บทท่ี ๒ ทัศนะเร่ืองจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ๔ษ๘า ๓ : 49 ประเภท โดยแบง ตามการอบรมคุณธรรมคือ อินทรีย ๕ ไดแก สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา ไม เทา กนั คอื แรงกลา ปานกลาง และออน คือ ๑) เอกพีชีโสดาบัน คือ พระโสดาบันท่ีจะเกิดอีกชาติเดียวก็จะบรรลุเปนพระอรหันต เพราะมอี ินทรยี ๕ ประการ คอื สทั ธา วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แกก ลา แลว ๒) โกลังโกลโสดาบัน คือ พระโสดาบันที่จะตองเกิดอีก ๒ – ๖ ชาติ ก็จะบรรลุเปนพระ อรหันต เพราะเปนผูมอี ินทรยี ๕ ประการ คือ สัทธา วิรยิ ะ สติ สมาธ ิ ปญ ญา แกกลาแลว ปานกลาง ๓) สตั ตักขัตตุปรมโสดาบัน คือ พระโสดาบันทจี่ ะตองเกิดอีก ๗ ชาติ จึงจะบรรลุเปนพระ อรหนั ต เพราะเปนผมู ีอนิ ทรยี ๕ ประการ คอื สทั ธา วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แกกลา แลว ออ น (๒) พระสกทาคามี พระสกทาคามบี ุคคล มี ๕ ประเภท คอื ๑) บุคคลผสู าํ เร็จเปน พระสกทาคามใี นมนุษยโลก แลว ทําความเพียรจนบรรลุพระอรหนั ต ๒) บคุ คลผูสาํ เร็จเปนพระสกทาคามใี นเทวโลก แลวทําความเพียรจนบรรลพุ ระอรหนั ต ๓) บคุ คลผสู ําเรจ็ เปนพระสกทาคามีในมนษุ ยโลก ไปบังเกิดบนเทวโลกแลว ทําความเพียร จนบรรลุพระอรหนั ต ๔) บคุ คลผูสาํ เรจ็ เปน พระสกทาคามีในเทวโลก มาบังเกดิ ในมนุษยโลก แลว ทาํ ความเพียร จนบรรลุพระอรหนั ต ๕) บุคคลผูสําเรจ็ เปน พระสกทาคามใี นมนุษยโลก ไปบังเกิดบนเทวโลก แลวกลับมาเกิด ในมนษุ ยโลกอีกคร้ังหน่งึ ทําความเพยี รแลว บรรลพุ ระอรหนั ต (๓) พระอนาคามี พระอนาคามีทัง้ หมดเมื่อบรรลอุ นาคามผิ ลจติ แลว จะจะไมมาบังเกิดในมนุษยโลกอีก จะ ไปบังเกิดในรูปพรหมช้ันสุทธาวาสภูมิ ๕ ช้ัน คือ ชั้นอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐา หรอื จะไปบงั เกดิ ในรูปพรหมอกี ๑๐ ชั้นท่ีนอกเหนือจากชั้นสุทธาวาสทั้ง ๕ ชั้นอสัญญสัตตภูมิ ๑ และอรปู พรหมโลก ๔ พระอนาคามบี คุ คล มี ๕ ประเภท คือ ๑) พระอนาคามีที่ไปบังเกดิ ในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต แลวนิพพานใน กงึ่ แรกของอายุในภูมนิ ัน้ ๒) พระอนาคามี ทไี่ ปบังเกิดในพรหมโลกช้ันใดชน้ั หน่ึง บรรลุพระอรหันต แลวนิพพานใน กงึ่ หลังของอายใุ นภมู นิ ้นั เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
50 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสอศั นนวะชิเราื่อพงรจะติ ไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๔๙ ๓) พระอนาคามี ท่ีไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหน่ึง บรรลุพระอรหันต โดยไมตองใช ความเพียรมากแลว นพิ พาน ๔) พระอนาคามี ท่ีไปบังเกิดในพรหมโลกช้ันใดช้ันหน่ึง บรรลุพระอรหันต ตองใชความ เพยี รมากแลวนพิ พาน ๕) พระอนาคามี ทีไ่ ปบังเกิดในชัน้ สทุ ธาวาสภมู ิ ต้งั แตช้ันที่ ๑ ถึงชั้นท่ี ๕ ตามลําดับ แลว เขา นพิ พาน ในชั้นท่ี ๕ นน้ั (๔) พระอรหันต คําวา อรหันต แปลวา ไกลจากกิเลส สามารถทําลายกิเลสท้ังปวงโดนส้ินเชิง กิเลสไม สามารถกลับขึ้นมาอีกได ไดแก การทําลายอกุศลจิตไดครบทั้ง ๑๒ ดวง คือ โลภมูลจิต ๘ ดวง โทสมลู จิต ๒ ดวง และโมหมูลจติ ๒ ดวงครบถวน เขาสภู าวะของพระนพิ พาน พระอรหนั ต มคี าํ เรียกแทนไดไ ดห ลายชื่อ ดงั ตอ ไปนี้ ๑) พระขณี าสพ หมายถึง บคุ คลผูมอี าสวะกิเลสสิ้นแลว ๒) พระอเสขบคุ คล หมายถงึ บุคคลผูไมต อ งศึกษาในศีล สมาธ ิ ปญ ญา เพราะมไี ตรสกิ ขา บริบรู ณแ ลว และไมต องเพียรพยายามเพื่อทําลายกิเลสอีกตอไป พระอรหนั ต ๒ประเภท ๑) พระอรหันตประเภทปญญาวิมุตติ หมายถึง บุคคลผูสําเร็จเปนพระอรหันต โดยการ เจริญวปิ ส สนา ๒) พระอรหนั ตประเภทเจโตวิมุตติ หมายถึง บุคคลผสู ําเร็จเปนพระอรหันต โดยการเจริญ สมถะและวปิ สสนา พระอรหนั ต ๓ ประเภท ๑) พระอรหนั ตสัมมาสมั พุทธเจา ไดแ ก บุคคลผูสําเร็จเปนพระอรหันตโดยการตรัสรูดวย พระองคเอง และสอนผูอ่นื ใหรูตามได ๒) พระปจ เจกพทุ ธเจา ไดแก บุคคลผูส ําเรจ็ เปนพระอรหนั ตตรัสรูด ว ยพระองคเอง แตส อน ผูอน่ื ใหรูต ามไมได ๓) พระอรหันตสาวก ไดแก บุคคลผูส าํ เรจ็ เปน พระอรหันตต ามที่พระสมั มาสัมพทุ ธเจา ทรง สั่งสอน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทัศนะเรอ่ื งจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึก๕ษ๐า ๓ : 51 แบบฝก หัดประจาํ บท จงทาํ ครอ่ื งหมาย X (กากบาท) หนา ขอท่ีถกู ตอ งที่สดุ ๑. สถานทีเ่ กดิ ของจติ คอื ขอ ใด ? ข. ประสาทสมั ผัส ก. รา งกาย ง. หทยั ค. ใจ จ. อายตนะภายใน ๒. จติ ทเ่ี กิดขนึ้ ในแตล ะขณะ รับอารมณไ ดก ่ีอยาง ? ก. ๑ ข. ๒ ค. ๓ ง. ๔ จ. ๕ ๓. ลกั ษณะเฉพาะของจติ ไดแก ขอ ใด ? ก. ไมเ ท่ยี งแท ข.ไมท นอยใู นสภาพเดิม ค. ไมใชตัวตน ง. รับรูอารมณ จ. ถกู ทกุ ขอ ๔. ขอใด คือ อํานาจของจิต ? ก. นกึ อารมณ ข. รบั รอู ารมณ ค. จําอารมณ ง. สัง่ สมกรรมและวบิ าก จ. ถกู ทกุ ขอ ๕. จิตทที่ าํ หนาท่ีรับรูอ ารมณทางทวารท้ัง 6 เรียกวา อะไร ? ก. กศุ ลจติ ข. อกุศลจติ ค. อเหตกุ จติ ง. ภวังคจติ จ. วถิ จี ติ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
52 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสศัอนนะวเิชรา่ือพงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๕๑ ๖. รูปาวจรจิต ไดแก จติ เชนไร ? ก. จิตท่ีตดิ ในรปู ข. จิตท่ตี ดิ ในฌาน ค. จติ ทเี่ ขา ถึงความแนว แน ง. จติ สงบ จ. จติ ที่มคี วามละเอยี ด ๗. ธรรมทเี่ ปนอปุ สรรคตอการเขา ถึงความสงบนงิ่ ในอารมณของจติ เรียกวา อะไร ? ก. อกศุ ล ข. กามาวจร ค. โลกยิ ธรรม ง. นิวรณ จ. ปฏิปกขธรรม ๘. ความตดิ ใจในรูป เสยี ง กลิ่น รส และสัมผสั ทีช่ อบใจเรยี กวา อะไร ? ก. กามฉนั ท ข. พยาบาท ค. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ง. วติ ก จ. ถีนมทิ ธะ ๙. ความเซ็ง และซึมในขณะเรียนหนังสอื เรียกวาอะไร ? ก. พยาบาท ข. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ค. ถีนมทิ ธะ ง. วิจกิ จิ ฉา จ. วจิ าร ๑๐. จิตทเ่ี หมือนนํา้ เดือดพลาน เปรยี บไดก ับธรรมขอใด? ก. ลงั เลสงสยั ข. ฟงุ ซา น ราํ คาญใจ ค. เซง็ และซมึ ง. ติดในอารมณท ี่ชอบใจ จ. ปองรา ยผอู ่นื ๑๑. จิตท่ีเปรยี บเหมอื นนํ้าขุนมีโคลน เปรียบไดกับธรรมขอ ใด ? ก. ความลังเลสงสยั ข. ความฟุงซานราํ คาญใจ ค. ความทอถอยไมใ สใ จ ง. ความปองรายผอู ื่น จ. ความตดิ ใจในอารมณ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ๕ษา๒ ๓ : 53 ๑๒. จิตท่ีเปรียบเหมอื นนาํ้ ทถี่ ูกลมพดั กระเพ่ือมอยเู สมอ เปรยี บไดกับธรรมขอใด ? ก. ความลังเลสงสยั ข. ฟุง ซาน รําคาญใจ ค. ทอถอยไมใสใจ ง. ปองรายผูอ่นื จ. ตดิ ใจในอารมณ ๑๓. จติ ท่ีเปรยี บเหมอื นน้าํ ท่ีมจี อกแหน เปรยี บไดก บั ธรรมขอใด ? ก. ฟุง ซา น รําคาญใจ ข. ลังเลสงสยั ค. ปองรา ยผูอ่ืน ง. ติดใจในอารมณ จ. ทอ ถอย ไมใ สใ จ ๑๔. องคฌ านทีเ่ ปนคปู รับกบั ความติดใจในอารมณค ือขอ ใด ? ก. วิตก ข. วิจาร ค. ปต ิ ง. สุข จ. เอกคั คตา ๑๕. องคฌานท่เี ปน คปู รบั กบั ความลังเลสงสัย คือขอใด ? ก. วติ ก ข. วจิ าร ค. ปต ิ ง. สขุ จ. เอกคั คตา ๑๖. องคฌานที่เปนคปู รบั กับความมุง ปองรา ยผอู น่ื คอื ขอใด? ก. วติ ก ข. วิจาร ค. ปติ ง. สขุ จ. เอกัคคตา ๑๗. ปติ ความอ่มิ เอิบใจ ในขอ ใดจดั เปนองคฌาน ? ก. ปต ิ เล็กนอ ย พอรูส ึกขนลุก ข. ปตชิ ัว่ ขณะ ค. ปต ิ ถึงกับตัวโยกโคลง ง. ปติจนตวั ลอย จ. ปต ิ ซาบซา น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
54 : เอกสารประบกทอบทกี่ ๒ารทสศัอนนวะชิเรา่ือพงรจะติ ไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๕๓ ๑๘. องคฌานทีเ่ ปน คปู รับของความฟงุ ซา นและราํ คาญ คอื ขอ ใด ? ก. วิตก ข. วจิ าร ค. ปติ ง. สขุ จ. เอกัคคตา ๑๙. การถลาไปในอากาศของนก เปรียบไดก บั องคฌานขอ ใด ? ก. วติ ก ข. วิจาร ค. ปติ ง. สขุ จ. เอกัคคตา ๒๐. องคฌ านท่ีเปน คปู รบั ของความหดห ู เซง็ และซึม คือ ขอใด ? ก. วิตก ข. วจิ าร ค. ปต ิ ง. สขุ จ. เอกัคคตา ๒๑. สขุ ในองคฌ าน มลี ักษณะเชน ไร ? ข. ละเอียด ก. ประณตี ค. ประกอบดว ยโสมนสั ง. สงบ จ. นิง่ แนว แน ๒๒. ประเภทของฌานในพระสตุ ตนั ตปฎก และพระอภธิ รรมปฎก แบง เปน เทา ไร? ก. ๓ – ๔ ข. ๔ – ๔ ค. ๔ – ๕ ง. ๔ – ๖ จ. ๕ – ๔ ๒๓. ฌานท่ี 1 (ปฐมฌาน) มีองคป ระกอบของฌาน ตามขอ ใด ? ก. วิตก วิจาร ปต ิ สุข เอกัคคตา ข. วติ ก วจิ าร ปต ิ ค. วจิ าร ปติ สุข เอกัคคตา ง. ปต ิ สุข เอกคั คตา จ. อเุ บกขา เอกคั คตา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทัศนะเร่อื งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ๕ษา๔ ๓ : 55 ๒๔. ฌานที่ 3 (ตตยิ ฌาน) มอี งคป ระกอบของฌานตามขอ ใด? ก. วิตก วิจาร ปต ิ ข. วิจาร ปต ิ สุข เอกัคคตา ค. ปต ิ สุข อุเบกขา ง. ปติ สขุ เอกคั คตา จ. อุเบกขา เอกัคคตา ๒๕. รูปาวจรจิต กลมุ ใด ทาํ หนาทน่ี ําไปเกดิ ? ก. รูปาวจรกุศลจติ ข. รปู าวจรวบิ ากจิต ค. รูปาวจรกริ ยิ าจติ ง. ขอ ก และ ข จ. ถูกทกุ ขอ ๒๖. รูปาวจรกริ ยิ าจิต เปนจติ ของบคุ คลในขอ ใด ? ก. พระโสดาบนั ข. พระสกทาคามี ค. พระอนาคามี ง. พระอรหันต จ. พระอรยิ บคุ คล ๒๗. รูปาวจรจติ จะนําไปเกดิ ในภพภูมิใด ? ก. มนษุ ยโลก ข. เทวโลก ค. พรหมโลก ง. สตั วเ ดรจั ฉาน จ. ขอ ข และ ค ๒๘. อรปู าวจรจติ คือ จิตเชน ไร ? ก. จติ ที่มอี ารมณล ะเอยี ด ข. จติ ท่ไี มมรี ปู ค. จิตทม่ี อี ารมณปราศจากรูป ง. จติ ทไี่ มมอี ารมณ จ. จิตของผไู ดส มาธิ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
56 : เอกสารประกบอทบทกี่ ๒ารสทอศั นนวะิชเราือ่พงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๕๕ ๒๙. อรปู าวจรจติ แบง เปน กป่ี ระเภท และประเภทละกด่ี วง ? ก. ๒ ประเภท ๑๒ ดวง ข. ๓ ประเภท ๑๒ ดวง ค. ๔ ประเภท ๑๔ ดวง ง. ๕ ประเภท๑๕ ดวง จ. ๖ ประเภท ๑๘ ดวง ๓๐. อรปู าวจรจิต กลมุ ใด นาํ ไปเกดิ ในอรูปพรหม ? ก. อรปู าวจรจติ กศุ ลจิต ข. อรูปาวจรวบิ ากจติ ค. อรูปาวจรกริ ยิ าจิต ง. อรปู าวจรมหัคคตจติ จ. ขอ ก และ ข เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทศั นะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษ๕า๖๓ : 57 บทท่ี ๓ ทศั นะเร่อื งเจตสิกในพระอภิธรรม ๑. ความหมาย เจตสิก คือ ธรรมชาติท่ีประกอบกับจิต และปรุงแตงจิตใหประพฤติไปตามนั้น เจตสิกเปน ธรรมชาตอิ ยางหน่ึง ที่เกดิ ขึ้นในจติ ใจ ที่ปรงุ แตงจิตในการทาํ ดหี รือชวั่ เจตสิกเปนนามธรรมเหมือนจิต เกิดข้ึนคลุกเคลาปรุงแตงจิต อาศัยจิตเปนไป หรืออาจ อธบิ ายอีกอยางหนง่ึ เรียกวา สังขาร เพราะเปน อารมณท ่เี กิดขนึ้ ปรงุ แตง จติ ชักนําจิตใหคิดดีคิดชั่ว และเปน สว นกลางๆ เจตสิกนอ้ี าศัยจติ เทาน้ันเปนไป จิตเปนประธานแหงสภาวธรรมคือกายน้ี แต จติ ก็อาศยั กายนี้ตง้ั อยเู ปน ไป เจตสกิ ซึ่งบังเกิดเพราะอิงอาศัยจิตเปนไป ก็อาศัยกายหรือรูปธรรม เปนไปเหมือนกันกบั จิต ๒. ลกั ษณะของเจตสิก เจตสิกหรอื ธรรมารมณทเี่ กิดข้นึ กบั จิต ปรงุ แตง จติ ใหด บี า งชว่ั บาง เปน สวนกลางๆ ไมดีไม ชั่วบาง จึงมีลกั ษณะ ๔ ประการ คอื ๑) เกดิ ขึน้ พรอมกนั กับจิต ๒) ดบั พรอมกนั กับจติ ๓) มีอารมณเ ปน อันเดยี วกนั กบั จติ ๔) มีวัตถุที่อาศยั เปน อนั เดยี วกันกับจติ ดังท ่ี พระอนรุ ทุ ธเถราจารย ผแู ตง คมั ภีรอภธิ ัมมตั ถสังคหะ แสดงไวว า เอกุปฺปาทนิโรธา จ เอกาลมพฺ นวตถฺ กุ า เจโตยตุ ฺตา ทฺวิปญฺ าส ธมฺมา เจตสกิ า มตา ธรรม ๕๒ ซึ่งเกดิ พรอ มกบั จิต ดับพรอมกบั จติ มีอารมณเดยี วกับจติ มวี ัตถุเดียวกันกับจิต ประกอบเขากับจติ สมบรู ณด ว ยลักษณะ ๔ ประการน้ี เรียกวา เจตสกิ ๒.๑ ความแตกตางระหวา งจติ กับเจตสิก เจตสิกเกดิ ข้นึ โดยอาศัยจติ เกดิ และดบั ตลอดจนกระทงั่ มอี ารมณแ ละวัตถเุ ปน อันเดียวกัน กับจติ ทง้ั นัน้ แตเจตสิกก็แตกตางจากจติ กลา วคือ เจตสิกไมมีการรับรูอารมณและไมสามารถนึก คิดได สว นจิตนั้นมกี ารรอู ารมณและสามารถนกึ คดิ ดว ยตนเองได เจตสกิ เปนเพียงส่ิงที่ปรุงแตงจิต ที่เปนภวังคจิต หรือจิตปกติใหเปลี่ยนแปลงปกติภาวะเดิม แลวเปนไปตามอํานาจของเจตสิก เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
58 : เอกสารประบกทอบทกี่ ๒ารทสัศอนนวะิชเราื่อพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๕๗ เปรยี บเหมือนสตี า งๆ ซ่งึ สามารถทาํ ใหนา้ํ ทีส่ ะอาดเปลย่ี นแปลงสภาพไปตามอํานาจของสี ถาหาก สมมติใหจ ติ เปน ส่งิ ทมี่ รี ูปราง เจตสิกกค็ ือลกั ษณะตางๆ ของรูปรา งนั้นๆ โดยปกติ จติ ไมม สี ภาวะเปนส่ิงที่ดีหรือชั่ว แตเ ปน กลางๆ ไมใชด หี รือชว่ั แตเ จตสิกเปนสิ่งที่ ทาํ หนาทปี่ รุงจิตใหดใี หช่ัว เจตสกิ บางชนิดกท็ าํ หนาท่รี กั ษาประคับประคองจิตใหคงสภาพกลางๆ ตามสภาวะปกติดงั้ เดิมของจิต เพราะสภาวะที่แทจริงของจิตนั้นมีสภาพกลางๆ ไมจัดวาดีหรือช่ัว แตเม่ือใดมเี จตสกิ ท่ีเปน ฝายดแี ละช่วั เขา มาปรุงแตง เม่อื น้นั จิตน้ันจึงจะจดั เปนจิตดีหรือชั่ว ๒.๒ ธรรมตา งๆ ท่จี ิตและเจตสิกปะปนกนั เจตสิก ไดแก ธรรมท่ีปรุงแตงจิต ชักนําจิตใหคิดดีคิดช่ัว การเกิดดับ อารมณท่ียึดหนวง และวตั ถุท่ีอาศัยเปนอันเดยี วกนั กบั จิต จงึ เปนอนั วา จติ กับเจตสกิ นีป้ ะปนกันโดยประเภทแหงธรรม ๖ อยา ง คอื ๑) เวทนา ไดแก การเสวยอารมณ ๒) เหตุ ไดแ ก สภาวธรรมท่ที าํ ใหผ ลเกดิ ๓) กจิ ไดแก หนา ท่หี รอื การกระทํา ๔) ทวาร ไดแ ก สภาวธรรมเปนที่อาศยั เกิดขน้ึ ๕) อารมณ ไดแก ธรรมชาติที่จะตองรบั รู ๖) วตั ถุไดแ ก สภาวธรรมอันเปนท่ีอยอู าศัย บรรดาธรรม ๖ ประการเหลา น้ ี จะแยกจติ และเจตสิกออกเปนคนละสวนละประเภทไมได จิตกบั เจตสิกยอ มอยูรวมกันในธรรมอนั เดยี วกัน เชน จติ เสวยสุขเวทนาก็เพราะเจตนาเจตสิกทเ่ี ปน สว นสขุ เวทนาเขาประกอบกบั จติ จิตจงึ ตองเสวยสขุ ตามเจตสกิ ทีป่ ระกอบกบั ตนไปดว ย ๓. ประเภทของเจตสกิ เจตสกิ มจี าํ นวน ๕๒ ดวง แบงออกเปน ๓ กลมุ คอื ๑) เจตสกิ กลุมที่ ๑ เรยี กวา อัญญสมานาเจตสกิ เปน เจตสกิ ทีป่ ระกอบกับจติ ทดี่ หี รอื ช่ัว หรอื ไมด ไี มช ว่ั ไดท ุกชนดิ เม่อื ประกอบกับจิตชนิดใด ก็จะมีสภาพเปนเชนน้ันดวย มีจํานวน ๑๓ ดวง โดยแบงออกเปน ๒ พวก คือ (๑) สพั พจิตสาธารณเจตสิก มีจาํ นวน ๗ ดวง เปนกลมุ เจตสิกทเ่ี ขา ปรงุ แตงจติ ใจของ คนทวั่ ไป สามารถประกอบกบั จิตไดท กุ ดวง เมื่อจติ ดวงใดเกิดข้ึน เจตสิกท้ัง ๗ ดวง ยอมประกอบ กับจติ นน้ั พรอ มกนั ท้งั ๗ ดวงเสมอ ไดแ ก เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทศั นะเรอ่ื งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ๕ษ๘า ๓ : 59 ๑.๑) ผสั สเจตสกิ คือ สภาวะถูกตอ งหรือการกระทบกบั สิ่งทปี่ รากฏท่ีชอ งทางในการ รับรูท ง้ั ๖ อยา งโดยรับภาพใหเขามากระทบกับตา รบั เสียงใหเ ขา มากระทบกับหู รับกล่ินใหเขามา กระทบกับจมกู รับรสใหเขา มากระทบกับล้ิน รบั ความเย็น-รอน ออน-แขง็ ใหเขามากระทบกับกาย และเรอ่ื งตางๆ ทีผ่ า นมาหรอื ที่ยังไมเกดิ ข้ึนใหเ ขามากระทบทางใจ หลังจากนั้นจิตก็จะรับรูสิ่งท่ีมา กระทบนั้นๆ ทําใหเกิดความรูสึกพอใจ ไมพอใจ หรือเฉยๆท่ีเรียกวา เวทนาน่ันเอง ดังนั้น ผัสส เจตสิกจึงเปนการกระทบกันแหงสิ่ง ๓ ประการ คือ อายตนะภายใน มีตา หู จมูก เปนตน อายตนะภายนอกมี รปู เสียง กลิ่น เปนตน และ วิญญาณมีจักขุวิญญาณ เปนตน กระทบกัน หรือประกอบกนั ข้ึนเปน ผสั สะหรอื สัมผสั มีชื่อเรยี กตามชือ่ ของอายตนะภายใน ๖ ประการ คอื ๑) จักขสุ มั ผัส ๒) โสตสัมผัส ๓) ฆานสัมผสั ๔) ชิวหาสมั ผสั ๕) กายสัมผัส ๖) มโนสัมผัส ผสั สะหรือสัมผัสน ี้ ถกู ตอ งหรือกระทบกับอารมณไ ดท ้ังในท่ีใกลและทีไ่ กล ทา นยกตวั อยาง การถูกตอ งหรอื กระทบกับอารมณในทไ่ี กล เชน การเหน็ คนอ่นื รับประทานของเปร้ียว ก็พลอยเกิด นํ้าลายไหลไปดว ย เปน ตน ๑.๒) เวทนาเจตสิก คอื ความรูสกึ ของสงิ่ มีชีวิตตางๆ ไป ซ่ึงจะมีอยู ๓ อยาง คือ ชอบใจ ไมชอบใจ และเฉยๆ ไดแก ความรูสึกทเ่ี กดิ ในจติ ใจของเรานน่ั เอง ความรูสึกอารมณซ งึ่ เกิดขน้ึ ตอ เนอ่ื งมาจากผัสสะน ี้ อาศยั อายตนะภายในเกิดขึ้น จึง เรยี กชือ่ ตามอายตนะภายใน ๖ ประการ คอื ๑) อาศัยตาเกดิ ขึน้ เรียกวา จกั ขสุ ัมผัสสชาเวทนา ๒) อาศยั หเู กดิ ข้ึน เรยี กวา โสตสมั ผสั สชาเวทนา ๓) อาศัยจมูกเกดิ ข้นึ เรยี กวา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ๔) อาศยั ลนิ้ เกดิ ขน้ึ เรยี กวา ชวิ หาสมั ผัสสชาเวทนา ๕) อาศยั กายเกดิ ข้นึ เรยี กวา กายสัมผสั สชาเวทนา ๖) อาศยั ใจเกดิ ขน้ึ เรียกวา มโนสัมผสั สชาเวทนา เวทนาเหลานย้ี ังแบง ออกเปน ๓ ประเภท คือ ก.การเสวยอารมณท เ่ี ปน ความสบายกายสบายใจ เรียกวา สขุ เวทนา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
60 : เอกสารประกบอทบทกี่ า๒รสทอัศนนวะิชเารพือ่ งรจะติไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๕๙ ข.การเสวยอารมณท เ่ี ปน ความไมส บายกายไมสบายใจ เรียกวา ทกุ ขเวทนา ค. การเสวยอารมณเ ปนกลางๆ ไมสขุ ไมท กุ ข เรียกวา อเุ บกขาเวทนา นอกจากน้ที านยงั อธบิ ายเวทนาออกไปอกี ๕ ประเภท คอื ก.การเสวยอารมณทเี่ ปนความสุขกาย เรียกวา สุขเวทนา ข. การเสวยอารมณท ี่เปนความทกุ ขกาย เรียกวา ทุกขเวทนา ค. การเสวยอารมณท ่เี ปนความสขุ ใจ เรยี กวา โสมนสั สเวทนา ง. การเสวยอารมณท ี่เปนความทกุ ขใ จ เรียกวา โทมนสั สเวทนา จ. การเสวยอารมณท ี่เปน กลาง ๆ ไมสุขไมท ุกข เรียกวา อเุ บกขาเวทนา ๑.๓) สัญญาเจตสิก คือ ความจําได เชน การจดจําเร่ืองราวตางๆ ได มนุษยและ สัตวตางๆ ยอมสามารถจดจํารูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส และเร่ืองราวท่ีนึกคิดท้ังที่ผานมาแลว ท่ี กําลังเปนไปในปจจุบัน และอนาคตได สัญญาเจตสิกนี้มีความจําไดและหมายรูเปนลักษณะ กลาวคอื มลี ักษณะทหี่ มายเอาไวและร ู เปรียบเหมอื นชางไมทาํ เครอ่ื งหมายสญั ญาไวท ต่ี วั ไมไวดว ย เลขวา นขี้ ่ือ นี้แป เปนตน แลวภายหลงั เม่อื ประกอบสวนประกอบตางๆเขาเปน ตวั เรือนกไ็ มหลงลืม ตวั ไมท ่ีหมายไวด ว ยเคร่ืองหมายนั้น เม่ือนบั ตามประเภทแหง อายตนะท่ีจาํ ไดห มายรู สัญญาจงึ มี ๖ ประการคอื ๑) จาํ รปู เรียกวา รปู สญั ญา ๒) จาํ เสียง เรยี กวา สทั ทสัญญา ๓) จํากลิน่ เรียกวา คนั ธสญั ญา ๔) จาํ รส เรียกวา รสสัญญา ๕) จาํ สัมผสั เรยี กวา โผฏฐพั พะสญั ญา ๖) จาํ อารมณที่เกดิ ขนึ้ ในใจ (ธรรมารมณ) เรยี กวา ธรรมสญั ญา ๑.๔) เจตนาเจตสิก คอื ความจงใจ ตั้งใจ มุงหวัง หมายมั่นในการกระทําส่ิงตางๆ ทง้ั ทางกาย วาจา และใจ เปน เจตสกิ ท่ีทําใหก ารกระทาํ นน้ั ๆ จัดเปน กรรม ซงึ่ จะตอ งมีผลตอบแทน ของการกระทํา ท่ีเรียกวา วิบากกรรม อยางแนนอน กรรมจะใหผลได ยอมมีเจตนาเปนสําคัญ สาํ เรจ็ มาแตเ จตนา ดงั คําบาลีวา “เจตนาห ํ ภิกขฺ เว กมฺมํ วทามิ ภิกษุทั้งหลาย เรากลาวเจตนาวา เปนกรรม” ดังนน้ั กรรมทกุ ชนิดท่ีทําลงไปโดยไมมีเจตนา ยอมเปนสักแตวากระทํา แมจะใหผลก ็ เพียงเลก็ นอย ๑.๕) เอกัคคตาเจตสิก คอื สง่ิ ทที่ าํ จิตต้งั มั่นอยใู นสงิ่ ๆเดยี ว เพง อยใู นอารมณเดียว ทําใหจิตเกดิ ความสงบ ไมฟุงซานคิดจินตนาการเร่อื งราวตางๆ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทศั นะเรอ่ื งจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึก๖ษ๐า ๓ : 61 ๑.๖) ชวี ติ ินทรียเจตสิก คอื สิ่งทร่ี กั ษาจิตและเจตสิก ใหดํารงอยูตามสมควรแก เวลาของตน และทําหนา ทีข่ องตนใหส ําเร็จลงได จิตและเจตสิกเปรียบเหมือนดอกบัว ชีวิตินทรีย เจตสิกเปรียบเหมอื นนํา้ ท่หี ลอเลี้ยงดอกบัวใหส ดชนื่ ๑.๗) มนสิการเจตสิก คือ การทําอารมณไวในใจ การนําจิตไปสูอารมณหรือสิ่งท่ ี ถูกรับรู หรือการนําเอาอารมณใหมาสูใจ เชน การที่จิตจดจอยูกับภาพและเสียงของมิวสิควีดีโอ ตลอดเวลา จนทาํ ใหเกิดความสนกุ สนาน เพลิดเพลนิ เปนตน เปรียบเหมอื นคนขับรถมายอ มนาํ มา เขา มาเทยี บรถ (๒) ปกิณณกเจตสิก มีจํานวน ๖ ดวง จะประกอบกับจิตท่ีเปนโสภณจิต (กุศลจิต) และท่เี ปนอโสภณจติ (อกศุ ลจติ ) เกดิ พรอ มกนั บางไมพรอมกันบาง เปนกลุมเจตสิกที่ไมประกอบ กับจติ ทกุ ดวง แตจะประกอบไดเฉพาะกับจิตบางดวงเทาน้ัน เจตสิกเหลาน้ีประกอบเขากับจิตม ี จํานวนตางๆ กัน เจตสิกบางขอก็ประกอบกับจิตมากดวง บางขอก็ประกอบกับจิตนอยดวงไม เหมือนสพั พสาธารณเจตสกิ ไดแ ก ๒.๑) วิตกเจตสิก คือ สิ่งที่ยกจิตข้ึนสูความคิดคํานึงในเร่ืองตางๆ เชน ไปด ู ภาพยนตร เรอื่ งที่สนุกสนานแลว นํามาเลาสกู ันฟง ผูเ ลากย็ กจิตเลาไปตาม เร่ืองราว ผูฟงก็ยกจิต ฟง ตามเรอ่ื งราวท่เี ลา ทาํ ใหจ ติ ไดน กึ คิดไมหยดุ วิตกเจตสิกเมือ่ ยกจิตข้ึนสูเรื่องตางๆ บอยๆ จะทํา ใหไมงวงนอน เชน คนทนี่ อนไมหลับกเ็ พราะไมหยดุ คดิ จงึ ทําใหไมง ว ง นอนไมห ลับ ๒.๒) วิจารเจตสิก คือ ส่ิงท่ีประคองจิตไวในเร่ืองตางๆ ไมใหคิดไปในเรื่องอื่น วิตก เจตสิก และวิจารเจตสิกจะทาํ หนา ทต่ี ิดตอกัน ทานเปรียบเหมอื นนกท่ีบินอยทู า มกลางอากาศ เม่ือ นกกางปกออกแลวจะรอ นถลาไปในอากาศ วติ กเจตสกิ เปรยี บเหมอื นการกางปกออกของนก สวน วิจารเจตสิกเปรียบเหมอื นกับการรอนถลาไปในอากาศ ๒.๓) อธิโมกขเจตสิก คือ ส่ิงที่ทําใหไมเกิดความลังเลในการตัดสินใจ สามารถ ตัดสนิ ใจได เด็ดขาดไมว าการตัดสินใจน้ันจะถูกหรือผิดก็ตาม คนท่ีมีอธิโมกขเจตสิกอยูในใจ จะ เปนคนที่กลาตัดสินใจไดเด็ดขาด ตรงกันขามกับคนที่ไมกลาตัดสินใจ มีความลังเลตลอดเวลา ความเด็ดขาดม่นั คงของอธโิ มกขเจตสกิ น้ีเปรียบเทียบเหมอื นเสาเขื่อน ๒.๔) วิริยเจตสิก คอื สิง่ ที่ทําใหเ กิดความพากเพียรพยายาม เมื่อวิริยเจตสิกเกิดข้ึน แกใคร จะทําใหจิตใจมีความอดทนตอความยากลําบาก มีความอุตสาหะ ไมรูสึกทอถอย เชน ความขยันหมั่นเพยี รในการทําความด ี ถา เปน คนจิตใจชวั่ กจ็ ะมคี วามเพียรในการทําความช่ัว เชน พวกโจรมคี วามพยายามในการลกั ขโมย เปน ตน เจตสิกธรรมประเภทนย้ี อมใหกลาหาญ ไมยอทอ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
62 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะิชเราือ่พงรจะิตไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๖๑ ถดถอย อุดหนุนค้ําชูจิตและเจตสิกธรรมทั้งหลายท่ีเกิดพรอมกับตนใหองอาจกลาหาญในการ ประกอบกรรมท้ังฝายดีและชั่ว จิตและเจตสิกธรรมทั้งหลายอาศัยความอุปถัมภค้ําชูแหงวิริยะ เจตสกิ แลว ยอมสามารถทาํ หนา ที่ทุกอยางใหสําเร็จลงได ๒.๕) ปติเจตสิก คือ ความปลาบปล้ืมใจ ความอิ่มเอิบใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นในขณะทํา ความดี หรือแมแตใ นขณะท่มี ีความยินดีพอใจสิง่ ใดสง่ิ หน่ึงมากๆ ปต เิ จตสกิ ยอ มทํากายและจิตให เอิบอิ่มปลาบปลื้ม คือ มีความพอใจตออารมณนั้นๆ ยังกายและจิตใหซาบซาน มีลักษณะ ๕ ประการ คือ (๑) ปลาบปล้ืมใจเลก็ นอ ยพอรูสึกขนชูชันน้าํ ตาไหล (๒) ปลาบปล้ืมใจเปนขณะๆ ซ่ึงเกิดขึ้นบอยๆ ทําใหรูสึกเสียวแปลบๆ เปรียบ เหมอื นฟาแลบ (๓) ปลาบปลื้มใจจนตวั โยกตัวโคลง ปตเิ ปนพักๆ ทาํ ใหซ ซู าเหมอื นคล่นื กระทบฝง (๔) ปลาบปล้ืมใจจนถึงกับตัวลอย เปนปติอยางโลดโผน ทําใหทําอาการตางๆ โดยเวนจากเจตนา เชนเปลงคาํ อทุ านเปน ตน บางทกี ็ทาํ ใหก ายลอยไปหรอื โลดไป (๕) ปลาบปลมื้ ใจจนอ่มิ เอิบซาบซานท่วั กายและใจ ๒.๖) ฉันทเจตสกิ คือ ความพอใจในรปู เสียง กลิน่ รสอาหาร สัมผัส และจนิ ตนาการ ท่ีดีแตไมยึดติด เหมือนการรับประทานยา เมื่อหายจากโรคแลว ก็ไมติดใจในรสของยาอีก การ ตองการยาก็เพ่อื รักษาโรคใหหายเทานน้ั ฉนั ทเจตสิกนยี้ อมทําใหพ อใจ ทาํ ใหป รารถนาอารมณห รอื เปน เจตสิกทตี่ อ งการอารมณ เจตสกิ ประเภทนเี้ ปรยี บเหมอื นมอื ของจิตซ่ึงเหยียดออกไปในขณะท่ี จะถอื เอาอารมณ สพั พสาธารณเจตสิก ๗ ดวง ปกิณณกเจตสิก ๖ ดวง รวมเปน ๑๓ ดวง เรยี กวา อญั ญสมา นาเจตสิก เพราะเม่ือประกอบกับกศุ ลจิตกเ็ ปน กศุ ลไปดว ย เม่อื ประกอบกบั จิตที่เปน อกุศลก็พลอย เปน อกุศลไปดวย เปน เจตสกิ ทส่ี งเสริมจิตประเภทน้ันใหคงสภาพของตนอยูตามปกติ ไมตัดทอน คณุ ลกั ษณะของจิตดวงเดิมแมแตน อ ย ๒) เจตสิกกลมุ ท่ี ๒ เรียกวา อกุศลเจตสิก เปนเจตสิกทช่ี ่ัว เม่อื เขาประกอบกับจิตแลว ก็ทําใหจิตเศราหมอง เรารอน และทําใหเสียศีลธรรม อกุศลเจตสิกจะประกอบกับอกุศลจิต ๑๒ ดวงเทานน้ั ไมป ระกอบกบั จติ ประเภทอ่ืน ขณะท่ีอกศุ ลเจตสกิ เขาปรุงแตง จติ ใจ จะทาํ ใหจติ ใจผนู น้ั เปนคนใจบาปหยาบชา ทําแตความชั่ว ความทุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ สรางความ เดอื ดรอนวุนวายแกต นเองและสังคม เมอ่ื ตายลงยอมไปบงั เกดิ ในทุคติ คือ อบายภูมิ ๔ ไดแกนรก เปรต อสรุ กายและเดรจั ฉาน มีจาํ นวน ๑๔ ดวง โดยแบง ออกเปน ๕ กลุม คอื เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึก๖ษ๒า ๓ : 63 ๒.๑) กลมุ ของความมัวเมาลุมหลง เรียกวา โมจตุกเจตสิก เจตสิกกลุมน้ี เมื่อได ประกอบจติ ใจของบุคคลใด กจ็ ะทําใหบคุ คลนัน้ ขาดสตสิ มั ปชญั ญะ ทาํ อะไรผิดพลาดไปหมด เห็น สงิ่ ท่ชี ่ัวเปน สงิ่ ท่ีด ี คิด ทาํ พดู ในส่ิงท่ชี วั่ รา ย มองโลกในแงร าย หาความสุขไมได เจตสิกกลุมนี้มี ๔ ประการ ไดแก (๑) โมหเจตสิก คือ ความหลง ทําใหไ มร ูความจริงของสภาวธรรม ไมรูแจงในเร่ือง ทกุ ข เหตุใหเกดิ ทกุ ข การดบั ทุกข หนทางทีจ่ ะดบั ทุกข หรอื ทีเ่ รียกวา อริยสจั ๔ เปน ตน เปน ภาวะที ่ จติ ใจหลงงมงายปราศจากการพจิ ารณาโดยปญญาท่ีละเอียด (โยนิโสมนสิการ) ตกไปในฝกฝาย แหง ความเห็นผดิ เมอ่ื เจตสิกดวงนีเ้ กิดข้ึนประกอบกับจติ ใจ ยอ มทาํ ใหจิตใจมืดมน ทาํ ใหจ ติ หลงใน อารมณ คือ ไมใหรูความจริงในอารมณ โมหเจตสิกหรือความไมรูแจงความจริงนี้จัดเปนบอเกิด หรือรากเหงา แหง ความชว่ั ท้ังปวง (อกุศลมูล) ความหลงงมงายในอารมณซึ่งเปนลักษณะของโมห เจตสกิ นี้ ไดแ ก ความไมเ ขา ใจสภาพแหง อารมณทัง้ ๖ ประการ คอื รูป เสียง กลนิ่ รส สัมผัสถกู ตอ ง และการนกึ คิดจนิ ตนาการทเ่ี กดิ ขึน้ ในใจหรอื ธรรมารมณ ตามความเปนจริง (๒) อหริ ิกเจตสกิ คอื ความไมละอายตอบาป ไมละอายตอ การทาํ ความชวั่ เจตสิก ดวงน้ีทําใหไมมีความละอายแกใจตอการประพฤติช่วั ทจุ ริตทุกชนิด เปรียบเหมือนสุกรท่ีไมรูสึกรัง เกลยี จส่งิ สกปรกตางๆ ไดแก อจุ จาระ (๓) อโนตตปั ปเจตสิก คือ ความไมส ะดุงกลวั ตอบาปทุกสิง่ ไมสะดุง กลัวตอการทาํ อกุศลกรรม ไมมีความเกลียดตอบาป อันเนื่องมาจากในจิตใจน้ัน ขาดความเคารพตอผูอื่น ไมมี ความเกรงใจผอู นื่ จึงสรา งความเดือดรอ นใหผูอ่นื โดยงาย เจตสิกดวงน้ที ําใหไมสะดงุ กลัวตอความ ชว่ั ทุจรติ ทกุ อยาง เปรียบเหมือนแมลงทเ่ี ลนไฟ ไมสะดุง กลัวตอเปลวไฟ อหริ ิกเจตสิกและอโนตตัปปเจตสิกยอมพาใหก ระทาํ บาปทุจรติ ดว ยไมรสู ึกละอาย แกใจ และไมส ะดุงหวาดเสียวตอ ผลของความชั่วทุจริต ไมคิดถึงชาติตระกูล ความรูและคุณธรรม ของตน และไมเ กรงกลวั ผูอ ่ืนจะนนิ ทาวารา ย ไมเ กรงกลัวตออาชญา ไมหวาดเสียวสะดุงตอวิบาก กรรมในอนาคต ซึ่งไดแก ความทุกข อหิริกะน้ันไมเคารพตน ไมคํานึงถึงชาติตระกูลของตนเอง สวนอโนตตัปปะน้ันไมเ คารพตอ ผูอืน่ (๔) อทุ ธจั จเจตสกิ คอื ความฟุง ซา น ไมม ีความสงบใจ คิดนึกไปในเร่ืองราวตางๆ มากมายจนทาํ ใหนอนไมหลับ คอื ความที่จิตใจไมสงบระงับ ความที่จิตไมสงบระงับต่ืนตระหนก อยเู สมอเปน นิจ กลา วคอื ความคิดพลา น นึกอะไรกเ็ พลิดเพลินไปย่ิงกวา เหตุ เปรียบเหมือนชายธง ทีต่ องลมพัดโบกสะบดั อยตู ลอดเวลา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
64 : เอกสารประกบอทบทกี่ ๒ารสทอัศนนวะิชเรา่อืพงรจะิตไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๖๓ ๒.๒) กลุมของความโลภหรือความอยากได เรยี กวา โลติกเจตสิก เมื่อเจตสกิ กลมุ น้ ี ประกอบกับจิตของบุคคลใด ก็จะทําใหบุคคลน้ันเต็มไปดวยความโลภ มีความอยากไดไมมีท่ ี ส้นิ สุด กระเสือกกระสนแสวง หาสิ่งท่ีมาสนองความตอ งการของตน ท้งั ทางตา ห ู จมูก ล้ิน และทาง กาย ซ่ึงสิ่งเหลาน้ีเปนส่ิงที่ทําใหจิตใจ มีความกระวนกระวาย ไมมีความสงบ เจตสิกกลุมนี้มี ๓ ประการ ไดแก (๑) โลภเจตสิก คือ ภาวะของจติ ใจท่ีเกดิ ความปราถนา อยากได ความตดิ ใจในสงิ่ ท่ีชอบใจและนาปรารถนา กลาวคือ ความยินดีพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสท่ีนาปรารถนา น่นั เอง บางครั้งเราเรียกอาการของจติ เชนน้ีดว ยคําตางๆ เชน ตัณหา คือ ความตองการ ราคะ คือ ความกําหนัด เปนตน ซ่ึงทําใหจิตใจและรางกาย กระวนกระวายกระสับกระสาย หาความสงบ ไมได ทําใหอยากไดในสิ่งท่ีชอบใจจนไมรูจักพอ จนกลายเปนความปรารถนาลามก กลาวคือ ความอยากไดด วยการแสวงหามาโดยทุจริต ทําใหจิตใจของติดอยูในอารมณยากท่ีจะเปล้ืองให หลดุ พนได เหมอื นลงิ ตดิ ตัง หรือชนิ้ เนื้อบางๆ ทต่ี ิดแนน อยูกบั กระเบื้องทกี่ าํ ลงั รอ น (๒) ทฏิ ฐิเจตสิก คอื ภาวะของจติ ใจทีเ่ ห็นผดิ ไปจากความจรงิ เหน็ วาบญุ บาปไมม ี ทําบุญทําบาป ไมมีผลไมตองรับผล ทิฏฐิเจตสิกนี้ มีความละเอียดละออมาก มนุษยลวนม ี ความเหน็ ผิดจากความเปน จริงทุกคน เชน การยึดมั่นวา เปนตัวเปนตน มีเรามีเขา เรียกวา ทิฏฐิ สามัญ เจตสิกดวงนี้ยอมทาํ ใหเหน็ ผิดจากทาํ นองคลองธรรม มีการยดึ ม่นั ถือมน่ั ในสิ่งท่ีตนเช่ือโดย ปราศจากปญญา เชื่อความขลังความศักดิ์สิทธ์ิของสิ่งที่ไมเปนไปเพื่อความหลุดพนจากทุกข ความเห็นผิดเชน นีป้ ด บงั ปญญาไมใหเ ห็นบญุ เห็นบาป สําคัญบุญวาเปนบาป สําคัญบาปวาเปน บุญ สําคัญสุขวาเปนทุกข สําคัญทุกขวาเปนสุข สําคัญสภาวะที่ไมเท่ียงไมยั่งยืน ไมมีสาระแกน สารวา เท่ียง ยง่ั ยนื มีสาระแกน สาร ถา เปน ความเหน็ แบบสดุ โตง (นิยตมิจฉาทฏิ ฐิ) ยอ มมโี ทษมาก หา มสวรรคห า มนพิ พาน เปน ความเห็นอันด่ิงลง ยากท่ีจะถอนออกได จึงเรียกวา นิยตมิจฉาทิฏฐิ ซงึ่ มีโทษมาก มี ๓ ประการ ไดแก ก. อกิรยิ ทิฏฐ ิ คอื ความเหน็ วา ทําช่ัวไมมคี นร ู ไมมคี นจบั ได ไมมีคนลงโทษ ก็วาง เปลา ท้ังน้นั เปน การทําทีไ่ รผ ล การกระทําช่ัวตางๆ จะเปนการกระทําท่ีมีผล คือมีโทษ ก็ตอเมื่อม ี คนรู จับไดและลงโทษ สวนการกระทําความดี ไมมีคนรู ไมมีคนชม ไมมีคนใหรางวัล ก็วางเปลา เหมือนกนั ตอ เมอื่ มคี นรูแลวชมและใหรางวัล จึงจะจัดวาใหคุณ ความเห็นนี้ปฏิเสธกรรมคือการ กระทําวามิใชเ หตมุ ใิ ชปจ จยั ทจี่ ะอํานวยคณุ และโทษให กลับมคี วามเห็นปจจัยภายนอกคือบุคคล วา เปนเหตุเปนปจ จัยที่จะอาํ นวยคุณและโทษให ซึ่งความเห็นเชนนผ้ี ดิ จากหลกั พระพุทธศาสนาท่ี เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทศั นะเรือ่ งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ๖ษ๔า ๓ : 65 สอนวา กรรมคือการกระทาํ เปน เหตปุ จจยั แหงคณุ และโทษ ความเหน็ ทีถ่ อื ปจจัยภายนอกเปนเหตุ ปจจัยแหงคณุ โทษเชนนีจ้ ัดเปนอกิรยิ ทฏิ ฐ ิ ข. อเหตุกทิฏฐ ิ คือ ความเหน็ วา มนษุ ยจะไดดีหรือชวั่ มีความสุขหรอื ประสบความ ทุกขล ําบากตางๆ นน้ั เนื่องมาจากกาลเวลาครั้งคราว คือ เมื่อถงึ คราวเคราะหด ีก็ไดดีเอง ทาํ อะไรก ็ มีคนชมและชวยสนับสนุนชบุ เลี้ยง ลาภยศเกิดขึ้นตามกนั โดยมิไดนึกฝนหรือใชพยายามใดๆ เมื่อ ถึงคราวเคราะหรายเขา ทําอะไรก็ไมมีดี มีแตคนติ คนขัดขวาง เส่ือมลาภเสื่อมยศลงตามๆ กัน ความเห็นเชนนี้ปฏิเสธเหตุปจจัยที่ไมปรากฏ กลับมีความเห็นปจจัยภายนอกวา กาลเวลาเปนผู อํานวยใหป ระสบความดีความช่วั ความสุข ความทกุ ขความลําบากยากแคนตาง ๆ ซ่ึงผิดจากหลัก พระพทุ ธศาสนาทส่ี อนวา สภาวธรรมทั้งสิ้นตอ งองิ อาศัยเหตุปจจัยเกดิ ปรากฏข้ึน จะปรากฏขน้ึ โดย ไมมเี หตุปจ จัยนนั้ ไมไ ด เหตุปจจยั ของสภาวธรรมน้ันบางอยางก็ปรากฏชัด บางอยางก็ไมปรากฏ ชัด ตองใชวิจารณญาณอยางสุขุมจึงจะจับตนเคาได ซ่ึงทานเรียกวาอวิชชา ความเห็นที่ถือ กาลเวลาเปน เหตแุ หง คณุ และโทษ เปนเหตปุ จ จยั แหงสขุ และทกุ ขเปนตนเชนนจี้ ดั เปน อเหตกุ ทฏิ ฐิ ค. นตั ถกิ ทฏิ ฐิ คอื ความเหน็ วา สตั วบุคคลไมม ี ตางเปน แตธาตปุ ระชุมกัน เก้ือกูล กนั หรอื ขัดขวางกนั บญุ บาปไมม ี ธาตุอยางหนง่ึ ถงึ กันเขา กับธาตุอีกอยางหน่ึงตางหาก เชนฝนตก ทาํ ใหตนไมสดชน่ื ผลิดอกออกผล จะจดั วาฝนไดบญุ หรอื ไฟปาเผาตนไมใ หต ายจะจดั วาไฟไดบาป หรือ ความเห็นเชนนี้ปฏิเสธสมมติสัจจะ และคติแหงธรรมดาอันเนื่องดวยเหตุและผลท้ังสิ้น ซ่ึง เรียกวากัมมัสสกตา ซ่ึงผิดจากหลักพระพุทธศาสนาที่ถือวา สัตวมีกรรมเปนของ ๆ ตน แมจะ ยอมรบั วา สัตวบคุ คลโดยสมมตินั้นเปนแตสักวาธาตุประชุมกันก็จริง แตตกอยูในคติแหงธรรมดา คอื กัมมัสสกตา ความเห็นอยางน้ีเรียกนตั ถกิ ทฏิ ฐิ (๓) มานเจตสิก คือ ความถอื ตน ความทะนงตน การเปรยี บเทียบตนเองกบั บคุ คล อืน่ วา ตนเองมีชาติ โคตร สกลุ ทรัพย สมบัติ ความรู การงานหรือความฉลาดที่เหนือกวาบุคคลอ่ืน เสมอกนั กบั บคุ คลอน่ื หรือตํ่ากวา บุคคลอ่ืน ซึ่งจะทาํ ใหจ ิตใจไมส งบ มานเจตสิกธรรมน้ียอมทําให มวั เมา เปรียบเหมือนคนบา คนเมา อาศยั มานเจตสิกนี้ยอ มมัวเมาในโลภธรรม คอื เมาดว ยลาภ ยศ ความสุขและสรรเสรญิ เยอหยิ่งยกตน หลบหลูดถู ูกผูอ่ืนวาไมเหมือนตน แมตนมีคุณธรรมเชนศีล เปน ตน กด็ หู มน่ิ ผูอ ื่นวา มีนอ ยหรอื ต่าํ ทรามกวาตน มานเจตสิกนี้ยอมทําจิตใหกระดางเพราะชาติ สกุลความรแู ละคณุ ธรรม เปน ตน แลว ดหู มน่ิ ผอู ่ืน หรือแมแตญาติของตน ทานจําแนกมานะไว ๙ ประการ คือ ก. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สําคญั ตัววา เลิศกวา เขา ข. เปน ผเู ลิศกวา เขา สาํ คญั ตัววา เสมอเขา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
66 : เอกสารประกบอทบทก่ี า๒รสทอัศนนวะชิ เารพ่ือรงจะไติ ตรปิฎกศึกษา ๓ ๖๕ ค. เปนผเู ลิศกวาเขา สําคัญตัววา เลวกวา เขา ง. เปน ผูเ สมอเขา สําคัญตัววา เลิศกวาเขา จ. เปนผเู สมอเขา สําคัญตวั วา เสมอเขา ฉ. เปนผเู สมอเขา สําคญั ตวั วา เลวกวา เขา ช. เปนผูเลวกวา เขา สําคัญตัววาเลศิ กวาเขา ฌ. เปนผูเ ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วาเสมอเขา ญ.เปนผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตัววา เลวกวาเขา มานะท้งั ๙ ประการน้ ี แบงออกเปน ๓ ประเภท คือ ขอ ก. ง. ช. เปนการทะนงตน ขอ ข. จ. ฌ. เปน การตีเสมอ สวนขอ ค. ฉ. ญ. เปน การถอ มตน การสําคัญตนถือตนวาเปนนั่นเปน น่ี แมจ ะสาํ คัญถูกทานกจ็ ดั เปน มานะเหมอื นกัน เพราะเหตใุ หด หู ม่ินผอู ืน่ ๒.๓) กลุม ของความโกรธ เรียกวา โทจตกุ เจตสกิ เจตสกิ กลุม นี้มี ๔ ประการ ไดแ ก (๑) โทสเจตสกิ คอื ภาวะของจิตใจที่มีความโกรธ ไมพอใจ คับแคนใจ บุคคลใด ตามเมอื่ ถูกความโกรธเขา ครอบงําจิตใจแลว ยอมจะกลายเปนคนหยาบชา ดุรายเหมือนอสรพิษ ขาดความเมตตากรณุ า ความกระสบั กระสายกระวยกระวายใจเหมือนคนท่ีถูกยาพิษ ความโกรธ จึงเปน ความช่วั รายทเี่ กดิ ในจิตใจ บุคคลใดสะสมความโกรธบอยๆ จะทาํ ใหขาดความสขุ ในชีวิต เจตสกิ ดวงนีจ้ ดั เปนความประทุษราย เพราะหากเจตสกิ ดวงนีป้ ระกอบกับจิตแลว ยอ มทําใหกรอบเกรียม กระวนกระวาย ทาํ ใหโ ศกเศรา คบั แคน เหอื ดแหง ใจ หาความสขุ ความสบาย มิได รอนรุมอยูเปนนิจประหน่ึงถูกไฟไหม ยอมทํารายตนเอง ทํารายผูอื่น อุปมาเหมือนไฟปาซ่ึง เกิดข้ึน ณ สถานที่ใด ยอมไหมเชื้อซ่ึงมีในที่น้ันใหเปนเถาถานไป และเหมือนอสรพิษที่ถูกรังแก ยอ มแสดงอาการใหทราบวาตนเปน งรู า ย ดว ยการชหู วั แผพังพานข ู เจตสกิ ดวงน้ ี เมอื่ เริ่มเกดิ ขึ้นยอ มทาํ รายตนเองกอนแลวจึงคอยขยายความพินาศ ใหเ ปนวงกวา งออกไป เหมอื นกับไฟซง่ึ ไหมบานเรอื นใหพนิ าศ ทแี รกกไ็ หมก า นไมข ดี กา นเดยี วกอน ฉันน้ัน โทสะเมื่อยังออนอยู ก็เปนเพียงแสดงสีหนาบึ้งตึง ดุดัน เม่ือรุนแรงข้ึนก็ทําใหเปลงเสียง แสดงความโกรธแคน เปน วาจาหยาบคาย หากมากไปกวานั้นก็ทําใหแสดงทาทางซึ่งไมนาดูตางๆ จนถึงกบั ทาํ รา ยตนเอง หรือยิ่งกวานนั้ กถ็ ึงกบั ฆา ตวั ตายก็มี บางครั้งเมื่อโทสะเกิดขึ้น ย้ังไมอยู ขม ไวไ มไ ด กถ็ งึ กับทาํ รายผอู ่นื หรอื ทําลายส่ิงของเครื่องใชตางๆ เปนตน โทสเจตสิกนี้เปรียบเหมือน ศัตรคู อู าฆาตไดชองไดโ อกาสเมอื่ ใด ยอมทําความพนิ าศใหเม่ือนัน้ สาเหตุทท่ี ําใหเกิดโทสะนนั้ ทานจําแนกไว ๙ ประการ เรียกวา อาฆาตวัตถุ ไดแก การปรารภวาบคุ คลนั้น ไดต เี รา ไดชนะเรา ไดขโมยส่ิงของ ๆ เรา ทั้งในอดีต อนาคต และปจจุบัน เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทศั นะเร่อื งจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ๖ษ๖า ๓ : 67 อยา งละ ๓ รวมเปน ๙ เมอ่ื ผกู ใจเจ็บอยูดวยสาเหตุ ๙ ประการนี้ โทสะท่ียังไมไดเกิดก็จะเกิดข้ึน โทสะทีเ่ กดิ แลวกจ็ ะเจริญมากขึน้ จะตกไปขา งฝา ยพยาบาท เวียนลางผลาญกันเร่ือยไปไมหยุดย้ัง เหมอื นการจองเวรกันของกากบั นกเคา และพงั พอนกบั งเู หา (๒) อสิ สาเจตสกิ คอื ภาวะของจติ ใจทม่ี คี วามอิจฉาริษยา ไมยินดีในการที่บุคคล อืน่ ไดร บั ความสขุ เหน็ บคุ คลอืน่ ไดดกี ย็ ิ่งรอ นใจ เหมือนคําที่มักจะกลาววา อิจฉาตารอน หรือเกิด ไฟริษยา ไมป รารถนาจะใหใครไดดีกวา เห็นผูอื่นสมบูรณดวยทรัพยสมบัติก็ไมพลอยช่ืนชมยินดี ดวย มแี ตค วามรงั เกยี จปรารถนาใหผ ูอน่ื ถงึ ความพินาศ (๓) มัจฉริยเจตสิก คือ ภาวะของจิตใจท่ีเกิดความความตระหนี่ หวงแหนใน สิ่งของตางๆ ของตน หรือแมกระทั่งหวงแหนความร ู ไมยอมเสียสละใหแกผูอ่ืน ความตระหน่ีมี หลายอยาง เชน ความตระหนี่หวงแหนที่อยูอาศัย ความตระหน่ีส่ิงของท่ีมี ไมยอมแบงปนใหแก ผูอื่น ความตระหน่ีหวงแหนตระกูลของตน ไมยอมใหคนอ่ืนรวมใช ความตระหน่ีในวรรณะ คือ ความงาม ตองการใหตนงามเพียงคนเดียว ไมยินดีในความงามของคนอื่น และความตระหน่ีใน ธรรม ไมตอ งการใหบ คุ คลอนื่ รสู ่ิงทต่ี นรู ซึง่ ทาํ ใหจิตใจเรา รอ น (๔) กุกกุจจเจตสิก คือ ภาวะของจิตใจท่ีเกิดความเดือดเน้ือรอนใจ โดยคิด คํานึงถึงความช่ัวท่ีตนไดเคยกระทําไว และการคิดคํานึงถึงความดีท่ีคิดวาจะทําแตยังไมไดทํา รวมทัง้ การคดิ วา ส่ิงท่ีควรทําแตไมทํา สิ่งท่ีไมควรกระทํา แตก็ไดทําไปแลว เปนตน เจตสิกดวงน้ ี เปนเครื่องกางกั้นจิตไมใหบรรลุความดีได (นิวรณธรรม) เพราะเปนสาเหตุใหเดือดรอน กระสบั กระสาย ไมอาจดํารงจิตในความดไี ด เปรยี บเหมอื นสภาพแหง คนใชห รือทาสที่ถูกบังคับให ทํางานตลอดวันยันคํ่า คืนยันรุง เมื่อถึงเวลานักขัตฤกษ บุคคลอื่นดูมหรสพทั้งกลางวันและ กลางคืน แมอ ยากจะดมู หรสพกไ็ มม โี อกาส เพราะกังวลอยดู วยภารกจิ ที่เจา นายใช ๒.๔) กลมุ ของความหดหูท อ ถอย เรียกวา ถีทกุ เจตสกิ เจตสิกกลุม น้ ี จะเกิดพรอม กันเสมอ แตถาไมเกิดก็ไมจะเกดิ ดวยกัน เปรียบเหมือนหลอดไฟกับแสงสวาง เมื่อหลอดไฟหรี่ลง แสงสวา งกจ็ ะลดนอ ยลงไปพรอ ม ๆ กนั เปน เจตสกิ ท่ีขัดขวางความเจริญกาวหนาในดานความคิด และการงานทกุ อยา ง เจตสกิ กลมุ นีม้ ี ๒ ประการ ไดแ ก (๑) ถีนเจตสกิ คอื ภาวะของจติ ใจท่หี ดหทู อถอย ทอ แท หรอื อาจเรียกวาความเซ็ง กไ็ ด ไมอยากจะทาํ ความดี หรอื เพียรพยายามอกี ตอไป หรือเบ่ือในหนาที่การงาน เปนตน เชน ใน เวลาอา นหนงั สอื หรอื ทํางาน สวดมนต นั่งสมาธิ กจ็ ะเกดิ ความเบ่อื หนา ยขึ้นมา (๒) มทิ ธเจตสกิ คือ ภาวะของจิตใจที่เซ่ืองซมึ งวงเหงาหาวนอน หมดความตั้งใจ อยากนอนหรอื การนั่งโงกงว ง สมองไมป ลอดโปรง คิดอะไรไมอ อก เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
68 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะชิ เราอื่พงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๖๗ ๒.๕) กลุม ของความลงั เลสงสยั เรยี กวา วิจิกิจฉาเจตสิก เปนเจตสิกท่ีไมมีกลุมม ี เพยี ง ๑ ดวงเทา น้นั คือ (๑) วจิ ิกจิ ฉาเจตสิก คือ ภาวะของจิตใจท่ีเกดิ ความสงสยั ลังเลไมแนใจ จนไมกลา ตดั สินใจ เมื่อเกดิ ขนึ้ ในจติ ใจของคนเราแลว สามารถจะทําใหเ กิดความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย หรือการเวยี นวายตายเกดิ ในสังสารวฏั ลงั เลสงสัยในผลแหง ทจุ ริตและสจุ รติ เปรยี บเหมอื นคนหลง ทางท่ีเดินทางไปพบทาง ๒ แพรง ยอมเกิดความสงสัย ไมกลาท่ีจะเลือกทางซายหรือทางขวา ความลงั เลสงสยั เชนนจ้ี ะขัดขวางตอการทาํ ความดี หรือทําใหเกิดความชะงักงันในการทําความด ี ตอไป ๓) เจตสิกกลุมท่ี ๓ เรียกวา โสภณเจตสกิ จาํ นวน ๒๕ ดวง เปนเจตสิกฝายดีงาม จะ เขา ประกอบปรงุ แตง จิตเฉพาะจิตทีเ่ ปน กศุ ลเทา นน้ั หรอื เกดิ ข้ึนในขณะท่ีจิตใจของคนท่ีทําดี พูดดี คิดดี มีการทําทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เปนตน เปนผลทําใหชีวิตของผูน้ันเจริญกาวหนา มี ความสขุ ความสมหวงั ตดิ ตามมา โสภณเจตสกิ ทง้ั มี ๒๕ ดวงนั้น แบงออกเปน ๔ ประเภท คอื ๓.๑) โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวง จะเขาประกอบจิตใจในการทําความดีทุก ประเภท เกิดขึ้นไดในจิตใจของคนทั่วไป ขณะที่ทําคุณงามความดี เชน ขณะที่ทําทาน รักษาศีล เจรญิ สมถวิปสสนา เปนตน เกิดข้ึนกับโสภณจิต ๕๙ ดวง หรือ ๙๑ ดวง คือ กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ดวง มหัคคตจิต ๒๗ ดวง และ โลกตุ ตรจติ ๘ ดวง หรอื ๔๐ ดวง โสภณสาธารณเจตสิกทงั้ ๑๙ ดวง มชี อ่ื และความหมาย ดงั น้ ี (๑) สทั ธา คอื ความเชอื่ หรือความเล่ือมใสทป่ี ระกอบดวยปญญาพิจารณาแนชัด แลว จึงเชือ่ ไมเ ช่อื อยางงมงายไรเหตผุ ล เชือ่ ตอสิ่งทีค่ วรเชอ่ื ๔ ประการ คอื ก. กมั มสัทธา คือ การเชื่อกรรม ข. วิปากสัทธา คอื การเชือ่ ผลของกรรม ค. กัมมสั สกตาสทั ธา คือ การเช่ือความที่สตั วม ีกรรมเปน ของตน ง. ตถาคตโพธิสทั ธา คอื การเชอ่ื ปญญาตรัสรูของพระพุทธเจา ศรัทธาทาํ ใหม ีความม่ันคงในการประพฤติธรรมทุกชนิด เปนทรัพยประเสริฐ เปน ทง้ั ธรรมที่ทําใหก ลา หาญ ความเชื่อน้ีเมื่อตั้งม่ันแนนแฟนแลว ยอมไมยอทอตออุปสรรคตางๆ ใน การประพฤติธรรมและการประกอบภารกจิ (๒) สต ิ คอื การระลึกไดในสง่ิ ที่ดี ไดแ กความระลกึ ถึงส่ิงท่ีทําและคําท่ีพูดได การ ระลึกรอู ารมณต างๆ เปน ลกั ษณะของสติ สติน้เี ปนประโยชนในการประพฤติธรรมและการกระทํา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเรือ่ งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึก๖ษ๘า ๓ : 69 ภารกจิ ทุกประการ การพดู การทํา และการนกึ คิดตางๆ ถาขาดสติทาํ ใหเกิดความพลาดพล้ัง สติน ้ี ตองใชในการกระทํา คําที่พูด สิ่งที่คิด กาย วาจาและจิตจึงจะดําเนินไปไดดวยดี และเปนไปใน กริ ิยาท่จี าํ คือจาํ กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมทีเ่ ปนไปแลว ไวไ ด (๓) หริ ิ คอื ความละอายตอ บาป ความตะขดิ ตะขวงใจ ขยะแขยงรังเกยี จตอความ ช่ัวทุจริต เปนความละอายใจที่เกิดเพราะสาเหตุภายใน เชน การคํานงึ ถึงชาตติ ระกลู และคุณธรรม เปน ตน แลว เกดิ ความขยะแขยงตอบาปทุจริต เปรียบเหมือนบุคคลผูรักความสะอาด เม่ืออาบนํ้า ชาํ ระกายหมดจดดีแลว ยอ มขยะแขยงเกลียดชงั ส่ิงสกปรก (๔) โอตตัปปะ คอื การสะดุงกลวั ตอ บาปทจุ ริต เพราะพจิ ารณาเห็นโทษแหง ความ ชว่ั แลว เกรงกลวั ตอ ผลของความช่วั นั้น ไมเ กย่ี วของกับสาเหตุภายนอก เชน การถกู ติเตียนหรือการ ถกู ทําโทษ เปน ตน แตโ อตตัปปะนเี้ กิดข้ึนเพราะคาํ นึงถงึ สาเหตภุ ายใน ไดแก การพิจารณาเห็นวา สรรพสตั วม ีกรรมเปน ของๆ ตน เปนผูรับผลของกรรมที่ตนกระทําเอง กรรมดีหรือชั่วก็ตามทําแลว ยอ มใหผ ลตามชนิดของกรรม เม่ือพจิ ารณาเชนน้แี ลวคร่นั ครามหวาดหวนั่ ตอ ผลแหง ความชว่ั ทุจรติ แมมปี ระมาณเล็กนอ ยก็ไมก ลา กระทําความเกรงกลัวตอผลของบาปธรรมเชนน้ี เปนลักษณะของ โอตตปั ปะ (๕) อโลภะ คือ ความไมอยากได ความไมติดของพัวพันอยูในอารมณ ความ สันโดษยินดีในอารมณน นั้ เปนลกั ษณะของโลภะ เปนรากเหงาของความดที ั้งปวง (๖) อโทสะ คือ ความไมโกรธ ความรักใครเมตตาอารี ไมประทุษรายหรือผูกใจ เจ็บ เปนรากเหงาของกุศลธรรมทั้งหลายเหมือนอโลภะ เปนท่ีอาศัยเกิดและเจริญงอกงามแหง กศุ ลธรรมท้งั หลาย ( ๗ ) ตั ต ตร มั ช ฌัต ต ตา คือ อุเ บ กข า ได แ ก ค วา ม ว าง เ ฉย ทํ าใ จ ใ หเ ป นก ล า ง อุเบกขานน้ั โดยมากหมายถึงเวทนเุ ปกขา คือความเฉยของการเสวยอารมณที่เปนกลางไมหนักไป ในทางฝา ยสขุ และทุกข อยใู นระดบั กลางสมํ่าเสมอ แตตตั รมชั ฌตั ตาเจตสกิ นี้ คือ การทาํ ใหจ ติ เปน กลางไมลําเอียงไปดว ยความรักและโกรธ ซึ่งไดแก อเุ บกขาพรหมวหิ าร และอุเบกขาสัมโพชฌงค (๘) กายปสสัทธิ คือ การทําใหเจตสิกสงบระงับจากส่ิงที่เปนความช่ัวหรืออกุศล ธรรมทั้งหลาย คําวา กาย ในคําวา กายปสสัทธิน้ี ไมไดหมายถึงรางกาย แตหมายถึงสิ่งที่ไมม ี รปู ราง หรอื นามกาย กลาวคอื เจตสกิ (๙) จิตตปสสัทธิ คือ ความที่จิตไมกระวนกระวายกระสับกระสาย เปนจิตสงบ ระงับจากอกุศลธรรม ไดแ ก การทําจติ ใหเปน สมาธิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
70 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะชิเราือ่ พงรจะิตไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๖๙ (๑๐) กายลหุตา คือ ความเบาแหงรูปกาย ซึ่งธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ํา ไฟ ลม ประชุมกนั เขาเปนกาย รปู กายนี้ซ่ึงยังมีธาตุทั้ง ๔ เก้ือกูลกันอยูเปนปกติ คือ มีชีวิตอยู ไมแตกดับ ยอมเปน กายท่ีเบา ไมหนักเหมอื นกายของคนตาย อกี อยา งหนงึ่ รูปกายทีไ่ มประกอบกรรมชั่วทจุ รติ ตางๆ ประพฤติแตสุจริตธรรมยอ มเรยี กวาเปน กายท่ีเบา (๑๑) จติ ตลหุตา คอื ภาวะท่ีจิตปลอดโปรง ไมเศรา โศก ปราศจากกเิ ลส ไมถูกโลก ธรรมทัง้ ๘ เขา ครอบงํา ซ่งึ จะทาํ ใหจ ติ เบา (๑๒) กายมุทตุ า คือ ความออ นแหง รปู กาย รูปกายแหงคนทย่ี งั มีชวี ติ อย ู ยอ มออ น สลวยไมแ ข็งกระดา ง เหมือนรา งกายของคนท่ตี ายแลว นอกจากนอี้ ีกอยา งหน่งึ รางกายของบุคคล ผไู มมีความหัวดอื้ หวั แข็ง มานะ ทฏิ ฐิ ออ นนอ ม และการทําใหเ จตสกิ ออ นตามไปในกศุ ลธรรม ยอ ม เปนกายทอ่ี อ นสลวย (๑๓) จติ ตมุทุตา คือ ภาวะท่จี ิตปราศจากกเิ ลสท่ที ําใหเ ศราหมอง ไมแข็งกระดาง ดวยความถอื ตวั และความเหน็ ผดิ เปน จติ ออนนอ มเลอื่ มใสในพระรัตนตรัย ปราศจากความอิจฉา รษิ ยา มคี วามยินดตี อ ความสําเรจ็ เม่อื บคุ คลอ่นื ไดดีเปน นิจ ยอ มเปนจติ ออนโยน ( ๑๔ ) กาย กัม มัญญ ตา คือ ค วาม มีร างก าย คลอ งแ คลว ไม วิกล วิก าร มีกํ าลั ง สมบรู ณ ไมเจ็บไข และการทําเจตสิกใหคลองแคลวสะดวกแกการทํากุศล เปนกายท่ีคลองแคลว ควรแกงาน (๑๕) จิตตกัมมัญญตา คือ ความมีจิตปลอดโปรงปราศจากส่ิงที่ทําใหมัวหมอง ความนกึ คดิ ยอ มคลองแคลว เปนจติ ทคี่ วรแกก ารงาน (๑๖) กายปาคุญญตา คือ ความที่รางกายสมบูรณแข็งแรง ปราศจากโรคราย ตางๆ รบกวน เปน กายที่คลอ งแคลว หรอื การทาํ นามกายคือเจตสิกท้ังหลายใหคลองแคลวแกการ บาํ เพ็ญกศุ ล (๑๗) จิตตปาคุญญตา คือ จิตที่ปราศจากโทษของจิต เปนจิตท่ีคลองแคลว สะดวกแกการนกึ คิด และนอ มไปสคู วามดี (๑๘) กายชุ กุ ตา คือ ความที่กายไมประกอบทุจริตทางกาย หรือการกระทํานาม กายคือเจตสกิ ใหซอ่ื ตรงตอ กุศลธรรม (๑๙) จิตตชุ ุกตา คอื ความที่จติ ไมฝ ก ใฝใ นทุจริต ประกอบอยูในสจุ ริตธรรมเปน นจิ ยอ มเปน จติ ที่ซื่อตรง เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทศั นะเรือ่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๗ษา๐ ๓ : 71 คาํ วา กาย ในกลมุ โสภณสาธารณเจตสิกน้ ี หมายถงึ นามกายหรือส่ิงท่ีไมมีรูปราง คือ อรูปขันธ ๓ อยาง ไดแก เวทนาขันธ สัญญาขันธ และสังขารขันธ ไมไดหมายถึงรูปกายท่ี ประกอบดว ยธาตทุ ัง้ ๔ ๓.๒) วริ ตีเจตสิก เปน เจตสกิ ฝายดีท่ีใชในการรกั ษาศลี โดยจะประกอบกับจิตของ คน ในขณะรักษาศีล เปน สภาวธรรมท่ีปรุงแตง จิตใหง ดเวนจากการทําความช่วั มี ๓ ดวง คือ (๑) สมั มาวาจาเจตสกิ คือ การต้ังใจงดเวน จากการพูดช่ัวทางวาจา ไดแก การไม พูดเทจ็ ไมพดู สอ เสียด ไมพูดคําหยาบ และไมพูดเพอเจอ เรียกวา วจีทุจริต ๔ ซึ่งไมเก่ียวกับการ ประกอบอาชพี (๒) สมั มากมั มนั ตเจตสิก คือ การต้ังใจงดเวนจากการทําชั่วทางกาย ไดแก การ ฆาสัตว การลักทรัพย การประพฤติผิดในกาม เรียกวา กายทุจริต ๓ ซ่ึงไมเก่ียวกับการประกอบ อาชพี (๓) สัมมาอาชีวเจตสิก คือ การตั้งใจงดเวนจากการกระทําชั่วทางกาย ๓ อยาง และการพูดชั่วทางวาจา ๔ อยา ง ที่เก่ยี วกับการประกอบอาชีพ ๓.๓) อัปปมัญญาเจตสิก เปนเจตสิกฝายดีที่ใชในการบําเพ็ญพรหมวิหาร มี ๒ ดวง คอื (๑) กรุณาเจตสิก ไดแก ความสงสารท่ีเกิดขึ้นในจิตใจ เม่ือเห็นมนุษยหรือสัตว อน่ื กาํ ลงั ไดรับความทุกขท รมาน หรอื จะไดร ับความทุกขทรมานในกาลขางหนา (๒) มุทิตาเจตสิก ไดแก ความรูสึกยินดีท่ีเกิดขึ้นในจิตใจ เมื่อไดเห็นบุคคลอ่ืน หรอื สัตวอ นื่ กาํ ลงั ไดรับความสุข โดยปรารถนาใหเขาเหลา น้นั มคี วามสขุ ย่งิ ข้นึ กวาเดมิ การเหน็ บคุ คลอ่นื กาํ ลังไดรับความทุกข เกิดความสงสารขึ้นในจิตใต ตองการให พวกเขาพนจากความทุกข ถือไดวา ในขณะน้ัน กรุณาเจตสิกไดเกิดขึ้นในจิตใจ ซึ่งจะกอใหเกิด ความสงบเยอื กเยน็ เปน สุข สวนการไดเห็นบคุ คลทก่ี าํ ลงั ประสบความสุขสมหวังในชีวิต แลวจิตใจ พลอยยินดชี ่ืนชมทีเ่ ขาไดรับความสุขสมหวังนน้ั ปรารถนาใหเขาไดร ับความสขุ ย่ิงข้ึนไป ถอื ไดว าใน ขณะนัน้ มทุ ิตาเจตสิกเกิดขึน้ ในจติ ใจ ๓.๔) ปญญนิ ทรียเจตสิก เปนเจตสกิ ท่ีสาํ คญั มาก เพราะเมื่อเขาปรุงแตงจิตแลว จะทาํ ใหจติ นนั้ ร ู และเขาใจในสภาพความเปนจริงของรูปและนาม ทําใหเห็นอยางถูกตองวา รูป นามนัน้ ไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข และไมใ ชตวั ตน ท่จี ะบังคับบญั ชาส่ังการใหเปนไปตามความปรารถนา ได ตลอดจนรแู จง ในอริยสัจ ปญ ญามี ๓ ประเภท คอื เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
72 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสศั อนนะวเิชรา่อื พงรจะิตไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๗๑ (๑) กัมมัสสกตาปญญา คือ ปญญาท่ีรูเร่ืองกรรม โดยรูวา สัตวท้ังหลายมีกรรม เปนของๆตน กําเนิดเกิดกอมาดวยกรรมของตนเอง บุคคลกระทํากรรมใดไวไมวาดีหรือช่ัว ยอม ไดร ับผลของกรรมทีต่ นกระทาํ ลงไปนน้ั ๆ (๒) วิปสสนาปญญา คือ ปญญาที่รูเรื่องวิปสสนา จะเกิดข้ึนกับบุคคลผูปฏิบัติ ธรรมจนมีความเขา ใจชัดแจมแจงในสรรพสิ่งวา มีลักษณะเปล่ียนแปลง ไมมนั่ คง และบงั คบั บญั ชา ไมไ ด ตกอยใู นกฎของอนิจจัง ทกุ ขงั อนัตตา นัน่ เอง (๓) โลกุตตรปญ ญา คอื ปญญาท่รี ูแจง ในอริยสัจ ๔ เมอ่ื ปญญาชนดิ น้ีเกิดขนึ้ แลว จะทําใหจิตรูแจงแทงตลอดในความเปนจริง คือ อริยสัจ ๔ ไดแก การรูแจงวา รูปนามเปนทุกข (ทกุ ขสจั ) มคี วามเปล่ียนแปลงตลอดเวลา ไมสามารถจะทนอยูในสภาพเดิมได การเกิด แก เจ็บ ตายก็เปนทุกข เปนตน การรูแจงในเหตุใหเกิดทุกข (สมุทัยสัจ) ไดแก โลภเจตสิก หรือ ตัณหา กลา วคือ ความพอใจยนิ ดตี ดิ อยูใ นกามคณุ อารมณ ทําใหต องเวยี นเกดิ เวยี นตาย อยางหาท่ีสิ้นสุด ไมไ ด การรแู จงความเขาถงึ ความดบั ทกุ ข (นิโรธสัจ) คือ นิพพาน เปน การดบั สนิทของตัณหาท่ีเปน สาเหตุทาํ ใหเกิดทกุ ข และการเวยี นเกดิ เวยี นตาย การรแู จง หนทางทจี่ ะทาํ ใหถงึ นพิ พาน (มรรคสจั ) ไดแ ก มรรคมอี งคอ งคประกอบ ๘ ประการ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทศั นะเรื่องจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ษ๗า๒๓ : 73 แบบฝกหัดประจาํ บท จงทาํ เครือ่ งหมาย X (กากบาท) หนา ขอที่ถกู ทส่ี ุด ๑. เจตสกิ มีลักษณะอยางไร ? ก. ธรรมชาตทิ อ่ี าศยั จติ เกิด ข. ธรรมชาตทิ ี่ประกอบกบั จติ ค. ธรรมชาตทิ เ่ี กดิ พรอมกับจิต ง. ธรรมชาตทิ ่เี กดิ พรอ มกับจติ จ. ถูกทุกขอ ๒. เจตสิกทป่ี ระสาน อารมณ ทวารและวิญญาณ เขาดวยกัน ไดแ ก เจตสกิ ดวงใด ? ก. ผสั สเจตสิก ข. เวทนาเจตสกิ ค. สัญญาเจตสิก ง. เจตนาเจตสกิ จ. วิจารเจตสกิ ๓. ความเจ็บปวดที่เกดิ ข้ึน เมอ่ื ถูกโรคภยั เบียดเบียน จดั เปนเวทนาอะไร ? ก. โทมนัสเวทนา ข. โสมนัสเวทนา ค. อเุ บกขาเวทนา ง. ทกุ ขเวทนา จ. ขอ ก และ ง ๔. นายจานทองแท อานหนงั สือเทย่ี วเดยี วกส็ ามารถจําได เปน เพราะเจตสิกดวงใด ? ก. ผสั สเจตสกิ ข. เวทนาเจตสิก ค. สญั ญาเจตสิก ง. ปญ ญาเจตสิก จ. วิรยิ เจตสกิ ๕. การทาํ จติ ทฟ่ี ุง ซา น ไมม คี วามสงบ ใหเปน จิตสงบ เปนหนาทข่ี องเจตสกิ ดวงใด ? ก. เจตนาเจตสกิ ข. เอกคั คตาเจตสิก ค. ชวี ติ ินทรียเ จตสกิ ง. มนสิการเจตสกิ จ. อธิโมกขเ จตสิก เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
74 : เอกสารประบกทอทบี่ก๒ารทสศัอนนะวเิชรา่อื พงรจะติ ไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๗๓ ๖. คําวา “นํา้ หยดลงหนิ หินยังกรอน” มีความหมายตรงกบั เจตสกิ ดวงใด? ก. เจตนาเจตสิก ข. อธโิ มกขเ จตสกิ ค. วริ ิยเจตสิก ง. ฉนั ทเจตสกิ จ. มนสิการเจตสกิ ๗. คาํ วา “พอใจทํา” จดั เปน เจตสกิ ดวงใด? ก. โสมนัสเวทนาเจตสกิ ข. ปติเจตสิก ค. ฉนั ทเจตสกิ ง. เจตนาเจตสกิ จ. วริ ยิ เจตสกิ ๘. บางครัง้ คนเรากค็ ดิ ด ี พูดดี ทําด ี บางคร้งั กค็ ิดพดู ทาํ ในส่ิงทไี่ มดี อะไรปรุงแตงจติ ใหคดิ พูด และทําส่ิงที่ไมด ี ? ก. สง่ิ ภายนอกยว่ั ยุใหคิดพูดทําไมด ี ข. ความเครียดในการทาํ งาน ค. อกุศลเจตสกิ เปน ตัวปรุงแตง ใหค ดิ พดู ทําไมด ี ง. ขึ้นอยูกับพอใจของแตล ะคน จ. ถูกทุกขอ ๙. เจตสิกพวกใดเปน เหตทุ ําใหม นษุ ยก ระทําทุจริตกรรมตา ง ๆ? ก. โมจตกุ เจตสกิ ๔ ข. โลติกเจตสิก ๓ ค. โทจตกุ เจตสกิ ๔ ง. ขอ ก และ ค จ. ถกู ทุกขอ ๑๐. ด.ญ. อมั้ เห็น ด.ญ. สองทา สอบไดค ะแนนดี ครูกช็ ื่นชม ทําใหไ มช อบเพอ่ื นคนนัน้ แสดงวา ด.ญ. อัม้ มีเจตสิกดวงใด? ก. โมหเจตสกิ ข. อิสสาเจตสกิ ค. มจั ฉรยิ เจตสิก ง. มานเจตสกิ จ. โทสเจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเร่ืองจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษ๗า๔๓ : 75 ๑๑. เจตสกิ ตามหลกั พระอภิธรรม แบงเปน ประเภท และจาํ นวนตามขอ ใด ? ก. ๓ ประเภท ๒๘ ประการ ข. ๓ประเภท ๓๐ ประการ ค. ๓ ประเภท ๔๐ ประการ ง. ๓ประเภท ๕๒ ประการ จ. ๓ ประเภท ๕๔ ประการ ๑๒. ขอ ใดจัดอยูใ นประเภทอัญญสมานาเจตสกิ ? ก. หิร ิ ข. โอตตปั ปะ ค. โมหะ ง. เวทนา จ. สทั ธา ๑๓. ขอใดจัดอยูในกลุม สัพพจิตสาธารณเจตสิก ? ก. วติ ก ข. วิจาร ค. ชวี ิตินทรยี ง. ปต ิ จ. ฉนั ทะ ๑๔. เจตสกิ ทท่ี ําหนา ทป่ี ระสานระหวา งอารมณ ทวาร และวิญญาณ ไดแ ก เจตสิก ดวงใด ? ก. ผสั สเจตสกิ ข. เวทนาเจตสิก ค. สัญญาเจตสกิ ง. เจตนาเจตสิก จ. เอกัคคตาเจตสิก ๑๕. เมื่อเห็นคนท่ีเรารกั ความรสู กึ ดใี จทเี่ กิดข้นึ เปน เวทนาอะไร ? ก. สุขเวทนา ข. โสมนัสเวทนา ค. ทุกขเวทนา ง. โทมนสั เวทนา จ. อเุ บกขาเวทนา ๑๖. นางสาวสะอ้งิ ทิพย น่งั อยใู นหอ งเรียน ไดยินเสียงพูดของอาจารยที่นอกหอง แลวจําไดอยาง แมน ยาํ เปน เพราะเจตสกิ ดวงใด ? ก. ผสั สเจตสกิ ข. ชวี ติ นิ ทรียเ จตสกิ ค. เอกคั คตาเจตสกิ ง. สัญญาเจตสิก จ. มนสิการ เจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
76 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอศั นนวะิชเราอ่ืพงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๗๕ ๑๗. เมื่อมคี วามฟงุ ซาน การจะทาํ ใหสงบใจ ตอ งใชเจตสกิ ดวงใด ? ก. เวทนาเจตสกิ ข. มนสิการ เจตสกิ ค. เอกคั คตา เจตสกิ ง. ชวี ิตนิ ทรยี เจตสกิ จ. อธิโมกข เจตสกิ ๑๘. คาํ วา “พอใจทํา” เปรียบเทียบไดกับเจตสกิ ดวงใด ? ก. เวทนาเจตสกิ ข.วริ ยิ เจตสกิ ค. ปต ิ เจตสกิ ง. เจตนาเจตสิก จ. ฉนั ทเจตสกิ ๑๙. สงิ่ ทห่ี ลอเล้ยี งจิตและเจตสิกใหดํารงอยไู ด คอื เจตสิกใด ? ก. มนสิการเจตสกิ ข. เจตนาเจตสิก ค. ชวี ติ ินทรยี เจตสิก ง. อธโิ มกข เจตสิก จ. วจิ ารเจตสกิ ๒๐. ความเดด็ เดย่ี ว มนั่ คง เหมอื นเสาเขอื่ น ไดแก เจตสกิ ในขอใด ? ก. มนสกิ าร เจตสกิ ข. อธโิ มกข เจตสิก ค. วิรยิ เจตสกิ ง. วติ กเจตสกิ จ. มนสกิ ารเจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทศั นะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษ๗า๖๓ : 77 บทที่ ๔ ทศั นะเร่ืองรปู ๑. ความหมายของรปู คําวา รปู หมายถึง ธรรมชาติที่แตกดับหรือเส่ือมสลายไป หรือ ธรรมชาติที่แตกสลายไป ดวยอํานาจของความรอนและความเยน็ อุปาทายรูป ๒๔ หมายถึง รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด ถาไมมีมหาภูตรูป รูปอ่ืน ๆ ก็จะ เกิดขน้ึ เองไมไ ด นปิ ผันนรูป ๑๘ หมายถึง รูปท่ีมีสภาวะของตนเองโดยเฉพาะ เชน ปฐวีธาตุ มีลักษณะ แขง็ เตโชธาตุ มลี ักษณะรอ น เปนตน อนิปผันนรูป ๑๐ หมายถึง รปู ทไี่ มม ีสภาวะของตน ตองอาศัยนิปผันนรูปเกิด จึงมีขึ้นได เชน ปรจิ เฉทรูป คอื ชอ งวา ง ระหวางรปู ตอ รูป ๒. ลักษณะเฉพาะของรูป รูปมลี กั ษณะเฉพาะ ซึง่ แตกตา งจากจิตและเจตสกิ ๔ ประการ คือ ๑) รูปเปนธรรมชาติทตี่ องแปรปรวนแตกดบั ไป ๒) รูปแยกออกจากจิตได ๓) รูปเปน อพั ยากตธรรม คอื ไมใชธรรมชาตทิ เ่ี ปนกุศลหรอื อกศุ ล ๔) รปู มวี ิญญาณเปนเหตใุ กลใ หเ กดิ ๓. ประเภทของรูป รางกายของคนและสัตวน ั้น เม่อื นับโดยแยกออกเปนรูปแลว มี ๒๘ รูป โดยแบงออกเปน ประเภทใหญ ๒ ประเภท คือ (๑) มหาภูตรปู ๔ กับอปุ าทายรูป ๒๔ และ (๒) นิปผันนรูป ๑๘ กับอ นปิ ผันนรปู ๑๐ ดังตารางดังตอ ไปนี้ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
78 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสัศอนนะวเิชรา่ือพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๗๗ ๔. คาํ อธบิ ายของรปู ๒๘ กลุม ท่ี ๑ นิปผนั นรูป รูปท่ีจะกลาวในตอนตนนี้มี ๗ ประเภท รวมได ๑๘ รูป เรียกวา นิปผันนรูป คือ รูปที่มี สภาวะของตนเอง มีลักษณะ ๓ อยาง คือ ความไมเที่ยงแท (อนิจจัง) ทนอยูในสภาพเดิมไมได (ทกุ ขัง) และบังคับบญั ชาไมได (อนตั ตา) ปรากฏใหเห็น มีรายละเอยี ด ดังตอไปนี้ ๔.๑ มหาภตู รูป ๔ มหาภูตรูป ไดแก รูปใหญท ปี่ รากฏชัด มอี ยใู นรา งกายของท้ังสงิ่ ทมี่ ีชวี ติ และไมม ชี ีวิต ไดแ ก ธาตุท้ัง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ และ ธาตุลม เปนแมธาตุ หรือตนธาตุ ซึ่งเปนใหญแหงรูป ทงั้ หลาย รูปอ่นื ๆ อีก ๒๔ รปู น้นั จะเกดิ ข้นึ ไดกต็ องอาศยั มหาภตู รปู ทัง้ ๔ น้ี มหาภูตรปู ทัง้ ๔ คือ ธาตดุ ิน ธาตุน้าํ ธาตไุ ฟ และ ธาตุลม บางธาตุก็เขากันไดคือเปนมิตร กัน บางธาตกุ ็เขากันไมไ ดไมเกอื้ กลู กัน คือ เปน ศัตรูซง่ึ กันและกนั โดยมรี ายละเอียด ดงั นี ้ ธาตดุ ิน กบั ธาตนุ ้ํา เปน มติ รตอกนั เพราะธาตุทง้ั สองเปน ธาตุทมี่ ีนํา้ หนกั เหมอื นกนั เขา กนั ไดไมขัดแยงกัน เพราะนํ้าจะชวยประสานใหดินเกาะติดกัน เชน ในการสรางบาน นํ้าจะเปนตัว ประสานทาํ ใหหนิ ทราย ปนู ซึง่ เปน ธาตดุ นิ เกาะติดกันสรา งเปนบา นเรือนข้นึ มาได แมแตพืชที่ปลูก บนดนิ กต็ อ งอาศัยนํ้าเกอ้ื กลู ทาํ ใหเจรญิ งอกงามขน้ึ มา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทศั นะเรื่องจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึก๗ษา๘ ๓ : 79 ธาตไุ ฟ กบั ธาตุลม เปนมติ รตอ กัน เพราะธาตุท้งั สองเปน ธาตทุ ่ีเบาเหมอื นกนั เขา กนั กนั ได ไมข ดั แยงกันกัน เชน ในการกอไฟถานเพื่อหุงขาว ก็ตองใชพัดโบกลมชวยใหถานติดเร็ว เวลาไฟ ไหมล มจะทําใหไฟลุกขยายไปดวยความรวดเร็ว ธาตุที่เปนศตั รูกนั คอื ดนิ กบั ไฟ และ น้าํ กับ ลม เพราะเปนธาตุทม่ี คี วามหนกั เบาตางกัน จึงขัดแยงกนั นอกจากน ี้ แมใ นธาตเุ ดียวกันก็เปน ศัตรซู ง่ึ กนั และกนั ดวย เพราะในธาตุเดียวกนั นน้ั ม ี ๒ ลักษณะ กลาวคอื ธาตดุ ินมีลกั ษณะแขง็ หรือ ออน ความแข็งทําลายความออน และความออน กท็ าํ ลายความแข็งเชน เดยี วกนั ธาตุนาํ้ มลี ักษณะไหล หรือ เกาะกุมความไหลเปนตัวทําลาย การ เกาะกุม ธาตไุ ฟมลี กั ษณะรอ น หรอื เยน็ ความรอ นและความเย็น ก็ทําลายกัน ธาตุลมมีลกั ษณะไหว หรือ เครง ตึงซึ่งเปน ภาวะทีท่ าํ ลายกนั และกนั ธาตทุ ัง้ ๔ นี้ จะอยูรวมกนั เสมอไมสามารถจะแยกออกจากกนั ได แมในตวั ธาตุทง้ั ๔ กต็ อง อาศยั ซ่ึงกนั และกัน โดยมีคําอธิบายตามลําดบั ดังตอ ไปน้ี ๑) ปฐวธี าตุ หรอื ธาตุดิน เปนธรรมชาติทม่ี ีลักษณะ แข็ง หรือ ออน ถามีธาตุดินอยูมากก็ จะแข็งมาก เชน เหล็ก หิน ถามีธาตุดินอยูนอยก็จะออน เชน ยาง ฟองน้ํา เปนตน แบงเปน ประเภทยอยอกี ๔ อยาง คอื (๑) ปรมตั ถปฐวี หรือลกั ขณปฐว ี คอื ลักษณะท่ีแทจริงของธาตดุ นิ ไดแก ความแข็งหรือ ออ นของส่ิงตางๆ ทีส่ ามารถสัมผัส ถูกตอ งไดดว ยกาย (๒) สมมติปฐวี หรือปกติปฐว ี คอื ดินทีส่ มมุติขนึ้ เรียก ไดแ ก ดนิ ทั่วๆไปที่เราเรียกกัน อยใู นโลก เชน แผนดิน พืน้ ดิน ดนิ เหนียว เปนตน (๓) สสมั ภารปฐวี คอื ดินที่มีอยใู นรางกาย ไดแก ส่ิงที่มีลักษณะแข็งภายในรางกาย ของคน และสตั วทง้ั หลาย เชน ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เนื้อ เอน็ กระดกู เยือ่ ในกระดูก มามตับ หัวใจ ปอด ผงั ผืด ไสใหญ ไสนอ ย เปน ตน (๔) กสินปฐว ี คือ ดนิ ท่นี าํ มาทําเปนแผนวงกลมเทาฝาบาตร เพ่ือนํามาเพงดูเพ่ือทํา ใหเกดิ สมาธิ ๒) อาโปธาตุ คอื ธาตุน้าํ เปน ธรรมชาติท่มี ีลักษณะไหล เอิบอาบ แบงเปนประเภทยอย ๔ อยา ง คอื (๑) ปรมัตถอาโป หรอื ลักขณอาโป คือ ลักษณะที่แทจ ริงของธาตนุ ํา้ ไดแ ก การไหล ไป หรือการเกาะกมุ ของส่งิ ตา งๆ ซง่ึ ไมสมารถรไู ดโ ดยการเหน็ ดวยตา หรอื สัมผสั ดว ยกาย แตจะรไู ด ดวยใจเทา นั้น เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
80 : เอกสารประบกอทบทกี่ ๒ารทสอัศนนวะิชเรา่ือพงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๗๙ (๒) สมมตอิ าโป หรือ ปกตอิ าโป คอื น้ําทสี่ มมุติขน้ึ เรียกกนั ทั่วไป เชน นํ้าดื่ม นํ้าใน แมน ้าํ นา้ํ ทะเล เปนตน (๓) สสัมภารอาโป คือ นํ้าที่มีอยูในรางกาย ไดแก สวนท่ีเปนของเหลวภายใน รางกายของคนและสัตว เชน ดี เลือด เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ มันขน น้ําตา เปลวมัน นํ้าลาย นา้ํ มูก นํา้ ไขขอ นํา้ ปส สาวะ เปน ตน (๔) กสณิ อาโป คอื นํ้าทน่ี ํามาใสใ นขัน หรอื บอ แลวเพงดูเพ่อื ทาํ ใหเ กดิ สมาธิ ๓) เตโชธาตุ คอื ธาตไุ ฟ เปนธรรมชาตทิ ี่มีลักษณะรอน เยน็ แบง เปน ประเภทยอย ๔ อยาง คือ (๑) ปรมตั ถเตโช หรอื ลกั ขณเตโช คือ ลกั ษณะท่ีแทจริงของธาตุไฟ ไดแก ความรอน หรือเย็นทม่ี ากระทบกาย ส่งิ ตางๆ จะสกุ งอม ละเอียด นุมนวลได ก็เพราะเตโชธาตุทําใหสุก ออน หรือนุมนวล เชน อาหารทีเ่ รารับประทาน เปน ตน (๒) สมมตเิ ตโช หรือปกตเิ ตโช คือ ไฟทสี่ มมุตขิ ้ึนเรยี กกันทว่ั ไป เชน ไฟฟา ไฟถาน ไฟ แกส หุงตม เปน ตน (๓) สสัมภารเตโช คือ ไฟที่มีอยูในรางกาย ไดแก ไฟที่มีอยูในคนและสัตว ซงึ่ มี ลักษณะตางๆในการทําใหรางกายอบอุน ทําใหรางกายแกชรา ทําใหเปนไข รวมทั้งไฟธาตุที่ยอย อาหาร (๔) กสณิ เตโช คอื ไฟท่ีทาํ ขึน้ เพอื่ ใชเ พง ทาํ ใหเ กิดสมาธ ิ ๔) วาโยธาตุ คอื ธาตลุ ม เปนธรรมชาติที่มลี ักษณะไหว ตึง แบง เปนประเภทยอย ๔ อยาง คือ (๑) ปรมัตถวาโย หรอื ลักขณวาโย คือ ลกั ษณะทีแ่ ทจ รงิ ของธาตุลม ไดแก ความไหว หรือความเครงตึง เชน การไหวของใบไม การไหวรางกาย การกระพริบตา การตึงของลมในยาง รถยนต หรอื ลมในทองที่จะทาํ ใหทองตงึ จุกเสยี ด เปน ตน (๒) สมมติวาโย หรอื ปกต ิ คือ ลมที่สมมติขึ้นเรยี กกันทั่วไป เชน ลมบก ลมทะเล ลม พายุ ลมทีพ่ ัดไปมาตามปกติ เปนตน (๓) สสมั ภารวาโย คือ ลมทม่ี อี ยูในรางกาย ไดแก ลมตางๆ ท่ีพัดอยูภายในรางกาย คอื ลมท่ีพัดขนึ้ เบ้อื งบน เชน การหาว เรอ ลมทพ่ี ัดลงเบ้อื งต่ํา เชน การผายลม ลมท่ีอยูในชองทอง ทําใหปวด เสียดทอง ลมที่พัดอยทู วั่ รางกายทําใหไหวกายไปมาได และลมหายใจเขา -ออก (๔) กสณิ วาโย หรอื อารัมมณวาโย คือ ลมที่ใชเปนอารมณในการเพงกสิณ เพื่อให เกดิ สมาธ ิ โดยการกําหนดเพงเอาธาตลุ มทที่ ําใหเกดิ การไหวของใบไม ยอดหญา เปนตน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ๘ษ๐า ๓ : 81 ๔.๒ ปสาทรปู ๕ คําวา ปสาท แปลวา ความใส ดังนั้น ปสาทรูป จึงหมายถึง รูปที่มีความใส ม ี ความสามารถในการรบั อารมณ คือ รูป เสียง กล่ิน รส สมั ผสั ได คลายกระจกเงาท่สี ามารถรับภาพ ตา งๆ ภายนอกได มี ๕ ประเภท คือ ๑) จกั ขปุ สาทรปู ไดแ ก ปสาทตา เปนส่ิงท่ีมีความใสตั้งอยูกลางตาดํา มีขนาดโตเทาหัว เหา มีเย่ือตาบางๆ เจ็ดชั้นซอนกันอยู สามารถท่ีจะรับภาพหรือสิ่งตางๆหรือท่ีเรียกวา รูปารมณ ปสาทตาเปนท่ีปรากฏของภาพท้ังที่ชอบใจและไมชอบใจ ภาพท่ีเห็นลวนแตเกิดมาจากผลของ กรรมท้งั สน้ิ เม่อื เห็นภาพทดี่ กี ท็ ําใหสบายใจ ซงึ่ เปนผลของกรรมดที ี่ไดก ระทําไว เมอื่ เหน็ ภาพท่ไี มด ี กท็ ําใหไมส บายใจ ซึง่ เปน ผลของกรรมไมดีทีไ่ ดกระทําไว จักขุปสาทรูปทําหนาท่ี ๒ อยาง คือ เปนสถานที่เกิดของจักขุวิญญาณจิต หมายถึง สถานท่ีทีจ่ ิตรับรูภาพ และเปน จักขุทวารวิถี ซึ่งหมายถึงกระบวนการของจิตท่ีเกิดดับติดตอกัน ทางตา ๒) โสตปสาทรปู ไดแ ก ปสาทหู เปนสิ่งที่มีความใสมีลักษณะเหมือนวงแหวน มีขนสีแดง เสน ละเอียดอยโู ดยรอบสามารถรบั เสยี งตางๆ หรือท่ีเรียกวา สัททารมณ เพราะการกระทาํ หจู ึงรับ เสียงทง้ั ทพ่ี อใจและไมพ อใจ ซ่ึงเปน ผลของกระทาํ โสตปสาทรูปทําหนาท่ี ๒ อยาง คือ เปนที่สถานที่เกิดของ โสตวิญญาณจิต หมายถึง สถานทที่ ีจ่ ิตรับรูเสียง และเปน โสตทวารวิถี ซ่ึงหมายถึงกระบวนการของจิตท่ีเกิดดับติดตอกัน ทางหู ๓) ฆานปสาทรปู ไดแก ปสาทจมกู เปน สิง่ ทมี่ คี วามใส มีลกั ษณะคลายเทาแพะ สามารถ รบั กลนิ่ ตา งๆหรือที่เรยี กวา คนั ธารมณ เพราะการกระทํา จมกู จึงรับกล่ินท้งั ทพ่ี อใจและไมพอใจ ฆานปสาทรปู ทาํ หนา ท่ี ๒ คือ เปนสถานที่เกิดของ ฆานวิญญาณจิต หมายถึงสถานท่ีที ่ จิตรับรูก ลิน่ และเปน ฆานทวารวถิ ี ซึง่ หมายถงึ กระบวนการของจติ ทเ่ี กิดดบั ติดตอ กันทางจมกู ๔) ชิวหาปสาทรูป ไดแก ปสาทลิ้น เปนส่ิงที่มีความใส ตั้งอยูทามกลางลิ้น มีลักษณะ เหมือนปลายกลีบดอกบัว เรียงรายซอนกันเปนชั้นๆ สามารถรับรสตางๆหรือที่เรียกวา รสารมณ เพราะการกระทาํ จมกู จงึ ไดร บั รสตางๆท้ังที่ชอบใจและไมชอบใจ ชิวหาปสาทรปู ทาํ หนัาท่ี ๒ อยาง คือ เปนสถานที่เกิดของ ชิวหาวิญญาณจิต หมายถึง สถานที่ท่ีจิตรบั รรู ส และเปน ชวิ หาทวารวิถี ซึ่งหมายถึงกระบวนการของจติ ท่เี กิดดบั ติดตอกนั ทาง ลิน้ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
82 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสศัอนนะวเิชราื่อพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๘๑ ๕) กายปสาทรูป ไดแก ปสาทกาย เปนสิ่งที่มคี วามใส มีลักษณะคลายสําลีแผนบางๆ ชุบ นาํ้ มันจนชุมซอ นกันหลายๆ ชั้น สามารถรับสัมผัสตางๆ หรอื ที่เรียกวา โผฏฐัพพารมณ คือ ธาตุดนิ ธาตุไฟ และ ธาตุลมได มอี ยูทัว่ รางกาย ต้งั แตศีรษะถึงเทา เวนแตปลายเสนผม ขน เล็บ ฟน หรือ หนังทหี่ นาจะไมม กี ายปสาท เพราะจะไมมีความรูสึก เชน ในเวลาท่ีเราตัดผม ตัดเล็บ จะไมรูสึก เจ็บ เพราะการกระทาํ กายปสาทจงึ รบั สัมผสั ทง้ั ทพี่ อใจและไมพอใจ กายปสาทรูปทําหนาที่ ๒ อยาง คือ เปนสถานท่ีเกิดของ กายวิญญาณจิต หมายถึง สถานที่ทีจ่ ติ รบั รูส ัมผัส และเปน กายทวารวิถี ซงึ่ หมายถึงกระบวนการของจิตที่เกิดดับติดตอกัน ทางกาย ๔.๓ วสิ ยรูป หรือ โคจรรปู ๔ วิสยรูป หรือ โคจรรูป หมายถึง สิ่งตางๆ ที่มากระทบทางปสาทรูปทั้ง ๕ เชน ภาพหรือส ี ทมี่ ากระทบทางตา เสยี งทมี่ ากระทบทางหู เปนตน วิสยรูปและโคจรรูปจัดเปนอารมณที่ทําใหจิต และเจตสิกเกิดขึ้นมารับรปู นัน้ ๆ จนบางคร้งั ทาํ ใหเ กดิ ความพอ ใจอารมณหรือสิ่งท่ีถูกรับรูท่ีดี หรือ ทาํ ใหเกิดความไมพ อใจอารมณทไ่ี มด ี วสิ ยรปู มี ๔ ประเภท สวนโคจรรูปมี ๗ ประเภท คอื ๑) วัณณรูป หรือ รูปารมณ ไดแก สีตางๆ ที่เห็นไดดวยตา เชน สีแดง เหลือง เขียว ขาว เปนตน เม่ือเห็นสีแลวก็จะสงความรูสึกไปทางใจ ใหรูถึงรูปรางลักษณะผิวพรรณสัณฐานตางๆ ๒) สทั ทารมณ ไดแ ก เสียงท่ีมากระทบทางหู ทําใหเกิดการไดยิน ถาเสียงดีไพเราะก็เกิด ความพอใจ ถาเสยี งไมดีไมไ พเราะ เชน เสียงดา กท็ ําใหเกดิ ความไมพอใจ ๓) คันธารมณ ไดแก กล่นิ ซ่ึงเปนไอระเหยของวตั ถุตา งๆ ที่มากระทบกับจมูก ทําใหรูกลิ่น กล่นิ หอมของดอกไม เปนตน ๔) รสารมณ ไดแ ก รสตา ง ๆ เชน รสเปร้ยี ว หวาน เคม็ เผด็ ขม ฝาด ทีป่ รากฏท่ีลิ้น ๕) โผฏฐพั พารมณ ไดแก ส่งิ ทีม่ ากระทบกบั รางกาย มี ๓ อยา ง คอื (๑) ปฐวโี ผฏฐัพพารมณ ไดแ ก ความแข็ง หรอื ออน (๒) เตโชโผฏฐพั พารมณ ไดแก ความรอ น หรอื เยน็ (๓) วาโยโผฏฐพั พารมณ ไดแก ความหยอน หรอื ตงึ ลกั ษณะท่ีกลา วมาทงั้ หมดนัน้ เปนลกั ษณะท่แี ทจริงของธาตุดนิ ธาตุไฟ ธาตลุ ม นนั่ เอง แต เราไมสามารถสัมผสั ธาตนุ ํา้ ไดด วยทางกาย แตสัมผัสหรือรไู ดโ ดยทางใจเทาน้นั การเรียกวา วิสยรูป ๗ เพราะรวมโผฏฐัพพารมณ ๓ อยางขางตนเขามาในวิสยรูปท้ัง ๔ คือ รปู ารมณ สทั ทารมณ คันธารมณ และรสารมณ จึงรวมเปน ๗ อยา ง เพราะทง้ั หมดน้ันลวนเปน อารมณใหแ กจิตและเจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึก๘ษา๒ ๓ : 83 สวนทเี่ รยี กวา โคจรรูป เพราะ รปู เสยี ง กลิ่น รส สมั ผัสทัง้ ๔ เปนทโ่ี คจร หรือ ทองเท่ียวไป ของจติ และเจตสิก เหมือนกับโคที่ชอบทอ งเทย่ี วไปกินหญา ในท่ี ๔ แหง ๔.๔ ภาวรปู ๒ ภาวรูป หมายถึง สิ่งทีแ่ สดงความเปน หญงิ หรอื ชาย มี ๒ ประเภท คอื ๑) อติ ถภี าวรูป คอื รปู ที่แสดงความเปน เพศหญิง ๒) ปุริสภาวรูป คือ รูปทีแ่ สดงความเปนเพศชาย รปู ท้ัง ๒ เปน รูปทล่ี ะเอยี ด เกิดจากกรรม เปนสงิ่ ทเ่ี กิดขึ้นครั้งแรกในชวี ิต มอี ยูแผซ านไปทั่ว รางกาย เปน ส่งิ ท่ีรับรูไดดวยใจเทา นั้น ไมสามารถเหน็ ไดดว ยตา เพราะตาเหน็ ไดเฉพาะสีเทา นน้ั ไม สามารถเหน็ รูปทีล่ ะเอียดได การทีเ่ รารูวา บคุ คลใดเปนหญิงหรือชาย ตอ งอาศยั สง่ิ ทเ่ี ปนเครอื่ งแสดง ๔ อยาง ไดแ ก ๑) รปู รา งสัณฐาน หรือ ลิงค ไดแก รูปราง หนา ตา แขนขา รวมไปถงึ เครอ่ื งหมายเพศดว ย ๒) เครื่องหมาย หรือ นิมติ ไดแ ก หนวด เครา หนาอก ซ่งึ มีแตกตางกันอยางชัดเจน ๓) นิสยั หรอื กตุ ต ไดแ ก อปุ นิสยั การเลน การแสดงออก เปนตน ๔) กริ ยิ าอาการหรือ อากัปป ไดแก กิริยาอาการตาง ๆ เชน การยืน การเดิน การพูด เปน ตน ถา เปนหญิงจะกเ็ รยี บรอ ย มคี วามละอาย ออนโยน นุมนวล ขี้กลัว ตกใจงาย ถาเปนชายก็จะ แขง็ กระดาง กลาหาญ เปนตน ๔.๕ หทยรปู ๑ หทยรูป ไดแก หัวใจของส่ิงมชี วี ิต เปน ที่ตั้งของจิตและเจตสิกของสิ่งมีชีวิต หทยรูปน้ี เกิด มาจากกรรม ต้ังอยูในชองเนื้อหัวใจ มีลักษณะเปนบอ มีโลหิตเปนนํ้าเลี้ยงหัวใจอยูประมาณ ๑ ซองมือ มีขนาดเทาเมล็ดบุนนาค เปนสถานที่เกิดของการตัวรู (มโนธาตุ) และการการรับรูท่ีใจ (มโนวญิ ญาณธาตุ) หทยรปู น้ี ๒ อยาง คือ ๑) มงั สหทยรูป ไดแก กอ นเนอ้ื ท่เี ปนหวั ใจ มลี กั ษณะคลา ยดอกบัวตูม ๒) วัตถุหทยรูป ไดแ ก สง่ิ ท่ีอยูในมงั สหทยรปู อกี ชน้ั หนึ่ง ๔.๖ ชีวิตรปู ๑ คาํ วา ชีวิต มี ๒ อยาง คือ รปู ชีวติ และ นามชีวติ รูปชีวติ ไดแ ก ชีวิตรูปนีเ้ อง สวนนามชีวิต ไดแ ก ชีวติ ินทรยี เจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
84 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะชิเราือ่ พงรจะิตไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๘๓ ชีวิตรปู ไดแ ก สง่ิ ทท่ี ําใหส่ิงมีชวี ติ ไมว าจะเปนคนหรือสัตวมีชีวิตอยูไดไมตายมา เปนส่ิงท่ ี เกิดมาจากกรรม เปนสงิ่ ทท่ี าํ ใหคนและสัตวมีชวี ิตอยูไ ดเ พ่อื สรา งกรรม คอื บุญ บาปกนั ตอไปไมมที ่ี สนิ้ สุด ๔.๗ อาหารรปู ๑ อาหารรูป คือ สารอาหารหรือเรียกวา โอชา ที่บํารุงเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย ทําให เจรญิ เตบิ โต ซึง่ เกดิ จากอาหารทรี่ ับประทานเขาไปประจาํ วนั นีเ้ อง เพราะเมอ่ื เรารบั ประทานแลว ก็ จะเกิดกระบวนการยอยดว ยไฟธาตทุ ี่เรียกวา ปาจกเตโชธาตุ นําไป สวนอาหารที่รับประทานเปน คาํ ๆ ท่ยี ังไมยอ ยเปน โอชา ช่อื วา กพฬกี าราหาร รูปทงั้ ๑๘ ประเภทเหลาน้ ี มที ่ตี ้งั แตกตางกัน รปู ที่อยกู ระจายท่วั รางกาย นั้นมี ๑๒ รูป คือ มหาภตู รปู ๔ กายปสาทรูป ๑ วัณณรูป ๑ คันธรูป ๑ รสรูป ๑ ภาวรูป ๒ ชีวิตรูป ๑ อาหารรูป ๑ รปู สว นรปู ทเี่ กิดเฉพาะที่ มี ๖ ประเภท คอื จักขปุ สาทรูป (ปสาทตา) โสตปสาทรูป (ปสาทหู) ฆานปสาทรปู (ปสาทจมูก) ชวิ หาปสาทรูป (ปสาทล้นิ ) สทั ทรูป (เสียง) และหทยรูป (หัวใจ) กลุมท่ี ๒ อนิปผนั นรูป อนิปผันนรูป เปนรูปท่ีไมใชรูปแท เพราะเปนรูปที่ไมมีสภาวะประจําตัวโดยเฉพาะ ไมมี สามัญลักษณะท้ัง ๓ ประจาํ อย ู คือ ความไมเที่ยงแท (อนิจจัง) ทนอยูในสภาพเดิมไมได (ทุกขัง) และบังคบั บัญชาไมได (อนัตตา) ไมมีการแตกดับสลายไป ดวยความเย็นหรือความรอน เหมือน นิปผันนรปู ดงั กลาวมาแลวขางตน อนิปผนั นรปู ตอ งอิงอาศัยนิปผันนรูป จึงจะเกดิ ขึ้นได ถา ไมม นี ปิ ผนั นรูปแลว อนิปผันนรปู ก็ เกดิ ข้ึนไมไ ด เชน ปรจิ เฉทรปู คอื ชอ งวา ง ตัวอยางเชน น้ิวมือ หรือน้ิวเทา ถานิ้วมือหรือนิ้วเทาติด เปน แผนเดยี วกัน เรากน็ บั ไมไ ดว านิ้วมือมี ๕ นว้ิ หรอื นวิ้ เทามี ๕ นิ้ว ชอ งวางจึงจัดเปนรูปๆ หนง่ึ ซงึ่ ทําหนาท่คี ่นั ไมใหส่งิ ท้งั หลายตดิ กันเทาน้นั ทําใหนบั เปนจํานวนได ดงั นัน้ ชอ งวา ง จึงไมจ ัดเปนรูป ท่ีแทจริง ดังน้ัน อนิปผันนรูปท้ังหมดจึงไมสามารถท่ีจะนับเปนจํานวนอยางนิปผันนรูปดังกลาว มาแลว ได อนิปผันนรูป จดั เปนรูป ๔ หมวด คอื ปริจเฉทรปู วิญญัตริ ูป วกิ ารรูป ลักขณรูป รูปทั้ง ๔ หมวดนี้ยังอาจเรียกไดวาอรูปรูป ไดอ ีก เพราะรูปเหลาน้ีไมปรากฏรูเปนลักษณะเลย เราจะรูรูป เหลานี้ไดตอ งอาศัยรูปที่ปรากฏรูปเปนลักษณะ ความแตกดับของรูปเหลาน้ีแมจะไมปรากฏโดย ลําพังตนเอง ก็ปรากฏตามรูปที่มีรูปเปนลักษณะ เพราะอาศัยรูปที่มีรูปเปนลักษณะเปนไป สวน เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ๘ษา๔ ๓ : 85 การที่เรียกอนิปผันนรูปเหลาน้ีวา อรูป ก็ไมไดหมายความวาเปนรูปที่ไมมีรูป คือรูปท่ีไมปรากฏ ความแตกดบั โดยชดั เจน แตปรากฏความแตกดับไปตามรูปทป่ี รากฏรูปเปนลกั ษณะโดยชดั เจน ๔.๘ ปรจิ เฉทรูป ๑ ปริจเฉทรูป คือ ชองวางในกาย รูปประเภทน้ีไดแกอากาศหรือชองวางเปนท่ีกําหนดใน ระหวางรูปทง้ั สองเพื่อไมใ หต ิดตอ กัน ๔.๙ วญิ ญัติรูป ๒ วิญญัติรูป คือ รูปที่แสดงใหผูอื่นรูความหมายหรือรูความประสงค วิญญัติรูปจะ เคลื่อนไหวตอ งมจี ิตส่งั งานใหเคลอ่ื นไหวทางกาย ทางวาจา น่ังนอน ยืน เดิน พูดเสียงดัง พูดคอย พดู เพราะ พูดไมเ พราะ ก็อยูท่วี ญิ ญตั ิรูป โดยจติ ส่ังรปู ชดุ นีใ้ หท ํางาน มี ๒ ประเภท คอื ๑) กายวญิ ญตั ิ คือ การเคลอ่ื นไหวของรูปใหร คู วามประสงคท างกาย ไดแก กิริยาแหงกาย ท่แี สดงออกเพื่อใหรูความหมาย เชน การพยักหนารับคํา ส่ันศีรษะปฏิเสธ หรือความเคล่ือนไหว แหงกาย มกี ารกาวหนาและถอยหลงั เปน ตน ๒) วจีวิญญัติ คือ การเคลื่อนไหวของรูปทางวาจา ใหรูความประสงคทางวาจา ไดแก กริ ยิ าอาการแหงวาจาที่เปลง ถอ ยคําใหผอู น่ื รูค วามหมาย ๔.๑๐ วกิ ารรูป ๓ วกิ ารรูป คือ รูปท่แี สดงอาการพิเศษของนปิ ผนั นรูปใหปรากฏมี ๓ ประเภท คือ ๑) ความเบาแหง รปู ไดแก ความสละสลวยแหง รูป มีความไมห นัก มีความคลองแคลว เรียกวา ลหตุ ารปู ๒) ความออ นแหง รปู ไดแก ความไมแขง็ กระดาง ความไมขดั ของในกิริยาท้ังปวง เรียกวา มทุ ุตารปู ๓) ความควรแกการงานแหงรูป คือ ความคลอยตามความกระทําของรางกาย เรียกวา กมั มัญญตารูป วิการรูปท้ัง ๓ น้ีอาศัยธาตุทั้ง ๔ เมื่อธาตุทั้ง ๔ เปนปกติ ความเบา ความออน ความ คลอ งแคลว ของรปู ยอ มเปน ไปดี วกิ ารรปู ทัง้ ๓ น ้ี ขณะเกิดข้นึ ยอ มเกิดข้ึนพรอมกัน ตางแตอาการ กัน วิการรูปเกิดพรอมหรือไมเกิดพรอมกันกับวิญญัติรูปก็ได ถาวิญญัติรูปเกิดพรอมวิการรูป วิญญัติรูปนั้นก็จะมีความเบา ความออน ความควรแกการงานก็จะเกิดข้ึนทันที กลาวคือ การ เคลอื่ นไหวทางกายก็จะรูสึกเบา ออนโยน คลองแคลว ควรแกการงาน การเคล่ือนไหวทางวาจา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
86 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะชิ เราอื่พงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๘๕ เชน การพูด การบรรยาย ก็จะมีความเบา ความออนโยน ความคลอ งแคลว ควรแกการงานเกิดข้ึน ทนั ที วกิ ารรปู ตองเกิดข้ึนแกสงิ่ มชี วี ติ เทานั้น สิ่งไมม ชี วี ิตไมม ีวกิ ารรูป ๔.๑๑ ลกั ขณรปู ๔ ลกั ขณรูป คอื รปู ทแ่ี สดงความเกดิ ขนึ้ ความเจรญิ ความเส่ือม และความดับไปใหปรากฏ มี ๔ ประเภท คอื ๑) อปุ จยรูป ไดแก ความเติบข้ึน ความเกิดขึ้นเจริญขึ้นแหงรูป ต้ังแตแรกเกิดจนเติบโต ปรากฏรปู รางลกั ษณะสมบรู ณ ๒) สันตตริ ปู ไดแก ความสืบเน่อื งตอ แหงรปู ตอ จากนน้ั โดยไมเขา ไปตดั รอนรปู เกา คอื การ เกิดข้ึนเจริญขึ้นแทนรูปเกา เชนขนเกาหลุดลวงไป ขนใหมขึ้นแทนหรือความเปนเด็กเล็กออน หายไป ความเปนเด็กเติบโตเกิดแทน ความเปนเด็กเติบโตหาย ความเปนหนุมเปนสาวเกิดแทน เปนตน ความตอเน่อื งกันโดยไมท าํ ลายตดั รอนรปู เกา ใหปรากฏ ๓) ชรตารูป ไดแก ความทรดุ โทรม ครา่ํ ครา ของรปู ซง่ึ เขา ไปขัดขวางหรือตัดรอนความสืบ ตอเน่ืองของรูปไมใหเปนไปดวยดี ทําใหมีความเปลี่ยนแปลงแหงสันตติรปู ปรากฏข้ึน เชนความ หงอมแหงรูปกาย ความเหย่ี วยนเปนร้วิ รอยแหงผิวหนัง ความเส่อื มถอยแหง เรยี วแรง เปน ตน แสดง ใหเ ห็นวาสันตติรปู ทําหนาทข่ี องตนไมไ ด หรือเสอ่ื มกาํ ลงั เพราะชรตารปู เกดิ ขน้ึ ตัดรอน ๔) อนิจจตารูป ไดแก ความไมย่ังยืน ไมเท่ียงถาวร ต้ังอยูตามสภาพไมไดนาน มีความ ปรากฏข้ึนแลว ยอ มมคี วามเส่อื มสลายแตกดับไปเปนธรรมดา เพราะรูปธรรมนี้อาศัยเหตุปรากฏ ข้ึน เมอื่ สิน้ เหตกุ ็สลายไป ไมมีรูปธรรมใดจะตั้งอยูยั่งยืนตลอดกาล โดยเฉพาะรูปรางกายของคน และสัตว ยอ มเปน สภาพทแี่ ตกสลายงาย และมรี ะยะเวลานอยนิดเดียว ไมม ีความเทีย่ งแทถ าวร ไม ตัง้ อยนู าน เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเรือ่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ษ๘า๖๓ : 87 แบบฝก หดั ประจาํ บท จงทาํ เคร่ืองหมาย X (กากบาท) หนา ขอ ทถ่ี กู ทสี่ ุด ๑. ขอ ใดตอ ไปน ้ี คอื ความหมายของคําวา รปู ตามพระอภธิ รรม ? ก. ส่งิ ทไี่ มม ีตวั ตน ข. ส่ิงที่ไมมีจติ ค. สิง่ ทแ่ี ตกดบั หรอื ผนั แปร ง. สง่ิ ท่ีไมเท่ียงแท จ. ขอ ก และ ง ผดิ ๒. ขอ ใดตอ ไปนอ้ี ยใู นประเภทนิปผนั นรูป ? ก. ปริจเฉทรปู ๑ ข. ลกั ขณรูป ๔ ค. ปสาทรูป ๕ ง. หทยรูป ๑ จ. ขอ ค และ ง ถูก ๓. ขอใดตอไปน ี้ จัดอยูใ นประเภท อนปิ ผันนรูป ? ก. ปสาทรปู ๕ ข. หทยรูป ๑ ค. ภาวรปู ๒ ง. มหาภตู รูป ๔ จ. วิญญตั ริ ปู ๒ ๔. ธาตุดนิ ในรางกายของมนษุ ย คอื อวยั วะใด ? ก. เสลด ข. มนั ขัน ค. อาหารเกา ง. หนอง จ. ถูกทกุ ขอ ๕. ดินทีใ่ ชในการทําไรไถนา จัดเปน ธาตดุ ินประเภทใด ? ก. ดินแท ข. ดนิ สมมติ ค. ดินในรา งกาย ง. ดินธรรมดา จ. ขอ ก และ ข ๖. น้าํ ดื่ม นํา้ ในแมน ้ํา จัดเปน ธาตุน้าํ ตามขอใด ? ก. นํา้ แท ข. น้าํ สมมต ิ ค. นํา้ ในรางกาย ง. น้ําธรรมดา จ. ขอ ข และ ค เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
88 : เอกสารประบกทอบทกี่ ๒ารทสศัอนนะวชิเราือ่ พงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๘๗ ๗. ขอ ใดตอไปน ้ี จดั เปน ไฟแท ? ข. ไฟฟา ก. ไฟถา น ง. ไฟทที่ ําใหก ายอุน ค. ความรอ น–เย็น จ. ไฟทยี่ อยอาหาร ๘. ขอใดตอ ไปน ้ี จัดเปน ลมแท ? ข. ลมบก ก. ความไหว– ตึง ง. การผายลม ค. ลมทะเล จ. การเรอ ๙. ขอใดตอไปน ้ี จดั อยูในกลุม ปสาทรปู ? ก. ตา ข. ห ู ค. จมกู ง. กายปสาท จ. ถูกทกุ ขอ ๑๐. รูป เสียง กลนิ่ รส จดั อยใู นรปู กลุมใด ? ก. ปสาทรปู ข. มหาภูตรปู ค. วิสยั / โคจรรูป ง. นิปผนั นรปู จ. ขอ ก และ ค ๑๑. ภาวรปู มสี ง่ิ ใดเปน เคร่อื งแสดงใหท ราบ ? ก. รปู รางสณั ฐาน ข. เคร่อื งหมายเพศ ค. อุปนสิ ัย ง. กิรยิ าอาการ จ. ถกู ทกุ ขอ ๑๒. กอ นเนอ้ื ในหัวใจ รูปรา งคลา ยดอกบัวตูมท่แี กะกลีบนอกออกแลว ขนาดประมาณเทากํามือ มี สคี ลายกลบี บัวแดง เรียกวา ? ก. หวั ใจ ข. หทยวตั ถุ ค. หทยรปู ง. ชวี ติ รปู จ. ชวี ติ ินทรีย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทศั นะเร่อื งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๘ษา๘ ๓ : 89 ๑๓. อาหารรปู ไดแก อาหารในขอ ใด ? ก. แกงไก ข. ลาบเลือด ค. ลาบปลาดุก ง. กอยกุง จ. สารอาหาร ๑๔. ขอ ใดตอ ไปน้ี จดั เปน กายวญิ ญตั ิรปู ? ก. การวง่ิ ข. การเดนิ ค. การพยักหนา ง. การนง่ั จ. ถูกทกุ ขอ ๑๕. ความเจรญิ เตบิ โตของรูปตงั้ แตแรกเกดิ เตบิ โตจนปรากฏรปู รา งสมบรู ณ เรียกวาอะไร ? ก. อปุ จยรปู ข. สนั ตตริ ูป ค. ชรตารูป ง. ทกุ ขตารปู จ. อนจิ จตารูป ๑๖. การทข่ี นเกาหลุดรว งไป ขนใหมเ กดิ ขนึ้ แทน หรือความเปนเด็กเล็กหาย ความเปนเด็กโตเกิด แทน เรยี กวา อะไร ? ก. อนิจจตารปู ข. อปุ จยรปู ค. ทุกขตารปู ง. ชรตารูป จ. สันตตริ ูป ๑๗. ความลดนอ ยเสื่อมถอยของเรีย่ วแรง ริ้วรอยของผวิ หนัง เรียกวาอะไร ? ก. สันตตริ ปู ข. อปุ จยรปู ค. ทุกขตารูป ง. อนิจจตารูป จ. ชรตารปู ๑๘. ความมีปรากฏขึน้ แลว เสอ่ื มถอย แตกดับไปไมถ าวร เปน ลกั ษณะของรูปใด ? ก. อนัตตารปู ข. อุปจยรปู ค. ทกุ ขตารูป ง. อนิจจตารูป จ. ชรตารูป เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
90 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะิชเราือ่พงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๘๙ ๑๙. ขอใดตอไปน้จี ดั เปน กายวญิ ตั ตริ ูป ? ก. การพดู ข.การเดิน ค. การตะโกน ง. การพยักหนา จ. ขอ ข และ ง ถูกตอง ๒๐. ความไมแ ข็งกระดา ง ความไมขัดขอ งในกริ ิยาท้งั ปวง จดั เปนรูปอะไร ? ก.อปุ จยรูป ข. ลหตุ ารปู ค.มทุ ุตารปู ง. กมั มัญญตารปู จ. อนิจจตารูป เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทัศนะเรอ่ื งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๙ษ๐า ๓ : 91 บทท่ี ๕ ทศั นะเร่อื งนิพพาน ๑. ทกุ ข ๑๐ ประการ ตามหลักอริยสัจ ๔ ขอที่ ๒ คือ สมุทัยอริยสัจ ไดแก สาเหตุของทุกขน้ัน ไดแก ตัณหา เพราะเปนสาเหตุใหทุกขเ กดิ หรอื เปน แดนเกิดแหงทุกข ตัณหาน้ันรูเหน็ ไดยาก ไมปรากฏแจม แจง เหมอื นทกุ ข สว นทุกขซ ึ่งเปน ผลนัน้ ปรากฏแจม แจง ดังนั้น ในอรยิ สัจ ๔ ประการ ทา นจึงแสดงทุกข กอ น โดยทกุ ขน ้ันจดั เปนหมวด ได ๑๐ หมวด คอื ๑) สภาวทุกข ไดแ ก ทกุ ขทีม่ ปี ระจําสังขารอยเู ปนปกติ คอื ชาต ิ ชรา มรณะ ๒) ปกิณณกทุกข ไดแก ทุกขจรหรือทุกขที่เกิดข้ึนเปนบางครั้งคราว คือ ความแหงใจ (โศก) ความสะอืน้ อาลยั หรอื ความครํ่าครวญ (ปรเิ ทว) ความเจบ็ กาย (ทกุ ข) ความเสยี ใจความเจบ็ ใจ (โทมนัส) ความคับแคน ใจ (อุปายาส) ๓) นพิ ัทธทุกข ไดแก ทกุ ขท ่ีเกิดเปน ประจํา คอื หนาว รอ น หิว กระหาย ปวดอจุ จาระ ปวด ปส สาวะ ๔) พ ยา ธิ ทุก ข ไ ด แก ทุ กข เ วท นา มีต า งๆ ท่ี เ กิด จ า กก า รท่ี อวั ยว ะ ตา งๆ ไ ม ทํา หน า ท่ี ตามปกติ ๕) สันตาปทุกข ไดแกความรอนรุม คือ ความกระวนกระวายภายในเพราะถูกไฟกิเลส กลา วคือ ราคะ โทสะ โมหะ เผา ๖) วิปากทุกข ไดแก ทุกขซ่ึงเปนผลกรรม คือ ความความเดือดรอนใจ ซึ่งเกิดจากการ เสวยผลของกรรมกชัว่ ท่ตี นไดท าํ เอาไว ๗ ) สห ค ต ทุ ก ข ได แ ก ทุ ก ข ท่ี ม าคู กั น ห รื อทุ ก ขท่ี กํ ากั บ กั น คื อ ทุ ก ขซ่ึ ง เ กิ ด จ าก ก า ร เปลี่ยนแปลงของสงิ่ ทีป่ รารถนามาเปนสง่ิ ทไ่ี มนาปรารถนา หรือเรียกวา วิปริณามทุกข เชน เส่ือม ลาภ เส่ือมยศ เปน ตน ๘) อาหารปรเิ ยฏฐิทกุ ข ไดแก ทุกขท ่เี กิดมาจากความยากลําบากในการการทํามาหากิน เลยี้ งชวี ติ ๙) วิวาทมูลกทุกข ไดแก ทุกขที่เกิดจากการทะเลาะวิวาท คือ ความกลัวแพ ความ หวาดหวัน่ เปนตน ๑๐) ทุกขขันธ ไดแก ทุกขรวบยอดหรือกองทุกข คือ ขันธ๕ เพราะเปนท่ีรวมแหงทุกขท้ัง ปวง เพราะทุกขห มดทกี่ ลาวมานนั้ อาศยั ขนั ธ ๕ น้เี กิดขน้ึ เจรญิ ขึ้นและเปน ไป เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
92 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะชิ เราื่อพงรจะิตไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๙๑ ๒. ความหมายของนพิ พาน ตามรปู ศพั ท คําวา นิพพาน มาจากคําวา น ิ แปลวา พนจาก, ไมมี และคําวา วาน แปลวา ตัณหา รวมความจึงแปลวา ธรรมทพี่ นจากตณั หา ตามเนื้อความ นิพพาน หมายถึง สภาวะส้ินทุกข หรือพนทุกข คือพนจากตัณหาซ่ึงเปน ตนเหตุแหงทุกข ซ่ึงมีผลคือความสงบสุขหรือสันติสุข หรืออาจจะกลาวไดวา ความสิ้นไปแหง ตณั หาก็คือนิพพานน่นั เอง หรอื อาจจะหมายถงึ ธรรมเปน เหตสุ ้ินไปแหงราคะ ธรรมเปนเหตุสิ้นไป แหงโทสะ ธรรมเปน เหตุส้ินไปแหงโมหะ ก็ได การท่นี ิพพานมีความหมายเชนน ี้ เพราะทุกขท้ัง ๑๐ ประการน้ันเกิดจากตัณหา ซ่ึงไดแก ความทะยานด้นิ รนอยากได อยากพน อยา งแรง มี ๓ ประเภท คอื ๑) กามตัณหา ไดแก ความอยากมี อยากไดใน การแสหาอารมณทีช่ อบใจ ๒) ภวตัณหา ไดแก ความอยากเปน สิง่ นนั้ ส่งิ นี ้ ๓) วภิ วตัณหา ไดแ ก ความไมอยากเปน ความอยากหลดุ พน ไปจากสภาพท่เี ปนอยู ตัณหา ๓ ประการน ี้ คอื ตัวกิเลสท่ีเปนเหตุใหทํากรรม เม่ือทํากรรมแลว กรรมยอมใหผล ตามสมควรแกกรรมท่ีไดกระทําลงไป เมื่อไดรับหรือเสวยผลของกรรมเขาแลว กิเลสก็เกิดข้ึนอีก แลวใหทํากรรมใหมอีก ผลหรือวิบากกรรมก็เกิดขึ้นเวียนกันไปอยูเชนน้ี การวนเวียนอยางน ้ี เรยี กวา วัฏฏะ ซง่ึ แปลวา วนเวยี น ความขาดสายของวัฏฏะจะเกิดขึ้นได เพราะสาเหตุขาดส้ินลง ดังนั้น เม่ือตัณหาซึ่งเปน กเิ ลสขาดส้ินลงเมือ่ ใด การวนเวยี นของวฏั ฏะกข็ าดลงเม่อื นน้ั ตัณหาคือกเิ ลสวัฏฏะเปนตน เหตุของ การเวยี นวา ตายเกิด สว นความสิ้นตัณหาก็คือความขาดตอนแหงกิเลสวัฏฏะ ซ่ึงจะตัดขาดไดก ็ ดว ยความเปนพระอรหันตเทานั้นหรือท่ีเรียกวา การบรรลุพระนิพพาน ซึ่งมีผลคือสันติสุข สุขอัน สงบหรอื บรมสุข สขุ ยิ่งยวด เหตุทุกขท้ังสิ้นซึ่งมีอุปาทานขันธเปนที่รวมยอดสูญสิ้นไป เพราะเหตุ ตัณหาอันเปน แดนเกดิ แหง ทุกขถ กู ทาํ ลายแลวโดยสิน้ เชงิ ๓. สภาวะของนพิ พาน ลกั ษณะโดยทัว่ ไปของนิพพานมเี พยี งหนึ่งเดียวเทาน้นั คอื อนัตตลักษณะ เพราะนิพพาน เปน สิ่งวางเปลา ปราศจากตวั ตน บงั คับบัญชาไมไ ด ไมมกี ารเกิด แก เจบ็ ตาย สวนลกั ษณะเฉพาะ (วิเสสลักษณะ) ของนิพพานมี ๓ ประการ คือ มีความสงบจากเพลิง ทกุ ข มีความไมแ ตกดับ ไมมีนิมติ เครอื่ งหมายและมคี วามออกไปจากภพเปนผล สภาวะของนิพพานท่กี ลา วแลวขา งตนนนั้ มีความหมาย ดังน ้ี คือ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๙ษ๒า ๓ : 93 ๑) ปทํ แปลวา นิพพานเปนธรรมชาตชิ นิดหนง่ึ ทเี่ ขา ถงึ ได ๒) อจฺจุตํ แปลวา นิพพานเปนธรรมไมต าย ไมม คี วามเกิด และไมม คี วามตาย ๓) อจจฺ นตฺ ํ แปลวา นพิ พานกาวลวงขันธ ๕ ทเ่ี ปน อดตี และอนาคต เปน สง่ิ ท่พี นกาลทง้ั ๓ ๔) อสงฺขตํ แปลวา นิพพานไมถูกปรุงแตงดวยปจจัย หมายความวา นิพพานนี้ไมใชจิต เจตสกิ รปู เพราะสงิ่ เหลา นีเ้ ปนสภาวธรรมทเี่ กิดขึน้ โดยมปี จจัยปรงุ แตง แตน พิ พานเปน สภาวธรรม ท่ีปราศจากการปรงุ แตง ๓. ผลของพระนพิ พาน ผลของพระนิพพาน มีเพียงอยางเดียว คือ ความส้ินทุกขโดยประการทั้งปวงแลว ดังนั้น นิพพาน จงึ มีประเภทเดยี ว คือ สันติสขุ หรือบรมสขุ ดังพระพทุ ธพจนในพระธรรมบทวา นตฺถิ สนตฺ ิปร ํ สุขํ แปลความวา สขุ อื่นจากสขุ ท่ีเกดิ จากความสงบ ยอมไมมี นพิ พาน ํ ปรม ํ สขุ ํ แปลความวา นพิ พานเปนสุขอยา งยงิ่ ยวด จากพระพุทธพจนขา งตน น ้ี มคี วามหมายวา นพิ พานเปน สขุ ที่ปราศจากเครือ่ งลอ (อามิส) พาใหตดิ ใหห ลงใหมวั เมา หรือเรียกวา นริ ามิสสขุ เพราะนิพพานเปนสภาวะท่ีปราศจากจากธรรม ท่ีประกอบไวใ หติด ใหหลง ใหมวั เมา ท่ยี ดึ สตั วไ วใหหลง ใหต ิด ใหมวั เมา อยใู นกาม ในภพ เปน ตน ซงึ่ เปนเหตหุ มกมนุ อยใู นกองทุกขโ ดยประการทง้ั ปวง นิพพานปราศจากธรรมเหลาน้ี เปนธรรมอัน ยิ่งยวดกวา ธรรมท้ังหลาย ดงั นั้น เม่อื กลา วโดยผลคือความสงบสุขหรือบรมสุข นิพพาน จึงมีความหมายวา สภาวะ เปนทีด่ บั เพลงิ กเิ ลสและเพลงิ ทกุ ข ผลทีต่ ามมากค็ ือความสงบ ความเย็น เพราะเม่ือความกําหนัด (ราคะ) ความประทษุ ราย (โทสะ) ความหลง (โมหะ) เกดิ ขึ้นกับจิต ก็จะทาํ ใหจ ติ ใจศรา หมองขุน มวั เรารอ น กระสับกระสา ย เหมอื นกบั ถูกไฟเผาลน จงึ เรยี กวา เพลิงกเิ ลส ความเกิด (ชาติ) ความแก (ชรา) ความตาย (มรณะ) ความแหงใจ (โศก) ความสะอ้ืน อาลัย (ปริเทว) ความเจ็บกาย (ทุกข) ความเสียใจความเจ็บใจ (โทมนัส) ความคับแคนใจ (อุ ปายาส) สงิ่ เหลาน้ีลว นเปนเหตแุ หงความทุกขและเปนตัวทุกขแผดเผาสัตวใหเรารอนดังถูกเพลิง ไหม จงึ เรยี กวา เพลิงทุกข ทุกข ๒ ประเภทนี้ไมมีในพระนิพพาน ดับส้ินไปเพราะอาศัยนิพพาน ดังน้ัน นิพพาน จึง หมายถึง สภาวะเปนท่ีดับดับเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข นิพพานจึงเปนสถานท่ีซ่ึงอุดมไปดวย ความสุขพียงอยางเดยี ว เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
94 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๙๓ บทท่ี ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต ๔. นพิ พาน ๒ ประเภท เมื่อกลาวโดยผล นิพพานมีเพียงประเภทเดียว คือ ความสงบสุข แตเม่ือกลาวโดยการ บรรยายโดยนัยอืน่ หรือโดยการดบั กเิ ลสนั้น นพิ พานจัดเปน ๒ ประเภท คอื ๑) สอปุ าทเิ สสนพิ พาน ไดแ ก การดบั กิเลสแตย งั มขี นั ธ ๕ เหลือ หรือดับกิเลสแตยังมีชีวิต อยู กลาวคือ ความท่ีกิเลสดับไปหมดอยางเด็ดขาด (สมุจเฉทปหาน) ดวยการทําลายดวยความ เปน พระอรหนั ต (อรหัตตมรรคญาณ) แตขันธ ๕ ยังดาํ รงอย ู เปน ไปอยู ซึ่งกไ็ ดแก พระอรหนั ต ทตี่ ัด กิเลสไดขาดเด็ดแลว แตยังมีชีวิตอยู ยังมีการดื่มการบริโภคและการบริหารขันธอยูอยางคน ธรรมดาสามญั ๒) อนุปาทเิ สสนพิ พาน ไดแ ก การดบั กิเลสไมม ีขันธ ๕เหลือ หรอื ดบั กิเลสดวยสิ้นชีวิตดวย กลาวคอื ความดับขันธ ๕ ท่ีตัณหาและทิฏฐิไมเขาไปยึดถือแลว ไดแก พระอรหันตที่สิ้นชีวิตแลว นน่ั เอง นพิ พานทั้ง ๒ ประเภทนี้ แสดงใหเ ห็นวา นิพพานน้ีมที ั้งภายในและภายนอก กลาวคือ สอุ ปาทเิ สสนพิ พานจัดเปนการดับกิเลส (กเิ ลสนพิ พาน) ไดแ ก นิพพานท่เี ปน ไปภายใน เพราะกเิ ลสนนั้ เปนเจตสกิ ธรรมทีเ่ กดิ ขึ้นในใจแลวทําใจใหเ ศราหมองตามสภาพแหง ตน การปฏบิ ตั ิธรรมเพอ่ื กําจดั เจตสกิ ธรรมประเภทนัน้ ไมใ หเ กิดกับจติ ไดโดยเดด็ ขาดส้นิ เชงิ ยอมทําใหจ ติ สภาพทหี่ มดจดสะอาด เปนจิตทพี่ นแลวจากเครอ่ื งเศรา หมอง ความหลดุ พนแหง จติ จึงหมายถึงความดับสนิทแหงอกุศล เจตสกิ ท้ังปวง เปนความพนอยา งเด็ดขาด สวนความดบั สนทิ แหง รูปขันธ ซึ่งเปนที่อาศัยแหงจิตและเจตสิกที่หลุดพนแลว เปนจิตที่ บริสุทธ์ิ ปราศจากอกุศลเจตสิกทั้งปวง เรียกวา นิพพาน กลาวคือ อนุปาทิเสสนิพพาน เรียกวา นพิ พานทเี่ ปนไปในภายนอก แตกตางจากความดับแหงรูปขันธของสัตวโดยทั่วไปที่มีจิตใจยังไม หลดุ พนจากกเิ ลส ซงึ่ เรียกวา มรณะหรอื ความตาย นพิ พาน ๒ ประเภทน ี้ มงุ แสดงถึงสภาวะผบู รรลนุ ิพพาน กลา วคือ สอปุ าทิเสสนิพพานนั้น จิตเปนผบู รรล ุ สว นอนุปาทิเสสนิพพานนัน้ รปู ขันธเ ปน ผบู รรล ุ หมายความวา ทงั้ จิตทงั้ รูปขนั ธของ บคุ คลผบู ําเพ็ญเพยี ร อบรมบารมแี ลวยอมสามารถบรรลุนิพพานได เมอ่ื จติ บรรลุนิพพานก็เรียกวา สอุปาทิเสสนพิ พาน เม่ือรปู ขันธข องทา นบรรลนุ ิพพาน กเ็ รียกวา อนุปาทเิ สสนิพพาน จิตท่บี รรลนุ พิ พาน คือ จติ ที่ละสงั โยชนไดท้งั ๑๐ ประการไดเดด็ ขาด คือ ๑) สกั กายทฏิ ฐ ิ คอื ความเหน็ เปนเหตถุ อื ตัวถือตน ๒) วจิ ิกจิ ฉา คอื ความลงั เลเปน เหตไุ มแ นใ จในการปฏบิ ัตขิ องตน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเรอ่ื งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ๙ษ๔า ๓ : 95 ๓) สีลัพพตปรามาส คือ ความเช่ือถือศักด์ิสิทธ์ิดวยเขาใจวาจะมีดวยศีลหรือการปฏิบัต ิ อยา งนน้ั อยา งน้ี ลวงธรรมดาวสิ ัย ๔) กามราคะ คือ ความกาํ หนดดว ยอํานาจกิเลสกาม ๕) ปฏิฆะ คือ ความกระทบกระท่งั แหง จติ ไดแก ความหงดุ หงดิ ดวยอาํ นาจโทสะ ๖) รปู ราคะ คือ ความติดใจในรูปธรรม ๗) อรูปราคะ คอื ความตดิ ใจในอรูปธรรม ๘) มานะ คอื ความสาํ คญั ตวั วา เปน น่นั เปน น ่ี ๙) อทุ ธัจจะ คอื ความคดิ พลาน ฟุง ซา น ไมส งบนงิ่ ๑๐) อวชิ ชา คือ ความหลงไมรูจรงิ ธรรม ๑๐ ประการนี ้ เรียกวา สงั โยชน เพราะผูกใจสัตวใ หติดใหมัวเมาใหล ุม หลงอยใู นกอง ทุกขไ มส ามารถจะพนไปได ซ่ึงก็ไดแก อกุศลเจตสิกนั่นเอง จิตที่ละธรรม ๑๐ ประการนี้ไดอยาง เดด็ ขาด จงึ ช่ือวา จิตบรรลุนพิ พาน สวนรปู ขันธทจ่ี ิตถงึ นิพพานแลวนี้ อาศยั เปนไปน้ันยอมเปนรูป ขันธท่ีหมดจด คือมีกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม อันบริสุทธิ์ผุดผอง เม่ือถึงคราวรูปขันธ แตกดบั จึงชื่อวา รปู ขันธน ัน้ บรรลนุ ิพพาน ๕. นพิ พาน ๓ ประเภท นอกจากนพิ พานจะจัดออกตามอาการที่ดับกิเลสแลว ทานยังจัดนิพพานออกตามวิธีการ บรรลุหรืออาการบรรลุอีกดว ย กลา วคือ การท่ีบุคคลผูปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุนิพพานน้ัน ไดยึดเอา อารมณต า ง กนั ๓ อยา ง ไดแ ก วิธเี จรญิ วปิ ส สนายดึ อารมณค นละอยาง ไดแก การพิจารณาสังขาร ยกขน้ึ สไู ตรลักษณค ือ ทุกขตา ความเปน ทุกขแหงสงั ขาร อนิจจตา ความไมเท่ียงแหงสังขาร และ อนัตตตา ความไมใชตัวไมใชตนแหงสังขาร แตผลแหงการปฏิบัติเปนอยางเดียวกัน คือ การได บรรลุนิพพาน อาจกลาวไดวา การบําเพ็ญวิปสสนาแตกตางกันโดยอารมณ เปรียบเหมือนการ เดนิ ทางไปกรุงเทพมหานคร โดย ๓ วิธ ี คือ การเดนิ การขนึ้ รถ และการขนึ้ เคร่ืองบนิ บุคคลใดชอบ เดนิ เดนิ ไป บคุ คลใดมีรถหรอื ชอบนง่ั รถก็ขึน้ นง่ั รถไป บุคคลใดชอบความรวดเร็วก็ขึ้นเคร่ืองบินไป แตก็สามารถเดินทางไปถึงกรุงเพทมหานครไดเชนเดียวกันทุกคน ดังน้ัน โดยวิธีการที่บรรล ุ นพิ พานจึงจดั เปน ๓ ประเภท คอื (๑) สุญญตนิพพาน คําวา สุญญตะ แปลวา วาง หมายความวา วางจากราคะ โทสะ โมหะ ไดแก นิพพานที่บุคคลผูบําเพ็ญวิปสสนา ยึดเอาอนัตตลักษณะเปนอารมณ คือ พิจารณา ตามเห็นสงั ขารวา มใิ ชส ตั ว บคุ คล ตวั ตนเราเขา จนถอนความเห็นวาตัวตนเราเขา (อัตตานุทิฏฐิ) เสยี ได ไมยดึ ม่ันถือม่ันดว ยอํานาจแหงตัณหา มานะ ทฏิ ฐิ จิตจึงหลุดพนบรรลนุ พิ พาน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
96 : เอกสารประกบอทบทก่ี า๒รสทอศั นนวะชิ เารื่อพงรจะิตไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๙๕ (๒) อนิมติ ตนพิ พาน คําวา อนิมิตตะ แปลวา ไมมีนิมิตเคร่ืองหมาย หมายความวา ไมมี ราคะ โทสะ โมหะ เปนนิมิตเครื่องหมาย ไดแก นิพพานท่ีบุคคลผูบําเพ็ญวิปสสนายึดเอาอนิจจ ลกั ษณะเปน อารมณ คอื พจิ ารณาตามเห็นสังขารวาไมเ ทย่ี งแทถาวร ไมมัน่ คง เปนไปชั่วระยะกาล นิดหนอ ย จนหายหลงผดิ สาํ คัญผิดในสงั ขารวา เทีย่ งวา ถาวรเสียได ไมถือมั่นดวยอุปาทาน จนจิต หลดุ พนบรรลุนพิ พาน (๓) อปั ปณิหติ นพิ พาน คาํ วา อัปปณหิ ิต แปลวา ไมม ีทต่ี ้ัง หมายความหมายวา ไมมีราคะ โทสะ โมหะ เปนที่ตั้ง (ปณิธิ) ไดแก นิพพานที่บุคคลผูบําเพ็ญวิปสสนายึดเอาทุกขลักษณะเปน อารมณ คือ พิจารณาตามเห็นสังขารวา เปนทุกขโดยสวนเดียว จนเหนื่อยหนายในสังขาร หายรัก หายหลงในสงั ขาร ไมถ อื มน่ั ดวยอปุ าทาน จติ จึงหลดุ พนบรรลนุ พิ พาน อยางไรก็ตาม นพิ พานทงั้ ๓ ประเภทซึ่งแบว งออกตามวิธกี ารปฏบิ ติ เพอ่ื บรรลุนิพพานนี้ มี ความหมายเปนอันเดียวกันโดยผล กลาวคือ การหลุดพนจากราคะ โทสะ โมหะ เหมือนกัน แตการ เรียกชอ่ื ตางกัน เพราะมีวิธปี ฏิบัติหรอื มีสิง่ ท่เี ปนอารมณใ นการปฏบิ ตั ิเพื่อบรรลทุ ่แี ตกตา งกัน ไดแ ก (๑) สญุ ญตนพิ พาน มีอนัตตลักขณะเปน อารมณ (๒) อนมิ ิตตนพิ พาน มอี นิจจลกั ขณะเปน อารมณ (๓) อปั ปณิหติ นพิ พาน มที ุกขลกั ขณะเปน อารมณ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทัศนะเรื่องจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษ๙า๖ ๓ : 97 แบบฝกหัดทา ยบท จงตอบคาํ ถามตอไปน ี้ ๑.ในการแสดงทัศนะเรื่องนิพพาน เพราะเหตุใด ทานจึงตองแสดงทัศนะเรื่องความทุกข ประกอบดว ย จงอธิบายเหตุผลตรามน่ี กั ศกึ ษาเขาใจมาพอสงั เขป ๒. ตามทศั นะของพระพุทธศาสนา ทา นแบงประเภทของทกุ ขไวอ ยางไร และทุกขในขอใด เปน ใหญท่ีสุด เพราะเหตุใด จงอธบิ าย ๓. จงอธิบายความหมายของคําวา นิพพาน มาดู และตามทัศนะของนักศึกษา ความหมายดงั กลาวปรากฏในชีวิตประจาํ วนั หรอื ไม จงยกตัวอยา งประกอบการอธบิ าย ๔. นพิ พานในความหมายของการดับกิเลสโดยสิ้นเชิงนับเปนเร่ืองท่ีดูเหมือนวาไกลเกิน เอ้ือมสําหรับคนมีกิเลส นักศึกษาจะประยุกตใชความหมายของนิพพานดังกลาวมาใชใน ชวี ติ ประจําวนั อยา งไร จงอธบิ ายพรอ มยกตวั อยางประกอบ ๕. วิธกี ารจัดประเภทของนิพพานออกเปน ๑ ประเภท ๒ ประเภท และ ๓ ประเภท ทานใช หลักเกณฑใ ดในการจดั และแตละประเภทน้นั มีอะไรบาง และมคี วามหมายอยา งไร จงอธบิ ายโดย ยอ พอใหเ ขาใจ ๖. จงอธิบายสภาวะของนิพพานมาดู และจงแสดงทัศนะวาสภาวะของนิพพานเชนนั้น เปนไปไดหรือไม ๗.จงแสดงความคิดเห็นวา สิ่งที่เรียกวานิพพานตามทัศนะของพระพุทธศาสนานั้นมีอย ู จรงิ หรือไม เพราะเหตุใดจงึ จําเปน ตองสอนทัศนะเรื่องนิพพาน ซ่ึงดูเหมือนจะเปนคําสอนที่หาขอ พสิ ูจนไมไ ด ๘.จงอธิบายความหมายของคาํ ตอไปนี้ (๒) อนมิ ติ ตนิพพาน (๑) สุญญตนิพพาน (๓) อัปปณิหิตนพิ พาน ๙. สงั โยชน คืออะไร มกี ่อี ยาง อะไรบาง จงอธบิ ายโดยสรุป ๑๐. สอปุ าทเิ สสนพิ พาน และอนุปาทิเสสนพิ พาน ตางกันอยา งไร จงอธบิ าย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
98 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสอัศนนวะชิเราื่อพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๙๗ บรรณานกุ รม กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (๒๕๓๐). พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับสังคายนา. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พการศาสนา. ______. (๒๕๔๖). พระไตรปฎ กส่ิงท่ีชาวพทุ ธตอ งรู. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม หาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั . ______. (๒๕๔๓). รูจกั พระไตรปฎ กเพือ่ เปน ชาวพุทธท่แี ท. พมิ พค รงั้ ที่ ๒. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. ______. (๒๕๔๓). พจนานกุ รมพุทธศาสตรฉบับประมวลธรรม. พมิ พค ร้ังท่ี ๙.กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ______. (๒๕๔๓). พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรฉบับประมวลศพั ท. พมิ พค รั้งที่ ๙.กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ______. (๒๕๔๓). พทุ ธธรรม. พมิ พค ร้งั ท๙่ี . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระมหาณรงค จติ ตฺ โสภโณ. (๒๕๒๗). ความรเู บอ้ื งตนเกีย่ วกับพระไตรปฎก. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระเมธีธรรมาภรณ. (๒๕๓๓). พุทธศาสนากบั ปรัชญา. กรุงเทพฯ : อมรนิ ทร พริ้นติง้ กรุพ จาํ กดั . มลู นิธติ ัง้ อยใู นความไมประมาท. ๒๕๔๑. คมู ือการฟง พระอภิธรรม. กรงุ เทพ ฯ : มูลนธิ ติ ั้งอยูใ นความไมป ระมาท. วรรณสิทธ ิ ไวทยะเสวี, คูม ือการศึกษาพระอภธิ ัมมัตถสงั คหะ. กรงุ เทพ ฯ : เนติกลุ การพิมพ, ๒๕๓๕. วศิ ษิ ฐ ชัยสวุ รรณ.(๒๕๔๗). เอกสารประกอบการศึกษาพระอภิธรรมทาง ไปรษณีย. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . สมเดจ็ พระญาณสงั วร. (๒๕๔๙). พระพทุ ธศาสนากบั ปรัชญา. กรงุ เทพฯ : บริษัท สองศยาม จาํ กดั . เสนาะ ผดงุ ฉัตร. (๒๕๓๑). ความรูเบื้องตน เก่ียวกบั พระไตรปฎ ก. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. สจุ ินต บรหิ ารวนเขตต. (๒๕๓๖). ปรมตั ถธรรมสงั เขป จติ สังเขป และภาคผนวก. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช วนพมิ พ. เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
Search