดถ้ ูกตอ้ ง ก. ถา้ ใชจ้ านวนขาเป็นเกณฑ์ ปลากบั กุง้ จดั อยใู่ นกล่มุ เดียวกนั ข. เป็ ดเป็นสตั วน์ ้าเช่นเดียวกบั กุง้ ค. สตั วท์ ้งั กลุ่ม A และ B ใชเ้ ป็ นอาหารไดท้ ้งั หมด 16. ขอ้ ความใดถูกตอ้ งเกี่ยวกบั สมบตั ขิ องดิน ก. ดินทมี่ ีเน้ือละเอียดมากจะไม่มนี ้าและอากาศอยรู่ ะหวา่ งเมด็ ดิน ข. การเลือกดินมาทางานป้ัน พจิ ารณาจากสีของดิน ค. ดินเน้ือหยาบจะไม่จบั ตวั กนั แน่น ทาใหน้ ้าและอากาศผา่ นไดง้ ่าย ใช้ข้อความตอบคาถามข้อ 17 – 20 ด.ช. ปอ นาดินมา 3 ชนิด แยกใส่กระป๋ องละ 1 ชนิด แลว้ เทน้าอยา่ งละ 1 แกว้ ใหไ้ หลผา่ นดินแตล่ ะชนิดและวดั ปริมาณของน้าที่ไหลออกมาจากดินแต่ละชนิด 17. การทดลองน้ีตอ้ งการศึกษาเร่ืองใด ก. การอุม้ น้าของดิน ข. องคป์ ระกอบของดิน ค. ชนิดของดิน 14
18. ผลการทดลองน้ีตอ้ งสงั เกตส่ิงใด ก. ปริมาณน้าท่ีเทลงไปในดิน ข. ปริมาณน้าที่ไหลผา่ นดิน ค. ปริมาณของดิน 19. จากการทดลองน้ี ส่ิงใดทต่ี อ้ งจดั ใหแ้ ตกตา่ งกนั ก. ปริมาณน้าท่ีเทลงในดิน ข. ปริมาณของดินแตล่ ะชนิด ค. ชนิดของดินที่นามาทดลอง 20. นกั เรียนจะสรุปผลการทดลองน้ีวา่ อยา่ งไร ก. ดินเน้ือละเอียดจะอมุ้ น้าไดด้ ีทสี่ ุด ข. น้าเป็ นองคป์ ระกอบหน่ึงในดิน ค. อากาศจะแทรกตวั อยทู่ ีช่ ่องวา่ งระหวา่ งเมด็ ดิน ใช้ภาพต่อไปนี้ ตอบคาถามข้อ 21 – 22 (1) (2) (3) (4) (5) (6) ค. (4), (5),((66)) 21. การกระทาในภาพใดบา้ งทเ่ี ป็นอนั ตรายต่ออวยั วะภายนอก ก. (2), (3), (5) (4) ข. (1), (2), ((55)) 22. เราควรปฏบิ ตั ติ ามภาพใด เพราะอะไร ก. ภาพที่ (2) เพราะทาใหไ้ ดย้ นิ เสียงชดั เจน ข. ภาพท่ี (3) เพราะช่วยทาใหจ้ มูกโล่ง ค. ภาพท่ี (4) เพราะทาใหป้ ากและฟันสะอาด 15
23. การอยใู่ นที่ทีม่ ีควนั บุหรี่ เป็นอนั ตรายต่ออวยั วะส่วนใด ก. ตา ข. จมูก ค. ปาก 24. ปิ ด ____ คุณได้ จะปิ ด ____คุณ ไม่อยากใหค้ ุณเห็นใคร ไม่อยากใหใ้ ครเห็นคุณ...... ปิ ด _____ไม่ใหไ้ ดก้ ลิ่น ปิ ด ______ ไม่ใหไ้ ดย้ นิ เสียงใคร จากเน้ือเพลงทีก่ าหนดให้ นกั เรียนควรเติมอวยั วะใดลงไปในช่องวา่ ง ตามลาดบั ก. ตา หู จมูก ข. ตา จมูก หู ค. หู มือ เทา้ 25. มีประโยชน์อยา่ งไร ก. ทาใหว้ ง่ิ เร็วข้นึ ข. รับน้าหนกั ตวั ไดม้ ากข้นึ ค. ป้ องกนั อนั ตรายทเี่ กิดกบั เทา้ 26. ใครดูแลรกั ษามือและน้ิวมอื ไดถ้ ูกวธิ ี ก. ตยุ้ กดั เลบ็ มือที่ยาวใหส้ ้นั อยเู่ สมอ ข. ตอ้ ยลา้ งมือทกุ คร้งั หลงั กลบั จากโรงเรียน ค. ตน้ ใชไ้ มป้ ลายแหลมแคะข้ีเล็บเป็ นประจา 27. ขอ้ ใดระบุลกั ษณะของของเล่นหรือของใชไ้ ม่ถูกต้อง ก. ซองจดหมายมีรูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยม ข. ผา้ ขนหนูมีพน้ื ผวิ หยาบและอ่อนนุ่ม ค. ลูกบอลมีน้าหนกั เบา 28. ขอ้ ใดไม่ใช่ลกั ษณะของของเล่นในภาพ ก. ทรงกลม ข. ผวิ เรียบ ค. มีน้าหนกั มาก 29. “วสั ดุชิ้นหน่ึง มีลกั ษณะแขง็ และมีน้าหนกั เบา” วสั ดุชิ้นน้ีคืออะไร ก. พลาสตกิ ข. ไม้ ค. เหล็ก 16
30. กลุ่ม A วา่ ว หนงั สือพมิ พ์ ผา้ ขนหนู เกณฑใ์ นการจาแนกของเล่นและของใช้ กลุ่ม B ดินสอ แกว้ น้า แทง่ ชอลก์ คือขอ้ ใด ก. รูปร่าง ข. น้าหนกั ส่ิงของ ค. พน้ื ผวิ 31. ลูกโป่ ง ลูกเทนนิส ถา้ จาแนกสิ่งของที่กาหนดใหโ้ ดยใชน้ ้าหนกั เป็ นเกณฑ์ ลูกหิน ลูกปิ งปอง สิ่งของใดอยกู่ ลุ่มเดียวกนั ก. ลูกเทนนิส ลูกปิ งปอง ข. ลูกหิน ลูกเทนนิส ค. ลูกโป่ ง ลูกหิน 32. ผลกั รถ เคลื่อนที่ จากความสมั พนั ธด์ งั กลา่ ว ขอ้ ใดถูกตอ้ ง รับลูกบอล หยดุ น่ิง ? เปลี่ยนรูปร่าง ก. ตกปลา ข. รูดซิป ค. ฉีกกระดาษ ค. ป้ันดินน้ามนั 33. แรงทกี่ ระทาต่อวตั ถุในขอ้ ใด มีผลตอ่ วตั ถุต่างจากขอ้ อื่น ก. ทบุ โตะ๊ ข. ดดั เสน้ ลวด 34. ขอ้ ใดสรุปไม่ถูกตอ้ ง ก. แรงดึง เป็นการออกแรงกระทาต่อวตั ถุเขา้ หาตวั เรา ข. แรงผลกั เป็นการออกแรงกระทาตอ่ วตั ถุออกจากตวั เรา ค. เม่ือออกแรงผลกั หรือดึงวตั ถุ จะเกิดการเคล่ือนท่เี สมอ 35. การออกแรงกระทาตอ่ วตั ถุในขอ้ ใดทาใหว้ ตั ถุหยุดน่ิง ก. ข. ค. 36. เม่ือ ด.ช. ป๊ อด สงั เกตดวงจนั ทร์ในระยะเวลา 1 เดือน ด.ช. ป๊ อด จะเห็นดวงจนั ทร์มีลกั ษณะ อยา่ งไร ก. ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลก ข. ดวงจนั ทร์เปลี่ยนแปลงรูปร่าง ค. ดวงจนั ทร์มีแสงสีเหลืองนวล 17
37. ขอ้ ใดไม่ใช่ความสาคญั ของดวงอาทิตย์ ก. ใหแ้ สงสวา่ งแก่โลก ข. ใหค้ วามอบอุ่นแก่โลก ค. ทาใหเ้ กิดขา้ งข้นึ – ขา้ งแรม ใช้ข้อความต่อไปนี้ ตอบคาถามข้อ 38 – 39 (1) มีแสงระยบิ ระยบั ในเวลากลางคืน (2) มีทรงกลม (3) มีแสงสวา่ งจา้ (4) ไม่มีสิ่งมีชีวติ อาศยั อยู่ (5) มองเห็นในคนื ท่ที อ้ งฟ้ าปลอดโปร่ง (6) ทาใหเ้ กิดขา้ งข้ึน ขา้ งแรม 38. ขอ้ ใด คอื ลกั ษณะของดวงอาทติ ย์ ก. (1), (2), (6) ข. (2), (3), (4) ค. (5), (3), (1) ค. (1), (6) 39. ลกั ษณะทีเ่ หมือนกนั ของดวงอาทติ ยก์ บั ดวงจนั ทร์คอื ขอ้ ใด ก. (2), (4) ข. (3), (5) 40. ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะของดาวฤกษ์ ก. โคจรรอบดวงอาทิตย์ ข. เป็นบริวารของโลก ค. มีแสงสวา่ งในตวั เอง 18
เฉลยข้อสอบมาตรฐานช้ันปี ชุดท่ี 1 1. ค 2. ค 3. ค 4. ข 5. ข 6. ค 7. ก 8. ค 9. ก 10. ค 11. ค 12. ก 13. ก 14. ข 15. ค 16. ค 17. ก 18. ค 19. ข 20. ข 21. ค 22. ค 23. ก 24. ข 25. ข 26. ค 27. ค 28. ก 29. ก 30. ค 31. ค 32. ข 33. ค 34. ก 35. ก 36. ข 37. ก 38. ค 39. ก 40. ค เฉลยข้อสอบมาตรฐานช้ันปี ชุดที่ 2 1. ค 2. ข 3. ค 4. ค 5. ก 6. ข 7. ข 8. ก 9. ข 10. ก 11. ค 12. ก 13. ก 14. ค 15. ค 16. ค 17. ก 18. ข 19. ค 20. ก 21. ก 22. ค 23. ข 24. ข 25. ค 26. ข 27. ก 28. ค 29. ก 30. ก 31. ข 32. ค 33. ก 34. ค 35. ข 36. ข 37. ค 38. ข 39. ก 40. ค 19
เฉลยข้อสอบมาตรฐานช้ันปี ชุดท่ี 1 เฉลยอย่างละเอยี ด 1. ตอบ ค ส่ิงมีชีวติ บางชนิดไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ เช่น คนและสตั ว์ แต่สามารถหายใจ และมีการเจริญเตบิ โต 2. ตอบ ค กบเหลาดินสอและมา้ หมุน เป็นส่ิงไมม่ ีชีวติ แตแ่ มวไทยเป็นสิ่งมีชีวติ 3. ตอบ ค หมายเลข 1 และ 2 เป็นส่ิงมีชีวติ เน่ืองจากมีการเจริญเตบิ โตและตอ้ งการน้าและอาหาร 4. ตอบ ข หมายเลข 1 เป็นตน้ ไม้ เพราะนอกจากจะมีการเจริญเตบิ โตและตอ้ งการน้าและอาหาร แตก่ ็ไม่สามารถเคลื่อนทไี่ ด้ 5. ตอบ ข หมายเลข 3 ไม่มีลกั ษณะในตาราง จงึ เป็ นสิ่งไม่มีชีวติ 6. ตอบ ค หมายเลข 1 คอื รากของพชื ซ่ึงทาหนา้ ที่ในการดูดน้าและธาตุอาหาร ถา้ พชื ไม่มีรากก็ จะไม่สามารถดูดน้าและธาตุอาหารไปเล้ียงส่วนต่างๆ ของพชื ได้ 7. ตอบ ก หมายเลข 4 คอื ดอก ซ่ึงจะมีสีสนั สวยงามหรือมีกล่ินหอมที่ดึงดูดใหแ้ มลงมาช่วยผสม เกสร 8. ตอบ ค หมายเลข 5 คือ ผล ทาหนา้ ที่ห่อหุม้ เมล็ดและสามารถใชเ้ ป็นอาหารได้ 9. ตอบ ก พชื และสตั วจ์ ะมีโครงสร้างภายนอกที่แตกตา่ งกนั โครงสรา้ งของพชื คอื ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล ส่วนโครงสรา้ งของสตั วค์ ือ ตา หู จมูก ปาก ขาและเทา้ 10. ตอบ ค นกเป็นสตั วท์ ีม่ ีปี กและมี 2 ขา จงึ แตกตา่ งจากววั และสุนขั ทีม่ ี 4 ขาและไมม่ ีปี ก 11. ตอบ ค สุนขั ใชจ้ มูกในการดมกล่ินของยาเสพติด 12. ตอบ ก มา้ ใชข้ าในการเดิน วงิ่ หรือกระโดดขา้ มเครื่องกีดขวาง 13. ตอบ ก โครงสรา้ งภายนอกของสตั ว์ มีลกั ษณะคลา้ ยกบั ของคน คอื มีตา หู จมูก ปาก ขาและเทา้ 14. ตอบ ข พชื ไม่สามารถเคลือ่ นทไ่ี ดจ้ ึงไม่ใชก้ ารเคล่ือนทเี่ ป็นเกณฑใ์ นการจาแนกพชื 15. ตอบ ค จากตารางจะเห็นวา่ กลุ่มที่ 1 เป็ นพชื ท่ีมีลาตน้ ต้งั ตรง กลุ่มท่ี 2 เป็ นพืชทม่ี ีลาตน้ เป็ น เถาเล้ือย 16. ตอบ ค ผกั ตบชวาและบวั เป็นพชื ท่ีข้ึนอยใู่ นน้า ส่วนมะเขอื เทศเป็นพชื ท่ขี ้นึ อยบู่ นบก 17. ตอบ ก ชา้ ง กระตา่ ย จงิ้ จก เป็ นสตั วท์ ่อี าศยั อยบู่ นบก จงึ อยกู่ ลุ่มเดียวกนั 18. ตอบ ค สตั วไ์ ม่มีขา ไดแ้ ก่ ปลา แมงกะพรุน ส่วนสตั วท์ ี่มีขา ไดแ้ ก่ ชา้ ง กระตา่ ย และจิ้งจก ดงั น้นั ปลากบั แมงกะพรุน จึงอยกู่ ลุ่มเดียวกนั 20
19. ตอบ ข ก. ดินเน้ือหยาบจะไม่จบั ตวั กนั น้าและอากาศจะผา่ นไดง้ า่ ย ค. ดินไม่จาเป็นตอ้ งมีสีดาหรือน้าตาลเขม้ ในบางแห่งอาจมีสีแดง เนื่องจากมีส่ิงเจอื ปน ไม่เหมือนกนั 20. ตอบ ข สมบตั ทิ างกายภาพของดิน คอื สมบตั ิที่เราสามารถสงั เกตได้ ไดแ้ ก่ สีของดิน การอุม้ น้าของดิน การจบั ตวั กนั ของดิน เน้ือดิน 21. ตอบ ค จากการสารวจดิน พบวา่ มีการจดบนั ทึกท้งั สีของดิน เมด็ ดิน การอุม้ น้าของดิน และ การจบั ตวั กนั ของดิน ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีเรียกวา่ สมบตั ิทางกายภาพของดิน ซ่ึงเราสามารถ สงั เกตได้ 22. ตอบ ค ดินชนิดที่ 1 กบั ดินชนิดท่ี 3 มีสีใกลเ้ คยี งกนั แต่มีสมบตั ิอื่นๆ ท่ีแตกตา่ งกนั จงึ สรุป ไม่ไดว้ า่ มีสมบตั ทิ ใี่ กลเ้ คียงกนั 23. ตอบ ก ดินเน้ือหยาบจะตรงกบั ดินชนิดที่ 2 ดินเน้ือปานกลางจะตรงกบั ดินชนิดท่ี 1 ดินเน้ือ ละเอียดจะตรงกบั ดินชนิดที่ 3 จึงเรียงลาดบั ไดต้ ามขอ้ ก. 24. ตอบ ข ดินทน่ี ามาใชท้ าเคร่ืองป้ันดินเผาเน้ือดินจะตอ้ งมีการจบั ตวั กนั ดี จงึ สามารถนามาป้ันได้ 25. ตอบ ข เราใชป้ ากในการกินอาหาร ภาพอาหารจงึ มีความสมั พนั ธก์ บั ปาก 26. ตอบ ค เม่ือนกั เรียนเป็นหวดั จะมีอาการคดั จมูก ทาใหห้ ายใจไม่สะดวก 27. ตอบ ค การดูโทรทศั นใ์ กลจ้ นเกินไปหรืออ่านหนงั สือในขณะเดินทางจะทาใหส้ ายตาเสียได้ จึงไม่ใช่การดูแลรักษาดวงตาท่ถี ูกวธิ ี 28. ตอบ ก เราใชจ้ มูกดมกล่ินดอกไม้ ส่วนแวน่ ตาใชก้ บั ตา และรองเทา้ ใชก้ บั เทา้ 29. ตอบ ก หุ่นยนตท์ าจากวสั ดุทมี่ ีความแขง็ ส่วนวา่ วและลูกโป่ งน้นั จะไม่มคี วามแขง็ 30. ตอบ ค ของเล่นหรือของใชท้ ท่ี าจากไมจ้ ะมีความแขง็ แรงทนทาน ไม่เป็ นสนิม และมีน้าหนกั มาก 31. ตอบ ค สี่เหลี่ยม – วงรี เป็นการบอกรูปร่างของวตั ถุ การบอกพน้ื ผวิ ของวตั ถุ เช่น เรียบ – แขง็ และการบอกสี เช่น แดง – เหลือง 32. ตอบ ข เพราะของเล่นและของใชใ้ นภาพมีพ้นื ผวิ เรียบท้งั หมด จงึ ไม่สามารถใชพ้ น้ื ผวิ ในการ จาแนกของเล่นและของใชไ้ ด้ 33. ตอบ ค ผา้ เช็ดหนา้ และไมบ้ รรทดั มีรูปร่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม จึงอยกู่ ลุ่มเดียวกนั 34. ตอบ ก การชกั เยอ่ และดึงสุนขั ใหห้ ยดุ วงิ่ เป็ นการออกแรงดึงวตั ถุ ส่วนการผลกั รถเป็ นการ ออกแรงผลกั จึงแตกต่างจากขอ้ อื่น 35. ตอบ ก การออกแรงกระทาตอ่ วตั ถุไม่สามารถทาใหว้ ตั ถุสูญหายได้ 21
36. ตอบ ข เม่ือออกแรงกระทากบั วตั ถุไม่จาเป็นที่จะตอ้ งเกิดการเคล่ือนท่ีเสมอ ยกตวั อยา่ งเช่น การใชม้ ือผลกั กาแพง เราจะสงั เกตไดว้ า่ เราออกแรงกระทาตอ่ กาแพง แตก่ าแพงกไ็ ม่ มีการเคล่ือนท่ี เป็นตน้ 37. ตอบ ก การออกแรงผลกั กาแพงไม่มีผลทาใหก้ าแพงเคลื่อนท่หี รือเปล่ียนแปลงรูปร่าง ส่วนการ ขยากระดาษ เป็นการทาใหก้ ระดาษท่ีมีลกั ษณะเป็ นแผน่ กลายเป็ นกอ้ น และการฉีก ใบตองเป็นการทาใหใ้ บตองจากแผน่ ใหญ่ๆ กลายเป็ นแผน่ เล็กลง 38. ตอบ ค ในวนั ข้นึ 15 ค่า จะเป็นวนั ทพ่ี ระจนั ทร์เตม็ ดวง และเม่ือผา่ นไปเราจะมองเห็น ดวงจนั ทร์จะค่อยๆ มืดลงและมืดสนิทในวนั แรม 15 ค่า 39. ตอบ ก ในตอนเชา้ ถา้ เราเห็นดวงอาทิตยข์ ้นึ ทางหนา้ บา้ น แสดงวา่ หนา้ บา้ นหนั หนา้ ไปทางทิศ ตะวนั ออก แสดงวา่ หลงั บา้ นจะเป็นทิศตะวนั ตก 40. ตอบ ค สถานทีท่ ่เี ราพบเห็นดวงดาวไดช้ ดั เจน คือ บริเวณทีไ่ มม่ ีตึกสูงหรือควนั จากสถานที่ ต่างๆ มาบดบงั ดงั น้นั บริเวณทอ้ งไร่ ทอ้ งนา จึงเป็ นสถานท่ที ี่เราพบเห็นดวงดาวได้ ชดั เจนทีส่ ุด 22
เฉลยข้อสอบมาตรฐานช้ันปี ชุดท่ี 2 เฉลยอย่างละเอยี ด 1. ตอบ ค หมายเลข (1) กบั หมายเลข (3) เป็ นสิ่งมีชีวติ เพราะท้งั 2 สิ่งน้ีมีการเจริญเตบิ โต ตอ้ งการน้าและอาหาร 2. ตอบ ข ลกั ษณะสาคญั ของส่ิงมีชีวติ ทกุ ชนิด คือ มีการเจริญเตบิ โต ส่วนการสร้างอาหารเองได้ เป็ นลกั ษณะสาคญั ของพชื เท่าน้นั คนและสตั วไ์ มส่ ามารถสรา้ งอาหารเองได้ นอกจากน้ีพชื ยงั เป็ นส่ิงมีชีวติ ทไ่ี ม่สามารถเคลื่อนทไ่ี ด้ 3. ตอบ ค ต่างกนั เพราะมา้ หมุนเป็ นสิ่งไม่มีชีวติ แตม่ า้ เป็ นสิ่งมีชีวติ 4. ตอบ ค รากพชื ทาหนา้ ทีใ่ นการดูดน้าและธาตุอาหารไปเล้ียงส่วนตา่ งๆ ของร่างกายจงึ ทาหนา้ ท่ี คลา้ ยกบั ปากของคนและสตั ว์ 5. ตอบ ก รากของพชื ช่วยในการยดึ ลาตน้ ของพชื ไม่ใหล้ ม้ ง่าย และดูดน้าและธาตอุ าหารไปเล้ียง ส่วนต่างๆ ของพชื ถา้ พชื ไม่มีรากกจ็ ะเห่ียวเฉาและตายไปในที่สุด 6. ตอบ ข ถา้ สตั วข์ าดอวยั วะส่วนใดส่วนหน่ึงไปจะทาใหส้ ัตวใ์ ชช้ ีวติ ไดล้ าบากมากข้นึ เพราะ อวยั วะของสตั ว์ แมจ้ ะมีหนา้ ท่คี นละอยา่ ง แตก่ ็มีการทางานร่วมกนั 7. ตอบ ข สตั วใ์ ชข้ าและเทา้ ในการเดิน วงิ่ กระโดด และรับน้าหนกั ตวั 8. ตอบ ก มนุษยม์ ีมือและน้ิวมือต่างจากสตั วส์ ่วนใหญท่ ไี่ ม่มีมือและนิ้วมอื จะมีเฉพาะสตั ว์ ตระกูลลิงท่มี ีโครงสรา้ งใกลเ้ คียงกบั มนุษย์ 9. ตอบ ข ก. เป็ นการจาแนกพชื ตามทอี่ ยอู่ าศยั เน่ืองจาก มะลิ และ มะม่วง เป็ นพชื ทีอ่ ยบู่ นบก ส่วนผกั บุง้ และผกั ตบชวา เป็ นพชื ทีข่ ้ึนในน้า ข. เป็นการจาแนกพชื ตามลกั ษณะลาตน้ เน่ืองจาก พลูด่าง และ ตาลึง เป็ นพชื ทีม่ ีลาตน้ เป็ นเถาเล้ือย ส่วนทานตะวนั และกหุ ลาบมีลาตน้ ต้งั ตรง ค. จาแนกพชื ผดิ เพราะ ถา้ ใชล้ กั ษณะของใบเป็นเกณฑจ์ ะไดพ้ ชื ท่ีมีใบเรียวยาว คือ มะพร้าว ออ้ ย และขา้ วโพด 10. ตอบ ก ก. ภาพ (1) กบั ภาพ (5) จดั เป็ นพชื ทมี่ ีลาตน้ เป็นหนามเหมือนกนั จึงอยกู่ ลุ่ม เดียวกนั ข. ภาพ (4) คอื กลว้ ยเป็ นพชื ที่ใชเ้ ป็นอาหาร ส่วนภาพ (6) คือ มะลิใชเ้ ป็นไมป้ ระดบั ค. ภาพ (3) จดั เป็ นพชื ท่มี ีลาตน้ ต้งั ตรง 11. ตอบ ค ภาพท่ี (6) คอื มะลิเป็นพชื ท่ลี าตน้ ไม่มีหนาม 12. ตอบ ก ภาพที่ (4) คือ กลว้ ย สามารถเก็บผลมากินเป็ นอาหารได้ 23
13. ตอบ ก ก. ไก่แจ้ นกแกว้ และผเี ส้ือ เป็นสตั วม์ ีปี กจึงอยกู่ ลุ่มเดียวกนั ข. งู เป็นสตั วท์ ่ีไม่มีขา ส่วนอ่ึงอ่างและกบ เป็ นสตั วม์ ีขา ค. ยรี าฟ เป็นสตั วท์ ีม่ ีขา ต่างจากปลากดั และไสเ้ ดือน ซ่ึงไม่มีขา 14. ตอบ ค เป็ ด ไก่ ห่าน เป็นสตั วท์ มี่ ีปี ก ววั ปลา กุง้ เป็นสตั วท์ ีไ่ ม่มีปี ก 15. ตอบ ค ก. ถา้ ใชจ้ านวนขาเป็ นเกณฑ์ ปลา กบั กงุ้ จดั อยคู่ นละกลุม่ ข. เป็ดไม่จดั เป็ นสตั วน์ ้า ส่วนกุง้ จดั เป็นสตั วน์ ้า 16. ตอบ ค ก. ผดิ เพราะ น้าและอากาศเป็ นองคป์ ระกอบของดินทว่ั ไป ข. ผดิ เพราะ การเลือกดินมาทางานป้ัน พจิ ารณาจากการจบั ตวั ของดิน ค. ถูก เพราะ ดินเน้ือหยาบจะมีช่องวา่ งระหวา่ งเม็ดดินมาก ทาใหน้ ้าและอากาศ ผา่ นไดง้ ่าย 17. ตอบ ก จากภาพเป็นการนาน้าเทลงไปในดินท้งั สามชนิด และจะมีน้าไหลออกมาจากกน้ ภาชนะทใ่ี ส่ดิน ดงั น้นั จึงเป็นการทดลองเร่ืองการอุม้ น้าของดิน 18. ตอบ ข การทดลองน้ีสงั เกตผลไดจ้ ากปริมาณน้าทไี่ หลผา่ นดินออกมา ถา้ น้าไหลออกมามาก แสดงวา่ ดินอุม้ น้าไดไ้ ม่ดี ถา้ มีน้าไหลออกมานอ้ ยแสดงวา่ ดินอุม้ น้าไดด้ ี 19. ตอบ ค การทดลองน้ีตอ้ งการดูวา่ ดินแตล่ ะชนิดอุม้ น้าเป็นอยา่ งไร ดงั น้นั ส่ิงที่ตอ้ งจดั ให้ แตกตา่ งกนั เพอ่ื ตดิ ตามดูผลการทดลอง คือ ชนิดของดินท่ีนามาทดลอง 20. ตอบ ก การทดลองน้ีเป็นการทดลองเร่ืองการอุม้ น้าของดิน การสรุปผลจึงควรเป็ นการสรุป เกี่ยวกบั การอุม้ น้าของดิน ซ่ึงตรงกบั ขอ้ ก. 21. ตอบ ก (2) การตะโกนใส่หู เป็ นอนั ตรายตอ่ หู เพราะอาจทาใหม้ ีอนั ตรายตอ่ เยอื่ แกว้ หู (3) การใชข้ องแขง็ แคะจมูก อาจทาใหจ้ มูกอกั เสบได้ (5) การกดั เลบ็ มือ จะทาใหเ้ ช้ือโรคเขา้ สู่ร่างกายได้ 22. ตอบ ค ภาพท่ี (4) เป็นการดูแลรกั ษาความสะอาดปากและฟัน 23. ตอบ ข การอยใู่ นท่ที ม่ี ีควนั บุหร่ีหรือควนั พษิ ตา่ งๆ เป็ นอนั ตรายตอ่ จมูก ซ่ึงเราใชใ้ นการ ดมกลิ่น 24. ตอบ ข ตา ใชใ้ นการมองเห็นสิ่งตา่ งๆ จมูก ใชใ้ นการสูดดมกลิ่น หู ใชฟ้ ังเสียงต่างๆ 25. ตอบ ค รองเทา้ ช่วยป้ องกนั ไม่ใหเ้ ทา้ สกปรกและป้ องกนั อนั ตรายท่เี กิดจากการเหยยี บของมีคม 26. ตอบ ข การลา้ งมือทกุ คร้ังเมื่อกลบั ถึงบา้ นเป็นการดูแลรกั ษาความสะอาดของมือและนิ้วมือ ทีถ่ ูกวธิ ี 27. ตอบ ก ซองจดหมายมีรูปร่างเป็นรูปสี่เหล่ียม ไม่ใช่รูปสามเหลี่ยม 28. ตอบ ค ลูกบอลเป็นของเล่นที่มีน้าหนกั เบา 24
29. ตอบ ก พลาสตกิ เป็นวสั ดุท่ีมีลกั ษณะแขง็ และมีน้าหนกั เบา ส่วนไมแ้ ละเหลก็ มีน้าหนกั มากกวา่ พลาสติก 30. ตอบ ก กลุ่ม A วา่ ว หนงั สือพมิ พ์ ผา้ ขนหนู มีรูปร่างสี่เหลี่ยม กลุ่ม B ดินสอ แกว้ น้า แท่งชอลก์ มีรูปร่างเป็ นทรงกระบอก 31. ตอบ ข ลูกหินมีน้าหนกั มากเช่นเดียวกบั ลูกเทนนิส จงึ อยกู่ ลุ่มเดียวกนั 32. ตอบ ค การออกแรงฉีกกระดาษเป็นการทาใหก้ ระดาษเปลี่ยนรูปร่าง โดยทาใหก้ ระดาษทีม่ ี ลกั ษณะเป็นแผน่ ใหญ่ๆ มีขนาดเล็กลง 33. ตอบ ก การดดั เสน้ ลวดและป้ันดินน้ามนั เป็ นการทาใหว้ ตั ถุเปลี่ยนแปลงรูปร่าง แตก่ ารทุบโตะ๊ เป็ นการออกแรงทไี่ ม่เกิดการเปล่ียนแปลงของวตั ถุ 34. ตอบ ค เมื่อเราออกแรงผลกั หรือดึงวตั ถุ ไม่จาเป็นที่วตั ถุจะเกิดการเคลื่อนที่ทุกคร้งั 35. ตอบ ก การผลกั รถและการไถนา เป็นการออกแรงเพอ่ื ใหว้ ตั ถุเกิดการเคล่ือนท่ี แต่การดึงสุนขั เป็นการออกแรงตา้ นการเคล่ือนทีข่ องสุนขั เพอ่ื ทาใหส้ ุนขั หยดุ เคล่ือนท่ี 36. ตอบ ข เมื่อเราสงั เกตดวงจนั ทร์ภายในระยะเวลา 1 เดือน จะพบวา่ ดวงจนั ทร์จะมีการ เปล่ียนแปลงรูปร่าง คอื จากดวงจนั ทร์เตม็ ดวงในวนั ข้นึ 15 ค่า จะค่อยๆ มืดลง จนกระทงั่ มืดสนิทในวนั แรม 15 ค่า และเมื่อดวงจนั ทร์มืดสนิทในวนั แรม 15 ค่า จะ ค่อยๆ สวา่ งข้นึ จนกระทงั่ เตม็ ดวงในวนั ข้ึน 15 ค่า 37. ตอบ ค ดวงอาทิตยม์ ีความสาคญั คือใหแ้ สงสวา่ งและความอบอุ่นแก่โลก แตด่ วงจนั ทร์ทาให้ เกิดขา้ งข้นึ ขา้ งแรม และเราไดน้ าการเกิดขา้ งข้นึ ขา้ งแรม มาใชใ้ นปฏิทินจนั ทรคติ 38. ตอบ ข ดวงอาทิตยเ์ ป็นดาวฤกษท์ ่ีมีลกั ษณะเป็ นทรงกลม มีแสงสวา่ งจา้ และไม่มีส่ิงมีชีวติ อาศยั อยู่ เน่ืองจากท่พี น้ื ผวิ ของดวงอาทิตยม์ ีอุณหภูมิสูงมาก จงึ ตรงกบั ขอ้ ความที่ (2), (3), (4) 39. ตอบ ก ลกั ษณะท่เี หมือนกนั ของดวงอาทติ ยก์ บั ดวงจนั ทร์ คือ มีทรงกลม และไม่มีสิ่งมีชีวติ อาศยั อยู่ 40. ตอบ ค ดาวฤกษเ์ ป็นดวงดาวทีม่ ีแสงสวา่ งในตวั เองไม่ไดเ้ ป็ นบริวารของโลก เพราะโลกมี บริวารดวงเดียว คอื ดวงจนั ทร์ และไม่มีวงโคจรรอบดวงดาวดวงอ่ืน 25
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: