นาฏศลิ ป์ ม.4 ( ศ 31102 ) สอนโดย…คุณครูฐิตริ ัตน์ ลีย้ ุทธานนท์
ววิ ฒั นาการนาฏศิลป์ ไทย
วิวฒั นาการนาฏศลิ ป์ ไทย นาฏศิลป์ ไทย เป็ นศิลปะประจาชาตทิ ่ีมีววิ ฒั นาการมาต้งั แต่สมัยสุโขทยั จนถงึ ปัจจุบัน และมเี อกลกั ษณ์แตกต่างกนั ไปตามยุคสมัย จนกระท้งั พฒั นามาเป็ น นาฏศิลป์ ระดบั มาตรฐานทมี่ ีแบบแผน และเป็ นเอกลกั ษณ์ของไทย ๑. สมัยสุโขทยั เป็ นการแสดงประเภทระบา รา ฟ้อน มีวิวฒั นาการมาจาก การละเล่นของชาวบ้าน เป็ นการพกั ผ่อนหย่อนใจหลงั จากเสร็จงาน หรือแสดงใน งานบุญ งานรื่นเริงประจาปี ปรากฏในหนังสือไตรภูมพิ ระร่วงฉบบั พระมหาราชา ลไิ ทว่า “บ้างเต้น บ้างรา บ้างฟ้อน ระบาบันลือ” แสดงให้เห็นรูปแบบของนาฏศิลป์ ทปี่ รากฏในสมัยนี้ คือ เต้น รา ฟ้อน และระบา ๒. สมัยอยุธยา ได้พฒั นาการแสดงในรูปแบบของละครรา นับเป็ นต้นแบบของละครรา แบบอ่ืนๆต่อมา คือ ละครชาตรี ละครนอก และละครใน สาหรับละครในเป็ นละคร ผู้หญงิ แสดงเฉพาะในราชสานัก ในราชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนิยมแสดงเรื่อง อเิ หนา ซ่ึงเจ้าพนิ ทวดไี ด้สืบทอดท่าราต่อมาจนถึงสมัยธนบุรี
3. สมยั รัตนโกสินทร์ เกดิ การประดษิ ฐ์ท่าราต่างๆ ดงั นี้ รัชกาลที่ 1. สมัยพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าให้รวบรวมตารา การฟ้อนราต่างๆ โดยบันทกึ ท่ารา แม่บท ไว้ มกี ารพฒั นาโขน และปรับปรุงระบาสี่บท รัชกาลที่ 2. ** สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั ถือว่า เป็ นยคุ ทอง ของนาฏศิลป์ ไทยและละครไทย เนื่องจาก องค์รัชกาลท่ี 2 ทรงโปรดปรานละครรามาก มกี ารฝึ กหัด รา , ระบา, โขน , ละคร ได้ปรับปรุงเคร่ืองแต่งกายเป็ น แบบยืนเคร่ือง
รัชกาลท่ี 3. สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกเลกิ ละครหลวง ทาให้การแสดงนาฏศิลป์ ไทยมมี ากขนึ้ ในหมู่ ประชาชนทวั่ ไป เกดิ ศิลปิ นทมี่ ีความสามารถและเป็ นผู้สืบทอดการแสดงทเี่ ป็ น แบบแผนต่อมา รัชกาลที่ 4. สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้มีละครราผู้หญงิ ในราชสานัก ตามแบบเดมิ และเอกชนให้มีการ แสดงละครได้ท้งั ชายและหญิง เกดิ การแสดง ราเบกิ โรงชุด รากงิ่ ไม้เงนิ ทอง รัชกาลท่ี 5. สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกดิ การพฒั นารูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ ไทย ให้มคี วามทนั สมยั มากขนึ้ เร่ิมรับเอาวฒั นธรรมจากตะวนั ตกมาพฒั นารูปแบบการแสดงละครของไทยเช่น ละครดกึ ดาบรรพ์,ละครพนั ทาง,ละครเสภา รวมท้งั ประดษิ ฐ์ท่าราประกอบละคร เช่น ระบาไก่ ในละครพนั ทางเรื่อง ลลิ ติ พระลอ
รัชกาลท่ี 6. สมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ ต้งั กรมมหรสพขนึ้ มกี ารทานุบารุงศิลปะการแสดงและดนตรีไทย ให้มแี บบแผนมากขึน้ นับเป็ นยุคทองของนาฏศิลป์ ไทยอกี ยุคหนึ่ง รัชกาลท่ี 7. สมัยพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมมหรสพ ไดถ้ กู ยุบไป โปรดเกล้าให้ จดั ตงั้ กรมศิลปากร ขนึ้ แทน เพอ่ื ใหศ้ ิลปะการแสดงยังอยูส่ ืบไป รัชกาลท่ี 8. สมัยพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ปรเมนทรมหาอานันท มหดิ ล เกิดการ ก่อตงั้ โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ ตอ่ มาเปลี่ยนเป็ นโรงเรียน นาฏศิลป์ สุดทา้ ยเปลี่ยนมาเป็ น วทิ ยาลัยนาฏศลิ ป์ ในปัจจุบนั รัชกาลที่ 9 – ปัจจุบนั . สมัยพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดุลยเดช ในสมัยนีจ้ ัดให้ กรมศิลปากรและรัฐบาลเป็ นผู้สืบทอด ดแู ล
๑. สมัยสุโขทัย ๒. สมัยอยุธยา ๓. สมัยธนบุรี ๔. สมัยรัตนโกสนิ ทร์
การละครไทย จาแนกได้เป็ น 3 ประเภท คือ 1. ละครทด่ี าเนินเรื่องด้วยลลี าของการรา มบี ทร้อง และดนตรี ประกอบการร่ายรา เป็ นส่ือให้ผู้ดูเข้าใจความหมายของเร่ืองราว ได้ ละครชนิดนีเ้ รียกว่า ละครราท้งั นีล้ ะครราแบ่งตามลกั ษณะ วธิ ีการแสดงออกเป็ น 2 ลกั ษณะดงั นี้ 1.1 ละครทเี่ ป็ นแบบแผนด้งั เดมิ สืบเนื่องมาแต่สมยั กรุงศรี อยธุ ยา ได้แก่ - ละครโนห์รา หรือชาตรี - ละครนอก - ละครใน
1.2 ละครปรับปรุงขนึ้ ตามสมัยนิยม เกดิ ขนึ้ ในราวรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั รัชกาลที่ 5 ไดแ้ ก่ - ละครดกึ ดาบรรพ์ - ละครพนั ทาง - ละครเสภา
3.ละครทด่ี าเนินเรื่องด้วยบทพูด และแสดงท่าทางแบบ สามญั ชน ประกอบการพูด เป็ นสื่อให้ผู้ดูเข้าใจความหมาย เรียกว่า ละครพูด แบ่งออกเป็ น 3 ลกั ษณะ คือ 3.1ละครพูดล้วนๆ ดาเนินเร่ืองโดยบทพูดเพยี งอย่างเดยี ว 3.2 ละครพูดสลบั ลา ดาเนินเรื่องด้วยบทพดู สลบั กบั การ ร้อง แต่เน้นความสาคญั ทบี่ ทพดู ส่วนบทร้องน้ันสามารถตดั ออกได้ 3.3 ละครสังคตี ดาเนินเรื่องด้วยบทพดู และบทร้อง ซ่ึงมี ความสาคญั ในการดาเนินเร่ืองจะตัดอย่างใด อย่างหนึ่งออก มไิ ด้
บทท่ี ๒ การแสดงนาฏศิลป์ ไทย เป็ นศิลปะการแสดงประกอบ ดนตรีของไทย เช่น ฟ้อน รา ระบา โขน แต่ละท้องถิ่นจะมชี ื่อเรียกและมีลลี าท่า การแสดงทแี่ ตกต่างกนั ไป สาเหตุหลกั มาจากภูมปิ ระเทศ ภูมอิ ากาศของแต่ละ ท้องถ่ิน ความเชื่อ ศาสนา ภาษา นิสัยใจ คอของผู้คน ชีวติ ความเป็ นอยู่ของแต่ ละภาค การแสดงนาฏศิลป์ ไทย มที ่าราทอี่ ่อน ช้อยและเป็ นเอกลกั ษณ์แตกต่างกันไป ตามลกั ษณะประจาถิน่
การแสดงนาฏศิลป์ ไทย เมื่อศิลปะศาสตร์แขนงต่างๆเหล่านีม้ ารวมกนั จงึ ทา ให้เกดิ เป็ นวฒั นธรรมทง่ี ดงามและเป่ี ยมไปด้วยคุณค่าซึ่งเป็ น เอกลกั ษณ์ของชาตทิ ไี่ ม่มชี าตอิ ื่นใดจะทาได้เสมอเหมือนเราและ ถือเป็ นมรดกทางวฒั นธรรมทต่ี ้องสืบทอดต่อไป นาฏศิลป์ ไทยมรี ูปแบบทห่ี ลากหลาย ท้งั อ่อนช้อย เคร่งขรึม สง่างามและร่าเริง นาฏศิลป์ เป็ นศิลปะการร่ายราท่ี ละเอยี ดอ่อน ประณตี บรรจงสร้างความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ สร้างความสุขให้กบั ผู้คนมาทุกยคุ ทุกสมยั น่ีคือคุณค่าของ นาฏศิลป์ ไทย
นาฏศิลป์ ไทย ประกอบด้วย ระบา รา ฟ้อน โขน และละคร ซ่ึงเป็ น งานศิลปะทม่ี คี ุณค่า และมรี ูปแบบของความงามหรือสุนทรียะ 3 ด้าน สุนทรียะทางวรรณกรรม < สุนทรียะทางดนตรี และการขบั ร้อง < สุนทรียะทางท่ารา ดงั นี้ 1. สุนทรียะทางวรรณกรรม หมายถงึ ความงามทางตัวอกั ษร โดยเฉพาะคาประพนั ธ์ประเภทร้อยกรอง ที่มีความงามทางตวั อกั ษร ของกวหี รือผู้ประพนั ธ์ทมี่ ศี ิลปะในการใช้ถ้อยคาซึ่งก่อให้เกดิ การโน้ม น้าว ความรู้สึกในแง่ของคตสิ อนใจทมี่ ีคุณประโยชน์ในการเสริมสร้าง ปัญญา โดยความงามของวรรณคดปี ระเภทร้อยกรองน้ัน ประกอบด้วย ความงามของเนื้อหาสาระและศิลปะการใช้ถ้อยคา การเล่นคา เล่นอกั ษร เล่นสระ และเล่นเสียง
2. สุนทรียะทางดนรีและการขบั ร้อง ความงามที่ได้จากดนตรีและ การขบั ร้องน้ันต้องอาศัยท้งั ผู้บรรเลง ผู้ร้อง และผู้ฟัง เน่ืองจากในเพลง ไทยมักจะมีท้งั การบรรเลงดนตรีและการขบั ร้องไว้ด้วยกนั ตลอดจนมี ผู้ฟังเพลงทม่ี าช่วยกนั สร้างสุนทรียะทางดนตรีและการขบั ร้องร่วมกนั 3. สุนทรียะของท่ารา ความงามของท่าราอย่างมีสุนทรียะน้ัน พจิ ารณาได้จากความถูกต้องตามแบบแผนของท่ารา ได้แก่ ท่าราถูกต้อง จงั หวะถูกต้อง สีหน้าอารมณ์ความรู้สึกที่สอดคล้องไปกบั ท่ารา ทานอง เพลงและบทบาทตามเนื้อเร่ืองท่าราสวยงาม มคี วามแตกฉานด้านท่ารา มีท่วงทลี ลี าเป็ นเอกลกั ษณ์ของตนถ่ายทอดท่าราออกมาได้เหมาะสม
นาฏศิลป์ ไทยเป็ นศิลปะการแสดงทแ่ี บ่งแยกได้ดงั นีค้ ือ 1. ระบา เป็ นการแสดงหมู่ทมี่ ผี ู้แสดงต้งั แต่ 2 คน ขนึ้ ไป จะเน้นทคี่ วามพร้อมเพรียงเป็ นสาคญั 1.1 ระบามาตรฐาน หมายถงึ ระบาทสี่ ืบทอดมาต้งั แต่สมัยโบราณ แต่งกายแบบยืนเครื่องพระ-นาง ใช้วงป่ี พาทย์บรรเลงประกอบการ แสดง เช่น ระบาสี่บท,ระบาย่องหงดิ ,ระบาดาวดงึ ส์, ระบาเทพ บันเทงิ และระบากฤดาภินิหาร เป็ นต้น - ระบาทแี่ ต่งกายแบบสตรีในราชสานักหรือ ประเพณนี ิยม เช่นระบาฉิ่ง, ระบากรับ, ระบานพรัตน์ เป็ นต้น - ระบาทแ่ี ต่งกายตามเนื้อหา เช่น ระบาส่ีภาค, ระบานางกลอย, ระบาชุมนุมเผ่าไทย เป็ นต้น
1.ระบามาตรฐาน หมายถงึ การแสดงทม่ี ีลกั ษณะการแต่งกาย แบบยืนเคร่ือง พระ นาง (แต่เดมิ ตวั พระสวมเสื้อแขนยาว ปัจจุบันตวั พระละครนยิ มใส่เสื้อแขนส้ัน) ตลอดจนท่าราเพลงร้องและดนตรี มี กาหนดไว้เป็ นแบบแผนทมี่ ีลกั ษณะเฉพาะตวั เช่น ระบาสี่บท ต่อมามี ผู้ประดษิ ฐ์ระบาซึ่งเลยี นแบบระบาส่ีบทขนึ้ อกี หลายชุด ได้แก่ ระบา ย่องหงดิ ระบาดาวดงึ ส์ ระบาเทพบนั เทงิ ระบากฤดาภนิ ิหาร ระบาย่องหงดิ
2. ระบาเบ็ดเตลด็ หมายถึง การแสดงทแ่ี ต่งกายตามรูปแบบลกั ษณะการแสดง น้ันๆ หรือการแสดงทเ่ี ป็ นศิลปะเฉพาะท้องถิ่น ต่อมามผี ู้คดิ แต่งเพลงและ ประดิษฐ์ท่ารา และระบามากขนึ้ โดยนามาประกอบการแสดงโขนหรือละครบ้าง ประดษิ ฐ์ท่าราเป็ นชุดเบ็ดเตลด็ ต่าง ๆ บ้าง เช่น 1. ระบาชุดโบราณคดี 2. ระบาเริงอรุณ 3 .ระบาดอกบัว 4. ระบานพรัตน์ 5. ระบาส่ีภาค 6. ระบาชุมนุมเผ่าไทย 7. ระบาไตรภาคี 8. ระบาตรีลลี า 9. ระบาไกรลาศสาเริง ฯลฯ ระบาส่ีภาค
2. รา เป็ นการแสดงทเ่ี น้นความงดงาม และ อวดฝี มือของผู้แสดงเป็ น หลกั ใช้ผู้แสดง 1-2 คน - ราเดย่ี ว คือ ราคนเดยี ว เช่น ราฉุยฉายพราหมณ์ , ฉุยฉาย เบญกาย, ฉุยฉายวนั ทอง และพระลอลงสวน เป็ นต้น - ราคู่ คือ จะแตกต่างจากระบา จะราแค่ 2 คน ท่าราจะ สอดคล้องตามบท ท่าราอาจจะไม่เหมือนกนั แต่จะมคี วามเป็ นเอกนัย เดยี วกนั อย่างงดงาม เช่น เมขลา- รามสูร , พระราตามกวาง, พระลอตามไก และหนุมานจบั นางเบญกาย เป็ นต้น - ราอาวธุ คือ เป็ นการร่ายราทป่ี รับปรุงมาจาก การไหว้ครูอาวุธ ต่างๆของโบราณ เช่น กระบีก่ ระบอง, ดาบสองมือ ผู้แสดงจะต้องร่ายราอวด ฝี มือและความสามารถในการใช้อาวธุ ต่างๆเพื่อต่อสู้กนั
รา แบ่งออกตามลกั ษณะสาคญั ได้ 2 ประเภท คือ 1. ราเดยี่ ว คือ การราทม่ี ีผู้แสดงราเพยี งคนเดยี ว ได้แก่ ราฉุยฉาย ต่าง ๆ อาทิ - ราฉุยฉายพราหมณ์ - ราฉุยฉายเบญกาย - ราฉุยฉายวนั ทอง เป็ นต้น ราฉุยฉายเบญกาย
2. ราคู่ คือ การราทใี่ ช้ผู้แสดง 2 คนนิยมใช้ในการเบกิ โรง เช่น - ราแม่บท - รากงิ่ ไม้เงนิ ทอง - ราประเลง - ราประเลง
ราเด่ียว ราคู่
3. ฟ้อน เป็ นการร่ายรา พืน้ เมืองของ ภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ รูปแบบของการแสดงคล้ายกบั ระบา คือ แสดง เป็ นชุดส้ันๆ เน้นความพร้อมเพรียงใน กระบวนการร่ายรา เช่น ฟ้อนเลบ็ , ฟ้อนเทียน, ฟ้อนสาวไหม เป็ นต้น
- ฟ้อนแบบเมือง หมายถงึ ศิลปะการฟ้อน ทม่ี ีลลี า แสดงลกั ษณะเป็ นแบบฉบบั ของ \"คนเมือง\" หรือ \"ชาว ไทยยวน\" ซ่ึงเป็ นชนกล่มุ ใหญ่ทอี่ าศัยอยู่เป็ นปึ กแผ่นใน แว่นแคว้น \"ลานนา\" นี้ การฟ้อนประเภทนี้ ได้แก่ ฟ้อน เลบ็ ฟ้อนสาวไหม ฟ้อนเจงิ ฟ้อนดาบ เป็ นต้น - ฟ้อนแบบม่าน คาว่า \"ม่าน\" ในภาษาลานนา หมายถงึ \"พม่า\" การฟ้อนประเภทนีเ้ ป็ นการผสมผสาน กนั ระหว่างศิลปะการฟ้อนของพม่ากบั ของไทยลานนา ได้แก่ ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา
ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ฟ้อนสาวไหม
ฟ้อนเงยี้ ว
• การแสดงพืน้ เมือง เป็ นศิลปะการร่ายราประจา ท้องถน่ิ แสดงออกถึงอตั ลกั ษณ์ของท้องถนิ่ น้ันๆ บ่ง บอกถงึ วถิ ีชีวติ อารมณ์และความรู้สึก คตคิ วามเช่ือ วฒั นธรรม – ประเพณี ซ่ึงย่อมแตกต่างกนั ไปตามรูปแบบ ของการแสดงแต่ละท้องถน่ิ แบ่งออกเป็ น 4 ภาค คือ 1. ภาคเหนือ 2. ภาคอสี าน 3. ภาคกลาง 4. ภาคใต้
การเรียนนาฎศิลป์ มคี วามมุ่งหมาย ดงั นี้ 1. เพ่ือเป็ นการปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยทางศิลปะ แก่ผู้เรียน 2. เพื่อให้มคี วามรู้ความเข้าใจยง่ิ ขนึ้ 3. เพื่อเป็ นการส่งเสริมและอนุรักษ์วฒั นธรรมของ ชาตใิ ห้คงอยู่สืบไป 4. เพ่ือเป็ นการฝึ กให้รู้จกั กล้าแสดงออก
การเรียนนาฎศิลป์ ทาให้เกดิ ประโยชน์ ดังนี้ 1. ทาให้เป็ นคนร่ืนเริงแจ่มใส 2. มีความสามคั คใี นหมู่คณะ 3. สามารถยดึ เป็ นอาชีพได้ 4. ทาให้รู้จกั ดนตรีและเพลงต่าง ๆ 5. ทาให้เกดิ ความจาและปฏิภาณดี 6. ช่วยให้เป็ นคนท่ีมีท่าทางเคล่ือนไหวสง่างาม 7. ช่วยในการออกกาลงั กายได้เป็ นอย่างดี 8. ได้รับความรู้นาฎศิลป์ จนเกดิ ความชานาญ สามารถ ปฏิบตั ไิ ด้ดมี ีช่ือเสียง
แนวทางการอนุรักษ์นาฏศิลป์ นาฏศิลป์ ไทยเป็ นศิลปะอนั ลา้ ค่าของชาตไิ ทยทไ่ี ด้รับการสืบ ต่อกนั มาแต่โบราณกาล จดั เป็ นสิ่งทง่ี ดงามทางศิลปวฒั นธรรมท่ี ควรแก่การรักษาสืบทอดต่อชนรุ่นหลงั และควรทจี่ ะได้มีการ เผยแพร่และปลูกฝังค่านิยมแก่เยาวชนไทย ในยุคปัจจุบัน นักเรียนได้ตระหนักถงึ ความสาคญั ของการ อนุรักษ์ศิลปวฒั นธรรมไทยแขนงนีไ้ ว้ ดงั น้ันเพื่อให้นักเรียนมี ความรู้ความชานาญมากยง่ิ ขนึ้ จงึ เห็นเป็ นการสมควรทจ่ี ะให้มี การฝึ กซ้อม นาฏศิลป์ ไทยเป็ นประจา เพื่อพฒั นาทกั ษะในการ แสดงของนาฏศิลป์ ไทยให้พฒั นาก้าวหน้าต่อไป
คาถามทา้ ยบท 1. ระบา รา เหมือนหรือแตกต่างกันอยา่ งไร 2. ฟ้อน มลี ักษณะต่างจากการแสดงงอนื่ ๆอย่างไร 3. การแสดงพนื้ เมอื ง สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ สง่ิ ใด 4. การแสดงพนื้ เมอื งภาคกลางมลี ักษณะเดน่ อยา่ งไร 5. ระบามาตรฐาน หมายถงึ อะไร
บทท3่ี ละครไทย ประวตั คิ วามเป็ นมาของนาฏศิลป์ และการละครของไทย นาฏศิลป์ เป็ นศิลปะแห่งการละครและฟ้อนรา การดนตรีและการขบั ร้อง ประกอบไปด้วยศิลปะ 3 ประการคือ การฟ้อนรา , การดนตรีและการขบั ร้อง รวมเข้าด้วยกนั นาฏศิลป์ ไทยเกดิ ขนึ้ จากอารมณ์ ความรู้สึกและความเชื่อต่างๆ เช่น ความสุขหรือความทุกข์ซึ่งสะท้อนออกมาเป็ นท่าทางแบบธรรมชาตแิ ละ ประดษิ ฐ์ขนึ้ เป็ นท่าทางและลลี าการฟ้อนรา หรือเกดิ จากลทั ธิความเชื่อใน การนบั ถือสิ่งศักด์สิ ิทธ์ิ เทพเจ้า โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรา ขบั ร้อง ฟ้อนรา เพื่อความพงึ พอใจ
ในสมยั ราชกาลท่ี 7 ได้มกี ารโอนศิลปิ นมาสังกดั กรมศิลปากร จนในปัจจุบันได้มสี ถานการศึกษาหลายแห่งเป็ นสถานทผ่ี ลติ ครู และนักศึกษาทางศิลปะการแสดง ในสาขาต่างๆ ออกมาเป็ นจานวนมากท้งั โขน ละคร ฟ้อน รา
ละครดกึ ดาบรรพ์
เป็ นละครท่ีเกดิ ขนึ้ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ กาเนิดขนึ้ ณ บ้าน เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์ววิ ฒั น์ ( ม.ร.ว. หลาน กญุ ชร ) โดย แสดง ณ โรงละครของท่านทตี่ ้งั ชื่อว่า \"โรงละครดกึ ดาบรรพ์\" เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์ววิ ฒั น์ได้เดนิ ทางไปยโุ รปเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๓๔ และมโี อกาสได้ชมละครโอเปร่า (Opera) ซึ่งท่าน ช่ืนชมการแสดงมาก เมื่อกลบั มาจงึ คดิ ทาละครโอเปร่าให้เป็ น แบบไทย จึงเล่าถวาย สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าพระยานริศรานุ วดั ตวิ งศ์ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าพระยานริศรานวุ ดั ติ วงศ์กโ็ ปรดเห็นว่าดี ในการสร้างละครดกึ ดาบรรพ์คร้ังนี้ ละคร ดกึ ดาบรรพ์ได้รับความนิยมตลอดมา
ละครพนั ทาง ช่ือวา่ \"คณะละครหลวงนฤมติ ร\" ละครพนั ทาง เป็ นละครแบบผสม ผู้ให้กาเนิดละครพนั ทางคือ เจ้าพระยามหินทร์ ศักด์ธิ ารง (เพง็ เพญ็ กลุ ) ท่านเป็ นเจ้าของคณะละครมาต้งั แต่สมยั รัชกาลที่ ๔ ซึ่งแต่เดิมกแ็ สดงละครนอก ละครใน รัชกาลท่ี ๕ ท่านไปยุโรปจงึ นาแบบละครยุโรปมาปรับปรุงละครนอก ละครโรงนีไ้ ด้ไปแสดงในยุโรปเป็ นคร้ังแรก ทรงต้ังช่ือว่า \"คณะละครหลวงนฤมิตร\"
ละครชาตรี ละครชาตรี นับเป็ นละครทม่ี มี าแต่สมัยโบราณ และมอี ายุเก่าแก่กว่าละครชนิด อื่นๆ มลี กั ษณะเป็ นละครเร่คล้ายของอนิ เดยี ทเี่ รียกว่า \"ยาตรี\" หรือ \"ยาตราซ่ึง แปลว่าเดินทางท่องเทยี่ ว ในสมัยโบราณละครชาตรีเป็ นทน่ี ิยมแพร่หลายทางภาคใต้ของไทย เร่ืองที่แสดงคง จะนิยมเร่ืองพระสุธนนางมโนห์รา จึงเรียกการแสดงประเภทนีว้ ่า \"โนห์ราชาตรี\"
ละครร้อง (Malay Opera) ละครร้องเป็ นศิลปะการแสดงแบบใหม่ทีก่ าเนิดขึน้ ในตอนปลายรัชสมัยรัชกาลท่ี ๕ กาเนิดมาจากการแสดงของชาวมลายูเรียกว่า\"บงั สาวนั \" ต่อมาละครบังสาวนั ได้เข้ามาแสดงในกรุงเทพฯ โรงทเี่ ล่นอยู่ข้างวงั บูรพา ต่อมาภายหลงั ได้เปลย่ี นเรียกช่ือว่า \"ละครหลวงนฤมติ ร\" บางคร้ังคนยงั นิยม เรียกว่า \"ละครปรีดาลยั \"
บุคคลสาคญั ในวงการนาศิลป์ และการละคร ของไทยทค่ี วรรู้จกั * นางลมุล ยมะคุปต์ * ท่านผู้หญงิ แผ้ว สนิทวงศ์เสนี * นางเฉลย สุขะวณชิ * นายกรี วรศะริน * นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์
บุคคลสาคญั ในวงการนาศิลป์ และการละครของไทยทคี่ วรรู้จัก 1. นางลมุล ยมะคุปต์ เกดิ เมื่อวนั ท่ี 2 มถิ ุนายน พ.ศ. 2448 ทจี่ งั หวดั น่าน เมื่ออายไุ ด้ 5 ขวบ บิดาได้พามาถวายตวั ทว่ี งั สวนกหุ ลาบ ฝึ กหัด นาฏศิลป์ ด้วยความอดทนและต้งั ใจจริง รวมท้งั มพี รสวรรค์เป็ นพเิ ศษจึง ได้รับการคดั เลือกให้ฝึ กหัดเป็ นตวั พระต้งั แต่แรกเริ่ม ขณะทอ่ี ยู่ในวงั สวน กหุ ลาบท่านได้รับเกยี รตใิ ห้เป็ นตวั นายโรงของทุกเรื่อง ท้งั ละครนอก ละคร ใน ละครพนั ทาง ท่านเป็ นผู้วางหลกั สูตรนาฏศิลป์ ภาคปฏบิ ตั ใิ ห้กบั วทิ ยาลยั นาฏศิลป์ และวทิ ยาลยั เทคโนโลยแี ละอาชีวศึกษา คณะนาฏศิลป์ และดุริยางค์ ท่าน จากไปอย่างสงบเม่ือ พ.ศ. 2526
2. ท่านผู้หญงิ แผ้ว สนิทวงศ์เสนี นามเดมิ ว่า แผ้ว สุทธิบูรณ์ เกดิ เม่ือ วนั ท่ี 25 ธันวาคม พ.ศ. 2446 ในขณะทอี่ ายุได้ 8 ขวบได้ถวายตวั ใน สมเดจ็ พระบรมวงศ์เอเจ้าฟ้าอษั ฎางค์เดชาวุธ กรมกลวงนครราชสีมา โดยได้รับการฝึ กหัดนาฏศิลป์ ในราชสานัก ท่านเป็ นผู้หน่ึงทรี่ ่วมฟื้ นฟูนาฏศิลป์ ไทยในสมัยทแ่ี สดง ณ โรงละคร ศิลปากร ท่านทาหน้าทีใ่ นการฝึ กสอน อานวยการแสดงไม่ว่าจะเป็ น โขน ละคร ฟ้อน รา ระบา เซิ้ง และท่านยงั เป็ นผู้ประดษิ ฐ์คดิ ค้นท่าราต่าง ๆ มากมาย ท่านผู้หญงิ แผ้ว สนิทวงศ์เสนี ได้รับยกย่องเชิดชูเกยี รตเิ ป็ น ศิลปิ นแห่งชาตสิ าขานาฏศิลป์ เม่ือ พ.ศ. 2528
3. นางเฉลย ศุขะวณชิ เกดิ เมื่อวนั ที่ 11 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2447 ท่าน เป็ นผู้เช่ียวชาญการสอนและ การออกแบบนาฏศิลป์ ไทยแห่งวทิ ยาลยั นาฏศิลป์ กรมศิลปากร ท่านมีความสามารถสูงในกระบวนท่าราทุก ประเภท และได้สร้างสรรค์ประดษิ ฐ์ผลงานด้านนาฏศิลป์ ขนึ้ ใหม่ มากมาย จนถือเป็ นแบบอย่างในปัจจุบัน ท่านได้รับปริญญาครุศาสตร บัณฑิตกติ ตมิ ศักด์ิ สาขานาฏศิลป์ สหวทิ ยาลยั รัตนโกสินทร์ วทิ ยาลยั ครู บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา จนได้รับการยกย่องเชิดชูเกยี รตเิ ป็ นศิลปิ น แห่งชาตสิ าขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ ) เมือ พ.ศ. 2530
4. นายกรี วรศะริน เกดิ เม่ือวนั ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2457 ทกี่ รุงเทพมหานคร เป็ นศิลปิ นทเ่ี ช่ียวชาญการสอนนาฏศิลป์ โขน ของ วทิ ยาลยั นาฏศิลป กรมศิลปากร ท่านมคี วามสามารถในการแสดงโขนทุก ประเภท โดยเฉพาะโขนตวั ลงิ อกี ท้งั ยงั สร้างสรรค์และประดษิ ฐ์ผลงาน ด้านโขน-ละครหลายชุด จนเป็ นทย่ี อมรับนับถือในวงการนาฏดุริยางค ศิลป์ นายกรี วรศะริน ได้รับการยกย่องเชิดชุเกยี รตเิ ป็ นศิลปิ นแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ -โขน) เมื่อ พ.ศ. 2531
บทท4ี่ การชม วจิ ารณ์ และประเมินคุณภาพการแสดง
หลักการในการวิจารณ์ ๑. ควรศึกษาเกย่ี วกบั ท่ารา ผู้ชมทด่ี จี ะต้องเรียนรู้ความหมายและลลี าท่าราต่างๆ ของนาฏศิลป์ ไทย ให้เข้าใจเป็ นพืน้ ฐานก่อน ๒. เข้าใจเกย่ี วกบั ภาษาหรือคาร้องของเพลงต่างๆ การแสดงนาฏศิลป์ จะต้องใช้ดนตรีและเพลงเข้าประกอบ ซึ่งอาจจะมที ้งั เพลง ขบั ร้องและเพลงบรรเลงเป็ นคาร้องทแ่ี ต่งขึน้ ใช้กบั เพลงน้ันๆ โดยเฉพาะผู้ชมจะต้อง ฟังภาษาทใี่ ช้ร้อง ๓. มีความเข้าใจเกยี่ วกบั ดนตรีและเพลงต่างๆ นาฏศิลป์ จาเป็ นต้องมีดนตรีบรรเลงประกอบขณะแสดง ซึ่งอาจจะเป็ นแบบ พืน้ เมืองหรือแบบสมยั นิยม ผู้ชมจะต้องฟังเพลงให้เข้าใจท้งั ลลี า ทานอง สาเนียง ของเพลง ตลอดจนจังหวะอารมณ์ด้วย จึงจะชมนาฏศิลป์ ได้เข้าใจและได้รสของ การแสดงอย่างสมบูรณ์
๔. เข้าใจเกยี่ วกบั การแต่งกายและแต่งหน้าของผู้แสดง ผู้ชมควรดูให้เข้าใจว่าการแต่งกายเหมาะสมกบั บรรยากาศและประเภทของการ แสดงหรือไม่ เสื้อผ้า เครื่องประดับ และอุปกรณ์ต่างๆ ทใ่ี ช้ในการแสดง ตลอดท้งั การแต่งหน้าด้วยว่าเหมาะสมกลมกลืนกนั เพยี งใด เช่น เหมาะสมกบั ฐานะหรือบทของผู้แสดงหรือไม่ ๕. เข้าใจถงึ การออกแบบฉากและการใช้แสง ,สี และเสียง ผู้ชมทดี่ ีต้องมคี วามรู้ ความเข้าใจเร่ืองฉาก สถานท่ี และสถานการณ์ต่างๆ ของ การแสดง คือต้องดูให้เข้าใจว่าเหมาะสมกบั การแสดงหรือไม่ บรรยากาศ แสง หรือ เส๖ีย.งเทขใ่ี ้าชใ้นจ้ันเกเหยี่ มวากะบั สบมทกบับลากัทษแณละะขฐอางนกะาขรแอสงดตงวั เพแสยี งดใงด คือ การแสดงทเี่ ป็ นเร่ืองราว มตี วั แสดงหลายบท ซ่ึงจะต้องแบ่งออกตามฐานะใน เรื่องน้ันๆ เช่น พระเอก นางเอก ตวั เอก ตัวนายโรง พระรอง นางรอง ตัวตลก ฯลฯ ๗. เข้าใจเกย่ี วกบั เรื่องราวของการแสดง ทเี่ ล่นเป็ นเรื่องราว เช่น โขน ละคร ผู้ชมต้องติดตามการแสดงให้ต่อเนื่องกนั ถึงจะ เข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ ว่าใคร ทาอะไร ที่ไหน อย่างไร
การวิจารณผ์ ลงานนาฏศลิ ป์
นาฏศิลป์ เป็ นศิลปะการแสดงด้านวจิ ติ รศิลป์ โดยรวมเอาศาสตร์ แขนงต่างๆ ผสมกลมกลืนเข้าด้วยกนั นับว่าเป็ นสารทส่ี ่ือให้เห็นสุทรียะ ด้วยการมองและการได้ยนิ เสียงประเภทหน่ึง ผู้วจิ ารณ์จาเป็ นต้องมีความรู้ในศิลปะสาขาทวี่ จิ ารณ์ มปี ระสบการณ์ เกยี่ วกบั ศิลปะ และมีความสามารถในการส่ือสารเป็ นอย่างดี
ข้นั ตอนการวจิ ารณ์การแสดงนาฏศิลป์ ๑. การบรรยาย ผู้วจิ ารณ์ต้องสามารถพดู หรือเขียนในส่ิงทรี่ ับรู้ด้วยการฟัง ดู รู้สึกต่างๆ ของการแสดง โดยสามารถบรรยายหรือแจกแจงส่วนประกอบต่างๆ ท้งั ใน ลกั ษณะการเชื่อมโยงหลกั เกณฑ์ศิลปะสาขาต่างๆ เข้าด้วยกนั หรือแยกแยะเป็ น ส่ วนๆ ๒. การวเิ คราะห์องค์ประกอบต่างๆ ผลงานการแสดงนาฏศิลป์ ของไทย ประกอบด้วย ๒.๑ รูปแบบของนาฏศิลป์ ไทย เช่น ระบา รา ร้องและโขน เป็ นต้น ๒.๒ ความเป็ นเอกภาพของนาฏศิลป์ ไทย โดยผู้แสดงต้องมคี วามเป็ นอนั หนึ่งอนั เดียวกนั ๒.๓ ความงดงามของการร่ายราและองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ ความถูกต้องของ แบบแผน
๓. การตคี วามและการประเมนิ ผล - ผู้วจิ ารณ์จะต้องพฒั นาความคดิ เห็นส่วนตวั ประกอบกบั ความรู้ หลกั เกณฑ์ต่างๆ ในการตคี วาม… ผู้วจิ ารณ์ต้องกล่าวถึงผลงานนาฏศิลป์ โดยรวมว่าผู้เสนอ ผลงานพยายามจะสื่อความหมายหรือเสนอแนะเรื่องใด - ส่วนการประเมิน…น้ันเป็ นการตีค่าของการแสดงโดยต้องครอบคลมุ ประเด็น เช่น แสดงได้ถูกต้องตามแบบแผน ผู้แสดงมีทกั ษะ สุนทรียะมีความสามารถ และมี เทคนิคต่างๆ นอกจากนี้ ต้องประเมินรูปแบบลกั ษณะของงานนาฏศิลป์ ความคดิ สร้างสรรค์ เป็ นต้น
Search