การลา้ เลยี งนา้ และอาหารของพชื
การล้าเลยี งน้าของพชื พืชที่มีทอ่ ลา้ เลยี ง จะมีโครงสร้างทใี่ ช้ในการล้าเลียงน้าและแร่ธาตุโดยเฉพาะ ท้าให้มขี นาดใหญแ่ ละสงู ได้มาก การลา้ เลยี งนา้ ในพืชเกย่ี วขอ้ งกบั การดูดนา้ และการคายนา้
การดูดน้าของราก •นา้ และแร่ธาตทุ รี่ ากดูดซมึ จากดนิ ท่ี บริเวณสว่ นปลายของรากทเี่ รียกว่า บรเิ วณขนราก (root hair zone) จะมขี นรากจ้านวนมาก •ท้าใหเ้ พิ่มพนื ทผี่ วิ ท่ีสมั ผัสกับน้าซ่งึ แทรกตวั อยูใ่ นช่องว่างภายในดินได้เปน็ จ้านวนมาก ขนรากดูดนา้ โดย กระบวนการ ออสโมซิส (Osmosis) 3
การลา้ เลยี งนา้ เขา้ สทู่ ่อไซเลม็ 1) วธิ อี ะโพพลาสต์ (Apoplast) เป็นการล้าเลียงน้าและแรธ่ าตุจากเซลลห์ นงึ่ ไปยังอีกเซลลห์ นง่ึ โดยผ่านผนงั เซลลท์ ตี่ ดิ ต่อกัน และชอ่ งวา่ งภายนอกเซลล์ 2) วธิ ีซิมพลาสต์ (Symplast) เป็นการล้าเลียงน้าและแร่ธาตุจากเซลล์หน่ึง ไปยงั อีกเซลลห์ นึง่ โดยผ่านทางไซโทพลาสซึมทเี่ ช่ือมตอ่ กนั และทะลไุ ปอกี เซลล์หนง่ึ โดย ผ่านทางพลาสโมเดสมาตา (plasmodesmata)
•อะโพพลาสต์ (Apoplast) คอื การที่นา้ และแร่ธาตผุ า่ นจากเซลล์หนึง่ ไปยัง เซลล์หนง่ึ โดย ผา่ นช่องวา่ งระหว่างผนังเซลล์ในชนั คอรเ์ ทกซแ์ ละผ่านเซลลท์ ี่ ไมม่ ชี ีวติ (ยกเว้นเอนโดเดอร์มสิ ) คือ เทรคีด และเวสเซล •ซมิ พลาสต์ (Simplast) คอื การทีน่ ้าและแร่ธาตุผา่ นจาก เซลล์หนง่ึ ไปยัง อกี เซลลห์ นึ่ง โดย ผา่ นทางไซโทพลาซมึ ทเี่ ชื่อมต่อกันและทะลไุ ปอกี เซลล์หน่ึง โดยผ่านทางพลาสโมเดสมาตา (Plasmodesmata) •ดงั นันการท่ีน้าและแร่ธาตุสามารถผา่ นไปจึงเป็นการผา่ นชนั เยือ่ หมุ้ เซลล์ เท่านนั เมือ่ นา้ และแรธ่ าตเุ คลอ่ื นมาถึง เอนโดเดอร์มิสซง่ึ มี Casparian strip กนั อยทู่ ่ผี นังเซลล์ น้าและแรธ่ าตจุ ะผ่านไปตามผนังเซลล์ไมไ่ ด้ จงึ ต้อง ใช้วิธซี มิ พลาสต์ ผ่านเย่ือหุม้ เซลล์ของเอนโดเดอร์มิส เขา้ ส่ไู ซโทพลาซมึ แลว้ จึง เขา้ สู่ stele จนถงึ xylem แร่ธาตทุ ผ่ี ่านเยอ่ื หุ้มเซลล์จึงถูกคัดเลอื กโดยเยอ่ื หุ้มเซลล์
สรปุ ขนั ตอนการลา้ เลยี งนา้ และแรธ่ าตผุ า่ นทางด้านขา้ งของราก 1. เม่ือนา้ และแร่ธาตผุ ่านขนรากของชนั epidermis ซึ่งเขา้ ไดท้ งั 2 วิธี 2. ถา้ การลา้ เลยี งนนั เขา้ ทาง อะโพพลาสต์ นา้ และแร่ธาตุบางส่วนจะล้าเลียงเข้าเซลล์ ของ เอพเิ ดอร์มสิ และคอรเ์ ทกซ์โดยวิธซี ิมพลาสต์ 3. นา้ และแรธ่ าตทุ ่ีเข้าสู่ เอนโดเดอรม์ สิ ทางผนังเซลล์ (วธิ อี ะโพพลาสต)์ จะไม่ สามารถผา่ น แคสพาเรียนสตรปิ ของเอนโดเดอรม์ สิ ไปไดโ้ ดยวธิ ีอะโพพลาสต์ จงึ ใช้ วธิ ีซิมพลาสต์ เพ่ือผา่ นเยื่อหมุ้ เซลลข์ อง เอนโดเดอร์มิส 4. นา้ และแร่ธาตุเมือ่ เข้าสไู่ ซเลม ซ่งึ ไซเลมประกอบดว้ ย เทรคดี และเวสเซล ซงึ่ เปน็ เซลล์ทตี่ ายแล้ว ไม่มีโพรโทพลาซึมเหลือแต่ผนงั เซลล์และช่องวา่ ง ลูเมน (Lumen) ในไซเลมจึงลา้ เลยี งน้าและแร่ธาตแุ บบอะโพพลาสต์ โดยล้าเลียงขึนส่ลู า้ ตน้ ต่อไปยัง ส่วนตา่ ง ๆ ทังยอด ลา้ ตน้ ก่ิง และใบ เพื่อส่งน้าไปใหท้ กุ ๆ เซลล์ของตน้ พืช
กลไกการล้าเลยี งนา้ ของพชื หลงั จากทพ่ี ืชสามารถดูดน้าจากดินเขา้ สู่ รากแลว้ น้าจะเกดิ การลา้ เลียงต่อไปยงั ส่วนของลา้ ต้น โดยผ่านทางท่อน้า ซึ่ง กลไกทพี่ ชื ใชใ้ นการลา้ เลยี งนา้ นีเกดิ ขึนได้ ดงั ต่อไปนี คือ •แรงดันราก (root pressure) •แรงดนั แคพลิ ลารี (capillary force) •แรงดันเนอื่ งจากการคายนา้ (transpiration pull)
1. แรงดนั ราก (root pressure) เม่อื ปรมิ าณน้าในรากมีจา้ นวนมากขนึ ทา้ ให้เกดิ แรงดันในรากท่ีสูงขึนจนสามารถดนั ของเหลวขึนไปยังท่อไซเลมได้ การลา้ เลียงน้าแบบนจี ะเกดิ กบั พชื บางชนิดเท่านนั เพราะในสภาพท่ีอากาศรอ้ นจดั และ แห้งแล้ง พชื ไมส่ ามารถสรา้ งแรงดันรากได้
เ 2. แรงดันแคพลิ ลารี (capillary force) เป็นแรงดงึ ท่ีเกดิ ขนึ ภายในทอ่ ล้าเลยี ง คลา้ ยท่อคะพลิ ลารี ท่อลา้ เลียงที่มีขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางเล็กสามารถดึงนา้ ขนึ ไปได้ มากกว่าขนาดใหญ่ เกี่ยวข้องกับแรงยดึ ระหว่างโมเลกลุ ของนา้ ด้วยกันเอง (cohesion) และแรงยึดระหวา่ งโมเลกุลของนา้ กบั ผนังเซลล์ (adhesion)
11
เ 3. แรงดนั เน่ืองจากการคายนา้ (transpiration pull) เกิดขนึ จากการดงึ น้าขึนมา ทดแทนนา้ ท่เี สียไปโดยวิธีการคายน้า วธิ นี ีสามารถดึงนา้ ขนึ มาได้ในปริมาณสูง การดึง นา้ โดยวิธนี ีจ้าเป็นต้องอาศัยแรงแคพิลลารีชว่ ยดว้ ย ท้าให้การล้าเลยี งน้าสามารถเกดิ ขนึ ได้อยา่ งต่อเนอื่ งจากขา้ งลา่ งถึงขา้ งบนยอดพืชโดยไม่ขาดตอน
13
•แรงดงึ ในท่อไซเลม ดงึ น้ำขึน้ สู่ล้ำต้นและใบได้ รำกจงึ เกดิ แรงดึงนำ้ จำกดินเขำ้ มำใน ทอ่ ไซเลมได้ เม่อื พชื คำยน้ำออกทำงใบทำ้ ใหเ้ กิดแรงดึงน้ำขนึ้ ตำมทอ่ ไซเลม แรงดงึ นเี้ รียกวำ่ แรงดงึ เนือ่ งจำกกำรคำยนำ้ (Transpiration pull) และโมเลกุลของ น้ำมีแรงดงึ ดดู ระหวำ่ งโมเลกลุ ท่ีเรียกว่ำ โคฮีชนั (Cohesion) ทำ้ ให้กำรไหลของ น้ำในทอ่ ไซเลมจงึ ต่อเนอื่ งกนั ได้ •หำกแรงดงึ จำกกำรคำยนำ้ มคี ำ่ มำกกวำ่ แรงโคฮีชัน ท้ำให้สำยน้ำไม่ตอ่ เนือ่ งกัน เกิด ฟองอำกำศข้นึ ซ่ึงจะขดั ขวำงกำรล้ำเลียงน้ำ ในเวลำกลำงคนื ท่ปี ำกใบปิดและน้ำใน ดนิ มำกพอ นำ้ จะเคลอ่ื นที่เขำ้ สไู่ ซเลม็ ท้ำใหเ้ กิดแรงดันรำกซ่ึงจะดนั นำ้ ขน้ึ ไปบีบอดั ฟองอำกำศท่เี กิดขน้ึ ให้หำยไปได้ 14
transpiration pull capillary force root pressure
เพราะเหตุใดเราจงึ ตอ้ งใสป่ ุ๋ยใหพ้ ชื
พชื สใชาโ้รคอรางหสารรา้ ทง่จีใา้ดเใปน็นกตารอ่ ดพดู ชื ซมมึ อี สะไารบอา้ หง าร KS Ca P Mg N Fe
การล้าเลยี งสารอาหารของพืช Passive transport Active transport
การลา้ เลียงน้าและสารอาหารเขา้ สู่ไซเลม็ สารอาหารจะเข้าส่ทู ่อไซเลม็ โดยวธิ อี โพพลาสต์ หรือซมิ พลาสต์
การลา้ เลียงสารอาหารจากรากสู่ปลายยอด
สารอาหาร หรือ ธาตอุ าหาร (nutrient) นักวทิ ยาศาสตร์ไดก้ า้ หนดหลกั เกณฑใ์ นการจดั วา่ ธาตใุ ดเปน็ สารอาหารทจี่ า้ เป็นต่อการ เจริญเติบโตของพืช ซ่ึงมีอยู่ 3 ประการ คือ 1. ธาตนุ ันจา้ เปน็ ตอ่ การเจริญเติบโตของพืช ถ้าขาดธาตนุ ันพืชจะไม่สามารถด้ารงชีวติ ท้าใหก้ ารเจรญิ เติบโตและการสบื พันธ์ไุ ม่สมบรู ณ์ 2. ความต้องการชนิดของธาตนุ ันในการเจรญิ เติบโต โดยทธี่ าตุอน่ื ไมส่ ามารถทดแทนได้ 3. ธาตนุ ันจ้าเปน็ ตอ่ กระบวนการเมแทบอลซิ ึมและการเจรญิ เตบิ โตของพชื โดยตรง 1. สารอาหารหลกั (macronutrient) มี 9 ธาตุ ไดแ้ ก่ C H O N P K Ca Mg S 2. สารอาหารรอง (micronutrient) มี 7 ธาตุ ได้แก่ Fe B Mn Cu Zn Cl Mo
เ แร่ธาตทุ ่จี ้าเปน็ สา้ หรบั พชื ธาตุ หน้าที่ของธาตุ ไนโตรเจน เปน็ องค์ประกอบของคลอโรฟิลล์ โปรตีน เอนไซม์และวติ ามนิ หลายชนิด ชว่ ยใหพ้ ชื เจริญเติบโตทางดา้ นใบ ล้าตน้ หวั ฯลฯ ฟอสฟอรสั เป็นองค์ประกอบของกรดนิวคลอี ิก ฟอสโฟลพิ ดิ ATP และโค โพแทสเซยี ม เอนไซมห์ ลายชนดิ ช่วยเรง่ การออกดอกและ สรา้ งเมล็ด ไมเ่ ป็นองค์ประกอบของสารใดๆ ในพชื แต่ไปทา้ หน้าทีก่ ระตนุ้ การทา้ งานของเอนไซม์หลายชนิดทเ่ี กยี่ วข้องกบั การสรา้ งแป้ง น้าตาล และโปรตีน ควบคมุ การปิดเปดิ ของปากใบ และ เกี่ยวข้องกบั กระบวนการสร้างโปรตีน
เ แรธ่ าตุท่ีจ้าเปน็ สา้ หรบั พชื ธาตุ หน้าทีข่ องธาตุ แคลเซยี ม เป็นองคป์ ระกอบของผนงั เซลล์ จา้ เป็นสา้ หรับกระบวนการแบ่ง เซลล์ การเพ่มิ ขนาดของเซลล์และชวยกระตุ้นการท้างานของ แมกนเี ซยี ม เอนไซมบ์ างชนดิ เป็นองคป์ ระกอบของคลอโรฟิลล์ กระตนุ้ การท้างานของเอนไซม์ท่ี กา้ มะถัน เกี่ยวขอ้ งกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง การหายใจ การ สงั เคราะห์โปรตนี เปน็ องคป์ ระกอบของสารโปรตีนบางชนิด วติ ามิน B1 และสารท่ี ระเหยไดบ้ างชนดิ ในพืชช่วยเพม่ิ ปริมาณนา้ มนั ในพชื เก่ียวข้องกับ การสังเคราะหค์ ลอโรฟิลล์
ธาตอุ าหาร อาการท่ีพชื ตอบสนองและแสดงออก ไนโตรเจน (N) หนา้ ที่ อาการเมอ่ื ขาด อาการเมอ่ื ได้รบั ธาตุ โพแทสเซยี ม (K) อาหารมากเกนิ ไป - เปน็ องคป์ ระกอบของ - ใบมสี เี หลอื งทงั ใบ จะ - ใบสีเขียวเขม้ โปรตีน กรดนวิ คลอี ิก เริม่ เหลืองท่ใี บแกก่ ่อน - ใบมีจ้านวนมาก คลอโรฟลิ ล์ และ - ล้าต้นแคระแกรน็ - ล้าตน้ เตบิ โตมากกว่า โคเอนไซม์ ราก - เปน็ โคแฟกเตอร์ของ - ใบเหลอื ง ขอบใบ เอนไซม์ และปลายใบไหม้ - ควบคุมแรงดนั ออสโม - เนือเย่อื ใบตายเปน็ ตกิ ของเซลล์คมุ จุดๆ เกิดท่ีใบแก่กอ่ น - รกั ษาสมดุลไอออน - ควบคุมการสงั เคราะห์ และเคลื่อนยา้ ยแป้ง
อาการทพ่ี ชื ตอบสนองและแสดงออก ธาตอุ าหาร หน้าท่ี อาการเมอ่ื ขาด อาการเมอื่ ไดร้ บั ธาตุ ฟอสฟอรัส (P) อาหารมากเกนิ ไป แคลเซยี ม (Ca) - เปน็ องคป์ ระกอบของ - การเติบโตชะงัก - ใบอ่อนมสี ีเหลอื ง กรดนิวคลีอกิ ATP - ใบแก่มีสีเขยี วเขม้ ระหว่างเส้นใบ แต่เสน้ และฟอสโฟลพิ ดิ ก้านใบหรือใบมสี แี ดง ใบมีสีเขียว เนอื เยอ่ื ใบ หรือมว่ ง ตาย - ควบคมุ การ - เนอื เยื่อเจริญปลาย ตอบสนองต่อสารต่างๆ ยอดและปลายรากตาย ทเ่ี ยือ่ หมุ้ เซลล์ - ใบอ่อนหงกิ งอ - เก่ียวขอ้ งกบั การสรา้ ง - ปลายใบ ขอบใบ และรกั ษาความเสถียร เหี่ยว ของผนังเซลล์
อาการทีพ่ ชื ตอบสนองและแสดงออก ธาตอุ าหาร หนา้ ท่ี อาการเมอื่ ขาด อาการเมอ่ื ได้รบั ธาตุ แมกนีเซยี ม (Mg) อาหารมากเกนิ ไป กา้ มะถัน (S) - เปน็ องค์ประกอบของ - ใบมสี ีเหลืองระหว่างเส้นใบ เหล็ก (Fe) คลอโรฟิลล์ เกิดทีใ่ บแกอ่ อ่ น - กระตนุ้ การทา้ งานของเอนไซม์ท่ี - เกดิ จุดสแี ดงบนใบ เกีย่ วข้องกับกระบวนการ - ปลายใบและขอบใบม้วนเปน็ สงั เคราะห์ด้วยแสง รปู ถ้วย - เป็นองคป์ ระกอบของกรดอะมิ - ใบเหลืองทังใบโดยเกิดท่ีใบอ่อน - ยับยังการสังเคราะห์ด้วยแสง โนและโคเอนไซม์บางชนดิ ก่อนหรอื ใบเหลอื งทังลา้ ต้น และท้าใหโ้ ครงสร้างคลอโรฟิลล์ - เกี่ยวขอ้ งกบั การหายใจและการ เส่ือมสภาพ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง - เปน็ องค์ประกอบของไซโทโครม - ใบมีสเี หลอื งระหวา่ งเสน้ ใบ - เกิดเป็นจดุ เซลลแ์ ห้งตายบนใบ ซึง่ จ้าเปน็ ตอ่ กระบวนการหายใจ เกดิ ทใี่ บแก่ออ่ น ระดบั เซลล์ - ขาดอยา่ งรุนแรงใบออ่ นอาจซีด - เกี่ยวขอ้ งกับการสังเคราะห์ ขาวและแหง้ ตาย คลอโรฟิลล์
คณุ หมอตน้ ไม้
ฟอสฟอรสั (Phosphorus)
เหลก็ (Iron)
โพแทสเซียม (Potassium)
แมกนีเซยี ม (Magnesium)
ฟอสฟอรัส (Phosphorus)
ไนโตรเจน (Nitrogen)
การลา้ เลียงอาหารของพชื • อาหารท่พี ืชสร้างขึน ไดแ้ ก่ น้าตาล หรอื สารประกอบชนดิ อ่นื ๆ ทเี่ ปลย่ี นแปลงไป • อาหารจะถกู ลา้ เลยี งไปตามเนอื เยื่อโฟลเอม (phloem) เพื่อนา้ ไปเลียงสว่ นต่างๆ ของพืชทกี่ ้าลงั จะเจรญิ เช่น บรเิ วณปลายยอด บรเิ วณปลายราก หรอื เก็บสะสมไว้ บริเวณที่เกบ็ สะสมอาการ เช่น ราก หรือหวั เป็นต้น 35
กลไกการล้าเลยี งอาหารทางโฟลเอม • จากลักษณะการล้าเลยี งอาหารของโฟลเอม็ ได้มนี ักวทิ ยาศาสตรห์ ลายท่านศกึ ษา และอธบิ ายวิธกี ารล้าเลียงอาหาร ดงั นี • 1. มาร์เซลโล มลั พิจิ (Marcello Malpighi) • 2. ที จี เมสัน (T.G. Mason) และ อี เจ มัสเคล (E.J. Maskel) • 3. ซิมเมอร์แมน (Zimmerman) • 4. สมมุติฐานการไหลของมวลสาร (Mass flow hypothesis) ของ อี มนึ ซ์ (E. Munch)
ประวตั กิ ารศกึ ษาการล้าเลยี งอาหาร • มาร์เซลโล มลั พจิ ิ (Marcello Malpighi), 1686 ทา้ การควนั่ รอบเปลือกไม้ ของล้าต้น เมอ่ื พชื เจรญิ ระยะหนึง่ พบวา่ เปลอื กเหนือรอยคว่ันจะพองออก • ที จี เมสนั (T.G. Mason) และ อี เจ มัสเคล (E.J. Maskel), 1928 พบวา่ การควน่ั เปลอื กของล้าต้นไม่มีผลต่อการคายน้าของพืช แตม่ ผี ลต่อการล้าเลียง อาหาร เนื่องจากไซเลม็ ยงั สามารถลา้ เลยี งน้าได้ สว่ นเปลือกของลา้ ต้นทอี่ ยูเ่ หนอื รอยควั่นพองออก เนอ่ื งจากมกี ารสะสมของนา้ ตาลท่ไี ม่สามารถล้าเลียงผ่านมายงั ด้านลา่ งของต้นไมไ้ ด้
ถา้ ควน่ั เปลอื กของลา้ ตน้ ตรงบรเิ วณโคน ? • อาจทา้ ใหต้ น้ ไม้ตายได้ เพราะไมส่ ามารถสง่ อาหารไปเลยี งราก รากจะขาดอาหาร ท้าให้รากตาย จงึ ไมส่ ามารถล้าเลียงนา้ และสารอาหารไปยงั ส่วนต่างๆ ของพืชได้ • การควน่ั ต้นไม้นยิ มใช้ในการตอนตน้ ไม้ โดยควน่ั บริเวณก่ิง แล้วขดู เนือเย่อื ท่ตี ดิ กับ เนือไมอ้ อกใหห้ มด แล้วจงึ น้าดนิ เปียกๆ หรือโคลนไปพอก ทท่ี ้าเชน่ นีเพื่อให้กิง่ ไมท้ ่ี อยู่เหนอื รอยควนั่ เปน็ แหล่งสะสมอาหาร ช่วยทา้ ใหร้ ากแตกออกมาได้
• ซมิ เมอร์แมน (Zimmerman) ได้ท้าการทดลองโดยใช้เพลียออ่ น โดยใหเ้ พลยี ออ่ นแทงงวงเข้าไปดดู ของเหลวจากโฟลเอ็มของพชื พบว่ามขี องเหลวไหลมาออกทาง กน้ ของเพลยี อ่อน จากนนั ไดว้ างยาสลบและตัดหวั ของเพลียออ่ นออก พบวา่ มี ของเหลวจากโฟลเอ็มยงั คงไหลออกมาตามงวงของเพลียอ่อนอยู่ เมอ่ื เอาของเหลวท่ี ไหลออกจากงวงไปวิเคราะหพ์ บวา่ สว่ นใหญ่เป็น ซโู ครส
• พืชล้าเลยี งอาหารในรปู ของซโู ครส ซูโครส (sucrose) • พชื เก็บสะสมอาหารในรปู ของแปง้ แป้ง (starch)
การศึกษาการลา้ เลยี งนา้ ตาลโดยใชส้ ารกมั มันตรงั สี 14c • มีการศกึ ษาการลา้ เลียงน้าตาลในพืชโดยใชส้ ารกัมมนั ตรังสี คือ 14c ทอี่ ยู่ ในรูปของสารละลายคารบ์ อนไดออกไซด์ • พชื ดดู สารละลาย 14co2 เขา้ ทางใบ เพอื่ ใชใ้ นกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เพอื่ ดวู า่ ส่วนใดของพชื จะไดร้ บั สารกัมมนั ตรงั สี เปน็ การบ่งบอกว่านา้ ตาลถูกลา้ เลยี งไป ยังสว่ นใดของพชื บา้ ง แลว้ ใหเ้ พลยี ออ่ นแทงงวงเขา้ ทอ่ โฟลเอ็มในต้าแหนง่ ตา่ งๆ กนั
• ทา้ ใหส้ ามารถหาอตั ราการเคลื่อนท่ีของของน้าตาลในโฟลอม็ ได้ พบว่าการเคลอ่ื นที่ ของนา้ ตาลในโฟลเอม็ มคี วามเรว็ ประมาณ 100 เซนติเมตรต่อช่วั โมง • พบว่า การล้าเลยี งน้าตาลซโู ครสเกดิ ไดท้ ังสองทศิ ทาง (bidirection) โดยการ ลา้ เลยี งจากแหล่งสร้าง (Source) ไปยังแหล่งใช้ (Sink) เพราะเหตุใดการเคลอ่ื นทขี่ องนา้ ตาลในโฟลเอม็ จงึ เคลอ่ื นทด่ี ว้ ยความเร็ว
สมมุติฐานการไหลของมวลสาร (Mass flow hypothesis) • อี มนึ ซ์ (E. Munch), 1928 อธบิ ายการล้าเลียงอาหารในโฟลเอ็มว่าเกิดจาก ความแตกต่างของแรงดนั ออสโมติกของความเขม้ ขน้ น้าตาลระหวา่ งใบและราก • เซลล์ใบมีความเขม้ ข้นของน้าตาลสูง มีการล้าเลยี งไปยังเซลล์ข้างเคียง และมีการ ลา้ เลียงตอ่ ไปยงั เซลล์ต่อๆ ไปจนถึงโฟลเอ็ม เกิดแรงดนั ใหโ้ มเลกุลน้าตาลเคล่ือน ไปตามโฟลเอ็ม ไปยงั เนอื เยอื่ ท่มี ีความเขม้ ข้นของน้าตาลนอ้ ยกว่า
• การล้าเลียงซูโครสจากแหล่งสรา้ งเขา้ สู่ sieve-tube ทา้ ใหค้ วามเขม้ ขน้ ของสารละลายใน sieve tube เพมิ่ ขึน นา้ จึงออสโมซสิ เขา้ sieve tube • Sieve tube มแี รงดนั เตง่ มากขนึ ดนั สารขา้ งในไปตามทอ่ • เมื่อมาถึงแหลง่ รบั แรงดนั ใน sieve tube ลดลง นา้ จะออสโมซสิ สเู่ ซลล์ ข้างเคยี งท่แี หล่งรบั • นา้ เข้าสไู่ ซเลม็ ซ่ึงจะลา้ เลียงจาก แหล่งรับไปยังแหล่งสรา้ งอกี
Quiz กำรล้ำเลียงน้ำและอำหำร 1. พชื มีวิธีกำรลำ้ เลียงนำ้ และแรธ่ ำตุจำกขนรำกเขำ้ ส่ไู ซเล็มโดยวธิ ีใดบ้ำง จงอธบิ ำยพอเข้ำใจ 2. พชื มีกำรลำ้ เลยี งน้ำและสำรอำหำรจำกรำกข้นึ ไปยงั บริเวณปลำยยอด ได้อย่ำงไร 3. สำรอำหำรควำมส้ำคัญตอ่ พชื อย่ำงไร
4. พชื มีวิธีกำรล้ำเลยี งอำหำรโดยวธิ กี ำรใดบ้ำง จงอธิบำยพอเข้ำใจ 5. กำรลำ้ เลยี งสำรใน xylem และ phloem มีทิศทำงทแี่ ตกต่ำงกนั อย่ำงไร 6. อำหำรทพ่ี ืชสรำ้ งขึ้นสว่ นใหญม่ ีกำรล้ำเลียงไปตำม phloem ในรปู ใด และนำ้ ไปเกบ็ สะสมตำมส่วนตำ่ ง ๆ ของพืชในรูปใด 7. เพรำะเหตุใดเวลำตอนก่ิงจงึ ต้องขูดเยอื่ บำง ๆ ออก
Search
Read the Text Version
- 1 - 46
Pages: