Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรุปจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว

สรุปจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว

Published by saifansamanurat, 2023-06-19 01:53:11

Description: สรุปจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว

Search

Read the Text Version

สรุปจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว คาถาม=>จติ วทิ ยาหมายถงึ อะไร คาตอบ=>วชิ าจิตวิทยากาเนดิ เริม่ ต้นมาจากตา่ งประเทศเมื่อหลายปมี าแลว้ คาว่าจิตวทิ ยา Psychology มรี าก ศัพท์มาจาก Psyche – – – – – – – Psycho = วิญญาณ (Soul) Logos – – – – – – – – logy = การศึกษา Psycho + logy – – – – – – – – Psychology จึงหมายถงึ วชิ าท่ีศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับวญิ ญาณหรือจิตใจของสิง่ มีชวี ิต คาถาม=>จิตวทิ ยาการศึกษา มคี วามมงุ่ หมายและประโยชน์อะไรบ้าง คาตอบ=> 1. จดุ มุ่งหมาย จติ วิทยาการศึกษาเนน้ ในเรื่องของการเรยี นรู้ และการนาไปประยุกตใ์ นการเรียนการสอนให้มี ประสทิ ธิภาพ 2. ด้านการเรียนการสอน ช่วยใหค้ รเู ขา้ ใจเดก็ สามารถจดั การสอนให้สอดคล้องกับความ ต้องการ สนใจความถนัด เชาวนป์ ญั ญาของเดก็ 3. ดา้ นสงั คม ช่วยให้ครู นักเรียน เขา้ ใจตนและผู้อื่น ปรับปรุงพฤติกรรมตนเอง 4. ปกครองและการแนะแนว ให้ครเู ข้าใจเด็กมากขึน้ อบรมแนะนา ควบคุมดแู ลในเด็กอยู่ในระเบียบ เสริมสรา้ ง บคุ ลกิ ภาพ ปรบั ตวั ได้อยา่ งเหมาะสม คาถาม=> ความหมายของการเรยี นรู้ (Learning) คาตอบ=>การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมท่มี ีลกั ษณะค่อนข้างถาวร โดยเปน็ ผลมาจากประสบการณใ์ นอดีต หรือจาก การฝกึ หดั คาถาม=>พฤติกรรม คือ คาตอบ=>การกระทาตา่ งๆ ของมนุษย์ ท้ังท่ีกระทาโดยรู้สึกตวั และไม่รูส้ ึกตวั ทง้ั ท่ผี ู้อน่ื สงั เกตได้และสังเกตไมไ่ ด้ แบ่งเปน็ ๒ ประเภท คาถาม=>พฤติกรรมภายนอก ได้แก่ คาตอบ=> การกระทาที่บุคคลอนื่ สามารถสงั เกตไดด้ ว้ ยประสาทสัมผัสทง้ั ๕ หรือสามารถวัดได้ดว้ ยเครื่องมือต่างๆ คาถาม=>พฤติกรรมภายใน ได้แก่ คาตอบ=>พฤติกรรมท่เี ปน็ ความในใจของผแู้ สดงพฤติกรรมซึ่งผู้อ่นื ไม่สามารถสงั เกตหรือใช้เคร่ืองมือใดๆ ช่วยใน การสังเกตได้ นอกจากสันนิษฐานเอาจากพฤติกรรมภายนอกท่แี สดงออก คาถาม=>วุฒิภาวะ

คาตอบ=>ภาวะ เป็นระดบั ความเจริญเตบิ โตสูงสดุ ของพฒั นาการด้านรา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และ สติปญั ญาของ บคุ คลในแต่ละวยั ท่เี ป็นไปตามธรรมชาติ ไมข่ ้ึนอยกู่ ับการฝึกหรอื สภาวะแวดล้อม คาถาม=>การรับรู้ คาตอบ=>คอื กระบวนการท่ีบุคคลรบั สมั ผสั สง่ิ เร้าแล้วใชประสบการณ์หรือความรู้เดมิ แปลความหมายของส่ิงเรา้ ท่ี รับสัมผัสนนั้ คาถาม=>การจา คอื คาตอบ=>การที่บุคคลสามารถรกั ษาความรหู้ รือประสบการณท์ เ่ี คยได้รับและสามารถนาออกมาบอกเลา่ หรือใช้ ประโยชนไ์ ดอ้ ีก คาถาม=>จิตวทิ ยากับผสู้ อน ประกอบด้วย คาตอบ=> บคุ ลกิ ภาพของผู้สอน การปฏบิ ัติตนเป็นตัวแบบ การเสริมแรงและการลงโทษ คาถาม=>การเสริมแรง คือ คาตอบ=> การทาให้บคุ คลเกิดความพอใจดว้ ยการใหส้ ่ิงท่ผี ู้รับพอใจ หรือเอาสิ่งท่ีผู้รบั ไม่พอใจออกไป ข้อคานึงในการเสริมแรง ๑. ควรให้การเสรมิ แรงเฉพาะเมอื่ บุคคลแสดงพฤติกรรมทด่ี ี หรอื ท่ตี ้องการเท่าน้นั ๒. การให้แรงเสรมิ ตอ้ งแนใ่ จว่า เปน็ สิ่งทบี่ ุคคลพึงพอใจจริงๆ เพราะบุคคลแตกต่างกัน คาถาม=>การลงโทษ คาตอบ=>คือ การทาใหบ้ คุ คลรู้สกึ ไม่เป็นสขุ ดว้ ยการใหส้ ่ิงทีเ่ ขาไม่พอใจ หรอื เอาสงิ่ ทพี่ อใจออกความบกพรอ่ งของ การใชว้ ิธกี ารลงโทษ ขอ้ คานงึ ในการลงโทษ ๑. เมื่อจะลงโทษบุคคลใดควรมีการชแี้ จงใหเ้ ขาเข้าใจก่อนว่าพฤติกรรมใดเป็นพฤตกิ รรมที่ไดร้ ับการลงโทษ และเขา ควรปรบั ปรงุ พฤติกรรมอย่างไร ๒. การลงโทษควรกระทาทนั ทเี ม่อื ผู้ถูกลงโทษแสดงพฤติกรรมเช่นน้ันอกี ๓. ไมค่ วรลงโทษจนรุนแรงเกินกว่าเหตุ คาถาม=>ทฤษฎกี ารวางเงือ่ นไขอย่างต่อเนอ่ื งของกัทธรี (Guthrie’s Continuous Conditioning Theory) คาตอบ=>การเรยี นรูเ้ กิดจากความเช่ือมโยงส่ิงเร้ากับการตอบสนอง โดยมีการกระทาเพียงครงั้ เดยี ว -ทดลองกับแมว -การเรยี นรู้ของนักเรียนจงึ เกิดจากการจูงใจ มากกว่าการเสรมิ แรง

คาถาม=>ทฤษฎีการวางเงอื่ นไขการกระทาของสกินเนอร์ (Skinner’s Operant Conditioning Theory) คาตอบ=>สงิ่ เรา้ ทาใหเ้ กดิ พฤตกิ รรม และผลกรรมที่เกิดภายหลงั พฤติกรรมเพ่ิมขึน้ หรือลดลง ข้นึ อยกู่ บั ความพึง พอใจของผู้กระทาต่อสง่ิ เรา้ น้ัน -ทดลองกับหนู -การวางเง่อื นไขแบบการกระทา จงึ เป็นกระบวนการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมทใ่ี ชส้ งิ่ เสริมแรง (Reinforcer) ใน สถานการณ์ เพอ่ื กาหนดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ -กฎการเรยี นรู้จากการวางเง่อื นไขแบบการกระทา มี 5 กฎ ดงั น้ี 1. การหยุดยั้ง (Extinction) 2. การฟนื้ กลบั ของพฤตกิ รรม (Spontaneous Recovery) 3. การสรปุ ความเหมือน หรือการพดู คลมุ โดยท่วั ไป (Generalization) 4. การแยกความแตกต่าง (Discrimination) 5. การปรับพฤติกรรม (Shaping Behavior) -การเสรมิ แรงแบบบางครง้ั บางคราวจะทาให้การตอบสนองคงอยู่ได้นาน มากกวา่ การเสรมิ แรงแบบต่อเน่ือง คาถาม=>ทฤษฎีการเรยี นรจู้ ากการคดิ (Cognitive Learning) คาตอบ=>คอื การเข้าใจ การรู้ ความจา การจินตนาการ การคิด การแกไ้ ขปัญหา การใช้มโนทศั น์ (concept) ภาษาในการเรยี นรู้ หรอื คาศัพทเ์ ฉพาะสาขาวิชา การใชก้ ระบวนการทางจติ ระดับสงู อน่ื ๆ (เชน่ การสังเคราะห์ การ วเิ คราะห์ การบูรณาการ เปน็ ตน้ ) -ทฤษฎีการเรยี นรู้จากการรู้คิดไดแ้ ก่ ทฤษฎขี องเกสตัลท์ (Gestalt) ท่เี น้น “ส่วนรวมสาคญั กวา่ สว่ นยอ่ ย” ทฤษฎีของเฟยี เจท์ (Piaget) ทเ่ี น้น “การรู้คิดเกดิ จากการปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลกบั สง่ิ แวดล้อม” คาถาม=>ทฤษฎีการวางเง่ือนไข แบบแบบคลาสสคิ (Classical Conditioning) เป็นของใคร คาตอบ=>พาฟลอฟ (Ivan P.Pavlov) -การทดลอง เอาหมาท่กี าลังหิวยืนบนแท่นมีทีร่ ง้ั ไมใ่ ห้สุนัขเคล่ือนที่ เจาะรูเลก็ ๆ ทีแ่ ก้มเอาหลอดยาใสท่ อ่ น้าลาย กฎการเรยี นรู้ 4 กฎ 1. กฎการลบพฤติกรรม (Law of Extinction) การตอบสนองทีเ่ คยปรากฏจะไมป่ รากฏถ้านาส่งิ เร้าน้ันออก 2. กฎการคืนสภาพเดิม (Law of Spontaneous recovery) หลังจากทลี่ บพฤติกรรมนนั้ ไปแลว้ จะไม่เกิด พฤติกรรมท่ีวางเง่ือนไขน้ันอกี แตร่ ะยะหนงึ่ หรือบางครั้งก็อาจเกิดพฤตกิ รรมนน้ั ได้อีก 3. กฎการสรุปความเหมือน (Law of Generalization) ถ้ามสี ิง่ เรา้ อน่ื ท่ีมคี ุณสมบัตคิ ล้ายคลงึ กับสงิ่ เร้าท่ีมกี ารวาง เง่ือนไข อินทรยี ์จะตอบสนองเหมอื ส่งิ เรา้ ที่วางเง่อื นไขนั้น 4. กฎการจาแนกความแตกต่าง (Law of Discrimination) เปน็ ลักษณะทีผ่ เู้ รียนสามารถแยกแยะสงิ่ ทแี่ ตกตา่ งกนั ได้เช่น งูเหา่ มพี ิษ งูสงิ หไ์ มม่ ีพิษ

คาถาม=>การจงู ใจ (Motivation) คือ คาตอบ=>กระบวนการนาปัจจยั ตา่ งๆทีเ่ ป็นแรงจูงใจ มาผลักดันใหบ้ ุคคลแสดงพฤติกรรมไปอยา่ งมีทิศทาง เพื่อ บรรลุเป้าหมายทตี่ ้องการ คาถาม=>ทฤษฎคี วามตอ้ งการตามลาดบั ขัน้ ของมาสโลว์ (มาสโลว์’s Hierarchy Needs) คาตอบ ความตอ้ งการตามลาดับข้นั ของมาสโลว์ 1. ความตอ้ งการทางด้านสรรี วิทยา (Physiological Needs) 2. ความตอ้ งการความปลอดภัย (Safety Needs) 3. ความต้องการความรัก และความเป็นเจ้าของ (Love and belongingness Needs) 4. ความต้องการความเคารพนบั ถอื (Esteem Needs) 5. ความต้องการประจักษต์ น (Self – actualization Needs) คาถาม=>ทัศนคติ และความสนใจ หมายถงึ คาตอบ=>ความพร้อมของร่างกาย จติ ใจที่มแี นวโนม้ จะตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้าหรอื สถานการณ์ใด ๆ ดว้ ยการเข้าหา หรอื ถอยหนี คาถาม=>ทศั นคตแิ บ่งออกเปน็ คาตอบ=> แบ่งเป็น 2 ประเภท (บวก ลบ) 1.ทศั นคตทิ างบวกหรือทศั นคตทิ ่ีดี แนวโนม้ ท่จี ะเข้าหาสงิ่ เร้า หรือสถานการณ์น้ัน ๆ ด้วยความชอบ พอใจ 2.ทศั นคตทิ างลบหรอื ทศั นคติไมด่ ี แนวโน้มท่ีจะถอนหนีส่ิงเร้า หรือสถานการณน์ ้นั ๆ ดว้ ยความไม่ชอบ ไม่พอใจ คาถาม=> ลกั ษณะทัว่ ไปของทัศนคติ คาตอบ=> 1. ทัศนคติทีเ่ กิดจากการเรียนรู้ หรือได้รับประสบการณ์ ไม่ไดต้ ดิ ตวั มาแต่เกดิ 2. ทศั นคตจิ ะเปน็ ตัวช้ีในการแสดงพฤติกรรม 3. ทัศนคตไิ ม่สามารถถ่ายทอด จากบคุ คลหนง่ึ ไปอีกบุคคลหน่ึงได้ 4. ทศั นคตสิ ามารถเปลยี่ นแปลงได้ คาถาม=>เชาวป์ ญั ญา (Intelligence) หมายถงึ คาตอบ=>สมรรถภาพของสมองที่แสดงความสามารถดา้ นความจา การคิดอย่างมเี หตุผล คาถาม=>I.Q. หมายถงึ คาตอบ=>(Intelligence Quotient) เกณฑ์ภาคเชาวน์ คือ ความสามารถในการศึกษา อาชีพ การปรบั ตัว 140 ขึน้ ไป อจั ฉริยะ ฉลาดมากทีส่ ุด (very superior)

120 – 139 ฉลาดมาก (superior) 110 – 119 ฉลาดกวา่ ระดับปกติ (higher average) 90 – 109 ฉลาดปานกลาง หรือระดบั ปกติ (average) 80 -89 ต่ากว่าปกติ (low average) 70 -79 คาบเส้นปญั ญาอ่อน (borderline mentalretardation) ต่ากว่า 70 ปญั ญาอ่อน (mental ratardation) คาถาม=>I.Q คนปกติอย่ใู นช่วงใด…. คาตอบ=>90 – 110 คาถาม=> การเรยี นรเู้ กิดขึน้ ไดจ้ ากการกระทา (Learning by doing) ประสบการณ์เป็นสิง่ สาคญั ในการ ปรับตวั ของมนุษย์เปน็ แนวคิดของใคร คาตอบ=>จอน์ ดิวอ้ี (John Dewey) คาถาม=> สัญชาตญาณเป็นสว่ นท่ที าให้เราปรับตัวเขา้ กับสง่ิ แวดล้อมเปน็ แนวคิดของใคร คาตอบ=>วลิ เลยี ม เจมส์ (Williaam James) คาถาม=> ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างส่งิ เร้ากบั การตอบสนองเป็นแนวคิดของใคร คาตอบ=>วดู้ เวริ ์ธ ( R.S.wOODWORTH) คาถาม=>ตามแนวคดิ ของ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) แบ่งลกั ษณะจิตออกเปน็ กี่สว่ นอะไรบา้ ง คาตอบ=>เป็น 3 ส่วน 1.จติ สานกึ (Conscious) แสดงความรูต้ ังตลอดเวลา 2.จติ ใตส้ านึก (Subconscious) รู้ตัวตลอดเวลาแตไ่ ม่แสดงออกในขณะนน้ั 3.จิตไรส้ านึก (Unconscious) คาถาม=>โครงสร้างของบุคลกิ ภาพจติ ของมนุษยแ์ ยกเป็นกี่ลักษณะ อะไรบา้ ง คาตอบ=>3 ลกั ษณะ 1. (Id) ส่วนที่ยังไม่ไดข้ ัดเลา แสวงหาความสขุ ความพอใจโดยถอื ตัวเองเปน็ หลัก 2. (Superego) สว่ นท่ีได้มาจากการเรียนร้เู ป็นส่วนท่ีคิดถงึ ผดิ ชอบชว่ั ดี คดิ ถึงคนอืน่ ก่อนตดั สินใจอะไรลงไป 3. (ego) สว่ นทเี่ ปน็ ตัวตดั สนิ ใจโดยคานงึ ถึงสภาพความเปน็ จรงิ ในสภาพการณ์นัน้ ๆ กับส่วนที่รูจ้ กั ผิดชอบชัว่ ดี คาถาม=>กลมุ่ โครงสรา้ งจติ (Structuralism) คาตอบ=> – ว้นุ ด์ (Wilhelm max Wundt) – ทิชเชนเนอร์ (Titchener)

– เฟชเนอร์ ( Fechner) คาถาม=>กล่มุ หนา้ ทจ่ี ิต (Functionalism) คาตอบ=> – จอน์ ดิวอี้ (John Dewey) – วลิ เลยี ม เจมส์ (Williaam James) – วูด้ เวิรธ์ ( R.S.wOODWORTH) คาถาม=>กล่มุ พฤตกิ รรมนิยม ( Behavior) คาตอบ=> – วัตสนั (John B.Watson) – พาฟลอฟ (Ivan P.Pavlov) – ธอร์นไดค์ (Edward L.Thorndike) – ฮลั (Clark L.Hull) – โทลแมน (Edward C.Tolman) คาถาม=>กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) คาตอบ=> – ฟรอยด์ (Sigmund Freud) – แอดเลอร์ (Alfred Adler) – จงุ (Carl G.Jung) คาถาม=>กลมุ่ เกสตัลท์ (Gestalt Psychology) คาตอบ=> – เวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer) – คอฟกา (Kurt Kofga) – เลอวิน (Kurt Lewin) – โคเลอร์ (Wolfgang Kohler) คาถาม=>กลมุ่ มนุษยน์ ิยม (Humanism) คาตอบ=> – คารล์ โรเจอร์ (Carl R.Rogers) – มาสโลว์ (Abrahaham H. Maslow)

คาถาม=>บิดาแหง่ จติ วิทยาการทดลอง คาตอบ=>วุ้นด์ (Wilhelm max Wundt) คาถาม=>บิดาแห่งจิตวิทยาคอื คาตอบ=>ชิกมนุ ด์ ฟรอยด์ Sigmund Freud คาถาม=>เป็นบิดาแห่งเชาว์ปญั ญา คอื คาตอบ=>Alfres Brnet อัลเฟรด บิเนท์ คาถาม=>บดิ าแห่งจติ วิทยาวเิ คราะห์ คาตอบ=>ชกิ มนุ ด์ ฟรอยด์ Sigmund Freud คาถาม=>บดิ าแห่งจิตวิทยาการศกึ ษาคือ คาตอบ=>ธอร์นไดค์ Edward L. Thorndike คาถาม=>บิดาแห่งจิตวิทยาพฤติกรรม คาตอบ=>วตั สนั Wetson คาถาม=>คาวา่ จิตวทิ ยา ตามวามหมายเดมิ ของกรีกหมายถึงอะไร คาตอบ=>วญิ ญาณ คาถาม=>มนษุ ยม์ คี วามต้องการที่ไมส่ ิน้ สุดเปน็ แนวคิดของใคร คาตอบ=>มาสโลว คาถาม=>ความหมายของการเรยี นรู้สรปุ สั้นๆคือ คาตอบ=>การเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรม คาถาม=>นกั จติ วทิ ยาผู้คิดคน้ การวางเงอ่ื นไขแบบคลาสสกิ คือ คาตอบ=>ฟาฟลอฟ คาถาม=>นกั จติ วิทยาผคู้ ดิ คน้ ทฤษฏคี วามสัมพันแ์ บบเช่ือมโยงคือ คาตอบ=>ธอร์นไดค์ คาถาม=>เดก็ เปรียบเสมือนผา้ ขาวเป็นแนวคดิ ของใคร คาตอบ=>รุสโซ่

คาถาม=>นักจติ วทิ ยาผู้คิดค้นการวางเงื่อนไขแบบการกระทาคือ คาตอบ=>สกินเนอร์ คาถาม=>นกั จติ วทิ ยาผคู้ ิดค้นทฤษฏกี ารหย่ังรคู้ ือ คาตอบ=>โคลเลอร์ คาถาม=>นกั จติ วิทยาผู้คิดคน้ ทฤษฏีพัฒนาบคุ ลกิ ภาพคอื คาตอบ=>ฟรอยด์ คาถาม=>การลองผดิ ลองถกู เปน็ แนวคดิ ของใคร คาตอบ=>ธอร์นไดค์ คาถาม=>บทเรียนแบบโปรแกรม เป็นแนวคิดของใคร คาตอบ=>สกนิ เนอร์ คาถาม=>ครคู วรสอนเพศศกึ ษาในระดบั ช้ันใด คาตอบ=>ม.ต้น คาถาม=>วัยรนุ่ อายุอยู่ในช่วงใด คาตอบ=>12 – 20 ปี คาถาม=>นักจติ วิทยาท่านใดใช้สนุ ัขเป็นสัตวท์ ดลอง คาตอบ=>ฟาฟลอฟ คาถาม=>นกั จิตวทิ ยาท่านใดใชห้ นูเปน็ สัตว์ทดลอง คาตอบ=>วตั สัน คาถาม=>นกั จิตวิทยาทา่ นใดใชแ้ มวเป็นสตั วท์ ดลอง คาตอบ=>ธอรนไดค์ คาถาม=>ความหมายของวุฒิภาวะแบบสน้ั ๆคือ คาตอบ=>ความพร้อม

คาถาม=>เด็กผูช้ ายมกั หวง คาตอบ=>แม่ (ในทางตรงกนั ข้ามเด็กผ้หู ญงิ จะมกั หวงพอ่ )


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook