1. ศึกษาขอ้ มลู อยา่ งเป็ นระบบ \"การท่จี ะพระราชทานพระราชดาริเพื่อดาเนนิ งานโครงการ จะทรงศึกษาขอ้ มลู รอบดา้ นจากเอกสาร แผนที่ สอบถามเจา้ หนา้ ท่ี นกั วิชาการ และราษฎรในพ้ืนท่ี ใหไ้ ดร้ ายละเอียดท่ีเป็ นประโยชนค์ รบถว้ น เพื่อพระราชทานความชว่ ยเหลอื ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งและ รวดเร็ว ตรงความตอ้ งการของประชาชน\"
2. ระเบิดจากขา้ งใน \"พระองคท์ รงมงุ่ เนน้ เรื่องการพฒั นาคน ทรงตรสั วา่ ว่า ..ตอ้ งระเบิดจากขา้ งใน.. หมายความว่า ตอ้ งสรา้ งความเขม้ แข็งใหค้ นใน ชมุ ชนที่เราเขา้ ไปพฒั นา ใหม้ สี ภาพพรอ้ มที่จะรบั การพฒั นาเสยี กอ่ น แลว้ จึงออกมาสสู่ งั คมภายนอก มใิ ชก่ ารนาเอาความเจริญ หรือบคุ คลจากสงั คมภายนอกเขา้ ไปหาสงั คมภายในหมบู่ า้ นท่ียงั ไมท่ นั ไดม้ ีโอกาสเตรียมตวั หรือตงั้ ตวั \"
3. แกป้ ัญหาท่ีจดุ เลก็ \"พระองคท์ รงเป่ี ยมไปดว้ ยพระอจั ฉริยภาพในการแกไ้ ขปัญหา ทรงมองปัญหาในภาพร่วม (Macro) กอ่ นเสมอ แตก่ ารแกป้ ัญหาของ พระองคจ์ ะเร่ิมจากจดุ เล็กๆ (Micro) คือ การแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ ที่คนมกั จะมองขา้ ม\"
4. ทาตามลาดบั ขน้ั \"ในการทรงงานพระองคท์ รงเริ่มตน้ จากสิง่ ท่จี าเป็ นของประชาชนทสี่ ดุ กอ่ น ไดแ้ ก่ งานดา้ นสาธารณสขุ เมื่อร่างกายสมบรู ณ์ แข็งแรงแลว้ ก็จะสามารถทาประโยชนอ์ ่ืนๆ ตอ่ ไปได้ จากนน้ั ดา้ นสาธารณปู โภคขนั้ พ้ืนฐาน และสิ่งจาเป็ นในการประกอบอาชพี อาทิ ถนน แหลง่ นา้ เพ่ือการเกษตร การอปุ โภค บริโภค ท่เี อื้อประโยชนต์ อ่ ประชาชนโดยไมท่ าลายทรพั ยากรธรรมชาติ รวมถึงการให้ ความรทู้ างวิชาการ-เทคโนโลยี เนน้ ปรบั ใชภ้ มู ิปัญญาทอ้ งถ่ินท่รี าษฎรนาไปปฏิบตั ใิ หเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ \"
5. ภมู ิสงั คม \"การพฒั นาใดๆ ตอ้ งคานงึ ถึงสภาพภมู ปิ ระเทศของบริเวณนน้ั ว่าเป็ นอย่างไร และสงั คมวิทยาเกี่ยวกบั ลกั ษณะนสิ ยั ใจคอของคน ตลอดจนวฒั นธรรมประเพณีในแตล่ ะทอ้ งถ่ินท่ีมคี วามแตกตา่ งกนั \"
6. องคร์ วม \"ทรงมีวิธีคิดอย่างองคร์ วม (Holistic) หรือมองอย่างครบวงจรในการท่ีจะพระราชทานพระราชดาริเกยี่ วกบั โครงการหนงึ่ นน้ั จะ ทรงมองเหตกุ ารณ์ ทีจ่ ะเกิดขนึ้ และแนวทางแกไ้ ขอย่างเชอื่ มโยง ดงั เชน่ กรณีของ (ทฤษฏีใหม)่ ที่พระราชทานใหแ้ กป่ วงชนชาวไทย เป็ นแนวทางประกอบอาชพี แนวทางหนง่ึ ทพ่ี ระองคท์ รงมองอย่างองคร์ วม ตง้ั แตก่ ารถือครองท่ดี นิ โดยเฉลี่ยของประชาชนชาวไทย ประมาณ 10-15 ไร่ การบริหารจดั การทดี่ นิ และแหลง่ นา้ อนั เป็ นปัจจยั พื้นฐานท่สี าคญั ในการประกอบอาชพี เมอ่ื มีนา้ ในการเกษตร แลว้ จะสง่ ผลใหผ้ ลติ ดขี ึ้น และหากมีผลติ มากข้ึน เกษตรกรตอ้ งรวู้ ิธีการจดั การและการตลาด รวมถึงการรวมกลมุ่ รวมพลงั ชมุ ชน ใหม้ คี วามเขม้ แข็ง เพื่อพรอ้ มที่จะออกสกู่ ารเปล่ยี นแปลงของสงั คมภายนอกไดอ้ ย่างครบวงจรนนั้ คือ ทฤษฏีใหม่ ขนั้ ที่ 1 2 และ 3\"
7. ไมต่ ิดตารา \"การพฒั นาตามราชดาริของพระองค์ ลกั ษณะพฒั นาทอ่ี นโุ ลมและรอมชอมกบั สภาพธรรมชาติสิ่งแวดลอ้ ม และสภาพของสงั คม จิตวิทยาแหง่ ชมุ ชน “ไมต่ ดิ ตารา” ไมผ่ กู มดั ตดิ กบั วิชาการและเทคโนโลยีที่ไมเ่ หมาะสมกบั สภาพชวี ิตความเป็ นอยแู่ ทจ้ ริงของคนไทย\"
8. ประหยดั เรยี บงา่ ย \"ไดป้ ระโยชนส์ ดุ ในเรื่องของความประหยดั น้ี ประชาชนชาวไทยเคยเห็นว่า หลอดยาสีพระทนตน์ นั้ ทรงใชอ้ ย่างคมุ้ ค่าอย่างไร ฉลอง พระองคแ์ ตล่ ะองคท์ รงใชอ้ ย่เู ป็ นเวลานาน หรือแมแ้ ตฉ่ ลองพระบาทหากชารดุ ก็จะสง่ ซ่อมและใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ขณะเดยี วกนั การพฒั นา ชว่ ยเหลือราษฎร ทรงใชค้ วามเรียบงา่ ยและประหยดั ในการแกไ้ ขปัญหา ใหร้ าษฎรสามารถทาไดเ้ อง ประยกุ ตใ์ ชส้ ่ิงทีม่ ีอยใู่ นภมู ิภาค มาแกไ้ ขปัญหา โดยไมต่ อ้ งลงทนุ สงู หรือใชเ้ ทคโนโลยีทไี่ มย่ ่งุ ยากนกั \"
9. ทาใหง้ ่าย \"ดว้ ยพระอจั ฉริยภาพและพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทาใหก้ ารคิดคน้ ดดั แปลง ปรบั ปรงุ และแกไ้ ข งานพฒั นาประเทศตามแนว พระราชดาริดาเนนิ ไปโดยงา่ ย และสอดคลอ้ งกบั สภาพความเป็ นอยรู่ ะบบนเิ วศโดยสว่ นรวม ตลอดจนสภาพสงั คมของชมุ ชนนนั้ ๆ ทรงโปรดท่จี ะทาสิ่งทย่ี ากใหก้ ลายเป็ นงา่ ย ทาสิ่งที่สลบั ซบั ซอ้ นใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย อนั เป็ นการแกป้ ัญหาดว้ ยการใชก้ ฎธรรมชาตเิ ป็ น แนวทางนน้ั เอง แตก่ ารทาสงิ่ ทย่ี ากใหก้ ลายเป็ นงา่ ยนนั้ เป็ นของยาก ดงั นน้ั คาว่า “ทาใหง้ า่ ย” หรือ “Simplicity” จึงเป็ นหลกั คิดสาคญั ของการพฒั นาประเทศ ท่มี าในรปู แบบของโครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดาริ\"
10. การมีสว่ นรว่ ม \"พระองคท์ รงเป็ นนกั ประชาธิปไตย จึงทรงนา “ประชาพิจารณ”์ มาใชใ้ นการบริหาร เพื่อเปิ ดโอกาสใหส้ าธารณชน ประชาชน หรือ เจา้ หนา้ ทที่ กุ ระดบั ไดม้ าร่วมกนั แสดงความคิดเห็น เก่ียวกบั เรื่องท่จี ะตอ้ งคานงึ ถึงความคิดเห็นของประชาชน หรือความตอ้ งการ ของสาธารณชน\"
11. ประโยชนส์ ว่ นรวม \"การปฏิบตั พิ ระราชกรณียกิจ และการพระราชทานพระราชดาริในการพฒั นา และชว่ ยเหลอื พสกนกิ รของพระองค์ ทรงระลกึ ถึง สว่ นรวมเป็ นสาคญั \"
12. บรกิ ารรวมที่จดุ เดียว \"การบริการรวมที่จดุ เดียว หรือ One Stop Services เกิดขนึ้ เป็ นครง้ั แรกในระบบบริหารราชการแผน่ ดนิ ของประเทศไทย โดยทรงให้ ศนู ยศ์ ึกษาการพฒั นาอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาริ เป็ นตน้ แบบในการบริการรวมท่ีจดุ เดยี ว เพ่ือประโยชนต์ อ่ ประชาชนท่ใี ชบ้ ริการ ใหป้ ระหยดั เวลาและค่าใชจ้ ่าย โดยมีหนว่ ยงานราชการตา่ งๆ มารว่ มดาเนนิ การและใหบ้ ริการประชาชน ณ ท่ีแหง่ เดยี ว\"
13. ทรงใชธ้ รรมชาติช่วยธรรมชาติ \"ทรงเขา้ ใจถึงธรรมชาตแิ ละตอ้ งการใหป้ ระชาชนใกลช้ ดิ ธรรมชาติ ทรงมองอยา่ งละเอียดถึงปัญหาธรรมชาติ หากเราตอ้ งการแกไ้ ข ธรรมชาติ จะตอ้ งใชธ้ รรมชาตเิ ขา้ ชว่ ยเหลอื เชน่ การแกไ้ ขปัญหาป่ าเสอ่ื มโทรม ไดพ้ ระราชทานพระราชดาริ \"การปลกู ป่ าโดยไมต่ อ้ ง ปลกู \" ปลอ่ ยใหธ้ รรมชาตชิ ว่ ยในการฟื้ นฟูธรรมชาติ หรือแมก้ ระทงั่ \"การปลกู ป่ า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง\"
14. ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม \"ทรงนาความจริงเร่ืองความเป็ นไปแหง่ ธรรมชาติ และกฎเกณฑข์ องธรรมชาตมิ าเป็ นหลกั การแนวปฏิบตั ทิ ่ีสาคญั ในการแกป้ ัญหา และปรบั ปรงุ เปลี่ยนแปลงสภาวะท่ไี มป่ กตเิ ขา้ สรู่ ะบบท่ีเป็ นปกติ เชน่ การทานา้ ดขี บั ไลน่ า้ เสีย หรือเจือจางนา้ เสียใหก้ ลบั เป็ นนา้ ดตี าม จงั หวะการขนึ้ ลงตามธรรมชาตขิ องนา้ การบาบดั นา้ เนา่ เสยี โดยใชผ้ กั ตบชวา ซึ่งมีตามธรรมชาตใิ หด้ ดู ซึมส่ิงสกปรกปนเป้ื อนในนา้ ดงั พระราชดารสั ความว่า ..ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม..\"
15. ปลกู ป่ าในใจคน \"เป็ นการปลกู ป่ าลงบนแผน่ ดนิ ดว้ ยความตอ้ งการของมนษุ ยท์ าใหต้ อ้ งการบริโภคและใชท้ รพั ยากรธรรมชาตอิ ยา่ งสิน้ เปลอื ง เพ่ือ ประโยชนข์ องตนเองเองและสรา้ งความเสียหายใหแ้ กส่ ง่ิ แวดลอ้ ม ไมร่ จู้ กั พอ ปัญหาความไมส่ มดลุ จึงบงั เกิดขนึ้ ดงั นนั้ ในการฟ้ื นฟู ธรรมชาตใิ หก้ ลบั คืนมา จะตอ้ งปลกู จิตสานกึ ในการรกั ผืนป่ าใหแ้ กค่ นเสียกอ่ น\"
16. ขาดทนุ คือกาไร “..ขาดทนุ คือ กาไร our loss is our gain การเสยี คือ การได้ ประเทศชาตกิ ็จะกา้ วหนา้ และการท่ีคนอย่ดู มี ีสขุ เป็ นการนบั ท่ีเป็ นมลู คา่ เงนิ ไมไ่ ด.้.” จากพระราชดารสั ดงั กล่าว คือหลกั การทีพ่ ระองค์ ทรงมีตอ่ พสกนกิ รไทยดว้ ย “การให”้ และ “การเสยี สละ” เป็ นการ กระทาอนั มีผลเป็ นกาไร คือความอย่ดู ี มีสขุ ของราษฎร ซ่ึงสามารถสะทอ้ นเป็ นรปู ธรรมชดั เจนได้
17. การพึ่งพาตนเอง การพฒั นาตามแนวพระราชดาริเพื่อการแกไ้ ขปัญหาในเบ้ืองตน้ ดว้ ยการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ เพื่อใหป้ ระชาชนแข็งแรง พอทจ่ี ะ ดารงชวี ิตตอ่ ไป แลว้ ขน้ั ตอ่ ไปก็คือ การพฒั นาใหป้ ระชาชนอยใู่ นสงั คมไดต้ ามสภาพแวดลอ้ ม และ “พ่ึงตนเองได”้
18. พออยพู่ อกิน การพฒั นาเพ่ือใหพ้ สกนกิ รมคี วามเป็ นอย่ทู ่ดี ขี นึ้ เร่ิมจากการเสด็จพระราชดาเนนิ ไปทรงเย่ียมราษฎรในทกุ ภาคของประเทศ และ พระองคไ์ ดท้ อดพระเนตรความเป็ นอย่ขู องราษฎรดว้ ยพระองคเ์ อง จึงทรงเขา้ พระราชหฤทยั สภาพปัญหาอย่างลึกซ้ึง ในการพฒั นา นน้ั หากมองในภาพรวมของประเทศมิใชง่ านเล็กนอ้ ย แตต่ อ้ งใชค้ วามคิดและกาลงั ของคนทง้ั ชาตจิ ึงจะบรรลผุ ลสาเร็จดว้ ยพระปรีชา ญาณของพระองคจ์ ึงทาใหค้ นทง้ั หลายไดป้ ระจกั ษว์ า่ แนวทางพระราชดาริในพระองคน์ น้ั “เรียบงา่ ย ปฏิบตั ไิ ดผ้ ล” เป็ นท่ยี อมรบั โดยทวั่ กนั
19. เศรษฐกจิ พอเพียง \"เศรษฐกิจพอเพียง\" เป็ นปรชั ญาทีท่ รงพระราชทานชแี้ นวทางดาเนนิ ชวี ิต แกพ่ สกนิกรมานานกวา่ 30 ปี ตงั้ แตก่ อ่ นเกิด วิกฤตการณท์ างเศรษฐกจิ และเมือ่ ภายหลงั ไดท้ รงยา้ แนวทางการแกไ้ ขเพื่อใหร้ อดพน้ และสามารถดารงอยไู่ ดอ้ ย่างมนั่ คงและยงั่ ยืน ภายใตก้ ระแสโลกาภวิ ตั น์ และการเปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆ ดงั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ไดพ้ ระราชทานไวด้ งั นี้ \"ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล รวมถึงความจาเป็ นที่จะตอ้ งมรี ะบบภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ท่ดี พี อสมควร ตอ่ มามผี ลกระทบใดๆ อนั เกดิ จากการเปลี่ยนแปลงทง้ั ภายนอกและภายใน ทง้ั นตี้ อ้ งอาศยั ความรอบรู้ ความรอบคอบและ ระมดั ระวงั อย่างยิ่งในการนาวิชาการตา่ งๆ มาใชใ้ นการวางแผนและการดาเนนิ การทกุ ขนั้ ตอน\"
20. ความซ่ือสตั ยส์ จุ ริตจริงใจตอ่ กนั “คนทไ่ี มม่ ีความสจุ ริต คนทไ่ี มม่ คี วามมนั่ คง ชอบแตม่ กั งา่ ย ไมม่ ีวนั จะสรา้ งสรรคป์ ระโยชนส์ ว่ นรวมทส่ี าคญั อนั ใดได้ ผทู้ ่ีมคี วาม สจุ ริตและความมงุ่ มนั่ เทา่ นน้ั จึงจะทางานสาคญั ยิ่งใหญท่ ี่เป็ นคณุ เป็ นประโยชนแ์ ทจ้ ริงไดส้ าเร็จ” พระราชดารสั ฯ เม่ือวนั ที่ 12 กรกฎาคม 2522 “ผทู้ ม่ี ีความสจุ ริตและบริสทุ ธ์ิใจ แมจ้ ะมคี วามรนู้ อ้ ยก็ยอ่ มทาประโยชนใ์ หแ้ กส่ ว่ นรวมได้ มากกว่าผมู้ คี วามรมู้ ากแตไ่ มม่ คี วามสจุ ริต ไมม่ คี วามบริสทุ ธิ์ใจ” พระราชดารัสฯ เมอ่ื วนั ท่ี 18 มนี าคม 2533 “ผวู้ า่ CEO ตอ้ งเป็ นคนทสี่ จุ ริต ทจุ ริตไมไ่ ด้ ถา้ ทจุ ริตแมแ้ ตน่ ดิ เดยี วก็ขอแชง่ ใหม้ อี นั เป็ นไป ขา้ ราชการหรือประชาชนที่มีการทจุ ริต ถา้ มที จุ ริตแลว้ บา้ นเมอื งพงั ทเ่ี มืองไทยพงั มาเพราะมกี ารทจุ ริต” พระราชดารสั ฯ เมือ่ วนั ท่ี 3 ตลุ าคม 2546
21. ทางานอย่างมีความสขุ พระองคท์ รงพระเกษมสาราญ และทรงมคี วามสขุ ทกุ คราทีจ่ ะชว่ ยเหลือประชาชน ซึ่งเคยมพี ระราชดารสั ครงั้ หนง่ึ ความว่า “ทางาน กบั ฉนั ฉนั ไมม่ อี ะไรจะให้ นอกจากการมคี วามสขุ รว่ มกนั ในการทาประโยชนใ์ หก้ บั ผอู้ ื่น”
22. ความเพียร พระองคท์ รงริเริ่มโครงการตา่ งๆ ในระยะแรกไมไ่ ดม้ คี วามพรอ้ มมากนกั และทรงใชพ้ ระราชทรพั ยส์ ว่ นพระองคท์ ง้ั สน้ิ แตพ่ ระองคก์ ็ มไิ ดท้ อ้ พระราชหฤทยั ทรงอดทนและมงุ่ มนั่ ดาเนนิ งานนน้ั ใหส้ าเร็จลลุ ว่ ง ดงั เชน่ พระราชนพิ นธ์ \"พระมหาชนก\" ซ่ึงพระองคท์ รงใช้ เวลาค่อนขา้ งนานในการคิดประดษิ ฐถ์ อ้ ยคาใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย และปรบั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพสงั คมปัจจบุ นั เพ่ือใหป้ ระชาชนชาวไทยปฏิบตั ติ าม รอยพระมหาชนก กษตั ริยผ์ เู้ พียรพยายามแมจ้ ะไมเ่ ห็นฝัง่ ก็จะวา่ ยนา้ ตอ่ ไป เพราะถา้ ไมเ่ พียรว่ายก็จะตกเป็ นอาหารปู ปลา และไมไ่ ด้ พบกบั เทวดาทชี่ ว่ ยเหลือมิใหจ้ มนา้ เชน่ เดยี วกบั พระองคท์ รงริเริ่มทาโครงการตา่ งๆ ในระยะแรกทีไ่ มม่ คี วามพรอ้ มในการทางาน มากนกั และทรงใชพ้ ระราชทรพั ยส์ ว่ นพระองคท์ ง้ั ส้ินแตพ่ ระองคก์ ็มิไดท้ อ้ พระราชหฤทยั มงุ่ พฒั นาบา้ นเมอื งใหบ้ งั เกดิ ความร่มเย็น เป็ นสขุ
23. รู้ รกั สามคั คี พระองคท์ รงมีพระราชดารสั ในเรื่อง \"รู้ รกั สามคั คี\" อยา่ งตอ่ เนอื่ ง ซ่ึงเป็ นแนวทางปฏิบตั ทิ ่มี คี ณุ คา่ และมีความหมายลึกซ้ึง สามารถปรบั ใชไ้ ดก้ บั ทกุ ยคุ ทกุ สมยั รู้ : การที่เราจะลงมอื ทาสง่ิ ใดนนั้ จะตอ้ งรเู้ สียก่อน รถู้ ึงปัจจยั ทง้ั หมด รถู้ ึงปัญหา และรถู้ ึงวิธีแกป้ ัญหา รกั : คือ ความรัก เมื่อเรารคู้ รบถว้ นกระบวนความแลว้ จะตอ้ งมคี วามรัก การพิจารณาท่ีจะเขา้ ไปลงมือปฏิบตั แิ กไ้ ขปัญหานน้ั ๆ คือ การสรา้ งฉนั ทะ สามคั คี : การทจี่ ะลงมอื ปฏิบตั คิ วรคานงึ เสมอวา่ เราจะทางานคนเดยี วไมไ่ ด้ ตอ้ งร่วมมอื รว่ มใจกนั เป็ นองคก์ ร เป็ นหมคู่ ณะจึงจะมี พลงั เขา้ ไปแกป้ ัญหาใหล้ ลุ ว่ งไปไดด้ ว้ ยดี
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: