Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สวดมนต์

สวดมนต์

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2019-10-02 22:39:42

Description: สวดมนต์

Search

Read the Text Version

1 สวดมนต์และสมาธิบาบดั เพอื่ การรักษาโรค ทศั นีเวศ ยะโส สานกั การแพทยท์ างเลือก การสวดมนต์ ตามความหมายในภาษาไทย หมายถึงกิจกรรมท่ีมีการเปล่งเสียง เป็ นทานองในภาษาบาลี ซ่ึงนบั ถือกนั วา่ เป็ นภาษาของพระพุทธเจา้ คือ พระพุทธเจา้ แต่ละพระองคท์ ี่เคยมีมาในอดีตท้งั หมด หรือท่ีจะมี มาในอนาคต ทว่ั แสนโกฏิจกั รวาล ภาษาน้ียงั เป็ นท่ีเรียกกนั อย่างเป็ นทางการว่า “ภาษามคธ” นน่ั คือ “ภาษา โบราณของแคว้นมคธ” ซ่ึงยงั เป็ นมูลภาษาหรือภาษาอนั เป็ นรากของภาษาท้งั หลายทวั่ โลกและสากลจกั รวาล และยงั เป็ นภาษาที่ใชก้ นั ในหมู่เทพท้งั หลาย สัตวเ์ ดียรัจฉาน หรือแมแ้ ต่สัตวน์ รกขุมต่าง ๆ ต่างก็ใช้ภาษาอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิน้ี แมท้ ารกท่ีเติบโตข้ึนตามลาพงั ไม่เคยไดย้ นิ ภาษาใด ๆ มาก่อนจะพดู ภาษามคธเท่าน้นั ความเช่ือในความศกั ด์ิสิทธ์ิและความเป็ นสากลของภาษาบาลีน้ีทาให้ การสวดมนต์เป็ นกิจกรรมที่มี เอกลกั ษณ์พิเศษของพุทธศาสนาฝ่ ายเถรวาท เป็ นเอกลกั ษณ์พิเศษของชาวพุทธในประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว กมั พูชาและศรีลงั กา เมื่อเปล่งเสียงสวดพระปริตร หรือ ประกอบพิธีกรรมอ่ืน ๆ ทางศาสนา ก็ออกเสียงท่ี ใกล้เคียงกนั มาก และมีความศรัทธาในภาษาบาลี วา่ เป็ นภาษาของพระพุทธเจา้ ด้วยความเช่ือน้ีเอง เม่ือสวด สาธยายกส็ ร้างความศรัทธาอยา่ งมาก ทาใหผ้ ทู้ ี่ไดฟ้ ังมีจิตเป็นกุศลอยา่ งต่อเน่ือง การสวดมนต์ในภาษาไทยน้นั ในภาษาองั กฤษตรงกบั คาว่า chanting ซ่ึงหมายถึงการเปล่งเสียงใน พิธีกรรมทางศาสนาเพอื่ บชู าหรือสรรเสริญส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ ในขณะคนไทยเองมกั แปลคา “สวดมนต์” วา่ “prayer” ซ่ึงเป็ นการอธิษฐานถึงพระผูเ้ ป็ นเจา้ อีกนัยหน่ึงคือการส่ือสารกบั พระผเู้ ป็ นเจา้ ซ่ึงอาจเป็ นกิจกรรมที่ทาเป็ น ประจาหรือเป็นคร้ังคราวกไ็ ด้ เพ่ือใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึง แมว้ า่ ในพระพุทธศาสนาจะไม่มีแนวคิดในเร่ืองพระผสู้ ร้าง แต่การอธิษฐานของชาวคริสต์ มุสลิม หรือ ฮินดูท่ีนบั ถือเทพเจา้ สูงสุดวา่ เป็ นผสู้ ร้างและอย่เู หนือเทพเจา้ องค์ใด ๆ น้นั มิไดข้ ดั แยง้ กบั การปฏิบตั ิธรรมใน พระพุทธศาสนา ชาวพุทธสามารถตีความไดว้ ่าเป็ นการภาวนาชนิดหน่ึง ซ่ึงเรียกว่า “เทวาสติ” อนั เป็ นอนุสติ แบบหน่ึงในสิบอย่างที่ปรากฏในคมั ภีร์วิสุทธิมรรคเป็ นการทาให้จิตเป็ นสมาธิได้ และเมื่อทาอธิษฐานภาวนา มากเขา้ ดว้ ยความเช่ือจิตยอ่ มเขา้ ถึงสมาธิระดบั ตา่ ง ๆ และส่งผลสาเร็จใหบ้ งั เกิดข้ึนได1้ นกั วทิ ยาศาสตร์ดา้ นสุขภาพมีความสนใจในผลของการสวดมนตต์ ่อสุขภาพกนั มาก เริ่มมีการศึกษาวิจยั กนั ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2513 พบวา่ Benson และคณะ ไดศ้ ึกษาผทู้ ่ีฝึ กสมาธิแบบที.เอ็ม.(Transcendental Meditation, T.M.) โดยการภาวนาคาบริกรรมในใจตลอดเวลาแบบสวดมนต์ (Mantra Meditation) ติดต่อกนั เป็ นเวลา 30 นาที เป็นประจาจนจิตเป็นสมาธิ พบวา่ ร่างกายในขณะน้นั จะมีการเผาผลาญพลงั งานนอ้ ย (Hypometabolic state)2 การ ใชอ้ อกซิเจนลดลง การเตน้ ของหวั ใจชา้ ลง อตั ราการหายใจลดลง ความดนั โลหิตลดลง ความตึงตวั ของกลา้ มเน้ือ ลดลง คล่ืนสมองมีคล่ืนแอลฟ่ า (Alpha) มากข้ึน ระดบั แลกเตท (Lactate) ในเลือดลดลง เบนสันเรียกสภาวะน้ีวา่

2 Relaxation Response3 ซ่ึงภาวะน้ีจะตรงกนั ขา้ มกบั ภาวะท่ีเกิดจากความเครียดที่เรียกวา่ The Fight and Flight Response ซ่ึง Cannon4 ไดศ้ ึกษาไวใ้ นปี พ.ศ. 2457 ซ่ึงในภาวะเช่นน้ีก็จะมีการเปล่ียนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น ความดนั โลหิตสูงข้ึน การหายใจเร็ว ม่านตาขยายออก กลา้ มเน้ือตึงตวั มากข้ึน ซ่ึงเป็ นผลจากการกระตุน้ ระบบ ประสาท sympathetic นอกจากน้นั เราพบวา่ โรคหรือกลุ่มอาการต่าง ๆ เช่น ความดนั โลหิตสูง5 โรคหลอดเลือดหวั ใจตีบ6 การ เสียชีวติ แบบเฉียบพลนั จากโรคหวั ใจ7 กลุ่มอาการปวดบางชนิด8-9 โรคผวิ หนงั เร้ือรัง10 เช่น ผืน่ ลมพิษ ภาวะเซลล์ สมองตาย11 ภาวะมีบุตรยาก12 อาการก่อนมีประจาเดือน13 มีสาเหตุส่วนหน่ึงมาจากความเครียดหรือความเครียด ทาใหอ้ าการเหล่าน้ีมีความรุนแรงมากข้ึน ดงั น้นั จึงมีการนาวิธีการสวดมนตใ์ ห้จิตเป็ นสมาธิ (Mantra Meditation) มาใชใ้ นการรักษาโรค พบว่า ไดผ้ ลดีในโรควิตกกงั วล14 โรคความดนั โลหิตสูง15 อาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ16 อาการหวั ใจเตน้ ผิดปกติ แบบ preventricular contraction17 และช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด18 ทาให้อาการของโรคหอบหืด19 โรค สะเก็ดเงิน20 และโรคลาไส้แปรปรวน21 ดีข้ึน วธิ ีการสวดมนต์บาบัดโรค สรุปได้ 3 แบบ ดงั น้ี 1. การสวดมนตด์ ว้ ยตวั เอง เป็ นการเหนี่ยวนาตวั เอง จึงเป็ นที่มาของคาวา่ Prayer Therapy ถือเป็ น วิธีการท่ีดีที่สุด เพราะหากคิดท่ีจะสวดมนต์ นน่ั หมายความวา่ กาลงั มีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการ คือ หา สถานท่ีสงบเงียบ ไม่ควรสวดมนตห์ ลงั รับประทานอาหารทนั ที ควรสวดมนตห์ ลงั รับประทานอาหารประมาณ 2 - 3 ชวั่ โมง เพือ่ ใหร้ ่างกายไดผ้ อ่ นคลาย จะสวดก่อนเขา้ นอนก็ได้ หรือจะสวดเวลาใดก็ไดท้ ี่ร่างกายมีความพร้อม และผอ่ นคลาย การสวดมนตถ์ า้ สวดบทส้ัน ๆ โดยใชเ้ วลาประมาณ 10 - 15 นาทีข้ึนไป จะทาใหร้ ่างกายไดห้ ลงั่ สารซีโรโทนิน (Serotonin) ซ่ึงมีฤทธ์ิช่วยใหร้ ่างกายผอ่ นคลาย แต่หากสวดมนตด์ ว้ ยบทยาว ๆ จะไดค้ วามผอ่ น คลายและความศรัทธา ขณะสวดมนตค์ วรหลบั ตา สวดใหเ้ กิดเสียงดงั เพ่ือใหต้ วั เองไดย้ นิ 2. การฟังผอู้ ่ืนสวดมนต์ เป็ นการเหน่ียวนาโดยคลื่นเสียงจากผอู้ ื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผนู้ าสวดในศาสนาต่าง ๆ หากผสู้ วดมีสมาธิ เสียงสวดน้นั จะนุ่ม ทุม้ ทาให้เกิดคล่ืนท่ีช่วยเยยี วยา (Healing) ผฟู้ ัง แต่หากผสู้ วดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดข้ึนอาจเป็ นคล่ืนข้ึน ๆ ลง ๆ นอกจากจะไม่ช่วย เยยี วยาอาการป่ วยอาจทาใหเ้ สียสุขภาพได้ 3. การสวดมนตใ์ หผ้ อู้ ่ืน ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสงั คม เม่ือใครสักคนเจบ็ ป่ วย เรามกั สวด มนตห์ รืออธิษฐานขอใหค้ วามเจบ็ ป่ วยของเขาหายไป บางคร้ังอยหู่ ่างกนั คนละซีกโลก เสียงสวดมนตเ์ หล่าน้ีจะมี ผลทาใหส้ ุขภาพเขาดีข้ึน เพราะคลื่นสวดมนตเ์ ป็ นคลื่นบวก เกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผปู้ ่ วย และเมื่อ เราคิดจะส่งสัญญาณน้ีออกไปสู่ที่ไกล ๆ มนั จะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้ า คล่ืนน้ีจึงเดินทางไปไดไ้ กล ๆ บางทีพ่อกาลงั ป่ วยหนกั แต่ลูกอยูต่ ่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นน้ีไดแ้ ละรู้วา่ มีใครกาลงั ไม่สบาย ท่ีเราเรียกว่า

3 ลางสังหรณ์หรือสัมผสั ที่หกหรือโทรจิต การที่จะรับรู้ไดห้ รือไม่ ข้ึนอยกู่ บั ผรู้ ับผสู้ ่งดว้ ย ถา้ คนไหนรับสัญญาณ คลื่นแห่งบทสวดมนตไ์ ดก้ ็จะไดผ้ ล เหมือนเราเปิ ดวทิ ยุ ถา้ คนฟังปิ ดหูก็จะไม่ไดย้ ิน ดงั น้นั ถา้ ต่างฝ่ ายต่างเปิ ดรับ คล่ืนบวกท่ีเราส่งไป ผปู้ ่ วยก็จะไดร้ ับ และทาใหอ้ าการป่ วยดีข้ึนได้ จึงไม่ใช่เร่ืองของความมหศั จรรย์ แต่เป็ น หลกั ธรรมชาติทวั่ ไป สมาธิ หมายถึง ภาวะของจิตท่ีต้งั มน่ั กาหนดแน่วแน่อยู่กบั ส่ิงใดสิ่งหน่ึง หรือเร่ืองใดเรื่องหน่ึงติดต่อกนั เป็ น เวลานาน ๆ ไม่ฟ้ ุงซ่านไปหาสิ่งอื่นหรือเรื่องอื่นจากสิ่งที่กาหนด ไดแ้ ก่ ภาวะท่ีจิตมีอารมณ์เป็ นหน่ึงหรือมี อารมณ์เดียว และจิตที่ต้งั มน่ั น้นั จะตอ้ งเป็ นกุศล ลกั ษณะของสมาธิคือ จิตจะเกิดความสงบเยน็ สบายใจ มีความ ผอ่ นคลาย เอิบอิ่มใจ ปลอดโปร่งและมีความสุข สมาธิมีประโยชน์อยา่ งมาก พอจะสรุปไดด้ งั น้ี 1. ประโยชน์ในแง่ของการปฏิบตั ิธรรม สมาธิเป็ นพ้ืนฐานสาหรับการเจริญสติปัฏฐานหรือวิปัสสนา เพ่อื หลุดพน้ จากกิเลสและความทุกขท์ ้งั ปวง 2. ประโยชน์ในแง่ของการสร้างพลงั จิตแสดงฤทธ์ิได้ คือ การฝึ กใหม้ ีพลงั อภิญญา เป็ นสมาธิท่ีลึกถึง ระดบั ฌาน ทาใหเ้ กิด หูทิพย์ ตาทิพย์ ทายใจคนได้ ระลึกชาติได้ 3. ประโยชน์ในแง่การพฒั นาสุขภาพจิตและบุคลิกภาพ ทาใหเ้ ป็นคนมีสุขภาพจิตดี สงบ หนกั แน่น ใจ เยน็ ไม่หงุดหงิด ฟ้ ุงซ่าน นุ่มนวล เปลี่ยนคนหยาบกระดา้ งเป็นคนนุ่มนวล มีความคิดไปในทางบวก ทางสร้างสรรค์ สามารถควบคุมอารมณ์ไดด้ ี หรือท่ีคนสมยั น้ีเรียกว่า มีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) 4. ประโยชน์ที่นามาใช้ในชีวิตประจาวนั เช่น ในเวลาที่เราเครียดจากการทางาน มีความวิตกกงั วล นอนไม่หลบั ถา้ เราฝึ กสมาธิเป็ นประจา อาการเหล่าน้ีก็จะหายไป หรือใชใ้ นการศึกษาเล่าเรียน ถา้ เรามีสมาธิจดจ่ออยกู่ บั การเรียนไดต้ ิดต่อกนั ใจไม่นึกคิดฟ้ ุงซาสนออกไปก็ช่วยใหเ้ ราเรียนหนงั สือ ไดด้ ี นอกจากน้นั สมาธิยงั ทาให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ทาใหห้ ายจากโรคต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งมากมาย โดยเหตุท่ีร่างกายและจิตใจมีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งแยกกนั ไม่ออก เม่ือร่างกายมีโรคใจก็อ่อนแอ เศร้าหมองไปดว้ ย ในทางตรงกนั ขา้ มเมื่อจิตใจมีความเครียดวิตกกงั วลมาก ๆ เขา้ ก็ทาให้เกิดโรค ทางร่างกายตามมาได้ ดงั น้นั การบริหารกายบริหารจิตจึงเป็นเรื่องสาคญั 22 วิธีการทาสมาธิทาได้หลายวิธีแล้วแต่ความถนดั และอธั ยาศยั ของแต่ละบุคคล ขอยกตวั อย่างวิธีการ ปฏิบตั ิสมาธิดว้ ยการนง่ั สมาธิ และ การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ดงั น้ี การนั่งสมาธิ

4 อิริยาบถที่นิยมและได้ผลดีท่ีสุด คือ การนง่ั ในท่าขดั สมาธิคือเทา้ ขวาทบั เทา้ ซ้าย วางมือไวบ้ นตกั ชิด ทอ้ งนอ้ ย มือขวาทบั มือซา้ ยนิ้วหวั แมม่ ือจดกนั นง่ั ใหต้ วั ตรง เนื่องจากจะทาให้หนงั เน้ือและเอน็ ไม่ขด ลมหายใจ เดินสะดวก เป็นท่าที่มน่ั คง หากไมถ่ นดั จะนงั่ พบั เพียบหรือนง่ั บนเกา้ อ้ีก็ได้ หากมีอาการเกร็งหรือเครียดแสดงวา่ ยงั ปฏิบตั ิไมถ่ ูก ใหแ้ กไ้ ขทา่ นงั่ ใหเ้ รียบร้อย เมื่อนง่ั ดีแลว้ ให้หายใจยาวลึก ๆ และชา้ ๆ เต็มปอด 2 - 3 คร้ัง พร้อม กบั ต้งั ความรู้สึกใหต้ วั โล่ง และใหส้ มองโปร่งสบาย แลว้ จึงหายใจตอ่ ดว้ ยกาหนดภาวนา การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ประกอบดว้ ย 1. มีสติกาหนดรู้เทา่ ทนั อารมณ์ท่ีมากระทบทางตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ 2. มีความเพยี รที่จะใชส้ ติกาหนดรู้เท่าทนั อารมณ์น้นั ๆ อยตู่ ลอดเวลา 3. อารมณ์ที่มากระทบน้นั ตอ้ งเป็นปัจจุบนั เท่าน้นั 4. ตอ้ งมีความรู้สึกเป็นกลาง คือไมร่ ู้สึกรักหรือชงั ในขณะที่กาหนดอารมณ์น้นั ๆ การปฏิบตั ิกรรมฐานประเภทน้ี ไม่บงั คบั จิตให้อยกู่ บั อารมณ์ใดอารมณ์หน่ึง แต่เป็ นการกาหนดอารมณ์ ที่มากระทบ ข้ึนอยู่กับสติท่ีจะกาหนดทนั ท่ีอารมณ์ไหนก็ให้กาหนดท่ีอารมณ์น้นั เท่าน้ัน ผูท้ ่ีเจริญวิปัสสนา กรรมฐาน จะเป็ นผมู้ ีสติว่องไวต่ออารมณ์ท่ีมากระทบ ผลท่ีไดร้ ับ คือ จะเห็นอารมณ์ต่าง ๆ เหล่าน้นั ตามความ เป็ นจริง คือไม่เที่ยง เปล่ียนแปรไป เป็ นทุกข์ คือไม่สามารถทนอยู่ในสภาพน้นั ได้ และไม่มีตวั ตน คือกาหนด ไม่ไดว้ า่ ใครเป็ นเจา้ ของ เม่ือเป็ นเช่นน้ีกิเลสต่าง ๆ ไม่สามารถจะครอบงาจิตใจได้ ทาให้ฉลาด รู้เท่าทนั อารมณ์ และกิเลสท้งั ปวง เอกสารอ้างองิ 1. ดร.นพ.มโน เมตตานนั โท เลาหวณิช. สวดมนตแ์ ละสมาธิบาบดั เพื่อการรักษาโรค. กรุงเทพฯ: บริษทั วี อินด้ี ดีไซน์ จากดั ; 2558. 2. Wallace RK, Benson H., Wilson AF.A wakeful hypometabolic state, Am j Physiol. 1971;221:795-799. 3. Benson H, Beyond the Relaxation Response. New York. NY : Time Books:1984. 4. Cannon W. The emergency function of the adrenal medulla in pain and the major emotions. Am J Physiol.1914;33:356-372. 5. Julius S, Cottier C, Behavior and hypertension. In Dembroski T, Schmidt T, eds. Behavioral Bases of Coronary Heart Disease. Basel,Switzerland:Karger;1983. 6. Clarkson T, Mancusk S, Kaplan J. Potential role of cardiovascular reactivity in atherogenesis. In : Matthews, Weiss S, Detre T, et al., eds. Handbook of Stress, Reactivity, and Cardiovascular Disease. New York, NY:Wiley:1986.

5 7. Lawn B, Verrier R. Rabinowitz S, Neural and psychologic mechanisms and the problem of sudden cardiac death. Am j Cardiol.1987;39:890-902. 8. Turk D, Meichenbam D, A cognitive-behavioral approach to pain management. In: Wall P, Melzack R,eds. Textbook of Pain. Edinburgh. Scotland: Churchill-Livingstone.1984. 9. Malzack R, Wali P. Psychophysiology of pain. Int Anesthesiol Clin. 1970;8:3-34. 10. Fava G, Perino G, Santumastaso P, Fornasa C, Life evens and psychological distress in dermatologic disorders : psoriasis, chronic urticarial, and fungal infections. In: Miller T, ed. Stressful Life Events. Madison. Wis : International Universities Press:1989. 11. Robert S, Barnes D, The brain drain in stress. J NIH Res.1990;2:70-71. 12. Seibel M, Taymor M. Emotional aspects of infertility. Fertil Steril.1982;37:137. 13. Woods N,Most A, Longenecker G. Major life events, daily stressors, and premenstrual symptoms. Nurs Res.1985;34:263-267. 14. Alexander CN, Robinson P,Orme-Johnson DW, Schneider RH,Walton KG. The effects of transcendental meditation compared to other methods of relaxation and meditation in reducing risk factors, morbidity, and mortality. Homeostasis.1994;35:243-263. 15. Benson H. Systemic hypertension and the relaxation response. The N Eng Med. 1977;296:1152-1156. 16. Tulpule T,Yogic exercises in the management of ischemic heart disease. Indian Heart Journal. 1971;23:259-264. 17. Benson H, Alexander S, Feldman CL. Decreased premature ventricular contractions through the relaxation response in patients with stable ischemic heart disease. Lancet. 1975;2:380. 18. Cooper MJ, Aygen MM,A relaxation technique in the management of hypercholesterolemia. J Hum Stress. 1979 ; 5 : 24 - 27. 19. Honsberger RW, Wilson AF. Transcendental meditation in treating asthma. Respiratory Therapy : The Journal of Inhalation Technology.1973; 3 : 79-80. 20. Gaston L, Efficacy of imagery and meditation techniques in treating psoriasis. Imagination, Cognition and Personality.1988 – 1989 ; 8 : 25-38. 21. Keefer L, Blanchard EB. A one-year follow-up of relaxation response meditation as a treatment for irritable bowel syndrome. Behavioral Research and therapy.2002 ; 40 : 541-546. 22. แพทยพ์ งษ์ วรพงศพ์ เิ ชษฐ. พุทธธรรมบาบดั . กรุงเทพฯ: บริษทั สุขมุ วทิ มีเดีย มาร์เกต็ ติ้ง จากดั ; 2545.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook