Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการ ปีที่ 24 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2564

วารสารวิชาการ ปีที่ 24 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2564

Published by MBU SLC LIBRARY, 2021-11-12 03:14:19

Description: journal2564.3

Search

Read the Text Version

ACADEMIC JOURNAL วารสารวชิ าการ ป‚ที่ 24 ฉบบั ที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2564

สค�ำณนักะงกานรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน ที่ปรกึ ษา ลขิ สิทธิ์และผู้จัดพิมพ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน ส�ำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา (นายอัมพร พนิ ะสา) ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน (นายสนทิ แยม้ เกษร) พิมพท์ ่โี รงพมิ พ์ บริษทั เอส.บี.เค.การพมิ พ์ จำ� กัด รองเลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน 92/6 หมู่ 3 ต.บางพลีใหญ่ (นายกวินทร์เกียรติ นนธพ์ ละ) รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน อ.บางพลี จ.สมทุ รปราการ 10540 (ว่าท่รี อ้ ยตรี ธนุ วงษจ์ ินดา) ผชู้ ว่ ยเลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน ทป่ี รึกษาด้านเทคโนโลยเี พอ่ื การเรียนการสอน ท่ีปรกึ ษาด้านมาตรฐานการศกึ ษา ทปี่ รกึ ษาดา้ นการศกึ ษาพเิ ศษและผดู้ อ้ ยโอกาสทางการศกึ ษา ทป่ี รกึ ษาดา้ นพัฒนาระบบเครอื ขา่ ยและการมีสว่ นร่วม ที่ปรึกษาด้านพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ ที่ปรึกษาดา้ นนโยบายและแผน กองบรรณาธิการ ผอู้ ำ� นวยการส�ำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา (นางสาวรตั นา แสงบวั เผื่อน) นางสาวปริญญา ฤทธ์ิเจรญิ นายธัญญา เรอื งแก้ว นางวรรณี จนั ทรศิริ นางสาววรณนั ขนุ ศร ี ผู้อ�ำนวยการกลมุ่ พัฒนาและส่งเสริมวทิ ยบรกิ าร (นางเสาวภา ศักดา) นายรัฐพงษ์ สงวนงาม นางสาววราภรณ์ ศรแี สงฉาย

บทบรรณบทาบธรรณกิ าธาิกราร วารสารวิชาการ ปีที่ 24 ฉบับท่ี 3 กองบรรณาธิการขอน�ำเสนอบทความด้านการศึกษา ท่ีหลากหลาย ได้แก่ การบริหารจัดการศึกษาปฐมวัยเพื่อส่งเสริมทักษะด้านภาษาโดยใช้ AHT GEP Model เป็นบทความน�ำเสนอ การพัฒนา AHT GEP Model ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ การวิเคราะห์ ตระหนัก ลงมือทำ� เตม็ ใจ เตม็ ความสามารถ ร่วมกนั ทำ� งานเป็นทมี การมุ่งสู่เป้าหมาย การประเมินผล และมุ่งประสิทธิภาพ เพ่ือส่งเสริมทักษะด้านภาษา ในการฟัง พูด อ่าน และเขียน และส่งผลต่อพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ของนกั เรยี นโรงเรยี นอนบุ าลหว้ ยทบั ทนั จงั หวดั ศรสี ะเกษ สะเตม็ ศกึ ษาสกู่ ารแกป้ ญั หาและบรู ณาการ ทักษะชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา เป็นบทความน�ำเสนอ การจัด การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา เพ่ือแก้ปัญหาที่พบในชีวิตประจ�ำวันของโรงเรียน บา้ นนาเรอื ง จงั หวดั อบุ ลราชธานี โดยยกตวั อยา่ งการแกป้ ญั หาการเกบ็ ขา้ วเหนยี วนง่ึ ในกระตบิ ขา้ ว ให้มีความร้อนและเหนียวนุ่มน่ารับประทาน การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ของสถานศึกษา ใหพ้ ร้อมต่อการเปล่ยี นแปลงในชีวติ วิถใี หม่ (New Normal) เปน็ บทความน�ำเสนอ การพฒั นา แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ ด้านหลักสูตรเพ่ือการเรียนรู้วิถีใหม่ ด้านแหล่งเรียนรู้ของสถานศึกษา และด้านแหล่งเรียนรู้ออนไลน์เพื่อการเรียนแบบผสมผสานท่ีเหมาะสมในวิถีใหม่ ฝึกเป่าแคน โดยใช้ K6 Model เพอ่ื การอนรุ กั ษศ์ ลิ ปะพนื้ บา้ นอสี าน เปน็ บทความน�ำเสนอ กระบวนการเรียน ปฏบิ ตั เิ คร่อื งดนตรดี ว้ ย K6 Model ประกอบด้วย 6 ข้นั ตอน คอื รู้เครื่องดนตรี รโู้ นต้ เพลง รู้ปฏบิ ตั ิ เครื่องดนตรี รูร้ กั ษาเครื่องดนตรี รพู้ ัฒนาฝีมือ และรู้คณุ ครทู ี่สั่งสอน เพ่อื ฝกึ นักเรยี นของโรงเรียน กัลยาณวตั ร จังหวดั ขอนแกน่ สามารถเปา่ แคนไดอ้ ย่างรวดเร็วพรอ้ ม QR Code วิธกี ารฝึกเปา่ แคน หนังสือดเี ด่น ประจ�ำปี พ.ศ. 2564 ส�ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน เป็นบทความ น�ำเสนอผลการประกวดหนังสือที่ได้รับรางวัลดีเด่น ประจ�ำปี พ.ศ. 2564 โดยมีสาระส�ำคัญของ หนังสือท่ีได้รับรางวัล เพ่ือเป็นการให้ผู้อ่านได้สามารถสรรหาหนังสือท่ีดีมีคุณภาพและเหมาะสม กบั ความสนใจในการอา่ น สุดท้ายน้ี กองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างย่ิงว่า วารสารวิชาการจะเป็นประโยชน์กับ ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาไม่มากก็น้อย ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้ความสนใจติดตาม วารสารวชิ าการอย่างตอ่ เน่ืองแลว้ พบกนั ใหม่ฉบับหน้า กองบรรณาธิการ

สารบัญ 3 การบริหารจัดการศึกษาปฐมวัยเพอื่ สง่ เสรมิ ทักษะด้านภาษา โดยใช้ AHT GEP Model 14 สะเต็มศกึ ษาสูก่ ารแก้ปญั หาและบรู ณาการทักษะชีวิต ของนกั เรยี นในโรงเรยี นขยายโอกาสทางการศึกษา 22 การพัฒนาแหลง่ เรียนรู้ออนไลนข์ องสถานศึกษาให้พร้อมตอ่ การเปลีย่ นแปลง ในชวี ติ วถิ ีใหม่ (New Normal) 30 ฝึกเปา่ แคนโดยใช้ K6 Model เพือ่ การอนุรักษ์ศลิ ปะพน้ื บา้ นอีสาน 40 หนังสือดเี ดน่ ประจำ� ปี พ.ศ. 2564 สำ� นกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน P.3 P.14 P.30 2 วารสารวชิ าการ

การบรหิ ารจดั การศึกษาปฐมวยั เพ่ือส่งเสรมิ ทักษะด้านภาษา โดยใช้ AHT GEP Model วรชั ยา ประจำ� โรงเรยี นอนุบาลหว้ ยทับทัน ส�ำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาศรสี ะเกษ เขต 2 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ได้ก�ำหนดปรัชญาการศึกษาปฐมวัยว่า การศึกษาปฐมวัย เป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์อย่างเป็นองค์รวมบนพื้นฐาน การอบรมเล้ียงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ท่ีสนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตามวัย ของเดก็ แตล่ ะคนใหเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ ภายใตบ้ รบิ ทสงั คมและวฒั นธรรมทเี่ ดก็ อาศยั อยู่ ดว้ ยความรกั ความเอ้ืออาทร และความเข้าใจของทุกคน เพ่ือสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) การจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยมีความส�ำคัญยิ่ง ต่อการพัฒนาการในทุก ๆ ด้านของเด็กในอนาคต เนื่องจากเด็กวัยนี้มีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา การจัดประสบการณ์ให้กับเด็กในวัยนี้ มีความส�ำคัญอย่างยิ่งท่ีจะเกิดขึ้นในตัวเด็ก โดยเฉพาะในช่วงระยะปฐมวัยมีความส�ำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นรากฐานของพัฒนาการก้าวต่อไปของชีวิตของแต่ละบุคคล (ปิยะนุช สุวรรณเทพ และ สเุ ทพ อ่วมเจริญ, 2558) ภาษามีความส�ำคัญต่อเด็กปฐมวัยเป็นอย่างมาก เพราะเด็กใช้ภาษาเป็นเคร่ืองมือ ในการแสดงความตอ้ งการ ความรสู้ กึ นกึ คดิ การแลกเปลย่ี นประสบการณก์ บั ผอู้ น่ื และเปน็ พน้ื ฐาน ส�ำคัญของอารมณ์ สังคม และพัฒนาการทางสติปัญญา ดังน้ัน การส่งเสริมความสามารถทาง ภาษาจึงควรเร่ิมต้ังแต่ช่วงปฐมวัย เพราะเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางภาษาเจริญงอกงามอย่าง รวดเร็ว ด้วยการพัฒนาด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนไปพร้อมกัน และเปิดโอกาส ให้เด็กได้ใช้ได้ฝึกฝนจนเกิดความช�ำนาญกลายเป็นทักษะทางภาษา โดยเฉพาะภาษาแม่ วารสารวชิ าการ 3

ซึ่งการส่งเสริมความสามารถดังกล่าวจ�ำเป็นท่ีจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจด้านพัฒนาการ การท�ำงานของสมอง และวิธีการเรียนรู้ของเด็ก เพ่ือให้สามารถส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ ทางภาษาของเด็กปฐมวัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับความแตกต่างระหว่างบุคคล (ชนิพรรณ จาติเสถียร, 2560) อีกทั้ง การพัฒนาภาษายังเป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาสื่อสาร ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความรู้ ความเข้าใจในส่ิงต่าง ๆ ที่เด็กมีประสบการณ์ โดยสามารถ ตั้งค�ำถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรมทางภาษาให้มีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมท่ี เอ้ือต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กได้กล้าแสดงออกในการฟัง พูด อ่าน เขียน มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ท้ังนี้ ต้องค�ำนึงถึงหลักการจัดกิจกรรม ทางภาษาทีเ่ หมาะสมกับเดก็ เป็นส�ำคญั (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2560) การประเมินพัฒนาการตามแบบรายงานพัฒนาการเด็กปฐมวัยของโรงเรียนอนุบาล ห้วยทับทันได้ก�ำหนดการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย ออกเป็น 4 ด้าน มีเกณฑ์การประเมิน ในแต่ละตัวบ่งช้ี แบ่งออกเป็นระดับคุณภาพ 3 ระดับ คือ ระดับดี (3 คะแนน) ระดับพอใช้ (2 คะแนน) ระดับปรับปรุง (1 คะแนน) และได้ก�ำหนดค่าเป้าหมายของพัฒนาการเด็กปฐมวัย แต่ละด้าน คือ จ�ำนวนผู้เรียนที่มีพัฒนาการอยู่ในเกณฑ์ระดับดี ไม่ต่�ำกว่าร้อยละ 80 ซ่ึงผล การประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั ปกี ารศกึ ษา 2561 พบวา่ พฒั นาการดา้ นรา่ งกาย อยใู่ นเกณฑด์ ี คิดเป็นร้อยละ 90.48 พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ อยู่ในเกณฑ์ดี คิดเป็นร้อยละ 95.96 พัฒนาการด้านสังคม อยู่ในเกณฑ์ดี คิดเป็นร้อยละ 80.43 เป็นไปตามเป้าหมายท่ีก�ำหนด และ พัฒนาการด้านสตปิ ญั ญา อยใู่ นเกณฑ์ดี คดิ เปน็ ร้อยละ 78.75 ซึง่ ไม่เปน็ ตามเป้าหมายทก่ี �ำหนด จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว โรงเรียนอนุบาลห้วยทับทัน จึงได้พัฒนารูปแบบ การบริหารจัดการศึกษาปฐมวัย เพื่อส่งเสริมทักษะด้านภาษา “AHT GEP Model” ผ่านกระบวนการจัดประสบการณ์ของครูที่เน้นการสร้างความตระหนักลงมือปฏิบัติอย่างเต็ม ความร้คู วามสามารถด้วยความรว่ มมอื ร่วมใจภายใตเ้ ป้าหมายเดียว และมกี ารนเิ ทศ ตดิ ตามแบบมี สว่ นรว่ ม และน�ำไปส่กู ระบวนการจัดกจิ กรรมเสรมิ ประสบการณก์ ารเรยี นรูเ้ ดก็ ปฐมวัยเพือ่ ส่งเสริม ทักษะด้านภาษา (5 ส.) 5 STEP ด้วยการจัดประสบการณ์โดยใช้นิทาน เนื่องจากนิทานเป็นสื่อ การสอนที่ส�ำคัญอย่างหนึ่งท่ีเด็กให้ความสนใจ เพราะสนุกเพลิดเพลิน สร้างจินตนาการ ให้ข้อคิด เตือนใจ และเพ่ือสร้างเสริมพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย เด็กได้เรียนรู้และมีพัฒนาการ ทางภาษาท่ีดีข้ึนและเหมาะสมกับวัย มีความพร้อมในการรับรู้ภาษา (เข้าใจ) และแสดงออก ทางภาษาด้วยการพูด การฟัง การอ่าน การเขียน และถ่ายทอดความคิดของตนเองออกมาด้วย การสรา้ งนิทาน และยงั สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงวฒั นธรรมไทย 4 วารสารวชิ าการ

ผู้ปกครอง และชุมชน ซงึ่ ได้สนบั สนุนและมสี ว่ นรว่ มในการจัดเตรยี มสื่อ วสั ดุอุปกรณแ์ ละใชว้ ธิ กี ารจดั ประสบการณ์ ที่หลากหลาย ให้กับเด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ได้วางแผนกำหนดแนวทางการปฏิบัติร่วมกับผู้อื่นนำเสนอผลงาน สแนลวะับิธกสานีกรุนแางลรบกปดเรปะ�ำลมเี่ยานนณเินรเีปยงน็นารผู้สูน้มู่ีวสิสังคัยทมัศอนีก์ใหท้คั้งวผาูม้บสรำิหคาัญรสกถับากนารศจึกัดษกาาไรดศ้มึกีกษาารทนี่เินเท้นศผตู้เริดียตนาเมปแ็นบสบำคมัญีส่วสนรร้า่วงมขวใัญหแ้กลาะร กำ ลงั ใจแก่ค1ร.ผู ขู้สอ้ันนตแอลนะกผเู้ารรยี ดนำ� สเน่งผินลงใาหน้กตาราดมำรเนูปนิ แงบานบเกAดิ HปTระสGิทEธPภิ าMพoสdงู สeุดl AHT GEP Model คู่มือการใชร้ ูปแบบ A : Analysis (การวิเคราะห์) การบริหารจดั การศึกษาปฐมวัย H : Heart & Hands & Head (ตระหนัก ลงมือทำ เต็มใจ เพอื่ สง่ เสรมิ ทักษะดา้ นภาษา เต็มความสามารถ) โรงเรียนอนุบาลห้วยทบั ทัน T : Team & Together (รว่ มกนั ทำงานเปน็ ทีม) “AHT GEP Model” G : Goals (การมุ่งสเู่ ป้าหมาย) E : Evaluation (การประเมนิ ผล) P : Performance (มุ่งประสทิ ธิภาพ) กระบวนการจัดกจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์การเรยี นรู้ คมู่ ือการใช้กระบวนการ เดก็ ปฐมวัยเพ่อื ส่งเสรมิ ทักษะดา้ นภาษา (5ส.) 5 STEP จัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ สงสยั Q : Question (การตั้งคำถาม) สืบเสาะ S : Search (การแสวงหา/สารสนเทศ) การเรียนรเู้ ด็กปฐมวยั สรา้ งสรรค์ A : Active Learning (การสร้างองค์ความรู)้ เพอ่ื ส่งเสรมิ ทกั ษะด้านภาษา สอ่ื สาร C : Communication (การเรยี นรู้เพอื่ การส่ือสาร) สู่สงั คม S : Serve (การตอบแทนสังคม) P : Performance (มุง่ ประสิทธิภาพ) ทกั ษะดา้ นภาษาของเด็กปฐมวยั โรงเรยี นอนบุ าลหว้ ยทบั ทนั วารสารวิชาการ 5

ขั้นตอนท่ี 1 A : Analysis (การวิเคราะห์) ส�ำรวจและวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการในการบริหารการจัดการศึกษาปฐมวัยจากเอกสาร ผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องทุกฝ่าย เพ่อื จดั ลำ� ดับความสำ� คัญ และวางแผน กำ� หนดกรอบในการพฒั นานวัตกรรม ขนั้ ตอนท่ี 2 H : Heart & Hands & Head (ตระหนกั ลงมอื ทำ� เตม็ ใจ เตม็ ความสามารถ) เป็นการบริหารแบบจูงใจให้ผู้ร่วมงานมีความเต็มใจในการท�ำงานอย่างเต็มความสามารถ รับผิดชอบในหน้าที่ที่ตนปฏิบัติ มีการจัดกิจกรรมร่วมกัน โดยผ่านรูปแบบ (5 ส.) 5 STEP ไปใช้ ในช้นั เรียนอย่างเตม็ ศักยภาพ ขนั้ ตอนท่ี 3 T : Team & Together (รว่ มกนั ทำ� งานเปน็ ทมี ) เปน็ การบรหิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม โดยการปรึกษาหารือประชุมร่วมกันระหว่างผู้บริหาร หัวหน้างานปฐมวัยและครูผู้สอนระดับ ปฐมวยั เพือ่ หาแนวทางในการแกป้ ญั หารว่ มกนั โดยผา่ นรปู แบบ (5 ส.) 5 STEP เพ่ือส่งเสริมทักษะ ด้านภาษาของเดก็ ปฐมวยั โรงเรียนอนบุ าลห้วยทับทัน ขั้นตอนท่ี 4 G : Goals (การมุ่งสู่เป้าหมาย) เป็นการบริหารท่ีผู้บริหารโรงเรียน กระจายอ�ำนาจให้ครู บุคลากรทางการศึกษา ได้มีโอกาสเป็นผู้น�ำและผู้ตามในการท�ำงาน เพื่อส่งเสริมวิชาการให้มีความเข้มแข็ง มีคุณภาพ และสมรรถนะสูง ส่งเสริมให้สามารถขับเคล่ือน การบรหิ ารการจดั การศึกษาปฐมวยั ใหบ้ รรลเุ ป้าหมายทกี่ �ำหนดไว้ ขั้นตอนที่ 5 E : Evaluation (การประเมินผล) เป็นการบรหิ ารกระบวนการท่กี ระทำ� ตอ่ จากการวัดผล แล้ววินิจฉัย ตัดสิน ลงความเห็น สรุปคุณค่าท่ีได้จากการวัดผลอย่างมีกฎเกณฑ์ มคี ณุ ธรรม ส่กู ารประเมนิ พฒั นาการอย่างเป็นระบบ ขั้นตอนท่ี 6 P : Performance (มุ่งประสิทธิภาพ) เป็นการบริหารที่มุ่งให้เกิดผล กบั เด็กปฐมวัย ใหม้ ที กั ษะทางดา้ นภาษา สรปุ “AHT GEP Model” เปน็ รปู แบบการบรหิ ารจดั การ เนน้ การสรา้ งความตระหนกั ลงมือปฏิบัติอย่างเต็มความรู้ความสามารถ ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ภายใต้เป้าหมายเดียว และ มีการนิเทศ ติดตามแบบมีส่วนร่วม น�ำไปสู่การพัฒนาทักษะทางภาษาส�ำหรับเด็กปฐมวัย โรงเรียนอนุบาลห้วยทับทัน โดยใช้กระบวนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ เด็กปฐมวยั เพ่ือสง่ เสริมทักษะด้านภาษา (5 ส.) 5 STEP 6 วารสารวชิ าการ

2. กระบวนการขบั เคลอ่ื นรูปแบบ AHT GEP Model กระบวนการขับเคล่ือนรูปแบบ AHT GEP Model โดยใช้กระบวนการจัดกิจกรรม เสริมประสบการณ์การเรียนรู้เด็กปฐมวัยเพ่ือส่งเสริมทักษะด้านภาษา (5 ส.) 5 STEP มีข้ันตอน ดงั นี้ ขั้นตอน แนวทางการดำ�เนนิ งาน กระบวนการดำ�เนินงาน 1. เดก็ และครรู ว่ มกนั สนทนาเกี่ยวกับ ข้ันที่ 1 สงสัย ครูผู้สอนใช้วธิ กี าร เน้ือเรื่องในนทิ าน โดยครูใชค้ �ำถาม Q : Question ท่ีหลากหลายเพ่อื กระตุ้น เพอ่ื กระตุ้นให้เด็กเกิดความสงสยั (การตง้ั คำ� ถาม) ให้เด็กเกิดความสงสยั การตัง้ คำ� ถาม มี 2 ระดับ คือ ค�ำถามระดบั พน้ื ฐาน อยากร ู้ อยากเหน็ และคำ� ถามระดบั สูง มีประเด็นค�ำถาม ทีเ่ ด็กอยากเรยี นรู้ วารสารวชิ าการ 7

ขั้นตอน แนวทางการดำ�เนนิ งาน กระบวนการดำ�เนินงาน ขั้นท่ี 2 สบื เสาะ เดก็ และครรู ่วมกันวางแผน 1. การฟงั นิทานโดยครเู ปน็ ผ้เู ลา่ S : Search และค้นหาค�ำตอบจาก 2. เด็กและครูร่วมกันวางแผนและค้นหา (การแสวงหา/ ประเด็นคำ� ถามเพอ่ื คำ� ตอบจากประเด็นค�ำถามเพอ่ื สารสนเทศ) เชอื่ มโยงประสบการณเ์ ดมิ เชอ่ื มโยงประสบการณ์เดมิ ของเดก็ ของเด็กสู่ประสบการณ์ใหม่ สูป่ ระสบการณ์ใหม่ ประกอบด้วย ขั้นที่ 3 - การบอกเลา่ ประสบการณเ์ ดมิ สรา้ งสรรค์ เด็กไดร้ ่วมกจิ กรรมจาก - การสอบถามผู้ปกครอง A : Active การฟงั พดู อ่าน เขยี น และ - การสอบถามภูมิปญั ญาท้องถิน่ Learning ลงมือทำ� เพ่ือสรา้ งเสริม - การสบื ค้นข้อมูลจากหนังสือต่าง ๆ (การสรา้ ง ประสบการณใ์ หม่ - การสบื ค้นข้อมลู จากโทรทัศน์ องค์ความรู้) - การสบื คน้ ข้อมูลจากหอ้ งสมุด - การสืบค้นข้อมูลจากแหลง่ เรียนรู้ ท้งั ภายในและภายนอกหอ้ งเรียน 1. ครกู ระตุ้นให้เดก็ สร้างองคค์ วามรู้ ดว้ ยตนเอง 2. เด็กร่วมกิจกรรมจากการฟัง พูด อา่ น เขยี น และลงมอื ท�ำ เพ่อื สรา้ งเสริม ประสบการณใ์ หม่ จากการท่เี ด็กได้ไป สบื เสาะ ประกอบด้วย - การเล่าเหตกุ ารณ์ประจำ� วัน - การอา่ นนทิ านจากภาพ - การวาดภาพจากส่งิ ท่เี ดก็ เหน็ ในนิทาน - การวาดภาพตวั ละครในนทิ าน - การสรา้ งนทิ านเลม่ เลก็ 8 วารสารวิชาการ

ขนั้ ตอน แนวทางการดำ�เนินงาน กระบวนการดำ�เนินงาน ครจู ดั กจิ กรรมโดยใหเ้ ด็กนำ� เสนอผลงาน ขน้ั ที่ 4 สอ่ื สาร เดก็ สามารถน�ำ แลกเปลีย่ นเรียนรู้ และสะทอ้ นผล C : ประสบการณก์ ารใช้ภาษา ประกอบด้วย Communication เชือ่ มโยงไปใช้ - เด็กเล่านทิ านให้ครูฟัง (การเรยี นร ู้ ในกิจกรรมประจำ� วันและ - เด็กเลา่ นิทานใหเ้ พื่อนในห้องฟงั เพอื่ การสอื่ สาร) ลงมอื ท�ำ โดยการนำ� เสนอ - เด็กเล่านิทานให้พ่ี ๆ นอ้ ง ๆ ในโรงเรียนฟัง ผลงาน แลกเปล่ยี นเรียนรู้ - เดก็ เลา่ นทิ านในกจิ กรรมเวที คนเกง่ และสะทอ้ นผล ของโรงเรยี น - เดก็ เลา่ นทิ านให้คนในครอบครัวฟงั ขั้นที่ 5 สู่สงั คม เด็กสามารถนำ� ผลงาน - เดก็ เล่านิทานให้คนในชุมชนฟัง S : Serve ไปถ่ายทอดประสบการณ์ - เด็กสะทอ้ นคตสิ อนใจจากนทิ าน (การตอบแทน การใชภ้ าษาเชอ่ื มโยง ท่ีเลา่ ถ่ายทอดให้ผูอ้ นื่ ฟงั ได้ สงั คม) ไปสู่ครอบครัวและสังคม - เด็กนำ� คติสอนใจ ข้อคิด โดยสะทอ้ นคตสิ อนใจจาก และคุณธรรมจากนิทานไปใชใ้ น นิทานทเ่ี ล่าถ่ายทอดส่ผู ฟู้ งั ชวี ติ ประจ�ำวนั - เดก็ เข้าร่วมแข่งขนั การเลา่ นทิ าน วารสารวชิ าการ 9

ผลการด�ำเนินงาน การจดั การศกึ ษาตามรูปแบบ AHT GEP Model ด้วยการจัดกจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ การเรียนรเู้ ด็กปฐมวยั เพ่อื ส่งเสรมิ ทกั ษะดา้ นภาษา (5 ส.) 5 STEP ของโรงเรียนอนุบาลหว้ ยทับทัน จากการจดั ประสบการณ์โดยใช้นทิ านสง่ ผลใหผ้ ู้เรยี นมีความสามารถด้านภาษา ท้งั การฟงั การพูด การอ่าน และการเขียน มีความคิดและจินตนาการสอดคล้องเหมาะสมกับวัย เน้นให้ผู้เรียน ไดล้ งมอื ทำ� ดว้ ยตนเอง ผเู้ รยี นสามารถพดู สนทนาโต้ตอบ พูดค�ำศัพทต์ ่าง ๆ เล่าเร่อื งจากภาพหรอื เหตุการณ์ และพูดแต่งประโยคง่าย ๆ ได้ การเล่าเรื่องจากส่ิงท่ีได้ฟัง วิจารณ์ว่าชอบหรือไม่ชอบ ตัวละครใด เพราะเหตุใด รวมถึงสามารถวาดภาพและเขียนตามความคิด และจินตนาการใน การสร้างนิทานของตนเอง ใช้ภาษาเช่ือมโยงการคิดอย่างมีเหตุผล และสามารถน�ำเสนอผลงาน นทิ านในกจิ กรรมเวทคี นเกง่ ของโรงเรยี นได้อย่างนา่ สนใจ นอกจากความสามารถทางภาษาท่ีเพ่ิมพูนขึ้นแล้ว ผู้เรียนยังมีพัฒนาการด้านร่างกาย ดา้ นอารมณแ์ ละจติ ใจ ดา้ นสงั คม และดา้ นสตปิ ญั ญา เมอื่ สงั เกตพฒั นาการทางดา้ นรา่ งกายจะเหน็ วา่ ผู้เรียนมีร่างกายแข็งแรง เติบโตตามวัย มีน้�ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์มาตรฐาน สามารถ เคลื่อนไหวร่างกายคล่องแคล่ว ทรงตัวได้ดี ใช้มือและตาประสานสัมพันธ์ได้ดี สามารถดูแล สุขภาพและหลีกเลี่ยงต่อสภาวะที่เส่ียงต่ออุบัติเหตุ ส�ำหรับพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ ผู้เรียนมีความสนใจ สนุกสนาน และมีความสุขกับการทำ� กิจกรรม สามารถแสดงออกทางอารมณ์ และความรู้สึกได้เหมาะสม มีความม่ันใจ กล้าพูด กล้าแสดงออกมากขึ้น ส�ำหรับพัฒนาการด้าน สังคม ผู้เรียนรู้จักช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจ�ำวัน สามารถรับประทานอาหารด้วย ตนเอง ร้จู ักดูแลรกั ษาความสะอาดท้งั ภายในและนอกห้องเรยี น มีมารยาทตามวฒั นธรรมไทย เชน่ การไหว้ การยิม้ การทกั ทาย และมีสมั มาคารวะกบั ผู้ใหญ่ และผเู้ รยี นไดเ้ รียนร้กู ระบวนการเรียนรู้ ร่วมกบั ผ้อู ่นื ความช่วยเหลอื แบง่ ปนั ซึ่งกนั และกัน ร้จู ักการรอคอย มีความรับผิดชอบ และท�ำงาน ร่วมกันอย่างมีความสุข และพัฒนาการด้านสติปัญญา ผู้เรียนสามารถสนทนาโต้ตอบและเล่าเรื่อง ให้ผู้อ่ืนเข้าใจ มีความสนใจเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว กล้าซักถามเพ่ือค้นหาค�ำตอบ มีนิสัยรัก การอ่าน รู้จักตั้งค�ำถามในส่ิงที่ตนเองสนใจหรือสงสัย และพยายามค้นหาค�ำตอบ อ่านนิทาน เขยี นภาพ คิดแก้ปญั หา ท�ำงานศิลปะตามจนิ ตนาการและแสดงท่าทางเคล่ือนไหวตามจินตนาการ และจากผลการประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวัย ดา้ นรา่ งกาย ด้านอารมณ์และจิตใจ ดา้ นสังคม และ ดา้ นสตปิ ัญญา โดยภาพรวมทงั้ 4 ดา้ น สูงกว่าเป้าหมายที่ก�ำหนด 10 วารสารวิชาการ

ปจั จยั แห่งความส�ำเรจ็ โรงเรียนอนุบาลห้วยทับทันให้ความส�ำคัญกับการบริหารจัดการศึกษาปฐมวัย โดยการ ท�ำงานเป็นทีมอย่างมีคุณภาพ มุ่งสู่เป้าหมายและประสิทธิภาพของการบริหารการจัดการศึกษา ปฐมวัย สร้างความร่วมมือของครู ผู้ปกครอง และชุมชน ซ่ึงได้สนับสนุนและมีส่วนร่วมในการ จัดเตรียมส่ือ วัสดุอุปกรณ์และใช้วิธีการจัดประสบการณ์ท่ีหลากหลาย ให้กับเด็กได้เรียนรู้ ดว้ ยตนเอง ไดว้ างแผนก�ำหนดแนวทางการปฏิบัติรว่ มกบั ผู้อ่นื นำ� เสนอผลงาน และการแลกเปลีย่ น เรียนรู้สู่สังคม อีกท้ัง ผู้บริหารสถานศึกษาได้มีการนิเทศติดตามแบบมีส่วนร่วม ให้การสนับสนุน งบประมาณ เปน็ ผมู้ ีวสิ ัยทัศน์ใหค้ วามสำ� คัญกับการจดั การศึกษาทเี่ นน้ ผู้เรยี นเปน็ ส�ำคญั สร้างขวญั และกำ� ลงั ใจแกค่ รูผ้สู อนและผู้เรยี น สง่ ผลใหก้ ารด�ำเนนิ งานเกิดประสทิ ธิภาพสูงสุด วารสารวิชาการ 11

บทเรยี นท่ีได้รบั การบริหารจัดการศึกษาปฐมวัยเพ่ือส่งเสริมทักษะด้านภาษา โรงเรียนอนุบาลห้วยทับทัน มุง่ จดั การศกึ ษาเพอ่ื พฒั นาเด็กให้ได้รบั การพฒั นาด้านรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสตปิ ัญญา เป็นองค์รวมด้วยกิจกรรมที่หลากหลายตามกระบวนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ เด็กปฐมวัย (5 ส.) 5 STEP ภายใต้การบริหารแบบมีส่วนร่วม ด�ำเนินงานไปสู่การปฏิบัติด้วย การก�ำหนดโครงการ/กิจกรรม ตามแผนปฏิบัติการประจ�ำปี มีการรายงานผลการด�ำเนินโครงการ ทุกกิจกรรมเม่ือเสร็จส้ินภารกิจหรือสิ้นปีการศึกษา มีการประเมิน ข้อเสนอแนะไปปรับปรุง การปฏิบัติงานตามแผน ท�ำให้เกิดผลการพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งด้านผู้เรียน ครู บุคลากรทาง การศึกษา สถานศกึ ษา และชมุ ชน ประโยชน์และคุณค่าจากบทเรียนที่ได้รับจากการน�ำ AHT GEP Model มาใช้ใน การบริหารการจัดการศึกษาปฐมวัยเพ่ือส่งเสริมทักษะด้านภาษาส่งผลต่อการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยเป็นการส่งเสริมความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียนโดยองค์รวม ส่งผลต่อพัฒนาการทุกด้าน ท้ังร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา รวมท้ังคุณธรรม จรยิ ธรรม ใหเ้ ด็กมีพฒั นาการตามเปา้ หมาย และขยายผลสูผ่ ู้เรยี นระดบั ประถมศกึ ษาต่อไป 12 วารสารวชิ าการ

ผลงานและรางวัลที่ได้รบั 1) รางวัลสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยต้นแบบระดับดี โครงการคัดเลือกสถานพัฒนาเด็ก ปฐมวัยตน้ แบบ ตามมาตรฐานสถานพฒั นาเดก็ ปฐมวยั แห่งชาติ พ.ศ. 2561 ระดบั จังหวดั 2) ผ่านการประเมนิ 1 โรงเรียน 1 ความสำ� เรจ็ One School One Success : OSOS จุดเนน้ ที่ 1 เดก็ ปฐมวัยเติบใหญ่น่ายล ระดับ 5 ดาว 3) ผ่านการคัดเลือกเป็นโรงเรียนอนุบาลต้นแบบ/ต้นแบบเครือข่าย ส�ำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 4) รางวลั ตราพระราชทานโครงการ “บา้ นนกั วทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย ประเทศไทย” ประจำ� ปี 2562 เอกสารอา้ งอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำ� กัด. ชนพิ รรณ จาตเิ สถยี ร. (2560). การสง่ เสริมความสามารถทางภาษาส�ำหรับเด็กปฐมวัย. พลัสเพรส. ปยิ ะนชุ สวุ รรณเทพ และ สเุ ทพ อ่วมเจริญ. (2558). การศึกษาพัฒนาการของเดก็ ปฐมวัยตามมาตรฐานคุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ โดยการจัดกิจกรรมการละเลน่ ไทยสำ� หรับเด็กปฐมวยั . ศิลปากรศกึ ษาศาสตรว์ จิ ัย, 7(1), 256-269. วารสารวิชาการ 13

สะเต็มศึกษา สู่การแก้ปัญหาและ บูรณาการทักษะชีวติ ของนักเรยี นในโรงเรยี นขยายโอกาส ทางการศึกษา กาญจนา มหาลี โรงเรยี นบ้านนาเรอื ง ส�ำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาอบุ ลราชธานี เขต 4 เป้าหมายหลักของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คือ การท�ำให้นักเรียนทุกคนเป็น ผูร้ วู้ ิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy for All Students) ซึง่ การเป็นผ้รู ้วู ทิ ยาศาสตร์ ไม่ใช่การเป็น ผู้รู้ในเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ เท่าน้ัน แต่การเป็นผู้รู้วิทยาศาสตร์ในท่ีน้ี หมายถึง การเปน็ ผูท้ มี่ ีความรู้ใน 3 ประเด็น ดงั นี้ ประเด็นที่ 1 การรูแ้ ละเข้าใจในเน้อื หา กฎ หลักการ ทฤษฎี พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Knowledge) ประเด็นที่ 2 มีความรู้ในทักษะกระบวนการ ทางด้านวิทยาศาสตร์ การได้มาซึ่งความรู้วิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) และประเด็นท่ี 3 มีความรู้ความเข้าใจในขอบเขตของธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ (Nature of Science) รวมถึงข้อ จำ� กัดของวิทยาศาสตร์ การท่ีนักเรียนมีความร้คู วามเขา้ ใจทง้ั สามประเด็นดังกลา่ วจะท�ำใหน้ ักเรียน เป็นผู้รู้วิทยาศาสตร์และสามารถน�ำเอาความรู้ความเข้าใจในเน้ือหา ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ รวมถึงความเก่ียวข้องสัมพันธ์กันระหว่าง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และ สิ่งแวดล้อมในเชิงท่ีมีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน น�ำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ พัฒนา กระบวนการคิดและจินตนาการ สร้างความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ ฝึกทักษะใน การสื่อสาร และมีความสามารถในการตัดสินใจบนพ้ืนฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีสามารถ ตรวจสอบไดโ้ ดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป้าหมายส�ำคัญของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของโรงเรียนขยายโอกาสทาง การศึกษาไม่ใช่การสร้างความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์หรือความเป็นเลิศทางวิชาการให้กับ นักเรียน แต่เป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ให้กับนักเรียนโดยเฉพาะความรู้วิทยาศาสตร์ เน้นให้นักเรียนเป็นผู้รู้วิทยาศาสตร์และสามารถเชื่อมโยงความรู้วิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ใน การด�ำรงชีวิต น�ำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้มาใช้ในการแก้ปัญหา วิเคราะห์ 14 วารสารวิชาการ

ประเดน็ ปัญหาหรอื ประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมบนพ้นื ฐานของขอ้ เทจ็ จรงิ เหตุผลเชงิ ประจักษ์ ท่ีสามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเห็นความส�ำคัญของการเรียน วิทยาศาสตร์ มเี จตคตทิ ่ดี ีตอ่ วิทยาศาสตร์ การจดั การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรต์ ามแนวสะเตม็ ศกึ ษา (Science Technology Engineering and Mathematics Education : STEM Education) เป็นการจัดการเรียนรู้บูรณาการ วทิ ยาศาสตร์ (S) เทคโนโลยี (T) วิศวกรรมศาสตร์ (E) และคณิตศาสตร์ (M) ในการแกป้ ัญหาท่ีพบ ในชีวิตประจ�ำวันหรือสถานการณ์ท่ีนักเรียนเผชิญ อันจะน�ำไปสู่การสร้างแนวทางหรือนวัตกรรม ในการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาข้างต้น ดังนั้น การจัดการเรยี นรู้ตามแนวสะเต็มศกึ ษาจงึ เป็นรูปแบบการเรยี นรู้อีกรูปแบบหนง่ึ ทีจ่ ะทำ� ใหน้ ักเรียน ได้ลงมือปฏิบัติ ได้วางแผน คิดค้นทดลองอย่างเป็นระบบเป็นขั้นตอน ซ่ึงจะท�ำให้นักเรียนบรรลุ เป้าหมายของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กล่าวคือนักเรียนเป็นผู้รู้วิทยาศาสตร์และสามารถน�ำ ความรู้และประสบการณ์มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจ�ำวันบูรณาการทักษะการใช้ชีวิต ในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและแหล่งข้อมูลสารสนเทศขนาดใหญ่เพ่ือให้นักเรียน สามารถใช้ชีวิตในฐานะพลเมืองในศตวรรษท่ี 21 อย่างมีคณุ ภาพ แนวทางการจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาระดบั ชั้นมัธยมศึกษาตอนตน้ โรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา ครูผู้สอนมีกลวิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลายและใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ ดงั น้ี 1. การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (Problem-Based Learning) เปน็ การกำ� หนด ปัญหาหรือสถานการณ์ท่ีท้าทายความคิดของนักเรียน กระตุ้นให้เกิดความสนใจ และศึกษา หาข้อมูลด้วยตนเองเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวในรูปแบบที่เป็นการค้นพบของนักเรียน ซึ่งจะท�ำให้ สามารถน�ำความรู้และข้อคน้ พบไปปรับใชใ้ นสถานการณอ์ นื่ ๆ ทนี่ ักเรยี นเผชญิ ได้ 2. การจดั การเรยี นรแู้ บบโครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning) เปน็ การเรยี นรู้ ทเ่ี ปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นเลอื กทำ� โครงงานทตี่ นเองสนใจ ในรปู ของการทำ� งานเปน็ กลมุ่ การแกป้ ญั หา ร่วมกัน ลงมือปฏิบัติจนประสบความส�ำเร็จเป็นชิ้นงาน วิธีการ หรือนวัตกรรมใหม่ตามที่นักเรียน ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ จนส้ินสดุ กระบวนการทำ� งาน 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นนักเรียนเป็นส�ำคัญ ส่งเสริมทักษะการท�ำงานเป็นทีม แบบร่วมมือกัน แก้ปัญหา หรือค้นคว้าหาข้อมูลที่จ�ำเป็นในการแก้ปัญหา (Collaborative Problem Solving) มีการแลกเปลี่ยนความรู้ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มเพ่ือตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจซงึ่ กันและกนั วารสารวิชาการ 15

จากแนวทางการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวทางโรงเรียนน�ำมาปรับใช้ให้เหมาะสมสอดคล้อง กับบริบทของนักเรียน บริบทของโรงเรยี น ชมุ ชน และธรรมชาติของเน้ือหาวชิ า ตามสถานการณท์ ่ี นักเรียนพบหรือประสบปัญหาในชุมชน ยกตัวอย่างการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 หน่วยพลังงานความรอ้ น ซง่ึ ประกอบด้วยเนอ้ื หาทีส่ �ำคญั สองเร่ืองใหญ่ ๆ คือ เรื่องความร้อนกับการเปล่ียนแปลงของสารและการถ่ายโอนความร้อน ครูผู้สอนได้ให้นักเรียนเสนอปัญหาท่ีนักเรียนค้นพบในชีวิตประจ�ำวันและน�ำเอาปัญหาท่ีนักเรียน ร่วมกันพิจารณาและหาแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกันโดยอาศัยขั้นตอนและกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ และความรเู้ กีย่ วกบั เทคโนโลยี น�ำมาซง่ึ การออกแบบเชงิ วศิ วกรรมและการใช้ตรรกะ ทางคณิตศาสตร์เข้าช่วยในการออกแบบชิ้นงานหรือนวัตกรรมท่ีนักเรียนสร้างขึ้นเพ่ือแก้ปัญหา หรือสร้างความสะดวกสบายให้กับนักเรียนและต่อยอดให้กับชุมชน ปัญหาที่นักเรียนเสนอเพ่ือหา แนวทางแก้ปัญหาร่วมกันคือ ท�ำอย่างไรจึงจะสามารถเก็บข้าวเหนียวท่ีนึ่งสุกในกระติบข้าวได้ นานและข้าวยังคงมีความร้อนและเหนียวนุ่มน่ารับประทาน ซึ่งกระบวนการจัดการเรียนรู้ตาม แนวสะเต็มศึกษาสามารถสรปุ เปน็ ขนั้ ตอนทเี่ กิดขึน้ ในช้นั เรยี นพอสงั เขป ดงั นี้ 1. ระบปุ ัญหา (Problem Identification) โดยนักเรยี นในชั้นเรียนรว่ มกนั เสนอปญั หา ที่เกิดขึ้นใน ครอบครัว ชุมชน ที่สามารถเช่ือมโยงความรู้เรื่องพลังงานความร้อนไปใช้ในการ แก้ปัญหาได้เพ่ือเป็นการสร้างแนวทางการระบุปัญหาให้มีความจ�ำเพาะเจาะจงในการฝึกทักษะ การเชื่อมโยงความรู้เพื่อให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ในการใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการออกแบบเชิงวิศวกรรม ในชีวิตประจ�ำวัน ในท่ีน้ีจะยกตัวอย่าง ปัญหา ท�ำอย่างไรจึงจะ สามารถเก็บข้าวเหนียวท่ีน่ึงสุกในกระติบข้าวได้นานและข้าวยังคงมีความร้อนและเหนียวนุ่ม น่ารับประทาน ซึ่งเป็นปัญหาท่ีนักเรียนและครอบครัวประสบกับปัญหาในการเก็บข้าวเหนียวให้มี ความนุ่มน่ารับประทานตลอดท้ังวันโดยไม่ต้องอุ่นซ้�ำจากการออกแบบภาชนะที่ใช้เก็บข้าวเหนียว น่ึงสุกปรับจากกระติบข้าวธรรมดาท่ีมีใช้ตามบ้านเรือนท่ีท�ำจากไม้ไผ่ซึ่งเก็บความร้อนและ ความเหนยี วนมุ่ ของขา้ วไดไ้ ม่นาน 2. รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เก่ียวข้องกับการแก้ปัญหา (Related Information Search) หลังจากที่นักเรียนท�ำความเข้าใจกับปัญหา และแยกปัญหาใหญ่ออกเป็นปัญหาย่อย จึงเป็นขั้นตอนของการหาข้อมูล ความรู้ ข้อค้นพบ หลักการต่าง ๆ ที่จ�ำเป็นน�ำมาวางแผน การแกป้ ญั หา โดยในขนั้ ตอนนนี้ กั เรยี นไดม้ โี อกาสฝกึ ทกั ษะการคน้ หาขอ้ มลู จากแหลง่ เรยี นรทู้ น่ี า่ เชอ่ื ถือและการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา เช่น การศึกษาความรู้เกี่ยวกับพลังงาน ความร้อน การถ่ายโอนความร้อนด้วยกระบวนการต่าง ๆ และน�ำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการ แก้ปัญหาการเกบ็ ข้าวเหนยี วนง่ึ สกุ ให้มีความเหนียวน่มุ นา่ รบั ประทานตลอดทัง้ วัน 16 วารสารวชิ าการ

นักเรยี นร่วมกนั ระบุปัญหา และสืบคน้ ข้อมูลจากแหล่งเรยี นรู้ 3. การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (Solution Design) หลังจากศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่ เกย่ี วขอ้ งแล้ว นกั เรยี นจะร่วมกนั ออกแบบวิธีการแกป้ ัญหา ออกแบบการสรา้ งชน้ิ งาน วิธกี าร หรือ นวัตกรรมโดยอ้างอิงความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ท่ีรวบรวมได้ ประเมนิ ตดั สินใจสรา้ งทางเลือก สรา้ งเป็นภาพรา่ งหรอื ขน้ั ตอนวธิ ีการแกป้ ัญหาคร่าว ๆ เชน่ การ เลอื กใชว้ สั ดุนักเรยี นเลอื กโฟม ผ้าขาวบาง ผ้าสีด�ำ และพลาสติกมาใชเ้ ป็นส่วนประกอบภายในของ กระติบ มีการทดสอบการดูดกลืนความร้อนของวัสดุต่าง ๆ เพ่ือหาประสิทธิภาพของวัสดุแต่ละ ชนิดท่ีสามารถเก็บความร้อนได้ดี ส่วนรูปทรงของกระติบยังคงใช้รูปแบบเดิมท่ีมีในท้องถิ่นคือ ทรงกระบอกที่มีขนาดเท่ากันและท�ำจากไม้ไผ่เหมือนกันทุกกลุ่ม เน่ืองจากหาง่ายและนิยมใช้ใน ทอ้ งถน่ิ โดยนกั เรยี นออกแบบภายในกระตบิ บนพน้ื ฐานความรเู้ กย่ี วกบั การออกแบบและเทคโนโลยี รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นข้ันตอนสามารถอธิบายให้เพ่ือนร่วมช้ันร่วมแลกเปล่ียนเรียนรู้ ก่อนการลงมือปฏิบัติจริง ในการเรียนรู้คร้ังน้ีนักเรียนออกแบบชิ้นงานหรือนวัตกรรมท่ีเรียกว่า “กระติบเก็บความร้อน” ซ่ึงอาศัยความรู้พ้ืนฐานเรื่องการถ่ายโอนความร้อน การเลือกใช้วัสดุท่ี สามารถเก็บความรอ้ นไดด้ ีและความรู้ในข้ันตอนการออกแบบเชิงวิศวกรรม นักเรยี นรว่ มกันออกแบบวิธกี ารแก้ปัญหา วารสารวชิ าการ 17

4. วางแผนและด�ำเนินการแก้ปัญหา (Planning and Development) หลังจาก การออกแบบวิธีการแก้ปัญหาและการสร้างทางเลือกในการแก้ปัญหา ข้ันตอนน้ีจะเป็นการพัฒนา ต้นแบบ (Prototype) หรือการทดลองสร้างช้ินงานตามท่ีได้ออกแบบไว้ ในข้ันตอนน้ีนักเรียน จะต้องก�ำหนดข้ันตอนย่อย ๆ เช่น การทดสอบประสิทธิภาพในการเก็บความร้อนของวัสดุต่าง ๆ ที่น�ำมาท�ำส่วนประกอบภายในกระติบ เพื่อการเลือกใช้วัสดุที่ตรงกับความต้องการ ขั้นตอน การทดสอบประสิทธิภาพของกระติบโดยการทดลองน�ำมาเก็บข้าวเหนียวนึ่งสุกและบันทึก อุณหภูมิทุก ๆ 30 นาที โดยนักเรียนมีการตรวจสอบนอกเวลาเรียน ส่วนการน�ำเสนองาน การวางแผนและการสรา้ งชนิ้ งานจะทำ� ในเวลาเรยี น ซ่ึงนกั เรยี นใช้เวลา 2 สปั ดาหใ์ นการออกแบบ และสรา้ งชน้ิ งานทสี่ �ำเรจ็ นกั เรียนร่วมกันวางแผนและดำ� เนนิ การแกป้ ัญหา 18 วารสารวิชาการ

5. ทดสอบประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาและช้ินงาน (Testing Evaluation and Design Improvement) เปน็ ขน้ั ตอนทจ่ี ะต้องมีการทดสอบประเมินการใช้ งานต้นแบบ เพื่อศึกษาผลท่ีได้จากการด�ำเนินการแก้ปัญหา เพ่ือน�ำข้อผิดพลาดหรือข้อค้นพบ จากการใชง้ านมาปรบั ปรงุ พัฒนาใหม้ ีประสิทธิภาพดีขึ้น การทดสอบประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปญั หาและชน้ิ งาน “กระติบเก็บความรอ้ น” 6. น�ำเสนอวิธีการแก้ปัญหาผลการแก้ปัญหาหรือช้ินงาน (Presentation) หลังจาก การพัฒนา ปรับปรุงทดสอบและประเมินวิธีการแก้ปัญหาหรือช้ินงานจนมีประสิทธิภาพตาม ท่ีต้องการแล้ว ผู้แก้ปัญหาน�ำเสนอผลการแก้ปัญหารวมถึงกระบวนการแก้ปัญหาต่อสาธารณชน ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ ในการแก้ปัญหาครั้งน้ี นักเรียนได้มีโอกาสน�ำผลงานไปแสดง นิทรรศการเพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้กับโรงเรียนในกลุ่มส่งเสริมประสิทธิภาพการศึกษาประกอบด้วย โรงเรียนในกลุ่ม 14 โรงเรียน เน่ืองในโอกาสรับการตรวจเย่ียมและเก็บข้อมูลวิจัย จาก สพฐ. น�ำเสนอผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา และการจัดการเรียนรู้วิทยาการค�ำนวณ (Coding) นับเป็นเวทีที่ให้นักเรียนได้มีโอกาสน�ำเสนอผลงาน ช้ินงาน ท่ีนักเรียนรว่ มกนั สรา้ งขนึ้ เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในผลงาน และฝึกทักษะการสื่อสารซึ่งเป็นสมรรถนะหลักท่ีส�ำคัญ ท่ีครูตอ้ งส่งเสรมิ และสนบั สนนุ ให้นักเรียนเกดิ สมรรถนะดงั กล่าว ซึ่งการสือ่ สารยังเป็นคุณลกั ษณะ ท่ีสำ� คัญของนกั เรยี นและพลเมืองในศตวรรษท่ี 21 วารสารวิชาการ 19

นักเรยี นนำ� เสนอวิธกี ารแก้ปญั หาผลการแก้ปญั หาหรือชนิ้ งานต่อสาธารณชน ผลจากการเรียนรู้เนื้อหาเร่ืองการถ่ายโอนความร้อนประกอบกับการศึกษาข้อมูลเพ่ิมเติม จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ การเชื่อมโยงความรู้มาใช้ในการแก้ปัญหาท่ีนักเรียนพบในชีวิตจริงจึงก่อ ให้เกิดกระบวนการแก้ปัญหาร่วมกันในเร่ืองการเก็บข้าวเหนียวนึ่งสุกให้มีความเหนียวนุ่ม น่ารับประทาน โดยการปรับปรุงกระติบเก็บข้าวเหนียวที่สานจากไม้ไผ่ธรรมดา ซ่ึงพบได้ท่ัวไป ในชุมชนของนักเรียนแต่ประสบปัญหาคือ ไม่สามารถเก็บความร้อนของข้าวเหนียวนึ่งสุกได้นาน ตลอดวนั และขา้ วมคี วามแขง็ ขาดความอรอ่ ย ตอ้ งนำ� ขา้ วออกมาอนุ่ กอ่ นรบั ประทาน นกั เรยี นจงึ ได้ ศกึ ษาคน้ ควา้ ความรหู้ ลกั การ ทฤษฎี ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพอ่ื นำ� มาสรา้ งชนิ้ งานหรอื นวตั กรรมใหมท่ เี่ รยี กวา่ “กระติบเก็บความร้อน” ผลการศึกษาพบว่า นวัตกรรมท่ีนักเรียนสร้างขึ้นสามารถแก้ไขปัญหา การเกบ็ ขา้ วเหนยี วนง่ึ สกุ ไดน้ านกวา่ กระตบิ ขา้ วธรรมดาทว่ั ไป กลา่ วคอื สามารถเกบ็ ขา้ วเหนยี วนงึ่ สกุ ได้นาน 6-8 ชั่วโมง ข้าวยังมีความอุ่นและเหนียวนุ่มโดยไม่ต้องอุ่นซ้�ำ ซ่ึงนักเรียนได้น�ำความรู้ ไปปรับปรุงหรือสร้างกระติบเก็บความร้อนใช้ในครัวเรือนของตนเอง และสามารถเผยแพร่ความรู้ ให้กับผู้ที่สนใจสามารถน�ำไปปรับใช้และสร้างกระติบของตนเองได้ โดยในอนาคตจะมีการต่อยอด ท�ำเป็นผลิตภัณฑ์ในกิจกรรม 1 โรงเรียน 1 นวัตกรรม เพื่อส่งเสริมด้านการประกอบอาชีพ ให้กับนักเรียนที่มีความสนใจเพื่อจ�ำหน่ายภายในชุมชน และเป็นการเชื่อมโยงความรู้สู่ทักษะ การด�ำรงชีวิต 20 วารสารวชิ าการ

จากการจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาตามข้ันตอนท่ีกล่าวมาข้างต้น ผลที่เกิดกับ นักเรียนคือ การที่นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและสามารถน�ำความรู้ท่ีได้มาปรับใช้ใน ชีวิตจริงผ่านกิจกรรมที่นักเรียนร่วมกันลงมือปฏิบัติ ได้ฝึกทักษะกระบวนการท�ำงานอย่างเป็น ล�ำดับขั้นตอน การท�ำงานแบบร่วมมือกันเป็นทีม มีการบูรณาการความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คณติ ศาสตรแ์ ละวศิ วกรรมศาสตร์ ในแง่ของการออกแบบเชงิ วิศวกรรม กลา่ วคอื ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ นกั เรียนได้สร้างองค์ความรู้ในเรอื่ งพลังงานความรอ้ น การถ่ายโอนความร้อน ซ่ึงมีหลักการ ทฤษฎี ที่เกย่ี วข้องกบั การสร้างชิน้ งาน “กระติบเก็บความรอ้ น” การเลอื กใช้วสั ดอุ ปุ กรณ์ เคร่อื งมอื ตา่ ง ๆ จากหลักการการออกแบบและเทคโนโลยี การสืบค้นข้อมูล การออกแบบเชิงวิศวกรรม และ ฝึกทักษะการคิดค�ำนวณซ่ึงในการแก้ปัญหาหรือการสร้างช้ินงานต้องอาศัยการคิดค�ำนวณ เช่น ความกว้าง ความยาว ของชิ้นงาน หรือทักษะการน�ำเสนอข้อมูลในรูปของตารางแผนภูมิ เป็นต้น ท้ายที่สุดแล้วนักเรียนจะได้เรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ การท�ำงานเป็นทีม ทักษะการสื่อสาร ซ่ึงเป็นสมรรถนะหลักส�ำคัญที่นักเรียนจะต้อง ได้รับการพัฒนา และท่ีส�ำคัญนักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ�ำวันและมีเจตคติ ท่ีดีตอ่ การเรียนวทิ ยาศาสตร์ ทง้ั นี้ อาจกลา่ วไดว้ ่า การจัดการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศกึ ษา เพ่ือการเป็นผรู้ ู้ วิทยาศาสตร์ที่สามารถเช่ือมโยงความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่การแก้ปัญหาและบูรณาการ ทักษะชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ประสบความส�ำเร็จตามเป้าหมาย ของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หากโรงเรียนใดท่ีต้องการฝึกทักษะกระบวนการทางด้าน วิทยาศาสตร์ และเน้นให้นักเรียนเป็นผู้รู้วิทยาศาสตร์เพ่ือเชื่อมโยงความรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีสู่การแก้ปัญหาและบูรณาการทักษะชีวิตของนักเรียน การจัดการเรียนรู้ตามแนว สะเต็มศึกษาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะท�ำให้นักเรียนบรรลุเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ และสง่ เสรมิ สมรรถนะหลกั ทสี่ ำ� คญั เชน่ สมรรถนะการสอื่ สาร สมรรถนะการคดิ ขนั้ สงู สมรรถนะการท�ำงานรว่ มกันเปน็ ทีม ตลอดจนส่งเสรมิ คุณลกั ษณะของนกั เรียนในศตวรรษท่ี 21 ได้ เอกสารอา้ งองิ หน่วยพัฒนาครูศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. (2560). เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรการพัฒนา สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ STEM Education ตามแนวคิด Active Learning สำ� หรบั ครูวิทยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น. วารสารวิชาการ 21

การพั ฒนา แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ ของสถานศึกษา ให้พรอ้ มต่อการเปล่ียนแปลง ในชีวติ วถิ ีใหม่ (New Normal) วิวรรธน์ ศรวี ีระชยั โรงเรยี นวดั สุทธวิ ราราม ส�ำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 2 การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ส่งผลกระทบต่อ การศึกษาโดยสถานศึกษาทุกระดับจะต้องเตรียมพร้อมกับการจัดท�ำการเรียนการสอนวิถีใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้สม�่ำเสมอ พร้อมต่อการเปล่ียนแปลงในทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้น จากการระบาดรอบที่ผ่านมา ท�ำให้สถานศึกษาตระหนักเห็นความส�ำคัญในการพัฒนาด้านการใช้ เทคโนโลยีที่มีความจ�ำเป็นต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากข้ึน ซ่ึงจากข่าวการศึกษาในการประชุม “Southeast Asian Education and Future’s Agenda” ส�ำนกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2564) ช่วงที่ 5 ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมเป็นวาระอนาคตของประเทศสมาชิก ซมี ีโอ ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยนางสาวตรีนชุ เทียนทอง รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงศกึ ษาธิการได้ กล่าวถึงการพลิกโฉมระบบการศึกษาไทย โดยน�ำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาช่วยเอื้อต่อ การออกแบบการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนทุกระดับ ซ่ึงการศึกษาทางไกลถือเป็นตัวอย่าง หนงึ่ ทเ่ี ปรยี บเสมอื นเวทแี หง่ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ ซงึ่ เหน็ ไดว้ า่ การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยดี จิ ทิ ลั เพอื่ ส่งเสริมเยาวชนให้มีทักษะดิจิทัลในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวันและการพัฒนาศักยภาพครูในเรื่อง การรดู้ จิ ิทลั เปน็ สง่ิ ทจี่ �ำเป็นตอ่ การเปล่ียนแปลงในชีวติ วิถใี หม่ 22 วารสารวชิ าการ

การพัฒนาแหล่งเรยี นรูอ้ อนไลน์ของสถานศึกษาให้พรอ้ ม ต่อการเปล่ียนแปลงในชวี ิตวิถีใหม่ การจัดการเรียนการสอนและจัดการแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นหัวใจในการเรียนรู้ ของผู้เรียน ซึ่งผู้สอนจ�ำเป็นจะต้องปรับการสอนด้วยวิธีการใหม่วิถีใหม่ เช่น การท�ำงานที่บ้าน Work from Home (WFH) การเรียนการสอนแบบออนไลน์ และการท�ำให้สื่อการสอนของ ครูผู้สอนสามารถท�ำให้ผู้เรียนเข้าสู่แหล่งเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งจากการระบาดรอบที่แล้วท�ำให้ ครูเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์มากข้ึน เมื่อสถานการณ์ระบาดได้ คลี่คลายลง เกิดการเรียนการสอนสลับกลุ่มกัน แบ่งเป็นกลุ่มมาโรงเรียน และเรียนท่ีบ้าน สิ่งท่ีผู้เขียนได้เห็นถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ผู้เรียนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ ได้เพียงพอทุกครอบครัว ดังนั้น การเรียนแบบผสมผสานจึงน่าจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด ในช่วงการระบาด Schwenger (2019) กล่าวว่า จะต้องผสมผสานการสอนในหลายลักษณะ ตามแนวคิดและประสบการณ์ของผู้สอนและความสามารถของผู้เรียน เช่น การเขา้ ถงึ แหลง่ เรยี นรู้ ในระบบออนไลนก์ บั การเรยี นรใู้ นลกั ษณะอนื่ ๆ เชน่ Web-Based Technology ผ่าน Browser ซึ่งอาศัยการเช่ือมต่อทางอินเทอร์เน็ตส�ำหรับผู้เรียนที่ใช้คอมพิวเตอร์ และทางเลือกการเข้าถึง แหลง่ เรยี นรผู้ า่ นทางแอปพลเิ คชนั เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นทใี่ ชส้ มารท์ โฟนเขา้ ถงึ แหลง่ เรยี นรู้ หรือการเรียน การสอนแบบ On-Hand ส�ำหรับผู้เรียนที่ไม่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ โดยการน�ำหนังสือ แบบฝึกหัด ใบงาน ไปเรียนรู้ที่บ้านภายใต้ความช่วยเหลือของผู้ปกครอง โดยจะต้องผสมผสาน กับวิธีการสอนหลาย ๆ วิธี มาผสมผสานกับเทคโนโลยีทางการสอนกับการสอนใน ชั้นเรียนปกติ ซึ่งจากประสบการณ์การจัดเรียนการสอนในภาคเรียนที่ผ่านมาของผู้เขียน ได้พบปัญหาในลักษณะท่ีเป็นการสอนในระบบออนไลน์ท่ีบางบทเรียนเป็นบทเรียนที่ได้ผลน้อย เพราะผู้เรียนอาจขาดความสนใจในเนื้อหา เช่น บทเรียนที่เป็นเน้ือหาทฤษฎี ประวัติศาสตร์ เน้ือหาท่ีเกี่ยวกับการบรรยายและฉายภาพตามเพียงอย่างเดียวเป็นเวลานาน หรือภาคปฏิบัติ ทผี่ ู้เรยี นขาดอปุ กรณ์ ท�ำใหไ้ ม่ประสบความสำ� เรจ็ ในการจัดการเรียนร้เู ท่าที่ควร ซงึ่ การสอนจำ� เปน็ จะต้องมีแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ ที่น่าสนใจประกอบไปด้วย เพื่อเป็นการท�ำให้ผู้เรียนเป็นส่วนหน่ึง ของกิจกรรมน้ัน ๆ เช่น ระบบเกมหรือระบบที่ท�ำให้ผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นผู้ปฏิบัติ เช่น การเห็นภาพเสมือนสามมิติของสถานท่ีจริง หรือระบบติวเตอร์จาก DLTV มูลนิธิการศึกษา ทางไกลผ่านดาวเทียม มาช่วยเสริมความรู้และเสริมความน่าสนใจให้กับบทเรียนด้วย ส�ำหรับ การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานจะเป็นโอกาสทางการเรียนรู้กับผู้เรียนเป็นอย่างย่ิง โดยเฉพาะ การท่ตี อ้ งเรียนรู้ดว้ ยตนเองของผ้เู รียน ทั้งการฝึกดา้ นทักษะการปฏบิ ัติและการสงั เกต ซ่ึงการเรยี น แบบผสมผสานน้ันได้สอดคล้องกับนโยบายของส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2564) ที่ได้ก�ำหนดรูปแบบการเรียนการสอนไว้ 5 รูปแบบ ตามบริบทและความเหมาะสม วารสารวชิ าการ 23

ของแตล่ ะโรงเรียน คอื 1) On-Air 2) On-Line 3) On–Demand 4) On-Hand และ 5) On–Site ไม่จ�ำเป็นว่าโรงเรียนที่ปิดเรียนต้องใช้การเรียนการสอนแบบออนไลน์เพียงอย่างเดียวแต่ควรเป็น การจัดการเรียนที่ผสมผสานและครอบคลุมกับทุกบริบทของผู้เรียน เพราะท�ำให้ผู้เรียนทุกคน สามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้เมื่ออยู่ที่บ้านได้ง่าย เกิดความสนุกกับบทเรียน ท้ังน้ีผลการเรียนรู้ ของผู้เรียนทุกคนอาจจะไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เช่น การเกิดข้อจ�ำกัดในการเรียนรู้ เช่นในเร่ืองของการเข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งจากการศึกษาเอกสาร การสนทนา กับผู้ทรงคุณวุฒิและครูผู้สอนในโรงเรียน การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ของสถานศึกษาควรพร้อม ต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ผู้เขียนจึงได้ศึกษาจากบทความการศึกษา ของอักษรเจริญทัศน์ (2563) เก่ียวกับ “การเรียนรู้ใหม่ในวิถี New Normal” และบทความ ของเทื้อน ทองแก้ว (2563) เก่ียวกับการออกแบบการศึกษาในชีวิตวิถีใหม่ : ผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงได้สังเคราะห์การจัด องค์ประกอบของการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในวิถีใหม่ออกมาเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านหลักสูตรเพื่อ การเรียนรู้วิถีใหม่ 2) ด้านแหล่งเรียนรู้ของสถานศึกษาวิถีใหม่ และ 3) ด้านแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ วถิ ีใหม่ หลักสูตร เพ่อื การเรยี นรูว ถิ ใี หม ชีวติ วถิ ีใหม (New Normal) แหลง เรียนรู แหลง เรียนรู ออนไลนวถิ ีใหม ของสถานศึกษาวถิ ีใหม การพฒั นาแหล่งเรยี นรขู้ องสถานศกึ ษาให้พร้อมตอ่ การเปล่ยี นแปลงในวถิ ใี หม่ 24 วารสารวชิ าการ

1. ด้านหลักสูตรเพ่ือการเรียนรู้วิถีใหม่ เป็นหลักสูตรการเรียนรู้วิถีใหม่ เพ่ือให้ผู้เรียน เข้าถึงได้ง่ายและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงซ่ึงในปัจจุบันมีหลักสูตรเกี่ยวกับความส�ำคัญกับเร่ืองชีวิต วิถีใหม่เป็นหลักสูตรออนไลน์โดยส�ำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เนื้อหาบทเรียนจัดท�ำในเดือน กมุ ภาพันธ์ 2564 บทเรียนโดย ยง ภูว่ รวรรณ และ ยนื ภวู่ รวรรณ (2564) หลกั สตู ร “ชีวติ วถิ ีใหม่ และความฉลาดทางดิจิทัล” เป็นการสร้างบทเรียนออนไลน์ในรูปแบบมุก (MOOC- Massive Open Online Course) จึงเป็นรูปแบบการศึกษาแบบเปิดที่อยู่บนแพลตฟอร์มบริการดิจิทัล รองรับคนจ�ำนวนมาก เป็นสื่อการเรียนรู้ออนไลน์เพื่อให้เรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในการเรียน และเป็นการใช้เทคโนโลยีออนไลน์เป็นเคร่ืองมือในการเรียน ซ่ึงเนื้อหาเก่ียวโยง กับทักษะความฉลาดทางดิจิทัล และการเป็นพลเมืองดิจิทัล เน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจ ท่ีเท่าทันต่อสื่อใหม่ ให้ความส�ำคัญในเรื่องการคิด การวิเคราะห์ความเช่ือถือของแหล่งข้อมูล การประมวลผลข่าวสาร การแยกแยะและไม่หลงเช่ือข่าวปลอม และให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ในสังคม เพ่ือดูแลปกป้องตัวเอง ดูแลข้อมูลส่วนตัว ความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยทั้ง ของตัวเองและสังคม โดยเป็นพ้ืนฐานที่ผู้เรียนและประชาชนควรได้เรียนรู้ในเบื้องต้น คือ การเข้าใจถึง สิทธิ หน้าที่ คุณธรรม จริยธรรม และกฎหมาย ท่ีเก่ียวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล เน้ือหาที่จ�ำเป็นต่อการด�ำเนินชวี ิต เพ่อื ลดความเส่ยี งในการด�ำรงชวี ิตในยุควิถีใหม่ หลกั สตู รออนไลนช์ ีวติ วถิ ีใหมแ่ ละความฉลาดทางดิจิทลั จากมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วารสารวิชาการ 25

อาจกล่าวได้ว่าหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในวิถีใหม่และความฉลาดทางดิจิทัล มีความส�ำคัญอย่างมากในปัจจุบัน ซ่ึงครูผู้สอนอาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของการวัดและประเมินผล หรอื เป็นขอ้ มลู ในการพัฒนาตนเองของผูเ้ รยี น เนอ่ื งจากคนรนุ่ ใหมม่ คี วามคดิ และความเชอ่ื ที่ไดร้ บั อิทธิพลจากข้อมูลข่าวสารในโซเชียลมีเดีย มีการเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่าย การมีหลักสูตร ที่สอดคล้องกับการเรียนรู้วิถีใหม่และการเท่าทันส่ือดิจิทัล รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อม ที่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้จึงมีความจ�ำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ต้องค�ำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน ใแนลกะากราอรอรกับเฟเบังบเสหียลงกั สสะตู ทร้อแนลจะสากรา้คงรสู ภผาู้ปพกแคเวพรดื่ออลกงอ้าหรมผลเรกู้กัเยี รสานียตูรรนรเูวริถยี ีใเนหเลมระู้ในชชุม้ันชเนรียเนพราะส่วนนี้เป็นส่วนส�ำคัญ 2. ด้านแหล่งเรียนรู้ของสถานศึกษาวิถีใหม่ เป็นการพัฒนาแหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ท่ีสนับสนุนส่ชงเวี สติ รวิิถมใี ใหหม้ผ ู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และ เรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย เพื่อเสริมสร(N้างeใwหN้ผoู้เrรmียaนl)เกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็นบุคคล แห่งการเรียนรู้ ซ่ึงการด�ำเนินกแหารลงจเัดรียกนารรู แหล่งเรียนรู้ของสถาแนหศลึกง เษรียานมรีคู วามจ�ำเป็นมากท่ีจะต้อง ปรับให้มีความทันสมัย มีการอบอรนิหไลานรว จิถัดใี หกมา รและการด�ำเนขินอกงาสรถอานยศ่าึกงษบาูรวณถิ ใี าหกมา ร เช่น การใช้แหล่ง เรียนรู้ควบคู่ไปกับการเรียนการสอนโดยผู้บริหารควรน�ำวงจรการบริหารงานคุณภาพ (PDCA: Deming Cycle) ซง่ึ ประกอบดว้ ย การวางแผน (Plan) การดำ� เนนิ งานตามแผน (Do) การตรวจสอบ (Check) การพัฒนาปรบั ปรุง (Action) การพัฒนาแหลงเรยี นรู ในสถานศกึ ษาวิถใี หม (New Normal) การพฒั นาแหล่งเรยี นรใู้ นสถานศกึ ษาวิถีใหม่ด้วยวงจรเดมมง่ิ PDCA 26 วารสารวชิ าการ

มาใชใ้ นกระบวนการการบรหิ ารจดั การแหลง่ เรียนรใู้ นสถานศึกษาวิถีใหม่ในทกุ ๆ ดา้ น โดยผ้เู ขยี น ได้อิงด้านของการจัดการแหล่งเรียนรู้ตามกรอบแนวคิดจากคู่มือการใช้มาตรฐานและตัวชี้วัด การด�ำเนินงานอุทยานการเรียนรู้โดย ชุติมา สัจจานันท์ และ บุญศรี พรหมมาพันธุ์ (2554) ไดม้ าพัฒนาจดั การแหลง่ เรียนร้ไู ด้ ดังน้ี 1) การจัดท�ำแผนพัฒนา ควรมีการจัดท�ำแผนพัฒนา และก�ำหนดเป้าหมายของ โรงเรียนเพ่ือการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียนและส�ำรวจแหล่งเรียนรู้ท้ังภายในและ ภายนอกโรงเรียนที่เกย่ี วข้องกบั การเรยี นรวู้ ิถีใหม่ 2) การส่อื สารและการประชาสัมพันธ์ เชน่ ประชาสัมพันธ์จัดกจิ กรรมหรอื เปดิ โอกาส ให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้วิถีใหม่มากท่ีสุด เช่น การจัดกิจกรรมเปิดบ้านออนไลน์ การเยี่ยมชม แหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษาแบบออนไลน์ให้แก่ผู้เรียนและผู้ปกครองท่ีสนใจ การเผยแพร่หลักสูตร วถิ ีใหม่โดยสถานศึกษา เปน็ ต้น 3) การมีส่วนร่วม ได้แก่ การเปิดโอกาสให้บุคคลกลุ่มต่าง ๆ ที่สนใจพัฒนาแหล่ง เรยี นรู้ ท้งั ผู้ใช้ ผ้มู ีส่วนได้สว่ นเสยี รว่ มเสนอแนวคดิ และรว่ มกนั พัฒนา ให้ความสำ� คัญกบั ตวั ผเู้ รยี น เพ่ือก�ำหนดความรู้ประสบการณ์ และทักษะที่จ�ำเป็นจากแหล่งเรียนรู้โดยต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมเลือกสถานที่ในการเรียนรู้ ตลอดจนก�ำหนดเป้าหมายท่ีต้องการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ วถิ ีใหม่ 4) การสร้างเครือข่ายแหล่งเรียนรู้ เช่น การบูรณาการการใช้แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ ควบคู่ไปกับการเรียนการสอนท่ีสถานศึกษา สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ชุมชนและอ่นื ๆ เช่น พิพิธภณั ฑช์ ุมชนผา่ นกจิ กรรมต่าง ๆ ให้เป็นในรปู แบบออนไลนว์ ิถีใหม่ 5) การใชเ้ ทคโนโลยใี นการบรหิ าร ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาจะตอ้ งเปน็ ผนู้ ำ� การเปลยี่ นแปลง มีศักยภาพ มีความสามารถในการประสานงาน มีความสามารถในการตัดสินใจ มีวิสัยทัศน์ ทางด้านการศึกษาและการจดั กระบวนการเรียนรู้ มคี วามทันสมัยเท่าทนั โลกเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสาร 6) งานสถิติการใช้บริการและการเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อให้ได้ทราบถึงการใช้บริการ การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้เรียน ผู้ปกครอง ครู และประชาชนท่ีมีความสนใจในการเข้าใช้ แหล่งเรยี นรู้ของสถานศกึ ษาวิถีใหม่ ภายใต้ข้อจำ� กัดการเวน้ ระยะหา่ งและการจ�ำกดั ผู้เขา้ ชม วารสารวชิ าการ 27

7) การประเมินผลการบริหารจัดการและการด�ำเนินการ โดยการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศในการบรหิ ารจดั การ เชน่ การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการบรหิ ารจดั การ การบรกิ าร และการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ของแหลง่ เรยี นรู้ คอื สง่ิ ทสี่ ำ� คญั เปน็ อยา่ งมากในวถิ ใี หม่ และควรมกี ารนเิ ทศ กำ� กบั ตดิ ตามและประเมินผลการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการจดั การของครูในโรงเรยี นอย่างต่อเนอื่ ง 3. ด้านแหล่งเรียนรู้ออนไลน์วิถีใหม่ คือ แหล่งเรียนรู้เสมือนท่ีสถานศึกษาต้องส่งเสริม ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ออนไลน์เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งในปัจจุบันมีหลายหน่วยงานและองค์กรท่ีได้เปิดคอร์สการเรียนออนไลน์ในหลาย ๆ สาขาวิชาให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนอย่างอิสระไม่มีค่าใช้จ่าย เพ่ือการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ไดง้ า่ ยขนึ้ ทงั้ หอศลิ ป์ พพิ ธิ ภณั ฑอ์ อนไลนข์ องไทยและตา่ งประเทศ ระบบอวกาศเวบ็ ไซตน์ าซา่ แอปพลิเคชัน ท่องชมนิทรรศการเสมือนจริงอย่าง Google arts & culture ท่ีรวมรวบนิทรรศการศิลปะ และนิทรรศการความรู้อ่ืน ๆ ทั่วโลกและยังมีนวัตกรรมฟีเจอร์สแกนใบหน้า เกมการเรียนรู้ ต่าง ๆ ให้ผู้เรยี นไดร้ สู้ กึ เป็นสว่ นหนง่ึ ในเกมการเรียนรู้ ถอื ไดว้ า่ การเข้าชมแหลง่ เรียนรูอ้ อนไลน์นน้ั ได้ก่อเกิดการเรียนรูปแบบใหม่ ชีวิตวิถีใหม่และไม่ซ้�ำเดิมซ่ึงเป็นการออกแบบเพื่อการปรับตัว เมือ่ มีความจำ� เปน็ ต้องปิดสถานศึกษาหรือสลับวนั เรียนได้เปน็ อย่างดี การใชน้ วตั กรรมเกมจับคู่ใบหนา้ กับผลงานศลิ ปนิ ผ่านแอปพลิเคชนั Google arts & culture 28 วารสารวชิ าการ

การน�ำนโยบายในการจัดการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ของ สถานศึกษาให้พร้อมต่อการเปล่ียนแปลงในชีวิตวิถีใหม่นั้น ควรเป็นการบริหารจัดการ แบบยืดหยุ่นตามบริบทผู้เรียน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของส�ำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพ้ืนฐานเก่ียวกับด้านการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็นการเรียนการสอนในรูปแบบผสมผสาน ได้แก่ 1) การเรยี นการสอนผ่านทีวี (On-Air) ผ่านระบบดาวเทยี ม 2) การเรียนการสอนผ่านอนิ เทอร์เนต็ (On-Line) ผ่านทางระบบ Video Conference ระบบอินเทอร์เน็ตของโรงเรียน และระบบอื่น ตามท่ีส�ำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาจัดเตรียมให้ 3) การเรียนการสอนแบบ On–Demand ผ่านทางเว็บไซต์ DLTV และแอปพลิเคชัน DLTV บนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต 4) การเรียน การสอนแบบ On-Hand ที่เอกสารถึงมือผู้เรียน ทั้งน้ี ครูผู้สอนเองควรพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ปรับตัวให้มีสมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถน�ำระบบเทคโนโลยีมาผสมผสานใน การจัดการเรียนรู้เพื่อวัดและประเมินผลผู้เรียนได้ รวมไปถึงผู้บริหารสถานศึกษาควรสนับสนุน การสร้างและพัฒนาแหล่งเรียนรู้โดยน�ำกระบวนการบริหารคุณภาพตามวงจรเดมมิ่ง (PDCA) มาพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ของสถานศึกษาให้ทันสมัย เข้าถึงหลักสูตรชีวิต วิถีใหม่ เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ท่ีทันสมัยทั้งนวัตกรรมรูปแบบวิดีโอ 360 องศา และ ภาพเสมือนจริงโดยครูคอยเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้เรียนเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ออนไลน์ได้หลากหลาย ชอ่ งทาง เพอื่ เพมิ่ เตมิ ใหค้ รบองคค์ วามรแู้ ละมที กั ษะความฉลาดทางดจิ ทิ ลั พรอ้ มตอ่ การเปลยี่ นแปลงใน ชีวติ วิถีใหม่ และเพ่อื ให้ผ้เู รียนทุกคนได้เขา้ ถึงการศกึ ษาอย่างมคี ุณภาพและเทา่ เทยี มกัน เอกสารอ้างอิง SยเชออสสสสWทcหงุ���ภัำตำกำoือ้ hนนิปนมชิษภrนwักัการัาlกรู่วdะงeงเทงรปจาสชาnาวอรEนราันจgรนะงcชิญปจeปรแกoคาIahCphtcSTณrาลwทลกrอต,norณetttoนOeัดtัั้วดศattใบAิBocuiseันppนกแV.ะcfกนRhเ.trmfnsslรสลทปp(Isกร1n์e.KD2::uะeง้ะSร//o์iะรgo/.5c-.ท(//c/ะแk_vnรท126lww?(ยh(เiรoลTi2eม2lcF9ท53eรืน-วlww0gVะ=-5os.ว6)sกwศงsy.1eW5ww2งr3ไcาภศค/บก9iuaท5ศ&Enh)2ร..ึกุQู่วร)mา.toุm)ญยึกnlo.4กุร.สkษร=8b.tกhษ1วpoศCePาภอ.าhf2e(รaา83aolา2Drรรอธา(e-ceรร3nBrีธ25ศ/ิdกกวC.kณเa0พิgqกc50ิึทาaแกรEA.tooe82.mารรีyยifบยษn.fd)rร.หว0/(นt.eบา.Zg2า.tงh)ม(เจcรLh.กจ5ขG2ป/B(มูาt้ใe/ารa6ั้524นnา้iหlรsาvรaกr4eห659tพยcศพมerา)Won46ม-hn.์,ื้กึรน่ันc)d4าEiiUaบ.ใหษvn1kฐยธe)Nนyeรss.ล(ปาgุ์กา.d2Eว/eหิss,ใักนารศe(นิ)C/ถา2รส2Lะ,3Cธ.xoีชVรพ(eูต5กt7.11ONงfีว3(เraฒั5รา7)า-ล2aิตceV,rชศT14น1น/่ืnอ5Hวw3Iีวeจ0)03Dคาถิiน.6u5ิตncุด.05แณุ-ใึ 4.oเวhคgN01ยหหhปhิถภ)gnู4่ม9ืนoมง่Et.ิดfีใtา5oสืtอ6พ่xrหtภพpCแa(mpหlbpกDัฒมo.sา.oจsสัbepาe่แa:gค:นhuงว/รr4/dysลli/เtเ/ราใleSi.fรtะลpdgdชรเnvptียยnคhษืohอ้มobc:นาCวt/.i0กาeT-.วt/าoทhhE2ตspวNcชมBrtanี่.ริoธsg9นttaฉR1hnฐpี:c/lเskลยe/a/รา1agisey/-าุqค2cีน:ย0entOdw/ดo5uอh./แนc2jทwow6iัHลNKaeลrไ4าep4ฟidowweดะ1jงso.eSy่wาwต3้ดwห.trC.a.hMั5วิจo.uล.bkQNu/ชhtWิทrdoาslptngo้ีZวtoัลeoprยetj/.ัดerHtg.opnrismแensnrm:hEstTบlp/.กda:.t.dt/h/cvhoLrาบtlem/iu2o)apรe/dt:xmหgc.inดmsa01co.ผlap:า�oำroo8./eลD4/nกthเ/ebmn3กeน6liiไpg3nae6รeิมน/il/6agtFะ20wgwง่aพ.r0uทo0.าnl-b.iรPta1บbนntiuSnll้ha2อจloอoskrgo/ac/ามeุirทgd0ltgiyกmlf/เhย9q/isaกรG2c/2/:าa-jี ยาt0edpa0นlDhรJน2-rndc2กoeแe1n1.อec1k-พาuv?j/gar/oอuรferร0ao0.bnu.เhนl่รa4atร5ocarะticไlี/ย/onpmlsบlล.20iน/tnaidาnน7h5loรls=ดg////f์ู.้.. https://www.weforum.org/agenda/2020/03/4-ways-covid-19-education-future-generations/ วารสารวิชาการ 29

ฝึกเป่าแคนโดยใช้ K6 Model เพ่อื การอนุรกั ษ์ศิลปะพ้นื บ้านอสี าน กฤษฎ์ พีรธนัศสกลุ โรงเรยี นกัลยาณวตั ร ส�ำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศึกษาขอนแก่น แคนเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์มนต์ขลัง แม้จะมีอายุนับได้หลายพันปี แต่ยังคงความเป็น อัตลักษณ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ย่ิงไปกว่าน้ันเสียงของแคน ยังถ่ายทอดให้อารมณ์เพลงที่มี ความสนุกสนาน ร่าเริง อบอุ่น โหยหวน เป็นอมตะตลอดกาล ค�ำกล่าวของคนอีสานสมัยโบราณ ให้ความส�ำคัญกับดนตรีท่ีเก่าแก่และมีมนต์เสน่ห์ที่เสียงอันไพเราะท่ีสุด คือ “คนอีสาน ต้องกิน ข้าวเหนียว เคีย้ วปลาร้า สกั ขาลาย เปา่ แคน เป็นอัตลักษณ”์ ปจั จบุ นั การเปา่ แคนเรม่ิ ลดนอ้ ยลงเปน็ อยา่ งมากดว้ ยวฒั นธรรมและวถิ ชี วี ติ ทเี่ ปลย่ี นไปและ นับวันที่จะหมดไปจากความเป็นอยู่ของคนอีสาน ประกอบกับเคร่ืองดนตรีแคน ขาดการเรียนรู้ ขาดการสืบทอดอย่างจริงจัง อีกท้ังแคนที่มีคุณภาพดีน้ัน มีราคาค่อนข้างแพง หากจะซื้อหามาฝึก โดยท่ียังไม่มีทักษะพ้ืนฐานในการเป่าแคนก็คงไม่มีใครท่ีกล้าท่ีจะลงทุนซื้อแคนมาฝึกเป่า แต่ขณะเดียวกันเป็นความโชคดีอีกอย่างที่ยุคปัจจุบันมีส่ือเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเผยแพร่ บทเพลงที่ใช้แคนในการบรรเลงบทเพลง รวมท้ังบรรเลงแคน ผสมผสานเข้ากับเครื่องดนตรีสากล ซ่ึงคนในยุคปัจจุบันนิยมฟัง ดังน้ัน แคนจึงเป็นเครื่องดนตรีท่ีคงความมีมนต์ขลังและมีเสน่ห์ แหง่ สสี ันเครื่องดนตรตี ลอดมา แคนเป็นเคร่ืองดนตรีพ้ืนเมืองอีสาน ซึ่งบรรเลงโดยการเป่าและดูดลมผ่านล้ินโลหะของ แคนสลับกันไปมา แคนนิยมท�ำมาจากไม้กู่แคนหรือไม้ซางตระกูลไม้ไผ่ แคนประกอบด้วย ไมก้ แู่ คน เต้าแคน ขสี้ ูด หรอื ชนั โรง มลี ักษณะเปน็ ข้ีผงึ้ เหนียวสดี ล้นิ แคน ประกอบโดยใช้เตา้ แคน เป็นตัวควบคุม และใช้ข้ีสูดเป็นตัวเช่ือม จะเรียกชื่อตามวัสดุท่ีท�ำล้ินของแคน ถ้าแคนที่มีล้ินแคน ท�ำมาจากเงินจะเรียกว่า แคนลิ้นเงิน ซึ่งมีความคงทนและเสียงดังกังวานไพเราะดี ถ้าแคนที่มี ลน้ิ แคนทำ� มาจากทองแดง จะเรยี กวา่ แคนล้นิ ทอง แคนมีอยู่ 5 ชนดิ โดยเรยี กตามจ�ำนวนลกู แคน คือ แคนหก แคนเจด็ แคนแปด แคนเก้า และแคนสิบ เสยี งแคนมี 7 เสยี ง ประกอบด้วย เสียงโด เร 30 วารสารวชิ าการ

เพเมื่อสี เนฟปอา็นแนกซะอาวรลิธสีกลืบาารทเแปอลา่ดะแกทคานี รดอเังยปนา่ ่า้ังนแง่าคเยพนใื่อนขเลปอำ� ็นงดบกับาุคตรอ่คสไลืบปททั่วอไดปกาผรู้เเปข่ีายแนคจนะขไอดง้เบสุคนคอลแทน่ัวะไปวิธผีกู้เาขรียเนปจ่าะแไดค2้น8 อยก่าางรงป่ายฏผใิบผนู้เัตู้เขลขิเียาียคดนนรบั่ืใอในตนงฐดอ่ ฐานไนาปตะนรคะีรคตูดานรมูตดหรนีทลตี่สักรอกีนทาว่ีรสิชทอาฤดนษนวฎติชีรขาีมอดางมนนาักตกวกริชีวม่าาากม3า0ารกดป้ากี นไวดด่า้สนัง3ตเค0รรี าปดะัีงหไท์แดี่จน้สะวันงคเ�ำวคาเสมรนคาิดอะห์ แนกวรคะบวาวมนกคาดิ รกเรายี รนปปฏฏิบิบตั ิเคร่ือองงดดนนตตรรี (ี Kต6ามMหoลdกัelก)าซรงึ่ ทปฤรษะกฎอขี บอดงว้ นยกั 6วิชขาั้นกตาอรนดา้สนามดานรตถสรรี ุปดเงั ปทน็ ่จี ะ นาแเผสนนภอากพรไดะ้บดวังนนี้ การเรียนปฏิบัติเครื่องดนตรี (K 6 Model) ซ่ึงประกอบด้วย 6 ข้ันตอน สามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ ดังนี้ K1 รู้เคร่ืองดนตรี K6 K2 รคู้ ุณครทู สี่ ัง่ สอน รู้โน้ตเพลง การเรยี นปฏบิ ตั ิ เครือ่ งดนตรี K5 K3 ร้พู ัฒนาฝมี ือ รู้ปฏิบตั เิ คร่ืองดนตรี K4 รู้รักษาเครอ่ื งดนตรี แผนภาพที่ 1 การเรยี นปฏิบัติเครอื่ งดนตรี แผนภาพท่ี 1 การเรียนปฏบิ ตั เิ ครือ่ งดนตรี ดน ตรีที่เรKา1จะรบู้เครรร่ือเลงงดโดนยตรรู้วี ิธ(KีกnารoบwรรInเลsงtrเuชm่นeโnดtยsก)าเรปด็นีดกสาีรตศี ึเกปษ่าาเธทรครนมิคชกาตาิขรบอรงเรคเลรง่ือทง่ี ให้เสียงไพเราะมีคุณภาพ ให้เสียงสั้น เสียงยาว เสียงกังวาน ลูกเล่น เทควนาริคสพาริเวศชิ าษกแารละ3ร1ู้

K1 รู้เคร่ืองดนตรี เป็นการศึกษาธรรมชาติของเครื่องดนตรีท่ีเราจะบรรเลงโดยรู้วิธี การบรรเลง เช่น โดยการดีด สี ตี เป่า เทคนิคการบรรเลงท่ีให้เสียงไพเราะมีคุณภาพ ให้เสียงสั้น เสยี งยาว เสียงกังวาน ลูกเล่น เทคนิคพเิ ศษและรู้ตำ� แหนง่ เสยี งของเครือ่ งดนตรี เช่น ตำ� แหนง่ เสียง โด เร มี ฟา เปน็ ตน้ วางมอื ตำ� แหนง่ นี้ หรอื เคาะตำ� แหนง่ นเี้ ปน็ เสยี งอะไร เปน็ ตน้ วธิ กี ารสอนแทนนน้ั ครูท�ำการสอนโดยการสาธิตให้ผู้เรียนดู โดยไล่นิ้วเปิดปิดให้ถูกต้องตามเสียง ซ่ึงครูจะเป็นผู้ปฏิบัติ ให้ดูเป็นพยางค์ ผู้เรียนจะเลียนแบบจนเกิดความช�ำนาญเริ่มด้วยการรับรู้ต�ำแหน่งของเสียง ท่ีมีความสัมพันธ์กับการปิดเปิดนิ้วการเป่าและการดูจากน้ันครูจะสอนเพลงเป็นลายอื่น ๆ เช่น ลายเต้ยโขงหรือลายสุดสะแนน K2 รู้โน้ตเพลง เป็นการศึกษาโน้ตเพลงที่จะปฏิบัติ อาจเป็นการนัดหมายกันก่อน การปฏิบัติ สมัยก่อนไม่มีการบันทึกโน้ตก็นัดหมายกันโดยเอาปากว่าตามกันหรือเล่นตามกัน คือ ผสู้ อนเลน่ อีกเครื่องหนง่ึ แลว้ ผู้เรยี นเลน่ อีกเคร่อื งหนงึ่ เพอ่ื เลน่ ตามผู้สอน หรือผู้สอนอาจใช้ปากว่า เปน็ ท�ำนองเพลงแล้ว ผเู้ รียนกเ็ ลน่ ตาม ซงึ่ โน้ตเพลงใชเ้ ป็นแบบมาตรฐานหรือที่เรียกวา่ โน้ตสากล คือ โน้ตท่ีคนอ่ืน ๆ ทั่วโลกเขารู้จักและใช้กัน เปรียบเสมือนภาษาสากลหมายถึง ภาษาอังกฤษ ที่คนทั่วโลกรู้จักกันทั่วไป เพียงแต่โน้ตสากลเป็นภาษาสากลทางดนตรีเท่าน้ัน หรืออาจจะใช้ โน้ตไทยท่ีมีรูปแบบเฉพาะการบันทึกท�ำนองจังหวะแบบไทยก็ได้ ถ้าไม่ถนัดโน้ต อาจจะเรียน ท�ำนองเพลงจากผู้สอนโดยตรงก็สามารถเข้าโน้ตเพลงได้เช่นกัน ข้อดีของการถ่ายทอดความรู้ ในสมัยใหม่โดยการใช้โน้ตเพลง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียนดนตรีอีสาน มากขึ้นเพราะมีความสะดวกสบายช่วยประหยัดเวลาท้ังครูและศิษย์ ซ่ึงก่อให้เกิดกระแสนิยม ในการเรยี นดนตรีอสี านกนั อย่างกว้างขวาง 32 วารสารวิชาการ

K3 รู้ปฏิบตั ิเครอื่ งดนตรี มีขนั้ ตอนตามทกั ษะกระบวนการปฏิบัตดิ นตรี ดังน้ี ข้ันที่ 1 สังเกตรับรู้ ผู้เรียนสังเกตรับรู้จากการสาธิตหรืออธิบายจากครูหรือใช้สื่อ การเรียนการสอน ขน้ั ท่ี 2 ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ผู้เรยี นปฏิบตั ิเพอ่ื ทำ� ความเขา้ ใจถงึ การบรรเลงของเคร่อื งดนตรี แต่ละชนิดที่จะได้มาซ่ึงเสียงตัวโน้ตของเคร่ืองดนตรี อ่านหรือท่องโน้ตเพลงส�ำหรับฝึกหัด ท่จี ะบรรเลง บรรเลงเพลงสำ� หรบั ฝกึ หัดตามแบบ โดยครูผู้สอนหรือจากสื่อการเรียนการสอน ข้ันที่ 3 ประเมนิ ผลระหวา่ งการปฏิบัติ ผเู้ รยี นสามารถประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ดิ นตรไี ด้ ด้วยตนเองว่า สามารถปฏิบัติได้ตามรูปแบบถูกต้องหรือไม่ โดยการบรรเลงให้เพื่อนหรือครูฟังว่า บรรเลงไดถ้ ูกวธิ ีและถกู ตอ้ งตามหลักการบรรเลงและบทเพลงหรือไม่ ซงึ่ มีการประเมินผล ดังนี้ วารสารวิชาการ 33

1) ความถกู ตอ้ งในการบรรเลง จะตอ้ งพจิ ารณาวา่ ผบู้ รรเลงดนตรนี น้ั มคี วามสามารถ ในการถ่ายทอด การบรรเลงดนตรีทีถ่ กู ต้องตามจังหวะ ท่วงทำ� นองของบทเพลง ถา่ ยทอดอารมณ์ ของบทเพลง ท้ังสามารถบรรเลงเพลงได้เหมาะสม กลมกลืน และไพเราะ ไม่มีลักษณะด้อย ของการบรรเลง เช่น เพี้ยน หลดุ พลาด เปน็ ต้น 2) ความแม่นย�ำในการอ่านเครื่องหมาย และสัญลักษณ์ทางดนตรี ในการขับร้อง และการบรรเลงดนตรนี ้นั ผบู้ รรเลงดนตรีและผขู้ ับร้องจะต้องมคี วามเข้าใจในการอา่ นเครื่องหมาย และสัญลักษณ์ทางดนตรี มีความสามารถท่ีจะอ่านโน้ตเพลงได้อย่างถูกต้องตามที่ผู้ประพันธ์ได้ ประพันธ์ไว้ ท�ำใหบ้ ทเพลงนัน้ ไพเราะและสมบรู ณ์ 3) การควบคุมคุณภาพเสียงเครื่องดนตรีในบรรเลง เราสามารถท่ีจะประเมิน คุณภาพของผู้บรรเลงจากการฟังได้ว่า ผู้บรรเลงสามารถท่ีจะใช้การควบคุมเสียงเคร่ืองดนตรีได้ มากน้อยเพียงใด เสียงจะต้องไม่ขาด ไม่เกิน เหมาะสมกับท�ำนองดนตรี ท้ังยังต้องเข้าถึงเทคนิค การบรรเลงของเครอ่ื งดนตรีแต่ละชนดิ ดว้ ย ผ้บู รรเลงดนตรีจะตอ้ งควบคมุ คุณภาพเสยี งของเครอ่ื ง ดนตรไี ด้อย่างถกู ต้องชดั เจน 34 วารสารวชิ าการ

ข้ันท่ี 4 ฝึกจนช�ำนาญ เม่ือผู้เรียนได้รับการประเมินผลระหว่างปฏิบัติเคร่ืองดนตรี ท่ีถูกต้องแล้ว ผู้เรียนสามารถท่ีจะฝึกปฏิบัติเคร่ืองดนตรีได้ด้วยตนเองเพ่ือให้เกิดทักษะจนช�ำนาญ ในขน้ั นสี้ ามารถประเมนิ ผลระหวา่ งการปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งดนตรไี ดต้ ลอดเวลาโดยใหผ้ ทู้ มี่ คี วามเชย่ี วชาญ ฟงั และเสนอแนะ หรอื เขา้ รว่ มการประกวดแขง่ ขนั เพอ่ื โชวฝ์ มี อื พรอ้ มทงั้ มกี ารยอมรบั การเสนอแนะ จากคณะกรรมการเพ่ือนำ� มาปรบั ปรุงตนเองในดา้ นพฒั นาฝมี อื ต่อไป ข้ันท่ี 5 วัดทักษะทางดนตรี เป็นขั้นตอนท่ีสามารถวัดและประเมินผลการปฏิบัติ การวดั ทกั ษะทางดนตรี การวดั และประเมนิ พฒั นาการทกั ษะทางดนตรเี ปน็ สงิ่ หนงึ่ ทส่ี ำ� คญั อยา่ งยงิ่ ของกระบวนการทางการเรยี นทกั ษะในวชิ าดนตรี โดยระบบการศกึ ษาเมือ่ มกี ารเรยี นยอ่ มมีการวัด และการประเมินผลการเรียน เพื่อให้ทราบว่า ผู้เรียนได้เรียนส่ิงใดไปบ้าง มากน้อยเพียงใด และ ไดป้ ฏบิ ตั ติ ามวตั ถปุ ระสงคห์ รอื ผลการเรยี นรทู้ ก่ี ำ� หนดไวอ้ ยา่ งไร สำ� หรบั ผสู้ อนการวดั และประเมนิ ผล ท�ำให้ทราบด้วยว่า กระบวนการเรียนการสอนประสบความส�ำเร็จเพียงใด มีส่ิงใดที่ดีหรือสิ่งใด ควรปรับปรุงแก้ไขเพ่ือท�ำให้การเรียนการสอนในครั้งต่อไปพัฒนาไปในทางท่ีดีขึ้น การวัดและ ประเมินผลจึงควรมีหลักการ มีระบบ มีการจัดการที่ครอบคลุม มีความรัดกุม ความสะดวก และ ให้ผลตามที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ การวัดและประเมินผลทักษะทางดนตรี จึงเป็นเรื่องส�ำคัญและ สามารถท�ำให้เกิดประโยชน์ได้ในหลายแง่มุม การประเมินผลในกระบวนการจึงน่าจะเป็นสิ่ง ท่ีสำ� คัญในการเรยี นทักษะดนตรี เนอื่ งจากเป็นช่วงเวลาทใ่ี ชใ้ นการพฒั นาความสามารถของผู้เรียน ซึ่งผูส้ อนสามารถประเมนิ และปรบั ปรุงแกไ้ ขปญั หาของผูเ้ รยี นไดท้ ันทว่ งที วารสารวชิ าการ 35

K4 รู้รักษาเครื่องดนตรี เป็นการรักษาเคร่ืองดนตรีที่เราปฏิบัติ ด้วยเคร่ืองดนตรี แตล่ ะชิน้ มคี ณุ คา่ ตอ่ ตัวผู้ปฏิบัติ นับไดว้ า่ เป็นครขู องผ้ปู ฏิบตั โิ ดยแท้ เนอ่ื งจากเราจะต้องบรรเลงลง ที่เครื่องดนตรีนั้นถ้าไม่มีเครื่องดนตรีที่เป็นครูของเราก็จะไม่มีโอกาสที่จะเรียนรู้การปฏิบัติดนตรี นั้น ๆ ประกอบกับเคร่ืองดนตรีส่วนมากจะมีความบอบบาง การกระทบแต่ละครั้งอาจส่งผล ต่อเสียงของเคร่ืองดนตรีและการซ่อมบ�ำรุง อีกประการหนึ่งเคร่ืองดนตรีส่วนมากจะมีราคา คอ่ นขา้ งสูง ดงั น้ัน การรูจ้ ักเกบ็ รักษาเครอ่ื งดนตรหี ลังจากใช้งานแลว้ หรอื การเกบ็ รักษาในรปู แบบ ตา่ ง ๆ ยงั ช่วยลดคา่ ใชจ้ า่ ย รกั ษาคณุ ภาพของเสยี งดนตรที ด่ี ีและยดื อายกุ ารใช้งานอีกดว้ ย การเกบ็ รักษาเคร่ืองดนตรี นับว่ามีความส�ำคัญไม่น้อยกว่าการดูแลความพร้อมใช้ก่อนการบรรเลงเช่นกัน ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เครื่องดนตรีมีหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีส่วนประกอบและหลักกลไก ท่ีแตกต่างกัน การเก็บรักษาให้ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งส�ำคัญท่ีผู้เล่นดนตรีจะต้องตระหนักอยู่เสมอ และต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการ จึงจะท�ำให้เครื่องดนตรีมีความคงทนสามารถใช้งาน ไดอ้ ยา่ งคุ้มคา่ K5 รู้พัฒนาฝีมือ โดยธรรมชาติของการบรรเลงดนตรีของนักดนตรี การพัฒนาฝีมือ ถือเป็นเรื่องส�ำคัญเพราะการพัฒนาฝีมือ เป็นหัวใจหลักในการสร้างสรรค์งานดนตรีย่ิงฝึกซ้อม ย่ิงเห็นข้อบกพร่องของตนเอง และพัฒนาตนเองเสมอ นักดนตรีจึงเปรียบกับน�้ำที่ไม่เต็มแก้ว เรียนรู้พัฒนาตนเองได้ตลอดโดยเริ่มจากมีจินตนาการฝึกเล่นเคร่ืองดนตรีเป็นการฝึกที่สมอง โดยตรง ซง่ึ มสี ว่ นชว่ ยในการไปเลน่ กบั เครอื่ งดนตรจี รงิ ๆ ฝกึ นกึ เสยี งในหวั ไดอ้ กี ดว้ ย เรยี นรสู้ ง่ิ ใหม่ ๆ ทุกวัน การเรียนรู้ส่ิงใหม่ไม่จ�ำเป็นต้องเป็นเรื่องยากเร่ืองใหญ่จะช่วยเสริมสร้างทักษะทางดนตรี อยเู่ สมอ มโี อกาสรว่ มบรรเลงดนตรกี บั คนอน่ื ๆ และหาชอ่ งใหเ้ ราใสล่ กู เลน่ ของเราลงไปขณะเลน่ ได้ ก่อให้เกิดการคิดสร้างสรรค์ในบทเพลง บันทึกเสียงการเล่นสม่�ำเสมอ พร้อมทั้งย้อนกลับมา ทวนฟังสิ่งท่ีเคยเลน่ ไป เราจะได้มองเห็นพฒั นาการของเราได้ชดั เจน มรี ะเบียบวินัยในการฝกึ ซอ้ ม มีการจัดการให้มีการฝึกซ้อมอย่างสม่�ำเสมอ ประการสุดท้ายมีการประเมินผลการฝึกปฏิบัติดนตรี ของตนเอง เพ่อื ให้เราทราบถึงตัวตนในการฝึกบรรเลงดนตรวี ่า เราขาดอะไรในการบรรเลงอยูบ่ ้าง ผู้เขยี นขอเสนอแนะ ดงั น้ ี วิธีที่ 1 ฝึกฝนด้วยตนเองคือฝึกซ้อมจากการเก็บเทคนิคลูกเล่น จากนักดนตรี หรือครูอาจารย์ท่ีมีความเช่ียวชาญ แล้วกล่ันกรองเป็นแนวดนตรีของตนเองโดยไม่ทิ้งท�ำนองหรือ โน้ตเพลงหลักของเพลง ตามสไตล์ของตนเองอันนี้ต้องอาศัยทักษะ และประสบการณ์ค่อนข้างสูง ในการพัฒนาฝมี อื 36 วารสารวชิ าการ

วิธีท่ี 2 พัฒนาโดยแลกเปล่ียนเทคนิคการปฏิบัติกับนักดนตรีคนอื่น ๆ แม้จะเป็น นักดนตรีรุ่นหลังหรือประสบการณ์น้อยกว่า เพราะเทคนิควิธีการของแต่ละคนอาจไมเ่ หมอื นกนั เราอาจได้วิธีการที่ใหม่หรือได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้การปฏิบัติให้คนอื่นด้วย วธิ ที ่ี 3 พฒั นาฝมี อื กบั ผรู้ หู้ รอื ผเู้ ชย่ี วชาญโดยตรงอาจจะตอ้ งอาศยั เวลา และวธิ กี าร เข้าพบปะเรียนรู้เพราะผู้ท่ีมีความรู้ความเชี่ยวชาญอาจมีอายุมาก มีภารกิจมากรวมท้ังมีลูกศิษย์ ทจ่ี ะมารบั ความรเู้ ป็นจ�ำนวนมาก วธิ ที ี่ 4 ในยุคปัจจบุ นั สอ่ื การเรียนรู้ทางดนตรีมคี ่อนขา้ งมากมายในระบบออนไลน์ เช่น YouTube วิธีการท่ีง่าย ๆ เพียงผู้เรียนต้องการท่ีจะพัฒนาฝีมือตนเองในด้านใดก็สามารถ สืบค้นได้ เช่น เข้าสู่หน้าเพจของ YouTube แล้วพิมพ์ชื่อเคร่ืองดนตรีที่เราต้องการที่จะเรียนรู้ เพมิ่ เตมิ หรอื เทคนคิ วธิ กี ารบรรเลง แนะนำ� การพฒั นาตนเองในวธิ กี ารนอ้ี าจจะตอ้ งอาศยั ประสบการณ์ ทางดนตรีของผู้เรียนเองในการเข้าไปรับการเรียนรู้หรืออาจมีผู้สอนให้ค�ำแนะน�ำ ข้อดีของ การถ่ายทอดความรู้ในสมัยใหม่โดยการใช้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียน ดนตรีมากขึ้น เพราะมคี วามสะดวกสบายชว่ ยประหยดั เวลาท้ังครูและศษิ ย์ K6 รู้คุณครูท่ีส่ังสอน ครเู ปน็ ผชู้ แี้ นะแนวทางให้เรามีความรู้ทั้งวิชาการดนตรีและ วิชาคน วิชาคนเป็นวิชาที่ไม่สามารถเรียนหรืออ่านจากต�ำราได้ ต้องอาศัยเรียนรู้จากการเข้าไปสู่ สถานการณ์จริง ครูจึงเป็นบรรทัดฐานท่ีจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิชาคนเป็นอันดับแรก การท่ีได้มา ซึ่งความรู้ต้องอาศัยการเข้าหาครู เรียนรู้วิชาจากครู เรียนวิธีการท่ีจ�ำได้มาซ่ึงความรู้ ครูคือ คนท่านหนึ่งท่ีมีชีวิตจิตใจ มีความรักเมตตาต่อศิษย์ศิษย์ต้องมีสัมมาคารวะ นอบน้อม รู้จักบุญคุณ ท่านที่มีต่อเราก่อน โดยส่วนใหญ่ลูกศิษย์ที่ประสบความส�ำเร็จจะเชื่อและยึดม่ันในตัวครู ดังค�ำกล่าวที่ว่า ได้ดีเพราะเชื่อครู ถึงบางเรื่องเรารู้แล้วก็ควรน่ิงเงียบเฉยเสีย อุปมาเหมือนน้�ำ ท่ีเต็มแก้วแล้วย่อมไม่สามารถเติมน้�ำลงไปได้อีก เปรียบได้กับลูกศิษย์ที่เก่งกว่าครูก็จะไม่ได้รับ ความรู้เพ่ิมเติมจากครูได้ ดังน้ัน การท่ีเป็นลูกศิษย์รู้คุณครูผู้สั่งสอนจึงเป็นที่จ�ำเป็นและส�ำคัญ อย่างยิ่งเพราะวันข้างหน้าศิษย์เองก็จะกลายเป็นครูผู้ถ่ายทอดแบบอย่างท่ีดีได้ อีกนัยหน่ึง เคร่ืองดนตรีท่ีนักดนตรีท่ีใช้ปฏิบัติก็ถือเป็นครูของนักดนตรีท่ีส�ำคัญอีกอย่างหนึ่งเน่ืองด้วยเรา ต้องบรรเลงหรือปฏิบัติลงที่เครื่องดนตรี ซ่ึงถ้าหากไม่มีเคร่ืองดนตรีท่ีจะบรรเลงก็จะไม่มีครูให้เรา ได้เรียนรู้การปฏิบัติ นักดนตรีท้ังหลายจึงนิยมไหว้ระลึกถึงคุณของเครื่องดนตรีก่อนการบรรเลง และหลังจากบรรเลงเสร็จส้ิน พร้อมท้ังการจับการถือการปฏิบัติประดุจเป็นครูท่ีมีชีวิตจะไม่น�ำมา บรรเลงโดยประมาท ไม่เดินข้าม ไม่เล่นด้วยความขาดสติ และจะเก็บไว้ในท่ีเหมาะสมอีกด้วย นักดนตรีส่วนใหญ่ถือว่าเครื่องดนตรีเป็นของส�ำคัญเป็นของสูงจึงมีการไหว้เครื่องดนตรี ก่อนบรรเลงหรอื หลังจากบรรเลงเสรจ็ สน้ิ รวมท้งั ท�ำพธิ ไี หว้ครูเครื่องดนตรเี ป็นประจ�ำทุก ๆ ปี วารสารวชิ าการ 37

ข้ันท่ี 1 วางนิ้วและไลร่ ะดับเสยี งแคนในโมเดล (K1) ข้นั ที่ 2 อา่ นและทอ่ งโนต้ เพลงที่จะปฏบิ ตั ิ (K2) ขั้นที่ 3 ทอ่ งโน้ตเพลงพร้อมกบั วางน้ิวในต�ำแหน่งเสยี ง ของโมเดลแคน (K3) ขัน้ ท่ี 4 ฝึกวางน้ิวลงท่ีแคนจรงิ (K4) ขั้นท่ี 5 ฝกึ เปา่ แคนและพัฒนาฝีมอื ในการเป่าแคน (K5) ขัน้ ท่ี 6 ไหวร้ ะลึกถึงคุณครูและการเก็บรักษา (K6) แผนภาพที่ 2 ขน้ั ตอนและวธิ กี ารฝึกเป่าแคนโดยใช้ K6 Model 38 วารสารวชิ าการ

สามารถศึกษารายละเอียดข้ันตอนและวิธีการฝึกเป่าแคน โดยใช้ K6 Model ตาม QR Code คลปิ วดิ ีโอ เอกสารประกอบ เป่าแคนโดยใช้ K6 Model เป็นหลักการเป่าแคนท่ีอาศัยท�ำความเข้าใจในขั้นตอนและ วิธีการ คือ ศึกษาต�ำแหน่งเสียงแคน ศึกษาโน้ตเพลงแคน ปฏิบัติการเป่าแคน เก็บรักษาแคน พัฒนาฝีมือการเป่าแคน และไหว้และระลึกถึงคุณครู การฝึกเป่าแคนเบื้องต้นนั้นจ�ำเป็นต้องอาศัย ทั้ง K6 Model และแคนประกอบกันเพื่อให้การฝึกหัดเป่าแคนก็จะสามารถเป่าแคนเป็น ในเวลาอนั สัน้ อกี ท้ังยงั สามารถถ่ายทอดอารมณ์เพลงให้เกดิ สนุ ทรยี ภาพด้านคตี ศิลปไ์ ด้ เอกสารอา้ งองิ เฉลิมศักด์ิ พกิ ลุ ศรี. (2536). วิธกี ารศึกษาดนตรพี นื้ บ้าน. วารสารมนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร,์ 10(2), 43-46. ณรทุ ธ์ สุทธจิตต.์ (2541). จิตวิทยาการสอนดนตร.ี ส�ำนักพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ณรทุ ธ์ สทุ ธจิตต์. (2555). ดนตรศี กึ ษา : หลกั การและสาระสำ� คญั . ส�ำนกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. บญุ เลศิ จันทร. (2531). แคน ดนตรพี นื้ เมอื งภาคอสี าน. ส�ำนกั พิมพโ์ อเดยี นสโตร์. บษุ กร ส�ำโรงทอง, ภัทรวดี ภชู ฎาภริ มย,์ และ ข�ำคม พรประสิทธ์ิ. (2551). แคน. สำ� นกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. บุษกร บณิ ฑสนั ต์ และ ขำ� คม พรประสทิ ธ์.ิ (2551). โปงลาง. สำ� นกั พมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ประกฤติ เยาวพนั ธ์ุ. (2549). คู่มือการบรรเลงเครื่องดนตรพี ื้นเมอื งอีสานเบ้อื งต้น. โรงเรียนบัวใหญพ่ ิทยาคม. มนัสพงศ์ ภูบาลช่นื . (2558). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรยี นรศู้ ลิ ปะ เรือ่ ง ดนตรีพน้ื บ้านอีสาน ช้นั ประถมศึกษา ปีที่ 5 ตามแนวความคิดของโซลตาน โคดาย [วิทยานพิ นธป์ ริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ , มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม]. สราวฒุ ิ สีหาโคตร. (2557). การศกึ ษากระบวนการถ่ายทอดการบรรเลงแคนลายแมบ่ ทของครูสมบตั ิสิมหล้า [วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญา ครุศาสตรมหาบณั ฑติ , จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ]. สุกจิ พลประถม. (2536). การเป่าแคนแบบพ้นื บา้ นอีสาน [วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑิต, มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ]. ส�ำเร็จ ค�ำโมง. (2538). ดนตรีอสี าน : แคนและดนตรีอืน่ ๆ ที่เก่ยี วขอ้ ง. ประสานการพมิ พ์. อุเทน อินทโร. (2548). การดแู ลรกั ษาเครือ่ งดนตร.ี หา้ งหุ้นส่วนจ�ำกัดจงเจรญิ การพิมพ์. วารสารวิชาการ 39

หนังสือดีเด่น ประจำ� ปี พ.ศ. 2564 ส�ำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพ้ ื นฐาน กล่มุ พัฒนาและส่งเสรมิ วิทยบรกิ าร ส�ำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มีผลกระทบอย่างมาก ตอ่ การศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ ารจงึ ได้ก�ำหนดรปู แบบการเรียนการสอน โดยมี 5 รูปแบบ ไดแ้ ก่ On-Site, On-Air, On-Demand, On-Line และ On-Hand เพื่อให้สถานศึกษาน�ำไปจดั การเรยี น การสอนตามความเหมาะสมในแต่ละพ้ืนที่ของสถานศึกษา อีกท้ัง ยังได้จัดท�ำเว็บไซต์ ครูพร้อม.com เพื่อเป็นคลังส่ือข้อมูลการเรียนรู้ ตลอดจนรูปแบบการจัดกิจกรรม มีการจัดแบ่ง หัวข้อ-หมวดหมู่ตามความสนใจ เป็นการบูรณาการเพ่ือความสะดวกรวดเร็วในการใช้งาน ช่วยอ�ำนวยความสะดวกใหผ้ เู้ รียนทกุ กล่มุ ทง้ั ครู ผ้บู ริหาร และผปู้ กครอง สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน (สพฐ.) เห็นว่า ในชว่ งสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ท�ำให้รูปแบบการด�ำเนินชีวิตแตกต่างจาก อดตี หรอื เรียกวา่ “New Normal” เป็นสง่ิ ทน่ี ักเรียนทกุ คน จะตอ้ งปรับเปลีย่ นพฤติกรรมในช่วงน้ี จากทเ่ี คยออกจากบา้ นเพอื่ ไปโรงเรยี น กต็ อ้ งเรยี นรทู้ กุ อยา่ งทบ่ี า้ น เพราะการเรยี นรยู้ งั ตอ้ งดำ� เนนิ อยู่ แม้นักเรียนไม่สามารถไปโรงเรียนได้ตามปกติ การอ่านจึงถือเป็นหน่ึงกิจกรรมที่ใช้เวลาว่างให้เกิด ประโยชน์และสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ดี ซึ่ง สพฐ. ได้ด�ำเนินการจัดประกวดหนังสือดีเด่น อย่างต่อเน่ืองเป็นประจ�ำทุกปี จนถึงปัจจุบัน เพ่ือส่งเสริมการผลิตหนังสือภาษาไทยที่มีคุณภาพ และสารประโยชน์ อันจะส่งผลดีต่อการสร้างนิสัยรักการอ่านและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ท่ยี ่ังยนื 40 วารสารวิชาการ

การประกวดหนังสือดีเด่น ประจ�ำปี พ.ศ. 2564 มีผู้จัดพิมพ์ ผู้ประพันธ์ ผู้จัดท�ำ ภาพประกอบ โรงพมิ พ์ และหน่วยงานตา่ ง ๆ เสนอหนงั สอื เข้าสู่การประกวดรวมทัง้ ส้ิน 336 เร่ือง โดยแบ่งเปน็ ประเภท ดังนี้ 1) หนงั สอื สารคดี (ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดลอ้ ม) 8 เรอื่ ง 2) หนงั สอื สารคดี (ดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม ประวตั ศิ าสตร์ ศาสนา และชวี ประวตั )ิ 18 เรอื่ ง 3) หนงั สอื สารคดี (ดา้ นการทอ่ งเทย่ี ว อาหาร ฯลฯ) 11 เรอ่ื ง 4) หนงั สอื นวนยิ าย 16 เรอ่ื ง 5) หนงั สอื กวนี พิ นธ์ 24 เรอ่ื ง 6) หนงั สอื รวมเรอื่ งสนั้ 15 เรอ่ื ง 7) หนงั สอื สำ� หรบั เดก็ เลก็ อายุ 3 - 5 ปี 108 เรอื่ ง 8) หนงั สอื สำ� หรบั เดก็ อายุ 6 - 11 ปี (บนั เทงิ คด)ี 15 เรอ่ื ง 9) หนงั สอื สำ� หรบั เดก็ อายุ 6 - 11 ปี (สารคด)ี 4 เรอื่ ง 10) หนงั สอื สำ� หรบั เดก็ วยั รนุ่ อายุ 12 - 18 ปี (บนั เทงิ คด)ี 18 เรอื่ ง 11) หนงั สอื สำ� หรบั เดก็ วยั รนุ่ อายุ 12 - 18 ปี (สารคด)ี 9 เรอ่ื ง 12) หนงั สอื สำ� หรบั เดก็ วยั รนุ่ อายุ 12 - 18 ปี (บทรอ้ ยกรอง) 12 เรอื่ ง 13) หนงั สอื การต์ นู และ หรอื นยิ ายภาพทวั่ ไป 3 เรอื่ ง 14) หนงั สอื การต์ นู และ หรอื นยิ ายภาพสำ� หรบั เดก็ 4 เรอ่ื ง 15) หนงั สอื การต์ นู ปกณิ กะเชงิ สรา้ งสรรค์ 2 เรอ่ื ง 16) หนงั สอื สวยงามทว่ั ไป 10 เรอ่ื ง 17) หนงั สอื สวยงามสำ� หรบั เดก็ 59 เรอื่ ง ผลการประกวดหนังสือดีเด่น ประจ�ำปี พ.ศ. 2564 มีหนังสือได้รับรางวัล 53 เรื่อง เปน็ รางวลั ดเี ด่น 14 เร่ือง และรางวัลชมเชย 39 เรอื่ ง ได้แก่ วารสารวิชาการ 41

รางวัลดีเด่น หนังสือสารคดี (ด้านศิลปวฒั นธรรม ประวตั ิศาสตร์ ศาสนา และชวี ประวตั ิ) เร่อื ง สูญแผ่นดนิ สนิ้ อำ� นาจ : วาระสดุ ท้าย ของแมนจู จากภาพถ่ายท่ีพบในสยาม “สูญแผ่นดิน สิ้นอ�ำนาจ : วาระสุดท้ายของแมนจู จากภาพถ่ายท่ีพบในสยาม” หนังสือประวัติศาสตร์โบราณ ซึ่งตามปกติการประพันธ์เรื่องดังกล่าว ผู้ประพันธ์มักค้นคว้า หาขอ้ มลู จากเอกสารทน่ี กั ปราชญ์ นักเดนิ ทาง พอ่ คา้ วาณชิ ย์ในสมัยนน้ั ๆ ได้บนั ทกึ ไวป้ ระการหนง่ึ กับความเก่ียวเนื่องของรูปภาพและศิลปะประการหนึ่ง เป็นเอกสารอ้างอิงในการเขียน ประวัติศาสตร์โบราณ แต่หนังสือเรื่องน้ีกล่าวถึงประวัติศาสตร์โบราณท่ีชาวแมนจู ซ่ึงเป็น ชนกลมุ่ นอ้ ยทเ่ี รร่ อ่ นอยใู่ นเขตแมนจเู รยี ทางตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของจนี จนสามารถยดึ แผน่ ดนิ จนี ต้ังราชวงศ์ชิงอันรุ่งเรืองและเส่ือมส้ินราชวงศ์ พ.ศ. 2454 เปล่ียนการปกครองเป็นจีนใหม่ ท่ีปกครองด้วยระบบสาธารณรัฐ โดย กรกิจ ดิษฐาน นักค้นคว้าอิสระด้านประวัติศาสตร์เอเชีย ตะวนั ออก ไดป้ ระพันธ์ขน้ึ จากภาพถา่ ยเก่า 100 กวา่ ปีท่ีพบในประเทศไทย จำ� นวนกวา่ 200 ภาพ ของช่างภาพนิรนาม ผู้ประพันธ์ต้องใช้ความพยายามในการตรวจสอบภาพ แล้วเรียงล�ำดับ เหตุการณ์ท่ีเกิดตามกาลเวลา จนได้ประวัติศาสตร์จีนโบราณที่อธิบายความให้เห็นความสัมพันธ์ เชื่อมโยงระหว่างสยามกับจีน จีนกับเกาหลี จีนกับญ่ีปุ่น และจีนกับชนชาติตะวันตก โดยเฉพาะ ความเช่ือมโยงระหว่างสยามกับจีน ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีมาต้ังแต่สมัยอยุธยา แต่จีน เข้าใจว่าเป็นความสัมพันธ์ในฐานะเป็นข้าขอบขัณฑสีมาท่ีต้องมอบเครื่องบรรณาการจ้ิมก้องต่อจีน เป็นประจ�ำ หนงั สอื เรื่อง สูญแผ่นดิน ส้นิ อ�ำนาจ : วาระสดุ ทา้ ยของแมนจู จากภาพถา่ ยที่พบในสยาม ของ กรกิจ ดิษฐาน จัดพิมพ์โดย บรษิ ทั สำ� นกั พิมพ์ สยาม เรเนซองส์ จำ� กดั จึงไดร้ บั รางวัลดเี ดน่ ประเภทหนงั สือสารคดี ด้านศลิ ปวัฒนธรรม ประวตั ิศาสตร์ ศาสนา และชีวประวัติ ในการประกวด หนังสอื ดีเดน่ ประจ�ำปี พ.ศ. 2564 42 วารสารวิชาการ

รางวัลดีเด่น หนังสือสารคดี (ด้านการท่องเที่ยว อาหาร ฯลฯ) เร่อื ง ศิลปกรรมวดั ราชบพิธสถิตมหาสมี าราม “ศิลปกรรมวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม” หนังสือที่ว่าด้วยส่ิงส�ำคัญของวัดราชบพิธ สถติ มหาสมี าราม สามประการ คอื 1) ประวตั ขิ องวดั ราชบพิธสถติ มหาสมี าราม ผู้ประพนั ธไ์ ด้เล่า ประวัติของวัดว่าเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มใหส้ ถาปนาขนึ้ เมอ่ื พทุ ธศกั ราช 2412 ภายหลงั เสดจ็ ข้ึนครองราชย์ได้ 1 ปี เพื่ออนุวัตตรวจสอบตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ ทรงท�ำนุบ�ำรุงพระพุทธศาสนา ปัจจุบันนับเป็นวัดประจ�ำรัชกาลในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว 2) ศิลปกรรม ผู้ประพนั ธใ์ หร้ ายละเอยี ดในการก่อสรา้ งว่า มีพระวรวงศเ์ ธอพระองค์เจา้ ประดิษฐวรการ ทรงเปน็ แม่กองใหญ่ มีช่างออกแบบ ชา่ งมกุ ช่างไม้ ชา่ งเขยี นลายประเภทต่าง ๆ งานศิลปกรรมภายนอกศาสนสถานทุกอย่างจึงเป็นแบบประเพณีไทย ส่วนการตกแต่งภายใน ศาสนสถานออกแบบอย่างศิลปะตะวันตก จึงนับเป็นตัวอย่างหนึ่งของงานพุทธศิลป์ในสมัย รัชกาลที่ 5 ท่ีแสดงการผสมผสานงานช่างระหว่างศิลปะไทยและศิลปะตะวันตกอย่างลงตัวและ สวยงาม ทั้งยังมีการคิดค้นงานประดับตกแต่งอย่างใหม่คือ งานประดับด้วยกระเบื้องเบญจรงค์ ทงั้ พระเจดยี ์ ผนังพระอโุ บสถ พระวหิ ารอน่ื ๆ ในเขตพุทธาวาส งานประดบั มกุ บานประตู หนา้ ตา่ ง เปน็ ลวดลายเครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์ จงึ ทำ� ใหว้ ดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี ารามเปน็ วดั หนง่ึ ทม่ี คี วามวจิ ติ ร สวยงามยงิ่ ดว้ ยศลิ ปะไทย 3) สสุ านหลวง ผปู้ ระพนั ธไ์ ดใ้ หร้ ายละเอยี ดความเปน็ มาของสสุ านหลวงวา่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเนศธ�ำรงศักด์ิ ท�ำเจดีย์เพื่อบรรจุพระอัฐิสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ต่อมา พระราชธดิ าและพระพนั วสั สาอยั ยกิ าเจา้ สน้ิ พระชนม์ จงึ โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มใหส้ ถานทแี่ หง่ น้ี เป็นเขตสุสานหลวง อนุสาวรีย์และเจดีย์ท่ีสุสานหลวงมีรูปแบบศิลปกรรมท่ีหลากหลาย คือ มที ั้งศลิ ปะไทย ศิลปะเขมร ศลิ ปะแบบโกธคิ แบบคลาสสิค และศิลปะแบบไทยประยกุ ต์ จงึ ทำ� ให้ สสุ านหลวงของวดั ราชบพิธสถติ มหาสมี ารามแหง่ นี้ มคี วามวจิ ติ รงดงามดว้ ยศลิ ปะที่หลากหลาย วารสารวิชาการ 43

ความส�ำคัญของหนังสือศิลปกรรมวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามทั้งสามประการดังกล่าว ผู้ประพันธ์มีหลักฐานเอกสารอ้างอิง มีภาพสีที่สวยงามประกอบ ทั้งอธิบายให้เห็นความสวยงาม ของศิลปะแตล่ ะชนิดไดอ้ ย่างชดั เจน หนงั สอื เรอื่ ง ศลิ ปกรรมวดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม ของ ศาสตราจารย์ ดร. ศกั ดช์ิ ยั สายสงิ ห์ และคณะ จัดพิมพ์โดย วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จึงไดร้ ับรางวัลดเี ดน่ ประเภทหนงั สอื สารคดี ด้านการทอ่ งเทีย่ ว อาหาร ฯลฯ ในการประกวดหนังสือดีเดน่ ประจำ� ปี พ.ศ. 2564 รางวัลดีเด่น หนังสือนวนิยาย เรือ่ ง สุสานสยาม “สุสานสยาม” หนังสือนวนิยายแนวดิสโทเปีย น�ำเสนอเร่ืองราวของ “สยามอลังการ” ดินแดนในโลกอนาคตซึ่งเปรียบได้กับ “ถังขยะ” ใบใหญ่ ตัวละครสังกัดอยู่ในชนชั้นต่าง ๆ ได้แก่ ชนช้ันขยะเปียก ขยะทั่วไป ขยะรีไซเคิล และชนช้ันฝาถัง (ชนชั้นปกครอง) เนื้อเรื่องกล่าวถึง ความขัดแย้งระหว่างแนวคิดอนุรักษ์นิยมกับเสรีนิยม มีแกนหลักอยู่ท่ีการรณรงค์ของฝ่ายชนชั้น ปกครองให้ประชาชนลงคะแนนต่ออายุ “แผนแม่บทสยามติงสติวรรษ” ซ่ึงจะใช้ก�ำกับดูแลสยาม เป็นเวลา 30 ปี ตลอดเรื่องน�ำเสนอชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่แร้นแค้น ขาดสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียม การบริหารประเทศที่ไร้ประสิทธิภาพ และการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย นอกจากนั้น ยังมีเร่ืองโรคประหลาดท่ีท�ำให้ผู้ติดเชื้อกลายเป็น “ซอมบี้” ฆ่าคนกินสมอง แม้เน้ือหาหลายตอน จะดูโหดร้าย รุนแรง น่าสะอิดสะเอียน แต่ก็สอดคล้องกับแนวเร่ืองดิสโทเปีย ซึ่งมุ่งน�ำเสนอ ภาพสงั คมอันไมพ่ งึ ประสงค์ ด้านวรรณศิลป์ มีกลวิธีการเล่าเร่ืองท่ีโดดเด่นและชวนติดตาม ด้วยการน�ำเร่ืองราวและ เหตกุ ารณใ์ นสงั คมไทยปจั จบุ นั มาปรงุ แตง่ และผสมผสานเขา้ กบั จนิ ตนาการ สำ� นวนภาษาทใ่ี ชเ้ ปน็ ไป 44 วารสารวชิ าการ

อย่างสร้างสรรค์และเหมาะสมกับเน้ือหา มีการใช้ค�ำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศท่ีชวนขันและ ชวนให้เกิดการตีความ นอกจากนั้น การเปิดเรื่องด้วยลีลาการเขียนอย่างพงศาวดารไทย ยังเป็น การเล่นล้อกับขนบการเขียนโบราณ เพ่ือแสดงให้เห็นว่า เนื้อเร่ืองท่ีน�ำเสนอในนวนิยายนั้น เป็นประวตั ิศาสตร์แหง่ ยคุ อนาคต ด้วยคุณลักษณะท่ีโดดเด่นทั้งด้านเน้ือหาและกลวิธีทางวรรณศิลป์ นวนิยายเรื่อง สุสานสยาม ของ ปราบต์ จัดพิมพ์โดย แพรวส�ำนักพิมพ์ ในเครือบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พบั ลชิ ชงิ่ จำ� กดั (มหาชน) จงึ ไดร้ บั รางวลั ดเี ดน่ ประเภทหนงั สอื นวนยิ าย ในการประกวดหนงั สอื ดเี ดน่ ประจำ� ปี พ.ศ. 2564 รางวัลดีเด่น หนังสือกวีนิพนธ์ เร่อื ง ฝูงนกเหนอื วหิ าร “ฝูงนกเหนือวิหาร” หนังสือรวมกวีนิพนธ์ท่ีผู้ประพันธ์สะท้อนมุมมองท่ีมีต่อสังคม ผา่ นสายตาและจนิ ตนาการอนั ลมุ่ ลกึ สอ่ื ความหมายของชวี ติ กา้ วผา่ นวยั เยาวจ์ นเตบิ โตดว้ ยความสขุ “เพราะมีเพื่อนเดือนปีจึงมีค่า ร่วมก้าวผ่านกาลเวลาหาความหมาย” (เพ่ือน : กับความหลัง เบื้องหน้าเรา) “ความทุกข์ความหวัง แนบฝั่งน�้ำยามหนาวไร้ดาวเหนือ เอาหัวใจเป็นใบเรือ เตมิ เช้ือฝัน” (ฝง่ั น�ำ้ ยามหนาว) ท้ังอดตี และปจั จบุ ัน สะท้อนภาพสงั คมท่ีเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ดว้ ยเทคโนโลยี รวมทง้ั แฝงนยั ยะแหง่ ธรรมะไวอ้ ยา่ งแนบเนยี น ใหข้ อ้ คดิ และแนวทางในการแกป้ ญั หา ด้วยวิจารณญาณอย่างมีเหตุผลและน่าสนใจ ด้วยความสมบูรณ์ของเนื้อหาและศิลปะของ การประพันธ์ และการใช้ภาษาท่ีคมคาย มีชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ ผู้อ่านจึงรับรู้ได้ถึงสุนทรียภาพ ของนามธรรม ซ่ึงลงตัวกับรูปธรรมของบทกวีท่ีมีพลังอันสงบแต่ทว่าสง่างาม “สงบสงัด ณ ชัฏรก ร่วงตกลงแตกแทรกไหว ภายนอกฝูงนกแนน่ ไพร ภายในวหิ ารเงยี บง�ำ” (ฝูงนกเหนือวิหาร) วารสารวิชาการ 45

หนงั สอื เรอ่ื ง ฝงู นกเหนอื วหิ าร ของ โชคชัย บณั ฑติ ’ จัดพิมพโ์ ดย โชคชยั บัณฑิตศลิ ะศักด์ิ จึงไดร้ บั รางวัลดเี ด่น ประเภทหนังสือกวีนพิ นธ์ ในการประกวดหนังสอื ดเี ดน่ ประจำ� ปี พ.ศ. 2564 รางวัลดีเด่น หนังสือรวมเร่อื งสั้น เร่อื ง คนื ปเี สือ และเรอ่ื งเล่าของสตั วอ์ นื่ ๆ “คนื ปเี สือ และเรอ่ื งเล่าของสตั วอ์ ืน่ ๆ” หนังสือรวมเร่อื งส้ันวา่ ดว้ ยเร่อื งราวของ “ผูค้ น” และสรรพสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในหลากหลายพ้ืนท่ีท้ังในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ผสมผสานกับสังคมยุคดิจิทัลและสีสันท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน โดยใช้สัตว์ส่ือความหมายเพ่ือ เสียดเย้ยความเป็นมนุษย์ ให้สำ� นกึ รู้วา่ แท้ทีจ่ รงิ มนุษย์มิได้ต่างจากสัตว์ทต่ี นเองเห็นว่าต�ำ่ ตอ้ ยกวา่ เพราะไมว่ า่ คนหรือสัตว์ต่างกอ็ ยูใ่ นวงั วนกเิ ลสตณั หาทหี่ าทางออกไมไ่ ด้ ไมว่ ่าจะเปน็ เรอื่ งในต�ำนาน เรื่องปัจจุบัน หรือแม้แต่เรื่องท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต แท้จริงมนุษย์และสัตว์ต่างเท่าเทียมกัน ในแง่ ของสง่ิ มชี วี ิตบนโลกใบน้ี นอกจากนี้ ยงั เสนอมุมมองแปลกใหม่ว่า ตำ� นานทมี่ มี าในอดตี ก็เปน็ เพยี ง เรื่องเล่าขานด้วยความอยากรู้ของคนในสังคม และสอดแทรกความคิดของผู้เล่าให้สนุกสนาน น่าติดตาม เมื่อกาลเวลาผ่านมาเนิ่นนานก็กลายเป็นต�ำนานท้องถิ่น เร่ืองส้ันล้วนแสดงชีวิตที่ ด�ำเนนิ อย่างเรียบง่าย แฝงข้อคิด และจบลงด้วยความเรยี บงา่ ยเชน่ กัน ทว่ากลวิธีการน�ำเสนอเร่ืองสั้นชุดน้ีมิได้เรียบง่ายแต่อย่างใด ด้วยผู้ประพันธ์ได้ใช้กลวิธี การเขียนหลากหลายและซับซ้อน ท้ังขนบการเขียนเรื่องส้ันแบบดั้งเดิม การเล่าเร่ืองซ้อนเร่ือง และกลวิธีการเล่าเร่ืองเหนือจริง ต�ำนาน และเรื่องสมัยใหม่ แต่ก็เป็นเสน่ห์ชวนให้อ่านที่ท�ำให้ ผู้อา่ นต้องพจิ ารณาไตร่ตรองและขบคดิ เพ่อื จะเข้าใจสาระของเร่อื งทีผ่ ู้ประพันธ์แฝงเร้นไว้ หนังสือเรื่อง คืนปีเสือ และเรื่องเล่าของสัตว์อื่น ๆ ของ จเด็จ ก�ำจรเดช จัดพิมพ์โดย ผจญภยั ส�ำนักพมิ พ์ จึงได้รบั รางวลั ดีเด่น ประเภทหนงั สอื รวมเรอื่ งสั้น ในการประกวดหนงั สอื ดเี ดน่ ประจำ� ปี พ.ศ. 2564 46 วารสารวิชาการ

รางวัลดีเด่น หนังสือส�ำหรบั เด็กเล็ก อายุ 3 - 5 ปี เรอ่ื ง แตงโมลกู โตโต “แตงโมลูกโตโต” หนังสือนิทานส้ัน ๆ เล่าเรื่องลูกสัตว์สองตัวแบ่งแตงโมลูกโตให้ตนเอง และยงั แบง่ ปันใหเ้ พ่อื นลูกสัตว์อื่น ๆ ไปทลี ะหน้า โดยเรมิ่ จากแบ่งคร่งึ สองส่วน และเพม่ิ จำ� นวนขึ้น เปน็ สัดสว่ น จากสองเป็นส่ีและเป็นแปด นี่คอื การสอนนับตวั เลข และการนับสดั สว่ นผา่ นการแบง่ แตงโมออกเป็นช้นิ ๆ เจด็ ชนิ้ ส�ำหรับลกู สตั ว์เจด็ ตวั ส่วนชิน้ ท่แี ปดคือปริศนาว่าเป็นของผใู้ ด จุดมุ่งหมายของหนังสือเล่มนี้ ต้องการแนะแนวคิดตัวเลข การนับสัดส่วนโดยเร่ิมจาก แตงโมหน่ึงลูก แบ่งเป็นสองชิ้น สี่ชิ้น แปดช้ิน รวมได้แตงโมแปดช้ิน เนื้อเร่ืองยังสอดแทรก คุณธรรมการแบ่งปันให้ผู้อื่น และความรัก ความผูกพันระหว่างลูกกับแม่ ผู้ผ่าแตงโมจึงได้แตงโม ชน้ิ สดุ ท้ายนี้ หนังสือเร่ืองนี้อยู่ในโครงการขององค์การช่วยเหลือเด็ก ร่วมกับมูลนิธิสร้างเสริม วัฒนธรรมการอ่าน จึงมีภาษามลายูรวมอยู่ด้วย ผู้แปลคือผู้ที่ใช้ภาษามลายู ภาษาไทยท่ีใช้ใน หนังสือใช้ประโยคข้อความสั้นกะทัดรัด ด�ำเนินเรื่องรวดเร็วโดยใช้การพูดสนทนาของลูกสัตว์ โต้ตอบกันเป็นเรื่องราว จึงชวนให้อยากอ่าน อยากติดตาม อยากรู้เรื่องต้ังแต่ต้นจนจบเรื่องว่า แตงโมแต่ละช้ินเปน็ ของตวั ใด ภาพประกอบในเรื่อง ใช้ลายเส้นรังสรรค์ให้ลูกสัตว์แต่ละคู่แต่งกายแบบมุสลิมรวมทั้ง ผู้เป็นแม่ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการที่มุ่งหมายให้เด็กชายแดนภาคใต้ได้อ่าน การจัด หน้าในหนังสือจัดท�ำได้ดีมาก มีความริเริ่มสร้างสรรค์ ชวนให้ติดตามเรื่อง ลายเส้นตัวละคร แสดงอากัปกิริยาท่าทางเหมือนลักษณะและท่าทางที่เด็กแสดงจริงทุกประการ โดยเฉพาะในหน้า ก่อนสุดท้ายและหน้าสุดท้ายที่ตัวละครรับประทานแตงโม และแบ่งปันชิ้นแตงโม ภาพในหน้าน้ี ยังสามารถดึงให้ผู้อ่านเข้ามามีส่วนร่วม โดยให้ผู้อ่านเดาว่า แตงโมช้ินท่ียังไม่ได้รับประทานเป็น วารสารวิชาการ 47

ของผู้ใด ดังภาพค�ำตอบปรากฏในปกหลัง เรื่องราวจึงจบอย่างน่ารักด้วยความรักความผูกพัน ระหว่างแมแ่ ละลกู หนงั สอื เรอ่ื ง แตงโมลกู โตโต ของ ระพพี รรณ พฒั นาเวช จดั พมิ พโ์ ดย องคก์ ารชว่ ยเหลอื เดก็ (Save the Children) รว่ มกับมลู นธิ ิสรา้ งเสรมิ วัฒนธรรมการอ่าน จงึ ได้รบั รางวัลดีเดน่ ประเภท หนงั สอื ส�ำหรบั สำ� หรบั เด็กเล็ก อายุ 3 - 5 ปี ในการประกวดหนงั สือดีเด่น ประจ�ำปี พ.ศ. 2564 รางวัลดีเด่น หนังสือส�ำหรบั เด็ก อายุ 6 - 11 ปี (บันเทิงคดี) เรื่อง แมววดั “แมววัด” หนังสือที่น�ำเสนอเร่ืองราวของผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ ท่ีอาศัยอยู่ภายในวัด โดยเขียนบันทึกเล่าเร่ืองของเด็กอายุ 9 ขวบ ระหว่างบวชเป็นสามเณรช่วงปิดเทอมที่วัดป่า ธรรมอุทยาน ด้วยการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัดผ่านแมวช่ือนินจา โดยการสังเกตพฤติกรรมของ สัตวต์ า่ ง ๆ ภายในวดั ท้ังสัตวเ์ ล็กและสัตวใ์ หญ่ ไดแ้ ก่ แมว สนุ ขั จระเข้ วัว เมน่ นกยงู เตา่ กิ้งกอื แมลงเม่า มด ฯลฯ และจินตนาการวา่ สัตวท์ กุ ตวั ในวัดพูดคุยกนั ร้เู รือ่ ง ผู้ประพันธ์เล่าเรื่องได้สนุก ชวนติดตาม ใช้ภาษาง่ายแบบเด็ก ๆ จึงอ่านเข้าใจได้ง่าย โดยไม่ต้องตีความ บรรยายฉาก ตัวละคร ทั้งผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนเห็นภาพ มคี วามรสู้ กึ รว่ มไปกบั ตวั ละคร รวมทงั้ บรรยากาศภายในวดั ไดอ้ ยา่ งดี ดงั ตวั อยา่ ง นนิ จาเลา่ เรอื่ งของแม่ และน้องชายว่า “ฉันมีแม่ช่ือ บีเก้ิล ลักษณะของแม่ฉัน มีสีคล้ายหมาบีเก้ิล แม่ของฉันจึงชื่อว่า บีเกล้ิ แต่แม่ฉันตายเพราะโรคระบาด... ฉนั มนี ้องชายชื่อฝอยทอง เพราะมีขนเป็นสีทองสลบั ขาว... ส่วนฉันนั้นเป็นสีด�ำตัวเดียวในพี่น้องเช่นกัน แม่ฉันเลี้ยงลูกดีมาก ฉันได้นิสัยรักเด็กมาจากแม่ และฝอยทองกเ็ ช่นกนั ...” 48 วารสารวชิ าการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook