Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แหล่งเรียนรู้-ทำเนียบนิคมน้ำอูน 2564

แหล่งเรียนรู้-ทำเนียบนิคมน้ำอูน 2564

Published by Nikhom Nam Un library, 2021-01-18 07:14:56

Description: แหล่งเรียนรู้-ทำเนียบนิคมน้ำอูน 2564

Search

Read the Text Version

แหลง่ เรยี นรู้ หมูบ่ า้ นนวตั วธิ ี อา้ ปีงบประมา ลำดบั ชื่อบ้ำน ประเภทแหล่ง ข้อมลู โดยสงั เขป ทต่ี ง้ั ท่ี เรียนรู้ ๑ บ้ำนดงภูทอง แหล่งเรยี นรู้ บ้ำนดงภทู องตัง้ อยู่ หมู่ ๗ บำ้ นดงภูทอ ประเภท ในเขตพ้ืนท่ี อบต. ตำบลสุวรรณคำม ทรัพยำกรธรรมชำติ สุวรรณคำม อยหู่ ่ำง อำเภอนิคมนำ้ อูน จำกตวั อำเภอ ๔ จงั หวัดสกลนคร กิโลเมตร ๒ บำ้ นโนนสุวรรณ แหลง่ เรยี นรู้ บำ้ นโนนสุวรรณ หมู่ ๖ บ้ำนโนน ประเภทกจิ กรรม ตั้งอยูใ่ นเขตพื้นท่ี สุวรรณ ตำบล ทำงสังคม อบต.สวุ รรณคำม สวุ รรณคำม อำเภอ อยหู่ ำ่ งจำกตวั นคิ มน้ำอนู จงั หวัด อำเภอ ๕ กิโลเมตร สกลนคร ๓ บ้ำนหนองบัว แหล่งเรียนรู้ บำ้ นหนองบัวบำน หมู่ ๓ บำ้ นหนองบ บำน ประเภท ตงั้ อยใู่ นเขตพน้ื ที่ บำน ตำบลหนองบ ทรัพยำกรธรรมชำติ อบต.หนองบวั อยู่ อำเภอนคิ มน้ำอูน ห่ำงจำกตัวอำเภอ จงั หวดั สกลนคร ๒๐ กิโลเมตร

าเภอนคิ มน้าอนู จังหวดั สกลนคร าณ ๒๕๖4 ชือ่ ผนู้ ำชุมชน เบอรโ์ ทรศัพท์ที่ตดิ ตอ่ ได้/ รปู กิจกรรม QR code รูปแหล่งเรยี นรู้ อง นำยสนั ธำน ม ขยุ่ นำเพียง ๐๙๘-๓๙๐๐๗๐๓ น ร นำงสำวรัตติ ๐๖๒-๙๑๔๙๘๙๓ กำญจน์ ไพศำล อ ด บัว นำยทวศี กั ด์ิ วงค์ ๐๙๓-๓๓๙๙๕๔๕ บัว ศรจี ันทร์

แบบส้ารวจแ ตา้ บลสุวรรณคาม อ้าเภอน ปีงบประมา ลำดบั แหลง่ เรียนรู้ ประเภทแหลง่ ขอ้ มูลโดยสังเขป ท ที่ เรียนรู้ ๑ วดั ถำ้ นำ้ หยำด แหลง่ เรียนรู้ วัดถ้ำนำ้ หยำดตง้ั อยใู่ นเขตพ้ืนทีบ่ เนดง หมู่ ๗ ประเภท ภทู องตำบลสวุ รรณคำม อยู่ห่ำงจำก ภทู อง ทรัพยำกรธรรมชำติ ตัวอำเภอ ๕ กิโลเมตร สวุ รรณ อำเภอ อูน จงั สกลนค 2 การเกษตร แหล่งเรียนรู้ การเกษตรแบบสมยั ใหม่ นาองค์ เลขท่ี 1 ธรรมชาติ ประเภท ความรู้ในเรอื่ งศาสตร์พระราชามา หมู่ 1 ต ทรพั ยำกรธรรมชำติ ประยุกตใ์ ช้ให้เข้ากับบริบทของตนเอง สวุ รรณ จนเปน็ ผู้ท่มี ีความรู้ความชานาญใน อาเภอ เรือ่ งเกษตรธรรมชาตจิ ึงจัดทาเกษตร อูน จงั แบบผสมผสานในพืน้ ทีข่ องตัวเอง เช่น สกลนค การปลกู ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง การเล้ยี งหมูหลุม การทานา้ หมกั ชวี ภาพ การเล้ียงหนูนาในทอ่ ซีเมนต์ การเลี้ยงปลา

แหลง่ เรยี นรู้ นคิ มน้าอูน จังหวดั สกลนคร าณ ๒๕๖4 ทีต่ งั้ ชือ่ ผปู้ ฏิบัติ/ เบอรโ์ ทรศัพท์ที่ รปู แหลง่ เรียนรู้ QR code เจ้ำของ ตดิ ต่อได้ วัดถ้ำนำ้ หยำด แหลง่ เรยี นรู้ บำ้ นดง นำยสนั ธำน ตำบล ขุย่ นำเพียง ๐๙๘๓๙๐๐๗๐๓ ณคำม อนคิ มนำ้ งหวดั คร 166 นายสุรศักด์ิ 0641180755 ตาบล ฤทธิธรรม ณคาม อนคิ มน้า งหวดั คร

แบบสา้ รวจแ ต้าบลหนองปลิง อา้ ภอนิค ปีงบประมา ลำดบั แหลง่ เรยี นรู้ ประเภทแหลง่ ขอ้ มูลโดยสงั เขป ทต่ี ง้ั ที่ เรียนรู้ เ 1 กำรยอ้ มผำ้ แหลง่ เรียนรู้ กำรย้อมผ้ำครำม หมู่ ๑ บำ้ น น ครำม ประเภทสิ่งทม่ี นษุ ย์ เปน็ กำรจัดทำขน้ึ ทันสมัย ผล สร้ำงข้ึน เพ่ือเพิ่มรำยได้ ตำบลหนอง ให้กบั ครวั เรอื นใน ปลงิ อำเภอ ชุมชน นิคมนำ้ อูน จงั หวัด สกลนคร 2 การยอ้ มผ้า แหล่งเรยี นรู้ ภมู ิปัญญาท้องถิ่น ได้ บำ้ นเลขที่ น คราม ประเภทสิง่ ท่ีมนษุ ย์ เปน็ ผูท้ ีใ่ หค้ วามสนใจ 111 หมู่ 2 มา สรำ้ งข้นึ ในการทอผา้ ครามมาก บ้ำนโคก ไมว่ ่าจะเปน็ การทอผา้ มะนำว ย้อมคราม และผ้าจาก ตำบลหนอง สีธรรมชาติ จากเปลือก ปลงิ อำเภอ ไม้ ซึ่งเป็นภูมปิ ญั ญาใน นคิ มน้ำอูน ชมุ ชน แสดงถงึ เชอ้ื จังหวดั ชาติ เผา่ พันธ์ุ และ สกลนคร ความแตกต่างทาง วฒั นธรรม

แหลง่ เรียนรู้ คมน้าอนู จังหวดั สกลนคร าณ ๒๕๖4 ชือ่ ผู้ปฏิบัติ/ เบอรโ์ ทรศัพท์ที่ รูปแหลง่ เรียนรู้ QR code เจ้ำของแหล่ง ติดต่อได้ เรยี นรู้ - นำยสมพงษ์ ลำจันทร์ นางทมุ โคตะ - า

แบบสา้ รวจแ ตา้ บลหนองบวั อา้ เภอนิค ปงี บประมา ลำดับ แหล่งเรียนรู้ ประเภทแหลง่ ขอ้ มูลโดยสังเขป ท่ีตง้ั ที่ เรยี นรู้ 1 เขื่อนนำ้ อนู แหลง่ เรยี นรู้ น้ำอนู เป็นสำขำท่ีสำคญั ท่ีสุด เขตอำเภอน ประเภท ของแมน่ ้ำสงครำม ในตอนบน นำ้ อนู ทรพั ยำกรธรรมช ของภำคตะวันออกเฉยี งเหนอื ำติ มีต้นน้ำอยใู่ นทวิ เขำภูพำน จังหวัดสกลนคร ไหลลงแม่นำ้ โขงทจี่ งั หวดั นครพนม เนอ่ื งจำกท่รี ำบสองฝงั่ แมน่ ำ้ อูนมีลกั ษณะเป็นแอง่ ดังน้ัน ในเวลำฝนตกหนักจงึ ถูกทว่ ม เป็นประจำ 2 ทอผา้ คราม ผา้ พ้นื เมือง ผ้าคลมุ โดยการทอผ้าดว้ ยมือไว้ใช้เองและ ๗๕ หมทู่ ไหล่ ผ้าปูโต๊ะ เปน็ เอกลักษณข์ องชาวบา้ น ซ่ึง ตาบลหนอง ผา้ พันคอ ผ้ามัดหม่ี เรียกว่าทอผ้าฝ้ายย้อมครามซงึ่ แต่ และผลิตภัณฑ์อน่ื ๆ เดิมจะเย็บด้วยมือ เป็นเสอื้ ผ้าสวม ใส่สาหรบั ผหู้ ญิงส่วนผชู้ าย และ นามาทอเป็นผ้า สบื ทอดมาจนถึง ปจั จบุ ันจงึ เกิดการรวมกลมุ่ ทอผ้า

แหลง่ เรยี นรู้ คมนา้ อูน จังหวัดสกลนคร าณ ๒๕๖4 ชื่อผปู้ ฏิบัต/ิ เบอร์โทรศัพท์ที่ รปู แหล่งเรียนรู้ QR code เจ้ำของแหล่ง ติดต่อได้ เรียนรู้ นคิ ม - - ที่ ๓ นางเตอื นใจ ๐๖๑-๑๒๑๐- งบวั รตั นะ ๔๐๘

ย้อมสีธรรมชาติขึ้นเพือ่ ทอผา้ จาหน่ายเปน็ รายได้เสริมจุนเจอื ครอบครัวอีกทางหนงึ่ 3 ทอผา้ ขาวมา้ ผา้ ขาวมา้ มี ผ้าขาวม้า เปน็ ผ้าสารพดั ๖๗ หมูท่ ลกั ษณะเปน็ ผ้า ประโยชน์ทค่ี นไทยใช้มาแต่ ตาบลหนอง รปู สี่เหลี่ยม โบราณ สว่ นใหญ่ผู้ใช้จะเปน็ ผืนผา้ เพศชาย สามารถใช้นุง่ อาบนา้ เช็ดตวั คลุมหัวกนั แดด หรือ ทาเปลก็ได้ บา้ งก็เรียกวา่ \"ผา้ เคียนเอว\" 4 จกั รสานเปลไม้ มีลกั ษณะโค้งขึ้น ๒๓ หมทู่ ไผ่ คลา้ ยเรอื ตาบลหนอง 5 มดั ย้อมคราม การย้อมผ้าคราม เนือ่ งจากผ้าฝา้ ยย้อมคราม ๒๘ หมทู่ ดว้ ยสธี รรมชาติ เป็นการสืบทอดมาจากบรรพ ตาบลหนอง บุรษุ จะมีความร้คู วามสามารถ ทีไ่ ด้รบั การถ่ายทอดกนั มาแต่ คร้งั ปู ย่า ตา ยาย

ที่ ๓ นางหนูไกร สี ๐๙๓-๔๑๙๒-๙๖๐ งบัว ทาไข - ที่ ๑ นายธาตุ วงศ์ ๐๖๔-๓๒๕๙-๗๐๗ งบวั พันธ์ ที่ ๑ นางบัวคา หสั ดี งบัว

แบบส้ารวจแ ต้าบลนิคมน้าอนู อา้ เภอนิค ประจ้าปงี บปร ลำดบั แหลง่ เรยี นรู้ ประเภทแหลง่ เรยี นรู้ ข้อมลู โดยสังเขป ท่ีตง้ั ท่ี วดั (โบรำณสถำน) วดั ผำเทพนมิ ติ เปน็ หมบู่ ้ำน ด 1. วัดผำเทพนมิ ิต แหลง่ เรียนรู้ ที่ สว่ำง หม หลำกหลำยด้วยควำมรู้ ตำบล นิค ท้งั ด้ำนธรรม และ อูน อำเภ ควำมร้ทู ำงด้ำน นคิ มน้ำอูน ธรรมชำติ ระบบนิเวศ จงั หวัด เป็นสถำนท่จี ัดกำร สกลนคร เรียนกำรสอนให้ ควำมรไู้ ด้ตลอดชวี ิต

แหลง่ เรยี นรู้ คมน้าอนู จงั หวดั สกลนคร ระมาณ 2564 ง ชื่อผูป้ ฏบิ ัต/ิ เบอร์โทรศพั ท์ ท่ี รปู แหล่งเรียนรู้ QR code เจำ้ ของแหลง่ ตดิ ต่อได้ เรยี นรู้ 042-789-027 ดง อำเภอนคิ มน้ำ มู่ท่ี 7 อูน คมน้ำ ภอ น

แบบสา้ รวจมรดกภูมปิ ตา้ บลหนองบัว อา้ เภอนคิ ปงี บประมา ลำดับ ชอื่ รำยกำร ลกั ษณะ ขอ้ มลู โดยสงั เขป พน้ื ทป่ี ฏ ที่ แนวปฏิบัตทิ ำ ประเพณีบญุ ข้ำวประดบั ดนิ บญุ อำเภอนคิ ๑ บุญข้ำว สงั คม พิธีกรรม เดือนเกำ้ เป็นอีกหนึ่งประเพณีทส่ี ืบ อนู จงั หวดั ประดบั ดิน ประเพณีและ เทศกำล ทอดกันมำในภำคอีสำน โดยบุญ สกลนคร ขำ้ วประดับดนิ เป็นงำนประเพณที ี่ ถูกจดั ขึน้ ในวันแรม 14 คำ่ เดือน เกำ้ ของทกุ ๆ ปี และในปี 2560 ประเพณีบุญขำ้ วประดับดนิ ก็ตรง กบั วนั ที่ 21 สงิ หำคม

ปญั ญาทางวฒั นธรรม รูปภมู ิปัญญำ เบอรโ์ ทรศัพทท์ ี่ QR code คมน้าอนู จังหวัดสกลนคร ติดต่อได้ าณ ๒๕๖4 - ฏบิ ัติ ชือ่ ผู้ปฏบิ ัติ คมน้ำ ชำวบำ้ นใน ด อำเภอนิคมน้ำอนู

แบบสา้ รวจมรดกภูมิป ตา้ บล สวุ รรณคาม อา้ เภอน ปงี บประมา ลำดับ ช่อื รำยกำร ลกั ษณะ ข้อมลู โดยสังเขป พื้นทป่ี ฏบิ ัติ ท่ี แหลง่ เรียนรู้ ผกู แขนผูเ้ ฒำ่ ออก บำ้ นดงภูทอง 1 ผูกแขนผ้เู ฒำ่ ประเภทกิจกรรม ออกใหม่ ๓ ค่ำ ทำงสงั คม ใหม่ ๓ ค่ำ เปน็ อำเภอนคิ มน้ำ ประเพณีพ้นื พนื้ ท่ี อูน ทำควำมเคำรพผกู แขนผู้เฒ่ำเพอื่ แสดงควำมนับถอื

ปัญญาทางวฒั นธรรม นคิ มน้าอูน จังหวัดสกลนคร าณ ๒๕๖4 ชื่อผปู้ ฏบิ ัติ รปู ภูมิปัญญำ เบอร์โทรศัพทท์ ่ี QR code ตดิ ต่อได้ นำยสนั ธำน ขุ่ยำน เพียง อำยุ 46 ปี ๐๙๘๓๙๐๐๗๐๓

แบบสำรวจมรดกภูมิป ตำบลนิคมนำอูน อำเภอนิค ปีงบประมำ ลาดับ ชอ่ื รายการ ลักษณะ ข้อมูลโดยสงั เขป พ้ืนทป่ี ที่ ๑ การออกแบบ ผ้าพ้ืนเมอื ง ผ้า โดยการทอผ้าดว้ ยมือไว้ใช้เอง บ้านห้วยเ และการทอ คลุมไหล่ ผา้ แปร และเปน็ เอกลักษณข์ อง หมทู่ ่ี 1 ตา ผ้าพืน้ เมอื ง รูป ชาวบา้ น ซง่ึ เรยี กวา่ ทอผา้ นา้ อูน จ ฝ้ายยอ้ มครามซง่ึ แตเ่ ดมิ จะ สกลน เย็บดว้ ยมือ เปน็ เสื้อผา้ สวม ใส่สาหรับผหู้ ญงิ สว่ นผูช้ าย และนามาทอเปน็ ผ้า สบื ทอด มาจนถงึ ปัจจบุ นั จึงเกดิ การ รวมกลุ่มทอผ้ายอ้ มสี ธรรมชาตขิ ้นึ เพื่อทอผา้ จาหนา่ ยเปน็ รายได้เสริมจนุ เจอื ครอบครวั อีกทางหนึง่

ปญั ญำทำงวัฒนธรรม คมนำอนู จงั หวัดสกลนคร ำณ ๒๕๖๔ ปฏิบัติ ชอ่ื ผ้ปู ฏิบัติและผู้ รปู ภูมปิ ญั ญา เบอร์โทรศัพทท์ ่ี QR code สืบทอด ตดิ ตอ่ ได้ เหล็กไฟ าบลนิคม นางเพญ็ ศรี แกว้ 086-0268-593 จังหวัด ไพศาล นคร

ชือ่ รายการ ทอผ้ำครำม ชือ่ ภูมิปัญญา นำงเตอื นใจ รตั นะ พนื ทปี่ ฏบิ ัติ ๗๕ หมู่ที่ ๓ ตำบลหนองบวั ประวัติความเปน็ มา เน่อื งจำกผำ้ ฝ้ำยยอ้ มครำมเป็นกำรสืบทอดมำจำกบรรพบรุ ษุ จะมีควำมรู้ควำมสำมำรถ ทไี่ ดร้ บั กำร ถำ่ ยทอดกนั มำแต่ครงั้ ปู ยำ่ ตำ ยำย โดยกำรทอผ้ำด้วยมือไว้ใช้เอง ซงึ่ เรยี กว่ำผ้ำฝำ้ ยยอ้ มครำมซึง่ แต่เดิมจะเย็บ ดว้ ยมือ เป็นเสือ้ ผำ้ สวมใส่สำหรบั ผู้หญงิ สว่ นผู้ชำยจะทอเป็นผ้ำขำวม้ำใสน่ ุง่ แบบโจง กะเบน หรอื ผ้ำเตย่ี ว กำรทอ ผ้ำฝ้ำยไดจ้ ำกนวลของดอกฝำ้ ยท่ีบำนเตม็ ท่ีนำมำกรอหอื เขน็ เปน็ เสน้ ฝ้ำย และย้อมน้ำครำม และนำมำทอเป็นผำ้ สบื ทอดมำจนถงึ ปัจจุบนั จึงเกิดกำรรวมกลุ่มทอผ้ำยอ้ มสีธรรมชำติขึน้ เพื่อทอผ้ำ จำหนำ่ ยเป็นรำยได้เสรมิ จนุ เจือ ครอบครัวอกี ทำงหนึ่งไดแ้ ก่ ผ้ำพน้ื เมือง ผ้ำคลมุ ไหล่ ผ้ำปโู ตะ๊ ผ้ำพันคอ ผ้ำมัดหม่ี และผลิตภณั ฑ์อ่ืนๆ ขนั ตอนการทา้ วัสดุอปุ กรณ์ ๑.หกู ๒. ฟมื ๓. กง ๔. อกั ๕. หลักตนี กง ๖. หลำ ๗. กระสวย ๘. หลอดใส่ด้ำย ๙. หลกั เฟีย ๑๐. โฮงม่ี ๑๑. น้ำครำม ๑๒. ฝ้ำยเข็นมือ ข้นั ตอนในกำรทอผ้ำ 1. สืบเสน้ ดำ้ ยยืนเข้ำกบั แกนมว้ นด้ำยยืน และร้อยปลำยด้ำยแต่ละเสน้ เขำ้ ในตะ กอแต่ละชดุ และฟนั หวี ดึงปลำย เสน้ ดำ้ ยยนื ทั้งหมดมว้ นเขำ้ กบั แกนมว้ นผำ้ อกี ด้ำนหนึง่ ปรบั ควำมตงึ หย่อนใหพ้ อเหมำะ กรอด้ำยเข้ำกระสวยเพอ่ื ใช้ เป็นด้ำยพงุ่ 2. เริ่มกำรทอโดยกดเคร่อื งแยกหมตู่ ะกอ เส้นด้ำยยนื ชดุ ที่ 1 จะถูกแยก ออกและเกดิ ชอ่ งวำ่ ง สอดกระสวยด้ำย พงุ่ ผำ่ น สลับตะกอชุดที่ 1 ยกตะกอชดุ ท่ี 2 สอดกระสวยด้ำยพ่งุ กลบั ทำสลบั กนั ไปเรือ่ ย ๆ 3. กำรกระทบฟันหวี (ฟืม) เมอ่ื สอดกระสวยดำ้ ยพงุ่ กลับกจ็ ะกระทบ ฟนั หวี เพอ่ื ให้ดำ้ ยพงุ่ แนบติดกัน ได้เนื้อผ้ำที่ แนน่ หนำ 4. กำรเก็บหรอื มว้ นผ้ำ เม่อื ทอผำ้ ไดพ้ อประมำณแลว้ กจ็ ะมว้ นเก็บใน แกนมว้ นผำ้ โดยผ่อนแกนด้ำยยนื ให้คลำยออกและปรบั ควำมตึงหย่อนใหมใ่ ห้พอเหมำะ ประโยชน์

1.เปน็ ผำ้ ท่ีสำมำรถแปรรปู ไดห้ ลำกหลำย 2.ไดส้ ร้ำงอำชีพและสรำ้ งรำยไดใ้ หก้ ับคนในชุมชน การสืบสานต่อ เป็นกำรสืบทอดมำจำกบรรพบรุ ษุ จะมคี วำมรู้ควำมสำมำรถ ที่ไดร้ ับกำรถ่ำยทอดกันมำแตค่ ร้งั ปู ย่ำ ตำ ยำย โดยกำรทอผำ้ ดว้ ยมอื ไว้ใชเ้ อง และดดั แปลงลวดลำยต่ำงๆพฒั นำลำยให้เขำ้ กบั ยุคสมยั มำกขึ้น

ชือ่ รายการ จกั รสำนเปลไม้ไผ่ ชอื่ ภมู ปิ ัญญา นำยธำตุ วงศ์พันธ์ พนื ท่ีปฏบิ ัติ ๒๓ หมทู่ ่ี ๑ ตำบลหนองบัว ประวัตคิ วามเปน็ มา ไมไ้ ผเ่ ปน็ ไมส้ ำรพัดประโยชน์ ท้ังกำรนำไปใชเ้ พือ่ กำรบริโภค และนำมำใช้ประโยชนใ์ นทำงอปุ โภค เป็นไม้ ที่มีควำมแขง็ แรงหยดื หยนุ่ จงึ เป็นทีน่ ยิ มนำมำทำเป็นเครอ่ื งจักสำน เน่อื งจำกเคร่อื งจักสำนส่วนใหญ่จะเปน็ อปุ กรณ์ ทำงกำรประมง ซง่ึ ปัจจบุ นั ยังเครอ่ื งจกั สำนประเภทของใชใ้ นครวั เรอื นยังถอื วำ่ ขำดตลำด จงึ เกิดแนวคดิ จดั ทำเปล ไมไ้ ผข่ ้นึ ซงึ่ เปลไม่ไผก่ ำลังเป็นทสี่ นใจของลกู ค้ำและเปน็ ทต่ี อ้ งกำรของตลำด ขนั ตอนการทา้ อุปกรณ์ 1. ไมไ้ ผ่ 2. ขวำน 3. เล่อื ย 4. ไมค้ ้ำ 5. คมี ลอ็ ก ๖. ต๊ำฟ 7. มีด 8. เชอื ก ๙. ส่วิ 10. นำ้ ยำกันปลวก 11. น้ำยำเคลอื บเงำ วธิ ที า้ 1. ตัดไม้ไผ่ขนำด 7 ศอก 10 นิ้ว ควำมยำวประมำณ 3 เมตรกว่ำ หรือประมำณ 8 – 9 ปลอ้ งไม้ ไผ่ ใชไ้ ม้สด 2. นำไมไ้ ผ่มำลอ็ คด้วยต๊ำฟ เวน้ ส่วนหัวเปลไว้ 1 ปล้อง และท้ำยเปล 1 ปล้อง เจำะรดู ว้ ยสิ่ว ใชข้ วำน ตอกส่ิวใหเ้ ข้ำไปในเน้อื ไม้ เจำะเป็นรูปสเี่ หลย่ี ม เจำะใกล้ ๆ ขอ้ ของไมไ้ ผ่ เพอ่ื สอดไม้ไว้แขวนเปล 3. เมื่อเว้นไวท้ ำหัวเปล หลังข้อท่ี 1 ใช้ส่วิ เจำะโดยใช้ขวำนตี แล้วลอกไม้ที่เจำะออก โดยเจำะให้ถึงขอ้ ต่อหัวเปล อกี ด้ำนหน่ึง ก่อนเจำะแบ่งไมไ้ ว้ประมำณครง่ึ ปล้อง เพื่อทำซีไ่ วส้ ำนเปล แลว้ ใช้เล่ือยเล่ือยออก 4. นำเปลท่ีเจำะแล้วมำแขวนใชไ้ ม้คำ้ ไม้ค้ำจะตัดหวั ทำ้ ยเป็นแฉกเพ่ือค้ำซ่ีไมข้ องเปล 5. ใช้ไม้ไผเ่ หลำขนำดกวำ้ ง 1 นว้ิ สำน ส่วนหัวเปล และหำงเปล จะใชไ้ ม้ไผ่ขนำดเลก็ ประมำณคร่ึงนว้ิ ส่วน ตรงกลำงเปลจะใช้ไมส้ ำนขนำดใหญ่กว่ำ เวลำสำนต้องสำนไป ค้ำซี่ไม้ไป เพ่ือปอ้ งกันซี่ไมห้ ดเขำ้ หำกัน 6. กำรสำนตรงกลำงเปล ตอ้ งเพิม่ ซีไ่ มอ้ ยำ่ งละ 2 ซ่ี เพ่อื ใหม้ ีควำมแนน่ โดยสำนขดั กันไปมำ

7. ตรงขอบจะบิดเปน็ เกลียวเพ่ือสำนเข้ำทับกนั กับอนั ที่สำนใหม่ เพ่ือกนั หลุด เม่ือสำนเสรจ็ เก็บขอบดว้ ยไม้ ประมำณ 1 นว้ิ เพื่อกนั ขอบทบี่ ิดโดยใช้คมี ล็อคหนีบ และใช้เชอื กไนลอนมดั ใหแ้ นน่ ระหวำ่ งซีจ่ นสดุ หัวทำ้ ย เปล ไม้ทีท่ ำขอบนำไปสอดในปล้องไม้ไผ่ เพ่อื ควำมเรยี บรอ้ ย 8. ใช้ยำฉีดกนั มอด พอแห้งแลว้ นำมำทำด้วยน้ำยำเคลือบใหเ้ กิดเงำสวยงำม ประโยชน์ 1.ได้พฒั นำทกั ษะอำชีพของคนในชมุ ชน 2.ได้สรำ้ งอำชพี และสร้ำงรำยไดใ้ ห้กบั คนในชุมชน การสบื สานตอ่ กำรฝึกฝมี อื กำรทำจกั รสำนได้ควำมร้ทู ักษะมำจำกปู่ ยำ่ ตำ ญำติ ซงึ่ ปัจจุบนั จึงดัดแปลงกำรจกั รสำนมำ เปน็ จักรสำนเปลไมไ้ ผ่ ไวใ้ ช้ในครัวเรอื น จนเป็นท่นี ำ่ ช่ืนชมสนใจ เปลไมไ้ ผ่ สง่ ขำยตำมชมุ ชนทสี่ ง่ั ทำ สร้ำงรำยได้ให้ ครอบครวั ได้

ชือ่ รายการ มดั ยอ้ มครำม ชอ่ื ภมู ปิ ญั ญา นำงบัวคำ หัสดี พนื ทป่ี ฏบิ ตั ิ ๒๘ หมู่ท่ี ๑ ตำบลหนองบัว ประวัติความเปน็ มา ประเทศไทยไมป่ รำกฏหลักฐำนชัดเจนว่ำมีกำรใช้ผ้ำย้อมครำมตงั้ แต่เมื่อใด แต่มีกำรผลิตและใชก้ ันในชน เผ่ำภไู ท สกลนครเปน็ จังหวัดแรกของประเทศไทย ท่ฟี ้ืนฟูภมู ปิ ญั ญำท้องถนิ่ ดำ้ นกำรทอผ้ำยอ้ มครำม และพฒั นำผำ้ ยอ้ มครำมให้มมี ำตรฐำนสำมำรถนำผลิตภณั ฑ์ผ้ำครำมจำกภมู ิปญั ญำท้องถิ่นเขำ้ แทรกตลำดท่กี ำลังกลบั มำบรโิ ภค ผลติ ภัณฑท์ ี่ปลอดสำรเคมแี ละไมม่ ีผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดล้อม กำรทำผำ้ ย้อมครำมบำ้ นอูนโคก ตำบลหนองบัวบำน อำเภอนิคมน้ำอนู จังหวัดสกลนคร สบื ทอดมำจำก บรรพบุรุษ ประกอบดว้ ยชนเผำ่ ตำ่ ง ๆ ได้แก่ ไทญ้อ ไทโยย้ ภไู ท ไทกะเลิง ไทโซ่ ไทขำ่ และไทลำว ชำวอีสำน ตอนบนมวี ัฒนธรรมดำ้ นเครอื่ งนงุ่ ห่มใช้สีดำหรือสีน้ำเงนิ เป็นหลกั ทกุ เผำ่ จะมีเสอื้ ผ้ำสีดำหรือนำ้ เงนิ เป็นพน้ื แตกตำ่ ง กันในรำยละเอียดอ่ืนๆเทำ่ นนั้ นิยมนำไปยอ้ มผ้ำและมัดเป็นลำยเรียกว่ำผำ้ ย้อมครำม ขันตอนการทา้ ข้นั ตอนกำรผลิต ข้นั ตอนกำรทำผ้ำมดั ย้อมจำกสีธรรมชำติ เตรยี มวัสดุ อปุ กรณ์ ดงั นี้ 1. เตรียมวัตถดุ บิ ให้สี เช่น ใบไม้ ดอกไม้ เปลอื กไม้ กิง่ กำ้ นใบ แกน่ ใบ ผลไม้ รำกไม้ ทใี่ ห้สใี นโทนท่ีต้องกำรมำ จำนวนพอประมำณ ซง่ึ ขนึ้ อย่กู บั ระดบั น้ำ หมอ้ ท่ีใชต้ ้ม และจำนวนผำ้ ท่ตี อ้ งกำรยอ้ มดว้ ย นำวัตถุดิบดงั กลำ่ วมำหนั่ เลก็ ๆ ขนำดพอเหมำะกับภำชนะตม้ 2. เตำขนำดใหญ่ หรือก้อนเสำ้ ท่ีสูงเลก็ น้อยเพื่อต้ังหมอ้ ต้มนำ้ พร้อมกับถ่ำนหรอื ฝนื ทีจ่ ะก่อไฟ 3. ผ้ำฝ้ำย ขนำดตำมต้องกำร ขึน้ อยกู่ ับวัตถปุ ระสงค์ในกำรใช้ 4. หนังยำง เชอื ก ฟำง หรือ เขม็ กบั ด้วย เพอ่ื เอำไวม้ ัดลวดลำย 5. ปีบ กะละมงั หรอื หม้อขนำดใหญเ่ พือ่ เอำไวต้ ้มสีย้อมผำ้ จำก ธรรมชำติ 6. ถงุ ผำ้ หรอื ตำข่ำย สำหรบั ใสห่ รอื ห่อวัตถุดบิ ที่ใหส้ ี เพ่ือป้องกันไม่ให้เศษไม้ กระจำยไปตดิ กับผำ้ ท่ีเรำจะย้อม 7. ไม้ไผ่ผ่ำซีกแบนเรียบ ไมไ้ อศกรมี ก้อนหิน หรอื วตั ถุขนำดต่ำงๆ เพอ่ื เอำไวท้ ำเป็นแมแ่ บบกดทับผ้ำเพ่ือใหเ้ กิด ลำยตำมจินตนำกำร 8. เกลือ เอำใส่ในหม้อต้มนำ้ เพ่ือให้สตี ดิ ทนนำนข้ึน ตัวทำปฏกิ ริ ิยำ ตวั ทำปฏกิ ิรยิ ำคือวัตถุดิบทจี่ ะมำชว่ ยเพ่มิ และเปล่ียนสีสนั ให้ไดส้ ที ี่หลำกหลำยขึน้ จำกเดมิ ซึง่ แต่ละตัวจะทำให้ผ้ำท่ี ย้อมเปล่ียนเปน็ สีต่ำงๆ เช่น เข้มขึ้น จำงลง หรอื เปลีย่ นเปน็ สีอนื่ ๆ แต่กอ็ ยู่ในโทนสีเดิม ขึน้ อย่กู ับคุณสมบัติของสำร ดังกล่ำว ดังนี้ 1. น้ำดำ่ ง ได้จำกกำรนำขเี้ ถ้ำจำกเตำไฟท่ีเผำไหมแ้ ล้วประมำณ 1 -2 กโิ ลกรัม มำผสมใหล้ ะลำยกับนำ้ ประมำณ 10 - 15 ลิตร ในภำชนะ เช่น ถังน้ำ หรือ แกลลอน แลว้ ปลอ่ ยทงิ้ ไว้ให้ตกตะกอน ประมำณ 1 - 2 วนั หลังจำก น้ันคอ่ ยๆ เทกรองเอำน้ำท่ใี สๆ ท่ีได้จำกกำรหมกั ข้ีเถำ้ มำเป็นนำ้ หวั เช้อื ซึ่งสำมำรถใสข่ วดแล้วเกบ็ ไว้ไดน้ ำนเท่ำไหร่ ก็ได้ นำ้ ดำ่ งข้ีเถ้ำที่ดจี ะตอ้ งใสและไมม่ กี ลนิ่ เหม็น ปริมำณทใ่ี ช้ในแต่ละครั้ง น้ำ 1 ถงั ใช้น้ำดำ่ งประมำณ ครึ่งขวด ลิตร เปน็ ตน้

2. น้ำปูนใส ไดจ้ ำกกำรนำปนู ขำวเคย้ี วหมำกขนำดเท่ำหวั แม่มอื มำ ละลำยกับน้ำ 1 ถัง (ประมำณ 15 - 20 ลิตร) ท้งิ ไว้ใหต้ กตะกอนรนิ เอำเฉพำะน้ำท่ใี สๆ เทำ่ น้ัน น้ำปนู ใสท่ีดีจะใส และไม่มีกล่นิ 3. นำ้ สำรส้ม ไดจ้ ำกกำรนำสำรสม้ ที่เปน็ ก้อนมำแกวง่ ให้ละลำยกับน้ำ แลว้ กรอง หรือตกั เอำน้ำใช้เลยก็ได้ นำ้ สำรส้มจะใสและไม่มกี ล่นิ 4. น้ำสนมิ ได้จำกกำรนำเศษเหล็ก ตะปู หรือ สังกะสีทเ่ี ปน็ สนิม นำลงไปแช่นำ้ ท้งิ ไวก้ ลำงแดดเปน็ เวลำอย่ำงนอ้ ย 1 เดือนหม่ันตรวจดูและเติมน้ำให้เต็มเสมอ เพรำะเม่อื เรำนำน้ำไปตงั้ กลำงแดดน้ำจะระเหยกลำยเป็นไอ เรำจงึ ต้อง เติมนำ้ อยู่เสมอ เมอ่ื จะใช้ให้กรองเอำเฉพำะน้ำท่ีแช่เหลก็ ระวงั เศษเหลก็ จะผสมมำกับน้ำ เพรำะอำจจะเกิดอันตรำย ได้ นำ้ สนมิ มีสีข่นุ ดำ มีกล่นิ คอ่ นขำ้ ง เหม็น ปริมำณใชน้ ำ้ สนิมครงึ่ ขวดลติ ร ต่อน้ำ 1 ถงั (ประมำณ 15 - 20 ลิตร) ขน้ั ตอนกำรเตรียมผำ้ ฝำ้ ย มดี ังนี้ 1. นำผำ้ ฝำ้ ยสีขำวมำตัดตำมขนำดท่ตี อ้ งกำร ขนึ้ อยกู่ บั วัตถุประสงคข์ องกำรใชว้ ำ่ จะทำอะไร เช่น ผำ้ เช็ดตัว ผ้ำปูโตะ๊ ผ้ำห่ม ผำ้ ปูทีน่ อน เปน็ ตน้ 2. นำไปเยบ็ รมิ ใหเ้ รยี บร้อยเพอื่ ป้องกนั กำรหลุดลุ่ยของชำยผำ้ หรอื นำมำตดั ชำยผ้ำแล้วดงึ ปมออกใหเ้ ปน็ ชำยเพื่อ พันให้เป็นเกลยี วกไ็ ด้ 3. นำผำ้ ฝ้ำยไปซกั ในนำ้ สะอำด เพอ่ื ใหแ้ ป้งท่ีติดมำกบั ผ้ำหลดุ ออกและเพื่อให้ผำ้ นุ่มและดดู สมี ำกขึน้ 4.มัดลวดลำยตำมจินตนำกำร กำรทำลวดลำยผ้ำ (แบบง่ำย) กำรคิด ประดษิ ฐ์ลำยผ้ำ ข้ึนอยู่กับจินตนำกำรและกำรสงั เกตของแตล่ ะคน ซ่งึ กำรมดั แตล่ ะครง้ั หรือแตล่ ะคน ลำย ผำ้ ท่ไี ดจ้ ะไม่เหมือนกนั แตก่ ส็ ำมำรถปรบั ปรุง หรอื ออกแบบใหใ้ กล้เคยี ง หรอื คลำ้ ยกนั ได้ ขึ้นอยู่กับกำรสังเกตและ พัฒนำกำรของแตล่ ะคนดว้ ย ซงึ่ กำรมัดลำยแบบพื้นฐำนอยำ่ งง่ำยมี 4 แบบ ดงั น้ี 1.กำรพบั แลว้ มัด กลำ่ วคอื เป็นกำรพบั ผ้ำเปน็ รูปต่ำงๆ แลว้ มดั ดว้ ยยำงหรือ เชือก ผลท่ีได้จะได้ลวดลำยทมี่ ี ลักษณะลำยด้ำนซำ้ ยและลำยดำ้ นขวำจะมีควำมใกลเ้ คยี งกัน แต่จะมสี อี อ่ นด้ำนหน่งึ และสเี ข้มดำ้ นหน่ึง เน่ืองจำกวำ่ หำกดำ้ นใดโดนพบั ไว้ด้ำนในสีกจ็ ะซึมเขำ้ ไปน้อย ผลทไ่ี ด้ก็คอื จะมีสจี ำงกวำ่ นัน่ เอง 2. กำรห่อแลว้ มดั กล่ำวคือ เปน็ กำรใช้ผำ้ หอ่ วัตถุตำ่ งๆ ไว้แลว้ มัดดว้ ยยำงหรอื เชอื ก ลำยท่ีเกิดข้นึ จะเปน็ ลำยใหญ่ หรือเลก็ ขนึ้ อยกู่ ับวตั ถุทีน่ ำมำใช้ และลกั ษณะของกำรมัด เช่น กำรนำผ้ำมำห่อก้อนหนิ รูปทรงแปลกๆ ทมี่ ีขนำดไม่ ใหญน่ กั แลว้ มดั ไขว้ไปมำ โดยเวน้ จังหวะของกำรมดั ใหม้ พี ื้นท่วี ่ำงใหส้ ีซมึ เข้ำไปได้ อย่ำงนี้ก็จะมีลำยเกดิ ขนึ้ สวยงำม แตกต่ำงจำกกำรมดั ลกั ษณะวตั ถอุ ่นื ๆ ดว้ ย 3. กำรขยำแลว้ มัด กล่ำวคอื เปน็ กำรขยำผำ้ อยำ่ งไม่ต้งั ใจแล้วมดั ด้วยยำงหรอื เชือก ผลมี่ได้จะได้ลวดลำยแบบ อสิ ระ เรยี กวำ่ ลำยสวยแบบบงั เอิญ ทำแบบนี้อีกกไ็ ม่ได้ลำยน้ีอกี แล้ว เนอ่ื งจำกกำรขยำแต่ละครั้งเรำไมส่ ำมำรถ ควบคมุ กำรทับซ้อนของผำ้ ได้ ฉะน้ันลำยทีไ่ ด้เปน็ ลำยที่เกิดจำกควำมบังเอิญ จรงิ ๆ เปรยี บเทียบเหมือนกับ กำรทีเ่ รำเหน็ กอ้ นเมฆ ก้อนเมฆแต่ละก้อนจะมลี กั ษณะแตกต่ำงกัน และเมอ่ื ผำ่ นสกั คร่ลู ำยหรือลกั ษณะของก้อน เมฆกจ็ ะเปล่ียนไป เรำเรียกว่ำลำยอิสระ หรือรูปร่ำงรปู ทรงอสิ ระนนั่ เอง 4 พับแล้วหนีบ กล่ำวคอื เป็นกำรพบั ผ้ำเป็นรูปแบบต่ำงๆ แล้วเอำไม้ไอศกรมี หรือไมไ้ ผผ่ ่ำบำงๆ หนีบไว้ทง้ั สองขำ้ ง เหมือนป้ิงปลำ ต้องมดั ไม้ให้แนน่ ภำพท่ีออกมำกจ็ ะเปน็ รปู ตำ่ งๆ เช่น รูปดอกไม้ รปู ส่เี หลย่ี ม เป็นต้น ขอ้ สงั เกต และ ขอ้ ควรระวัง หลกั กำรสำคัญในกำรทำมดั ย้อมคือ สว่ นที่ถกู มดั คอื สว่ นทไ่ี ม่ต้องกำรใหส้ ตี ดิ สว่ นท่ีเหลอื หรือส่วนท่ี ไมไ่ ด้มัดคอื ส่วนท่ตี ้องกำรใหส้ ตี ิด กำรมัดเป็นกำรกนั สีไม่ให้สตี ิดนั่นเอง ลักษณะที่สำคญั ของกำรมดั มดี งั นี้

1. ควำมแน่นของกำรมดั - กรณแี รกมัดมำกเกินไปจนไมเ่ หลือพ้นื ทีใ่ ห้สีแทรกซมึ เข้ำไปได้ เลย ผลท่ไี ดก้ ็คอื ไดส้ ีขำวของเนอื้ ผ้ำเดมิ อำจมสี ี ย้อม แทรกซมึ เขำ้ มำได้เล็กนอ้ ย อย่ำงนเี้ กดิ ลำยน้อย - กรณที ี่สองมดั น้อยเกนิ ไป เหลือพ้นื ท่ีใหส้ ีย้อมติดเกือบเต็มผนื อยำ่ งน้เี กดิ ลำยนอ้ ยเชน่ กนั ท้ังผืนมสี ีย้อมแต่แทบ ไมม่ ลี ำยเลย - กรณีท่ีสำม มดั เหมือนกนั แตม่ ัดไม่แน่น อยำ่ งนเี้ ทำ่ กบั ไมไ่ ด้มัดเพรำะหำกมัดไม่แนน่ สกี ็จะแทรกซมึ ผำ่ นเขำ้ ไปได้ ทว่ั ทั้งผนื 2. กำรใชอ้ ุปกรณ์ชว่ ยในกำรหนบี ผำ้ แลว้ มัด เพอ่ื ใหเ้ กิด ควำม แน่นและเกิดลวดลำยตำมแมแ่ บบทใ่ี ช้หนบี ดังนน้ั ลำยสวยเพยี งใดขนึ้ อยกู่ บั กำรออกแบบแม่แบบทจี่ ะใช้หนบี ดว้ ย 3. ควำมสมำ่ เสมอของสยี อ้ ม สยี ้อมท่ีตดิ ผ้ำจะสม่ำเสมอไดข้ ้นึ อยู่กับอณุ หภูมิควำมร้อนขณะนำผ้ำลงยอ้ ม และกำร กลบั ผำ้ ไปมำกำรขยำผ้ำเกอื บตลอดเวลำของกำรย้อมหนงึ่ ถงึ หนงึ่ ชัว่ โมงคร่งึ ก่อนทจ่ี ะแชผ่ ำ้ ไว้ ข้ันตอนกำรทำผำ้ มัดยอ้ มจำกสธี รรมชำติ มดี งั น้ี 1.ตม้ นำ้ ให้เดือด ในภำชนะทใ่ี หญพ่ อประมำณ (ขึ้นอยกู่ ับจำนวนผ้ำ ที่จะย้อมด้วย) ใส่เกลอื ลงไปพร้อมกบั นำ้ เพื่อให้สีตดิ ทนนำนและสีสดขึ้น 2. นำวตั ถดุ ิบให้สที ี่เตรียมไว้มำสับๆ ให้เลก็ พอประมำณ แลว้ ใส่ ใน ถงุ ผ้ำหรอื ตำขำ่ ยที่เตรียมไว้ แลว้ นำเอำไปตม้ กบั นำ้ ทเ่ี ดอื ด เพอ่ื สกดั เอำสำรทมี่ ี อย่ใู นนนั้ ออกมำ ให้ สังเกตสีท่อี อกมำจำกถ้ำสีเขม้ แล้วจงึ 3. นำผ้ำที่ผูกลำยเสรจ็ ลงไปในหมอ้ ตม้ สี ใหก้ ลบั ด้ำนผำ้ หรือกวน ให้ตลอด เพอ่ื ใหส้ ีผ้ำดดู สสี ม่ำเสมอกันท้ังผืน ให้สงั เกตสีทีซ่ ึมเขำ้ ไปในเนื้อผ้ำ ถ้ำพอใจหรือเหมำะ สมแล้วจงึ นำออกมำ วำงใหเ้ ย็นก่อน (ประมำณ 30 นำที ขึ้นอยกู่ บั อณุ หถมู ิของน้ำ) 4. แลว้ คอ่ ยเอำลงล้ำงขยเ้ี บำๆ ในน้ำตวั ทำปฏกิ ิรยิ ำเพื่อทำให้เกดิ สีใหม่ เช่น นำ้ สนิม น้ำสำรส้ม น้ำปูนใส น้ำด่ำง ขเี้ ถำ้ (ในขณะทีแ่ ช่ผำ้ ในตวั ทำปฏกิ ริ ยิ ำแต่ละชนิดใหส้ ังเกตถึงควำมต่ำงและกำรเปลยี่ นแปลงสขี องแตล่ ะชนิดไว้ ด้วยเพรำะแตล่ ะตัวจะใหส้ ีแตกต่ำงกัน) ถ้ำพอใจแล้วใหแ้ กะลำยออกแลว้ นำไปตำกแดดให้แหง้ หรอื ถ้ำยงั ไม่พอใจ ในสที ีป่ รำกฏให้นำไปลำ้ งนำ้ สะอำดแลว้ นำกลับไปยอ้ มกบั ตัวทำปฏิกริ ยิ ำชนดิ อน่ื ๆ อกี แต่ขอ้ ควรระวัง คอื ใน ระหว่ำงที่นำผ้ำเปล่ียนตวั ทำปฏิกริ ิยำให้ล้ำงนำ้ เปลำ่ ก่อน เพ่ือไม่ใหผ้ สมกนั หรือถ้ำไม่พอใจอีกอำจนำไปต้มกับนำ้ เปลอื กไมอ้ กี ครัง้ เพอ่ื ยอ้ มใหม่ จนเปน็ ที่พอใจแลว้ แกผ้ ำ้ ท่ีมดั ไว้นำไปตำกแดดใหแ้ ห้ง เทคนคิ /เคล็ดลบั ในกำรผลิต - กลุ่มได้มีประสบกำรดำ้ นกำรออกแบบผลิตภณั ฑใ์ หม้ รี ปู แบบ สีสันสวยงำมตำมธรรมชำติ - มีกำรพัฒนำผลิตภัณฑใ์ ห้เหมำะสมกับกำรใช้งำน และเป็นไปตำมควำมต้องกำรของลกู ค้ำ - กำรผสมสที ไี่ ดต้ ำมสีธรรมชำติ

ประโยชน์ 1.ได้สร้ำงอำชพี และสร้ำงรำยได้ใหก้ บั คนในชุมชน 2.ไดม้ ีควำมรู้ควำมเข้ำใจถงึ ทมี่ ำของสีทีน่ ำมำย้อมผำ้ ๓.ได้ศึกษำเกี่ยวกับวธิ ีกำรทำผ้ำมัดยอ้ ม ๔.สวมใส่แล้วทำใหผ้ ิวสวย บำรุงผวิ พรรณ ปกกันแสง UV เน้อื ผ้ำนมุ่ มือยำมสัมผัส สฟี ำ้ ครำมสบำยตำ การสืบสานต่อ เป็นงำนประณีต สืบต่อจำกบรรพบุรษุ ทีม่ คี วำมรู้ มำเลำ่ และมำสอนกำรมัดกำรยอ้ มครำมต่อถึงร่นุ ลกู หลำนไดพ้ ัฒนำงำนฝีมอื

ช่อื รายการ ทอผ้ำขำวมำ้ ช่ือภูมปิ ญั ญา นำงหนไู กร สีทำไข พืนท่ีปฏบิ ตั ิ ๖๗ หมู่ท่ี ๓ ตำบลหนองบวั ประวัตคิ วามเป็นมา ผำ้ ขำวม้ำทอมอื ไทยทรงดำทีม่ ีคณุ ค่ำ กำรถักทอผ้ำแต่ละชน้ิ เตม็ ไปด้วยสำยใยแห่ง ภูมิปัญญำ คณุ ค่ำแห่ง วัฒนธรรม จึงทำให้เกิดผ้ำทอมือที่มีคุณค่ำ ผ้ำขำวม้ำ จึงเป็นผ้ำเอนกประสงค์ท่ีมีประโยชน์มำกมำย และที่สำคัญ ผ้ำขำวม้ำทอมือ มีสีสันสวยงำม สะดุดตำ นิยมใช้ ผูกเป็นเปลปูที่นอน นุ่งอำบน้ำ ใช้เช็ดร่ำงกำย โพกศรีษะ ทำ ควำมสะอำดร่ำงกำยใชซ้ ับเหง่ือ โพกศีรษะกันแดด ปัดฝนุ่ – แมลง – ยงุ ใชผ้ ลัดเปล่ยี นเสือ้ ผ้ำ ขันตอนการท้า 1.กำรผลดั หลอดหรอื กำรกรอดำ้ ย คอื กำรนำ ไหมประดิษฐ์หลำกสซี ึ่งม้วนเป็นไจมำจำกโรงงำนถำ่ ยลง หลอดด้ำยด้วยเครอ่ื งมอื โบรำณที่เรยี กว่ำ“ไน” กบั “ระวิง” วิธกี ำรคลอ้ งไหมกบั “ระวิง” กระจำยเสน้ ด้ำยออกเพอ่ื ไม่ ให้พนั กันดงึ ปลำยด้ำยมำผูกกับหลอดทีจ่ ะกรอ เสียบหลอด เข้ำกับแกนไนใชม้ ือขวำหมุนวงล้อของไน มอื ซำ้ ย ประคอง เส้นด้ำยให้ว่งิ ขนึ้ ลงบนหลอดด้ำยตำมแนวนอนเมอ่ื กรอดำ้ ย จนหมดไจเต็มหลอดแล้ว จงึ เปลยี่ นหลอด ใหมม่ ำผลดั หลอด ต่อไปปัจจบุ ัน กำรผลัดหลอดมีกำรประยุกตใ์ ช้มอเตอร์เพื่อ ชว่ ยท่นุ แรง ซ่งึ แรงงำนทีท่ ำ ใน ขนั้ ตอนน้สี ว่ นมำกจะเป็นผู้ สงู อำยุ ที่ใชเ้ วลำว่ำงทำ เป็นงำนอดิเรก 2.กำรตัง้ ลำย คอื กำรกำ หนดลำยโดยวำงด้ำยตำม ตำแหน่งบนอุปกรณ์ คอื “ม้ำตั้งลำย” ซ่ึงทำ เป็นรำว มีหลัก สำ หรบั เสยี บหลอดด้ำย (บำงแหง่ เรยี ก รำวหลกั ดำ้ ย รำว ต้งั หลอด กำรทอผำ้ แบบโบรำณ ใช้อุปกรณ์ เรียกวำ่ มำ้ สะ กน) เมอื่ คำ นวณควำมยำวลำย และตำแหนง่ ในกำรวำงสี จึง นำ หลอดด้ำยเสียบบนหลกั มำ้ ตง้ั ตำ โดยเรียงจำกขวำไปซ้ำย ตำมลำดบั สีของลำยทก่ี ำ หนด กำรผลดั หลอดหรอื กำรกรอดำ้ ย กำรตั้งลำย กำรดน้ ดำ้ ย 3.กำรค้นด้ำย คือ กำรกำ หนดควำมกว้ำงยำวของ เสน้ ยนื ใช้อุปกรณ์ คอื “ม้ำต้ังลำย” “มำ้ คน้ ” (บำง แห่งเรียก หลกั คน้ หรอื ตะกรน) และ “กระบอกจูงด้ำย” กำรคน้ ด้ำย คอื กรรมวธิ นี ำ เส้นดำ้ ยจดั เรียงใหม้ ีควำมกวำ้ ง เทำ่ กับหนำ้ ผ้ำ ส่วนควำมยำวตำมต้องกำร เปน็ ขั้นตอนหน่งึ ของกำรกำ หนด ลำยผ้ำทอทต่ี ้องกำร เมื่อจดั เรียง เสน้ ดำ้ ยตำมลำยแล้ว จำก น้นั สำวเสน้ ดำ้ ยจำกแต่ละหลอดมำรวมกนั โดยใชก้ ระบอกจูง ดำ้ ยซงึ่ ทำจำกไมไ้ ผโ่ ยงไปที่ เสำของมำ้ คน้ เมอ่ื เดินสดุ แต่ละ ด้ำนกค็ ล้องดำ้ ยเข้ำกบั หลักของมำ้ ค้นดำ้ นน้นั 4.กำรรำวง คอื กำรเก็บดำ้ ยทีละเส้นจำกหลอด บนม้ำตง้ั ลำยมำพันไวท้ ี่น้วิ มอื เป็นขนั้ ตอนหนงึ่ ในกำรค้น ดำ้ ย เมอ่ื ค้นด้ำยเท่ียวแรก(เทีย่ วไป)ครบทุกหลัก ตำมจำ นวน ควำมยำวของผ้ำทจี่ ะทอแล้วตอ้ ง “รำวง” 1 คร้ัง วิธีกำรรำวง เริ่มดว้ ยกำรใช้นวิ้ เก่ยี วดำ้ ยทุกเสน้ จำกหลอดบนม้ำตัง้ ลำยมำ ไขว้ทป่ี ลำยนิว้ โปง้ ตำมลำดับจำกบนลง ล่ำง ซ้ำยไปขวำเมือ่ เกีย่ วด้ำยครบทกุ หลอดนบั เป็นกำรรำวง 1 คร้งั ในกำรทอ ผำ้ 50 ผนื จะต้องรำวง 8 ครง้ั หำกทอผ้ำ 80 ผืน ต้องรำวง 10 คร้ังเดนิ คน้ ดำ้ ยเท่ียวที่ 2 (เทีย่ วกลบั ) ให้ครบทุกหลักจน มำบรรจบกับหลกั เริ่มต้นบนมำ้ คน้ เป็นกำรจบกำรเดนิ ค้น ดำ้ ย 1 เท่ยี วทำ เชน่ นี้สลับกันไปจนครบตำมจำ นวนควำมยำว ทตี่ อ้ งกำร

เมือ่ ครบแล้วจึงปลดด้ำยออกจำกม้ำค้น ดว้ ยกำร ถักเปียกล่มุ ด้ำยทค่ี น้ แล้วใหเ้ ป็นหว่ งโซ่ เพ่อื ไม่ใหด้ ้ำยพนั กัน และ สะดวกตอ่ กำรนำดำ้ ยไปทำ ในข้นั ตอนตอ่ ไป 5.กำรร้อยฟนั หวี หรือสอดฟืม คือ กำรสอดเส้น ด้ำยทผี่ ่ำนกำรเดินด้ำยแลว้ มำร้อยใส่ในชอ่ งฟันหวี หรือ ฟืม ซ่งึ มีลักษณะเป็นกรอบส่ีเหลย่ี มผืนผำ้ ทำจำกไม้หรอื โลหะ มฟี นั เป็นซ่ถี ๆี่ คลำ้ ยหวีเปน็ ชอ่ งสำ หรับสอดดำ้ ยยืน ฟนั หวี หรอื ฟืมทำ หนำ้ ทก่ี ระทบดำ้ ยพงุ่ ที่สอดขดั กับดำ้ ยยืนใหเ้ รียง ชดิ กัน หวีมีขนำดควำมกว้ำงและควำมถ่ตี ่ำงกัน และเป็นตวั กำ หนดจำ นวนเสน้ ด้ำยยืนเชน่ หวเี บอร์ 61 ในควำมกว้ำง 1 น้วิ จะมีชอ่ งฟนั หวี 31 ช่อง เม่ือรอ้ ย เสน้ ดำ้ ยเข้ำไปในช่องฟนั หวี ชอ่ งละ 2 เสน้ จะมีเสน้ ด้ำยรวม 62 เส้นตอ่ 1 น้ิว แตห่ ำก ใช้หวีเบอรต์ ำ่ กวำ่ เบอร์ 61 เชน่ เบอร์ 32 จำ นวนซี่ฟันต่อ 1 น้ิว จะหำ่ งกว่ำควำมถี่-ห่ำงของหวี มผี ลตอ่ เนอ้ื ผ้ำ คือ ฟัน หำ่ ง ดำ้ ยยนื จะ บำงทำ ใหเ้ นอื้ ผำ้ ไมแ่ น่น ฟนั ถี่ ดำ้ ยยืนจะหนำ เนือ้ ผ้ำแนน่ ละเอียดกว่ำกำรจะใช้หวขี นำดใดขึ้นกบั ควำม หนำบำง ของเนือ้ ผ้ำ อุปกรณ์ที่ใช้ คอื หวี หรือฟมื ขอรบั ด้ำย (บำงแห่งเรยี ก ไมก้ วกั )ซงึ่ เดิมทำจำกไม้ไผ่ ปจั จุบนั ประยกุ ต์ ทำจำกไมบ้ รรทัดเหล็ก กำรรอ้ ยหวคี อื กำรนำด้ำยมำรอ้ ยใส่ในฟนั หวหี รอื ฟมื ขนั้ ตอนนีต้ อ้ งชว่ ยกัน 2 คนคนที่ 1 สง่ ด้ำย โดยดีดเส้น ดำ้ ยที่ผ่ำนกำรรำวงมำแลว้ ออกจำกกลุม่ ด้ำย ให้เสน้ ด้ำยไป เกีย่ วกับขอรบั ดำ้ ยที่คนที่ 2 ถอื สอด รบั อยใู่ นฟนั หวรี ้อยเส้น ดำ้ ยทีละเสน้ ใหเ้ ข้ำไปอยู่ในฟันหวีทลี ะชอ่ งใหค้ รบทกุ เส้น จนกว่ำด้ำยจะหมดครบทุกช่อง ตำมจำนวน 6. กำรหวเี ก็บมว้ น เป็นกำรนำดำ้ ยยืนท่รี ้อยฟนั หวี หรอื เข้ำฟมื แลว้ มำแผ่เสน้ จำกท่ีถักเปยี เปน็ กำอยใู่ ห้ กระจำย ออกพร้อมกบั หวีเก็บเขำ้ ไมม้ ว้ นผ้ำ ขนั้ ตอนน้ีตอ้ งชว่ ยกัน 2-3 คน อุปกรณ์ทใี่ ช้ คอื ม้ำหวี สำ หรับวำงขึง ดำ้ ยทีจ่ ะมว้ น ปลำยด้ำนหน่ึงมคี ำนหวั มว้ นซง่ึ มีใบพัดสำ หรบั ถีบติดอยู่(บำง แหง่ เรียก ระหดั ถกั ด้ำย) อีกด้ำนหนึง่ มี มำ้ ทบั (บำงแห่งเรียก ม้ำก๊อปป้)ี สำ หรับทบั เสน้ ด้ำยให้ตงึ สะดวกต่อกำรหวี ไมม้ ้วน ผำ้ สำ หรับมว้ นเส้นดำ้ ยที่ถกู แผก่ ระจำยออกใหเ้ รียงเส้นเป็น ระเบยี บ ฟันหวี กะนดั (ไมแ้ บบ 2 อัน สำ หรับขดั เสน้ ด้ำย บน-ลำ่ ง กันดำ้ ยยงุ่ ) ไม้ เรียว(บำงแหง่ เรียก ไม้ค้วิ ) นำด้ำยที่ร้อยฟันหวมี ำวำงขงึ บนมำ้ หวี โดยสอด ด้ำยผำ่ นมำ้ ทบั หนีบให้แน่นเพือ่ ดงึ ด้ำย ให้ตึงนำ ปลำยด้ำย ด้ำนทม่ี ฟี นั หวีไปวำงบนคำนหัวม้วนดำ้ นตรงขำ้ มกับมำ้ ทบั ผกู ด้ำยเปน็ ระยะๆ เขำ้ กับแกนของ ไม้ม้วนสอดกะนดั เข้ำ ระหวำ่ งด้ำยบน-ลำ่ ง กลบั กะนัดและผกู กะนัด 2 อนั ไม่ให้ หลุดออกจำกกนั คนท่ี 1-2 จับ ฟมื ดำ้ นซ้ำย-ขวำ คอ่ ยๆ ขยับ ฟมื ออกโดยให้หนำ้ ฟมื ขนำนกับลกู ม้วน ซ่งึ จะช่วยให้หวี ง่ำยข้ึนตรวจสอบฟนั หวใี ห้มี ด้ำยอยู่ครบทุกซี่ และคดั ด้ำย โดยใช้นว้ิ มอื ดึงเส้นด้ำยใหแ้ ยกจำกกัน และใช้หวีสำงดำ้ ยไป พรอ้ มๆ กันเพือ่ จดั เส้นด้ำยสลับบน-ลำ่ ง ให้เรียงตัวสม่ำ เสมอ เรียบร้อยไม่พันกนั คนท่ี 2 มว้ นเส้นด้ำยเข้ำในแกนของไม้ม้วน โดยกำร ถีบรหสั ปนั่ แกนไมด้ ำ้ นท่ีผกู ไว้กบั ม้ำหวีและม้วนด้ำย เกบ็ จนหมดควำมยำวของเสน้ ดำ้ ยกำรเก็บตะกอเขำ หรือ เขำ หกู (บำงแห่งเรยี ก เขำ หรอื หูก)คอื กำรรอ้ ยเชือกสีขำว คลอ้ งเข้ำกับด้ำยยนื ทหี่ วีเก็บม้วนแลว้ เพือ่ หิ้วเส้นด้ำยยืนไว้ ทกุ เส้น กำรทอผำ้ ปกติใช้ 2 ตะกอ แต่ละตะกอทำ หนำ้ ท่ีคุม ดำ้ ยยืนให้ยกข้ึน - ลงสลับกันทำ ให้ดำ้ ยยืนบน-ลำ่ ง แยกจำก กนั สำมำรถสอดกระสวยพำด้ำยพงุ่ ผ่ำนไป-มำได้ อปุ กรณท์ ่ี ใช้ คอื ไมค้ รู หรือ ไมต้ ะกอเขำ 7.กำรเก็บยก คือ ขน้ั ตอนสุดท้ำยในกำรเตรยี มด้ำย ยนื ก่อนนำ ไปผกู ขน้ึ กก่ี ระตุกเพื่อทอ กำรทอผ้ำปกติ ท่วั ไปจะ ทอสลับโดยยก 1 ขม่ 1 ดว้ ยกีก่ ระตกุ กำรทอก่ีกระตกุ เปน็ กำรประยกุ ตเ์ คร่ืองมือในกำร ทอผำ้ เลยี นแบบระบบอุตสำหกรรม ตัวกท่ี ำด้วยโครงไมน้ ่ัง ทอในทำ่ ห้อยเทำ้ เช่นเดียวกับกม่ี ือ หรอื หูกทอ ต่ำงกันทด่ี ำ้ ย ยืนกีม่ ือจะเรยี งตำมแนวดิง่ กีก่ ระตกุ เปน็ แนวนอน ก่มี อื ใช้ มือสง่ กระสวยเสน้ พุง่ ก่กี ระตุกใช้มอื กระตุกเชือกกลไกทำ

ให้ เกดิ แรงกระแทกดันกระสวยพุ่งไป แทนกำรสอดด้วยมือ ช่วยให้ทอผ้ำไดเ้ รว็ ขน้ึ กีก่ ระตุกมีขนำดใหญ่กวำ่ กม่ี ือ มี สว่ น ประกอบ คือ ฟนั หวี ตะกอเขำ ไมเ้ หยียบหูก (บำงแห่งเรยี ก คำนเหยยี บ หรอื ตนี เหยียบ)คำนแขวน(บำงแหง่ เรียก คำน หำบหกู ) สำยกระตกุ หรือ เชือกดึงเวลำพุ่งกระสวย เป็นที่มำ ของกำรเรียก “ก่ีกระตกุ ” ไมพ้ ำดน่ังไม้ ม้วนผ้ำ ไมไ้ ขว้ ดำ้ ย ยนื รำงกระสวย กระสวย หลอดด้ำยพ่งุ กำรเก็บยก คอื กำรยกลูกมว้ นขนึ้ ก่ี ขงึ ด้ำย นำ ตะกอ เขำอันท่ี 1 แขวนหอ้ ยกับคำนหลงั คำก่ีด้ำนบน อันท่ี 2 ผกู โยงกบั ไมเ้ หยียบหกู ดำ้ นล่ำงเม่อื ผทู้ อเหยียบไม้เหยียบ หูก สลับซำ้ ย-ขวำ จะทำ ให้ตะกอเขำถกู ดึงยกขน้ึ -ลง แยกดำ้ ย ยนื บน-ล่ำงออกจำกกนั ผูท้ อกระตุกเชือก กระสวย ดำ้ ยจะพุง่ ผำ่ นดำ้ ยยืนท่แี ยกออกว่งิ ไปตำมรำงผ้ทู อดึงฟันหวี หรือ ฟมื เขำ้ หำตัวเพื่อกระทบด้ำยพุ่ง ทกุ ครงั้ ท่พี งุ่ จำกริมผ้ำด้ำนหนง่ึ ไปอีกด้ำนหนงึ่ ทำ ให้ดำ้ ยพ่งุ เรียงชิดกันทำ เช่นนี้สลับกนั ไปมำ จนไดค้ วำมยำวของผำ้ ท่ี ต้องกำร ประโยชน์ 1.ได้พัฒนำทักษะอำชีพของคนในชุมชน 2.ได้สรำ้ งอำชพี และสร้ำงรำยได้ให้กบั คนในชุมชน การสบื สานต่อ กำรถักทอผ้ำแต่ละชิ้นเต็มไปด้วยสำยใยแห่งภูมปิ ญั ญำ คุณค่ำแห่งวัฒนธรรม และนำไปสูผ่ ลิตภัณฑแ์ หล่ง ควำมภูมใิ จ สำยใยชีวิตให้กับคนทว่ั ไปร้จู ัก ผ้ำขำวม้ำมำกขึ้นด้วย

ชื่อบ้านนวตั วิถี สว่ นท่ี ๑ ข้อมลู ทัว่ ไปของหมบู่ า้ น (สภาพท่ัวไปสภาพสงั คมสภาพทางเศรษฐกิจ) ประวตั ิความเปน็ มา ตำบลหนองบวั อยู่ในเขตกำรปกครองของอำเภอนิคมนำ้ อูน มีจำนวน ๔ หมบู่ ำ้ น ไดแ้ ก่ บ้ำนอนู โคก บ้ำน โคกกสมบูรณ์ บ้ำนหนองบวั บำน บ้ำนโคกสงู บำ้ นหนองบวั บำน ก่อตงั้ เมอื่ ปี พุทธศักรำช 2438 มนี ำยฝ่ัน ศรสี วสั ดิ์ เปน็ ผู้ก่อตัง้ แต่กอ่ นเป็นป่ำรกทบึ มสี ตั วร์ ำ้ ยชุกชุม จงึ ยำ้ ยกลับไปบ้ำน โคกมะนำว ต่อมำมี 6 ครัวเรือน ยำ้ ยมำจำกตำบลโนนหอม และเต่ำงอย จงั หวัดสกลนคร นำโดย นำยสำย นำมขนั ธุ์ นำยเกลี้ยง รัตนะพนั ธุ์ นำยทอขำ้ ว วงศศ์ รจี นั ทร์ นำยสิม สีทำไข เมอื่ ปี พุทธศกั รำช 2515 – 2517 ทำงกำรไดส้ รำ้ งเขือ่ นน้ำอูน นำยฉลอง นำมขันธ์ ได้พำชำวบำ้ น อพยพ ขนึ้ มำตั้ง บ้ำนเรอื นในปจั จุบัน โดยมนี ำยถอ รัตนะ เป็นผูว้ ำงผังหมบู่ ้ำนบำ้ นหนองบวั บำน ไดข้ ออนุญำตตง้ั หมบู่ ้ำนอยำ่ งเป็น ทำงกำรเม่ือปพี ทุ ธศกั รำช 2439 โดยตง้ั ชอื่ ตำม หนองน้ำท่ีมีบัวกินได้ มีนำยแกว้ รัตนะพนั ธ์ เปน็ ผู้ใหญบ่ ำ้ นคน แรก อาณาเขต ทศิ เหนอื ติดกบั ตำบลนำใน อำเภอพรรณนำนิคม จังหวัดสกลนคร ทศิ ใต้ ติดกบั ตำบลกดุ ไห อำเภอกุดบำก จังหวัดสกลนคร ทศิ ตะวนั ออก ตดิ กับ เทศบำลตำบลกุดไห อำเภอกดบำก จงั หวัดสกลนคร ทศิ ตะวันตก ตดิ กบั ตำบลหนองปลงิ อำเภอนิคมนำ้ อนู จังหวัดสกลนคร ผู้น้าชุมชน ผนู้ ำชุมชน บ้ำนหนองบัวบำน นำยทวีศักดิ์ วงค์ศรจี นั ทร์ ส่วนที่ ๒ ผลิตภณั ฑ์ชุมชน กลุม่ องคก์ ร อัตลักษณ์ ผลติ ภัณฑ์ขงบ้ำนหนองบัวบำน ไดแ้ ก่ เสื้อ, ผำ้ ขำวมำ้ , ผ้ำครำม ,ปลำรำ้ , จักรสำนกก สว่ นท่ี ๓ แหล่งทอ่ งเทีย่ วและการใหบ้ ริการ - เขื่อนบ้ำนหนองบัวบำน - วดั บ้ำนหนองบวั บำน ส่วนที่ ๔ แผนผัง สว่ นท่ี ๕ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี เทศกาล ภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ - ภมู ิปญั ญำทอ้ งถน่ิ กำรจกั รสำนเครื่องใช้ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน - ศนู ยเ์ รียนรปู้ รัชญำเศรษฐกิจพอเพียงบ้ำนหนองบวั บำ ช่อื บ้านนวัตวิถี

ส่วนท่ี ๑ ขอ้ มูลทวั่ ไปของหมูบ่ า้ น (สภาพทว่ั ไปสภาพสงั คมสภาพทางเศรษฐกจิ ) ประวตั ิความเปน็ มา ตำบลสุวรรณคำม บำ้ นดงภูทอง เปน็ ตำบลท่ีตงั้ อยู่ในเขตกำรปกครองของอำเภอนคิ มนำ้ อนู ประกอบไป ด้วย 7 หมู่บำ้ น ไดแ้ ก่ หมู่ 1 บำ้ นหนองปลงิ นอ้ ย หมู่ 2 บำ้ นโนนอำ่ งทอง หมู่ 3 บ้ำนหนองปลงิ พุ่ม หมู่ 4 บ้ำน เวฬวุ ัน หมู่ 5 บำ้ นสวุ รรณคำม หมู่ 6 บ้ำนโนนสวุ รรณ หมู่ 7 บ้ำนดงภทู อง บ้ำนดงภูทอง ตง้ั อยู่ตำบลสุวรรณคำม อำเภอนคิ มนำ้ อูน บำ้ นดงภทู อง อยู่ติดหลงั เขำ ม.๗ ต.สวุ รรณคำม มพี ้ืนทีต่ ิดอุทยำนแห่งชำติภูผำเหลก็ และมีวดั ถำ้ น้ำหยำดที่เปน็ สถำนท่ีปฏิบัตธิ รรมแหง่ ที่ ๗ ของจังหวัดสกลนคร เป็นจดุ ที่สงู ทส่ี ุดของอำเภอนคิ มน้ำอูน มีเจดยี ์ศรีสุวรรณ รปู ปั้นพระโพธสิ ัตยก์ วนอิม และเปน็ จดุ ชมววิ ทิวทศั น์ของ อำเภอนิคมน้ำอูน มองไปจะเห็นสภำพปำ่ ที่อุดมสมบรู ณ์ และมถี ้ำทีห่ ลบภยั ของผรู้ ่วมพัฒนำชำติไทย อาณาเขต ทศิ เหนือ ติดกบั ต.หนองปลิง อ.นคิ มน้ำอนู จ.สกลนคร ทศิ ใต้ ตดิ กบั อ.กดุ บำก จ.สกลนคร ทศิ ตะวันออก ติดกบั อ.กดุ บำก จ.สกลนคร ทิศตะวนั ตก ตดิ กบั ต.นิคมนำ้ อูน อ.นคิ มน้ำอูน จ.สกลนคร ผู้น้าชมุ ชน ผ้นู ำชุมชน บ้ำนหนองบัวบำน นำยสนั ธำน ขุ่ยนำเพยี ง ส่วนที่ ๒ ผลิตภัณฑ์ชมุ ชน กลมุ่ องคก์ ร อตั ลักษณ์ ผลิตภัณฑ์ขงบำ้ นดงภทู อง ไดแ้ ก่ กำรทอผำ้ ฝ้ำย , สำนเปล ,ขนมกลว้ ยฉำบ สว่ นที่ ๓ แหล่งทอ่ งเที่ยวและการใหบ้ รกิ าร - วัดถ้ำน้ำหยำด - ภผู ำหกั ส่วนท่ี ๔ แผนผัง สว่ นท่ี ๕ ศลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณี เทศกาล ภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ - ภูมิปัญญำทอ้ งถิ่น กำรทอผ้ำฝำ้ ย - ศนู ย์เรยี นรปู้ รัชญำเศรษฐกิจพอเพียงบำ้ นดงภทู อง ชอื่ บา้ นนวัตวถิ ี

ส่วนท่ี ๑ ขอ้ มูลทั่วไปของหมบู่ า้ น (สภาพท่ัวไปสภาพสังคมสภาพทางเศรษฐกจิ ) ประวตั คิ วามเปน็ มา ตำบลสวุ รรณคำม บ้ำนโนนสุวรรณ เปน็ ตำบลทต่ี ้งั อยูใ่ นเขตกำรปกครองของอำเภอนิคมนำ้ อนู ประกอบ ไปด้วย 7 หมู่บ้ำน ไดแ้ ก่ หมู่ 1 บ้ำนหนองปลงิ น้อย หมู่ 2 บ้ำนโนนอำ่ งทอง หมู่ 3 บำ้ นหนองปลงิ พุ่ม หมู่ 4 บ้ำน เวฬุวัน หมู่ 5 บ้ำนสวุ รรณคำม หมู่ 6 บำ้ นโนนสวุ รรณ หมู่ 7 บ้ำนดงภทู อง บ้ำนโนนสุวรรณ แรกเร่มิ ตงั้ ชอื่ หมู่บ้ำนวำ่ น้อยตำแดง ตำมช่ือบุคคลท่ีมำอยู่ก่อน แตต่ ่อมำได้มีพระธุดงค์ รูปหนึ่งมำจำกบำ้ นหนองผอื อ. พรรณนำนิคม ซ่งึ เป็นศิษยพ์ ระอำจำรย์มน่ั ภูรทิ ัตโต ได้มำพักแรมในเขตหม่บู ้ำน และได้ต้งั ชอ่ื หมูบ่ ้ำนตำมชอื่ ของพระอำจำรย์ทองคำ ซง่ึ คำว่ำสวุ รรณ แปลว่ำทอง คำมแปลว่ำหมู่บำ้ น จึงได้ชอื่ ว่ำ สวุ รรณคำม เป็นชื่อเรียก อย่ำงเป็นทำงกำร เมื่อปี พ.ศ.2500 โดยมนี ำยสงกำ พทุ ธศิลป์ เปน็ ผใู้ หญบ่ ้ำนคนแรก และเมื่อปี 2524 ได้ แยกกำรปกครองออกเปน็ 2 หมบู่ ำ้ น เพ่ือสะดวกในกำรปกครองหมบู่ ้ำน โดยบำ้ นโนน สุวรรณ มนี ำยกอง กอ้ งเวหำ เป็นผู้ใหญบ่ ้ำน ดำรงตำแหน่งจนครบตำมวำระ ต่อดว้ ยนำยเนตร เรอื งจรัส ดำรง ตำแหน่งอยู่ 2 วำระ นำยสมพงษ์ ภำวงค์ ดำรงตำแหน่งครบวำระวันท่ี 4 เมษำยน 2553 วันที่ 1 มกรำคม 2553 พระ ปรำณตี ขำคโู ร(กิริมติ ร) ไดต้ ัง้ สำนักสงฆด์ งเย็นข้นึ ภำยในท่สี ำธำรณประโยชนป์ ำ่ ช้ำบำ้ นโนนสุวรรณ (พ้ืนที่ 29 ไร่ 2 งำน ตำมเอกสำร นสล)และผู้ใหญ่บำ้ นคนปจั จบุ นั ชอื่ นำงสำวรตั ตกิ ำญจน์ ไพศำล ไดร้ ับคัดเลือก เมอื่ วันที่ 30 เมษำยน 2553 ในปี 2554 บ้ำนโนนสุวรรณไดร้ บั รำงวลั หมู่บ้ำนต้นแบบประชำธปิ ไตยดเี ด่น ปี 2556 ผใู้ หญบ่ ำ้ นไดร้ บั รำงวัลผู้ใหญบ่ ้ำนยอดเยย่ี ม(แหนบทองคำ) อาณาเขต ทศิ เหนอื ติดกบั ต.หนองปลิง อ.นิคมน้ำอนู จ.สกลนคร ทิศใต้ ตดิ กบั อ.กุดบำก จ.สกลนคร ทศิ ตะวนั ออก ติดกบั อ.กุดบำก จ.สกลนคร ทิศตะวันตก ตดิ กับ ต.นคิ มน้ำอูน อ.นคิ มนำ้ อูน จ.สกลนคร ผ้นู ้าชุมชน ผู้นำชุมชน บ้ำนหนองบวั บำน นำงสำวรตั ตกิ ำญจน์ ไพศำล ส่วนที่ ๒ ผลิตภณั ฑ์ชมุ ชน กลมุ่ องคก์ ร อตั ลักษณ์ ผลติ ภัณฑข์ งบ้ำนดงภทู อง ได้แก่ ทอผำ้ ไหม ,กระเปำ๋ ผ้ำฝ้ำย,ผ้ำฝ้ำย ส่วนที่ ๓ แหลง่ ทอ่ งเทีย่ วและการใหบ้ ริการ - อ่ำงเก็บนำ้ หว้ ยบำ้ นพมุ่ ส่วนท่ี ๔ แผนผงั

สว่ นท่ี ๕ ศลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณี เทศกาล ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่ิน - ภมู ปิ ญั ญำทอ้ งถิ่น กำรทอผ้ำฝำ้ ย ผลิตภัณฑ์กระเปำ๋ ผ้ำ - ศูนยเ์ รยี นร้ปู รัชญำเศรษฐกจิ พอเพยี งบำ้ นโนนสุวรรณ

ชอ่ื แหลง่ เรยี นรู้วดั ถา้ นา้ ยาด ทต่ี ัง วัดถ้านา้ ยาด อา้ เภอนคิ มน้าอนู ประวตั คิ วามเปน็ มา อำเภอนคิ มนำ้ อนู เป็นพืน้ ท่ตี ำมยทุ ธศำสตรก์ ำรพัฒนำเมืองน่ำอยู่ หน้ำติดน้ำ หลังตดิ เขำ คือเป็นพน้ื ท่ตี น้ นำ้ ของเขื่อนนำ้ อนู ทเ่ี ปน็ แหล่งน้ำอุปโภค บรโิ ภค และเปน็ แหล่งนำ้ เพื่อกำรเกษตรของชำวอำเภอนิคมน้ำอูน พงั โคน พรรณนำนิคม วำรชิ ภมู ิ กุดบำก เมอื งสกลนคร บำงส่วน หลังติดเขำ คือ ติดเขตอุทยำนแห่งชำติภผู ำเหล็ก ชื่อ บำ้ นดงภูทอง ม.๗ ต.สวุ รรณคำม มพี ้นื ทตี่ ดิ อุทยำนแหง่ ชำตภิ ผู ำเหลก็ และมวี ัดถ้ำน้ำหยำดทเี่ ป็นสถำนทปี่ ฏิบัติ ธรรมแห่งที่ ๗ ของจังหวัดสกลนคร เป็นจุดท่ีสูงที่สุดของอำเภอนิคมน้ำอูน มีเจดียศ์ รีสุวรรณ รูปปน้ั พระโพธสิ ตั ย์ กวนอิม และเป็นจุดชมววิ ทิวทัศน์ของอำเภอนิคมน้ำอนู มองไปจะเหน็ สภำพป่ำท่ีอดุ มสมบูรณ์ และมถี ้ำทหี่ ลบภยั ของผ้รู ่วมพัฒนำชำตไิ ทย หลกั ฐานทางโบราณดี / ความเชอื่ เป็นศูนยร์ วมจติ ใจ ให้กับผู้ศรทั ธำในเขตอำเภอนิคมนำ้ อนู ลักษณะทางกายภาพ ทม่ี ำข้อมูล นำยสันธำน ขยุ่ นำเพียง ผู้ใหญ่บ้ำนดงภทู อง

แหล่งเรียนรู้ กำรเกษตรธรรมชำติ ที่ตงั บ้านหนองปลิงใหม่ หมู่ 8 ตาบลหนองปลงิ อาเภอนคิ มนา้ อนู จงั หวัดสกลนคร ประวตั คิ วำมเปน็ มำ แหล่งเรยี นรู้เกษตรธรรมชาติ บา้ นหนองปลิงใหม่ ประกาศจดั ต้งั โดยศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอนิคมนา้ อนู โดยทาง กศน.อาเภอนคิ มน้าอนู ไดส้ ง่ เสริม สนบั สนนุ ใหน้ ักศกึ ษา กศน. เข้ารว่ มอบรมในโครงการ Smart ONIE เพอื่ สรา้ ง Smart Farmer ซง่ึ นกั ศกึ ษาก็ไดส้ าเรจ็ การอบรมอาเภอละ 2 คน หนึง่ ในนน้ั กม็ ี นายสรุ ศกั ด์ิ ฤทธธิ รรม นกั ศกึ ษา ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย เปน็ ขนท่มี ีความขยัน ต้งั ใจ และรักท่ี จะทาการเกษตรแบบสมยั ใหม่ ซงึ่ เปน็ การเกษตรธรรมชาตซิ ่ึงไดน้ าองค์ความรใู้ นเรอ่ื งศาสตรพ์ ระราชามา ประยุกต์ใชใ้ ห้เข้ากบั บรบิ ทของตนเองจนเป็นผู้ท่ีมีความร้คู วามชานาญในเรือ่ งเกษตรธรรมชาติจึงได้ทดลอง และ จัดทาเกษตรแบบผสมผสานในพ้นื ท่ขี องตัวเอง เช่นการปลกู ปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง การเลยี้ งหมูหลมุ การ ทาน้าหมักชวี ภาพ การเลี้ยงหนนู าในทอ่ ซีเมนต์ การเลี้ยงปลา จนสามารถให้ความร้กู บั ผทู้ ี่สนใจท่ีจะเรียนรู้และ ศึกษาดงู านได้ หลักฐำนทำงกำยภำพ เป็นแหลง่ เรยี นรู้ ศึกษาดูงาน สาหลบั ผูท้ ี่สนใจ และต้องการเข้ารับการอบรม ในดา้ นการเกษตรธรรมชาติ มฐี านการเรียนรู้ให้ผเู้ ข้ารบั การอบรม 1. ฐานการเรียนรูก้ ารเลีย้ งหนนู า 2. ฐานเรียนรกู้ ารเลีย้ งหมหู ลมุ 3. ฐานเรยี นรกู้ ารปลกู ป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อยา่ ง 4. ฐานเรียนรกู้ ารเกษตรธรรมชาติ 5. ฐานเรียนรกู้ ารเลยี้ งปลาในบ่อดนิ ลักษณะทำงกำยภำพ เปน็ สวนเกษตรธรรมชาติ มีสถานที่สาหรับอบรม และศกึ ษาดูงานสาหรับผทู้ ่ีสนใจ สามารถฝกึ และศึกษา เรยี นรใู้ นพน้ื ทจี่ ริง นายสุรศักดิ์ ฤทธธิ รรม เลขท่ี 166 หมู่ 1 ตาบลสวุ รรณคาม อาเภอนิคมน้าอูน จังหวัดสกลนคร โทร 0641180755

ชอ่ื แหล่งเรยี นรู้การย้อมผา้ คราม ท่ีตงั ตา้ บลหนองปลงิ อ้าเภอนิคมนา้ อูน บ้ำนหนองผกั เทียม หมูท่ ่ี ๑ ตำบลหนองปลิง อำเภอนคิ มนำ้ อูน จังหวัดสกลนคร ประวัติความเป็นมา จังหวดั สกลนครถอื วำ่ เปน็ เมืองแห่งครำมและมกี ล่มุ ผำ้ ย้อมครำมทีม่ ีคุณภำพกระจำยอยูเ่ กือบทุกอำเภอ สรำ้ งงำนสร้ำงรำยไดใ้ หก้ ับชำวบ้ำนเงินหมุนเวียนในจังหวดั หลำยร้อยลำ้ นบำท/ปี วันน้ผี ู้สอื่ ขำ่ วประจำจงั หวัด สกลนครจะนำ ผำ้ ย้อมครำมบ้ำนหนองผักเทียม อ.นคิ มนำ้ อูน ซ่งึ เปน็ อีกหนงึ่ กลมุ่ ทีมคี วำมเปน็ มำนับ 10 ปี กล่มุ ผำ้ ยอ้ มครำมบ้ำนหนองผักเทียม จำกสมำชกิ เพียง 9 คน โดยแรกเริ่ม มกี ำรย้อมผ้ำครำมแล้วนำมำทอเปน็ ผืนตัด เย็บเพอื่ สวมใส่เทำ่ นน้ั มนี ำยสมพงษ์ ผลำจนั ทร์ เป็นประธำนกลมุ่ หลักฐานทางโบราณดี / ความเช่ือ เปน็ ศนู ย์รวมทร่ี ่วมกนั ของคนในหมบู่ ้ำน บำ้ นหนองผักเทยี ม ลกั ษณะทางกายภาพ ทมี่ ำข้อมูล นำยสมพงษ์ ผลำจนั ทร์ ผู้ใหญ่บำ้ นหนองผักเทียม

ช่ือภมู ิปญั ญำ กำรยอ้ มผำ้ ครำม พนื ที่ตัง บ้านเลขท่ี 111 หมู่ 2 บ้านโคกมะนาว ตาบลหนองปลงิ อาเภอนคิ มน้าอนู จงั หวดั สกลนคร ประวัตคิ วำมเป็นมำ การย้อมผ้าครามดว้ ยสธี รรมชาติ ปจั จุบนั นางทุม โคตะมา ภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ ได้เปน็ ผู้ท่ีให้ความสนใจ ในการทอผ้าครามมาก ไมว่ า่ จะเปน็ การทอผ้าย้อมคราม และผ้าจากสีธรรมชาติ จากเปลอื กไม้ ซึง่ เป็นภูมปิ ัญญาใน ชุมชน แสดงถงึ เช้ือชาติ เผ่าพันธ์ุ และความแตกต่างทางวัฒนธรรม ไดม้ ีการรวมกลุ่มกนั ผา้ ทอยงั คงเป็นปจั จัย สาคญั ในการดารงชวี ิตของมนุษย์ จนกระทั่งมกี ารคดิ ค้นวสั ดกุ ารทอจากพชื มาเปน็ เส้นใย เชน่ ฝา้ ย รูจ้ กั วิธกี ารทอ อย่างง่าย ซ่ึงเป็นส่งิ ท่จี าเปน็ ในการดารงชวี ติ ในชุมชนบ้านหนองผกั เทยี ม การทอผ้าคราม ได้มีการสบื ทอดมา ตง้ั แต่โบราณจนถึงปัจจบุ ัน และเปน็ วัฒนธรรมอนั ล้าค่าของชุมชน นอกจากการทอผ้าเพอ่ื การจาหน่ายแล้ว ยงั มี การใช้ผา้ ในประเพณแี ละพธิ ีกรรมต่าง ๆ ดังนนั้ การสืบทอดความคดิ ความเชื่อ จากคนรุ่นเก่าส่คู นรุ่นใหม่ และ พฒั นาศกั ยภาพ ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ท่ีมีอยู่ในชมุ ชน เพือ่ เป็นการเสรมิ สรา้ งคุณภาพชวี ิต และเพ่อื การดารงอย่ขู อง วฒั นธรรมควบคกู่ ับการพฒั นาให้เป็นอาชพี และมีรายไดข้ องคนชุมชนอกี ด้วย การทอผ้าเป็นวัฒนธรรมอยา่ งหน่ึงที่ สืบทอดกนั มาตัง้ แต่ดง้ั เดมิ จนถงึ ปัจจบุ ัน เราควรรกั ษาขนบธรรมเนียมประเพณีน้ี ให้อยใู่ นสังคมและชุมชน ตลอดไป ลักษณทำงกำยภำพ การย้อมผา้ คราม หม้อคราม

ผ้ายอ้ มคราม สามารถป้องกันการเป็นมะเรง็ ไดด้ ้วย ผา้ ท่ีเรายอ้ มด้วยครามสามารถรักษาโรคได้ดว้ ย สวมใส่สบาย ไมเ่ ปน็ อันตรายตอ่ ร่างกาย เราควรหันมาส่งเสริมให้คนในชุมชน ได้มีการอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมไทย ของเรา เกย่ี วกบั การแตง่ กายด้วยผ้าพน้ื เมอื ง ให้มากๆ และควรให้มกี ารถ่ายทอดใหก้ บั ประชาชนรุ่นหลงั ไดเ้ รียนรูแ้ ละสามารถเป็นอาชีพให้กับครอบครัวได้ กำรสบื สำนตอ่ ปจั จบุ นั การยอ้ มผ้าคราม บา้ นโคกมะนาว ยงั ดาเนินการอยู่ มีสมาชิกในกลมุ่ ได้มีการถ่ายทอดองค์ ความรกู้ ารยอ้ มผา้ คราม ให้กับผูท้ ่ีสนใจที่จะเรียนรู้และสามารถนาไปประกอบอาชีพเสรมิ ได้ดว้ ย สมาชกิ ใน กลุม่ ได้เป็นตัวแทนของอาเภอเพือ่ นาผลิตภณั ฑ์ไปจาหนา่ ยและสาธิตการทอผ้าใหก้ ับภาคเี ครอื ข่ายได้เรียนรู้ ไม่ ว่าจะเปน็ หนว่ ยงานราชการ กศน.นิคมน้าอนู ได้มกี ารสง่ เสริมสนับสนุนจากหน่วยงานราชการ เช่น กศน. อาเภอนคิ มนา้ อูน โดยนาวทิ ยากรมาให้ความร้เู ก่ียวกบั การแปรรูปผา้ เพื่อเพ่มิ มูลค่าของสินค้า ให้มีราคาสงู ขน้ึ และสามารถพัฒนาอาชีพและเพ่ิมรายไดใ้ หก้ ับครอบครัวและชุมชนมคี วามเข้มแขง็ และยัง่ ยืนตลอดไป นางทมุ โคตะมา สถานที่ บ้านโคกมะนาว หมูท่ ่ี 2 ตาบลหนองปลงิ อาเภอนคิ มน้าอูน จงั หวัด สกลนคร

ชอื่ แหล่งเรยี นรู้เข่ือนน้าอนู ทตี่ ัง บา้ นหนองบัวบาน เขือ่ นน้าอนู อา้ เภอนิคมนา้ อนู นำ้ อนู เปน็ สำขำท่ีสำคญั ท่ีสดุ ของแม่นำ้ สงครำม ในตอนบนของภำคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ มีตน้ น้ำอยู่ ในทิวเขำภูพำน จังหวัดสกลนคร ไหลลงแม่นำ้ โขงทจ่ี งั หวดั นครพนม เนือ่ งจำกที่รำบสองฝ่งั แม่นำ้ อนู มีลักษณะ เป็นแอง่ ดังนั้น ในเวลำฝนตกหนกั จึงถูกทว่ มเปน็ ประจำ บริเวณทร่ี ำบแถบนีม้ ีกำรเพำะปลกู มำกท้งั ข้ำวและพชื อน่ื ๆ แต่ในเวลำฝนตกนำ้ กท็ ว่ ม เกดิ อุทกภยั ทำให้พืชผลเสียหำยเป็นประจำ และชว่ งขำดฝนก็ขำดนำ้ ไม่ เพยี งพอในกำรเพำะปลกู กรมชลประทำนจึงสร้ำงเขือ่ นเก็บนำ้ ข้นึ ที่บำ้ นหนองบวั อำเภอพงั โคน และอำเภอ เมือง จงั หวัดสกลนคร ประวตั ิความเปน็ มา บำ้ นหนองบัวบำน ก่อตงั้ ขน้ึ ปี พ.ศ.2438 โดยมี นำงฝ่ัน ศรสี วัสดิ์ เป็นผูก้ อ่ ต้งั แต่กอ่ นเป็นปำ่ รกทึบ มสี ัตว์รำ้ ยชุมนมุ จงึ ไดข้ อต้ังหมูบ่ ้ำนอยำ่ งเป็นทำงกำร โดยต้ังตำมช่ือหนองน้ำมบี วั กินได้ จึงได้ตั้งช่ือว่ำ บำ้ น หนองบวั บำน ตัง้ แต่นัน้ มำ หลกั ฐานทางโบราณดี / ความเช่อื เขือ่ นน้ำอูน เช่อื มตอ่ กนั จนถึงบำ้ นหนองบัวบำน ลักษณะทางกายภาพ เป็นแหลง่ นำ้ จืด มปี ลำชกุ ชมุ มหี นองบัว และเป็นสถำนท่ที ่องเท่ยี วเหมำะกับกำรประมงขนำดเลก็ ที่มำขอ้ มูล นำยทวีศกั ดิ์ วงค์ศรจี นั ทร์ กำนันบำ้ นหนองบวั บำน

ชอื่ ภมู ปิ ญั ญา บุญขา้ วประดับดิน พนื ทปี่ ฏบิ ตั ิ บ้ำนหนองบวั บำน ประวัติความเปน็ มา บญุ ขำ้ วประดบั ดิน ประวตั บิ ญุ ข้ำวประดบั ดนิ บุญเดือนเก้ำ ประเพณีภำคอีสำน ท่ีจัดขึ้นเพ่ืออทุ ิศสว่ น กศุ ลให้กับผู้ที่ลว่ งลับไปแล้ว และสตั ว์นรกหรอื เปรต ประเพณบี ุญข้ำวประดบั ดิน บญุ เดือนเก้ำ เปน็ อกี หนึ่ง ประเพณที ่ีสบื ทอดกนั มำในภำคอีสำน โดยบุญข้ำวประดบั ดิน เปน็ งำนประเพณที ่ถี กู จดั ขึ้นในวันแรม 14 ค่ำ เดอื นเก้ำ ของทกุ ๆ ปี และในปี 2560 ประเพณีบญุ ขำ้ วประดับดิน กต็ รงกบั วันท่ี 21 สงิ หำคม ท้งั น้ใี นกำรทำบุญขำ้ วประดบั ดนิ นัน้ ชำวบ้ำนจะนำขำ้ วปลำ อำหำร คำวหวำน ผลไม้ หมำก พลู บหุ ร่ี มำหอ่ ด้วยใบตอง และทำเปน็ ห่อเลก็ ๆ ก่อนจะนำไปวำงตำมโคนตน้ ไมใ้ หญ่หรอื ตำมพื้นดินบริเวณรอบ ๆ เจดยี ์ หรอื โบสถ์ โดยกำรทำบุญข้ำวประดบั ดินน้ี ชำวบำ้ นเช่อื ว่ำ เป็นกำรทำบุญเพอื่ อทุ ิศสว่ นกุศลให้แกผ่ ู้ ลว่ งลบั ไปแล้ว รวมถึงอุทศิ ส่วนกศุ ลให้กบั สตั วน์ รก หรอื เปรต ขันตอนการท้า 1. นำขำ้ วสำรห่อใสใ่ บตองกล้วย 2. นำขนมของหวำน ของคำ ใส่ใบตองกล้วย 3. ห่อสิง่ ของทผ่ี ลู้ ่วงลับตอ้ งกำรใช้ ประโยชน์ เป็นกำรอทุ ิศส่วนบญุ สว่ นกุศลให้ผู้ท่ลี ว่ งลับไปแล้ว การสืบสานตอ่ คนร่นุ หลังสำมำรถปฏบิ ตั ิตอ่ ๆกนั ไปโดยฝกึ หัดจำกคนร่นุ เก่ำ

ชื่อภูมิปัญญา ผกู แขนผ้เู ฒา่ ออกใหม่ ๓ ค่้า พืนทปี่ ฏบิ ตั ิ บำ้ นดงภูทอง ประวตั คิ วามเป็นมา ผูกแขนผเู้ ฒำ่ ออกใหม่ ๓ คำ่ เป็นประเพณีพื้นพน้ื ท่ที ำควำมเคำรพผกู แขนผเู้ ฒ่ำเพอ่ื แสดงควำมนับถือ ขนั ตอนการท้า ๑. เชญิ ผูเ้ ฒำ่ ในหมู่บ้ำนออกมำรวมกนั ท่ำศำลำประชำหมู่บำ้ นกิน ๒. ทำพธิ ีตำมบำรำณ เอน้ิ ขวญั ผู้เฒำ่ เหล่ำลกู หลำนำรวมตัวกนั ๓. ทำกบั ข้ำว อำหำร ทำนด้วยกนั ๔. บำยศรี ผูกแขนขอพรจำกผูเ้ ฒ่ำ ๕. รว่ มกันกนิ ข้ำวแลงนำกนั ประโยชน์ - เพือ่ ใหล้ กู หลำนมีควำมเคำรพนบั ถอื เชือ่ ฟงั คำสง่ั สอนของผู้ใหญ่ - จติ ใจสงบ มคี วำรกั และมคี วำมผุกพนั ธซ์ ่ึงกนั และกนั การสบื สานต่อ - สืบต่อประเพณใี นหมบู่ ้ำนเพ่อื สำนใหร้ ุ่นลกู หลำนตอ่ ไป

ช่อื รำยกำร กำรออกแบบลำยผำ้ ช่อื ภมู ปิ ญั ญำ นางเพญ็ ศีร แก้วไพศาล พืนท่ปี ฏิบัติ บ้านหว้ ยเหล็กไฟ หมทู่ ี่ 1 ตาบลนิคมนา้ อนู ประวัตคิ วำมเปน็ มำ เนอ่ื งจากการทอผ้าเปน็ การสืบทอดมาจากบรรพบุรุษจะมีความรคู้ วามสามารถ ท่ีไดร้ บั การถ่ายทอด กนั มาแต่คร้งั ปู ยา่ ตา ยาย โดยการทอผ้าดว้ ยมือไว้ใชเ้ อง ซ่งึ เรียกว่าผ้าฝ้ายย้อมครามซ่ึงแต่เดิมจะเยบ็ ดว้ ยมือ เปน็ เสือ้ ผ้าสวมใส่สาหรบั ผูห้ ญิงสว่ นผชู้ ายจะทอเป็นผ้าขาวม้าใส่นุ่งแบบโจง กะเบน หรือผา้ เตย่ี ว การทอผา้ ฝา้ ยได้จากนวลของดอกฝ้ายทีบ่ านเตม็ ท่ีนามากรอหอื เข็นเป็นเสน้ ฝา้ ย และยอ้ มนา้ คราม และนามาทอเปน็ ผ้า สืบทอดมาจนถึงปจั จุบันจึงเกดิ การรวมกลุ่มทอผ้าย้อมสธี รรมชาติขึ้นเพอ่ื ทอผ้า จาหนา่ ยเป็นรายไดเ้ สริมจุนเจอื ครอบครวั อกี ทางหนงึ่ ได้แก่ ผา้ พื้นเมอื ง ผ้าคลมุ ไหล่ ผ้าปูโตะ๊ ผ้าพันคอ ผา้ มัดหม่ี และผลิตภณั ฑอ์ ่นื ๆ ขันตอนกำรทำ วัสดอุ ุปกรณ์ ๑. ด้ำย ๔. ฟืม ๒. กรรไกร ๕.กระสวย ๓. ลักเฟือ่ ๖. ก่ี ขั้นตอนในกำรทอผ้ำ 1. สืบเส้นดำ้ ยยนื เขำ้ กับแกนมว้ นด้ำยยืน และรอ้ ยปลำยด้ำยแต่ละเส้นเข้ำในตะ กอแต่ละชดุ และฟันหวี ดงึ ปลำยเส้นด้ำยยืนทง้ั หมดมว้ นเข้ำกับแกนม้วนผ้ำอีกดำ้ นหนึ่ง ปรับควำมตงึ หย่อนให้พอเหมำะ กรอดำ้ ยเข้ำ กระสวยเพ่ือใช้เป็นดำ้ ยพงุ่ 2. เริ่มกำรทอโดยกดเครอื่ งแยกหมู่ตะกอ เสน้ ดำ้ ยยนื ชดุ ที่ 1 จะถูกแยก ออกและเกิดช่องวำ่ ง สอดกระสวย ด้ำยพุ่งผำ่ น สลับตะกอชุดที่ 1 ยกตะกอชดุ ท่ี 2 สอดกระสวยดำ้ ยพงุ่ กลบั ทำสลับกนั ไปเรื่อย ๆ 3. กำรกระทบฟนั หวี (ฟมื ) เมอื่ สอดกระสวยดำ้ ยพุง่ กลบั ก็จะกระทบ ฟนั หวี เพื่อใหด้ ้ำยพุง่ แนบติดกนั ได้ เน้ือผำ้ ที่แนน่ หนำ 4. กำรเกบ็ หรอื ม้วนผ้ำ เมือ่ ทอผำ้ ได้พอประมำณแล้วกจ็ ะม้วนเกบ็ ใน แกนม้วนผ้ำ โดยผอ่ นแกนด้ำยยืนให้ คลำยออกและปรบั ควำมตงึ หยอ่ นใหมใ่ หพ้ อเหมำะ ประโยชน์ 1.เปน็ ผำ้ ที่สำมำรถแปรรปู ได้หลำกหลำย 2.ได้สร้ำงอำชีพและสรำ้ งรำยไดใ้ หก้ ับคนในชมุ ชน

กำรสบื สำนตอ่ เป็นการสบื ทอดมาจากบรรพบุรษุ จะมคี วามร้คู วามสามารถ ที่ได้รบั การถ่ายทอดกันมาแตค่ ร้ัง ปู ยา่ ตา ยาย โดยการ ทอผา้ ด้วยมอื ไว้ใช้เอง และดดั แปลงลวดลายต่างๆพฒั นาลายให้เข้ากับยคุ สมัยมากขนึ้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook