Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอน วิชาพระไตรปิฎกศึกษา 3

เอกสารประกอบการสอน วิชาพระไตรปิฎกศึกษา 3

Published by MBU SLC LIBRARY, 2020-12-24 03:20:33

Description: เตชทัต ปักสังขาเนย์

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๒ ทัศนะเร่ืองจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ๔ษ๘า  ๓ : 49 ประเภท โดยแบง ตามการอบรมคุณธรรมคือ อินทรีย ๕ ไดแก สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา ไม  เทา กนั คอื  แรงกลา  ปานกลาง และออน คือ  ๑)  เอกพีชีโสดาบัน คือ  พระโสดาบันท่ีจะเกิดอีกชาติเดียวก็จะบรรลุเปนพระอรหันต  เพราะมอี ินทรยี  ๕ ประการ คอื  สทั ธา วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แกก ลา แลว   ๒) โกลังโกลโสดาบัน คือ  พระโสดาบันที่จะตองเกิดอีก ๒ –  ๖ ชาติ ก็จะบรรลุเปนพระ  อรหันต เพราะเปนผูมอี ินทรยี  ๕ ประการ คือ สัทธา วิรยิ ะ สติ สมาธ ิ ปญ ญา แกกลาแลว ปานกลาง  ๓) สตั ตักขัตตุปรมโสดาบัน คือ พระโสดาบันทจี่ ะตองเกิดอีก ๗ ชาติ จึงจะบรรลุเปนพระ  อรหนั ต  เพราะเปนผมู ีอนิ ทรยี  ๕ ประการ คอื  สทั ธา วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แกกลา แลว ออ น  (๒) พระสกทาคามี  พระสกทาคามบี ุคคล มี ๕ ประเภท คอื   ๑) บุคคลผสู าํ เร็จเปน พระสกทาคามใี นมนุษยโลก แลว ทําความเพียรจนบรรลุพระอรหนั ต  ๒) บคุ คลผูสาํ เร็จเปนพระสกทาคามใี นเทวโลก แลวทําความเพียรจนบรรลพุ ระอรหนั ต  ๓) บคุ คลผสู ําเรจ็ เปนพระสกทาคามีในมนษุ ยโลก ไปบังเกิดบนเทวโลกแลว ทําความเพียร  จนบรรลุพระอรหนั ต  ๔) บคุ คลผูสาํ เรจ็ เปน พระสกทาคามีในเทวโลก มาบังเกดิ ในมนุษยโลก แลว ทาํ ความเพียร  จนบรรลุพระอรหนั ต  ๕) บุคคลผูสําเรจ็ เปน พระสกทาคามใี นมนุษยโลก ไปบังเกิดบนเทวโลก แลวกลับมาเกิด  ในมนษุ ยโลกอีกคร้ังหน่งึ  ทําความเพยี รแลว บรรลพุ ระอรหนั ต  (๓) พระอนาคามี  พระอนาคามีทัง้ หมดเมื่อบรรลอุ นาคามผิ ลจติ แลว  จะจะไมมาบังเกิดในมนุษยโลกอีก จะ  ไปบังเกิดในรูปพรหมช้ันสุทธาวาสภูมิ ๕ ช้ัน คือ ชั้นอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐา  หรอื จะไปบงั เกดิ ในรูปพรหมอกี ๑๐ ชั้นท่ีนอกเหนือจากชั้นสุทธาวาสทั้ง ๕ ชั้นอสัญญสัตตภูมิ ๑  และอรปู พรหมโลก ๔  พระอนาคามบี คุ คล มี ๕ ประเภท คือ  ๑) พระอนาคามีที่ไปบังเกดิ ในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต แลวนิพพานใน  กงึ่ แรกของอายุในภูมนิ ัน้   ๒) พระอนาคามี ทไี่ ปบังเกิดในพรหมโลกช้ันใดชน้ั หน่ึง บรรลุพระอรหันต แลวนิพพานใน  กงึ่ หลังของอายใุ นภมู นิ ้นั เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

50 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสอศั นนวะชิเราื่อพงรจะติ ไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๔๙  ๓) พระอนาคามี ท่ีไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหน่ึง บรรลุพระอรหันต โดยไมตองใช  ความเพียรมากแลว นพิ พาน  ๔) พระอนาคามี ท่ีไปบังเกิดในพรหมโลกช้ันใดช้ันหน่ึง บรรลุพระอรหันต ตองใชความ  เพยี รมากแลวนพิ พาน  ๕) พระอนาคามี ทีไ่ ปบังเกิดในชัน้ สทุ ธาวาสภมู  ิ ต้งั แตช้ันที่ ๑ ถึงชั้นท่ี ๕ ตามลําดับ แลว  เขา นพิ พาน ในชั้นท่ี ๕ นน้ั   (๔) พระอรหันต  คําวา อรหันต แปลวา ไกลจากกิเลส สามารถทําลายกิเลสท้ังปวงโดนส้ินเชิง กิเลสไม  สามารถกลับขึ้นมาอีกได ไดแก การทําลายอกุศลจิตไดครบทั้ง ๑๒ ดวง คือ โลภมูลจิต ๘ ดวง  โทสมลู จิต ๒ ดวง และโมหมูลจติ ๒ ดวงครบถวน เขาสภู าวะของพระนพิ พาน  พระอรหนั ต มคี าํ เรียกแทนไดไ ดห ลายชื่อ ดงั ตอ ไปนี้  ๑) พระขณี าสพ หมายถึง บคุ คลผูมอี าสวะกิเลสสิ้นแลว   ๒) พระอเสขบคุ คล หมายถงึ  บุคคลผูไมต อ งศึกษาในศีล สมาธ ิ ปญ ญา เพราะมไี ตรสกิ ขา  บริบรู ณแ ลว และไมต องเพียรพยายามเพื่อทําลายกิเลสอีกตอไป  พระอรหนั ต ๒ประเภท  ๑) พระอรหันตประเภทปญญาวิมุตติ หมายถึง บุคคลผูสําเร็จเปนพระอรหันต โดยการ  เจริญวปิ ส สนา  ๒) พระอรหนั ตประเภทเจโตวิมุตติ หมายถึง บุคคลผสู ําเร็จเปนพระอรหันต โดยการเจริญ  สมถะและวปิ สสนา  พระอรหนั ต ๓ ประเภท  ๑) พระอรหนั ตสัมมาสมั พุทธเจา ไดแ ก บุคคลผูสําเร็จเปนพระอรหันตโดยการตรัสรูดวย  พระองคเอง และสอนผูอ่นื ใหรูตามได  ๒) พระปจ เจกพทุ ธเจา ไดแก  บุคคลผูส ําเรจ็ เปนพระอรหนั ตตรัสรูด ว ยพระองคเอง แตส อน  ผูอน่ื ใหรูต ามไมได  ๓) พระอรหันตสาวก ไดแก  บุคคลผูส าํ เรจ็ เปน พระอรหันตต ามที่พระสมั มาสัมพทุ ธเจา ทรง  สั่งสอน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทัศนะเรอ่ื งจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึก๕ษ๐า  ๓ : 51 แบบฝก หัดประจาํ บท  จงทาํ ครอ่ื งหมาย X (กากบาท) หนา ขอท่ีถกู ตอ งที่สดุ   ๑. สถานทีเ่ กดิ ของจติ  คอื  ขอ ใด ?  ข. ประสาทสมั ผัส  ก. รา งกาย  ง.  หทยั   ค. ใจ  จ. อายตนะภายใน  ๒. จติ ทเ่ี กิดขนึ้ ในแตล ะขณะ รับอารมณไ ดก ่ีอยาง ?  ก. ๑  ข. ๒  ค. ๓  ง. ๔  จ. ๕  ๓. ลกั ษณะเฉพาะของจติ ไดแก ขอ ใด ?  ก. ไมเ ท่ยี งแท  ข.ไมท นอยใู นสภาพเดิม  ค. ไมใชตัวตน  ง. รับรูอารมณ  จ. ถกู ทกุ ขอ  ๔. ขอใด คือ อํานาจของจิต ?  ก. นกึ อารมณ  ข. รบั รอู ารมณ  ค. จําอารมณ  ง. สัง่ สมกรรมและวบิ าก  จ. ถกู ทกุ ขอ   ๕. จิตทที่ าํ หนาท่ีรับรูอ ารมณทางทวารท้ัง 6 เรียกวา อะไร ?  ก. กศุ ลจติ   ข. อกุศลจติ   ค. อเหตกุ จติ   ง. ภวังคจติ   จ. วถิ จี ติ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

52 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสศัอนนะวเิชรา่ือพงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๕๑  ๖. รูปาวจรจิต ไดแก จติ เชนไร ?  ก. จิตท่ีตดิ ในรปู   ข. จิตท่ตี ดิ ในฌาน  ค. จติ ทเี่ ขา ถึงความแนว แน  ง. จติ สงบ  จ. จติ ที่มคี วามละเอยี ด  ๗. ธรรมทเี่ ปนอปุ สรรคตอการเขา ถึงความสงบนงิ่ ในอารมณของจติ  เรียกวา  อะไร ?  ก. อกศุ ล  ข. กามาวจร  ค. โลกยิ ธรรม  ง. นิวรณ  จ. ปฏิปกขธรรม  ๘. ความตดิ ใจในรูป เสยี ง กลิ่น รส และสัมผสั ทีช่ อบใจเรยี กวา อะไร ?  ก. กามฉนั ท  ข. พยาบาท  ค. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ  ง. วติ ก  จ. ถีนมทิ ธะ  ๙. ความเซ็ง และซึมในขณะเรียนหนังสอื  เรียกวาอะไร ?  ก. พยาบาท  ข. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ  ค. ถีนมทิ ธะ  ง. วิจกิ จิ ฉา  จ. วจิ าร  ๑๐. จิตทเ่ี หมือนนํา้ เดือดพลาน เปรยี บไดก ับธรรมขอใด?  ก. ลงั เลสงสยั   ข. ฟงุ ซา น ราํ คาญใจ  ค. เซง็  และซมึ   ง. ติดในอารมณท ี่ชอบใจ  จ. ปองรา ยผอู ่นื   ๑๑. จิตท่ีเปรยี บเหมอื นนํ้าขุนมีโคลน เปรียบไดกับธรรมขอ ใด ?  ก. ความลังเลสงสยั   ข. ความฟุงซานราํ คาญใจ  ค. ความทอถอยไมใ สใ จ  ง. ความปองรายผอู ื่น  จ. ความตดิ ใจในอารมณ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ๕ษา๒ ๓ : 53 ๑๒. จิตท่ีเปรียบเหมอื นนาํ้ ทถี่ ูกลมพดั กระเพ่ือมอยเู สมอ เปรยี บไดกับธรรมขอใด ?  ก. ความลังเลสงสยั   ข. ฟุง ซาน รําคาญใจ  ค. ทอถอยไมใสใจ  ง. ปองรายผูอ่นื   จ. ตดิ ใจในอารมณ  ๑๓. จติ ท่ีเปรยี บเหมอื นน้าํ ท่ีมจี อกแหน เปรยี บไดก บั ธรรมขอใด ?  ก. ฟุง ซา น รําคาญใจ  ข. ลังเลสงสยั   ค. ปองรา ยผูอ่ืน  ง. ติดใจในอารมณ  จ. ทอ ถอย ไมใ สใ จ  ๑๔. องคฌ านทีเ่ ปนคปู รับกบั ความติดใจในอารมณค ือขอ ใด ?  ก. วิตก  ข. วิจาร  ค. ปต  ิ ง. สุข  จ. เอกคั คตา  ๑๕. องคฌานท่เี ปน คปู รบั กบั ความลังเลสงสัย คือขอใด ?  ก. วติ ก  ข. วจิ าร  ค. ปต ิ  ง. สขุ   จ. เอกคั คตา  ๑๖. องคฌานที่เปนคปู รบั กับความมุง ปองรา ยผอู น่ื  คอื ขอใด?  ก. วติ ก  ข. วิจาร  ค. ปติ  ง. สขุ   จ. เอกัคคตา  ๑๗. ปติ ความอ่มิ เอิบใจ ในขอ ใดจดั เปนองคฌาน ?  ก. ปต ิ เล็กนอ ย พอรูส ึกขนลุก  ข. ปตชิ ัว่ ขณะ  ค. ปต ิ ถึงกับตัวโยกโคลง  ง. ปติจนตวั ลอย  จ. ปต ิ ซาบซา น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

54 : เอกสารประบกทอบทกี่ ๒ารทสศัอนนวะชิเรา่ือพงรจะติ ไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๕๓  ๑๘. องคฌานทีเ่ ปน คปู รับของความฟงุ ซา นและราํ คาญ คอื ขอ ใด ?  ก. วิตก  ข. วจิ าร  ค. ปติ  ง. สขุ   จ. เอกัคคตา  ๑๙. การถลาไปในอากาศของนก เปรียบไดก บั องคฌานขอ ใด ?  ก. วติ ก  ข. วิจาร  ค. ปติ  ง. สขุ   จ. เอกัคคตา  ๒๐. องคฌ านท่ีเปน คปู รบั ของความหดห ู เซง็  และซึม คือ ขอใด ?  ก. วิตก  ข. วจิ าร  ค. ปต  ิ ง. สขุ   จ. เอกัคคตา  ๒๑. สขุ  ในองคฌ าน มลี ักษณะเชน ไร ?  ข. ละเอียด  ก. ประณตี   ค. ประกอบดว ยโสมนสั   ง. สงบ  จ. นิง่ แนว แน  ๒๒. ประเภทของฌานในพระสตุ ตนั ตปฎก และพระอภธิ รรมปฎก แบง เปน เทา ไร?  ก. ๓ – ๔  ข. ๔ – ๔  ค. ๔ – ๕  ง. ๔ – ๖  จ. ๕ – ๔  ๒๓. ฌานท่ี 1 (ปฐมฌาน) มีองคป ระกอบของฌาน ตามขอ ใด ?  ก. วิตก วิจาร  ปต ิ   สุข   เอกัคคตา  ข. วติ ก  วจิ าร   ปต ิ ค. วจิ าร  ปติ  สุข  เอกัคคตา  ง. ปต ิ   สุข    เอกคั คตา  จ. อเุ บกขา เอกคั คตา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทัศนะเร่อื งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ๕ษา๔ ๓ : 55 ๒๔. ฌานที่ 3 (ตตยิ ฌาน) มอี งคป ระกอบของฌานตามขอ ใด?  ก. วิตก  วิจาร   ปต ิ  ข. วิจาร   ปต ิ  สุข   เอกัคคตา  ค. ปต  ิ   สุข    อุเบกขา  ง. ปติ   สขุ     เอกคั คตา  จ. อุเบกขา    เอกัคคตา  ๒๕. รูปาวจรจิต กลมุ ใด ทาํ หนาทน่ี ําไปเกดิ ?  ก. รูปาวจรกุศลจติ   ข. รปู าวจรวบิ ากจิต  ค. รูปาวจรกริ ยิ าจติ   ง. ขอ  ก และ ข  จ. ถูกทกุ ขอ   ๒๖. รูปาวจรกริ ยิ าจิต เปนจติ ของบคุ คลในขอ ใด ?  ก. พระโสดาบนั   ข. พระสกทาคามี  ค. พระอนาคามี  ง. พระอรหันต  จ. พระอรยิ บคุ คล  ๒๗. รูปาวจรจติ  จะนําไปเกดิ ในภพภูมิใด ?  ก. มนษุ ยโลก  ข. เทวโลก  ค. พรหมโลก  ง. สตั วเ ดรจั ฉาน  จ. ขอ  ข และ ค  ๒๘. อรปู าวจรจติ  คือ จิตเชน ไร ?  ก. จติ ที่มอี ารมณล ะเอยี ด  ข. จติ ท่ไี มมรี ปู   ค. จิตทม่ี อี ารมณปราศจากรูป  ง. จติ ทไี่ มมอี ารมณ  จ. จิตของผไู ดส มาธิ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

56 : เอกสารประกบอทบทกี่ ๒ารสทอศั นนวะิชเราือ่พงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๕๕  ๒๙. อรปู าวจรจติ  แบง เปน กป่ี ระเภท และประเภทละกด่ี วง ?  ก. ๒ ประเภท ๑๒ ดวง  ข. ๓ ประเภท ๑๒ ดวง  ค. ๔ ประเภท ๑๔ ดวง  ง. ๕ ประเภท๑๕ ดวง  จ. ๖ ประเภท ๑๘ ดวง  ๓๐. อรปู าวจรจิต กลมุ ใด นาํ ไปเกดิ ในอรูปพรหม ?  ก. อรปู าวจรจติ กศุ ลจิต  ข. อรูปาวจรวบิ ากจติ   ค. อรูปาวจรกริ ยิ าจิต  ง. อรปู าวจรมหัคคตจติ   จ. ขอ ก และ ข เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทศั นะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษ๕า๖๓  : 57 บทท่ี ๓  ทศั นะเร่อื งเจตสิกในพระอภิธรรม  ๑. ความหมาย  เจตสิก คือ ธรรมชาติท่ีประกอบกับจิต และปรุงแตงจิตใหประพฤติไปตามนั้น  เจตสิกเปน ธรรมชาตอิ ยางหน่ึง ที่เกดิ ขึ้นในจติ ใจ ที่ปรงุ แตงจิตในการทาํ ดหี รือชวั่   เจตสิกเปนนามธรรมเหมือนจิต เกิดข้ึนคลุกเคลาปรุงแตงจิต อาศัยจิตเปนไป หรืออาจ  อธบิ ายอีกอยางหนง่ึ เรียกวา สังขาร เพราะเปน อารมณท ่เี กิดขนึ้ ปรงุ แตง จติ  ชักนําจิตใหคิดดีคิดชั่ว  และเปน สว นกลางๆ เจตสิกนอ้ี าศัยจติ เทาน้ันเปนไป จิตเปนประธานแหงสภาวธรรมคือกายน้ี แต  จติ ก็อาศยั กายนี้ตง้ั อยเู ปน ไป เจตสกิ ซึ่งบังเกิดเพราะอิงอาศัยจิตเปนไป ก็อาศัยกายหรือรูปธรรม  เปนไปเหมือนกันกบั จิต  ๒. ลกั ษณะของเจตสิก  เจตสิกหรอื ธรรมารมณทเี่ กิดข้นึ กบั จิต ปรงุ แตง จติ ใหด บี า งชว่ั บาง เปน สวนกลางๆ ไมดีไม  ชั่วบาง จึงมีลกั ษณะ ๔ ประการ คอื   ๑) เกดิ ขึน้ พรอมกนั กับจิต  ๒) ดบั พรอมกนั กับจติ   ๓) มีอารมณเ ปน อันเดยี วกนั กบั จติ   ๔) มีวัตถุที่อาศยั เปน อนั เดยี วกันกับจติ   ดังท ่ี พระอนรุ ทุ ธเถราจารย ผแู ตง คมั ภีรอภธิ ัมมตั ถสังคหะ แสดงไวว า  เอกุปฺปาทนิโรธา จ  เอกาลมพฺ นวตถฺ กุ า  เจโตยตุ ฺตา ทฺวิปญฺ าส  ธมฺมา เจตสกิ า มตา  ธรรม ๕๒ ซึ่งเกดิ พรอ มกบั จิต ดับพรอมกบั จติ   มีอารมณเดยี วกับจติ  มวี ัตถุเดียวกันกับจิต  ประกอบเขากับจติ  สมบรู ณด ว ยลักษณะ ๔ ประการน้ี เรียกวา  เจตสกิ   ๒.๑ ความแตกตางระหวา งจติ กับเจตสิก  เจตสิกเกดิ ข้นึ โดยอาศัยจติ  เกดิ และดบั ตลอดจนกระทงั่ มอี ารมณแ ละวัตถเุ ปน อันเดียวกัน  กับจติ ทง้ั นัน้  แตเจตสิกก็แตกตางจากจติ  กลา วคือ เจตสิกไมมีการรับรูอารมณและไมสามารถนึก  คิดได  สว นจิตนั้นมกี ารรอู ารมณและสามารถนกึ คดิ ดว ยตนเองได  เจตสกิ เปนเพียงส่ิงที่ปรุงแตงจิต  ที่เปนภวังคจิต หรือจิตปกติใหเปลี่ยนแปลงปกติภาวะเดิม แลวเปนไปตามอํานาจของเจตสิก เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

58 : เอกสารประบกทอบทกี่ ๒ารทสัศอนนวะิชเราื่อพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๕๗  เปรยี บเหมือนสตี า งๆ ซ่งึ สามารถทาํ ใหนา้ํ ทีส่ ะอาดเปลย่ี นแปลงสภาพไปตามอํานาจของสี  ถาหาก  สมมติใหจ ติ เปน ส่งิ ทมี่ รี ูปราง เจตสิกกค็ ือลกั ษณะตางๆ ของรูปรา งนั้นๆ  โดยปกติ จติ ไมม สี ภาวะเปนส่ิงที่ดีหรือชั่ว แตเ ปน กลางๆ ไมใชด หี รือชว่ั  แตเ จตสิกเปนสิ่งที่  ทาํ หนาทปี่ รุงจิตใหดใี หช่ัว เจตสกิ บางชนิดกท็ าํ หนาท่รี กั ษาประคับประคองจิตใหคงสภาพกลางๆ  ตามสภาวะปกติดงั้ เดิมของจิต เพราะสภาวะที่แทจริงของจิตนั้นมีสภาพกลางๆ ไมจัดวาดีหรือช่ัว  แตเม่ือใดมเี จตสกิ ท่ีเปน ฝายดแี ละช่วั เขา มาปรุงแตง เม่อื น้นั  จิตน้ันจึงจะจดั เปนจิตดีหรือชั่ว  ๒.๒ ธรรมตา งๆ ท่จี ิตและเจตสิกปะปนกนั   เจตสิก ไดแก ธรรมท่ีปรุงแตงจิต ชักนําจิตใหคิดดีคิดช่ัว การเกิดดับ อารมณท่ียึดหนวง  และวตั ถุท่ีอาศัยเปนอันเดยี วกนั กบั จิต จงึ เปนอนั วา  จติ กับเจตสกิ นีป้ ะปนกันโดยประเภทแหงธรรม  ๖ อยา ง คอื   ๑) เวทนา  ไดแก  การเสวยอารมณ  ๒) เหตุ  ไดแ ก สภาวธรรมท่ที าํ ใหผ ลเกดิ   ๓)  กจิ   ไดแก  หนา ท่หี รอื การกระทํา  ๔)  ทวาร  ไดแ ก  สภาวธรรมเปนที่อาศยั เกิดขน้ึ   ๕) อารมณ  ไดแก ธรรมชาติที่จะตองรบั รู  ๖)  วตั ถุไดแ ก สภาวธรรมอันเปนท่ีอยอู าศัย  บรรดาธรรม ๖ ประการเหลา น้ ี จะแยกจติ และเจตสิกออกเปนคนละสวนละประเภทไมได  จิตกบั เจตสิกยอ มอยูรวมกันในธรรมอนั เดยี วกัน เชน จติ เสวยสุขเวทนาก็เพราะเจตนาเจตสิกทเ่ี ปน   สว นสขุ เวทนาเขาประกอบกบั จติ  จิตจงึ ตองเสวยสขุ ตามเจตสกิ ทีป่ ระกอบกบั ตนไปดว ย  ๓. ประเภทของเจตสกิ   เจตสกิ มจี าํ นวน ๕๒ ดวง แบงออกเปน ๓ กลมุ  คอื   ๑) เจตสกิ กลุมที่ ๑ เรยี กวา อัญญสมานาเจตสกิ เปน เจตสกิ ทีป่ ระกอบกับจติ ทดี่ หี รอื   ช่ัว หรอื ไมด ไี มช ว่ั ไดท ุกชนดิ เม่อื ประกอบกับจิตชนิดใด ก็จะมีสภาพเปนเชนน้ันดวย มีจํานวน  ๑๓ ดวง โดยแบงออกเปน ๒ พวก คือ  (๑) สพั พจิตสาธารณเจตสิก มีจาํ นวน ๗ ดวง เปนกลมุ เจตสิกทเ่ี ขา ปรงุ แตงจติ ใจของ  คนทวั่ ไป สามารถประกอบกบั จิตไดท กุ ดวง เมื่อจติ ดวงใดเกิดข้ึน เจตสิกท้ัง ๗ ดวง ยอมประกอบ  กับจติ นน้ั พรอ มกนั ท้งั ๗ ดวงเสมอ ไดแ ก เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทศั นะเรอ่ื งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ๕ษ๘า  ๓ : 59 ๑.๑) ผสั สเจตสกิ คือ สภาวะถูกตอ งหรือการกระทบกบั สิ่งทปี่ รากฏท่ีชอ งทางในการ  รับรูท ง้ั ๖ อยา งโดยรับภาพใหเขามากระทบกับตา รบั เสียงใหเ ขา มากระทบกับหู รับกล่ินใหเขามา  กระทบกับจมกู รับรสใหเขา มากระทบกับล้ิน รบั ความเย็น-รอน ออน-แขง็ ใหเขามากระทบกับกาย  และเรอ่ื งตางๆ ทีผ่ า นมาหรอื ที่ยังไมเกดิ ข้ึนใหเ ขามากระทบทางใจ หลังจากนั้นจิตก็จะรับรูสิ่งท่ีมา  กระทบนั้นๆ ทําใหเกิดความรูสึกพอใจ ไมพอใจ หรือเฉยๆท่ีเรียกวา เวทนาน่ันเอง  ดังนั้น ผัสส  เจตสิกจึงเปนการกระทบกันแหงสิ่ง ๓ ประการ คือ อายตนะภายใน มีตา หู จมูก เปนตน  อายตนะภายนอกมี รปู  เสียง กลิ่น เปนตน และ วิญญาณมีจักขุวิญญาณ เปนตน กระทบกัน  หรือประกอบกนั ข้ึนเปน ผสั สะหรอื สัมผสั  มีชื่อเรยี กตามชือ่ ของอายตนะภายใน ๖ ประการ คอื   ๑) จักขสุ มั ผัส  ๒) โสตสัมผัส  ๓)  ฆานสัมผสั   ๔)  ชิวหาสมั ผสั   ๕) กายสัมผัส  ๖)  มโนสัมผัส  ผสั สะหรือสัมผัสน ี้ ถกู ตอ งหรือกระทบกับอารมณไ ดท ้ังในท่ีใกลและทีไ่ กล ทา นยกตวั อยาง  การถูกตอ งหรอื กระทบกับอารมณในทไ่ี กล เชน  การเหน็ คนอ่นื รับประทานของเปร้ียว ก็พลอยเกิด  นํ้าลายไหลไปดว ย เปน ตน  ๑.๒) เวทนาเจตสิก คอื ความรูสกึ ของสงิ่ มีชีวิตตางๆ ไป ซ่ึงจะมีอยู ๓ อยาง คือ  ชอบใจ ไมชอบใจ และเฉยๆ ไดแก  ความรูสึกทเ่ี กดิ ในจติ ใจของเรานน่ั เอง  ความรูสึกอารมณซ งึ่ เกิดขน้ึ ตอ เนอ่ื งมาจากผัสสะน ี้ อาศยั อายตนะภายในเกิดขึ้น จึง  เรยี กชือ่ ตามอายตนะภายใน ๖ ประการ คอื   ๑) อาศัยตาเกดิ ขึน้   เรียกวา  จกั ขสุ ัมผัสสชาเวทนา  ๒) อาศยั หเู กดิ ข้ึน  เรยี กวา   โสตสมั ผสั สชาเวทนา  ๓) อาศัยจมูกเกดิ ข้นึ   เรยี กวา  ฆานสัมผัสสชาเวทนา  ๔) อาศยั ลนิ้ เกดิ ขน้ึ   เรยี กวา  ชวิ หาสมั ผัสสชาเวทนา  ๕) อาศยั กายเกดิ ข้นึ   เรยี กวา   กายสัมผสั สชาเวทนา  ๖) อาศยั ใจเกดิ ขน้ึ   เรียกวา  มโนสัมผสั สชาเวทนา  เวทนาเหลานย้ี ังแบง ออกเปน ๓ ประเภท คือ  ก.การเสวยอารมณท เ่ี ปน ความสบายกายสบายใจ เรียกวา สขุ เวทนา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

60 : เอกสารประกบอทบทกี่ า๒รสทอัศนนวะิชเารพือ่ งรจะติไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๕๙  ข.การเสวยอารมณท เ่ี ปน ความไมส บายกายไมสบายใจ เรียกวา ทกุ ขเวทนา  ค. การเสวยอารมณเ ปนกลางๆ ไมสขุ ไมท กุ ข เรียกวา อเุ บกขาเวทนา  นอกจากน้ที านยงั อธบิ ายเวทนาออกไปอกี ๕ ประเภท คอื   ก.การเสวยอารมณทเี่ ปนความสุขกาย เรียกวา สุขเวทนา  ข. การเสวยอารมณท ี่เปนความทกุ ขกาย เรียกวา  ทุกขเวทนา  ค. การเสวยอารมณท ่เี ปนความสขุ ใจ เรยี กวา โสมนสั สเวทนา  ง. การเสวยอารมณท ี่เปนความทกุ ขใ จ เรียกวา  โทมนสั สเวทนา  จ. การเสวยอารมณท ี่เปน กลาง ๆ ไมสุขไมท ุกข เรียกวา  อเุ บกขาเวทนา  ๑.๓) สัญญาเจตสิก คือ ความจําได เชน การจดจําเร่ืองราวตางๆ ได มนุษยและ  สัตวตางๆ ยอมสามารถจดจํารูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส และเร่ืองราวท่ีนึกคิดท้ังที่ผานมาแลว ท่ี  กําลังเปนไปในปจจุบัน  และอนาคตได สัญญาเจตสิกนี้มีความจําไดและหมายรูเปนลักษณะ  กลาวคอื มลี ักษณะทหี่ มายเอาไวและร ู เปรียบเหมอื นชางไมทาํ เครอ่ื งหมายสญั ญาไวท ต่ี วั ไมไวดว ย  เลขวา นขี้ ่ือ นี้แป เปนตน แลวภายหลงั เม่อื ประกอบสวนประกอบตางๆเขาเปน ตวั เรือนกไ็ มหลงลืม  ตวั ไมท ่ีหมายไวด ว ยเคร่ืองหมายนั้น เม่ือนบั ตามประเภทแหง อายตนะท่ีจาํ ไดห มายรู สัญญาจงึ มี ๖  ประการคอื   ๑) จาํ รปู   เรียกวา   รปู สญั ญา  ๒) จาํ เสียง  เรยี กวา   สทั ทสัญญา  ๓) จํากลิน่   เรียกวา   คนั ธสญั ญา  ๔) จาํ รส  เรียกวา   รสสัญญา  ๕) จาํ สัมผสั   เรยี กวา   โผฏฐพั พะสญั ญา  ๖) จาํ อารมณที่เกดิ ขนึ้ ในใจ (ธรรมารมณ) เรยี กวา  ธรรมสญั ญา  ๑.๔) เจตนาเจตสิก คอื ความจงใจ ตั้งใจ มุงหวัง หมายมั่นในการกระทําส่ิงตางๆ  ทง้ั ทางกาย วาจา และใจ เปน เจตสกิ ท่ีทําใหก ารกระทาํ นน้ั ๆ จัดเปน กรรม ซงึ่ จะตอ งมีผลตอบแทน  ของการกระทํา ท่ีเรียกวา วิบากกรรม อยางแนนอน กรรมจะใหผลได ยอมมีเจตนาเปนสําคัญ  สาํ เรจ็ มาแตเ จตนา ดงั คําบาลีวา “เจตนาห ํ ภิกขฺ เว กมฺมํ วทามิ  ภิกษุทั้งหลาย เรากลาวเจตนาวา  เปนกรรม” ดังนน้ั  กรรมทกุ ชนิดท่ีทําลงไปโดยไมมีเจตนา ยอมเปนสักแตวากระทํา แมจะใหผลก ็ เพียงเลก็ นอย  ๑.๕) เอกัคคตาเจตสิก คอื  สง่ิ ทที่ าํ จิตต้งั มั่นอยใู นสงิ่ ๆเดยี ว เพง อยใู นอารมณเดียว  ทําใหจิตเกดิ ความสงบ ไมฟุงซานคิดจินตนาการเร่อื งราวตางๆ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทศั นะเรอ่ื งจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึก๖ษ๐า ๓ : 61 ๑.๖) ชวี ติ ินทรียเจตสิก คอื สิ่งทร่ี กั ษาจิตและเจตสิก ใหดํารงอยูตามสมควรแก  เวลาของตน และทําหนา ทีข่ องตนใหส ําเร็จลงได  จิตและเจตสิกเปรียบเหมือนดอกบัว ชีวิตินทรีย  เจตสิกเปรียบเหมอื นนํา้ ท่หี ลอเลี้ยงดอกบัวใหส ดชนื่   ๑.๗) มนสิการเจตสิก คือ การทําอารมณไวในใจ การนําจิตไปสูอารมณหรือสิ่งท่ ี ถูกรับรู หรือการนําเอาอารมณใหมาสูใจ เชน การที่จิตจดจอยูกับภาพและเสียงของมิวสิควีดีโอ  ตลอดเวลา จนทาํ ใหเกิดความสนกุ สนาน เพลิดเพลนิ เปนตน เปรียบเหมอื นคนขับรถมายอ มนาํ มา   เขา มาเทยี บรถ (๒) ปกิณณกเจตสิก มีจํานวน ๖ ดวง จะประกอบกับจิตท่ีเปนโสภณจิต (กุศลจิต)  และท่เี ปนอโสภณจติ (อกศุ ลจติ ) เกดิ พรอ มกนั บางไมพรอมกันบาง เปนกลุมเจตสิกที่ไมประกอบ  กับจติ ทกุ ดวง แตจะประกอบไดเฉพาะกับจิตบางดวงเทาน้ัน เจตสิกเหลาน้ีประกอบเขากับจิตม ี จํานวนตางๆ กัน เจตสิกบางขอก็ประกอบกับจิตมากดวง บางขอก็ประกอบกับจิตนอยดวงไม  เหมือนสพั พสาธารณเจตสกิ  ไดแ ก  ๒.๑) วิตกเจตสิก  คือ สิ่งที่ยกจิตข้ึนสูความคิดคํานึงในเร่ืองตางๆ  เชน ไปด ู ภาพยนตร  เรอื่ งที่สนุกสนานแลว นํามาเลาสกู ันฟง ผูเ ลากย็ กจิตเลาไปตาม เร่ืองราว ผูฟงก็ยกจิต  ฟง ตามเรอ่ื งราวท่เี ลา ทาํ ใหจ ติ ไดน กึ คิดไมหยดุ  วิตกเจตสิกเมือ่ ยกจิตข้ึนสูเรื่องตางๆ บอยๆ จะทํา  ใหไมงวงนอน เชน  คนทนี่ อนไมหลับกเ็ พราะไมหยดุ คดิ  จงึ ทําใหไมง ว ง นอนไมห ลับ  ๒.๒) วิจารเจตสิก คือ ส่ิงท่ีประคองจิตไวในเร่ืองตางๆ ไมใหคิดไปในเรื่องอื่น วิตก  เจตสิก และวิจารเจตสิกจะทาํ หนา ทต่ี ิดตอกัน ทานเปรียบเหมอื นนกท่ีบินอยทู า มกลางอากาศ เม่ือ  นกกางปกออกแลวจะรอ นถลาไปในอากาศ วติ กเจตสกิ เปรยี บเหมอื นการกางปกออกของนก สวน  วิจารเจตสิกเปรียบเหมอื นกับการรอนถลาไปในอากาศ  ๒.๓) อธิโมกขเจตสิก  คือ ส่ิงที่ทําใหไมเกิดความลังเลในการตัดสินใจ สามารถ  ตัดสนิ ใจได เด็ดขาดไมว าการตัดสินใจน้ันจะถูกหรือผิดก็ตาม คนท่ีมีอธิโมกขเจตสิกอยูในใจ จะ  เปนคนที่กลาตัดสินใจไดเด็ดขาด ตรงกันขามกับคนที่ไมกลาตัดสินใจ  มีความลังเลตลอดเวลา  ความเด็ดขาดม่นั คงของอธโิ มกขเจตสกิ น้ีเปรียบเทียบเหมอื นเสาเขื่อน  ๒.๔) วิริยเจตสิก คอื  สิง่ ที่ทําใหเ กิดความพากเพียรพยายาม เมื่อวิริยเจตสิกเกิดข้ึน  แกใคร จะทําใหจิตใจมีความอดทนตอความยากลําบาก มีความอุตสาหะ ไมรูสึกทอถอย  เชน  ความขยันหมั่นเพยี รในการทําความด ี ถา เปน คนจิตใจชวั่  กจ็ ะมคี วามเพียรในการทําความช่ัว เชน  พวกโจรมคี วามพยายามในการลกั ขโมย เปน ตน เจตสิกธรรมประเภทนย้ี อมใหกลาหาญ ไมยอทอ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

62 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะิชเราือ่พงรจะิตไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๖๑  ถดถอย อุดหนุนค้ําชูจิตและเจตสิกธรรมทั้งหลายท่ีเกิดพรอมกับตนใหองอาจกลาหาญในการ  ประกอบกรรมท้ังฝายดีและชั่ว จิตและเจตสิกธรรมทั้งหลายอาศัยความอุปถัมภค้ําชูแหงวิริยะ  เจตสกิ แลว  ยอมสามารถทาํ หนา ที่ทุกอยางใหสําเร็จลงได  ๒.๕) ปติเจตสิก  คือ ความปลาบปล้ืมใจ  ความอิ่มเอิบใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นในขณะทํา  ความดี หรือแมแตใ นขณะท่มี ีความยินดีพอใจสิง่ ใดสง่ิ หน่ึงมากๆ ปต เิ จตสกิ ยอ มทํากายและจิตให  เอิบอิ่มปลาบปลื้ม คือ มีความพอใจตออารมณนั้นๆ ยังกายและจิตใหซาบซาน มีลักษณะ ๕  ประการ คือ  (๑) ปลาบปล้ืมใจเลก็ นอ ยพอรูสึกขนชูชันน้าํ ตาไหล  (๒) ปลาบปล้ืมใจเปนขณะๆ  ซ่ึงเกิดขึ้นบอยๆ  ทําใหรูสึกเสียวแปลบๆ เปรียบ  เหมอื นฟาแลบ  (๓) ปลาบปลื้มใจจนตวั โยกตัวโคลง ปตเิ ปนพักๆ ทาํ ใหซ ซู าเหมอื นคล่นื กระทบฝง   (๔) ปลาบปล้ืมใจจนถึงกับตัวลอย  เปนปติอยางโลดโผน ทําใหทําอาการตางๆ  โดยเวนจากเจตนา เชนเปลงคาํ อทุ านเปน ตน บางทกี ็ทาํ ใหก ายลอยไปหรอื โลดไป  (๕) ปลาบปลมื้ ใจจนอ่มิ เอิบซาบซานท่วั กายและใจ  ๒.๖) ฉันทเจตสกิ คือ ความพอใจในรปู  เสียง กลิน่  รสอาหาร สัมผัส และจนิ ตนาการ  ท่ีดีแตไมยึดติด เหมือนการรับประทานยา เมื่อหายจากโรคแลว  ก็ไมติดใจในรสของยาอีก การ  ตองการยาก็เพ่อื รักษาโรคใหหายเทานน้ั ฉนั ทเจตสิกนยี้ อมทําใหพ อใจ ทาํ ใหป รารถนาอารมณห รอื   เปน เจตสิกทตี่ อ งการอารมณ  เจตสกิ ประเภทนเี้ ปรยี บเหมอื นมอื ของจิตซ่ึงเหยียดออกไปในขณะท่ี  จะถอื เอาอารมณ  สพั พสาธารณเจตสิก ๗ ดวง ปกิณณกเจตสิก ๖ ดวง รวมเปน ๑๓ ดวง เรยี กวา  อญั ญสมา  นาเจตสิก เพราะเม่ือประกอบกับกศุ ลจิตกเ็ ปน กศุ ลไปดว ย เม่อื ประกอบกบั จิตที่เปน อกุศลก็พลอย  เปน อกุศลไปดวย เปน เจตสกิ ทส่ี งเสริมจิตประเภทน้ันใหคงสภาพของตนอยูตามปกติ ไมตัดทอน  คณุ ลกั ษณะของจิตดวงเดิมแมแตน อ ย  ๒) เจตสิกกลมุ ท่ี ๒ เรียกวา  อกุศลเจตสิก เปนเจตสิกทช่ี ่ัว เม่อื เขาประกอบกับจิตแลว  ก็ทําใหจิตเศราหมอง เรารอน และทําใหเสียศีลธรรม อกุศลเจตสิกจะประกอบกับอกุศลจิต ๑๒  ดวงเทานน้ั  ไมป ระกอบกบั จติ ประเภทอ่ืน ขณะท่ีอกศุ ลเจตสกิ เขาปรุงแตง จติ ใจ จะทาํ ใหจติ ใจผนู น้ั   เปนคนใจบาปหยาบชา  ทําแตความชั่ว ความทุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ  สรางความ  เดอื ดรอนวุนวายแกต นเองและสังคม เมอ่ื ตายลงยอมไปบงั เกดิ ในทุคติ คือ อบายภูมิ ๔ ไดแกนรก  เปรต อสรุ กายและเดรจั ฉาน มีจาํ นวน ๑๔ ดวง โดยแบง ออกเปน ๕ กลุม คอื เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึก๖ษ๒า ๓ : 63 ๒.๑) กลมุ ของความมัวเมาลุมหลง เรียกวา โมจตุกเจตสิก เจตสิกกลุมน้ี เมื่อได  ประกอบจติ ใจของบุคคลใด กจ็ ะทําใหบคุ คลนัน้ ขาดสตสิ มั ปชญั ญะ ทาํ อะไรผิดพลาดไปหมด เห็น  สงิ่ ท่ชี ่ัวเปน สงิ่ ท่ีด ี คิด ทาํ  พดู ในส่ิงท่ชี วั่ รา ย มองโลกในแงร าย หาความสุขไมได เจตสิกกลุมนี้มี ๔  ประการ ไดแก  (๑) โมหเจตสิก คือ ความหลง ทําใหไ มร ูความจริงของสภาวธรรม ไมรูแจงในเร่ือง  ทกุ ข เหตุใหเกดิ ทกุ ข การดบั ทุกข หนทางทีจ่ ะดบั ทุกข  หรอื ทีเ่ รียกวา อริยสจั ๔ เปน ตน เปน ภาวะที ่ จติ ใจหลงงมงายปราศจากการพจิ ารณาโดยปญญาท่ีละเอียด (โยนิโสมนสิการ) ตกไปในฝกฝาย  แหง ความเห็นผดิ  เมอ่ื เจตสิกดวงนีเ้ กิดข้ึนประกอบกับจติ ใจ ยอ มทาํ ใหจิตใจมืดมน ทาํ ใหจ ติ หลงใน  อารมณ  คือ ไมใหรูความจริงในอารมณ  โมหเจตสิกหรือความไมรูแจงความจริงนี้จัดเปนบอเกิด  หรือรากเหงา แหง ความชว่ั ท้ังปวง (อกุศลมูล) ความหลงงมงายในอารมณซึ่งเปนลักษณะของโมห  เจตสกิ นี้ ไดแ ก ความไมเ ขา ใจสภาพแหง อารมณทัง้ ๖ ประการ คอื  รูป เสียง กลนิ่  รส สัมผัสถกู ตอ ง  และการนกึ คิดจนิ ตนาการทเ่ี กดิ ขึน้ ในใจหรอื ธรรมารมณ ตามความเปนจริง  (๒) อหริ ิกเจตสกิ คอื  ความไมละอายตอบาป ไมละอายตอ การทาํ ความชวั่ เจตสิก  ดวงน้ีทําใหไมมีความละอายแกใจตอการประพฤติช่วั ทจุ ริตทุกชนิด เปรียบเหมือนสุกรท่ีไมรูสึกรัง  เกลยี จส่งิ สกปรกตางๆ ไดแก อจุ จาระ  (๓) อโนตตปั ปเจตสิก คือ ความไมส ะดุงกลวั ตอบาปทุกสิง่  ไมสะดุง กลัวตอการทาํ   อกุศลกรรม ไมมีความเกลียดตอบาป อันเนื่องมาจากในจิตใจน้ัน ขาดความเคารพตอผูอื่น ไมมี  ความเกรงใจผอู นื่ จึงสรา งความเดือดรอ นใหผูอ่นื โดยงาย เจตสิกดวงน้ที ําใหไมสะดงุ กลัวตอความ  ชว่ั ทุจรติ ทกุ อยาง เปรียบเหมือนแมลงทเ่ี ลนไฟ ไมสะดุง กลัวตอเปลวไฟ  อหริ ิกเจตสิกและอโนตตัปปเจตสิกยอมพาใหก ระทาํ บาปทุจรติ  ดว ยไมรสู ึกละอาย  แกใจ และไมส ะดุงหวาดเสียวตอ ผลของความชั่วทุจริต ไมคิดถึงชาติตระกูล ความรูและคุณธรรม  ของตน และไมเ กรงกลวั ผูอ ่ืนจะนนิ ทาวารา ย ไมเ กรงกลัวตออาชญา ไมหวาดเสียวสะดุงตอวิบาก  กรรมในอนาคต ซึ่งไดแก ความทุกข อหิริกะน้ันไมเคารพตน ไมคํานึงถึงชาติตระกูลของตนเอง  สวนอโนตตัปปะน้ันไมเ คารพตอ ผูอืน่   (๔) อทุ ธจั จเจตสกิ คอื  ความฟุง ซา น ไมม ีความสงบใจ คิดนึกไปในเร่ืองราวตางๆ  มากมายจนทาํ ใหนอนไมหลับ คอื  ความที่จิตใจไมสงบระงับ ความที่จิตไมสงบระงับต่ืนตระหนก  อยเู สมอเปน นิจ กลา วคอื ความคิดพลา น นึกอะไรกเ็ พลิดเพลินไปย่ิงกวา เหตุ เปรียบเหมือนชายธง  ทีต่ องลมพัดโบกสะบดั อยตู ลอดเวลา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

64 : เอกสารประกบอทบทกี่ ๒ารสทอัศนนวะิชเรา่อืพงรจะิตไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๖๓  ๒.๒) กลุมของความโลภหรือความอยากได เรยี กวา โลติกเจตสิก เมื่อเจตสกิ กลมุ   น้ ี ประกอบกับจิตของบุคคลใด ก็จะทําใหบุคคลน้ันเต็มไปดวยความโลภ มีความอยากไดไมมีท่ ี ส้นิ สุด กระเสือกกระสนแสวง หาสิ่งท่ีมาสนองความตอ งการของตน ท้งั ทางตา ห ู จมูก ล้ิน และทาง  กาย ซ่ึงสิ่งเหลาน้ีเปนส่ิงที่ทําใหจิตใจ มีความกระวนกระวาย  ไมมีความสงบ เจตสิกกลุมนี้มี ๓  ประการ ไดแก  (๑) โลภเจตสิก คือ ภาวะของจติ ใจท่ีเกดิ ความปราถนา อยากได ความตดิ ใจในสงิ่   ท่ีชอบใจและนาปรารถนา กลาวคือ ความยินดีพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสท่ีนาปรารถนา  น่นั เอง บางครั้งเราเรียกอาการของจติ เชนน้ีดว ยคําตางๆ เชน ตัณหา คือ ความตองการ ราคะ คือ  ความกําหนัด  เปนตน  ซ่ึงทําใหจิตใจและรางกาย กระวนกระวายกระสับกระสาย หาความสงบ  ไมได  ทําใหอยากไดในสิ่งท่ีชอบใจจนไมรูจักพอ จนกลายเปนความปรารถนาลามก กลาวคือ  ความอยากไดด วยการแสวงหามาโดยทุจริต ทําใหจิตใจของติดอยูในอารมณยากท่ีจะเปล้ืองให  หลดุ พนได เหมอื นลงิ ตดิ ตัง หรือชนิ้ เนื้อบางๆ ทต่ี ิดแนน อยูกบั กระเบื้องทกี่ าํ ลงั รอ น  (๒) ทฏิ ฐิเจตสิก คอื ภาวะของจติ ใจทีเ่ ห็นผดิ ไปจากความจรงิ  เหน็ วาบญุ บาปไมม ี  ทําบุญทําบาป  ไมมีผลไมตองรับผล  ทิฏฐิเจตสิกนี้ มีความละเอียดละออมาก มนุษยลวนม ี ความเหน็ ผิดจากความเปน จริงทุกคน เชน การยึดมั่นวา เปนตัวเปนตน มีเรามีเขา เรียกวา ทิฏฐิ  สามัญ เจตสิกดวงนี้ยอมทาํ ใหเหน็ ผิดจากทาํ นองคลองธรรม มีการยดึ ม่นั ถือมน่ั ในสิ่งท่ีตนเช่ือโดย  ปราศจากปญญา เชื่อความขลังความศักดิ์สิทธ์ิของสิ่งที่ไมเปนไปเพื่อความหลุดพนจากทุกข  ความเห็นผิดเชน นีป้ ด บงั ปญญาไมใหเ ห็นบญุ เห็นบาป สําคัญบุญวาเปนบาป สําคัญบาปวาเปน  บุญ สําคัญสุขวาเปนทุกข สําคัญทุกขวาเปนสุข สําคัญสภาวะที่ไมเท่ียงไมยั่งยืน ไมมีสาระแกน  สารวา  เท่ียง ยง่ั ยนื  มีสาระแกน สาร ถา เปน ความเหน็ แบบสดุ โตง (นิยตมิจฉาทฏิ ฐิ) ยอ มมโี ทษมาก  หา มสวรรคห า มนพิ พาน เปน ความเห็นอันด่ิงลง ยากท่ีจะถอนออกได จึงเรียกวา นิยตมิจฉาทิฏฐิ  ซงึ่ มีโทษมาก มี ๓ ประการ ไดแก  ก. อกิรยิ ทิฏฐ ิ คอื  ความเหน็ วา ทําช่ัวไมมคี นร ู  ไมมคี นจบั ได ไมมีคนลงโทษ ก็วาง  เปลา ท้ังน้นั  เปน การทําทีไ่ รผ ล การกระทําช่ัวตางๆ จะเปนการกระทําท่ีมีผล คือมีโทษ ก็ตอเมื่อม ี คนรู จับไดและลงโทษ สวนการกระทําความดี ไมมีคนรู ไมมีคนชม ไมมีคนใหรางวัล ก็วางเปลา  เหมือนกนั  ตอ เมอื่ มคี นรูแลวชมและใหรางวัล จึงจะจัดวาใหคุณ ความเห็นนี้ปฏิเสธกรรมคือการ  กระทําวามิใชเ หตมุ ใิ ชปจ จยั ทจี่ ะอํานวยคณุ และโทษให กลับมคี วามเห็นปจจัยภายนอกคือบุคคล  วา  เปนเหตุเปนปจ จัยที่จะอาํ นวยคุณและโทษให  ซึ่งความเห็นเชนนผ้ี ดิ จากหลกั พระพุทธศาสนาท่ี เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทศั นะเรือ่ งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ๖ษ๔า ๓ : 65 สอนวา  กรรมคือการกระทาํ เปน เหตปุ จจยั แหงคณุ และโทษ ความเหน็ ทีถ่ อื ปจจัยภายนอกเปนเหตุ  ปจจัยแหงคณุ โทษเชนนีจ้ ัดเปนอกิรยิ ทฏิ ฐ ิ ข. อเหตุกทิฏฐ ิ คือ ความเหน็ วา  มนษุ ยจะไดดีหรือชวั่  มีความสุขหรอื ประสบความ  ทุกขล ําบากตางๆ นน้ั  เนื่องมาจากกาลเวลาครั้งคราว คือ เมื่อถงึ คราวเคราะหด ีก็ไดดีเอง ทาํ อะไรก ็ มีคนชมและชวยสนับสนุนชบุ เลี้ยง ลาภยศเกิดขึ้นตามกนั โดยมิไดนึกฝนหรือใชพยายามใดๆ เมื่อ  ถึงคราวเคราะหรายเขา ทําอะไรก็ไมมีดี มีแตคนติ คนขัดขวาง เส่ือมลาภเสื่อมยศลงตามๆ กัน  ความเห็นเชนนี้ปฏิเสธเหตุปจจัยที่ไมปรากฏ กลับมีความเห็นปจจัยภายนอกวา กาลเวลาเปนผู  อํานวยใหป ระสบความดีความช่วั  ความสุข ความทกุ ขความลําบากยากแคนตาง ๆ ซ่ึงผิดจากหลัก  พระพทุ ธศาสนาทส่ี อนวา  สภาวธรรมทั้งสิ้นตอ งองิ อาศัยเหตุปจจัยเกดิ ปรากฏข้ึน จะปรากฏขน้ึ โดย  ไมมเี หตุปจ จัยนนั้ ไมไ ด เหตุปจจยั ของสภาวธรรมน้ันบางอยางก็ปรากฏชัด บางอยางก็ไมปรากฏ  ชัด ตองใชวิจารณญาณอยางสุขุมจึงจะจับตนเคาได ซ่ึงทานเรียกวาอวิชชา ความเห็นที่ถือ  กาลเวลาเปน เหตแุ หง คณุ และโทษ เปนเหตปุ จ จยั แหงสขุ และทกุ ขเปนตนเชนนจี้ ดั เปน อเหตกุ ทฏิ ฐิ  ค. นตั ถกิ ทฏิ ฐิ คอื  ความเหน็ วา สตั วบุคคลไมม ี ตางเปน แตธาตปุ ระชุมกัน เก้ือกูล  กนั หรอื ขัดขวางกนั  บญุ บาปไมม ี ธาตุอยางหนง่ึ ถงึ กันเขา กับธาตุอีกอยางหน่ึงตางหาก เชนฝนตก  ทาํ ใหตนไมสดชน่ื ผลิดอกออกผล จะจดั วาฝนไดบญุ  หรอื ไฟปาเผาตนไมใ หต ายจะจดั วาไฟไดบาป  หรือ ความเห็นเชนนี้ปฏิเสธสมมติสัจจะ และคติแหงธรรมดาอันเนื่องดวยเหตุและผลท้ังสิ้น ซ่ึง  เรียกวากัมมัสสกตา ซ่ึงผิดจากหลักพระพุทธศาสนาที่ถือวา สัตวมีกรรมเปนของ ๆ ตน แมจะ  ยอมรบั วา สัตวบคุ คลโดยสมมตินั้นเปนแตสักวาธาตุประชุมกันก็จริง แตตกอยูในคติแหงธรรมดา  คอื กัมมัสสกตา ความเห็นอยางน้ีเรียกนตั ถกิ ทฏิ ฐิ  (๓) มานเจตสิก คือ ความถอื ตน ความทะนงตน การเปรยี บเทียบตนเองกบั บคุ คล  อืน่ วา ตนเองมีชาติ โคตร สกลุ  ทรัพย  สมบัติ ความรู การงานหรือความฉลาดที่เหนือกวาบุคคลอ่ืน  เสมอกนั กบั บคุ คลอน่ื  หรือตํ่ากวา บุคคลอ่ืน ซึ่งจะทาํ ใหจ ิตใจไมส งบ มานเจตสิกธรรมน้ียอมทําให  มวั เมา เปรียบเหมือนคนบา คนเมา อาศยั มานเจตสิกนี้ยอ มมัวเมาในโลภธรรม คอื เมาดว ยลาภ ยศ  ความสุขและสรรเสรญิ  เยอหยิ่งยกตน หลบหลูดถู ูกผูอ่ืนวาไมเหมือนตน แมตนมีคุณธรรมเชนศีล  เปน ตน  กด็ หู มน่ิ ผูอ ื่นวา มีนอ ยหรอื ต่าํ ทรามกวาตน มานเจตสิกนี้ยอมทําจิตใหกระดางเพราะชาติ  สกุลความรแู ละคณุ ธรรม เปน ตน  แลว ดหู มน่ิ ผอู ่ืน หรือแมแตญาติของตน ทานจําแนกมานะไว ๙  ประการ คือ  ก. เปน ผเู ลศิ กวา เขา  สําคญั ตัววา เลิศกวา เขา  ข. เปน ผเู ลิศกวา เขา  สาํ คญั ตัววา เสมอเขา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

66 : เอกสารประกบอทบทก่ี า๒รสทอัศนนวะชิ เารพ่ือรงจะไติ ตรปิฎกศึกษา ๓ ๖๕  ค. เปนผเู ลิศกวาเขา  สําคัญตัววา เลวกวา เขา  ง. เปน ผูเ สมอเขา  สําคัญตัววา เลิศกวาเขา  จ.  เปนผเู สมอเขา  สําคัญตวั วา เสมอเขา  ฉ. เปนผเู สมอเขา  สําคญั ตวั วา เลวกวา เขา  ช. เปนผูเลวกวา เขา  สําคัญตัววาเลศิ กวาเขา  ฌ. เปนผูเ ลวกวา เขา  สาํ คญั ตวั วาเสมอเขา  ญ.เปนผเู ลวกวา เขา  สาํ คญั ตัววา เลวกวาเขา  มานะท้งั ๙ ประการน้ ี แบงออกเปน ๓ ประเภท คือ ขอ  ก. ง. ช. เปนการทะนงตน  ขอ  ข. จ. ฌ. เปน การตีเสมอ สวนขอ  ค. ฉ. ญ. เปน การถอ มตน การสําคัญตนถือตนวาเปนนั่นเปน  น่ี แมจ ะสาํ คัญถูกทานกจ็ ดั เปน มานะเหมอื นกัน เพราะเหตใุ หด หู ม่ินผอู ืน่   ๒.๓) กลุม ของความโกรธ เรียกวา  โทจตกุ เจตสกิ  เจตสกิ กลุม นี้มี ๔ ประการ ไดแ ก  (๑) โทสเจตสกิ คอื ภาวะของจิตใจที่มีความโกรธ ไมพอใจ คับแคนใจ บุคคลใด  ตามเมอื่ ถูกความโกรธเขา ครอบงําจิตใจแลว ยอมจะกลายเปนคนหยาบชา ดุรายเหมือนอสรพิษ  ขาดความเมตตากรณุ า ความกระสบั กระสายกระวยกระวายใจเหมือนคนท่ีถูกยาพิษ ความโกรธ  จึงเปน ความช่วั รายทเี่ กดิ ในจิตใจ บุคคลใดสะสมความโกรธบอยๆ จะทาํ ใหขาดความสขุ ในชีวิต  เจตสกิ ดวงนีจ้ ดั เปนความประทุษราย เพราะหากเจตสกิ ดวงนีป้ ระกอบกับจิตแลว  ยอ มทําใหกรอบเกรียม กระวนกระวาย ทาํ ใหโ ศกเศรา คบั แคน เหอื ดแหง ใจ หาความสขุ ความสบาย  มิได  รอนรุมอยูเปนนิจประหน่ึงถูกไฟไหม ยอมทํารายตนเอง ทํารายผูอื่น อุปมาเหมือนไฟปาซ่ึง  เกิดข้ึน ณ สถานที่ใด ยอมไหมเชื้อซ่ึงมีในที่น้ันใหเปนเถาถานไป และเหมือนอสรพิษที่ถูกรังแก  ยอ มแสดงอาการใหทราบวาตนเปน งรู า ย ดว ยการชหู วั แผพังพานข ู เจตสกิ ดวงน้ ี เมอื่ เริ่มเกดิ ขึ้นยอ มทาํ รายตนเองกอนแลวจึงคอยขยายความพินาศ  ใหเ ปนวงกวา งออกไป เหมอื นกับไฟซง่ึ ไหมบานเรอื นใหพนิ าศ ทแี รกกไ็ หมก า นไมข ดี กา นเดยี วกอน  ฉันน้ัน โทสะเมื่อยังออนอยู ก็เปนเพียงแสดงสีหนาบึ้งตึง ดุดัน เม่ือรุนแรงข้ึนก็ทําใหเปลงเสียง  แสดงความโกรธแคน เปน วาจาหยาบคาย หากมากไปกวานั้นก็ทําใหแสดงทาทางซึ่งไมนาดูตางๆ  จนถึงกบั ทาํ รา ยตนเอง หรือยิ่งกวานนั้ กถ็ ึงกบั ฆา ตวั ตายก็มี บางครั้งเมื่อโทสะเกิดขึ้น ย้ังไมอยู ขม  ไวไ มไ ด กถ็ งึ กับทาํ รายผอู ่นื  หรอื ทําลายส่ิงของเครื่องใชตางๆ เปนตน โทสเจตสิกนี้เปรียบเหมือน  ศัตรคู อู าฆาตไดชองไดโ อกาสเมอื่ ใด ยอมทําความพนิ าศใหเม่ือนัน้   สาเหตุทท่ี ําใหเกิดโทสะนนั้ ทานจําแนกไว ๙ ประการ เรียกวา อาฆาตวัตถุ ไดแก  การปรารภวาบคุ คลนั้น ไดต เี รา ไดชนะเรา ไดขโมยส่ิงของ ๆ เรา ทั้งในอดีต อนาคต และปจจุบัน เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทศั นะเร่อื งจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ๖ษ๖า  ๓ : 67 อยา งละ ๓ รวมเปน ๙  เมอ่ื ผกู ใจเจ็บอยูดวยสาเหตุ ๙ ประการนี้ โทสะท่ียังไมไดเกิดก็จะเกิดข้ึน  โทสะทีเ่ กดิ แลวกจ็ ะเจริญมากขึน้  จะตกไปขา งฝา ยพยาบาท เวียนลางผลาญกันเร่ือยไปไมหยุดย้ัง  เหมอื นการจองเวรกันของกากบั นกเคา และพงั พอนกบั งเู หา  (๒) อสิ สาเจตสกิ คอื  ภาวะของจติ ใจทม่ี คี วามอิจฉาริษยา ไมยินดีในการที่บุคคล  อืน่ ไดร บั ความสขุ  เหน็ บคุ คลอืน่ ไดดกี ย็ ิ่งรอ นใจ เหมือนคําที่มักจะกลาววา อิจฉาตารอน หรือเกิด  ไฟริษยา ไมป รารถนาจะใหใครไดดีกวา เห็นผูอื่นสมบูรณดวยทรัพยสมบัติก็ไมพลอยช่ืนชมยินดี  ดวย มแี ตค วามรงั เกยี จปรารถนาใหผ ูอน่ื ถงึ ความพินาศ  (๓) มัจฉริยเจตสิก  คือ ภาวะของจิตใจท่ีเกิดความความตระหนี่ หวงแหนใน  สิ่งของตางๆ ของตน หรือแมกระทั่งหวงแหนความร ู ไมยอมเสียสละใหแกผูอ่ืน  ความตระหน่ีมี  หลายอยาง เชน ความตระหนี่หวงแหนที่อยูอาศัย ความตระหน่ีส่ิงของท่ีมี ไมยอมแบงปนใหแก  ผูอื่น  ความตระหน่ีหวงแหนตระกูลของตน ไมยอมใหคนอ่ืนรวมใช  ความตระหน่ีในวรรณะ คือ  ความงาม ตองการใหตนงามเพียงคนเดียว ไมยินดีในความงามของคนอื่น และความตระหน่ีใน  ธรรม ไมตอ งการใหบ คุ คลอนื่ รสู ่ิงทต่ี นรู ซึง่ ทาํ ใหจิตใจเรา รอ น  (๔) กุกกุจจเจตสิก  คือ ภาวะของจิตใจท่ีเกิดความเดือดเน้ือรอนใจ โดยคิด  คํานึงถึงความช่ัวท่ีตนไดเคยกระทําไว  และการคิดคํานึงถึงความดีท่ีคิดวาจะทําแตยังไมไดทํา  รวมทัง้ การคดิ วา  ส่ิงท่ีควรทําแตไมทํา สิ่งท่ีไมควรกระทํา แตก็ไดทําไปแลว เปนตน เจตสิกดวงน้ ี เปนเครื่องกางกั้นจิตไมใหบรรลุความดีได  (นิวรณธรรม)  เพราะเปนสาเหตุใหเดือดรอน  กระสบั กระสาย ไมอาจดํารงจิตในความดไี ด เปรยี บเหมอื นสภาพแหง คนใชห รือทาสที่ถูกบังคับให  ทํางานตลอดวันยันคํ่า คืนยันรุง เมื่อถึงเวลานักขัตฤกษ บุคคลอื่นดูมหรสพทั้งกลางวันและ  กลางคืน แมอ ยากจะดมู หรสพกไ็ มม โี อกาส เพราะกังวลอยดู วยภารกจิ ที่เจา นายใช  ๒.๔) กลมุ ของความหดหูท อ ถอย เรียกวา  ถีทกุ เจตสกิ เจตสิกกลุม น้ ี จะเกิดพรอม  กันเสมอ แตถาไมเกิดก็ไมจะเกดิ ดวยกัน เปรียบเหมือนหลอดไฟกับแสงสวาง เมื่อหลอดไฟหรี่ลง  แสงสวา งกจ็ ะลดนอ ยลงไปพรอ ม ๆ กนั เปน เจตสกิ ท่ีขัดขวางความเจริญกาวหนาในดานความคิด  และการงานทกุ อยา ง เจตสกิ กลมุ นีม้ ี ๒ ประการ ไดแ ก  (๑) ถีนเจตสกิ คอื  ภาวะของจติ ใจท่หี ดหทู อถอย ทอ แท หรอื อาจเรียกวาความเซ็ง  กไ็ ด ไมอยากจะทาํ ความดี หรอื เพียรพยายามอกี ตอไป หรือเบ่ือในหนาที่การงาน เปนตน เชน ใน  เวลาอา นหนงั สอื หรอื ทํางาน สวดมนต นั่งสมาธิ กจ็ ะเกดิ ความเบ่อื หนา ยขึ้นมา  (๒) มทิ ธเจตสกิ คือ ภาวะของจิตใจที่เซ่ืองซมึ  งวงเหงาหาวนอน หมดความตั้งใจ  อยากนอนหรอื การนั่งโงกงว ง สมองไมป ลอดโปรง  คิดอะไรไมอ อก เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

68 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะชิ เราอื่พงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๖๗  ๒.๕) กลุม ของความลงั เลสงสยั เรยี กวา  วิจิกิจฉาเจตสิก เปนเจตสิกท่ีไมมีกลุมม ี เพยี ง ๑ ดวงเทา น้นั  คือ  (๑) วจิ ิกจิ ฉาเจตสิก คือ ภาวะของจิตใจท่ีเกดิ ความสงสยั  ลังเลไมแนใจ จนไมกลา  ตดั สินใจ เมื่อเกดิ ขนึ้ ในจติ ใจของคนเราแลว สามารถจะทําใหเ กิดความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย  หรือการเวยี นวายตายเกดิ ในสังสารวฏั  ลงั เลสงสัยในผลแหง ทจุ ริตและสจุ รติ  เปรยี บเหมอื นคนหลง  ทางท่ีเดินทางไปพบทาง ๒ แพรง ยอมเกิดความสงสัย ไมกลาท่ีจะเลือกทางซายหรือทางขวา  ความลงั เลสงสยั เชนนจ้ี ะขัดขวางตอการทาํ ความดี หรือทําใหเกิดความชะงักงันในการทําความด ี ตอไป  ๓) เจตสิกกลุมท่ี ๓ เรียกวา  โสภณเจตสกิ จาํ นวน ๒๕ ดวง เปนเจตสิกฝายดีงาม จะ  เขา ประกอบปรงุ แตง จิตเฉพาะจิตทีเ่ ปน กศุ ลเทา นน้ั  หรอื เกดิ ข้ึนในขณะท่ีจิตใจของคนท่ีทําดี พูดดี  คิดดี มีการทําทาน รักษาศีล  เจริญภาวนา เปนตน เปนผลทําใหชีวิตของผูน้ันเจริญกาวหนา  มี  ความสขุ ความสมหวงั ตดิ ตามมา  โสภณเจตสกิ ทง้ั มี ๒๕ ดวงนั้น แบงออกเปน ๔ ประเภท คอื   ๓.๑) โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวง จะเขาประกอบจิตใจในการทําความดีทุก  ประเภท เกิดขึ้นไดในจิตใจของคนทั่วไป ขณะที่ทําคุณงามความดี เชน ขณะที่ทําทาน รักษาศีล  เจรญิ สมถวิปสสนา เปนตน เกิดข้ึนกับโสภณจิต ๕๙ ดวง หรือ ๙๑ ดวง คือ กามาวจรโสภณจิต  ๒๔ ดวง มหัคคตจิต ๒๗ ดวง และ โลกตุ ตรจติ ๘ ดวง หรอื ๔๐ ดวง โสภณสาธารณเจตสิกทงั้ ๑๙  ดวง มชี อ่ื และความหมาย ดงั น้ ี (๑) สทั ธา คอื  ความเชอื่  หรือความเล่ือมใสทป่ี ระกอบดวยปญญาพิจารณาแนชัด  แลว จึงเชือ่  ไมเ ช่อื อยางงมงายไรเหตผุ ล เชือ่ ตอสิ่งทีค่ วรเชอ่ื ๔ ประการ คอื   ก. กมั มสัทธา คือ การเชื่อกรรม  ข. วิปากสัทธา คอื  การเชือ่ ผลของกรรม  ค. กัมมสั สกตาสทั ธา คือ การเช่ือความที่สตั วม ีกรรมเปน ของตน  ง. ตถาคตโพธิสทั ธา คอื  การเชอ่ื ปญญาตรัสรูของพระพุทธเจา  ศรัทธาทาํ ใหม ีความม่ันคงในการประพฤติธรรมทุกชนิด เปนทรัพยประเสริฐ เปน  ทง้ั ธรรมที่ทําใหก ลา หาญ ความเชื่อน้ีเมื่อตั้งม่ันแนนแฟนแลว ยอมไมยอทอตออุปสรรคตางๆ ใน  การประพฤติธรรมและการประกอบภารกจิ   (๒) สต ิ คอื  การระลึกไดในสง่ิ ที่ดี  ไดแ กความระลกึ ถึงส่ิงท่ีทําและคําท่ีพูดได การ  ระลึกรอู ารมณต างๆ เปน ลกั ษณะของสติ สติน้เี ปนประโยชนในการประพฤติธรรมและการกระทํา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเรือ่ งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึก๖ษ๘า ๓ : 69 ภารกจิ ทุกประการ การพดู  การทํา และการนกึ คิดตางๆ ถาขาดสติทาํ ใหเกิดความพลาดพล้ัง สติน ้ี ตองใชในการกระทํา คําที่พูด สิ่งที่คิด กาย วาจาและจิตจึงจะดําเนินไปไดดวยดี และเปนไปใน  กริ ิยาท่จี าํ  คือจาํ  กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมทีเ่ ปนไปแลว ไวไ ด  (๓) หริ ิ คอื  ความละอายตอ บาป ความตะขดิ ตะขวงใจ ขยะแขยงรังเกยี จตอความ  ช่ัวทุจริต เปนความละอายใจที่เกิดเพราะสาเหตุภายใน เชน การคํานงึ ถึงชาตติ ระกลู และคุณธรรม  เปน ตน แลว เกดิ ความขยะแขยงตอบาปทุจริต เปรียบเหมือนบุคคลผูรักความสะอาด เม่ืออาบนํ้า  ชาํ ระกายหมดจดดีแลว ยอ มขยะแขยงเกลียดชงั ส่ิงสกปรก  (๔) โอตตัปปะ คอื  การสะดุงกลวั ตอ บาปทจุ ริต เพราะพจิ ารณาเห็นโทษแหง ความ  ชว่ั แลว เกรงกลวั ตอ ผลของความช่วั นั้น ไมเ กย่ี วของกับสาเหตุภายนอก เชน การถกู ติเตียนหรือการ  ถกู ทําโทษ เปน ตน แตโ อตตัปปะนเี้ กิดข้ึนเพราะคาํ นึงถงึ สาเหตภุ ายใน ไดแก การพิจารณาเห็นวา  สรรพสตั วม ีกรรมเปน ของๆ ตน เปนผูรับผลของกรรมที่ตนกระทําเอง กรรมดีหรือชั่วก็ตามทําแลว  ยอ มใหผ ลตามชนิดของกรรม เม่ือพจิ ารณาเชนน้แี ลวคร่นั ครามหวาดหวนั่ ตอ ผลแหง ความชว่ั ทุจรติ   แมมปี ระมาณเล็กนอ ยก็ไมก ลา กระทําความเกรงกลัวตอผลของบาปธรรมเชนน้ี เปนลักษณะของ  โอตตปั ปะ  (๕) อโลภะ คือ ความไมอยากได ความไมติดของพัวพันอยูในอารมณ ความ  สันโดษยินดีในอารมณน นั้ เปนลกั ษณะของโลภะ เปนรากเหงาของความดที ั้งปวง  (๖) อโทสะ คือ ความไมโกรธ  ความรักใครเมตตาอารี ไมประทุษรายหรือผูกใจ  เจ็บ เปนรากเหงาของกุศลธรรมทั้งหลายเหมือนอโลภะ  เปนท่ีอาศัยเกิดและเจริญงอกงามแหง  กศุ ลธรรมท้งั หลาย  ( ๗ )  ตั ต ตร มั ช ฌัต ต ตา   คือ     อุเ บ กข า   ได แ ก  ค วา ม ว าง เ ฉย ทํ าใ จ ใ หเ ป นก ล า ง  อุเบกขานน้ั โดยมากหมายถึงเวทนเุ ปกขา คือความเฉยของการเสวยอารมณที่เปนกลางไมหนักไป  ในทางฝา ยสขุ และทุกข  อยใู นระดบั กลางสมํ่าเสมอ แตตตั รมชั ฌตั ตาเจตสกิ นี้ คือ การทาํ ใหจ ติ เปน   กลางไมลําเอียงไปดว ยความรักและโกรธ ซึ่งไดแก อเุ บกขาพรหมวหิ าร และอุเบกขาสัมโพชฌงค  (๘) กายปสสัทธิ คือ การทําใหเจตสิกสงบระงับจากส่ิงที่เปนความช่ัวหรืออกุศล  ธรรมทั้งหลาย คําวา กาย ในคําวา กายปสสัทธิน้ี ไมไดหมายถึงรางกาย แตหมายถึงสิ่งที่ไมม ี รปู ราง หรอื นามกาย กลาวคอื  เจตสกิ   (๙) จิตตปสสัทธิ คือ ความที่จิตไมกระวนกระวายกระสับกระสาย เปนจิตสงบ  ระงับจากอกุศลธรรม ไดแ ก การทําจติ ใหเปน สมาธิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

70 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะชิเราือ่ พงรจะิตไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๖๙  (๑๐) กายลหุตา คือ ความเบาแหงรูปกาย ซึ่งธาตุทั้ง ๔  คือ ดิน น้ํา ไฟ ลม  ประชุมกนั เขาเปนกาย รปู กายนี้ซ่ึงยังมีธาตุทั้ง ๔ เก้ือกูลกันอยูเปนปกติ คือ มีชีวิตอยู ไมแตกดับ  ยอมเปน กายท่ีเบา ไมหนักเหมอื นกายของคนตาย อกี อยา งหนงึ่ รูปกายทีไ่ มประกอบกรรมชั่วทจุ รติ   ตางๆ ประพฤติแตสุจริตธรรมยอ มเรยี กวาเปน กายท่ีเบา  (๑๑) จติ ตลหุตา คอื  ภาวะท่ีจิตปลอดโปรง  ไมเศรา โศก ปราศจากกเิ ลส ไมถูกโลก  ธรรมทัง้ ๘ เขา ครอบงํา ซ่งึ จะทาํ ใหจ ติ เบา  (๑๒) กายมุทตุ า คือ ความออ นแหง รปู กาย รูปกายแหงคนทย่ี งั มีชวี ติ อย ู ยอ มออ น  สลวยไมแ ข็งกระดา ง เหมือนรา งกายของคนท่ตี ายแลว  นอกจากนอี้ ีกอยา งหน่งึ  รางกายของบุคคล  ผไู มมีความหัวดอื้ หวั แข็ง มานะ ทฏิ ฐิ ออ นนอ ม และการทําใหเ จตสกิ ออ นตามไปในกศุ ลธรรม ยอ ม  เปนกายทอ่ี อ นสลวย (๑๓) จติ ตมุทุตา คือ ภาวะท่จี ิตปราศจากกเิ ลสท่ที ําใหเ ศราหมอง ไมแข็งกระดาง  ดวยความถอื ตวั และความเหน็ ผดิ  เปน จติ ออนนอ มเลอื่ มใสในพระรัตนตรัย ปราศจากความอิจฉา  รษิ ยา มคี วามยินดตี อ ความสําเรจ็  เม่อื บคุ คลอ่นื ไดดีเปน นิจ ยอ มเปนจติ ออนโยน  ( ๑๔ )  กาย กัม มัญญ ตา  คือ  ค วาม มีร างก าย คลอ งแ คลว ไม วิกล วิก าร  มีกํ าลั ง  สมบรู ณ ไมเจ็บไข และการทําเจตสิกใหคลองแคลวสะดวกแกการทํากุศล เปนกายท่ีคลองแคลว  ควรแกงาน  (๑๕) จิตตกัมมัญญตา คือ ความมีจิตปลอดโปรงปราศจากส่ิงที่ทําใหมัวหมอง  ความนกึ คดิ ยอ มคลองแคลว เปนจติ ทคี่ วรแกก ารงาน  (๑๖) กายปาคุญญตา คือ ความที่รางกายสมบูรณแข็งแรง ปราศจากโรคราย  ตางๆ รบกวน เปน กายที่คลอ งแคลว หรอื การทาํ นามกายคือเจตสิกท้ังหลายใหคลองแคลวแกการ  บาํ เพ็ญกศุ ล  (๑๗) จิตตปาคุญญตา คือ จิตที่ปราศจากโทษของจิต เปนจิตท่ีคลองแคลว  สะดวกแกการนกึ คิด และนอ มไปสคู วามดี  (๑๘) กายชุ กุ ตา คือ ความที่กายไมประกอบทุจริตทางกาย หรือการกระทํานาม  กายคือเจตสกิ ใหซอ่ื ตรงตอ กุศลธรรม  (๑๙) จิตตชุ ุกตา คอื  ความที่จติ ไมฝ ก ใฝใ นทุจริต ประกอบอยูในสจุ ริตธรรมเปน นจิ   ยอ มเปน จติ ที่ซื่อตรง เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทศั นะเรือ่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๗ษา๐ ๓ : 71 คาํ วา กาย ในกลมุ โสภณสาธารณเจตสิกน้ ี หมายถงึ นามกายหรือส่ิงท่ีไมมีรูปราง  คือ อรูปขันธ ๓ อยาง ไดแก เวทนาขันธ สัญญาขันธ และสังขารขันธ  ไมไดหมายถึงรูปกายท่ี  ประกอบดว ยธาตทุ ัง้ ๔  ๓.๒) วริ ตีเจตสิก เปน เจตสกิ ฝายดีท่ีใชในการรกั ษาศลี  โดยจะประกอบกับจิตของ  คน ในขณะรักษาศีล เปน สภาวธรรมท่ีปรุงแตง จิตใหง ดเวนจากการทําความช่วั  มี ๓ ดวง คือ  (๑) สมั มาวาจาเจตสกิ คือ การต้ังใจงดเวน จากการพูดช่ัวทางวาจา ไดแก การไม  พูดเทจ็  ไมพดู สอ เสียด ไมพูดคําหยาบ และไมพูดเพอเจอ เรียกวา วจีทุจริต ๔ ซึ่งไมเก่ียวกับการ  ประกอบอาชพี   (๒) สมั มากมั มนั ตเจตสิก คือ การต้ังใจงดเวนจากการทําชั่วทางกาย ไดแก การ  ฆาสัตว การลักทรัพย การประพฤติผิดในกาม เรียกวา กายทุจริต ๓ ซ่ึงไมเก่ียวกับการประกอบ  อาชพี   (๓) สัมมาอาชีวเจตสิก คือ การตั้งใจงดเวนจากการกระทําชั่วทางกาย ๓ อยาง  และการพูดชั่วทางวาจา ๔ อยา ง ที่เก่ยี วกับการประกอบอาชีพ  ๓.๓) อัปปมัญญาเจตสิก เปนเจตสิกฝายดีที่ใชในการบําเพ็ญพรหมวิหาร มี ๒  ดวง คอื   (๑) กรุณาเจตสิก ไดแก ความสงสารท่ีเกิดขึ้นในจิตใจ เม่ือเห็นมนุษยหรือสัตว  อน่ื กาํ ลงั ไดรับความทุกขท รมาน หรอื จะไดร ับความทุกขทรมานในกาลขางหนา   (๒) มุทิตาเจตสิก ไดแก ความรูสึกยินดีท่ีเกิดขึ้นในจิตใจ เมื่อไดเห็นบุคคลอ่ืน  หรอื สัตวอ นื่ กาํ ลงั ไดรับความสุข โดยปรารถนาใหเขาเหลา น้นั  มคี วามสขุ ย่งิ ข้นึ กวาเดมิ   การเหน็ บคุ คลอ่นื กาํ ลังไดรับความทุกข เกิดความสงสารขึ้นในจิตใต ตองการให  พวกเขาพนจากความทุกข ถือไดวา ในขณะน้ัน กรุณาเจตสิกไดเกิดขึ้นในจิตใจ ซึ่งจะกอใหเกิด  ความสงบเยอื กเยน็ เปน สุข สวนการไดเห็นบคุ คลทก่ี าํ ลงั ประสบความสุขสมหวังในชีวิต แลวจิตใจ  พลอยยินดชี ่ืนชมทีเ่ ขาไดรับความสุขสมหวังนน้ั  ปรารถนาใหเขาไดร ับความสขุ ย่ิงข้ึนไป ถอื ไดว าใน  ขณะนัน้ มทุ ิตาเจตสิกเกิดขึน้ ในจติ ใจ  ๓.๔) ปญญนิ ทรียเจตสิก เปนเจตสกิ ท่ีสาํ คญั มาก เพราะเมื่อเขาปรุงแตงจิตแลว  จะทาํ ใหจติ นนั้ ร ู และเขาใจในสภาพความเปนจริงของรูปและนาม ทําใหเห็นอยางถูกตองวา รูป  นามนัน้  ไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข และไมใ ชตวั ตน ท่จี ะบังคับบญั ชาส่ังการใหเปนไปตามความปรารถนา  ได ตลอดจนรแู จง ในอริยสัจ ปญ ญามี ๓ ประเภท คอื เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

72 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสศั อนนะวเิชรา่อื พงรจะิตไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๗๑  (๑) กัมมัสสกตาปญญา คือ ปญญาท่ีรูเร่ืองกรรม โดยรูวา สัตวท้ังหลายมีกรรม  เปนของๆตน กําเนิดเกิดกอมาดวยกรรมของตนเอง บุคคลกระทํากรรมใดไวไมวาดีหรือช่ัว ยอม  ไดร ับผลของกรรมทีต่ นกระทาํ ลงไปนน้ั ๆ  (๒) วิปสสนาปญญา คือ ปญญาที่รูเรื่องวิปสสนา  จะเกิดข้ึนกับบุคคลผูปฏิบัติ  ธรรมจนมีความเขา ใจชัดแจมแจงในสรรพสิ่งวา มีลักษณะเปล่ียนแปลง ไมมนั่ คง และบงั คบั บญั ชา  ไมไ ด ตกอยใู นกฎของอนิจจัง ทกุ ขงั อนัตตา นัน่ เอง  (๓) โลกุตตรปญ ญา คอื  ปญญาท่รี ูแจง ในอริยสัจ ๔ เมอ่ื ปญญาชนดิ น้ีเกิดขนึ้ แลว  จะทําใหจิตรูแจงแทงตลอดในความเปนจริง คือ อริยสัจ ๔  ไดแก  การรูแจงวา รูปนามเปนทุกข  (ทกุ ขสจั ) มคี วามเปล่ียนแปลงตลอดเวลา ไมสามารถจะทนอยูในสภาพเดิมได  การเกิด แก เจ็บ  ตายก็เปนทุกข เปนตน  การรูแจงในเหตุใหเกิดทุกข (สมุทัยสัจ) ไดแก  โลภเจตสิก หรือ ตัณหา  กลา วคือ ความพอใจยนิ ดตี ดิ อยูใ นกามคณุ อารมณ ทําใหต องเวยี นเกดิ เวยี นตาย อยางหาท่ีสิ้นสุด  ไมไ ด การรแู จงความเขาถงึ ความดบั ทกุ ข (นิโรธสัจ) คือ นิพพาน เปน การดบั สนิทของตัณหาท่ีเปน  สาเหตุทาํ ใหเกิดทกุ ข และการเวยี นเกดิ เวยี นตาย การรแู จง หนทางทจี่ ะทาํ ใหถงึ นพิ พาน (มรรคสจั )  ไดแ ก มรรคมอี งคอ งคประกอบ ๘ ประการ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทศั นะเรื่องจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ษ๗า๒๓  : 73 แบบฝกหัดประจาํ บท  จงทาํ เครือ่ งหมาย X (กากบาท) หนา ขอที่ถกู ทส่ี ุด  ๑.  เจตสกิ มีลักษณะอยางไร ?  ก.  ธรรมชาตทิ อ่ี าศยั จติ เกิด  ข.  ธรรมชาตทิ ี่ประกอบกบั จติ   ค.  ธรรมชาตทิ เ่ี กดิ พรอมกับจิต  ง.  ธรรมชาตทิ ่เี กดิ พรอ มกับจติ   จ.  ถูกทุกขอ  ๒.  เจตสิกทป่ี ระสาน อารมณ   ทวารและวิญญาณ เขาดวยกัน  ไดแ ก เจตสกิ ดวงใด ?  ก.  ผสั สเจตสิก  ข.  เวทนาเจตสกิ   ค.  สัญญาเจตสิก  ง.  เจตนาเจตสกิ   จ.  วิจารเจตสกิ   ๓.  ความเจ็บปวดที่เกดิ ข้ึน เมอ่ื ถูกโรคภยั เบียดเบียน จดั เปนเวทนาอะไร ?  ก.  โทมนัสเวทนา  ข.  โสมนัสเวทนา  ค.  อเุ บกขาเวทนา  ง.  ทกุ ขเวทนา  จ.  ขอ ก และ ง  ๔.  นายจานทองแท   อานหนงั สือเทย่ี วเดยี วกส็ ามารถจําได  เปน เพราะเจตสิกดวงใด ?  ก.  ผสั สเจตสกิ   ข.  เวทนาเจตสิก  ค.  สญั ญาเจตสิก  ง.  ปญ ญาเจตสิก  จ.  วิรยิ เจตสกิ   ๕.  การทาํ จติ ทฟ่ี ุง ซา น ไมม คี วามสงบ  ใหเปน จิตสงบ เปนหนาทข่ี องเจตสกิ ดวงใด ?  ก.  เจตนาเจตสกิ   ข.  เอกคั คตาเจตสิก  ค.  ชวี ติ ินทรียเ จตสกิ   ง.  มนสิการเจตสกิ   จ.  อธิโมกขเ จตสิก เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

74 : เอกสารประบกทอทบี่ก๒ารทสศัอนนะวเิชรา่อื พงรจะติ ไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๗๓  ๖. คําวา  “นํา้ หยดลงหนิ  หินยังกรอน”  มีความหมายตรงกบั เจตสกิ ดวงใด?  ก.  เจตนาเจตสิก  ข.  อธโิ มกขเ จตสกิ   ค.  วริ ิยเจตสิก  ง.  ฉนั ทเจตสกิ   จ.  มนสิการเจตสกิ   ๗.  คาํ วา  “พอใจทํา”  จดั เปน เจตสกิ ดวงใด?  ก.  โสมนัสเวทนาเจตสกิ   ข.  ปติเจตสิก  ค.  ฉนั ทเจตสกิ   ง.  เจตนาเจตสกิ   จ.  วริ ยิ เจตสกิ   ๘. บางครัง้ คนเรากค็ ดิ ด ี  พูดดี  ทําด ี  บางคร้งั กค็ ิดพดู ทาํ ในส่ิงทไี่ มดี  อะไรปรุงแตงจติ ใหคดิ พูด  และทําส่ิงที่ไมด ี ?  ก.  สง่ิ ภายนอกยว่ั ยุใหคิดพูดทําไมด  ี ข.  ความเครียดในการทาํ งาน  ค.  อกุศลเจตสกิ เปน ตัวปรุงแตง ใหค ดิ พดู ทําไมด  ี ง.  ขึ้นอยูกับพอใจของแตล ะคน  จ.  ถูกทุกขอ  ๙. เจตสิกพวกใดเปน เหตทุ ําใหม นษุ ยก ระทําทุจริตกรรมตา ง ๆ?  ก.  โมจตกุ เจตสกิ ๔  ข.  โลติกเจตสิก ๓  ค.  โทจตกุ เจตสกิ ๔  ง.  ขอ ก และ ค  จ.  ถกู ทุกขอ   ๑๐.  ด.ญ. อมั้  เห็น ด.ญ. สองทา สอบไดค ะแนนดี ครูกช็ ื่นชม  ทําใหไ มช อบเพอ่ื นคนนัน้   แสดงวา  ด.ญ. อัม้  มีเจตสิกดวงใด?  ก.  โมหเจตสกิ   ข.  อิสสาเจตสกิ   ค.  มจั ฉรยิ เจตสิก  ง.  มานเจตสกิ   จ.  โทสเจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเร่ืองจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษ๗า๔๓  : 75 ๑๑. เจตสกิ ตามหลกั พระอภิธรรม แบงเปน ประเภท และจาํ นวนตามขอ ใด ?  ก. ๓ ประเภท ๒๘ ประการ  ข. ๓ประเภท ๓๐ ประการ  ค. ๓ ประเภท ๔๐ ประการ  ง. ๓ประเภท ๕๒ ประการ  จ. ๓ ประเภท ๕๔ ประการ  ๑๒. ขอ ใดจัดอยูใ นประเภทอัญญสมานาเจตสกิ ?  ก. หิร ิ ข. โอตตปั ปะ  ค. โมหะ  ง. เวทนา  จ. สทั ธา  ๑๓. ขอใดจัดอยูในกลุม สัพพจิตสาธารณเจตสิก ?  ก. วติ ก  ข. วิจาร  ค. ชวี ิตินทรยี   ง. ปต  ิ จ. ฉนั ทะ  ๑๔. เจตสกิ ทท่ี ําหนา ทป่ี ระสานระหวา งอารมณ  ทวาร และวิญญาณ ไดแ ก เจตสิก ดวงใด ?  ก. ผสั สเจตสกิ   ข. เวทนาเจตสิก  ค. สัญญาเจตสกิ   ง. เจตนาเจตสิก  จ. เอกัคคตาเจตสิก  ๑๕. เมื่อเห็นคนท่ีเรารกั  ความรสู กึ ดใี จทเี่ กิดข้นึ เปน เวทนาอะไร ?  ก. สุขเวทนา  ข. โสมนัสเวทนา  ค. ทุกขเวทนา  ง. โทมนสั เวทนา  จ. อเุ บกขาเวทนา  ๑๖. นางสาวสะอ้งิ ทิพย  น่งั อยใู นหอ งเรียน ไดยินเสียงพูดของอาจารยที่นอกหอง แลวจําไดอยาง  แมน ยาํ  เปน เพราะเจตสกิ ดวงใด ?  ก. ผสั สเจตสกิ   ข. ชวี ติ นิ ทรียเ จตสกิ   ค. เอกคั คตาเจตสกิ   ง. สัญญาเจตสิก  จ. มนสิการ เจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

76 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอศั นนวะิชเราอ่ืพงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๗๕  ๑๗. เมื่อมคี วามฟงุ ซาน การจะทาํ ใหสงบใจ ตอ งใชเจตสกิ ดวงใด ?  ก. เวทนาเจตสกิ   ข. มนสิการ เจตสกิ   ค. เอกคั คตา เจตสกิ   ง. ชวี ิตนิ ทรยี   เจตสกิ   จ. อธิโมกข  เจตสกิ   ๑๘. คาํ วา “พอใจทํา” เปรียบเทียบไดกับเจตสกิ ดวงใด ?  ก. เวทนาเจตสกิ   ข.วริ ยิ เจตสกิ   ค. ปต ิ เจตสกิ   ง. เจตนาเจตสิก  จ. ฉนั ทเจตสกิ   ๑๙. สงิ่ ทห่ี ลอเล้ยี งจิตและเจตสิกใหดํารงอยไู ด  คอื  เจตสิกใด ?  ก. มนสิการเจตสกิ   ข. เจตนาเจตสิก  ค. ชวี ติ ินทรยี เจตสิก  ง. อธโิ มกข เจตสิก  จ. วจิ ารเจตสกิ   ๒๐. ความเดด็ เดย่ี ว มนั่ คง เหมอื นเสาเขอื่ น ไดแก เจตสกิ ในขอใด ?  ก. มนสกิ าร เจตสกิ   ข. อธโิ มกข เจตสิก  ค. วิรยิ  เจตสกิ   ง. วติ กเจตสกิ   จ. มนสกิ ารเจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทศั นะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษ๗า๖๓  : 77 บทที่ ๔  ทศั นะเร่ืองรปู   ๑. ความหมายของรปู   คําวา  รปู  หมายถึง ธรรมชาติที่แตกดับหรือเส่ือมสลายไป หรือ ธรรมชาติที่แตกสลายไป  ดวยอํานาจของความรอนและความเยน็   อุปาทายรูป ๒๔  หมายถึง รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด  ถาไมมีมหาภูตรูป รูปอ่ืน ๆ ก็จะ  เกิดขน้ึ เองไมไ ด  นปิ ผันนรูป ๑๘ หมายถึง รูปท่ีมีสภาวะของตนเองโดยเฉพาะ เชน ปฐวีธาตุ มีลักษณะ  แขง็  เตโชธาตุ มลี ักษณะรอ น เปนตน   อนิปผันนรูป ๑๐ หมายถึง รปู ทไี่ มม ีสภาวะของตน ตองอาศัยนิปผันนรูปเกิด จึงมีขึ้นได  เชน  ปรจิ เฉทรูป คอื ชอ งวา ง ระหวางรปู ตอ รูป  ๒. ลักษณะเฉพาะของรูป  รูปมลี กั ษณะเฉพาะ ซึง่ แตกตา งจากจิตและเจตสกิ ๔ ประการ คือ  ๑) รูปเปนธรรมชาติทตี่ องแปรปรวนแตกดบั ไป  ๒) รูปแยกออกจากจิตได  ๓) รูปเปน อพั ยากตธรรม คอื ไมใชธรรมชาตทิ เ่ี ปนกุศลหรอื อกศุ ล  ๔) รปู มวี ิญญาณเปนเหตใุ กลใ หเ กดิ   ๓. ประเภทของรูป  รางกายของคนและสัตวน ั้น เม่อื นับโดยแยกออกเปนรูปแลว มี ๒๘ รูป โดยแบงออกเปน  ประเภทใหญ ๒ ประเภท คือ (๑) มหาภูตรปู ๔ กับอปุ าทายรูป ๒๔ และ (๒) นิปผันนรูป ๑๘ กับอ  นปิ ผันนรปู ๑๐ ดังตารางดังตอ ไปนี้ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

78 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสัศอนนะวเิชรา่ือพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๗๗  ๔. คาํ อธบิ ายของรปู ๒๘  กลุม ท่ี ๑ นิปผนั นรูป  รูปท่ีจะกลาวในตอนตนนี้มี ๗ ประเภท รวมได ๑๘ รูป เรียกวา  นิปผันนรูป  คือ  รูปที่มี  สภาวะของตนเอง มีลักษณะ ๓  อยาง คือ ความไมเที่ยงแท (อนิจจัง)  ทนอยูในสภาพเดิมไมได  (ทกุ ขัง) และบังคับบญั ชาไมได (อนตั ตา) ปรากฏใหเห็น มีรายละเอยี ด ดังตอไปนี้  ๔.๑ มหาภตู รูป ๔  มหาภูตรูป ไดแก รูปใหญท ปี่ รากฏชัด มอี ยใู นรา งกายของท้ังสงิ่ ทมี่ ีชวี ติ และไมม ชี ีวิต ไดแ ก  ธาตุท้ัง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ และ ธาตุลม เปนแมธาตุ หรือตนธาตุ ซึ่งเปนใหญแหงรูป  ทงั้ หลาย รูปอ่นื ๆ อีก ๒๔ รปู น้นั จะเกดิ ข้นึ ไดกต็ องอาศยั มหาภตู รปู ทัง้ ๔ น้ี  มหาภูตรปู ทัง้ ๔ คือ ธาตดุ ิน ธาตุน้าํ  ธาตไุ ฟ และ ธาตุลม บางธาตุก็เขากันไดคือเปนมิตร  กัน บางธาตกุ ็เขากันไมไ ดไมเกอื้ กลู กัน คือ เปน ศัตรูซง่ึ กันและกนั  โดยมรี ายละเอียด ดงั นี ้ ธาตดุ ิน กบั  ธาตนุ ้ํา เปน มติ รตอกนั  เพราะธาตุทง้ั สองเปน ธาตุทมี่ ีนํา้ หนกั เหมอื นกนั  เขา กนั   ไดไมขัดแยงกัน เพราะนํ้าจะชวยประสานใหดินเกาะติดกัน เชน  ในการสรางบาน นํ้าจะเปนตัว  ประสานทาํ ใหหนิ  ทราย ปนู ซึง่ เปน ธาตดุ นิ เกาะติดกันสรา งเปนบา นเรือนข้นึ มาได  แมแตพืชที่ปลูก  บนดนิ กต็ อ งอาศัยนํ้าเกอ้ื กลู ทาํ ใหเจรญิ งอกงามขน้ึ มา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทศั นะเรื่องจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึก๗ษา๘ ๓ : 79 ธาตไุ ฟ กบั  ธาตุลม เปนมติ รตอ กัน เพราะธาตุท้งั สองเปน ธาตทุ ่ีเบาเหมอื นกนั  เขา กนั กนั ได  ไมข ดั แยงกันกัน เชน  ในการกอไฟถานเพื่อหุงขาว ก็ตองใชพัดโบกลมชวยใหถานติดเร็ว เวลาไฟ  ไหมล มจะทําใหไฟลุกขยายไปดวยความรวดเร็ว  ธาตุที่เปนศตั รูกนั  คอื  ดนิ  กบั  ไฟ และ น้าํ  กับ ลม เพราะเปนธาตุทม่ี คี วามหนกั เบาตางกัน  จึงขัดแยงกนั นอกจากน ี้ แมใ นธาตเุ ดียวกันก็เปน ศัตรซู ง่ึ กนั และกนั ดวย เพราะในธาตุเดียวกนั นน้ั ม ี ๒ ลักษณะ กลาวคอื  ธาตดุ ินมีลกั ษณะแขง็  หรือ ออน ความแข็งทําลายความออน และความออน  กท็ าํ ลายความแข็งเชน เดยี วกนั  ธาตุนาํ้ มลี ักษณะไหล หรือ เกาะกุมความไหลเปนตัวทําลาย การ  เกาะกุม ธาตไุ ฟมลี กั ษณะรอ น หรอื เยน็ ความรอ นและความเย็น ก็ทําลายกัน ธาตุลมมีลกั ษณะไหว  หรือ เครง ตึงซึ่งเปน ภาวะทีท่ าํ ลายกนั และกนั   ธาตทุ ัง้ ๔ นี้ จะอยูรวมกนั เสมอไมสามารถจะแยกออกจากกนั ได  แมในตวั ธาตุทง้ั ๔ กต็ อง  อาศยั ซ่ึงกนั และกัน โดยมีคําอธิบายตามลําดบั  ดังตอ ไปน้ี  ๑) ปฐวธี าตุ หรอื ธาตุดิน เปนธรรมชาติทม่ี ีลักษณะ แข็ง หรือ ออน ถามีธาตุดินอยูมากก็  จะแข็งมาก  เชน เหล็ก หิน  ถามีธาตุดินอยูนอยก็จะออน เชน ยาง ฟองน้ํา เปนตน แบงเปน  ประเภทยอยอกี ๔ อยาง คอื   (๑) ปรมตั ถปฐวี หรือลกั ขณปฐว ี คอื  ลักษณะท่ีแทจริงของธาตดุ นิ  ไดแก ความแข็งหรือ  ออ นของส่ิงตางๆ ทีส่ ามารถสัมผัส ถูกตอ งไดดว ยกาย  (๒) สมมติปฐวี หรือปกติปฐว ี คอื  ดินทีส่ มมุติขนึ้ เรียก ไดแ ก ดนิ ทั่วๆไปที่เราเรียกกัน  อยใู นโลก เชน แผนดิน พืน้ ดิน ดนิ เหนียว เปนตน   (๓) สสมั ภารปฐวี คอื  ดินที่มีอยใู นรางกาย ไดแก ส่ิงที่มีลักษณะแข็งภายในรางกาย  ของคน และสตั วทง้ั หลาย เชน ผม ขน เลบ็ ฟน  หนงั เนื้อ เอน็  กระดกู  เยือ่ ในกระดูก มามตับ หัวใจ  ปอด ผงั ผืด ไสใหญ ไสนอ ย เปน ตน  (๔) กสินปฐว ี คือ ดนิ ท่นี าํ มาทําเปนแผนวงกลมเทาฝาบาตร เพ่ือนํามาเพงดูเพ่ือทํา  ใหเกดิ สมาธิ ๒) อาโปธาตุ คอื  ธาตุน้าํ  เปน ธรรมชาติท่มี ีลักษณะไหล เอิบอาบ แบงเปนประเภทยอย ๔  อยา ง คอื   (๑) ปรมัตถอาโป หรอื  ลักขณอาโป คือ ลักษณะที่แทจ ริงของธาตนุ ํา้   ไดแ ก  การไหล  ไป หรือการเกาะกมุ ของส่งิ ตา งๆ ซง่ึ ไมสมารถรไู ดโ ดยการเหน็ ดวยตา หรอื สัมผสั ดว ยกาย แตจะรไู ด  ดวยใจเทา นั้น เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

80 : เอกสารประบกอทบทกี่ ๒ารทสอัศนนวะิชเรา่ือพงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๗๙  (๒) สมมตอิ าโป หรือ ปกตอิ าโป คอื  น้ําทสี่ มมุติขน้ึ เรียกกนั ทั่วไป เชน นํ้าดื่ม นํ้าใน  แมน ้าํ  นา้ํ ทะเล เปนตน   (๓) สสัมภารอาโป  คือ นํ้าที่มีอยูในรางกาย ไดแก สวนท่ีเปนของเหลวภายใน  รางกายของคนและสัตว เชน ดี เลือด  เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ มันขน น้ําตา เปลวมัน นํ้าลาย  นา้ํ มูก นํา้ ไขขอ  นํา้ ปส สาวะ เปน ตน   (๔) กสณิ อาโป คอื  นํ้าทน่ี ํามาใสใ นขัน หรอื บอ แลวเพงดูเพ่อื ทาํ ใหเ กดิ สมาธิ  ๓) เตโชธาตุ คอื ธาตไุ ฟ เปนธรรมชาตทิ ี่มีลักษณะรอน เยน็  แบง เปน ประเภทยอย ๔ อยาง  คือ  (๑) ปรมตั ถเตโช หรอื ลกั ขณเตโช คือ ลกั ษณะท่ีแทจริงของธาตุไฟ ไดแก ความรอน  หรือเย็นทม่ี ากระทบกาย ส่งิ ตางๆ จะสกุ งอม ละเอียด นุมนวลได ก็เพราะเตโชธาตุทําใหสุก ออน  หรือนุมนวล เชน อาหารทีเ่ รารับประทาน เปน ตน  (๒) สมมตเิ ตโช หรือปกตเิ ตโช คือ ไฟทสี่ มมุตขิ ้ึนเรยี กกันทว่ั ไป เชน  ไฟฟา  ไฟถาน ไฟ  แกส หุงตม เปน ตน   (๓) สสัมภารเตโช คือ ไฟที่มีอยูในรางกาย  ไดแก ไฟที่มีอยูในคนและสัตว ซงึ่ มี  ลักษณะตางๆในการทําใหรางกายอบอุน ทําใหรางกายแกชรา ทําใหเปนไข รวมทั้งไฟธาตุที่ยอย  อาหาร  (๔) กสณิ เตโช คอื  ไฟท่ีทาํ ขึน้ เพอื่ ใชเ พง  ทาํ ใหเ กิดสมาธ ิ ๔) วาโยธาตุ คอื  ธาตลุ ม เปนธรรมชาติที่มลี ักษณะไหว ตึง แบง เปนประเภทยอย ๔ อยาง  คือ  (๑) ปรมัตถวาโย หรอื ลักขณวาโย คือ ลกั ษณะทีแ่ ทจ รงิ ของธาตุลม ไดแก ความไหว  หรือความเครงตึง เชน การไหวของใบไม การไหวรางกาย การกระพริบตา การตึงของลมในยาง  รถยนต หรอื ลมในทองที่จะทาํ ใหทองตงึ จุกเสยี ด เปน ตน  (๒) สมมติวาโย หรอื ปกต ิ คือ ลมที่สมมติขึ้นเรยี กกันทั่วไป เชน ลมบก ลมทะเล ลม  พายุ ลมทีพ่ ัดไปมาตามปกติ เปนตน  (๓) สสมั ภารวาโย คือ ลมทม่ี อี ยูในรางกาย ไดแก ลมตางๆ ท่ีพัดอยูภายในรางกาย  คอื  ลมท่ีพัดขนึ้ เบ้อื งบน เชน การหาว เรอ ลมทพ่ี ัดลงเบ้อื งต่ํา เชน  การผายลม ลมท่ีอยูในชองทอง  ทําใหปวด เสียดทอง ลมที่พัดอยทู วั่ รางกายทําใหไหวกายไปมาได  และลมหายใจเขา -ออก  (๔) กสณิ วาโย หรอื อารัมมณวาโย คือ ลมที่ใชเปนอารมณในการเพงกสิณ เพื่อให  เกดิ สมาธ ิ โดยการกําหนดเพงเอาธาตลุ มทที่ ําใหเกดิ การไหวของใบไม  ยอดหญา เปนตน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ๘ษ๐า  ๓ : 81 ๔.๒ ปสาทรปู ๕  คําวา ปสาท แปลวา ความใส  ดังนั้น ปสาทรูป  จึงหมายถึง รูปที่มีความใส ม ี ความสามารถในการรบั อารมณ คือ รูป เสียง กล่ิน รส สมั ผสั ได คลายกระจกเงาท่สี ามารถรับภาพ  ตา งๆ ภายนอกได มี ๕ ประเภท คือ  ๑) จกั ขปุ สาทรปู  ไดแ ก  ปสาทตา เปนส่ิงท่ีมีความใสตั้งอยูกลางตาดํา  มีขนาดโตเทาหัว  เหา มีเย่ือตาบางๆ เจ็ดชั้นซอนกันอยู สามารถท่ีจะรับภาพหรือสิ่งตางๆหรือท่ีเรียกวา รูปารมณ  ปสาทตาเปนท่ีปรากฏของภาพท้ังที่ชอบใจและไมชอบใจ ภาพท่ีเห็นลวนแตเกิดมาจากผลของ  กรรมท้งั สน้ิ เม่อื เห็นภาพทดี่ กี ท็ ําใหสบายใจ ซงึ่ เปนผลของกรรมดที ี่ไดก ระทําไว เมอื่ เหน็ ภาพท่ไี มด ี กท็ ําใหไมส บายใจ ซึง่ เปน ผลของกรรมไมดีทีไ่ ดกระทําไว  จักขุปสาทรูปทําหนาท่ี ๒  อยาง  คือ เปนสถานที่เกิดของจักขุวิญญาณจิต หมายถึง  สถานท่ีทีจ่ ิตรับรูภาพ และเปน จักขุทวารวิถี ซึ่งหมายถึงกระบวนการของจิตท่ีเกิดดับติดตอกัน  ทางตา  ๒) โสตปสาทรปู  ไดแ ก  ปสาทหู เปนสิ่งที่มีความใสมีลักษณะเหมือนวงแหวน มีขนสีแดง  เสน ละเอียดอยโู ดยรอบสามารถรบั เสยี งตางๆ หรือท่ีเรียกวา  สัททารมณ  เพราะการกระทาํ  หจู ึงรับ  เสียงทง้ั ทพ่ี อใจและไมพ อใจ ซ่ึงเปน ผลของกระทาํ   โสตปสาทรูปทําหนาท่ี ๒ อยาง  คือ  เปนที่สถานที่เกิดของ โสตวิญญาณจิต  หมายถึง  สถานทที่ ีจ่ ิตรับรูเสียง และเปน โสตทวารวิถี ซ่ึงหมายถึงกระบวนการของจิตท่ีเกิดดับติดตอกัน  ทางหู  ๓) ฆานปสาทรปู  ไดแก ปสาทจมกู เปน สิง่ ทมี่ คี วามใส มีลกั ษณะคลายเทาแพะ สามารถ  รบั กลนิ่ ตา งๆหรือที่เรยี กวา  คนั ธารมณ เพราะการกระทํา จมกู จึงรับกล่ินท้งั ทพ่ี อใจและไมพอใจ  ฆานปสาทรปู ทาํ หนา ท่ี ๒ คือ เปนสถานที่เกิดของ ฆานวิญญาณจิต หมายถึงสถานท่ีที ่ จิตรับรูก ลิน่ และเปน ฆานทวารวถิ ี ซึง่ หมายถงึ กระบวนการของจติ ทเ่ี กิดดบั ติดตอ กันทางจมกู   ๔) ชิวหาปสาทรูป ไดแก ปสาทลิ้น เปนส่ิงที่มีความใส ตั้งอยูทามกลางลิ้น มีลักษณะ  เหมือนปลายกลีบดอกบัว เรียงรายซอนกันเปนชั้นๆ สามารถรับรสตางๆหรือที่เรียกวา รสารมณ  เพราะการกระทาํ  จมกู จงึ ไดร บั รสตางๆท้ังที่ชอบใจและไมชอบใจ  ชิวหาปสาทรปู  ทาํ หนัาท่ี ๒ อยาง คือ เปนสถานที่เกิดของ ชิวหาวิญญาณจิต หมายถึง  สถานที่ท่ีจิตรบั รรู ส และเปน ชวิ หาทวารวิถี ซึ่งหมายถึงกระบวนการของจติ ท่เี กิดดบั ติดตอกนั ทาง  ลิน้ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

82 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสศัอนนะวเิชราื่อพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๘๑  ๕) กายปสาทรูป ไดแก ปสาทกาย เปนสิ่งที่มคี วามใส มีลักษณะคลายสําลีแผนบางๆ ชุบ  นาํ้ มันจนชุมซอ นกันหลายๆ ชั้น สามารถรับสัมผัสตางๆ หรอื ที่เรียกวา โผฏฐัพพารมณ  คือ ธาตุดนิ   ธาตุไฟ และ ธาตุลมได  มอี ยูทัว่ รางกาย ต้งั แตศีรษะถึงเทา  เวนแตปลายเสนผม ขน เล็บ ฟน หรือ  หนังทหี่ นาจะไมม กี ายปสาท เพราะจะไมมีความรูสึก เชน ในเวลาท่ีเราตัดผม ตัดเล็บ จะไมรูสึก  เจ็บ เพราะการกระทาํ  กายปสาทจงึ รบั สัมผสั ทง้ั ทพี่ อใจและไมพอใจ  กายปสาทรูปทําหนาที่ ๒ อยาง คือ  เปนสถานท่ีเกิดของ กายวิญญาณจิต  หมายถึง  สถานที่ทีจ่ ติ รบั รูส ัมผัส และเปน กายทวารวิถี ซงึ่ หมายถึงกระบวนการของจิตที่เกิดดับติดตอกัน  ทางกาย  ๔.๓ วสิ ยรูป หรือ โคจรรปู ๔  วิสยรูป หรือ โคจรรูป หมายถึง สิ่งตางๆ ที่มากระทบทางปสาทรูปทั้ง ๕ เชน ภาพหรือส ี ทมี่ ากระทบทางตา เสยี งทมี่ ากระทบทางหู เปนตน วิสยรูปและโคจรรูปจัดเปนอารมณที่ทําใหจิต  และเจตสิกเกิดขึ้นมารับรปู นัน้ ๆ จนบางคร้งั ทาํ ใหเ กดิ ความพอ ใจอารมณหรือสิ่งท่ีถูกรับรูท่ีดี หรือ  ทาํ ใหเกิดความไมพ อใจอารมณทไ่ี มด ี วสิ ยรปู  มี ๔ ประเภท สวนโคจรรูปมี ๗ ประเภท คอื   ๑) วัณณรูป หรือ รูปารมณ ไดแก สีตางๆ ที่เห็นไดดวยตา เชน สีแดง เหลือง เขียว ขาว  เปนตน เม่ือเห็นสีแลวก็จะสงความรูสึกไปทางใจ  ใหรูถึงรูปรางลักษณะผิวพรรณสัณฐานตางๆ  ๒) สทั ทารมณ ไดแ ก เสียงท่ีมากระทบทางหู ทําใหเกิดการไดยิน ถาเสียงดีไพเราะก็เกิด  ความพอใจ ถาเสยี งไมดีไมไ พเราะ เชน  เสียงดา กท็ ําใหเกดิ ความไมพอใจ  ๓) คันธารมณ ไดแก  กล่นิ  ซ่ึงเปนไอระเหยของวตั ถุตา งๆ ที่มากระทบกับจมูก ทําใหรูกลิ่น  กล่นิ หอมของดอกไม เปนตน   ๔) รสารมณ ไดแ ก  รสตา ง ๆ เชน  รสเปร้ยี ว หวาน เคม็  เผด็  ขม ฝาด ทีป่ รากฏท่ีลิ้น  ๕) โผฏฐพั พารมณ ไดแก ส่งิ ทีม่ ากระทบกบั รางกาย มี ๓ อยา ง คอื   (๑) ปฐวโี ผฏฐัพพารมณ  ไดแ ก ความแข็ง หรอื  ออน  (๒) เตโชโผฏฐพั พารมณ  ไดแก  ความรอ น หรอื เยน็   (๓) วาโยโผฏฐพั พารมณ  ไดแก  ความหยอน หรอื ตงึ   ลกั ษณะท่ีกลา วมาทงั้ หมดนัน้ เปนลกั ษณะท่แี ทจริงของธาตุดนิ  ธาตุไฟ ธาตลุ ม นนั่ เอง แต  เราไมสามารถสัมผสั ธาตนุ ํา้ ไดด วยทางกาย แตสัมผัสหรือรไู ดโ ดยทางใจเทาน้นั   การเรียกวา  วิสยรูป ๗ เพราะรวมโผฏฐัพพารมณ ๓ อยางขางตนเขามาในวิสยรูปท้ัง ๔  คือ  รปู ารมณ  สทั ทารมณ คันธารมณ  และรสารมณ จึงรวมเปน ๗ อยา ง เพราะทง้ั หมดน้ันลวนเปน   อารมณใหแ กจิตและเจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึก๘ษา๒ ๓ : 83 สวนทเี่ รยี กวา  โคจรรูป เพราะ รปู  เสยี ง กลิ่น รส สมั ผัสทัง้ ๔ เปนทโ่ี คจร หรือ ทองเท่ียวไป  ของจติ และเจตสิก เหมือนกับโคที่ชอบทอ งเทย่ี วไปกินหญา ในท่ี ๔ แหง  ๔.๔ ภาวรปู ๒  ภาวรูป หมายถึง สิ่งทีแ่ สดงความเปน หญงิ หรอื ชาย มี ๒ ประเภท คอื   ๑) อติ ถภี าวรูป  คอื  รปู ที่แสดงความเปน เพศหญิง  ๒) ปุริสภาวรูป คือ  รูปทีแ่ สดงความเปนเพศชาย  รปู ท้ัง ๒ เปน รูปทล่ี ะเอยี ด เกิดจากกรรม เปนสงิ่ ทเ่ี กิดขึ้นครั้งแรกในชวี ิต มอี ยูแผซ านไปทั่ว  รางกาย เปน ส่งิ ท่ีรับรูไดดวยใจเทา นั้น ไมสามารถเหน็ ไดดว ยตา เพราะตาเหน็ ไดเฉพาะสีเทา นน้ั ไม  สามารถเหน็ รูปทีล่ ะเอียดได  การทีเ่ รารูวา บคุ คลใดเปนหญิงหรือชาย ตอ งอาศยั สง่ิ ทเ่ี ปนเครอื่ งแสดง ๔ อยาง ไดแ ก  ๑) รปู รา งสัณฐาน หรือ ลิงค ไดแก รูปราง หนา ตา แขนขา รวมไปถงึ เครอ่ื งหมายเพศดว ย  ๒) เครื่องหมาย หรือ นิมติ  ไดแ ก หนวด เครา หนาอก ซ่งึ มีแตกตางกันอยางชัดเจน  ๓) นิสยั หรอื  กตุ ต ไดแ ก อปุ นิสยั   การเลน  การแสดงออก เปนตน   ๔) กริ ยิ าอาการหรือ อากัปป ไดแก  กิริยาอาการตาง ๆ เชน การยืน การเดิน การพูด เปน  ตน ถา เปนหญิงจะกเ็ รยี บรอ ย มคี วามละอาย ออนโยน นุมนวล ขี้กลัว ตกใจงาย ถาเปนชายก็จะ  แขง็ กระดาง กลาหาญ เปนตน   ๔.๕ หทยรปู ๑  หทยรูป ไดแก  หัวใจของส่ิงมชี วี ิต เปน ที่ตั้งของจิตและเจตสิกของสิ่งมีชีวิต หทยรูปน้ี เกิด  มาจากกรรม ต้ังอยูในชองเนื้อหัวใจ มีลักษณะเปนบอ มีโลหิตเปนนํ้าเลี้ยงหัวใจอยูประมาณ ๑  ซองมือ มีขนาดเทาเมล็ดบุนนาค  เปนสถานที่เกิดของการตัวรู (มโนธาตุ) และการการรับรูท่ีใจ  (มโนวญิ ญาณธาตุ) หทยรปู น้ี ๒ อยาง คือ  ๑) มงั สหทยรูป ไดแก กอ นเนอ้ื ท่เี ปนหวั ใจ มลี กั ษณะคลา ยดอกบัวตูม  ๒) วัตถุหทยรูป ไดแ ก สง่ิ ท่ีอยูในมงั สหทยรปู อกี ชน้ั หนึ่ง  ๔.๖ ชีวิตรปู ๑  คาํ วา ชีวิต มี ๒ อยาง คือ รปู ชีวติ  และ นามชีวติ รูปชีวติ  ไดแ ก  ชีวิตรูปนีเ้ อง สวนนามชีวิต  ไดแ ก ชีวติ ินทรยี เจตสกิ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

84 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะชิเราือ่ พงรจะิตไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๘๓  ชีวิตรปู ไดแ ก  สง่ิ ทท่ี ําใหส่ิงมีชวี ติ ไมว าจะเปนคนหรือสัตวมีชีวิตอยูไดไมตายมา เปนส่ิงท่ ี เกิดมาจากกรรม เปนสงิ่ ทท่ี าํ ใหคนและสัตวมีชวี ิตอยูไ ดเ พ่อื สรา งกรรม คอื บุญ บาปกนั ตอไปไมมที  ่ี สนิ้ สุด  ๔.๗ อาหารรปู ๑  อาหารรูป  คือ สารอาหารหรือเรียกวา โอชา ที่บํารุงเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย ทําให  เจรญิ เตบิ โต ซึง่ เกดิ จากอาหารทรี่ ับประทานเขาไปประจาํ วนั นีเ้ อง เพราะเมอ่ื เรารบั ประทานแลว ก็  จะเกิดกระบวนการยอยดว ยไฟธาตทุ ี่เรียกวา ปาจกเตโชธาตุ  นําไป สวนอาหารที่รับประทานเปน  คาํ  ๆ ท่ยี ังไมยอ ยเปน โอชา ช่อื วา กพฬกี าราหาร  รูปทงั้ ๑๘ ประเภทเหลาน้ ี มที ่ตี ้งั แตกตางกัน รปู ที่อยกู ระจายท่วั รางกาย นั้นมี ๑๒ รูป คือ  มหาภตู รปู ๔ กายปสาทรูป ๑ วัณณรูป ๑ คันธรูป ๑ รสรูป ๑ ภาวรูป ๒ ชีวิตรูป ๑  อาหารรูป ๑  รปู   สว นรปู ทเี่ กิดเฉพาะที่ มี ๖ ประเภท คอื จักขปุ สาทรูป (ปสาทตา) โสตปสาทรูป (ปสาทหู)  ฆานปสาทรปู (ปสาทจมูก) ชวิ หาปสาทรูป (ปสาทล้นิ ) สทั ทรูป (เสียง) และหทยรูป (หัวใจ)  กลุมท่ี ๒ อนิปผนั นรูป  อนิปผันนรูป  เปนรูปท่ีไมใชรูปแท เพราะเปนรูปที่ไมมีสภาวะประจําตัวโดยเฉพาะ  ไมมี  สามัญลักษณะท้ัง ๓ ประจาํ อย ู คือ ความไมเที่ยงแท (อนิจจัง)  ทนอยูในสภาพเดิมไมได (ทุกขัง)  และบังคบั บัญชาไมได (อนัตตา) ไมมีการแตกดับสลายไป ดวยความเย็นหรือความรอน เหมือน  นิปผันนรปู ดงั กลาวมาแลวขางตน  อนิปผนั นรปู ตอ งอิงอาศัยนิปผันนรูป จึงจะเกดิ ขึ้นได ถา ไมม นี ปิ ผนั นรูปแลว อนิปผันนรปู ก็  เกดิ ข้ึนไมไ ด  เชน ปรจิ เฉทรปู  คอื  ชอ งวา ง ตัวอยางเชน น้ิวมือ หรือน้ิวเทา ถานิ้วมือหรือนิ้วเทาติด  เปน แผนเดยี วกัน เรากน็ บั ไมไ ดว านิ้วมือมี ๕ นว้ิ  หรอื นวิ้ เทามี ๕ นิ้ว ชอ งวางจึงจัดเปนรูปๆ หนง่ึ  ซงึ่   ทําหนาท่คี ่นั ไมใหส่งิ ท้งั หลายตดิ กันเทาน้นั ทําใหนบั เปนจํานวนได  ดงั นัน้  ชอ งวา ง จึงไมจ ัดเปนรูป  ท่ีแทจริง  ดังน้ัน อนิปผันนรูปท้ังหมดจึงไมสามารถท่ีจะนับเปนจํานวนอยางนิปผันนรูปดังกลาว  มาแลว ได  อนิปผันนรูป จดั เปนรูป ๔ หมวด คอื  ปริจเฉทรปู   วิญญัตริ ูป  วกิ ารรูป ลักขณรูป รูปทั้ง ๔  หมวดนี้ยังอาจเรียกไดวาอรูปรูป ไดอ ีก เพราะรูปเหลาน้ีไมปรากฏรูเปนลักษณะเลย เราจะรูรูป  เหลานี้ไดตอ งอาศัยรูปที่ปรากฏรูปเปนลักษณะ ความแตกดับของรูปเหลาน้ีแมจะไมปรากฏโดย  ลําพังตนเอง ก็ปรากฏตามรูปที่มีรูปเปนลักษณะ เพราะอาศัยรูปที่มีรูปเปนลักษณะเปนไป สวน เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ๘ษา๔ ๓ : 85 การที่เรียกอนิปผันนรูปเหลาน้ีวา อรูป ก็ไมไดหมายความวาเปนรูปที่ไมมีรูป คือรูปท่ีไมปรากฏ  ความแตกดบั โดยชดั เจน แตปรากฏความแตกดับไปตามรูปทป่ี รากฏรูปเปนลกั ษณะโดยชดั เจน  ๔.๘ ปรจิ เฉทรูป ๑  ปริจเฉทรูป  คือ ชองวางในกาย รูปประเภทน้ีไดแกอากาศหรือชองวางเปนท่ีกําหนดใน  ระหวางรูปทง้ั สองเพื่อไมใ หต ิดตอ กัน  ๔.๙ วญิ ญัติรูป ๒  วิญญัติรูป คือ รูปที่แสดงใหผูอื่นรูความหมายหรือรูความประสงค วิญญัติรูปจะ  เคลื่อนไหวตอ งมจี ิตส่งั งานใหเคลอ่ื นไหวทางกาย ทางวาจา น่ังนอน ยืน เดิน พูดเสียงดัง พูดคอย  พดู เพราะ พูดไมเ พราะ ก็อยูท่วี ญิ ญตั ิรูป โดยจติ ส่ังรปู ชดุ นีใ้ หท ํางาน มี  ๒ ประเภท คอื   ๑) กายวญิ ญตั ิ คือ การเคลอ่ื นไหวของรูปใหร คู วามประสงคท างกาย ไดแก  กิริยาแหงกาย  ท่แี สดงออกเพื่อใหรูความหมาย เชน การพยักหนารับคํา ส่ันศีรษะปฏิเสธ หรือความเคล่ือนไหว  แหงกาย มกี ารกาวหนาและถอยหลงั เปน ตน  ๒) วจีวิญญัติ คือ การเคลื่อนไหวของรูปทางวาจา ใหรูความประสงคทางวาจา ไดแก  กริ ยิ าอาการแหงวาจาที่เปลง ถอ ยคําใหผอู น่ื รูค วามหมาย  ๔.๑๐ วกิ ารรูป  ๓  วกิ ารรูป คือ รูปท่แี สดงอาการพิเศษของนปิ ผนั นรูปใหปรากฏมี  ๓ ประเภท คือ  ๑)  ความเบาแหง รปู   ไดแก  ความสละสลวยแหง รูป  มีความไมห นัก  มีความคลองแคลว  เรียกวา  ลหตุ ารปู   ๒) ความออ นแหง รปู  ไดแก  ความไมแขง็ กระดาง ความไมขดั ของในกิริยาท้ังปวง  เรียกวา  มทุ ุตารปู   ๓) ความควรแกการงานแหงรูป คือ ความคลอยตามความกระทําของรางกาย  เรียกวา  กมั มัญญตารูป  วิการรูปท้ัง ๓ น้ีอาศัยธาตุทั้ง ๔ เมื่อธาตุทั้ง ๔ เปนปกติ ความเบา ความออน ความ  คลอ งแคลว ของรปู ยอ มเปน ไปดี  วกิ ารรปู ทัง้ ๓ น ้ี ขณะเกิดข้นึ ยอ มเกิดข้ึนพรอมกัน ตางแตอาการ  กัน วิการรูปเกิดพรอมหรือไมเกิดพรอมกันกับวิญญัติรูปก็ได ถาวิญญัติรูปเกิดพรอมวิการรูป  วิญญัติรูปนั้นก็จะมีความเบา ความออน ความควรแกการงานก็จะเกิดข้ึนทันที กลาวคือ การ  เคลอื่ นไหวทางกายก็จะรูสึกเบา ออนโยน คลองแคลว ควรแกการงาน การเคล่ือนไหวทางวาจา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

86 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะชิ เราอื่พงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๘๕  เชน การพูด การบรรยาย ก็จะมีความเบา ความออนโยน ความคลอ งแคลว ควรแกการงานเกิดข้ึน  ทนั ที วกิ ารรปู ตองเกิดข้ึนแกสงิ่ มชี วี ติ เทานั้น สิ่งไมม ชี วี ิตไมม ีวกิ ารรูป  ๔.๑๑ ลกั ขณรปู   ๔  ลกั ขณรูป คอื  รปู ทแ่ี สดงความเกดิ ขนึ้  ความเจรญิ  ความเส่ือม และความดับไปใหปรากฏ  มี ๔ ประเภท คอื   ๑) อปุ จยรูป ไดแก  ความเติบข้ึน ความเกิดขึ้นเจริญขึ้นแหงรูป ต้ังแตแรกเกิดจนเติบโต  ปรากฏรปู รางลกั ษณะสมบรู ณ  ๒) สันตตริ ปู  ไดแก ความสืบเน่อื งตอ แหงรปู ตอ จากนน้ั  โดยไมเขา ไปตดั รอนรปู เกา คอื การ  เกิดข้ึนเจริญขึ้นแทนรูปเกา เชนขนเกาหลุดลวงไป ขนใหมขึ้นแทนหรือความเปนเด็กเล็กออน  หายไป ความเปนเด็กเติบโตเกิดแทน ความเปนเด็กเติบโตหาย ความเปนหนุมเปนสาวเกิดแทน  เปนตน ความตอเน่อื งกันโดยไมท าํ ลายตดั รอนรปู เกา ใหปรากฏ  ๓) ชรตารูป ไดแก   ความทรดุ โทรม ครา่ํ ครา ของรปู  ซง่ึ เขา ไปขัดขวางหรือตัดรอนความสืบ  ตอเน่ืองของรูปไมใหเปนไปดวยดี ทําใหมีความเปลี่ยนแปลงแหงสันตติรปู ปรากฏข้ึน เชนความ  หงอมแหงรูปกาย ความเหย่ี วยนเปนร้วิ รอยแหงผิวหนัง ความเส่อื มถอยแหง เรยี วแรง เปน ตน แสดง  ใหเ ห็นวาสันตติรปู ทําหนาทข่ี องตนไมไ ด  หรือเสอ่ื มกาํ ลงั  เพราะชรตารปู เกดิ ขน้ึ ตัดรอน  ๔) อนิจจตารูป ไดแก ความไมย่ังยืน  ไมเท่ียงถาวร ต้ังอยูตามสภาพไมไดนาน มีความ  ปรากฏข้ึนแลว  ยอ มมคี วามเส่อื มสลายแตกดับไปเปนธรรมดา เพราะรูปธรรมนี้อาศัยเหตุปรากฏ  ข้ึน เมอื่ สิน้ เหตกุ ็สลายไป ไมมีรูปธรรมใดจะตั้งอยูยั่งยืนตลอดกาล โดยเฉพาะรูปรางกายของคน  และสัตว ยอ มเปน สภาพทแี่ ตกสลายงาย และมรี ะยะเวลานอยนิดเดียว ไมม ีความเทีย่ งแทถ าวร ไม  ตัง้ อยนู าน เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเรือ่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ษ๘า๖๓  : 87 แบบฝก หดั ประจาํ บท  จงทาํ เคร่ืองหมาย X (กากบาท) หนา ขอ ทถ่ี กู ทสี่ ุด  ๑. ขอ ใดตอ ไปน ้ี คอื ความหมายของคําวา  รปู ตามพระอภธิ รรม ?  ก. ส่งิ ทไี่ มม ีตวั ตน  ข. ส่ิงที่ไมมีจติ   ค. สิง่ ทแ่ี ตกดบั หรอื ผนั แปร  ง. สง่ิ ท่ีไมเท่ียงแท  จ. ขอ ก และ ง ผดิ   ๒. ขอ ใดตอ ไปนอ้ี ยใู นประเภทนิปผนั นรูป ?  ก. ปริจเฉทรปู ๑  ข. ลกั ขณรูป ๔  ค. ปสาทรูป ๕  ง. หทยรูป ๑  จ. ขอ ค และ ง ถูก  ๓. ขอใดตอไปน ี้ จัดอยูใ นประเภท อนปิ ผันนรูป ?  ก. ปสาทรปู ๕  ข. หทยรูป ๑  ค. ภาวรปู ๒  ง. มหาภตู รูป ๔  จ. วิญญตั ริ ปู ๒  ๔. ธาตุดนิ ในรางกายของมนษุ ย คอื  อวยั วะใด ?  ก. เสลด  ข. มนั ขัน  ค. อาหารเกา  ง. หนอง  จ. ถูกทกุ ขอ  ๕. ดินทีใ่ ชในการทําไรไถนา จัดเปน ธาตดุ ินประเภทใด ?  ก. ดินแท  ข. ดนิ สมมติ  ค. ดินในรา งกาย  ง. ดินธรรมดา  จ. ขอ ก และ ข  ๖. น้าํ ดื่ม นํา้ ในแมน ้ํา จัดเปน ธาตุน้าํ ตามขอใด ?  ก. นํา้ แท  ข. น้าํ สมมต ิ ค. นํา้ ในรางกาย  ง. น้ําธรรมดา  จ. ขอ  ข และ ค เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

88 : เอกสารประบกทอบทกี่ ๒ารทสศัอนนะวชิเราือ่ พงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๘๗  ๗. ขอ ใดตอไปน ้ี จดั เปน ไฟแท ?  ข. ไฟฟา   ก. ไฟถา น  ง. ไฟทที่ ําใหก ายอุน  ค. ความรอ น–เย็น  จ. ไฟทยี่ อยอาหาร  ๘. ขอใดตอ ไปน ้ี จัดเปน ลมแท ?  ข. ลมบก  ก. ความไหว– ตึง  ง. การผายลม  ค. ลมทะเล  จ. การเรอ  ๙. ขอใดตอไปน ้ี จดั อยูในกลุม ปสาทรปู ?  ก. ตา  ข. ห ู ค. จมกู   ง. กายปสาท  จ. ถูกทกุ ขอ  ๑๐. รูป เสียง กลนิ่  รส จดั อยใู นรปู กลุมใด ?  ก. ปสาทรปู   ข. มหาภูตรปู   ค. วิสยั / โคจรรูป  ง. นิปผนั นรปู   จ. ขอ ก และ ค  ๑๑. ภาวรปู  มสี ง่ิ ใดเปน เคร่อื งแสดงใหท ราบ ?  ก. รปู รางสณั ฐาน  ข. เคร่อื งหมายเพศ  ค. อุปนสิ ัย  ง. กิรยิ าอาการ  จ. ถกู ทกุ ขอ   ๑๒. กอ นเนอ้ื ในหัวใจ รูปรา งคลา ยดอกบัวตูมท่แี กะกลีบนอกออกแลว  ขนาดประมาณเทากํามือ มี  สคี ลายกลบี บัวแดง เรียกวา ?  ก. หวั ใจ  ข. หทยวตั ถุ  ค. หทยรปู   ง. ชวี ติ รปู   จ. ชวี ติ ินทรีย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทศั นะเร่อื งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๘ษา๘ ๓ : 89 ๑๓. อาหารรปู  ไดแก อาหารในขอ ใด ?  ก. แกงไก  ข. ลาบเลือด  ค. ลาบปลาดุก  ง. กอยกุง  จ. สารอาหาร  ๑๔. ขอ ใดตอ ไปน้ี จดั เปน กายวญิ ญตั ิรปู ?  ก. การวง่ิ   ข. การเดนิ   ค. การพยักหนา   ง. การนง่ั   จ. ถูกทกุ ขอ   ๑๕. ความเจรญิ เตบิ โตของรูปตงั้ แตแรกเกดิ เตบิ โตจนปรากฏรปู รา งสมบรู ณ  เรียกวาอะไร ?  ก. อปุ จยรปู   ข. สนั ตตริ ูป  ค. ชรตารูป  ง. ทกุ ขตารปู   จ. อนจิ จตารูป  ๑๖. การทข่ี นเกาหลุดรว งไป ขนใหมเ กดิ ขนึ้ แทน หรือความเปนเด็กเล็กหาย ความเปนเด็กโตเกิด  แทน เรยี กวา อะไร ?  ก. อนิจจตารปู   ข. อปุ จยรปู   ค. ทุกขตารปู   ง. ชรตารูป  จ. สันตตริ ูป  ๑๗. ความลดนอ ยเสื่อมถอยของเรีย่ วแรง ริ้วรอยของผวิ หนัง เรียกวาอะไร ?  ก. สันตตริ ปู   ข. อปุ จยรปู   ค. ทุกขตารูป  ง. อนิจจตารูป  จ. ชรตารปู   ๑๘. ความมีปรากฏขึน้ แลว  เสอ่ื มถอย แตกดับไปไมถ าวร เปน ลกั ษณะของรูปใด ?  ก. อนัตตารปู   ข. อุปจยรปู   ค. ทกุ ขตารูป  ง. อนิจจตารูป  จ. ชรตารูป เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

90 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะิชเราือ่พงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๘๙  ๑๙. ขอใดตอไปน้จี ดั เปน กายวญิ ตั ตริ ูป ?  ก. การพดู   ข.การเดิน  ค. การตะโกน  ง. การพยักหนา  จ. ขอ  ข และ ง ถูกตอง  ๒๐. ความไมแ ข็งกระดา ง ความไมขัดขอ งในกริ ิยาท้งั ปวง จดั เปนรูปอะไร ?  ก.อปุ จยรูป  ข. ลหตุ ารปู   ค.มทุ ุตารปู   ง. กมั มัญญตารปู   จ. อนิจจตารูป เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทัศนะเรอ่ื งจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๙ษ๐า ๓ : 91 บทท่ี ๕  ทศั นะเร่อื งนิพพาน  ๑. ทกุ ข ๑๐ ประการ  ตามหลักอริยสัจ ๔ ขอที่ ๒ คือ สมุทัยอริยสัจ ไดแก สาเหตุของทุกขน้ัน ไดแก ตัณหา  เพราะเปนสาเหตุใหทุกขเ กดิ  หรอื เปน แดนเกิดแหงทุกข  ตัณหาน้ันรูเหน็ ไดยาก ไมปรากฏแจม แจง  เหมอื นทกุ ข   สว นทุกขซ ึ่งเปน ผลนัน้ ปรากฏแจม แจง ดังนั้น ในอรยิ สัจ ๔ ประการ ทา นจึงแสดงทุกข  กอ น โดยทกุ ขน ้ันจดั เปนหมวด ได ๑๐ หมวด คอื   ๑) สภาวทุกข  ไดแ ก ทกุ ขทีม่ ปี ระจําสังขารอยเู ปนปกติ คอื  ชาต ิ ชรา มรณะ  ๒) ปกิณณกทุกข ไดแก ทุกขจรหรือทุกขที่เกิดข้ึนเปนบางครั้งคราว คือ ความแหงใจ  (โศก) ความสะอืน้ อาลยั หรอื ความครํ่าครวญ (ปรเิ ทว) ความเจบ็ กาย (ทกุ ข) ความเสยี ใจความเจบ็   ใจ (โทมนัส) ความคับแคน ใจ (อุปายาส)  ๓) นพิ ัทธทุกข  ไดแก ทกุ ขท ่ีเกิดเปน ประจํา คอื  หนาว รอ น หิว กระหาย ปวดอจุ จาระ ปวด  ปส สาวะ  ๔)  พ ยา ธิ ทุก ข   ไ ด แก  ทุ กข เ วท นา มีต า งๆ  ท่ี เ กิด จ า กก า รท่ี อวั ยว ะ ตา งๆ  ไ ม ทํา หน า ท่ี  ตามปกติ  ๕) สันตาปทุกข ไดแกความรอนรุม คือ ความกระวนกระวายภายในเพราะถูกไฟกิเลส  กลา วคือ ราคะ โทสะ โมหะ เผา  ๖) วิปากทุกข  ไดแก ทุกขซ่ึงเปนผลกรรม คือ ความความเดือดรอนใจ ซึ่งเกิดจากการ  เสวยผลของกรรมกชัว่ ท่ตี นไดท าํ เอาไว  ๗ )  สห ค ต ทุ ก ข  ได แ ก  ทุ ก ข ท่ี ม าคู กั น  ห รื อทุ ก ขท่ี กํ ากั บ กั น  คื อ  ทุ ก ขซ่ึ ง เ กิ ด จ าก ก า ร  เปลี่ยนแปลงของสงิ่ ทีป่ รารถนามาเปนสง่ิ ทไ่ี มนาปรารถนา หรือเรียกวา วิปริณามทุกข เชน เส่ือม  ลาภ เส่ือมยศ เปน ตน  ๘) อาหารปรเิ ยฏฐิทกุ ข ไดแก ทุกขท ่เี กิดมาจากความยากลําบากในการการทํามาหากิน  เลยี้ งชวี ติ   ๙) วิวาทมูลกทุกข ไดแก ทุกขที่เกิดจากการทะเลาะวิวาท คือ  ความกลัวแพ ความ  หวาดหวัน่  เปนตน   ๑๐) ทุกขขันธ ไดแก ทุกขรวบยอดหรือกองทุกข คือ ขันธ๕ เพราะเปนท่ีรวมแหงทุกขท้ัง  ปวง เพราะทุกขห มดทกี่ ลาวมานนั้ อาศยั ขนั ธ ๕ น้เี กิดขน้ึ  เจรญิ ขึ้นและเปน ไป เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

92 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอัศนนวะชิ เราื่อพงรจะิตไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๙๑  ๒. ความหมายของนพิ พาน  ตามรปู ศพั ท คําวา นิพพาน มาจากคําวา น ิ แปลวา พนจาก, ไมมี และคําวา วาน แปลวา  ตัณหา รวมความจึงแปลวา  ธรรมทพี่ นจากตณั หา  ตามเนื้อความ นิพพาน หมายถึง สภาวะส้ินทุกข หรือพนทุกข คือพนจากตัณหาซ่ึงเปน  ตนเหตุแหงทุกข ซ่ึงมีผลคือความสงบสุขหรือสันติสุข หรืออาจจะกลาวไดวา ความสิ้นไปแหง  ตณั หาก็คือนิพพานน่นั เอง  หรอื อาจจะหมายถงึ  ธรรมเปน เหตสุ ้ินไปแหงราคะ ธรรมเปนเหตุสิ้นไป  แหงโทสะ ธรรมเปน เหตุส้ินไปแหงโมหะ ก็ได  การท่นี ิพพานมีความหมายเชนน ี้ เพราะทุกขท้ัง ๑๐ ประการน้ันเกิดจากตัณหา ซ่ึงไดแก  ความทะยานด้นิ รนอยากได อยากพน อยา งแรง มี ๓ ประเภท คอื   ๑) กามตัณหา ไดแก ความอยากมี อยากไดใน การแสหาอารมณทีช่ อบใจ  ๒) ภวตัณหา ไดแก ความอยากเปน สิง่ นนั้ ส่งิ นี ้ ๓) วภิ วตัณหา ไดแ ก  ความไมอยากเปน  ความอยากหลดุ พน ไปจากสภาพท่เี ปนอยู  ตัณหา ๓ ประการน ี้ คอื  ตัวกิเลสท่ีเปนเหตุใหทํากรรม เม่ือทํากรรมแลว กรรมยอมใหผล  ตามสมควรแกกรรมท่ีไดกระทําลงไป เมื่อไดรับหรือเสวยผลของกรรมเขาแลว  กิเลสก็เกิดข้ึนอีก  แลวใหทํากรรมใหมอีก  ผลหรือวิบากกรรมก็เกิดขึ้นเวียนกันไปอยูเชนน้ี การวนเวียนอยางน ้ี เรยี กวา วัฏฏะ ซง่ึ แปลวา  วนเวยี น  ความขาดสายของวัฏฏะจะเกิดขึ้นได เพราะสาเหตุขาดส้ินลง  ดังนั้น เม่ือตัณหาซึ่งเปน  กเิ ลสขาดส้ินลงเมือ่ ใด การวนเวยี นของวฏั ฏะกข็ าดลงเม่อื นน้ั  ตัณหาคือกเิ ลสวัฏฏะเปนตน เหตุของ  การเวยี นวา ตายเกิด  สว นความสิ้นตัณหาก็คือความขาดตอนแหงกิเลสวัฏฏะ  ซ่ึงจะตัดขาดไดก ็ ดว ยความเปนพระอรหันตเทานั้นหรือท่ีเรียกวา การบรรลุพระนิพพาน ซึ่งมีผลคือสันติสุข สุขอัน  สงบหรอื บรมสุข สขุ ยิ่งยวด เหตุทุกขท้ังสิ้นซึ่งมีอุปาทานขันธเปนที่รวมยอดสูญสิ้นไป เพราะเหตุ  ตัณหาอันเปน แดนเกดิ แหง ทุกขถ กู ทาํ ลายแลวโดยสิน้ เชงิ   ๓. สภาวะของนพิ พาน  ลกั ษณะโดยทัว่ ไปของนิพพานมเี พยี งหนึ่งเดียวเทาน้นั  คอื  อนัตตลักษณะ เพราะนิพพาน  เปน สิ่งวางเปลา ปราศจากตวั ตน บงั คับบัญชาไมไ ด ไมมกี ารเกิด แก เจบ็  ตาย  สวนลกั ษณะเฉพาะ (วิเสสลักษณะ) ของนิพพานมี ๓ ประการ คือ มีความสงบจากเพลิง  ทกุ ข มีความไมแ ตกดับ ไมมีนิมติ เครอื่ งหมายและมคี วามออกไปจากภพเปนผล  สภาวะของนิพพานท่กี ลา วแลวขา งตนนนั้  มีความหมาย ดังน ้ี คือ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๙ษ๒า  ๓ : 93 ๑) ปทํ แปลวา นิพพานเปนธรรมชาตชิ นิดหนง่ึ ทเี่ ขา ถงึ ได  ๒) อจฺจุตํ แปลวา นิพพานเปนธรรมไมต าย ไมม คี วามเกิด และไมม คี วามตาย  ๓) อจจฺ นตฺ ํ แปลวา  นพิ พานกาวลวงขันธ ๕ ทเ่ี ปน อดตี และอนาคต เปน สง่ิ ท่พี นกาลทง้ั ๓  ๔) อสงฺขตํ แปลวา นิพพานไมถูกปรุงแตงดวยปจจัย หมายความวา นิพพานนี้ไมใชจิต  เจตสกิ  รปู  เพราะสงิ่ เหลา นีเ้ ปนสภาวธรรมทเี่ กิดขึน้ โดยมปี จจัยปรงุ แตง แตน พิ พานเปน สภาวธรรม  ท่ีปราศจากการปรงุ แตง  ๓. ผลของพระนพิ พาน  ผลของพระนิพพาน มีเพียงอยางเดียว คือ ความส้ินทุกขโดยประการทั้งปวงแลว ดังนั้น  นิพพาน จงึ มีประเภทเดยี ว คือ สันติสขุ  หรือบรมสขุ   ดังพระพทุ ธพจนในพระธรรมบทวา  นตฺถิ สนตฺ ิปร ํ สุขํ  แปลความวา  สขุ อื่นจากสขุ ท่ีเกดิ จากความสงบ ยอมไมมี  นพิ พาน ํ ปรม ํ สขุ  ํ  แปลความวา นพิ พานเปนสุขอยา งยงิ่ ยวด  จากพระพุทธพจนขา งตน น ้ี มคี วามหมายวา นพิ พานเปน  สขุ ที่ปราศจากเครือ่ งลอ (อามิส)  พาใหตดิ  ใหห ลงใหมวั เมา หรือเรียกวา  นริ ามิสสขุ  เพราะนิพพานเปนสภาวะท่ีปราศจากจากธรรม  ท่ีประกอบไวใ หติด ใหหลง ใหมวั เมา ท่ยี ดึ สตั วไ วใหหลง ใหต ิด ใหมวั เมา อยใู นกาม ในภพ เปน ตน  ซงึ่ เปนเหตหุ มกมนุ อยใู นกองทุกขโ ดยประการทง้ั ปวง นิพพานปราศจากธรรมเหลาน้ี เปนธรรมอัน  ยิ่งยวดกวา ธรรมท้ังหลาย  ดงั นั้น เม่อื กลา วโดยผลคือความสงบสุขหรือบรมสุข นิพพาน จึงมีความหมายวา สภาวะ  เปนทีด่ บั เพลงิ กเิ ลสและเพลงิ ทกุ ข ผลทีต่ ามมากค็ ือความสงบ ความเย็น เพราะเม่ือความกําหนัด  (ราคะ) ความประทษุ ราย (โทสะ) ความหลง (โมหะ) เกดิ ขึ้นกับจิต ก็จะทาํ ใหจ ติ ใจศรา หมองขุน มวั   เรารอ น กระสับกระสา ย เหมอื นกบั ถูกไฟเผาลน จงึ เรยี กวา  เพลิงกเิ ลส  ความเกิด (ชาติ) ความแก (ชรา) ความตาย (มรณะ) ความแหงใจ (โศก) ความสะอ้ืน  อาลัย (ปริเทว) ความเจ็บกาย (ทุกข) ความเสียใจความเจ็บใจ (โทมนัส) ความคับแคนใจ (อุ  ปายาส) สงิ่ เหลาน้ีลว นเปนเหตแุ หงความทุกขและเปนตัวทุกขแผดเผาสัตวใหเรารอนดังถูกเพลิง  ไหม จงึ เรยี กวา  เพลิงทุกข  ทุกข ๒ ประเภทนี้ไมมีในพระนิพพาน ดับส้ินไปเพราะอาศัยนิพพาน ดังน้ัน นิพพาน จึง  หมายถึง สภาวะเปนท่ีดับดับเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข นิพพานจึงเปนสถานท่ีซ่ึงอุดมไปดวย  ความสุขพียงอยางเดยี ว เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

94 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๙๓  บทท่ี ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต ๔. นพิ พาน ๒ ประเภท  เมื่อกลาวโดยผล นิพพานมีเพียงประเภทเดียว คือ ความสงบสุข  แตเม่ือกลาวโดยการ  บรรยายโดยนัยอืน่ หรือโดยการดบั กเิ ลสนั้น  นพิ พานจัดเปน  ๒ ประเภท คอื   ๑) สอปุ าทเิ สสนพิ พาน ไดแ ก  การดบั กิเลสแตย งั มขี นั ธ ๕ เหลือ หรือดับกิเลสแตยังมีชีวิต  อยู กลาวคือ ความท่ีกิเลสดับไปหมดอยางเด็ดขาด (สมุจเฉทปหาน) ดวยการทําลายดวยความ  เปน พระอรหนั ต (อรหัตตมรรคญาณ) แตขันธ ๕ ยังดาํ รงอย ู เปน ไปอยู  ซึ่งกไ็ ดแก พระอรหนั ต  ทตี่ ัด  กิเลสไดขาดเด็ดแลว แตยังมีชีวิตอยู ยังมีการดื่มการบริโภคและการบริหารขันธอยูอยางคน  ธรรมดาสามญั   ๒) อนุปาทเิ สสนพิ พาน ไดแ ก  การดบั กิเลสไมม ีขันธ ๕เหลือ หรอื ดบั กิเลสดวยสิ้นชีวิตดวย  กลาวคอื  ความดับขันธ ๕ ท่ีตัณหาและทิฏฐิไมเขาไปยึดถือแลว ไดแก พระอรหันตที่สิ้นชีวิตแลว  นน่ั เอง  นพิ พานทั้ง ๒ ประเภทนี้ แสดงใหเ ห็นวา  นิพพานน้ีมที ั้งภายในและภายนอก กลาวคือ สอุ  ปาทเิ สสนพิ พานจัดเปนการดับกิเลส (กเิ ลสนพิ พาน) ไดแ ก นิพพานท่เี ปน ไปภายใน เพราะกเิ ลสนนั้   เปนเจตสกิ ธรรมทีเ่ กดิ ขึ้นในใจแลวทําใจใหเ ศราหมองตามสภาพแหง ตน การปฏบิ ตั ิธรรมเพอ่ื กําจดั   เจตสกิ ธรรมประเภทนัน้ ไมใ หเ กิดกับจติ ไดโดยเดด็ ขาดส้นิ เชงิ  ยอมทําใหจ ติ สภาพทหี่ มดจดสะอาด  เปนจิตทพี่ นแลวจากเครอ่ื งเศรา หมอง  ความหลดุ พนแหง จติ  จึงหมายถึงความดับสนิทแหงอกุศล  เจตสกิ ท้ังปวง เปนความพนอยา งเด็ดขาด  สวนความดบั สนทิ แหง รูปขันธ ซึ่งเปนที่อาศัยแหงจิตและเจตสิกที่หลุดพนแลว เปนจิตที่  บริสุทธ์ิ ปราศจากอกุศลเจตสิกทั้งปวง เรียกวา นิพพาน กลาวคือ อนุปาทิเสสนิพพาน เรียกวา  นพิ พานทเี่ ปนไปในภายนอก แตกตางจากความดับแหงรูปขันธของสัตวโดยทั่วไปที่มีจิตใจยังไม  หลดุ พนจากกเิ ลส ซงึ่ เรียกวา  มรณะหรอื ความตาย  นพิ พาน ๒ ประเภทน ี้ มงุ แสดงถึงสภาวะผบู รรลนุ ิพพาน กลา วคือ สอปุ าทิเสสนิพพานนั้น  จิตเปนผบู รรล ุ  สว นอนุปาทิเสสนิพพานนัน้  รปู ขันธเ ปน ผบู รรล ุ หมายความวา ทงั้ จิตทงั้ รูปขนั ธของ  บคุ คลผบู ําเพ็ญเพยี ร อบรมบารมแี ลวยอมสามารถบรรลุนิพพานได เมอ่ื จติ บรรลุนิพพานก็เรียกวา  สอุปาทิเสสนพิ พาน เม่ือรปู ขันธข องทา นบรรลนุ ิพพาน กเ็ รียกวา  อนุปาทเิ สสนิพพาน  จิตท่บี รรลนุ พิ พาน คือ จติ ที่ละสงั โยชนไดท้งั ๑๐ ประการไดเดด็ ขาด คือ  ๑) สกั กายทฏิ ฐ ิ คอื  ความเหน็ เปนเหตถุ อื ตัวถือตน  ๒) วจิ ิกจิ ฉา คอื   ความลงั เลเปน เหตไุ มแ นใ จในการปฏบิ ัตขิ องตน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเรอ่ื งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ๙ษ๔า  ๓ : 95 ๓) สีลัพพตปรามาส คือ ความเช่ือถือศักด์ิสิทธ์ิดวยเขาใจวาจะมีดวยศีลหรือการปฏิบัต ิ อยา งนน้ั อยา งน้ี ลวงธรรมดาวสิ ัย  ๔) กามราคะ คือ ความกาํ หนดดว ยอํานาจกิเลสกาม  ๕) ปฏิฆะ คือ ความกระทบกระท่งั แหง จติ  ไดแก ความหงดุ หงดิ ดวยอาํ นาจโทสะ  ๖) รปู ราคะ คือ ความติดใจในรูปธรรม  ๗) อรูปราคะ คอื  ความตดิ ใจในอรูปธรรม  ๘) มานะ   คอื  ความสาํ คญั ตวั วา เปน น่นั เปน น ่ี ๙) อทุ ธัจจะ คอื  ความคดิ พลาน ฟุง ซา น ไมส งบนงิ่   ๑๐) อวชิ ชา คือ ความหลงไมรูจรงิ   ธรรม ๑๐ ประการนี ้ เรียกวา  สงั โยชน  เพราะผูกใจสัตวใ หติดใหมัวเมาใหล ุม หลงอยใู นกอง  ทุกขไ มส ามารถจะพนไปได ซ่ึงก็ไดแก อกุศลเจตสิกนั่นเอง  จิตที่ละธรรม ๑๐ ประการนี้ไดอยาง  เดด็ ขาด จงึ ช่ือวา  จิตบรรลุนพิ พาน  สวนรปู ขันธทจ่ี ิตถงึ นิพพานแลวนี้ อาศยั เปนไปน้ันยอมเปนรูป  ขันธท่ีหมดจด คือมีกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม อันบริสุทธิ์ผุดผอง เม่ือถึงคราวรูปขันธ  แตกดบั  จึงชื่อวา รปู ขันธน ัน้ บรรลนุ ิพพาน  ๕. นพิ พาน ๓ ประเภท  นอกจากนพิ พานจะจัดออกตามอาการที่ดับกิเลสแลว ทานยังจัดนิพพานออกตามวิธีการ  บรรลุหรืออาการบรรลุอีกดว ย กลา วคือ การท่ีบุคคลผูปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุนิพพานน้ัน ไดยึดเอา  อารมณต า ง กนั ๓ อยา ง ไดแ ก วิธเี จรญิ วปิ ส สนายดึ อารมณค นละอยาง ไดแก การพิจารณาสังขาร  ยกขน้ึ สไู ตรลักษณค ือ ทุกขตา ความเปน ทุกขแหงสงั ขาร  อนิจจตา ความไมเท่ียงแหงสังขาร และ  อนัตตตา ความไมใชตัวไมใชตนแหงสังขาร แตผลแหงการปฏิบัติเปนอยางเดียวกัน คือ การได  บรรลุนิพพาน อาจกลาวไดวา การบําเพ็ญวิปสสนาแตกตางกันโดยอารมณ เปรียบเหมือนการ  เดนิ ทางไปกรุงเทพมหานคร โดย ๓ วิธ ี คือ การเดนิ   การขนึ้ รถ และการขนึ้ เคร่ืองบนิ  บุคคลใดชอบ  เดนิ เดนิ ไป บคุ คลใดมีรถหรอื ชอบนง่ั รถก็ขึน้ นง่ั รถไป บุคคลใดชอบความรวดเร็วก็ขึ้นเคร่ืองบินไป  แตก็สามารถเดินทางไปถึงกรุงเพทมหานครไดเชนเดียวกันทุกคน ดังน้ัน โดยวิธีการที่บรรล ุ นพิ พานจึงจดั เปน ๓ ประเภท คอื   (๑) สุญญตนิพพาน คําวา สุญญตะ แปลวา วาง หมายความวา วางจากราคะ โทสะ  โมหะ ไดแก นิพพานที่บุคคลผูบําเพ็ญวิปสสนา ยึดเอาอนัตตลักษณะเปนอารมณ คือ พิจารณา  ตามเห็นสงั ขารวา มใิ ชส ตั ว บคุ คล ตวั ตนเราเขา จนถอนความเห็นวาตัวตนเราเขา (อัตตานุทิฏฐิ)  เสยี ได  ไมยดึ ม่ันถือม่ันดว ยอํานาจแหงตัณหา มานะ ทฏิ ฐิ  จิตจึงหลุดพนบรรลนุ พิ พาน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

96 : เอกสารประกบอทบทก่ี า๒รสทอศั นนวะชิ เารื่อพงรจะิตไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๙๕  (๒) อนิมติ ตนพิ พาน คําวา อนิมิตตะ แปลวา ไมมีนิมิตเคร่ืองหมาย หมายความวา ไมมี  ราคะ โทสะ โมหะ เปนนิมิตเครื่องหมาย ไดแก นิพพานท่ีบุคคลผูบําเพ็ญวิปสสนายึดเอาอนิจจ  ลกั ษณะเปน อารมณ  คอื  พจิ ารณาตามเห็นสังขารวาไมเ ทย่ี งแทถาวร ไมมัน่ คง เปนไปชั่วระยะกาล  นิดหนอ ย จนหายหลงผดิ สาํ คัญผิดในสงั ขารวา เทีย่ งวา ถาวรเสียได ไมถือมั่นดวยอุปาทาน จนจิต  หลดุ พนบรรลุนพิ พาน  (๓) อปั ปณิหติ นพิ พาน คาํ วา  อัปปณหิ ิต แปลวา ไมม ีทต่ี ้ัง หมายความหมายวา ไมมีราคะ  โทสะ โมหะ เปนที่ตั้ง (ปณิธิ) ไดแก นิพพานที่บุคคลผูบําเพ็ญวิปสสนายึดเอาทุกขลักษณะเปน  อารมณ  คือ พิจารณาตามเห็นสังขารวา เปนทุกขโดยสวนเดียว จนเหนื่อยหนายในสังขาร หายรัก  หายหลงในสงั ขาร ไมถ อื มน่ั ดวยอปุ าทาน จติ จึงหลดุ พนบรรลนุ พิ พาน  อยางไรก็ตาม นพิ พานทงั้ ๓ ประเภทซึ่งแบว งออกตามวิธกี ารปฏบิ ติ เพอ่ื บรรลุนิพพานนี้ มี  ความหมายเปนอันเดียวกันโดยผล กลาวคือ การหลุดพนจากราคะ โทสะ โมหะ เหมือนกัน แตการ  เรียกชอ่ื ตางกัน เพราะมีวิธปี ฏิบัติหรอื มีสิง่ ท่เี ปนอารมณใ นการปฏบิ ตั ิเพื่อบรรลทุ ่แี ตกตา งกัน ไดแ ก  (๑) สญุ ญตนพิ พาน มีอนัตตลักขณะเปน อารมณ  (๒) อนมิ ิตตนพิ พาน มอี นิจจลกั ขณะเปน อารมณ  (๓) อปั ปณิหติ นพิ พาน มที ุกขลกั ขณะเปน อารมณ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทัศนะเรื่องจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษ๙า๖ ๓ : 97 แบบฝกหัดทา ยบท  จงตอบคาํ ถามตอไปน ี้ ๑.ในการแสดงทัศนะเรื่องนิพพาน เพราะเหตุใด ทานจึงตองแสดงทัศนะเรื่องความทุกข  ประกอบดว ย จงอธิบายเหตุผลตรามน่ี กั ศกึ ษาเขาใจมาพอสงั เขป  ๒. ตามทศั นะของพระพุทธศาสนา ทา นแบงประเภทของทกุ ขไวอ ยางไร และทุกขในขอใด  เปน ใหญท่ีสุด เพราะเหตุใด จงอธบิ าย  ๓. จงอธิบายความหมายของคําวา นิพพาน มาดู และตามทัศนะของนักศึกษา  ความหมายดงั กลาวปรากฏในชีวิตประจาํ วนั หรอื ไม จงยกตัวอยา งประกอบการอธบิ าย  ๔. นพิ พานในความหมายของการดับกิเลสโดยสิ้นเชิงนับเปนเร่ืองท่ีดูเหมือนวาไกลเกิน  เอ้ือมสําหรับคนมีกิเลส นักศึกษาจะประยุกตใชความหมายของนิพพานดังกลาวมาใชใน  ชวี ติ ประจําวนั อยา งไร จงอธบิ ายพรอ มยกตวั อยางประกอบ  ๕. วิธกี ารจัดประเภทของนิพพานออกเปน ๑ ประเภท ๒ ประเภท และ ๓ ประเภท ทานใช  หลักเกณฑใ ดในการจดั  และแตละประเภทน้นั มีอะไรบาง และมคี วามหมายอยา งไร จงอธบิ ายโดย  ยอ  พอใหเ ขาใจ  ๖.  จงอธิบายสภาวะของนิพพานมาดู และจงแสดงทัศนะวาสภาวะของนิพพานเชนนั้น  เปนไปไดหรือไม  ๗.จงแสดงความคิดเห็นวา สิ่งที่เรียกวานิพพานตามทัศนะของพระพุทธศาสนานั้นมีอย ู จรงิ หรือไม เพราะเหตุใดจงึ จําเปน ตองสอนทัศนะเรื่องนิพพาน ซ่ึงดูเหมือนจะเปนคําสอนที่หาขอ  พสิ ูจนไมไ ด  ๘.จงอธิบายความหมายของคาํ ตอไปนี้  (๒) อนมิ ติ ตนิพพาน  (๑) สุญญตนิพพาน  (๓) อัปปณิหิตนพิ พาน  ๙. สงั โยชน  คืออะไร มกี ่อี ยาง อะไรบาง  จงอธบิ ายโดยสรุป  ๑๐. สอปุ าทเิ สสนพิ พาน และอนุปาทิเสสนพิ พาน ตางกันอยา งไร จงอธบิ าย เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

98 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสอัศนนวะชิเราื่อพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๙๗  บรรณานกุ รม  กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (๒๕๓๐). พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับสังคายนา.  กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พการศาสนา.  ______. (๒๕๔๖). พระไตรปฎ กส่ิงท่ีชาวพทุ ธตอ งรู. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม หาจุฬาลงกรณราช  วิทยาลยั .  ______. (๒๕๔๓). รูจกั พระไตรปฎ กเพือ่ เปน ชาวพุทธท่แี ท. พมิ พค รงั้ ที่ ๒.  กรุงเทพฯ : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย.  ______. (๒๕๔๓). พจนานกุ รมพุทธศาสตรฉบับประมวลธรรม. พมิ พค ร้ังท่ี ๙.กรุงเทพฯ :  โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .  ______. (๒๕๔๓). พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรฉบับประมวลศพั ท. พมิ พค รั้งที่ ๙.กรงุ เทพฯ :  โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .  ______. (๒๕๔๓). พทุ ธธรรม. พมิ พค ร้งั ท๙่ี . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั .  พระมหาณรงค จติ ตฺ โสภโณ. (๒๕๒๗). ความรเู บอ้ื งตนเกีย่ วกับพระไตรปฎก. กรุงเทพฯ :  โรงพมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั .  พระเมธีธรรมาภรณ. (๒๕๓๓). พุทธศาสนากบั ปรัชญา. กรุงเทพฯ : อมรนิ ทร  พริ้นติง้  กรุพ   จาํ กดั .  มลู นิธติ ัง้ อยใู นความไมประมาท. ๒๕๔๑. คมู ือการฟง พระอภิธรรม. กรงุ เทพ ฯ :  มูลนธิ ติ ั้งอยูใ นความไมป ระมาท.  วรรณสิทธ ิ  ไวทยะเสวี, คูม ือการศึกษาพระอภธิ ัมมัตถสงั คหะ. กรงุ เทพ ฯ : เนติกลุ   การพิมพ, ๒๕๓๕.  วศิ ษิ ฐ  ชัยสวุ รรณ.(๒๕๔๗). เอกสารประกอบการศึกษาพระอภิธรรมทาง  ไปรษณีย. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั .  สมเดจ็ พระญาณสงั วร. (๒๕๔๙). พระพทุ ธศาสนากบั ปรัชญา. กรงุ เทพฯ : บริษัท สองศยาม  จาํ กดั .  เสนาะ ผดงุ ฉัตร. (๒๕๓๑). ความรูเบื้องตน เก่ียวกบั พระไตรปฎ ก. กรงุ เทพฯ :  โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย.  สจุ ินต บรหิ ารวนเขตต.  (๒๕๓๖). ปรมตั ถธรรมสงั เขป จติ สังเขป และภาคผนวก.  กรงุ เทพฯ :  โรงพมิ พช วนพมิ พ. เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook