238 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 23 ฉบับท่ี 2 เมษายน - มิถุนายน 2564 1.2.2 ขั้นสอน ครูผู้สอนจะใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่กำหนดรูปแบบขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับ เนือ้ หาการเรียน และสอดคลอ้ งกับการสอนตามทฤษฎีคอนสตรัคติวซิ ึม ซึ่งในกจิ กรรมการเรียนรูจ้ ะเน้นให้ผู้เรียนได้มี ส่วนร่วมในการหาคำตอบหรือข้อสรุปของปัญหา โดยใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหาและแสวงหาความรู้ควบคู่ไปกับ การปฏบิ ัตจิ รงิ และเน้นกระบวนการกลุ่มให้ผเู้ รยี นได้มโี อกาสนำเสนอความคิดของตนเอง และรับฟงั ความคิดเห็นของ ผู้อื่น ครูเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือ ชี้แนะ จัดสถานการณ์ จัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อม ให้เอื้อต่อการสร้างแรงจูงใจให้เกิด การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเอง และเกิดความต่อเนื่องระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ ใหมข่ องตวั ผ้เู รียน ซ่ึงกจิ กรรมประกอบด้วยสว่ นต่างๆ ดังนี้ 1) ชอ่ื กิจกรรมการเรียนรู้ 2) ส่ือการเรยี น 3) กจิ กรรมที่ใช้ ในการเรียนการสอนท่ีใหน้ ักเรยี นเปน็ ผู้ปฏิบัติ และ 4) การประเมินผล 1.2.3 ขั้นสรุป ครูสุ่มนักเรียนจากแต่ละกลุ่มมารายงานผลและสรุปความคิดรวบยอดที่ได้จาก การศึกษากิจกรรมการเรียนร้คู ณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวซิ ึม จากน้ันครแู ละนกั เรียนจะร่วมกันสรุปความคิด รวบยอดทีถ่ กู ตอ้ งอีกครัง้ หน่ึง ภาพ 1 แสดงข้ันตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นร้ตู ามทฤษฎคี อนสตรัคติวิซมึ 2. ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พื้นที่ผิว และปรมิ าตร หมายถึง คุณภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณติ ศาสตรต์ ามทฤษฎคี อนสตรัคติวซิ ึม เร่ือง พื้นที่ผิว และปริมาตร ที่ได้ประเมินตามเกณฑ์ 80/80 โดย 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำกิจกรรมระหว่าง เรียนและแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน ในแต่ละหน่วยการเรียนของนักเรียนทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม ทั้งหมด 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ของนักเรียนทั้งหมด คิดเปน็ ร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ทง้ั หมด 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนจากการเรียน เรื่อง พื้นท่ี ผิวและปริมาตร ซ่ึงประเมินไดจ้ ากคะแนนทไ่ี ด้จากการทำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นคณิตศาสตร์ท่ีผู้วิจัย สร้างข้ึน
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 239 4. ความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หมายถึง นักเรียนมีความคิด ความรู้สึก ท่าที ความคิดเห็นต่อกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในด้านต่างๆ ในทางบวก ซึ่งวัดได้จากแบบวัดความพึงพอใจต่อ กิจกรรมการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ ทีผ่ ู้วิจัยได้พฒั นาข้นึ ประโยชน์ทไี่ ด้รบั 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนเรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ตามทฤษฎคี อนสตรัคติวิซมึ เรอ่ื ง พน้ื ท่ีผิวและปรมิ าตร สามารถสอบผา่ นเกณฑ์ 80/80 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนเรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คณิตศาสตรต์ ามทฤษฎีคอนสตรคั ติวิซึม เร่อื ง พนื้ ที่ผิวและปรมิ าตร เกดิ การเรียนรโู้ ดยการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เกิดความต่อเนื่องระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ของตัวนักเรียน และมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ คณติ ศาสตร์หลังเรียนดกี ว่าก่อนเรยี น 3. เป็นแนวทางในการวจิ ัยและพัฒนาการเรยี นการสอนในเรื่องอืน่ ๆ ต่อไป วธิ ดี ำเนนิ การวิจยั 1. ขนั้ เตรยี ม 1.1 วางแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 1.2 ศึกษาสภาพปัญหาในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง พื้นที่ผิว และปริมาตร 1.3 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎี คอนสตรัคติวซิ ึม เรื่อง พนื้ ทผี่ ิวและปรมิ าตร 1.4 กำหนดระยะเวลาในการทำการทดลอง 1.5 จัดทำเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองและนำเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาและนำกลับมาปรับปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะ และนำเสนอให้ผเู้ ชีย่ วชาญตรวจสอบอีกคร้งั 1.6 เตรยี มกลุ่มตัวอยา่ งท่ใี ช้ในการทดลอง 1.7 นำเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์ตามทฤษฎคี อนสตรัคติวิซมึ เรอื่ ง พ้นื ท่ผี ิวและปรมิ าตร ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ไปทดลองใช้ 2. ข้นั ทดลอง 2.1 ชี้แจงให้นักเรียนทราบถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เร่ือง พื้นทผ่ี ิวและปริมาตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 รวมถงึ ขอ้ ตกลงครา่ วๆ 2.2 ทำการทดสอบวดั ผลสมั ฤทธก์ิ ่อนเรยี น 2.3 ทำการจัดกิจกรรมการเรียนเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎคี อนสตรัคติวิซมึ เรื่อง พื้นที่ผิวและ ปรมิ าตร ตามลำดับขัน้ ตอนในแผนการจดั การเรียนรู้
240 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท่ี 23 ฉบับที่ 2 เมษายน - มถิ ุนายน 2564 2.4 นกั เรียนทำกิจกรรมระหว่างเรยี นเมื่อจบแต่ละหน่วย 2.5 นักเรียนทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนและแบบวัดความพึงพอใจเมื่อเสร็จสิ้นการจัด กิจกรรมการเรยี นเรียนร้คู ณิตศาสตรต์ ามทฤษฎีคอนสตรัคตวิ ซิ มึ เรื่อง พื้นทผ่ี ิวและปริมาตร 2.6 นำขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการทดลองมาวเิ คราะห์เพ่ือทดสอบสมมุตฐิ าน 3. ขน้ั เก็บรวบรวมข้อมลู 3.1 การเก็บข้อมูลจากการประเมินคุณภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากแบบประเมิน คุณภาพโดยผู้เชย่ี วชาญ นำขอ้ มลู ทีไ่ ด้มาหาคา่ เฉล่ยี 3.2 การเก็บคะแนนจากการวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนก่อนและหลงั เรียน 3.3 การเก็บคะแนนจากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียนในแต่ละหน่วยกิจกรรม การจัดการเรยี นรู้ หลงั จากท่เี รยี นจบในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี น 3.4 การเก็บข้อมูลจากแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ตามทฤษฎคี อนสตรคั ติวซิ มึ เรอื่ ง พื้นที่ผิวและปรมิ าตร 4. วิเคราะห์ขอ้ มูล 4.1 การหาคุณภาพเครื่องมอื การหาคุณภาพของกิจกรรมการจัดการเรียนเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เร่อื ง พื้นทผ่ี วิ และปริมาตร ประเมินโดยผเู้ ชย่ี วชาญ วเิ คราะหโ์ ดยการหาค่าเฉลย่ี 4.2 การหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 4.2.1 วิเคราะห์หาความเท่ยี งตรงเชิงเน้ือหา จากการประเมินโดยผ้เู ช่ยี วชาญ (IOC) 4.2.2 วิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (Difficulty) เป็นรายขอ้ ของแบบทดสอบ 4.2.3 วิเคราะห์หาคา่ อำนาจจำแนก (Discrimination) เป็นรายข้อของแบบทดสอบ 4.2.4 วิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบการหาคุณภาพของแบบวัด ความพึงพอใจ ประเมนิ โดยผ้เู ชย่ี วชาญวเิ คราะหโ์ ดยการหาคา่ IOC 4.3 วเิ คราะหข์ อ้ มลู จากผลการทดลอง 4.3.1 วเิ คราะห์หาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์ตามทฤษฎคี อนสตรคั ติวิซมึ เรอ่ื ง พืน้ ท่ผี ิวและปริมาตร โดยใชเ้ กณฑม์ าตรฐาน 80/80 4.3.2 วเิ คราะห์เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นระหวา่ งก่อนเรียนและหลงั เรียนของผู้เรียน ที่เรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคตวิ ิซมึ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร โดยการหา ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และทดสอบค่าที (t-test แบบ Dependent Samples) 4.3.3 วิเคราะห์แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร โดยหาค่าเฉลี่ยเทียบกับเกณฑ์ทั้งหมด คือ 4.51 - 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 3.51 – 4.5 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 241 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย และ 1.00 – 1.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั น้อยทสี่ ุด สรุปผลการวิจัย 1. กิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร มปี ระสทิ ธิภาพ 88.21/80.63 ตามเกณฑม์ าตรฐานท่กี ำหนดไว้ไมต่ ำ่ กวา่ 80/80 2. การศึกษาเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05 3. ดา้ นความพงึ พอใจของนกั เรยี นท่มี ตี อ่ การจัดกจิ กรรมการเรียนรคู้ ณติ ศาสตรต์ ามทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ ซิ ึม เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ผลปรากฏว่า ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในหัวข้อ เรื่องต่างๆ มีคะแนนเฉลี่ยแต่ละข้ออยู่ที่ 3.52 – 4.93 ผ่านเกณฑ์ 3.51ทุกข้อ และคะแนนเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.41 นั่น หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พ้นื ท่ีผิวและปริมาตร ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อย่ใู นระดับมาก การอภิปรายผล 1. กิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร มีประสิทธิภาพ 88.21/80.63 หมายความว่า นักเรียนทั้งหมดได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำกิจกรรมระหว่างเรียน แบบฝึกหัด และการประเมินพฤติกรรมระหว่างเรียน คิดเป็นร้อยละ 88.21 และได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 80.63 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 อาจเนื่องมาจากกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร เป็นการจัด กิจกรรมที่เป็นรูปธรรมเน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้จากสภาพจริง มีประสบการณ์ตรงสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้นักเรียนมีสว่ นร่วมในการจดั กจิ กรรมตลอดเวลา จึงทำให้นักเรียนรู้สึกสนุก และกระตือรือร้นที่ได้ทำกิจกรรม ไม่ใช่เพียงการนั่งฟังและจดเพียงอย่างเดียว ซึ่งตรงกับ Glasersfeld (1996, p. 3) กล่าวว่า รูปแบบของการเรียนรู้ไม่ ควรมาจากการถ่ายทอดจากประสบการณข์ องผสู้ อนเพียงอย่างเดียวแต่ควรนำทฤษฎีการสอนแบบเดิมๆ มาใช้ร่วมกับ ทฤษฎีคอนสตรคั ติวซิ มึ คอื ต้องระลกึ เสมอว่านักเรียนสามารถมีการรับรผู้ า่ นส่งิ แวดล้อมท่ตี า่ งจากทผ่ี สู้ อนต้องการให้ เป็นไปก็เปน็ ได้ และ Khammani (2007, pp. 94-96) กล่าวว่า นกั เรียนจะเป็นผ้ทู ีม่ ีบทบาทในการเรียนรู้อย่างต่ืนตัว นักเรียนจะต้องเป็นผู้จัดกระทำกับข้อมูลหรือประสบการณ์ต่างๆ และจะต้องสร้างความหมายกับสิ่งนั้นด้วยตนเอง โดยการให้นักเรียนอยู่ในบริบทจริงไม่ได้หมายความว่านักเรียนจะต้องออกไปยังสถานที่จริงเสมอไป แต่อาจจัดเป็น กิจกรรมทเี่ รียกวา่ “Physical Knowledge Activities” เป็นกจิ กรรมท่เี ปิดโอกาสให้นักเรียนปฏิสัมพันธ์กับสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ สิง่ ของหรือข้อมูลตา่ งๆ ท่ีเปน็ ความจริงและมีความสอดคล้องกบั ความสนใจของนักเรียน โดยผู้เรียนสามารถ จัดกระทำ ศึกษา สำรวจ วิเคราะห์ ทดลอง ลองผดิ ลองถกู กบั สงิ่ นน้ั จนเกิดเป็นความรูค้ วามเขา้ ใจขน้ึ อีกท้ังนกั เรียนยัง
242 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปีท่ี 23 ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2564 ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจตอบคำถามในแบบฝึกหัดในแต่ละกิจกรรม และแสดงความคิดเห็นได้อย่างอย่างอิสระ โดยมีเพื่อนนักเรียนภายในกลุ่มร่วมกนั อภิปรายผล และสรุปหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุดในกิจกรรมน้ันๆ ทำให้นักเรียน สนุกที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนและได้ทำงานเป็นทีมมากที่สุด ซึ่งตรงกับ Jonassen and Murphy (1999) ที่เช่ือ วา่ เดก็ ในระดบั อายุหน่ึงจะสามารถสอนบางสิ่งให้แกก่ ันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าครู เพราะเด็กท่ีเริ่มมีความคิด ความเข้าใจพูดภาษาเดียวกันและมีความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ดีกว่า ในขณะที่ครูมีระดับความคิดอยู่ในระดับ นามธรรม ครูอาจกระตุ้นให้นักเรียนอภิปรายหนังสือและความคิดต่างๆ กับเพื่อน ได้ใช้เครื่องมือในการเรียนด้วย ตนเอง ไม่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ตอบคำถามเท่านั้น แต่กระตุ้นให้มีการอธิบาย และให้เหตุผลคำตอบนั้นด้วย และ Khammani (2007, pp. 94-96) กล่าวว่า นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้ในบรรยากาศที่เอื้อต่อการปฏิสมั พนั ธ์ทางสังคม ถือว่าเป็นปัจจัยสำคญั ต่อการสร้างความรู้ เพราะลำพังกิจกรรมและวสั ดุอุปกรณส์ ร้างองค์ความรู้ ท้ังหลายท่ีครูจัดให้ หรือนักเรียนแสวงหามา เพื่อสร้างการรู้ไม่เป็นการเพียงพอ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การร่วมมือ และการแลกเปลี่ยน ความรู้ ความคดิ และประสบการณร์ ะหว่างนักเรียนกับนักเรียน และบุคคลอ่นื ๆ จะชว่ ยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่มี ประสิทธภิ าพ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นที่ผิวและ ปริมาตร ตามทฤษฎคี อนสตรัคติวซิ ึม ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นสาธติ มหาวิทยาลยั รามคำแหง มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อยา่ งมีนัยสำคัญท่ีระดับ 0.05 ท้ังนี้ อาจเน่อื งมาจากนักเรียนไม่เคยมีความรู้ เรอ่ื งทีเ่ รยี นมาก่อน ดงั น้ัน เมือ่ มกี ารกจิ กรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรอ่ื ง พื้นที่ผิวและปริมาตร ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม ทำให้นักเรียนเกิดความรู้ที่เกิดจากการทำกิจกรรมที่เอื้อต่อการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ ได้เสนอความคิดใน การแกป้ ญั หาต่างๆ รว่ มกันหาเหตผุ ลมาหกั ลา้ ง หรอื สนบั สนุนความคดิ ต่างๆ ไดเ้ ชอื่ มโยงความรตู้ า่ งๆของคณติ ศาสตร์ และชีวิตจริงของนักเรียน ทำให้ผู้เรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเอง และเกิดความต่อเนื่องระหว่างความรู้ เดิมกับความรู้ใหม่ของตัวผู้เรียน จึงทำให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีตามมา ซึ่งสอดคล้องกับ Yamsaeng (2012, p. 45) ที่กล่าวว่า การเรียนรู้ของบุคคล เกิดจากการที่บุคคลศึกษา วิจัย อ่าน เรียน ฝึก หรือการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เหมาะสมกับบคุ คลนั้น จนก่อให้เกิดการเปลย่ี นแปลงความคดิ หรือพฤตกิ รรมไปในทางท่ดี ีขน้ึ เหมาะสมขึน้ 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ผลปรากฏว่า นักเรียนมีความพึงพอใจมีค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 4.41 หมายถึง นักเรียนมี ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก และนักเรียนมีความกระตือรือร้น ให้ความสนใจต่อการทำ กิจกรรม มีพฤติกรรมที่สนุกสนานที่ได้ทำกิจกรรม และในการร่วมเล่นเกมในแต่ละครั้ง มีการแสดงออกทางความคิด ภายในกลุ่ม และภายในหอ้ งเรียน เกดิ การแลกเปลยี่ นความคดิ มีความคดิ สร้างสรรคใ์ นการทำกจิ กรรม ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะท่วั ไป 1.1 จากผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 243 เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้น จึงควรมีการนำทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึมไปใช้ในการจัดการเรียน การสอนในวิชาคณติ ศาสตร์ในเนื้อหาอ่นื ๆให้มากขึ้น 1.2 จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เรื่อง พื้นที่ผิวและ ปริมาตร ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมค่อนข้างมาก ทำให้เหลือเวลาในการทำแบบฝึกหัดค่อนข้างน้อย และเมื่อให้ นักเรียนนำแบบฝึกหัดไปทำเป็นการบ้าน แม้ว่าในห้องนักเรียนจะให้ความสนใจและกระตือรือร้นในการทำกิจกรรม และทำแบบฝึกหัดเปน็ อย่างดี แต่หากต้องในแบบฝึกหัดไปทำเป็นการบ้านนกั เรียนมักจะลืมทำ หรือลอกเพื่อนมาส่ง ทำให้การวัดผลประเมินผลในครั้งที่ให้นำแบบฝึกหัดเป็นการบ้านเกิดความคลาดเคลื่อน ผู้วิจัยจึงต้องพยายามจัด กจิ กรรมใหจ้ บภายในคาบสอน จากเวลาที่จำกดั อาจมีผลต่อการร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพ่ือหาข้อสรุปของนักเรียน ในบางคร้ังที่ต้องรีบหาขอ้ สรุปของแตล่ ะกิจกรรม 2. ขอ้ เสนอแนะในการทำวจิ ยั ในคร้ังต่อไป 2.1 ควรนำการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม มาใช้กับการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหา การเรียนอื่นๆ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถจดจำเนื้อหาทางคณิตศาสตร์ได้อย่างแท้จริง ไมใ่ ชเ่ พียงการท่องจำ 2.2 ในปจั จุบันมีเทคโนโลยที ่ีสามารถเข้าถึงง่าย ควรนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน คณติ ศาสตรต์ ามทฤษฎีคอนสตรัคตวิ ซิ ึม เพ่อื ใหเ้ ข้ากบั การจัดการเรียนการสอนในยุคไทยแลนด์ 4.0 2.3 จากปัญหาการไม่ทำการบ้าน ควรศึกษาอยา่ งจริงจงั ถงึ การทำกจิ กรรมให้จบและเกิดผลสัมฤทธิ์ ท่ดี ีทางการเรยี นในคาบเรียน เพราะในบางประเทศทม่ี คี วามก้าวล้ำทางการศกึ ษา ได้ยกเลิกการใหก้ ารบ้านกบั นกั เรียน และใหค้ วามสนใจกับการทำกิจกรรมเพ่ือการเรียนรู้แทน เช่น ประเทศฟนิ แลนด์ References Auamjaroen, S. (2014). SU Model: Application of knowledge-based learning management. Academic Journal Varidian E-Journal, 7(3), 945-961. [in Thai] Chimwong, N. (2008). Comparison of critical thinking and learning achievement mathematics department probability topics from grade 9 students that was applied with constructivism method and normal learning method (Master thesis). Maha Sarakham: Mahasarakham University. [in Thai] Glasersfeld, E. von. (1996). Introduction: Aspects of constructivism. In Fosnot, C. T. (Ed.), Constructivism: Theory, perspective, and practice (pp. 3-7). New York: Teachers College Press. Jonassen, D. H., & Murphy, L. R. (1999). Activity theory as a framework for designing constructivist learning environment. Educational Technology Research and Development, 47(1), 61–79.
244 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 23 ฉบบั ที่ 2 เมษายน - มถิ ุนายน 2564 Kaewsan, L., Suwatunpornkool, I., & Jaroensook, O. (2013). Results of using the constructivism learning method on creative thinking and mathematical creativity of Prathomsuksa 6 students. Journal of graduate studies, Suan Sunandha Rajabhat University, 3(6), 376-385. [in Thai] Khammani, T. (2007). Teaching strategy. Bangkok: Chulalongkorn University Press. [in Thai] Lalley, J. P., & Miller, R. H. (2007). The learning pyramid: Does it point teachers in the right direction? Education, 128, 64-79. Limtasiri, O. (2011). Integrated learning management. Bangkok: Ramkhamhaeng University Press. [in Thai] Ministry of Education. (2008). Learning management guidebook, mathematics department. Bangkok: The Agricultural Co-operative Federation of Thailand. [in Thai] Nationnal Institute of Educational Testing Service (Public Organization). (2016). O-NET test results of Matayomsuksa 3. Retrieved from http/www.niets.or.th [in Thai] Suksuwan, V., Sompong, J., & Onthanee, A. (2017). Developing learning activities based on constructivism methods to encourage students to use the ability to think on single linear equation for students of Mathayomsuksa 1. Journal of Education Naresuan University, 19(3), 298-312. [in Thai] Yamsaeng, N. (2012). Mathematical teaching behavior 1. Bangkok: Ramkhamhaeng University Press. [in Thai]
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 245 บทความวิจัย (Research Article) การพัฒนากิจกรรมการเรียนรเู้ กษตรอยา่ งมสี ว่ นรว่ มกบั ภาคีเครอื ข่าย PARTICIPATORY DEVELOPMENT OF AGRICULTURAL LEARNING ACTIVITIES WITH NETWORK PARTIES Received: March 12, 2019 Revised: April 18, 2019 Accepted: April 29, 2019 ภคั พงศ์ ปวงสุข1 ปยิ ะนารถ จนั ทรเ์ ล็ก2* และจำลอง ศรสี วุ รรณ์3 Pakkapong Poungsuk1 Piyanard Junlek2* and Chamlong Srisuwan3 1,2,3สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจา้ คุณทหารลาดกระบงั 1,2,3King Mongkut’s Institute of Technology Ladkrabang, Bangkok 10520, Thailand *Corresponding Author, E-mail: [email protected] บทคดั ย่อ การวจิ ัยน้มี วี ัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศกึ ษาขอ้ มูลพ้ืนฐานและสำรวจปัญหาความต้องการของโรงเรียนและชุมชน 2) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เกษตรจากการมีส่วนร่วมกับเครือข่าย และ 3) ติดตามและประเมินผลการใช้กิจกรรม การเรียนรู้เกษตร มีวิธีดำเนินการวิจัย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 พัฒนาโจทย์วิจัยและหาความต้องการของเครือข่ายและ ชุมชน ประกอบดว้ ย 1) นักวจิ ัยผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาและนกั ศึกษา 2) ผูบ้ รหิ ารและครูเกษตรในโรงเรียนไพรบึงวิทยาคม 2 คน 3) ตวั แทนชมรมครูเกษตรในจังหวัดศรีสะเกษ 3 คน ผู้นำชมุ ชน 1 คน และผูป้ กครอง 5 คน ได้จากการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) ระยะที่ 2 ออกแบบและสร้างกิจกรรมการเรียนรู้เกษตร 4 ฐานและทดลองสอนกับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 115 คน ประเมินผลโดยใช้แบบทดสอบความรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน และ แบบประเมินความพึงพอใจ สำหรับระยะที่ 3 การประเมินผลกิจกรรมโดยการสรุปและสะท้อนผลการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เกษตรและพัฒนาแนวทางในการถ่ายทอดความรู้ทางการเกษตรที่สอดคล้องกั บวิถีชีวิตในชุมชน โดยการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและไม่ใช่บุคคลในการวิจัยระยะที่ 1 จากน้ัน วิเคราะห์ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณโดยหาคา่ เฉลีย่ ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน สว่ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู เชิงคุณภาพใช้การถอดคำสมั ภาษณ์ จำแนกถ้อยคำหรือใจความที่กลุ่มผู้ให้ข้อมูลแสดงความคิดเห็นแล้วนำมาตีความ สร้างข้อสรุปอุปนัยแบบความเรียง ผลการวิจัย พบว่า โรงเรียนไพรบึงวิทยาคมตั้งอยู่ที่เลขที่ 50 หมู่ที่ 20 ตำบลไพรบึง อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ มีพื้นที่ทั้งหมด 229 ไร่ 96 ตารางวา มีครูและบุคลากรทั้งหมดจำนวน 123 คน และการศึกษาความต้องการของชุมชน และผู้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา พบว่า ประเด็นที่ควรพัฒนาความรู้ด้านการเกษตรให้กับนักเรียนต้องเป็นความรู้ท่ี สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงของนักเรียน เนื่องจากนักเรียนจะได้รับความรู้หลักวิชาการจากโรงเรียนและสามารถเชื่อมโยง สู่งานอาชีพท่ีบ้านได้ และการจัดการเรียนควรก่อให้เกิดความรู้ที่คงทน และเป็นความรู้ที่นักเรียนเห็นว่ามีประโยชน์ต่อ
246 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปที ี่ 23 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน - มถิ นุ ายน 2564 ตนเอง ซึ่งได้กำหนดประเด็นความรู้ คือ “การเลี้ยงไก่พื้นเมืองแบบครบวงจร” การประเมินความรู้ก่อนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีความรู้ด้านการเลี้ยงไก่พื้นเมืองในทุกฐานสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p .05 และ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ทางการเกษตรในระดับมาก ( X = 0.24, S.D. = 0.26) และ พึงพอใจต่อการร่วมกิจกรรมฐาน 2 การเลี้ยงไก่พันธุ์พืน้ เมืองมากที่สุด (X = 4.60, S.D. = 0.49) ทั้งน้ี ผู้ทรงคุณวุฒิเห็น วา่ สอ่ื วิดิทศั น์ เร่อื ง การเลยี้ งไกพ่ น้ื เมือง มคี วามเหมาะสมในระดับมาก (X = 3.91, S.D. = 0.29) คำสำคญั : กิจกรรมการเรยี นร้เู กษตร การมสี ่วนร่วมกับชุมชน การศกึ ษาเกษตร ไก่พ้ืนเมือง Abstract This study aimed to 1) explore basic data and explore the needs of schools and communities, 2) development of agricultural learning activities with network parties, and 3 ) monitor and assess agricultural learning activities. The research methodology in this study consisted of 3 steps as follows; 1) developed the research questions and found needs of networks and the community comprising: (1) researchers and students, (2) Phraibueng Wittayakom School administrators and agriculture teachers, and (3) one community leader, 5 guardians, and 3 representatives of the agriculture teacher club in Srisaket Province and all of them were obtained by purposive sampling, 2) designed and prepared agricultural learning activities and tried out with 115 third year secondary school students and pretest/posttest together with satisfaction assessment form were employed, and 3) assessed the agricultural learning activities, made conclusions, and developed a guideline for agricultural knowledge transfer by focus group discussion with stakeholders. Obtained data were analyzed for finding mean, and standard deviation. Findings showed that Phraibueng Wittayakom School is located at No. 50, Moo 20, Prai Bueng District, Prai Bueng District, Si Sa Ket Province. With a total area of 229 rai, 96 squares wah, with 123 personnel in total. Agricultural knowledge development of students should be developed based on consistency with real life of the students. Besides, agricultural teaching/learning facilitation must convince them to perceive the benefits particularly on one stop native chicken raising. Regarding the knowledge assessment before and after learning, it was found that the students had knowledge of native chicken raising in all learning bases which was higher than before learning with a statistical significance level at .05. Besides, they had a high level of satisfaction with their participation in the learning activities (X = 0.24, S.D. = 0.26). Based on its details the students had the highest level of satisfaction with the second learning base (native chicken raising) (X = 4.60, S.D. = 0.49). In addition, the scholars agreed that native chicken raising had a high level of appropriateness (X = 3.91, S.D. = 0.29).
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 247 Keywords: Agricultural Learning Activities, Participation with the Community, Agricultural Education, Native Chicken Raising บทนำ หลักการสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) คือ แนวทาง การพัฒนาประเทศนั้นจะต้องยึด “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้เกิดบูรณาการการพัฒนาในทุกมิติอย่าง สมเหตสุ มผล มีความพอประมาณและมรี ะบบภูมคิ ุ้มกนั และการบรหิ ารจดั การความเสีย่ งทีด่ ี ซ่ึงเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับ การพัฒนาที่ยั่งยืน (Office of the National Economic and Social Development Board, 2017, p. 4) ซึ่งระบบ การศึกษาจัดเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนที่สำคัญ ดังระบุไว้ในยุทธศาสตร์ที่ 5 ของแผนการศึกษาชาติว่าด้วยเรื่อง การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เปน็ มิตรกับส่ิงแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการพัฒนา คือ พัฒนาทุกคนทุ กช่วงวัย ให้มีจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม มีคุณธรรม จริยธรรม และนำแนวคิดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สกู่ ารปฏิบัติและมตี วั ช้วี ดั ทีส่ ำคญั เช่น ผ้เู รียนทกุ ระดับการศกึ ษามีพฤตกิ รรมท่แี สดงออกถึงความตระหนักในความสำคัญ ของการดำรงชีวิตที่เปน็ มติ รกับส่ิงแวดล้อม มีการประยุกตใ์ ช้หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงในการดำเนินชีวิตเพ่ิมขึ้น (Office of the Education Council, 2017) การจะดำเนินการเพื่อตอบสนองแผนชาติได้นั้น สิ่งสำคัญอีกประการหน่ึง คือ การเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและเป็นแนวทางในการพัฒนา และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ประกอบกับภาควิชาครุศาสตร์เกษตร คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่ผลติ ครูเกษตร และเล็งเห็นความสำคัญใน เรื่องการมีส่วนร่วมของชุมชน และการถ่ายทอดความรู้ทางการเกษตรให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงของผู้เรียน เพื่อให้ ผเู้ รยี นเข้าใจในงานเกษตรท่ีตนเองปฏบิ ตั ิ และเช่ือมโยงสอู่ าชีพของพ่อแม่ทผี่ ูเ้ รียนเห็นอยูเ่ ปน็ ประจำ ซงึ่ จะส่งผลใหผ้ เู้ รยี น เชื่อมโยงความรู้ และต่อยอดการปฏิบัติจริงได้ โดยอาศัยกระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (PAR) ร่วมกับการถ่ายทอด ความรู้ทางการเกษตรโดยยึดหลักเรียนร้ดู ้วยการปฏิบัติจริง Learning by Doing และใชว้ ธิ ีการจัดการเรียนการสอนแบบ เน้นประสบการณ์ (Experiential Learning) เพือ่ ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนเกิดการเรียนรตู้ ามเปา้ หมาย (Khammani, 2017, p. 145) ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้ดำเนินการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เกษตรอย่างมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่าย เพื่อให้เกิด การขับเคลื่อนการดำเนินงานจากกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคสว่ นที่เกี่ยวข้องโดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาความรู้ ทางการเกษตรแบบองค์รวม มีความม่ันคงทางอาหารในชมุ ชนและการจดั การสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนอย่างยง่ั ยืน วตั ถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพอ่ื ศกึ ษาข้อมลู พน้ื ฐานและสำรวจปัญหาความต้องการของโรงเรยี นและชุมชน 2. เพอ่ื พัฒนากจิ กรรมการเรยี นรเู้ กษตรจากการมสี ่วนร่วมกบั เครอื ขา่ ย 3. เพอื่ ติดตามและประเมินผลการใช้กจิ กรรมการเรียนรู้เกษตร
248 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท่ี 23 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน - มิถนุ ายน 2564 ของเขตการวิจัย 1. พืน้ ทีว่ จิ ยั โรงเรียนไพรบึงวทิ ยาคม จังหวัดศรสี ะเกษ 2. กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ชุมชนเครือข่าย 3 ส่วนคือ 1) นักวิจัยผู้ขับเคลื่อนการพัฒนา และนักศึกษาจาก ภาควิชาครุศาสตร์เกษตร 2) โรงเรียน ได้แก่ ผบู้ รหิ ารและครูเกษตรในโรงเรียน และนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 ทีเ่ ลือก เรยี นวชิ าเกษตรในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2560 และ 3) ชมุ ชน คือ ตัวแทนชมรมครูเกษตรในจังหวัดศรีสะเกษ 3. ตัวแปรทศ่ี ึกษา 3.1 ตัวแปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ กจิ กรรมการเรียนรทู้ างการเกษตร 4 ฐาน 3.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ความรเู้ ร่อื งการเลีย้ งไกพ่ ื้นเมือง ความพึงพอใจตอ่ การร่วมกิจกรรมท้ัง 4 ฐาน กรอบแนวคิดการวิจัย การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ทางการเกษตรอย่างมีส่วนร่วมกับเครือข่ายพัฒนาภายใต้แนวคิด การจัด การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชน (Erwin, 1976) การเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ (Kolb et al., 1984) การจัด การเรียนรู้สาระงานเกษตร กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยีในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 (Ministry of Education, 2008, p. 204) ร่วมกับวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการเข้ามาขับเคลื่อนให้เกิดกจิ กรรมการเรียนรู้ด้านการเกษตร โดยการมีส่วนร่วมกับเครอื ข่ายและจะเป็นแนวทางในการจัดการศึกษาโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จึงได้สรุปเป็นกรอบ แนวคดิ การวิจัย ดงั ภาพ 1 ภาพ 1 กรอบแนวคดิ การวิจัย
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 249 วธิ ดี ำเนนิ การวจิ ัย การวิจัยนี้ดำเนินการตามกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ Participatory Action Research (PAR) โดยมี เครอื ข่ายทม่ี สี ่วนรว่ ม 3 ส่วน ไดแ้ ก่ 1) นักวจิ ัยผู้ขับเคลือ่ นการพฒั นา และนักศึกษาจากภาควิชาครุศาสตรเ์ กษตร สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 2) โรงเรียน ได้แก่ ผู้บริหารและครูเกษตรในโรงเรียนไพรบึงวิทยาคม จำนวน 2 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 ที่เลือกเรียนวิชาเกษตรในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 115 คน ได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3) ชุมชน คือ ตัวแทนชมรมครูเกษตรในจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 3 คน ผนู้ ำชมุ ชน 1 คน และผปู้ กครองนกั เรยี นจำนวน 5 คน ไดจ้ ากการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) กระบวนการวจิ ัยมี 3 ขน้ั ตอนตามวงจรการวิจัยเชิงปฏิบตั ิการ รายละเอียดมดี งั น้ี ระยะท่ี 1 พฒั นาโจทย์วิจัย/หาความต้องการของเครือข่ายและชุมชน ดำเนนิ การโดยศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ของชุมชน และโรงเรียน โดยการวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อพัฒนาโจทย์วิจัยให้สอดคล้องกับ ความต้องการของชุมชนในเรื่องความรดู้ ้านการเกษตรท่ีต้องการ และลงพ้ืนทส่ี ำรวจโรงเรียนถึงสงิ่ แวดล้อม งานฟาร์มและ สิ่งอำนวยความสะดวกของโรงเรียน สำหรับนักศึกษาของภาควิชาครุศาสตร์เกษตรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ มีการส่งเสริมความพร้อมในการถ่ายทอดความรู้ผ่านรายวิชาการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 1 ในด้าน การฝึกทักษะ การสอน การวางแผนการสอนและการดำเนินกิจกรรม รว่ มกบั การฝึกทักษะปฏิบัติทางการเกษตรด้านการผลิตสตั ว์ และ การผลติ พืช และเตรียมความพร้อมผ่านรายวิชาการฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชีพครู 2 โดยการออกสงั เกตการสอนและทดลอง สอนจริงท้ังในระดับอาชวี ศึกษาและระดับการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน เพ่ือเสริมสร้างศกั ยภาพในการเป็นครเู กษตร ระยะท่ี 2 สร้างและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้มีส่วนร่วมในการดำเนินการนี้ ได้แก่ คณะผู้วิจัยและ นักศึกษา ตัวแทนครูเกษตรของโรงเรียน ตัวแทนสมาชิกชุมนุมชมรมครูเกษตร ใช้วิธีการสนทนากลุ่มเพื่อกำหนดเนื้อหา และพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เกษตร โดยนักศึกษาจะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ผ่านฐานกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 4 และ การผลิต 1 สื่อการสอน ดังนี้ 1) การสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่พื้นเมือง 2) วิธีการเลี้ยงไก่พื้นเมือง 3) การแปรรูปไก่พื้นเมือง 4) การกำจดั ของเสยี ที่ได้จากการเลยี้ งไก่ (ปุ๋ยหมัก/ปุ๋ยพืชสด) และ 5) สือ่ การสอนวีดิทัศน์ เรื่อง การเลีย้ งไกพ่ ื้นเมือง การหาคุณภาพเคร่อื งมือ 1. นำกจิ กรรมทัง้ 4 ฐาน คอื 1) การสรา้ งโรงเรอื นเลีย้ งไกพ่ ้ืนเมือง 2) วิธกี ารเลย้ี งไกพ่ ืน้ เมือง 3) การแปรรูป ไก่พนื้ เมือง 4) การกำจดั ของเสียท่ไี ดจ้ ากการเลย้ี งไก่ (ปยุ๋ หมกั /ปยุ๋ พืชสด) หาคุณภาพโดยการหาค่า IOC จากผู้เช่ียวชาญ 5 ทา่ น โดยกำหนดค่าเฉลีย่ ของระดบั ความคิดเห็นแต่ละรายการท่ีมีคา่ ต้ังแต่ 0.50 ข้ึนไป ถือวา่ มคี วามสอดคล้อง ถ้าน้อย กวา่ 0.50 ต้องนำมาพิจารณาปรับปรงุ ตามข้อเสนอแนะจากผ้เู ชยี่ วชาญ 2. ในกิจกรรมแต่ละฐานนั้นจะมีการทดสอบความรู้ก่อนและหลังเรียน (One Group Pretest-Posttest Design) ดว้ ยชดุ ข้อสอบชนดิ 4 ตวั เลอื ก แบบตอบถกู ได้ 1 ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน ฐานละ 10 ข้อ รวม 40 ขอ้ ท่ีผ่านการหา คุณภาพเครอ่ื งมือโดยการหาค่า IOC มคี ่า IOC ตงั้ แต่ 0.60 – 1.00 และเม่ือไดข้ ้อมลู แล้วนำมาวเิ คราะห์หาความแตกต่าง ของความรู้ความเขา้ ใจก่อนและหลังเรียน โดยใช้สถติ ทิ ดสอบ Paired-Sample t-test คำนวณด้วยโปรแกรมวเิ คราะห์ทาง สถติ ิ
250 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปที ่ี 23 ฉบับที่ 2 เมษายน - มถิ นุ ายน 2564 ระยะที่ 3 การประเมนิ ผลกจิ กรรมการเรียนรู้เกษตร 1. ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนในกิจกรรมทั้ง 4 ฐาน ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scales) 5 ระดบั ท่ีมีค่าความเชอ่ื ม่นั (Reliability) เทา่ กับ 0.85 (Cronbach, 1970, p. 161) จากนัน้ เมือ่ ไดข้ ้อมลู นำมาวเิ คราะหโ์ ดยการหาค่าเฉลย่ี (X ) และหาค่าส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) 2. สรุปและสะท้อนผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เกษตรและพัฒนาแนวทางในการถ่ายทอดความรู้ทาง การเกษตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตในชุมชน โดยการจัดเวทีสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ร่วมกันระหว่าง นักวิจัยและนักศึกษา ผู้บริหารหรือตัวแทนครูในโรงเรียน 2 คน ตัวแทนสมาชิกชมรมครูเกษตร 2 คน และผู้ปกครอง นักเรยี น 5 คน 3. ประเมินผลสื่อวีดิทัศน์การถ่ายทอดความรู้เรื่องการเลี้ยงไก่พื้นเมือง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตสื่อ 3 คนและผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงไก่พื้นเมือง 2 คน ด้วยแบบประเมินคุณภาพสื่อวีดิทัศน์ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scales) 5 ระดบั ผลการวิจยั 1. ข้อมูลพืน้ ฐานของโรงเรียนไพรบึงวิทยาคมและชมุ ชนรอบๆ โรงเรยี นไพรบึงวิทยาคมตั้งอยู่ท่ีเลขที่ 50 หมู่ที่ 20 ตำบลไพรบึง อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ มีพื้นที่ทั้งหมด 229 ไร่ 96 ตารางวา และมีนายศึก ลูกอินทร์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน มีครูและบุคลากรทั้งหมด จำนวน 123 คน โรงเรียนไพรบึงวิทยาคมมีศูนย์เรียนรู้ เกษตรมีชีวิต และจัดการเรียนการสอนทางการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นการปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดทักษะในการทำงานและบูรณาการวิชางานเกษตรกับงานช่างและงานอาชีพ โดยประชากรในอำเภอไพรบึง เป็นกล่มุ ชาติพันธุ์ทหี่ ลากหลาย และมภี าษาพดู ทีแ่ ตกตา่ งกัน ซง่ึ ประกอบไปด้วย 4 กลุ่มชาติพนั ธ์ุ คอื เขมร กูย (หรอื กวย หรือส่วย) เยอ และลาว ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาปีเป็นอาชีพหลัก มีการปลูกพืชหลังนา เช่น อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น มีการเลี้ยงสตั ว์ไว้ในครวั เรอื น เช่น วัว ควาย เปด็ นกกระทา ไก่เนือ้ และไกพ่ ื้นเมอื ง โดยจะเลี้ยงไก่ พื้นเมืองมากกว่าสัตว์ประเภทอื่นๆ ด้วยเหตุผลเลี้ยงไว้เพื่อบริโภคและจำหน่ายในช่วงเทศกาล และนิยมเลี้ยงไก่พันธุ์ พื้นเมืองลูกผสม นอกจากนี้ ยังมีการรวบรวมไก่พื้นเมืองส่งไปขายยังตลาดชายแดนประเทศกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การส่งเสรมิ ให้นกั เรียนได้มีความร้ทู างการเกษตรทส่ี อดคล้องกับวถิ ชี วี ิตของนกั เรียน จะสามารถนำไปใช้ไดใ้ นชีวิตจริงได้ 2. การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ทางการเกษตร ในการลงพื้นท่ี พบว่า ชุมชนต้องการพัฒนาความรู้ ด้านการเกษตรทค่ี รบวงจร เพือ่ ใหน้ กั เรียนมองภาพกว้างของการปฏบิ ตั ิงานเกษตรได้ และนำไปใช้ไดจ้ ริงในชีวิตประจำวัน จึงได้กำหนดประเด็นในการพัฒนาความรู้ คือ การเลี้ยงไก่พ้ืนเมือง จากน้ันพัฒนาเป็นกิจกรรมการเรียนรู้เกษตร 4 ฐาน ได้แก่ 1) การสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ 2) วิธีการเลี้ยงไก่พื้นเมือง 3) การแปรรูปไก่พื้นเมือง 4) การกำจัดของเสียที่ได้จาก การเลี้ยงไก่ นอกจากน้ี ยังได้ผลิตสือ่ การสอน คือ วีดิทัศน์ เรื่อง การเลี้ยงไก่พ้ืนเมอื ง เพื่อเผยแพรแ่ ละรวบรวมความรูไ้ ว้ เปน็ ข้อมูลเพอื่ ใชป้ ระโยชนไ์ ด้ตอ่ ไป ดังภาพ 2
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 251 ภาพ 2 ความรู้เกษตรท่ีสอดคล้องกับวิถีชวี ติ แบบครบวงจร 2.1 ผลการทดสอบความรกู้ อ่ นและหลังการเรียนด้วยฐานกิจกรรมการเรยี นร้เู กษตร มดี ังนี้ ตาราง 1 ผลการเปรยี บเทยี บกอ่ นและหลงั การเรียนด้วยฐานกจิ กรรมการเรยี นรู้ (n = 115) ฐานกิจกรรมการเรียนรู้เกษตร คะแนนรวม กอ่ นฝึกอบรม หลังฝึกอบรม t P (40) X S.D. X S.D. สร้างโรงเรอื น 10 5.01 0.64 7.81 0.76 -22.87 .00* วิธเี ล้ยี ง 10 5.05 0.82 7.80 0.76 -22.84 .00* แปรรปู 10 4.63 0.62 8.00 0.78 -28.88 .00* กำจัดของเสีย 10 4.63 0.82 7.06 0.53 -21.75 .00* *p < .05 จากการประเมินความรู้ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทำการเปรียบเทียบก่อน และหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีความรู้ด้านการเลี้ยงไก่พื้นเมืองในทุกฐานสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p .05 ซึง่ ในฐานท่ี 3 การแปรรูปไก่พนื้ เมืองนักเรยี นมคี ะแนนหลังเรียนสงู ที่สดุ 2.2 ผลการประเมินความพงึ พอใจของนักเรียนที่เข้ารว่ มฐานกจิ กรรม มดี ังนี้ ตาราง 2 ความพึงพอใจของนักเรียนทเ่ี ขา้ ร่วมทำกิจกรรมตามฐานการเรยี นรู้ (n=115) ที่ รายการ X S.D. ความหมาย 1 กจิ กรรมน้ีดแี ละมีประโยชน์ 2 เนอื้ หาในแต่ละฐานกจิ กรรมมีความชัดเจน เข้าใจงา่ ย 4.48 0.84 มาก 3 อปุ กรณ์และเคร่ืองมือในแต่ละฐานมีความพร้อม 4 การจัดบรรยากาศการเรยี นเอ้ือต่อการเรียนรู้ 4.45 0.67 มาก 5 การสอนเนื้อหาสาระทุกเรอื่ ง เข้าใจได้ง่าย ส้ัน กระชับ 4.64 0.51 มากที่สุด 3.89 0.81 มาก 3.78 0.99 มาก
252 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปที ี่ 23 ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถนุ ายน 2564 ท่ี รายการ X S.D. ความหมาย 6 การสอนภาคปฏบิ ัติชัดเจน เข้าใจ สนกุ และน่าติดตาม 7 ขณะปฏบิ ัตกิ จิ กรรมครูเปิดโอกาสใหแ้ สดงออกอย่างทั่วถึง 4.17 0.73 มาก 8 ความพงึ พอใจต่อการร่วมกจิ กรรม ฐาน 1 การสร้างโรงเรอื น 9 ความพึงพอใจตอ่ การรว่ มกิจกรรม ฐาน 2 การเลีย้ งไกพ่ ันธพุ์ ้ืนเมอื ง 4.10 0.88 มาก 10 ความพึงพอใจตอ่ การร่วมกจิ กรรม ฐาน 3 การแปรรปู 11 ความพงึ พอใจต่อการรว่ มกจิ กรรม ฐาน 4 การกำจัดของเสีย 4.13 0.92 มาก (Zero waste/ปุ๋ยหมักและป๋ยุ พืชสด) 4.60 0.49 มากท่ีสุด 12 เรียนแล้วอยากบอกเพื่อนๆให้เลอื กเรยี นวิชาเกษตร 13 ความรู้ความสามารถและประโยชน์ที่ได้รับภายหลังการเรียนจากฐาน 4.49 0.50 มาก กจิ กรรม 3.95 0.89 มาก 14 หลังจากเรยี นแล้วจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 15 อยากให้มีกจิ กรรมในลักษณะนอี้ กี 3.92 0.85 มาก รวมเฉลย่ี 4.13 0.89 มาก 4.37 0.79 มาก 4.56 0.64 มากที่สุด 4.24 0.26 มาก ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนจากการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 4 ฐาน พบว่า ในภาพรวมนักเรียนพึงพอใจในระดับมาก (X = 4.24, S.D. = 0.26) เมอ่ื พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นกั เรยี นพงึ พอใจมาก ที่สุดเร่ืองของอุปกรณแ์ ละเครื่องมือในแต่ละฐานมีความพร้อม (X = 4.64, S.D. = 0.51) สำหรับความพึงพอใจในการทำ กิจกรรมทั้ง 4 ฐาน พบว่า นักเรียนความพึงพอใจต่อการร่วมกิจกรรม ฐาน 2 การเลี้ยงไก่พันธุ์พื้นเมืองมากที่สุด (X = 4.60, S.D. = 0.49) 2.3 ผลการประเมินคุณภาพสอื่ วีดิทศั น์ เรื่อง การเลี้ยงไก่พื้นเมือง มผี ลการวิจยั ดงั นี้ ตาราง 3 ผลการประเมนิ คณุ ภาพสื่อวีดทิ ศั นโ์ ดยผู้เช่ียวชาญ เร่ือง การเล้ยี งไกพ่ นื้ เมือง รายการ ระดบั ความคดิ เหน็ (n = 5) ด้านความสมบูรณ์ของเนื้อหา X S.D. ความหมาย ด้านความสอดคล้องของเนอ้ื หากับวัตถุประสงค์ ด้านกิจกรรมการเรยี นรู้ 3.60 0.54 มาก ด้านส่ือการเรียนรู้ (รูปแบบ/แสง/สี/เสียง) ดา้ นประโยชน์ทางวิชาการ 4.20 0.44 มาก รวม 3.60 0.54 มาก 4.20 0.44 มาก 3.60 0.54 มาก 3.91 0.29 มาก ผลการประเมินคุณภาพสื่อวีดิทัศน์ เรื่อง การเลี้ยงไก่พื้นเมือง พบว่า ในภาพรวมผู้เชี่ยวชาญ มีความเห็นว่าสื่อวีดิทัศน์มีคุณภาพในระดับมาก ( X = 3.91, S.D. = 0.29) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 253 ด้านความสอดคล้องของเนื้อหากับวัตถุประสงค์ และด้านสื่อการเรียนรู้ (รูปแบบ/แสง/สี/เสียง) ผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่า เหมาะสมในระดับมากเท่ากัน (X = 4.20, S.D. = 2.44) 3. ผลการสรปุ และสะท้อนผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้เกษตรกับเครอื ข่าย ระยะวิจัย กจิ กรรม สะทอ้ นผลการจัดกิจกรรม ความรู้ทางการเกษตรท่ีเหมาะสม คือ ระยะท่ี 1 การลงพ้นื ท่ชี ุมชนและสำรวจโรงเรยี นเพอ่ื กำหนดโจทย์วิจัย “การเกษตรท่ีครบวงจร นักเรียนเห็น ภาพรวมทีเ่ ชื่อมโยง ไมเ่ ป็นความรู้แบบขนม ชน้ั ” (ตัวแทนชมรมครูเกษตร) “ในชุมชนนี้นิยมไก่พื้นเมอื งมากกว่าไก่พนั ธุ์ และเด็กๆกย็ ังไม่คอ่ ยรู้เร่อื งการเลยี้ ง” (ครูใน โรงเรยี น) “ถา้ เด็กได้เรียนร้จู ากโรงเรียนมาก็คงนำมา ทำที่บ้านได้ เพราะมีพ้ืนที่อยู่บ้าง และพร้อม สนับสนุนช่วยเหลอื ” (ผู้ปกครอง) ระยะท่ี 2 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เกษตรจาก โจทย์วิจัย : ความรู้ “ควรเป็นความรู้ท่ีนักเรียนอยากเรียน และ เกษตรทส่ี อดคล้องกบั วถิ ชี ุมชน พวกเราก็สามารถสอนไดฝ้ ึกทกั ษะให้ นักเรียนทำได้” (นักศึกษา) “ควรมอบวีดีโอข้ันตอนทั้งหมดไว้เพื่อความรู้ ท่ีคงอยกู่ ับชุมชน แล้วจะใช้การทำคิวอาโค้ด มาเป็นตัวเชื่อมให้ นักเรียนท่ีไม่ได้ลงฐาน สามารถค้นความรู้ได้” (นักศกึ ษา) “มีการใช้พื้นท่ีของโรงเรียนที่มจี ำกัดได้ ค้มุ ค่ามาก” (ผู้บริหารโรงเรียน) “การบรรยายความรดู้ ี เขา้ ใจ แตก่ ารปฏบิ ตั ิ ในบางฐานยังไม่ค่อยทั่วถงึ นักเรยี นเยอะ” (ครูเกษตร)
254 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปที ี่ 23 ฉบับที่ 2 เมษายน - มถิ ุนายน 2564 ระยะวจิ ัย กจิ กรรม สะทอ้ นผลการจัดกิจกรรม ระยะท่ี 3 การประเมินผลการจดั กจิ กรรมตามฐานการเรียนรรู้ ่วมกับ “รู้สึกดีใจท่ีมหาวิทยาลัยให้ความสนใจ ชมุ ชน พัฒนาความรูใ้ หก้ ับโรงเรยี นในชุมชน และมา สอนอยา่ งเป็นกันเอง เด็กๆ มีความสขุ ที่ได้ เรยี น” (ผู้ปกครอง) “นักศึกษาที่มาสอนอาจยังไม่ชินกับการสอน หน้าชั้นเรยี นที่มเี ด็กเยอะ บางคร้ังยังมีตดิ ขัด บ้างแตก่ ็สามารถแก้ไขไปได้” (นักวิจัย) “ชอบฐานเลย้ี งไก่ เพราะได้ทำวัคซีนลูกไก่ จริงๆ ตื่นเต้นด”ี (นักเรียน) “ชอบฐานแปรรปู ไก่เพราะได้ทำเป็นอาหาร จากไก่ท่ีเราเล้ยี ง แต่ไม่ชอบตอนฆ่าไกเ่ ลย สงสารไก่” (นกั เรียน) “ฐานกำจัดของเสยี ควรหาวธิ ีนำของเสียจาก การเล้ียงไก่มาผลิตเป็นปุย๋ ให้หลากหลาย รปู แบบมากขึ้น เช่น ทำปุย๋ อัดเม็ด นี่เสนอไว้ เพ่ือการต่อยอด” (ครเู กษตรในโรงเรียน) การอภิปรายผลการวิจัย จากความต้องการของชุมชน และผู้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา พบว่า ประเด็นที่ควรพัฒนาความรู้ ด้านการเกษตรให้กับนักเรียนต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงของนักเรียน เนื่องจากนักเรียนจะได้รับความรู้หลักวิชาการ จากโรงเรียนและสามารถเชื่อมโยงสู่งานอาชีพที่บ้านได้ และช่วยงานของพ่อแม่ได้ทั้งนเ้ี น่ืองจากในการจัดการเรียนรู้ท่ีจะ ก่อให้เกิดความรู้ที่คงทน ควรเป็นความรู้ที่นักเรียนเห็นว่ามีประโยชน์ และสำคัญซึ่งนักเรียนจะให้ความสนใจ ตั้งใจ ในการเรยี นร้นู ้นั ๆ โดยในกจิ กรรมการเรียนรู้ทางการเกษตรท้ัง 4 ฐานนี้สอดคลอ้ งกับหลกั การจดั การเรียนรู้งานเกษตร ใน กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ที่เน้นการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานในชีวิตประจำวันการช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว และสังคมได้ในสภาพเศรษฐกิจที่พอเพียงไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเน้นการปฏิบัติจริงจนเกิดความมั่นใจ เพอ่ื ค้นพบความสามารถ ความถนัดและความสนใจของตนเอง (Ministry of Education, 2008, p. 204) การประเมินความรู้ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทำการเปรียบเทียบก่อนและหลังเรียน พบว่า นกั เรยี นมคี วามรู้ด้านการเลี้ยงไก่พื้นเมืองในทกุ ฐานสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิ p .05 ซึ่งในฐาน
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 255 ที่ 3 การแปรรูปไก่พื้นเมือง นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงที่สุด ที่เป็นเช่นน้ีเนื่องจากมีการเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติ (Learning by Doing) และนักเรียนเกิดการเรยี นรโู้ ดยการมีประสบการณ์จริง ได้กระทำในสถานการณ์จรงิ มีกระบวนการ ให้ผูเ้ รยี นมบี ทบาทสำคัญท่ีจะสืบค้นหาความรู้ และได้รับอิสระรเิ ริ่มความคิดและลงมือทำตามความคิด นักเรียนจึงได้รับ ประสบการณ์และใช้กระบวนการแก้ปัญหาด้วยตนเอง จากนั้นจะสร้างความรู้ความเข้าใจด้วยตนเอง (Dewey, 1963) ส่งผลให้นักเรียนมีผลการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน นอกจากนี้พบว่าในภาพรวมนักเรียนพึงพอใจต่อการเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 4 ฐาน ในระดับมาก (X = 4.24, S.D. = 0.26) และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการร่วมกิจกรรม ฐาน 2 การเล้ยี งไกพ่ นั ธ์ุพ้นื เมืองมากท่ีสดุ (X = 4.60, S.D. = 0.49) ทงั้ น้ี เนื่องจากนักเรยี นสามารถนำเอาความรู้ทฤษฎีที่ เรียนจากฐานกิจกรรมมาเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ในการลงมือปฏิบตั ิอย่างมคี วามหมาย โดยเชอื่ มโยงการเรียนรู้ ความคิด และการกระทำเขา้ ด้วยกัน ซ่ึงจะก่อใหน้ ักเรียนเกิดความเข้าใจอยา่ งลึกซ้ึง (Kolb et al.,1984) เพราะได้รบั ประสบการณ์ ตรง นอกจากน้ี นักเรียนยังมองเห็นคุณค่าในการรักษาสิ่งแวดล้อมจากฐานท่ี 4 การกำจัดของเสีย ที่ได้จากการเลี้ยงไก่ (Zero Waste) โดยนำของเสียเหล่านั้นมาเป็นส่วนผสมในการทำปุ๋ยหมักและปุ๋ยพืชสด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Detyothin et al. (2017, p. 315) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาการรู้สิ่งแวดล้อมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ การสอนแบบโครงการท่ีเน้นการคดิ แกป้ ัญหา ผลการวิจัย พบวา่ แผนการจัดการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ารสอนแบบโครงการท่ีเน้น การคิดแก้ปัญหามีดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.7133 นักเรียนที่เรียนด้วยการสอนแบบโครงการที่เน้นการคิดแก้ปัญหา และการสอนแบบปกติ มีความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ความตระหนักต่อสิ่งแวดล้อม และความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ส่ิงแวดลอ้ ม โดยรวมและรายด้านหลังเรียนเพ่ิมขึน้ จากก่อนเรียน และนกั เรยี นทีเ่ รยี นโดยใช้รูปแบบการสอนแบบโครงการ ที่เน้นการคิดแก้ปัญหา มีความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ความตระหนักต่อสิ่งแวดล้อม ขั้นท่ี 2 การตอบสนอง และการคิด แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยรวมและรายด้าน 4 ด้าน คือ ด้านมลพิษทางน้ำ ด้านมลพิษทางอากาศ ด้านมลพิษทางเสียง และดา้ นมลพิษจากขยะมลู ฝอย สูงกว่านักเรยี นทีเ่ รียนแบบปกติ ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวจิ ัยไปใช้ จากผลการวิจัยน้ีทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างเครือข่ายที่เข้มแข็งขึ้น และร่วมสร้างองค์ความรู้ทาง การเกษตรและพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เกษตร ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและชุมชนได้เป็นอย่างดี และ ควรขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ บริเวณใกล้เคียงโรงเรียนให้มากขึ้น และควรนำข้อมูลจากสื่อวีดิโอที่ผลิตได้เผยแพร่ทาง คิวอาร์โคด้ เพ่อื ใหน้ ักเรยี นที่ไมไ่ ดล้ งฐานแตส่ นใจเรียนรู้ คน้ คว้าขอ้ มลู ได้ดว้ ยตนเอง 2. ขอ้ เสนอแนะในการทำวจิ ัยต่อไป 2.1 ควรมีการวิจัยเพิ่มเติมในมิติการนำผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปหรือการเพิ่มมูลค่าให้มากขน้ึ และส่งเสรมิ เปน็ อาชพี ที่สร้างรายได้ใหก้ บั ชมุ ชน 2.2 ควรมีการศึกษาเพิม่ เกีย่ วกับผู้มีส่วนร่วมเครือข่ายอืน่ ๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาไปสู่ ความยง่ั ยืนของชุมชนมากข้ึน
256 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปที ี่ 23 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน - มถิ นุ ายน 2564 References Cronbach, L. J. (1970). Essentials of psychological testing (3rd ed.). New York: Harper and Row. Detyothin, O., Singsriwo, A., & Suksringarm, P. (2017). The development of environmental literacy of mattayomsuksa 3 student using the project-based teaching with problem-solving thinking. Journal of Education Naresuan University, 19(2), 305-317. [in Thai] Dewey, J. (1963). Experience and education. New York: Macmillan Publishing Company. Erwin, W. (1976). Participation management: Concept theory and implementation. Atlanta: Georgia State University. Khammani, T. (2017). Science of teaching: The body of knowledge for effective learning process facilitation (21th ed.). Bangkok: Chulalongkorn University Press. [in Thai] Kolb, D. A., Rubin, I. M., & McIntyre, J. M. (1984). Organizational psychology: A book of readings (4th ed.). New Jersey: Prentice Hall. Ministry of Education. (2008). Basic Education Curriculum 2008. Bangkok: The Agricultural Cooperative Federation of Thailand. [in Thai] Office of the National Economic and Social Development Board. (2017). The twelfth national economic and social development plan (2017-2021). Bangkok: Office of the Prime Minister. [in Thai] Office of the Education Council. (2017). National scheme of education of B.E. 2560-2579 (2017-2021). Bangkok: Prikwarn Graphic. [in Thai]
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 257 บทความวิจัย (Research Article) การจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสงิ่ แวดล้อม เพอ่ื ส่งเสริมการรู้สิง่ แวดลอ้ ม เร่ือง มนุษยก์ บั ความยงั่ ยืนของส่งิ แวดลอ้ ม สำหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 USING SCIENCE TECHNOLOGY SOCIETY AND ENVIRONMENT (STSE) APPROACH TO ENHANCE ENVIRONMENTAL LITERACY IN HUMAN AND ENVIRONMENTAL SUSTAINABILITY FOR TWELFTH GRADE STUDENTS Received: June 21, 2019 Revised: July 25, 2019 Accepted: August 13, 2019 วัฒนพงศ์ เขียวเหลอื ง1* สิรินภา กจิ เก้ือกูล2 และมลิวรรณ นาคขนุ ทด3 Wattanapong Khiaolueang1* Sirinapa Kijkuakul2 and Maliwan Nakkuntod3 1,2,3มหาวิทยาลยั นเรศวร 1,2,3Naresuan University, Phitsanulok 65000, Thailand *Corresponding Author, E-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ งานวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมการรู้สิ่งแวดล้อม เรื่อง มนุษย์กับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 37 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 5 ขั้น ได้แก่ 1) สร้างแรงจูงใจ 2) ค้นคว้าหาข้อมูล การซักถาม และ การอภิปราย 3) อภิปรายร่วมกับนักเรียน 4) ประยุกต์ใช้ความรู้ไปลงมือปฏิบัติจริง และ 5) ประเมินผล เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ และ 2) แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิง เนื้อหา และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า ผลการวิจัย พบว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่ประสบความสำเร็จ ควรเลือกใช้ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบ และเหมาะสมกับบริบทของนักเรียน จึงจะสามารถส่งเสรมิ ให้นักเรียนเกิดเจตคติด้านสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตนเอง ซึ่งขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม คือ ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ไปลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งกระตุ้นให้นักเรียน แสดงออกถึงพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม โดยนำความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้จากประเด็นปัญหามาลงปฏิบัติจริง โดยการสร้างแนวทางการแก้ไขปัญหาท่ีเหมาะสมกับประเดน็ ปญั หาดา้ นสง่ิ แวดล้อม
258 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท่ี 23 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน - มถิ นุ ายน 2564 คำสำคัญ: การจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่ิงแวดล้อม การรู้ส่งิ แวดล้อม มนุษย์กับ ความย่ังยนื ของส่ิงแวดล้อม Abstract The purpose of action research was development of environmental literacy by using science technology society and environment (STSE) approach in human and environmental sustainability for grade 12th students. The participant were 37 students by purposive sampling. There were 5 steps of science technology social and environment approach including 1) motivating students, 2) searching the information questioning and discussing, 3) discussions with students, 4) applying knowledge to practice, and 5) evaluating. Research instrument included 1) lesson plan, 2) activity sheet, 3) working, and 4) activity reflection journals. Data were analyzed using content analysis and verified responsibility by triangulation method. The research results showed that successful environmental management should be selected to use environmental issues that affect and suitable for the student context. Therefore, can encourage students to have environmental attitude and learn to solve environmental problems by themselves. The most important step for learning by science technology society and environment approach is the application of knowledge to practice. This step can encourage students to express environmental behavior by using environmental knowledge derived from environmental issues into practical action about solving problems that are appropriate for environmental issues. Keywords: Science Technology Society and Environment (STSE) Approach, Environmental Literacy, Environmental Sustainability บทนำ ปัจจุบันประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกมากขึ้น อันเนื่องมาจากกระแส โลกาภิวัตน์ (Globalization) นำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี ส่งผลให้เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเติบโต อย่างรวดเร็ว จนทำให้มนุษย์นั้นไม่คำนึงถึงข้อจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำมาซึ่งผลกระทบ ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหามลพิษ ปัญหาขยะมูลฝอย รวมไปถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ภาครัฐจึงให้ ความสำคัญในการพัฒนาประเทศ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักตามเป้าหมาย การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Education for Sustainable Development : ESD) เป็นกุญแจหลักของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน อันนำไปสู่ การประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ เนื่องจาก หากมนุษย์มีการศึกษาที่ดีส่งผลให้มีคุณภาพและความยั่งยืนในชีวิตเพ่ิม มากขึ้น (UNESCO, 2017) ซึ่งแนวคิดสิ่งแวดล้อมศึกษาได้ถูกนำมาพัฒนาเกี่ยวกับด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จนทำให้ เกิดคำว่า การรู้สิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy) หมายถึง ความรู้ ทักษะ และแรงจูงใจ ที่ทำให้บุคคลสามารถ
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 259 จัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมตามวิถีทางที่สง่ เสรมิ ตอ่ การพัฒนาอยา่ งย่ังยืนได้ (UNESCO, 1978) นิยามดังกล่าวแสดงให้ เห็นว่า การให้ความรู้ในด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ จำเป็นต้องอาศัย จติ สำนึก ทัศนคตทิ ่ดี ี และความมุ่งมนั่ ในตัวบุคคลด้วย สอดคลอ้ งกับคำนยิ ามของ Murphy and Olsen (2008) ว่าการรู้ สิ่งแวดล้อมมี 3 องค์ประกอบ คือ ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Knowledge) เจตคติด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Attitudes) และพฤตกิ รรมดา้ นสงิ่ แวดล้อม (Environmental Behaviors) ปจั จบุ นั พบปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มเกิดขนึ้ มากมาย สาเหตุหลกั ของปญั หาสง่ิ แวดล้อมไมไ่ ดเ้ กดิ จากการขาดความรู้ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เกิดจากมนุษยน์ ัน้ มคี วามรู้ในเรื่องสิ่งแวดลอ้ ม แต่ไม่สามารถนำความรู้ด้านสิง่ แวดลอ้ มมาปรับใช้ กับบริบทจริงได้ เนื่องจากมนุษย์ยังยึดผลประโยชน์ต่อตนเองเป็นหลัก และยึดผลประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมเป็นรอง กลา่ วคือ มนุษยย์ งั ขาดเจตคติด้านส่ิงแวดล้อม ซงึ่ เจตคติทด่ี เี ปน็ ปัจจัยท่ีนำไปสู่การเกิดพฤติกรรมด้านส่ิงแวดล้อม ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงเจตคติด้านสิ่งแวดล้อมต้องอาศัยทั้งความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นเครื่องมือใน การตัดสินใจถึงการปฏิบัติตนที่เหมาะสม สามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในบริบทจริง และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ส่ิงแวดลอ้ มเกดิ ขน้ึ มาใหม่ จากการศึกษาวิธีการจัดการเรียนรู้ในห้องเรยี นในรายวิชาชวี วิทยาเพ่มิ เตมิ 5 เร่ือง มนษุ ยก์ บั ความยั่งยืนของ สิ่งแวดล้อม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แผนการเรียนที่เน้นวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัด พิษณุโลก พบว่า การจัดการเรียนรู้ยังคงเน้นการท่องจำในเนื้อหามากกว่าการปลูกฝังเจตคติที่ถูกต้องผ่านกระบวนการ การเรยี นร้ทู ่เี หมาะสม สง่ ผลให้นักเรยี นยังไมเ่ หน็ ถึงความสำคัญและตระหนกั ถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมท่เี กดิ ข้ึนรอบๆ ตัวของ นักเรียน เช่น การเกิดปัญหาขยะเป็นจำนวนมากในห้องเรียนและภายในโรงเรยี น อันเนื่องมาจากนักเรียนไม่คัดแยกขยะ ก่อนนำไปท้ิง ทำใหข้ ยะปะปนกันระหว่างขยะเปียก ขยะรีไซเคิล และขยะท่วั ไป สง่ ผลให้เกิดกล่นิ เหม็นและมลภาวะท่ีไม่ ดีต่อการเรียนและทศั นียภาพภายในโรงเรียน ถึงแม้ว่าภายในจังหวัดพษิ ณุโลกจะมแี หล่งรับซือ้ และโรงงานแปรรูปขยะที่ สามารถนำไปสร้างรายได้และคุณประโยชน์ก็ตาม ดังนั้น ผู้วิจัยจึงนำการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม (Science Technology Society and Environment Approach) มาประยุกต์ใช้กับ การเรียนรู้ในรายวิชาชีววิทยา เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง มีเจตคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม อนั นำไปสู่การเกิดพฤติกรรมด้านส่ิงแวดล้อม ตามองค์ประกอบของการรสู้ ่ิงแวดล้อมที่เป็นส่วนหน่ึงของกรอบการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมุ่งเน้นให้นักเรียนแสดงให้เห็นถึงความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และร่วมกันเพื่อแก้ไข ปญั หาดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม เช่น การมีส่วนร่วมในการดำเนนิ การระดับโลก การออกแบบวธิ ีการแกป้ ญั หาท่ีสรา้ งแรงบันดาลใจ ในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม (Partnership for 21st Century Skills, 2011) เพื่อให้เกิดการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับ Nakhai and Onthanee (2017) พบว่า ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่ิงแวดล้อม ส่งเสรมิ ให้นกั เรยี นเกดิ ความสามารถในการคิดแก้ปญั หาและมจี ติ สำนกึ ตอ่ ส่ิงแวดล้อม ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และ สิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมการรู้สิ่งแวดล้อม ในบทเรียนเรื่อง มนุษย์กับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ทสี่ ามารถนำไปใช้ในชวี ิตประจำวัน ซึ่งนำไปสู่การพฒั นาอย่างย่ังยืน
260 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปที ่ี 23 ฉบับท่ี 2 เมษายน - มถิ ุนายน 2564 วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ส่งเสริม การร้สู ง่ิ แวดล้อม สำหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 เร่อื ง มนษุ ยก์ บั ความยงั่ ยืนของส่งิ แวดล้อม วธิ ีดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกผู้เข้าร่วมวิจัยแบบเจาะจง ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แผนการเรียน วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนเน้นวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ที่กำลังศึกษารายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม 5 เรอื่ ง มนษุ ย์กับความย่ังยนื ของสง่ิ แวดล้อม ในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2560 จำนวน 37 คน การวิจยั นเ้ี ป็นการวิจยั เชิงปฏิบัตกิ ารในชั้นเรียน ซึง่ ในงานวิจัยนีผ้ ู้วิจัยได้เลือกใช้ข้ันตอนการวจิ ยั ปฏิบัติการ ในชั้นเรียนตามแบบของ Schmuck (as cited in Kijkuakul, 2015, pp. 149-152) มีขั้นตอนการดำเนินการเป็นวงรอบ ปฏิบัติการ ประกอบด้วย 1) ขั้นวางแผน (Plan) 2) ขั้นปฏิบัติ (Act) 3) ขั้นสังเกต (Observe) และ 4) ขั้นสะท้อนผล (Reflect) ซึ่งขั้นตอนทั้ง 4 นั้นจะเกิดขึ้นในลักษณะที่เป็นวงรอบปฏิบัติการต่อเนื่องกัน 3 วงรอบปฏิบัติการ โดยใช้ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม จำนวน 1 แผนการจัดการเรียนรู้ต่อ 1 วงรอบปฏิบตั ิการ ได้แก่ วงรอบปฏิบตั กิ ารที่ 1 เรื่อง ปัญหาสง่ิ แวดล้อม วงรอบปฏิบตั ิการท่ี 2 เรอ่ื ง ขยะอเิ ลก็ ทรอนิกส์ และวงรอบปฏิบัติการที่ 3 เรื่อง คุณค่าของทรัพยากร ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของ Richardson and Blades (2000) ประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) สร้างแรงจูงใจ 2) ค้นคว้าข้อมูล ซักถาม และอภิปราย 3) อภิปรายร่วมกับนักเรียน 4) ประยุกต์ใช้ความรู้ไปลงมือปฏิบัติจริง และ 5) ประเมินผล โดยหลังจากที่ผู้วิจัยวางแผน (Plan: P) ในการจัดการเรียนรู้ในแต่ละวงรอบแล้วนั้น ผู้วิจัยจัดการเรียนรู้ (Act: A) ตามขั้นตอนของแผนการจัด การเรียนรู้ โดยในระหว่างการจัดการเรียนรู้แต่ละขั้น ผู้วิจัยได้สังเกต (Observe: O) พฤติกรรมในการเข้าร่วมกิจกรรม การเรียนรู้ของนักเรียน จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อศึกษาพัฒนาการของการรู้สิ่งแวดล้อมของนักเรียน และ สะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ (Reflect: R) ในวงรอบปฏิบัติการนั้นๆ จากนั้นนำผลการสะท้อนที่ได้มาใช้ในการวางแผน (Plan: P) เพือ่ ปรบั ปรุงการจัดการเรยี นร้ใู นวงรอบปฏิบัติการถัดไป จนครบท้งั 3 วงรอบปฏิบัตกิ าร ดงั ภาพ 1 ภาพ 1 ขัน้ ตอนของกระบวนการวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 261 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ส่งเสริมการรู้สิ่งแวดล้อม เรื่อง มนุษย์กับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้จำนวน 9 ชั่วโมง ได้แก่ 1.1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ปัญหา สิ่งแวดล้อม จำนวน 3 ชั่วโมง เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้สำรวจถึงปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวนักเรียน หรือ ประสบปัญหาเหล่านั้นกับตนเอง เพื่อเรียนรู้ถึงสาเหตุหรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา นำไปสู่การหา แนวทางในแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างหนังสือพิมพ์สิ่งแวดล้อม ที่มีลักษณะเป็นการรวบรวมปัญหาด้าน สิ่งแวดล้อมที่แสดงให้เห็นถึงความตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อม และสามารถนำแนวทางไปปฏิบัติกิจกรรมด้าน สิ่งแวดล้อมได้ 1.2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ขยะอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 3 ช่ัวโมง เป็นกิจกรรมที่กระตุ้นให้ นักเรียนสืบค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยนักเรียนจะต้องวิเคราะห์ ผลกระทบที่เกิดขึน้ จากขยะอิเล็กทรอนิกสท์ ีต่ นเองใช้ต่อสิง่ แวดล้อม และนำข้อสรุปทีไ่ ดม้ าวางแผนในการหาแนวทางใน การปอ้ งกนั อนั ตรายจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และแนวทางในการปฏบิ ัตติ นเพื่อแกไ้ ขปัญหาขยะอิเลก็ ทรอนิกส์ได้อย่าง ถูกต้อง ผ่านการสร้างโปสเตอร์ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีลักษณะเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงอันตรายจากขยะ อิเล็กทรอนกิ ส์ และนำแนวทางการปฏบิ ัตติ นไปใชไ้ ด้จริง และ 1.3) แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 3 เร่ือง คุณค่าของทรัพยากร จำนวน 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นให้นักเรียนได้ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาผนวกกับการใช้ทรัพยากรให้เกิด ประโยชน์สูงสุด โดยการออกแบบและประดิษฐ์สิ่งของที่มีคุณค่าโดยใช้วัสดุเหลือใช้ ได้แก่ โคมไฟรีไซเคิล และ 2) แบบ สะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยและครูประจำการ ใช้ในการสะท้อนสภาพปัญหาและวิธีการแก้ไข ปัญหาในระหว่างการจัดการเรียนรู้แต่ละวงรอบปฏิบัติการ เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม ท่ีส่งเสริมการรสู้ ิง่ แวดลอ้ มตอ่ ไป การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และการวเิ คราะห์ข้อมลู ดำเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มลู และวิเคราะหข์ ้อมลู ตามข้ันตอน การวจิ ัยปฏิบตั ิการในช้ันเรียน โดยมรี ายละเอียดของการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวจิ ัยดังน้ี 1. ผู้วิจัยดำเนินเก็บรวบรวมข้อมูล ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 เป็นระยะเวลารวม 9 ชั่วโมง ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือวิจัยต่างๆ ในแต่ละวงรอบปฏิบัติการ จนครบทั้ง 3วงรอบปฏิบัติการ โดยมี วิธกี ารดำเนินการ ดงั น้ี 1.1 ข้ันวางแผน (Plan) ขั้นที่ 1 สร้างแรงจูงใจ เป็นขั้นที่กระตุ้นให้นักเรียนมองเห็นถึงปัญหาและผลกระทบจากปัญหา สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น เพื่อให้นักเรียนตระหนักเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยการหยิบยก สถานการณ์ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี กิดขึน้ จริงในสังคม ใกลต้ ัวนักเรียน และส่งผลกระทบตอ่ นกั เรยี น ขั้นที่ 2 ค้นคว้าข้อมูล ซักถาม และอภิปราย เป็นขั้นที่นักเรียนสืบค้นและค้นคว้าข้อมูลในเชิง วิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม วิเคราะห์ปัญหาสิ่งแวดล้อม และกำหนดแนวทางการแก้ปัญหา สิง่ แวดลอ้ ม โดยเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนสืบค้นขอ้ มลู และแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ โดยใชก้ จิ กรรมทห่ี ลายหลาย
262 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปีที่ 23 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน - มิถุนายน 2564 ขั้นที่ 3 อภปิ รายร่วมกับนกั เรยี น เป็นการนำขอ้ มูลจาการสืบค้นและค้นคว้ามาวิเคราะห์แสดงข้อดี และข้อเสียของข้อมูลที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน แล้วตั้งสมมติฐานถึงวิธีการแก้ปัญหา มีการแปลผลอย่างมี เหตุผล และสรปุ วิธกี ารแก้ปญั หาสิ่งแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสมเพื่อนำไปปฏบิ ตั ใิ ชจ้ รงิ ขั้นที่ 4 ประยุกต์ใช้ความรู้ไปลงมือปฏิบัติจริง เป็นข้ันที่นักเรียนนำวิธีการแก้ปญั หาทีไ่ ด้มาลงมือ ปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดข้อค้นพบของตนเองในการที่จะแก้ปัญหา โดยนำความรู้ไปประยุกต์ใช้โดยการสร้างหนังสือพิมพ์ สงิ่ แวดลอ้ ม โปสเตอร์ขยะอิเลก็ ทรอนกิ ส์ และโคมไฟรีไซเคิล ขั้นที่ 5 ประเมินผล เป็นขั้นที่นักเรียนสะท้อนผลจากการปฏิบัติกิจกรรม ตรวจสอบวิธีการ แก้ปัญหา และนำเสนอผลที่ได้จากการแก้ปัญหา พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อให้มองเห็นถึงแนวทาง การแก้ปญั หาทแี่ ตกต่างกนั 1.2 ขัน้ ปฏิบตั ิ (Act) และขน้ั สังเกต (Observe) ในจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม ผู้วิจัยไดป้ ฏิบตั ิตาม ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ที่ได้ออกแบบไว้ พร้อมทั้งสังเกตถึงข้อบกพร่องในการจัดการเรียนรู้ของผู้วิจัย และสังเกต พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน แล้วทำการบันทึกผลลงในแบบบันทึกการสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ ซึ่งบันทึก โดยผู้วิจยั และผูส้ ะท้อนผลรว่ ม (ครปู ระจำการ) 1.3 ขน้ั สะท้อนผล (Reflect) ผู้วิจัยวิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการวิจัยกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยพยายามมองหาหลักฐาน ข้อมูลที่สนับสนุนและคัดค้าน เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปว่าวิธีการดำเนินการนั้นให้ผลดีเพียงใด เพือ่ นำไปส่กู ารปรบั ปรงุ การพัฒนาการดำเนินงานในครงั้ ถัดไป 2. การวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) จากแบบ สะทอ้ นผลการจัดการเรียนรู้ โดยนำประเด็นปัญหาหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ที่ได้จากการสะท้อนผลมา วิเคราะห์และตีความว่า ข้อมูลที่เสนอแนะระหว่างผู้ให้ข้อมูลในแต่ละข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ตรงกันหรือมีทิศทาง เดียวกนั หรือไม่ เพอ่ื หาข้อสรุปทเ่ี หมาะสม และนำไปปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ในวงรอบปฏบิ ตั ิการถดั ไป โดยตรวจสอบ ความน่าเชื่อถือของข้อมลู ด้วยวธิ ีการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าด้านแหล่งข้อมูล (Resource Triangulation) โดยเป็น การตรวจสอบความน่าเช่ือถือจากการให้ข้อมลู ในแบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ระหว่างผ้วู ิจัยและครูประจำการในแต่ ละขัน้ ตอนการจัดการเรยี นรู้ในรปู แบบของการเขียนบรรยาย ผลการวจิ ยั หลังจากผู้วิจัยได้จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการรู้ สิ่งแวดล้อม ผู้วิจัยและครูประจำการได้สะท้อนผลเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในแต่ละขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ผา่ นกระบวนการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการทัง้ 3 วงรอบปฏิบัติ ผู้วจิ ยั ทำการวิเคราะห์ข้อมลู และแสดงผลดังต่อไปนี้
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 263 1. ขั้นสร้างแรงจูงใจ ผู้วิจัยสร้างแรงจูงใจโดยใช้ประเด็นที่นักเรียนได้รับผลกระทบเกี่ยวกับปัญหา สิ่งแวดล้อมในห้องเรียน ชุมชน หรือประเด็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดเจตคติ ด้านสิ่งแวดล้อมก่อนการจัดการเรียนรู้ โดยวงรอบปฏิบัติการที่ 1 ผู้วิจัยมอบหมายให้นักเรียนสำรวจปริมาณขยะที่อยู่ บริเวณภายในห้องเรียน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาขยะที่เกิดขึ้นในห้องเรียนว่าเกิดจากสาเหตุใดและมีผลกระทบ อย่างไรต่อนักเรียน พบว่า นักเรียนเกิดความตระหนักและเหน็ ความสำคัญกับปญั หาสิง่ แวดล้อมเพิ่มมากขึน้ แต่อย่างไร ก็ตาม การใช้ประเด็นปัญหาดังกล่าวยังไม่สามารถกระตุ้นนักเรียนให้เกิดเจตคติด้านสิ่งแวดล้อมได้ทั้งหมด เนื่องจาก นักเรียนบางส่วนไมไ่ ดม้ ีส่วนเกี่ยวข้องกบั ปัญหากับทเี่ กิดขึ้น จงึ ทำใหม้ องว่าตนเองไมไ่ ด้รบั ผลกระทบดังกล่าว ซ่ึงผู้วิจัยมี ความคิดเห็นว่า การสร้างสถานการณ์จำลองที่เกิดผลเสียต่อนักเรียนเป็นวิธีหนึ่ง ซึ่งสามารถกระตุ้นให้นักเรียนมองเห็น ปัญหาและผลกระทบไดอ้ ย่างชัดเจนมากข้ึน และมีความสนใจในการแก้ปัญหาโดยทันที เช่น การนำขยะจากห้องเรียนอื่น มาทิ้งในห้องเรียนที่มีการจัดการเรียนรู้ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงปรับปรุงวิธีการสร้างแรงจูงใจในวงรอบปฏิบัติการที่ 2 และ 3 โดยการเลือกใช้ประเด็นปัญหาที่มีความสอดคล้องกับชีวิตประจำวันของนักเรียนเพิ่มมากขึ้น คือ ประเด็นปัญหาขยะ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ทกี่ ่อใหเ้ กิดการปนเปื้อนโลหะหนักในส่ิงแวดลอ้ ม และการใช้สอ่ื วิดีทัศน์ เร่อื ง ขยะท่ีไม่ใชข่ ยะ ซ่ึงเก่ียวข้อง กับการส่งเสริมให้นักเรียนมองเห็นปัญหาและคุณค่าของขยะ ซึ่งจังหวัดพิษณุโลกมีนโยบายในการแก้ไขและลดปัญหา ขยะ ตามลำดับ ซง่ึ พบวา่ นักเรียนมีความสนใจและความกระตอื รือร้นในการนำประเดน็ ปญั หาทเ่ี กิดขนึ้ มาสบื ค้นข้อมูลใน เชงิ ลกึ เกย่ี วกับสาเหตแุ ละผลกระทบของปญั หาสิ่งแวดล้อมในขั้นตอนถดั ไปเพม่ิ มากขึ้น 2. ขนั้ คน้ ควา้ ข้อมูล ซักถาม และอภปิ ราย ผ้วู จิ ัยกระตุ้นให้นักเรียนได้สืบค้นเกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบ ของปัญหาสิ่งแวดล้อม แล้วนำมาวิเคราะห์ถึงแนวทางในการแก้ปัญหา ซึ่งผู้วิจัยได้จัดการเรียนรู้ในแต่ละวงรอบ ปฏบิ ัตกิ ารแตกต่างกนั ดังน้ี วงรอบปฏิบตั ิการที่ 1 ผู้วิจยั มอบหมายใหน้ ักเรยี นสำรวจปญั หาสิ่งแวดลอ้ มท่ีเกิดข้ึนในชุมชน ของนกั เรียน หรือปญั หาทีน่ ักเรียนไดร้ ับผลกระทบ พบวา่ ในระหว่างการปฏิบตั ิกิจกรรมนักเรียนเขียนอธิบายสาเหตุของ ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ละเอียดชัดเจน ตัวอย่างเช่น “ปัญหาน้ำเน่าเสียที่เกิดจากการทิ้งขยะอย่างไม่เป็นที่ลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง กอ่ ใหเ้ กิดปัญหาต่างๆ ตามมา ท้ังน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหมน็ ซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศ และยงั ทำให้สัตว์น้ำตายอีก ด้วย เนื่องจาก ไม่มีแหล่งน้ำที่สะอาดอยู่อาศัย” ซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า ขยะเป็นสาเหตุของน้ำเน่าเสียได้ อย่างไร เกิดกลิ่นเหม็นได้อย่างไร และเหตุใดสัตว์น้ำจึงตาย เพราะฉะนั้นผู้วิจัยจึงกระตุ้นให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลและ หาเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนคำตอบของนักเรียนในวงรอบปฏิบัติการที่ 2 โดยสืบค้นอันตรายจากอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น การอธิบายถึงอันตรายของโลหะหนักที่อยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และวงรอบปฏิบัติการที่ 3 อธิบายถึงผลดีต่อสิ่งแวดล้อมจากการนำวัสดุที่เหลือใช้มาสร้างโคมไฟรีไซเคิล ตัวอย่างเช่น ขวดโหลแก้วที่แตกละเอียดไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อได้ อาจส่งผลให้เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น การนำขวดแก้วท่ีแตกมาหลอมเป็นขวดใหม่ต้องใช้ทรัพยากร เช่น ทราย หนิ ปนู โซเดยี มคาร์บอเนต เพ่ือทำ ให้ได้ขวดแกว้ ใหม่ ใช้พลงั งานความร้อน พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิงจากปโิ ตรเลียม อาจให้ให้เกิดมลพิษทางอากาศ จะเห็น ว่า นักเรียนสามารถวิเคราะห์แนวทางในการแก้ปัญหาได้อย่างชัดเจนมากขึ้น มีการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์เข้ามา สนบั สนนุ ในการตอบคำถาม
264 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปที ี่ 23 ฉบบั ที่ 2 เมษายน - มถิ นุ ายน 2564 3. ขั้นอภิปรายร่วมกับนักเรียน นักเรียนสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา สิ่งแวดล้อม มาร่วมกันวิเคราะห์แนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีเหตุผล และสรุปวิธีการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ เหมาะสมต่อการแสดงออกถึงพฤติกรรมดา้ นส่ิงแวดล้อม โดยการนำความรู้เก่ียวกับปัญหาส่ิงแวดล้อมท่ีได้จากการเรียนรู้ ปญั หาส่งิ แวดล้อมมาวางแผนเพื่อสร้างช้ินงานที่แสดงออกถึงเจตคติดา้ นส่งิ แวดล้อม ทสี่ ง่ เสรมิ ชกั ชวน ชกั จงู ใหผ้ ู้อ่ืนได้มี ส่วนร่วมกันการแก้ไขปัญหาหรือเกิดความตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดีทั้ง 3 วงรอบปฏิบัติการ นอกจากนน้ั ข้ันตอนนท้ี ำใหผ้ ู้เรียนมแี นวทางในการแก้ไขปญั หาได้อย่างหลากหลายวิธีจากการอภิปรายในประเด็นปัญหา ของนักเรียนกลุ่มอื่น ๆ และสามารถนำไปปรับใช้ในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในบริบทจริง หรือสถานการณ์ปัญหาท่ี แตกต่างไดเ้ ป็นอยา่ งดี 4. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ไปลงมือปฏิบัติจริง ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดสำหรับการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากนักเรียนต้องใช้ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ตั้งแต่ ประเดน็ ปัญหาด้านส่ิงแวดล้อม จนสามารถอธิบายสาเหตุและผลกระทบของปญั หา และสรุปแนวทางในการแก้ปัญหาได้ อย่างเหมาะสม เพื่อนำมาลงมือปฏิบัติจริงโดยการสร้างเป็นชิ้นงาน ได้แก่ หนังสือพิมพ์สิ่งแวดล้อม โปสเตอร์ขยะ อิเล็กทรอนิกส์ และโคมไฟรีไซเคิล ซึ่งมีลักษณะเป็นสื่อที่โน้มน้าว ชักจูง หรือกระตุ้นให้ผู้อื่นเกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญในปัญหาสิ่งแวดล้อม และเข้าใจแนวทางในการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม และสามารถนำไปปฏิบัติได้ จริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการรู้สิ่งแวดล้อม ประกอบไปด้วย ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากน้ัน การเรียนรดู้ ้านสงิ่ แวดล้อมสามารถบูรณาการกับสาขาวิชาอื่นๆ หรือการนำไปใช้ในชีวติ ประจำวันได้เป็นอย่างดี เน่ืองจาก วงรอบปฏิบัติการที่ 3 ผู้วิจัยได้ปรับวิธีปฏิบัติการสร้างชิ้นงานเพื่อลดระยะเวลาในการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสม โดยมอบหมายใหน้ ักเรยี นประยุกต์ใช้วัสดุทเ่ี หลอื ใชม้ าประดิษฐโ์ คมไฟของรายวิชา การออกแบบเทคโนโลยี ซึ่งสะท้อนให้ เหน็ ว่า การร้สู ง่ิ แวดลอ้ มเป็นสว่ นหนึง่ ของทุกรายวชิ า 5. ข้ันประเมนิ ผล นักเรยี นสะทอ้ นผลจากการปฏิบัตกิ ิจกรรม ตรวจสอบวิธีการแก้ปัญหา และนำเสนอผลที่ ได้จากการแก้ปัญหา พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อให้มองเห็นถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่แตกต่าง และนำมา ปรบั ปรุงชิน้ งานตามความเหมาะสม ซ่งึ ผูว้ ิจยั พบวา่ การประเมินมีความยืนหยุ่น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพ่ือให้รูปแบบ การประเมนิ การรู้ส่ิงแวดล้อมมีความเหมาะสมกับระยะเวลาในการจดั การเรียนรู้ ซึ่งในวงรอบปฏบิ ตั กิ ารที่ 3 ผูว้ จิ ัยโดยใช้ การประเมินด้านความรู้และเจตคติด้านสิ่งแวดล้อมจากใบกิจกรรมและการนำเสนอชิ้นงานหน้าชั้นเรียน เพื่อปรับ ระยะเวลาในขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ไปลงมือปฏิบัติจริงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งยังคงความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ แตกตา่ งกัน อภปิ รายผลการวิจัย 1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ส่งเสริมการรู้ สิ่งแวดลอ้ ม ประกอบไปด้วย 5 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 1.1 ขนั้ สรา้ งแรงจูงใจที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ไดด้ ี ควรเลอื กใช้ประเด็นปญั หาสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม กับบริบทของนักเรียน โดยใช้ปัญหาท่ีเข้าง่ายชัดเจน นักเรียนมีความคุ้นเคยใกล้ชิดหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหา และ
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 265 ต้องเกิดขึ้นจริงในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประเด็นข่าวที่น่าสนใจ ประเด็นปัญหาที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน หรือ ประเดน็ ปญั หาที่นกั เรียนเคยประสบดว้ ยตนเอง ท่ีสามารถเชอื่ มโยงให้นักเรียนเกิดความกระตือรือรน้ ในการสืบค้นความรู้ และหาวิธีการแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง นอกจากนั้น ประเด็นปัญหาที่กระตุ้นให้นักเรียนความตระหนักและเห็น ความสำคัญต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ควรเป็นประเด็นที่เกิดผลกระทบกับนักเรียน เพราะสถานการณ์จะช่วยผลักดันให้ นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้จากปัญหาได้ด้วยตนเอง และสามารถระบุแนวทางการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้จริง จากผลการวิจัยของ Heepkaew et al. (2009) พบว่า การจดั การเรียนรูท้ ี่ใช้ปัญหาในท้องถิ่นสามารถกระตุ้นให้นักเรียน มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ โดยการสร้างองค์ความรู้จากการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเอง เพื่อแก้ไขปัญหา หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน นำไปสู่ข้อค้น พบว่า การสร้างแรงจูงใจด้านส่ิงแวดล้อมที่ใช้สถานการณ์ ปัญหาทส่ี ่งผลกระทบในด้านลบกับนักเรียน ผนวกกบั การใช้ปญั หาทีเ่ กิดข้ึนจริงในท้องถิ่น จะช่วยให้นักเรียนเกิดเจตคติ เพม่ิ มากขึ้น และยงั นำไปสู่การแกไ้ ขปญั หาส่ิงแวดล้อมไดจ้ รงิ 1.2 ขั้นค้นคว้าข้อมูล การซักถาม และการอภิปราย ควรสนับสนุนให้นักเรียนใช้เหตุผลทาง วิทยาศาสตร์ในการอธิบายเกย่ี วกับปัญหาด้านส่ิงแวดล้อม ซึ่งทำใหน้ ักเรยี นไดเ้ รียนรู้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจนว่า ปัญหาส่ิงแวดล้อมเกิดจากสาเหตุใดและส่งผลกระทบอยา่ งไร ซ่งึ นำไปสู่การวิเคราะห์แนวทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่าง เหมาะสมกับสถานการณ์ปัญหา เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้เบื้องต้นเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ฉะนั้น หากไม่ กระตุ้นให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลในเชิงลกึ ทางวิทยาศาสตร์ จะทำให้นักเรียนนำความรู้มาใช้ในการอธิบายในลักษณะของ เชิงพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นเพียงว่าการปฏิบัติแบบไหนที่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการนำ ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ปัญหาอืน่ ๆ จากงานวิจัยของ Reeves et al. (2002) พบว่า การใช้ สถานการณ์ตามบริบทจริงสามารถกระตุ้นใหเ้ กิดองค์ความรูไ้ ด้เป็นอยา่ งดี แต่อย่างไรก็ตาม การจัดการเรยี นรู้ท่ีดีควรใช้ แนวคดิ ทางวิทยาศาสตร์ร่วมด้วย จงึ จะสามารถกระตุ้นให้นักเรยี นเกิดความรู้ในด้านส่ิงแวดลอ้ มอย่างยั่งยืน และสามารถ นำไปความรู้ใช้ได้จริงในทุกสถานการณ์ สอดคล้องกับ Kongkewpan (2010, pp. 95-99) ที่กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้นักเรียนมีความสามารถในการตัดสินใจสูงข้ึน ซึ่งการแสดงเหตุผลสนับสนุนหรือคัดค้านในประเด็นปัญหาต่างๆ นักเรียนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น ปัญหาได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาไดอ้ ย่างมวี จิ ารณญาณและเหมาะสม 1.3 ขั้นอภิปรายผลร่วมกับนักเรียน ควรเป็นขั้นตอนท่ีกระตุ้นให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งครูมีหน้าที่ในการชี้แนะแนวทางเพิ่มเติม และรวบรวบข้อสรุป จากการอภิปรายของนักเรียนเท่านั้น เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างหลากหลายใน ประเด็นปัญหาที่แตกต่างกัน เพื่อให้นักเรียนสามารถวางแผนการปฏิบัติงานในด้านสิ่งแวดล้อม โดยการเลือกใช้วิธีการ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม ดังงานวิจัยของ Nakhai and Onthanee (2017) ที่ใช้การกระตุ้นให้นักเรียนนำ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ตนเองได้รับผลกระทบมาสืบค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ถึงเหตุผลและผลกระทบของปัญหา สิง่ แวดล้อมมาอภปิ รายร่วมกับสมาชิกภายในกลุม่ เพ่อื หาข้อสรุปถึงวิธกี ารในการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม และวางแผนใน การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมด้านสิ่งแวดล้อม ซ่ึงทำให้เกิดความหวงใยต่อทรัพยากรเพ่ิมมากข้ึน ดังนน้ั ข้ันตอนน้ีจึงเป็นขั้นตอนท่ี ส่งเสริมเจตคติด้านสิ่งแวดล้อมได้ดีจากการแสดงความคิดเห็นและอภิปรายในประเด็นสิ่งแวดล้อมอย่างอิสระ และ
266 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปที ่ี 23 ฉบบั ที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2564 ส่งเสริมความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมจากข้อค้นพบที่หลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การแสดงออกถึงพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป สอดคลอ้ งกับ Buranasathitwong et al. (2019) กล่าววา่ การอธิบายความรู้ของตนออกสสู่ ารธารณะ และเปดิ โอกาสให้ เพอ่ื นต้ังคำถามต่อชิน้ งาน ทำให้มกี ารแลกเปล่ียนความร้รู ะหวา่ งเพื่อนร่วมช้ัน 1.4 ขัน้ ประยกุ ตใ์ ชค้ วามร้ไู ปลงมือปฏบิ ัตจิ ริง ควรเปน็ ขัน้ ตอนท่ีกระตนุ้ ให้นักเรยี นแสดงออกถึงการนำ ความรู้ท่ีจากศึกษาประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมมาใช้ในปฏิบตั ิกิจกรรม และควรส่งเสริมการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยสอดแทรก เจตคติดา้ นสิง่ แวดล้อมไปดว้ ย เพอื่ ใหน้ กั เรียนเกดิ การรู้ด้านสิง่ แวดลอ้ มอย่างย่ังยืน และสามารถนำไปปฏิบตั ใิ นบริบทจริง ในสังคมได้ สอดคล้องกับ Janta et al. (2012) พบว่า การจัดการเรียนรู้แต่ละขั้นควรเป็นกิจกรรมที่นักเรียนได้ลงมือ ปฏิบัติจรงิ โดยครมู บี ทบาทในการสนับสนุนนักเรียนระหวา่ งการจัดการเรียนร้เู ทา่ นน้ั ดงั นน้ั การจัดการเรียนรู้ขั้นตอนนี้ จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุด เพราะสามารถกระตุ้นให้นักเรียนได้นำ ความรู้ เจตคติ และแสดงออกถึงพฤติกรรม ด้านสิ่งแวดลอ้ ม มาใชไ้ ด้ครบองค์ประกอบของการรู้สงิ่ แวดล้อมผา่ นการลงมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ 1.5 ขั้นประเมินผล การประเมินผลการรู้สิ่งแวดล้อมครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้รูปแบบการประเมินการรู้ ส่ิงแวดลอ้ มที่หลากหลายจากใบกิจกรรม การนำเสนอผลงาน และชน้ิ งาน ของนักเรียน ซึ่งพบวา่ สามารถประเมินความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อมของนักเรียนได้อย่างชัดเจนในระหว่างการจัดการเรียนรู้มากขึ้น จากการประเมิน การร้สู ง่ิ แวดลอ้ มส่วนใหญจ่ ะใช้แบบสำรวจความพึงพอใจในลักษณะของคำถามปลายปิด (Fernandez-Manzanal et al., 2007) ซึ่งผู้วิจัยมีความเห็นว่า การใช้แบบประเมินในลักษณะดังกล่าวทำให้นักเรียนไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือ ความรสู้ ึกนอกเหนือจากแบบประเมิน ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ัย 1. ข้อเสนอแนะในการนำผลวจิ ัยไปใช้ 1.1 ผู้วิจัยได้ออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้ประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับ บรบิ ทของนักเรยี น ทำให้เกดิ การเรยี นรูจ้ ากปญั หานำไปสู่ข้อสรุปแนวทางการแก้ไขปญั หาไดด้ ว้ ยตนเอง ดงั นน้ั ผสู้ อนควร เลือกประเดน็ ปัญหาหรอื สถานการณท์ ีม่ ีความน่าสนใจ เกิดข้นึ จริงในสังคม และเกดิ ผลกระทบต่อนักเรยี น เพ่ือกระตุ้นให้ นกั เรียนเกิดความสนใจและสามารถนำข้อคน้ พบจากการเรยี นรูไ้ ปใช้ในสถารการณจ์ รงิ ได้ 1.2 จากการกระตุ้นให้นักเรียนนำเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ในการอธิบายและวิเคราะห์ปัญหา สิ่งแวดล้อม ส่งผลให้นักเรียนระบุแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างชัดเจน ดังนั้น การเรียนรู้จากประเด็นปัญหา สิ่งแวดล้อมควรสนับสนุนให้นักเรียนสืบเสาะค้นหาความรู้ในเชิงวิทยาศาสตรท์ ี่เก่ียวข้องกับสิ่งที่สนใจศึกษา เพื่อให้เกิด ขอ้ ค้นพบและแนวทางการแกป้ ญั หาได้ชัดเจนมากข้ึน 2. ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 จากการวิจัย พบว่า การใช้เครื่องมืออย่างหลากหลายในการประเมินการรู้สิ่งแวดล้อม ช่วยให้ สามารถวิเคราะห์ถึงการรู้สิ่งแวดล้อมได้ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น ผู้วิจัยควรพัฒนาเครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล อยา่ งหลากหลายนอกเหนือจากงานวิจัยนี้ เช่น การสัมภาษณ์ เคร่ืองมอื ทก่ี ระตุน้ ใหน้ กั เรียนได้แสดงความคดิ เห็น เป็นต้น
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 267 ซึ่งจะทำให้ผู้วิจัยสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างครบถ้วน และกระตุ้นให้นักเรียนแสดงออกถึงการรู้สิ่งแวดล้อมได้ดี ยิ่งข้นึ 2.2 การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม สามารถกระตุ้นให้ นักเรียนได้แสดงออกทั้ง ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม หากการวิจัยครั้งถัดไปสามารถนำการรู้สิ่งแวดล้อมไปบูรณาการ กบั สาขาวิชาอนื่ ๆ จะช่วยปลกู ฝงั เจตคติของนักเรียนมากขึ้น References Buranasathitwong, P., Sawangmek, S., & Nangngam, P. (2019). Developing of explain phenomena scientifically and interpret data and evidence scientifically competencies for grade 10thstudents through advertising as a learning management in topic of the digestive system. Journal of Education Naresuan University, 21(2), 212-224. [in Thai] Fernandez-Manzanal, R., Rodriguez-Barreiro, L., & Carrasquer, J. (2007). Evaluation of environmental attitudes: analysis and results of a scale applied to university students. Science Education, 91(6), 988–1009. Heepkaew, P., Limyingcharoen, N., & Jaroenkornburi, S. (2009). The development of Mathayomsuksa 3 student, problem solving ability and learn. KKU Research Journal, 9(1), 120-128. [in Thai] Janta, P., Pattarathitinant, P., & Saksoong, P. (2012). The effects of science, technology, society and environment approach on problem solving ability of grade 10 students. In the 2nd STOU Graduate Research Conference (pp. 1-15). Nonthaburi: Sukhothai Thammathirat Open University. [in Thai] Kijkuakul, S. (2015). Science learning management: Direction for teachers in the 21st century. Phetchaboon: Juldis. [in Thai] Kongkewpan, D. (2010). An application of tools for thought to develop critical thinking and problem- solving abilities of fifth to sixth grade students (Master thesis). Bangkok: Chulalongkorn University. [in Thai] Murphy, T. P., & Olsen, A. M. (2008). The third Minnesota report card on environmental literacy: A survey of adult environmental knowledge, attitudes and behavior. St. Paul, MN: Minnesota Pollution Control Agency.
268 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปีที่ 23 ฉบบั ที่ 2 เมษายน - มถิ นุ ายน 2564 Nakhai, L., & Onthanee, A. (2017). A development of learning activities by using science, technology, society and environment approach to promote problem solving ability and environmental consciousness on topic “resource and environment conservation” for grade 9 students. Humanities and Social Sciences Journal of Graduate School, Pibulsongkram Rajabhat University, 11(2), 174-189. [in Thai] Partnership for 21st Century Skills. (2011). Framework for 21stcentury learning. Retrieved June 3, 2019, from http://www.p21.org/storage/documents/P21_Framework_Definitions.pdf Reeves, T. C., Herrington, J., & Oliver, R. (2002). Authentic activities and online learning. In A. Goody, J. Herrington & M. Northcote (Eds.), Quality conversations: Research and Development in Higher Education (pp. 562-567). Jamison, ACT: HERDSA. Richardson, G., & Blades, D. (2000). Social studies and science education: Developing world citizenship through interdisciplinary partnerships. Canadian Social Studies, 35(3), 10-22. UNESCO. (1978). Tbilisi declaration. Connect, III, 1-8. UNESCO. (2017). Textbooks for sustainable development: A guide to embedding. Paris, France: UCL Institute of Education.
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 269 บทความวิจัย (Research Article) การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการเพ่ือส่งเสริมสมรรถนะ การจดั การเรยี นรเู้ ชิงรกุ ของครรู ะดับการศึกษาข้นั พื้นฐาน THE DEVELOPMENT OF INTEGRATED SUPERVISION MODEL TO ENHANCE ACTIVE LEARNING COMPETENCY OF TEACHER OF BASIC EDUCATION Received: May 23, 2019 Revised: July 2, 2019 Accepted: July 5, 2019 วาสนา บญุ มาก1* และมนสิช สิทธสิ มบูรณ์2 Vasana Boonmak1* and Monsit Sitthisomboon2 1,2คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร 1,2Faculty of Education, Naresuan University, Phitsanulok 65000, Thailand *Corresponding Author, E-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัด การเรียนรู้เชิงรุก มีขั้นตอนการวิจัย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ โดยการสังเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน โดยใช้แบบบันทึก และแบบสัมภาษณ์แบบมี โครงสร้าง ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ และคู่มือการใช้รูปแบบ การนิเทศแบบบูรณาการ โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 คน และทดลองนำร่องกับครูผู้สอนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 10 คน โดยใช้แบบประเมินรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ แบบประเมินคู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 3 ผลการใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ แหล่งข้อมูล คือ ครูผู้สอน ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 35 ที่สมคั รเข้าร่วมดำเนินงาน จำนวน 30 คน โดยศกึ ษาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เครื่องมือที่ ใช้ ไดแ้ ก่ แบบทดสอบความรคู้ วามเข้าใจเกยี่ วกบั การจดั การเรียนรู้เชิงรกุ มีลักษณะเปน็ แบบเลือกตอบ สว่ นแบบประเมิน ความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และแบบประเมินเจตคติที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 4 ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบ การนิเทศแบบบูรณาการ โดยใช้แบบสอบถามความพึงพอใจ แหล่งข้อมูล คือ ครูผู้สอนจำนวน 30 คน โดยใช้แบบ ประเมนิ ทีเ่ ป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า วิเคราะหข์ ้อมูลโดยค่าเฉลยี่ และ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า เป็นการนิเทศที่นำการนิเทศแบบคลินิก (Clinic Supervision) การนิเทศแบบชี้แนะทางปัญญา (Cognitive Coaching)
270 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 23 ฉบับท่ี 2 เมษายน - มิถนุ ายน 2564 และการนิเทศแบบพี่เลี้ยง (Mentoring) มาบูรณาการร่วมกัน มีหลักการที่ผู้นิเทศจะให้คำชี้แนะแก่ผู้รับการนิเทศที่ สามารถพัฒนาได้ด้วยตนเอง และให้คำปรึกษา คำแนะนำแก่ผู้รับการนิเทศที่มีประสบการณ์น้อย หรือเริ่มงานให้ได้รับ การพัฒนา และส่งเสริมการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนท่ีมุ่งเนน้ การจัดการเรียนร้เู ชิงรุกในการพัฒนาคุณภาพการเรียน การสอนให้มปี ระสทิ ธภิ าพ 2. รูปแบบการนิเทศแบบบรู ณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรยี นรู้เชงิ รุก ของครูระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐานที่สร้างขึ้น มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการนิเทศ และการวัดและ ประเมินผล โดยมีกิจกรรมการนิเทศ 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การวางแผนกำหนดทิศทาง ขั้นที่ 2 การปฏิบัติการนิเทศ ข้นั ท่ี 3 การเรยี นรู้เพ่อื พัฒนา ซึ่งผลการประเมินรปู แบบการนิเทศแบบบรู ณาการ เพอื่ ส่งเสรมิ สมรรถนะการจดั การเรียนรู้ เชิงรกุ และค่มู ือการใชร้ ูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการมี พบว่า มคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดบั มากท้ังสองรายการ ส่วนผล การทดลองใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ พบว่าครูผู้สอนตระหนักถึงความสำคัญและจำเป็นของการจัดการเรียน การสอนที่มุ่งเน้นการจัดการเรยี นรู้เชิงรกุ มสี ่วนร่วมและแลกเปล่ียนประสบการณใ์ นการจัดการเรยี นรูเ้ ชิงรกุ 3. ผลการศกึ ษาการใชร้ ปู แบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อสง่ เสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรเู้ ชิงรุก ของ ครูระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พบว่า ครมู คี วามร้คู วามเขา้ ใจเกย่ี วกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกหลังการส่งเสริมสูงกว่าก่อน การสง่ เสรมิ อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และมีความสามารถในการเขียนแผนการเรียนร้เู ชิงรุกในระดับมากท่ีสุด รวมถึงทักษะการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับมากที่สุดและมีเจตคติที่ดีต่อ การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ 4. ผลการศึกษาความพึงพอใจของครูที่มีต่อรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะ การจัดการเรยี นร้เู ชงิ รกุ พบว่า ครูมคี วามพึงพอใจตอ่ รูปแบบการนเิ ทศแบบบูรณาการอย่ใู นระดบั มากท่สี ดุ คำสำคัญ: การนิเทศแบบบูรณาการ สมรรถนะการจัดการเรียนร้เู ชิงรุก ความพึงพอใจ Abstract The purpose of this research was to develop the integrated supervision model to enhance the active learning competency of teacher in basic education. This research was divided into 4 steps as follows; step 1 study the integrated supervision progress to enhance the active learning competency of teacher in basic education by interviewing distinguished 3 specialists with a recording form and structured questions, step 2 develop and examine the quality of the integrated supervision model in a supervision model handbook. After that, the quality it was examined by 9 distinguished specialists and 10 teachers for pilot trial by using the integrated supervision model evaluation form. There are 5 levels for evaluation in analyzing average value and standard deviation value, step 3 study the outcome of using the integrated supervision model with 30 attending teachers. The instrument used was a multiple – choice test of the active learning knowledge in class. The statistic used were mean and standard deviation, and step 4
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 271 studying the satisfaction of the teachers towards the model and the analysis of mean and standard deviation was applied. The research finding found that; 1. The basic information about integrated supervision to enhance the active learning competency found that the supervision that must Integrating clinical supervision, cognitive coaching and mentoring. The principles that supervisors provide guidance to supervisory recipients that can develop on their own. And consulting advice to less experienced supervisors or start work to be developed and promoting the teaching and learning activities that focus on proactive learning management in improving the quality of teaching and learning to be effective. 2. The outcome of the creation and the checking of quality of the integrated supervision model to enhance the active learning competency of teacher in basic education It consisted of 5 components as follows: principles, objectives, contents, procedure, and evaluation. The procedure include of 3 steps as follows; 1) directional planning, 2) supervisory management, and 3) learning development. The constructed integrated supervision model was verified by experts and it was found that the integrated supervision model at the high level. The manual were constructed appropriately at the high level and the results of the pilot trial found that teachers realized the importance of active learning. 3. The outcome of the study the use of the integrated supervision model to enhance the active learning competency of teacher in basic education found that teacher as knowledgeable, comprehensive on active learning after allow period in the significant level of .05 and ability to write active learning plans at the highest level. Teaching and Learning skills at the highest level and Attitude to active learning at the good level. 4. The teacher’s satisfaction after use the integrated supervision model at the high level. Keywords: The Integrated Supervision, The Active Learning Competency, Satisfaction บทนำ การปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดำเนินชีวิตในสังคมอย่างทั่วถึง ครูจึง ต้องปรับตัวและมีความตื่นตัว เตรยี มพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพ่ือทสี่ ามารถจัดการศึกษาท่ีตอบสนองต่อความต้องการ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งนักเรียนไทยกำลังเผชิญอยู่โดยครูท่ีหน้าที่สอนจะออกแบบการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียน สามารถบรรลุเปา้ หมายให้เกิดทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 และการศึกษาเป็นองค์ประกอบแรกท่ีมีความสำคัญอย่างมากใน การพัฒนาอนาคตของประเทศไทยให้ก้าวทันกับสถานการณ์โลก และกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทงั้ ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง รวมทัง้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพ่อื ใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อการดำรง อยู่ของชีวิต (Office of the Education Council, 2013, p. 102) โดยมีครูเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญในการจัด การเรียนรู้ อบรมสั่งสอนให้ผู้เรียนเกิดความเจริญงอกงาม ให้เป็นผู้มีความรู้ มีทักษะความสามารถในการเผชิญ
272 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปที ่ี 23 ฉบับท่ี 2 เมษายน - มถิ ุนายน 2564 สถานการณ์ต่างๆ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ อย่างมีความสุข คุณภาพของครูจึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน (Office of the Education Council, 2013, p. 93) โดยที่แนวทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษานั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้นำ แนวคิดของ Panich (2012, pp. 18-21)ที่ดำเนินการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาและคุณภาพผู้เรียนให้มีทักษะการคิด มุ่งเน้นการพัฒนาครูผู้สอนที่ เป็นหัวใจสำคัญในการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียน ให้เป็นครูยุคใหม่ต้องไม่เน้นที่ “การสอน” แตท่ ำหนา้ ที่สรา้ งแรงบันดาลใจใหเ้ กดิ ขึ้นในตัวของผเู้ รียน เนน้ การออกแบบกระบวนการเรียนรสู้ อดคล้องกับแนวคิดของ Sinlarat (2015, p. 16) ได้กล่าวว่า การสอน ให้ผู้เรียนรู้จกั คิดหรือเน้นคิดวิเคราะหไ์ ด้ดว้ ยตนเองครูผู้สอนจะใช้กิจกรรม อะไรให้ผู้เรียนคิด ในการจัดการเรียนการสอนต้องมีการวางแผนและเตรียมการใช้กิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนคิดบ่อย ส่วน Khamdit (2016, pp. 60-68) ได้ให้แนวคิดเพิ่มเติมว่าสิ่งที่ครูผู้สอนสามารถควรดำเนินการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิด ครูควรแสวงหารูปแบบและวิธีการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาจศึกษาจากคู่มือ ผลงานวิจัยหรือจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูผู้สอนคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์รวมถึง แนวปฏิบัติที่ดีเลิศ (Best Practice) เกย่ี วกบั การสอนคดิ ทมี่ ผี รู้ วบรวมไวแ้ ลว้ การศึกษาไทยยุค 4.0 เป็นการจัดการเรยี นการสอนที่สอนให้ผู้เรียนสามารถนำองค์ความรูท้ ี่มอี ยู่ทุกแห่งบน โลกมาบูรณาการเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมต่างๆ มาตอบสนองความต้องการของสังคม (Chindanurak, 2017, p. 16) การจัดการเรียนการสอนของครูจะมุ่งหวังให้ผู้เรียนแต่ละคนไม่อยู่นิ่ง กระตือรือร้นและคิดค้นหาความรู้และ คำตอบอยูต่ ลอดเวลา (Active Learner) ทเ่ี รยี กว่าการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยส่งผลทำให้เกิดคำว่า Work-based Learning หรือ Work-integrated Learning หรือ Site- based Learning จะเป็นผลทำให้นักเรียนและครูค้นพบความรู้ใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ และสร้างนวัตกรรมใหม่ได้ (Pornsima, 2016) และเป็นแนวทางหน่ึง ทสี่ ามารถสรา้ งองค์ความรู้ให้แกผ่ ู้เรียนได้ด้วยตนเอง ทงั้ นี้ เพราะการเรียนรู้เชิง รุกเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการสร้างกิจกรรมในชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนมี ความกระตือรือร้นในการเรียน มีกิจกรรมสอดแทรกให้ผู้เรียนทำไปพร้อมๆ กับการฟังบรรยายมีกิจกรรมกลุ่ม หรือ กิจกรรมออนไลน์ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนตื่นตัวในการเรียนอยู่ตลอดเสมอ ดังนั้น จึงจัดได้ว่าการจัดการเรียนรู้ เชงิ รกุ เปน็ การเรยี นรู้ท่สี ่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นได้สร้างองค์ความร้ดู ้วยตนเองอย่างแทจ้ ริง (Songkram, 2012) การเปลี่ยนแปลง การจัดการเรียนรู้ และการปรับบทบาทในการสอนของครูจึงต้องมีการส่งเสริมและพัฒนาให้ครูออกแบบแนวทาง การจดั การเรียนรู้ทีส่ ่งเสริมการคดิ ของผเู้ รยี นให้มีประสิทธิภาพ และเกดิ ประสทิ ธิผลอยา่ งแท้จริง วธิ กี ารหน่ึงที่ช่วยให้ครู มีความรู้ความสามารถท่ีจะจดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุผลตามมาตรฐานการศึกษา คือ การนเิ ทศการศกึ ษาที่มุ่ง ประโยชน์ในการพัฒนาครู สร้างความร่วมมือ และสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ โดยที่การนิเทศ การศึกษาจะบรรลุตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพได้นั้นต้องยึดหลักการมีส่วนร่วม เต็มใจในการพัฒนาหรือ เปลีย่ นแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ๆ เป็นการสรา้ งสรรคส์ ่งเสรมิ ให้ทุกคนเข้ามามสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเพื่อแก้ปัญหา บุคลากร ทรัพยากรและความพยายามเขา้ ด้วยกัน แล้วดผู ลการพฒั นาวา่ ไดผ้ ลดีกว่าเดิมเพียงใด มีความเจรญิ ก้าวหน้าทัน กับความเปลี่ยนแปลง (Office of the Basic Education Commission, 2013) ซึ่งตรงกับแนวคิดเกี่ยวกับการนิเทศของ Jiradechakul (2007) ที่กล่าวว่า การนิเทศเป็นงานที่สำคัญที่มีการดำเนินการร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 273 เพือ่ พฒั นาหรือปรับปรุงคณุ ภาพการจดั การศกึ ษา และการจัดการเรียนการสอนของครใู หไ้ ดม้ าซ่ึงประสิทธผิ ลในการเรียน ของนกั เรียน และพัฒนาครูใหส้ ามารถจัดกิจกรรมและกระบวนการเรยี นรู้ใหบ้ รรลตุ ามจดุ มุ่งหมายของหลักสตู ร ซ่ึงต้องมี กระบวนการนิเทศท่ีมปี ระสิทธภิ าพและประสิทธิผล ผู้วิจัยซึ่งมีบทบาทในการนิเทศการศึกษา ได้ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าวจึงมีความสนใจที่จะพัฒนา รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยบูรณาการการนิเทศแบบคลินิก การนิเทศแบบชี้แนะทางปัญญา และการนิเทศแบบพี่เลี้ยง ให้ได้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นำไปสู่ การยกระดบั คณุ ภาพการจัดการศึกษาให้สูงขึ้น วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมสมรรถนะ การจดั การเรียนรเู้ ชงิ รกุ ของครู ระดบั การศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 2. เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัด การเรยี นรู้เชิงรุกของครู ระดับการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน 3. เพื่อศึกษาผลการใช้รปู แบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของ ครู ระดบั การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของครูที่มีต่อรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัด การเรียนรู้เชงิ รุกของครู ระดับการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน สมมติฐานของการวิจัย หลังการใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครูระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอนมีสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ เชงิ รุก สงู กว่ากอ่ นการใชร้ ูปแบบการนเิ ทศแบบบูรณาการ วิธีดำเนนิ การวจิ ยั การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานผู้วิจัยได้ดำเนินการพัฒนาตามกระบวนการของการวิจัยและพัฒนา ( Research and Development) แบ่งเปน็ 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ เชงิ รุกของครรู ะดับการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน ดังนี้ 1. ศึกษาเอกสาร ตำรา ทฤษฎี และงานวิจัยที่เก่ียวกับแนวคิดการนิเทศ องค์ประกอบ เทคนิควิธีการนิเทศ โดยใชแ้ บบบันทึกการศึกษา
274 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปีที่ 23 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน - มิถนุ ายน 2564 2. สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญในการนิเทศการศึกษา จำนวน 3 คน ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษา แนวคิดการนิเทศการศึกษา รูปแบบการนิเทศการศึกษา กระบวนการนิเทศการศึกษา การนิเทศแบบ บูรณาการ หลักการและแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก จำนวน 7 ข้อ ตัวอย่างเช่น การดำเนินการนิเทศ การศึกษาที่มีประสิทธิภาพและเกิดประสทิ ธิผลมากที่สุดควรเป็นอย่างไร มีการนิเทศแบบใดที่ส่งเสริมการจดั การเรียนรู้ เชิงรุก และการจัดการเรียนรู้เชิงรุกควรดำเนินการอย่างไรจึงจะได้ผลดีที่สุด โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เป็นเคร่อื งมือท่ผี ู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีค่าดชั นคี วามสอดคล้องเท่ากับ 1.0 วเิ คราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ท่ไี ด้จากการศึกษานำมาสรปุ เรยี บเรยี ง แลว้ นำมาสงั เคราะห์เป็นการนิเทศแบบบูรณาการ ขั้นตอนที่ 2 สร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะ การจดั การเรียนรูเ้ ชงิ รกุ ของครู ระดับการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน แบง่ การดำเนนิ งานได้ 4 ขนั้ ดงั นี้ ขั้นที่ 1 การยกร่างรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ ผู้วิจัยได้นำผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1 มายกร่างรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ โดยกำหนดองค์ประกอบของรูปแบบ กำหนดรายละเอียดในแต่ละ องค์ประกอบ ท่ปี ระกอบด้วย หลกั การ วตั ถปุ ระสงค์ เนื้อหา กระบวนการนเิ ทศ และการวดั และประเมนิ ผล ขั้นที่ 2 การสร้างรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ และคู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ โดยกำหนดรายละเอยี ด แนวทางการดำเนินงานในแต่ละองค์ประกอบให้ครบถ้วน ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 คน โดยเป็น อาจารย์ในสถาบันการศึกษาอุดมศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการและแบบประเมินคู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ มีลักษณะ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า พบว่า รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการมีความเหมาะสมในระดับมาก (x̅ = 3.90, S.D. = 0.44) และคมู่ อื การใช้รปู แบบการนเิ ทศแบบบรู ณาการมีความเหมาะสมในระดบั มาก (x̅= 4.11, S.D. = 0.37) ขั้นที่ 4 การปรับปรุงรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการตามข้อผลการประเมินและข้อเสนอแนะของ ผูท้ รงคณุ วุฒิ และนำไปทดลองนำร่องกับครทู เ่ี ป็นประชากร แตไ่ ม่ใชก่ ลมุ่ ตัวอยา่ ง จำนวน 10 คน ขั้นตอนที่ 3 ศึกษาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย ความรู้เข้าใจในการจัดการเรียนรู้เชงิ รกุ ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้เชงิ รกุ แหลง่ ข้อมลู ได้แก่ ครผู ูส้ อนในโรงเรยี น สังกดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 35 จำนวน 30 คน ท่ีได้จาก การสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจ มีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ และแบบประเมินการจัดการเรียนรู้เชิงรุก แบบวัดเจตคติที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มลี กั ษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั ซ่งึ ข้อคำถามในแบบวดั เจตคตจิ ะมีทงั้ ด้านบวกและด้านลบ โดยผูว้ ิจัย ได้ปรับใช้ตามแบบวัดเจตคติตามเทคนิคของลิเคิร์ท (Likert) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดสอบ และการสังเกต พฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้สถิติทดสอบที (Paired-Samples t-test) การหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ขั้นตอนที่ 4 ประเมินความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัด การเรียนรเู้ ชิงรุก ของครูระดบั การศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน แหล่งขอ้ มูล ไดแ้ ก่ ครผู ู้สอนในโรงเรยี น สำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษา
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 275 มัธยมศึกษา เขต 35 ที่ใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการมาแล้ว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมิน ความพงึ พอใจ มีลักษณะของข้อคำถามที่บ่งถึงความร้สู กึ ทางบวกที่มตี ่อรูปแบบการนิเทศแบบบรู ณาการ เปน็ แบบมาตรา ส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.8 - 1.0 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลและ วเิ คราะหข์ ้อมลู ดว้ ยการหาคา่ เฉล่ยี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ยั 1. ผลการศึกษากระบวนการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปน็ การนเิ ทศทบ่ี รู ณาการระหวา่ งการนิเทศแบบคลนิ ิก (Clinic Supervision) การนิเทศแบบ ชี้แนะทางปัญญา (Cognitive Coaching) และการนิเทศแบบพี่เลี้ยง (Mentoring) มีลักษณะเป็นกระบวนการและ กิจกรรมท่ีมุ่งให้ความช่วยเหลอื แนะนำ ส่งเสรมิ ปรับปรงุ ในการสอนของครมู ่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียน การสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรกุ เกดิ จากการบูรณาการการนิเทศแบบคลนิ ิก การนเิ ทศแบบช้ีแนะทางปญั ญา และ การนิเทศแบบพี่เลี้ยง โดยมีหลักการที่ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศร่วมปรึกษาหารือ วางแผนวิเคราะห์ สังเกตการสอน ลงมอื ปฏิบตั ิ และใหข้ อ้ มลู ย้อนกลบั จนประสบผลสำเร็จตามจดุ มุ่งหมาย ซ่งึ ผู้นเิ ทศจะให้คำช้แี นะแกผ่ ู้รบั การนิเทศเพ่ือให้ เกดิ การพัฒนาไดด้ ้วยตนเอง และใหค้ ำปรกึ ษา คำแนะนำแก่ผรู้ บั การนิเทศทีม่ ปี ระสบการณน์ ้อย หรือเร่มิ ทำงานให้ได้รับ การพัฒนา และสง่ เสริมการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนทีม่ งุ่ เน้นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2. ผลการสร้างและตรวจสอบรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ เชิงรกุ ของครู ระดับการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน 2.1 รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู ระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานมี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการนิเทศ และการวัดและ ประเมินผล โดยมีกิจกรรมการนิเทศ 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การวางแผนกำหนดทิศทาง ขั้นที่ 2 การปฏิบัติการนิเทศ ขั้นที่ 3 การเรียนรเู้ พือ่ พฒั นา เม่อื ไปทดลองนำร่อง พบว่า ครูผสู้ อนตระหนกั ถึงความสำคัญในการเรยี นรู้เชิงรุก มีความรู้ ความเข้าใจและเจตคตทิ ี่ดใี นการจัดการเรยี นรูเ้ ชิงรุก 2.2 ผลการประเมินรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครรู ะดบั การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พบวา่ มคี วามเหมาะสมอยู่ในระดบั มากที่สุด 2.3 ผลการประเมินความเหมาะสมของคู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริม สมรรถนะการจัดการเรยี นรู้เชงิ รุก ของครรู ะดบั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พบวา่ มคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดับมากท่สี ดุ 3. ผลการศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครูระดบั การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ที่พัฒนาข้ึน นำเสนอดังตาราง 3.1 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลีย่ ของคะแนนความรู้ความเข้าใจในการจดั การเรียนรูเ้ ชิงรกุ ก่อนและหลัง การอบรมพฒั นาฯ นำเสนอ ดังตาราง 1
276 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปที ี่ 23 ฉบับท่ี 2 เมษายน - มถิ นุ ายน 2564 ตาราง 1 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉล่ยี ของคะแนนความรูค้ วามเข้าใจในการจัดการเรยี นรูเ้ ชิงรกุ ของกลุ่มตวั อย่าง กอ่ นและหลงั การอบรมพฒั นาฯ การทดสอบ n คะแนนเต็ม x̅ S.D t p ก่อนเรียน 30 20 10.73 2.02 16.56* .00 18.17 1.15 หลงั เรยี น 30 20 * มีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 จากตาราง 1 พบว่า ความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้รูปแบบ การนเิ ทศแบบบรู ณาการที่พัฒนาขน้ึ หลังอบรมสูงกวา่ ก่อนอบรมอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 3.2 ผลการศึกษาความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ประกอบด้วย 1) การเขียนแผนการจัด การเรียนรู้เชิงรุก อยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.61, S.D. = 0.59) และ2) ทักษะการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริม การจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดบั มากท่สี ดุ (x̅= 4.63, S.D. = 0.56) 3.3 ผลการศึกษาเจตคติของครูที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า ครูมีเจตคติที่ดีต่อการจัด การเรยี นรู้เชงิ รุก (x̅ = 4.26, S.D. = 0.74) 4. ผลการศึกษาความพึงพอใจของครูที่มีต่อรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า ในภาพรวมครูมีความพึงพอใจต่อการใชร้ ูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการอยู่ในระดับมาก ท่สี ุด (x̅ = 4.53, S.D. = 0.08) การอภปิ รายผลการวิจัย 1. จากการศึกษารูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครู ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการบนพื้นฐานในการชี้แนะ (Cognitive Coaching) ที่ส่งเสริมให้เกิดกระบวนการคิด และให้คำปรึกษา (Mentoring) เพ่อื ปรบั ปรงุ และพฒั นาวิธีการจัดการเรียนการสอน (Clinic Supervision) เกดิ การเรียนรู้ อย่างเป็นขั้นตอน มีกระบวนการและกิจกรรมที่มุ่งให้ความช่วยเหลือ แนะนำ ส่งเสริม ปรับปรุงในการสอนของครูมี่มี วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ซึ่ง ผู้นิเทศจะให้คำชี้แนะแก่ผู้รับ การนเิ ทศเพอื่ ให้เกดิ การพฒั นาไดด้ ว้ ยตนเอง และใหค้ ำปรกึ ษา คำแนะนำแกผ่ รู้ บั การนิเทศทม่ี ปี ระสบการณน์ ้อยหรือเร่ิม ทำงานให้ได้รับการพัฒนา และส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ซึ่งสอดคล้อง กับ Chonburapun (2017, p. 177) ที่กล่าวว่า การใช้เทคนิคและวิธีการนิเทศการสอน เน้นการใช้เทคนิคที่หลากหลาย ที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของผู้รับการนิเทศ ดำเนินการตามแผนงาน ติดตามประเมินผลการพัฒนา และใช้เทคนิคและวิธีการสอน และนำผลการนิเทศติดตามประเมินผลการพัฒนาและใช้เทคนิคการนิเทศไปพัฒนา ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องยั่งยืน และยังสอดคล้องกับ Nillapun et al. (2010, p. 150) ที่ได้กล่าวถึงกิจกรรมการพัฒนา การนิเทศแนวใหม่ที่ใช้วิธีการนิเทศ วงจรปฏิบัติการ PDCA การนิเทศ PIDRE การนิเทศแบบชี้แนะ (Coaching) และ รปู แบบกัลยาณมิตรนิเทศ ที่ควรมีความหลากหลายเพอื่ ตอบสนองตอ่ บริบทของแต่ละเขตพ้ืนที่
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 277 2. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัด การเรียนรู้เชิงรุก ของครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ มี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การวางแผนกำหนดทิศทาง ขั้นที่ 2 การปฏิบัติการนิเทศ ขั้นที่ 3 การเรียนรู้เพื่อพัฒนา และผลการประเมินรูปแบบ การนิเทศแบบบูรณาการมีความเหมาะสมอยูใ่ นระดับมาก ทั้งนี้ เนื่องจากผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง กับการนิเทศการศึกษาที่นำมาสังเคราะห์เป็นการนิเทศแบบบูรณาการได้อย่างรอบด้าน ทำให้ได้รูปแบบการนิเทศแบบ บูรณาการที่มีขั้นตอนชัดเจนเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับ Yankomut et al. (2015, p. 34) ที่ได้จัด กระบวนการนิเทศภายในได้อย่างมีความเหมาะสม ทั้งน้ี เนื่องมาจากการดำเนินการสร้างรูปแบบอย่างเป็นระบบ โดยมี แนวคดิ ทฤษฎี และหลกั การเป็นกรอบในการพฒั นารูปแบบ ทำใหร้ ูปแบบการนเิ ทศไดร้ บั การยอมรับจากผ้เู ชยี่ วชาญและ ผทู้ รงคณุ วุฒวิ ่ามีประสิทธิภาพและรูปแบบน้ันมีความสอดคล้องกับแนวคิด ทฤษฎี และขอ้ มลู ทเ่ี กี่ยวข้อง ท้ังนี้ เนื่องจาก การศึกษาแนวคิดที่สอดคล้องกับหลักวิชาการของการนิเทศที่เป็นการช่วยเหลือ ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครู เช่นเดียวกับ Yuenyong and Laowreandee (2011, p. 206) ที่พัฒนารูปแบบการนิเทศแบบหลากหลายวิธีการ ซีไอพีอี (CIPE Model) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การคัดกรองระดับความรู้ ความสามารถ ทักษะที่สำคัญ เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เพื่อจัดกลุ่มครูและวิธีการนิเทศที่ต้องการและเหมาะสมสำหรับครูแต่ละกลุ่ม ขั้นที่ 2 การให้ ความรู้ก่อนนิเทศ ขั้นที่ 3 การดำเนินงานที่มีการประชุมก่อนสังเกตการสอน การสังเกตการสอน และการประชุมหลัง การสังเกตการสอน ขั้นที่ 4 การประเมินผลการนิเทศ โดยมีการกำกับ ติดตามอย่างต่อเนื่องทุกขั้นตอน เพื่อให้ การดำเนินการนิเทศเกิดประสิทธิภาพ ด้วยได้นำวิธีการเชิงระบบ (System Approach) มาใช้โดยนำข้อมูลที่ได้จาก การศึกษาแนวคิดของนักวิชาการ รวมทั้งนำหลักการแนวคิดในการออกแบบพัฒนารูปแบบ สังเคราะห์ร่วมกันทำให้ได้ ขั้นตอนการออกแบบที่สอดคล้องกัน มีความสมเหตุสมผลเชิงทฤษฎีสูง มีความเป็นไปได้จริง ทำให้การดำเนินงานต่างๆ เกิดสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย สอดคล้องกับงานวิจัยของ Kongkhao et al. (2016, p. 80) ที่มีการสร้างรูปแบบการนเิ ทศ ได้อย่างรอบด้านจึงทำให้ได้รูปแบบการนิเทศ ที่ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ร่วมสร้างความตระหนัก ขั้นที่ 2 ร่วมรวมพลงั ค้นหา ข้นั ท่ี 3 ร่วมทำ รว่ มพฒั นา ขน้ั ที่ 4 รว่ มแลกเปลี่ยนเรยี นรู้สกู่ ารพัฒนา ขน้ั ท่ี 5 ร่วมเผยแพร่สู่มวลชน มีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความชัดเจนในแต่ละขั้นตอนของการดำเนินงาน และนำไปใช้ได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ 3. ผลการศึกษาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ครูมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก หลังการอบรมเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสูงกว่าก่อนการอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 และความสามารถในการจัดการเรียนรู้ที่ประกอบด้วย การเขยี นแผนจัดการเรียนรู้ และทักษะการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับมากที่สุด เช่นเดียวกับเจตคติที่มีต่อ การจัดการเรยี นรู้เชิงรุกอยู่ในระดับมากท่สี ุด ซ่งึ สอดคลอ้ งกับ Satjapiboon (2017, p.187) ที่กล่าวว่าการนิเทศโดยเปิด โอกาสให้ผู้นเิ ทศสามารถนิเทศไดท้ ้ังแบบเผชิญหนา้ ในชั้นเรียน ตามแนวคิดการจดั การเรียนรแู้ บบผสมผสาน ทำให้ผู้นิเทศ สามารถนิเทศไดอ้ ย่างสะดวกและรวดเร็วยิง่ ขึ้น มชี อ่ งทางในการใหค้ ำปรึกษาท่ีหลากหลาย ได้ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื นำไปใช้ใน การพัฒนาตนเอง เชน่ เดียวกับ Timnak (2011, p. 508) ทใี่ ช้รปู แบบการนิเทศการสอนได้อยา่ งมีประสิทธิผล โดยที่ทำให้ ครูผู้ทำหนา้ ท่ีนเิ ทศแตล่ ะกลุ่มตามวิธีการนิเทศ มสี มรรถภาพการนเิ ทศการสอนสูงขน้ึ และในองค์ประกอบด้านหลักการที่
278 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปที ่ี 23 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน - มถิ ุนายน 2564 กำหนดว่า ครูผู้สอนมีความแตกต่างกัน จึงต้องใช้วิธีการนิเทศให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล มีการให้คำปรึกษาดูแล (Mentoring) และสามารถนำไปใช้จริงในภาคปฏิบัติ ดังแนวคิดการนิเทศแบบพัฒนาการของ Glickman et al. (1995) ที่ว่าการนิเทศที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของครูโดยตรง จากระดับที่มีความสามารถในการพัฒนาตนเองต่ำไปสู่การมี ความสามารถในการพัฒนาตนเองทส่ี งู ข้ึน อนั จะสง่ ผลทง้ั ดา้ นการปฏิบัติงานทม่ี ีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น 4. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัด การเรียนรู้เชิงรุก ของครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ครูมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบนิเทศแบบบูรณาการ ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้ เกิดจากการนำเทคนิคและวิธีการที่หลากหลายมาใช้ในรูปแบบการนเิ ทศแบบบูรณาการ และมา จากนักวิชาการที่เชื่อถือได้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมที่ใช้ในการนิเทศ เป็นการนิเทศที่น่าสนใจ และสามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ สอดคล้องกับ Glatthorn (1990, p. 143) ที่กล่าวถึงแนวคิดการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ว่าจะ เรยี นรู้ไดด้ เี มื่อปรบั การเรียนรู้นัน้ ใหต้ อบสนองตอ่ ความต้องการของตน สามารถนำไปใชใ้ นการแก้ปัญหาในการปฏิบัติงาน เช่นเดียวกบั Kobkum (2017, pp. 175-176) ทกี่ ล่าววา่ ความพึงพอใจทม่ี ตี อ่ รปู แบบการนิเทศ อาจเกิดจากการสงั เคราะห์ แนวคิดของนักวิชาการต่างๆ ที่มีความเชื่อถือได้ทุกองค์ประกอบ มีความเหมาะสม สอดคล้องซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ กระบวนการนิเทศก็มีความต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน และมีความเต็มใจที่เข้าร่วมกระบวนการนิเทศทำให้เกิด ความพึงพอใจที่จะปฏิบัติตาม ซึ่งสอดคลอ้ งกับงานวจิ ัยของ Chairueang (2014) ทีม่ คี วามพึงพอใจต่อรูปแบบการนิเทศ อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้เพราะในการดำเนินการนิเทศใช้กระบวนการมีส่วนร่วม เป็นเหตุให้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นสอดรับกบั ความตอ้ งการ และสามารถจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนได้อย่างมคี ุณภาพ ขอ้ เสนอแนะจากการวิจัย 1. ขอ้ เสนอแนะในการนำรูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการไปใช้ 1.1 รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครูระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้ง 3 ขั้นตอน ได้แก่ขั้นที่ 1 การวางแผนกำหนดทิศทาง ขั้นที่ 2 การปฏิบัติการนิเทศ และขั้นที่ 3 การเรียนรู้เพื่อพัฒนามีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับโรงเรียนท่ีเปิดการสอนระดับขั้นพื้นฐาน ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ให้ เหมาะสมกบั บริบทของเขตพ้ืนที่การศกึ ษาในการพัฒนาสมรรถนะการจดั การเรียนร้เู ชิงรกุ ได้ 1.2 การใช้รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการที่พัฒนาขึ้น ในขั้นตอนการให้ความรู้ก่อนการนิเทศนั้น ควรจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้มีความรู้และทักษะที่ต้องการ และให้เวลากับการฝึกปฏิบัติเพื่อปรับเปลี่ยนและพัฒนา พฤติกรรมในการจัดการเรยี นร้เู ชิงรุก 2. ขอ้ เสนอแนะเพ่อื การวจิ ัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาวิจัยและพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบเน้นการพัฒนา และการนิเทศแบบ พัฒนาการมาใช้ในการส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้เห็นถึง ความแตกต่างของผลการศึกษาวิจัย 2.2 ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการสอนของครูว่ามีการปรับเปลี่ยนเทคนิคและวิธีการจัด การเรียนการสอนมากน้อยเพียงใดหลังจากไดร้ ับการนเิ ทศแบบบูรณาการ เพอ่ื สง่ เสรมิ สมรถนะการจดั การเรยี นรู้เชิงรกุ
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 279 References Chairueang, N. (2014). The Development of Internal Supervision Model for Excellent Instruction of Schools in Nakhon SI Thammarat. SWU Educational Administration Journal, 11(20), 51-76. [in Thai] Chindanurak, T. (2017). Teachers and students in Thailand education 4.0. electronic. Electronic Journal of Open and Distance Innovative Learning, 7(2), 14-29. [in Thai] Chonburapun, P. (2017). A model of instructional supervision for enhancing ability in developing thinking skills of the students in basic education level. Bangkok: Dhurakij Pundit University. [in Thai] Glickman, C. D., Gordon, S. P., & Ross-Gordon, J. M. (1995). Supervision and instructional leadership: A development approach. Massachusetts: Allyn and Bacon. Glatthorn, A. A. (1990). Supervisory leadership: Introduction to instructional supervision. New York: Harper Collins. Jiradechakul, K. (2007). The intern supervision in school handbook. Bangkok: Tharnuksorn. [in Thai] Khamdit, S. (2016). Thailand Education 4.0. Bangkok: Chulalongkorn University Press. [in Thai] Kobkum, A. (2017). A purposed advisory model for activity conduction and evaluation of analytical thinking in reading and writing of teachers in expanding educational opportunity schools in the upper northern area. Ganesha Journal, 13(2), 163-178. [in Thai] Kongkhao, R., Sitthisomboon, M., & Lincharoen, E. (2016). The development of supervision model to enhance the research competency for learning development of teachers in basic education. Journal of Education Naresuan University, 18(1), 74 – 82. [in Thai] Nillapun, M., Chaiyos, P., Ekanarin, B., & Ubonwan, S. (2010). An evaluation project for leveling the teacher quality system: The new supervision development activity. Nakhon Pathom: Faculty of Education, Silpakorn University. [in Thai] Office of the Basic Education Commission. (2013). Full supervision. Bangkok: The Agricultural Co-operative Federation of Thailand. [in Thai] Office of the Education Council. (2013). Annual report 2013. Bangkok: 21 Century. [in Thai] Panich, V. (2012). Way of learning for students in the 21st century (3rd ed.). Bangkok: Sodsri – Saritwong Foundation. [in Thai] Pornsima, D. (2016). Thai teachers 4.0. Retrieved March 5, 2019, from https://www.matichon.co.th [in Thai]
280 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปีท่ี 23 ฉบับที่ 2 เมษายน - มถิ ุนายน 2564 Satjapiboon, S. (2017). The development of a teacher professional experience supervision model to enhance instructional competency for pre-service teacher. Journal of Education Research Faculty of Education, Srinakharinwirot University, 11(2), 177-192. [in Thai] Silarat, P. (2015). Teacher and professional teacher development. Bangkok: Durakijpundit University. [in Thai] Songkram, N. (2012). Development of blended learning model with active learning for constructional and creative solving problem for educational students. Bangkok: Chulalongkorn University Press. [in Thai] Timnak, S. (2011). The development of an instructional supervision model based on Glickman’s principles to improve reading instructional competency of Thai language teachers. Verdian E-Journal, 4(1), 491-512. [in Thai] Yankomut, N., Pranee, C., & Panawong S. (2015). Internal supervision model development based on lesson study approach for private schools. Journal of Graduate Studies in Northern Rajabhat University, 5(9), 25-40. [in Thai] Yuenyong, Y., & Laowreandee, W. (2011). The development of a differentiated supervision model to enhance classroom action research competency of teachers in Bangkok archdiocese, educational region 5. Silpakorn Educational Research Journal, 3(1,2), 196-209. [in Thai]
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 281 บทความวิจัย (Research Article) การพัฒนาเคร่อื งมอื วัดกระบวนการเรียนรเู้ พ่อื การเปลีย่ นแปลงของนสิ ติ บัณฑิตศกึ ษา DEVELOPMENT OF MEASUREMENT INSTRUMENT FOR TRANSFORMATIVE LEARNING PROCESS OF GRADUATE STUDENTS Received: May 17, 2019 Revised: July 4, 2019 Accepted: July 10, 2019 ณฐั กานต์ ประจนั บาน1* วรรณี แกมเกตุ2 และชยตุ ม์ ภริ มยส์ มบตั ิ3 Nattakan Prachanban1* Wannee Kaemkate2 and Chayut Piromsombat3 1,2,3คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั 1,2,3Faculty of Education, Chulalongkorn University, Bangkok 10330, Thailand *Corresponding Author, E-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อการเปลี่ยนแปลงของนิสิตบัณฑิตศึกษา ผู้ให้ข้อมูลคือ นิสิตบัณฑิตศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ จำนวน 100 คน เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยใชแ้ บบวัดแบบมาตรประเมินค่า 5 ระดบั วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใชก้ ารวเิ คราะห์องค์ประกอบ เชิงยืนยนั อันดบั ท่สี อง ผลการวิจัยสรุปได้ดงั นี้ 1. เครื่องมือวดั กระบวนการเรียนรู้เพือ่ การเปลี่ยนแปลงของนิสติ บัณฑิตศกึ ษามีลักษณะเป็นมาตรประเมนิ ค่า 5 ระดับ จำแนกเป็น 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านการประเมินกรอบความคิดที่แตกต่างภายในจิตใจ ด้านการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ในการสร้างทางเลือกหรือแนวทางในการเรียนรู้แบบใหม่ ด้านการวางแผนในการเตรียมความพร้อมเพื่อสร้าง บทบาทใหม่ และด้านการสร้างและบูรณาการสมรรถนะเข้ากับความรู้และประสบการณ์ภายใต้มุมมองใหม่ แต่ละ องค์ประกอบมีจำนวนข้อคำถาม 6 ข้อ รวมเปน็ 24 ขอ้ 2. เครอื่ งมือวดั กระบวนการเรียนรเู้ พื่อการเปล่ยี นแปลงผ่านการประเมินความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ มีค่าความเที่ยงระหว่าง .806 - .863 และมีความตรงเชิงโครงสร้าง จากผลการตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดล กระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square (224, N = 100) = 259.516, p = .052, CFI = .972, TLI = .965, RMSEA = .040, SRMR = .073) คำสำคัญ: กระบวนการเรยี นรเู้ พื่อการเปล่ียนแปลง
282 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปีที่ 23 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน - มิถนุ ายน 2564 Abstract The purposes of this research was to develop and examine the quality of measurement instrument for transformative learning process of graduate students. Data were collected by 5-point rating scale questionnaire, completed by 100 graduate students of education. The data were then analyzed by the second order confirmatory factor analysis, using Mplus 7.11. The research findings were as followed; 1. Measurement instrument for transformative learning process of graduate students had 5-point rating scale questionnaire consisted of 4 dimensions: mindset assessment within the mind, knowledge sharing for creating new alternatives and learning, planning of preparing for creating new roles, and building and integrating of competence into learning and experience by new perspective. Each of the dimensions had 6 items (a total of 24 items). 2. Measurement instrument for transformative learning process of graduate students had content validity as examined by experts. The reliability coefficients ranged between .806-.863. It also had construct validity as shown by the model fit with the empirical data (Chi-square (224, N = 100) = 259.516, p = .052, CFI = .972, TLI = .965, RMSEA = .040, SRMR = .073). Keyword: Transformative Learning Process ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา แนวคิดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) ถูกค้นพบโดย Jack Mezirow ซึ่งเป็น ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาผู้ใหญ่ (Adult Education) ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1978 ผลงานวิจัยของ Mezirow (1978) ที่ศึกษาปรากฏการณ์ท่ีผู้หญิงในวัยผู้ใหญ่หวนกลับไปเรียนในระดับอุดมศึกษาอีกคร้ัง มากขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากที่ต้องหยุดการเรียนเพื่อไปประกอบอาชีพหรือดูแลครอบครัวเป็นเวลานาน โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับแง่มุมของการเปลี่ยนแปลงกรอบการอ้างอิงหรือกรอบความคิด โดยเฉพาะการคิด อย่างมีวิจารณญาณตอ่ ความเชื่อเดิมหรือกรอบการอ้างอิงเดิมที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการปฏบิ ัตทิ ีผ่ ่านมา ของตนเอง จากผลการวิจัยนั้นทำให้ Mezirow (1978) คิดค้นกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ประกอบด้วย 10 ข้นั ตอน กระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการเรียนรู้สำคญั ที่สามารถนำบุคคลไปสู่การเปลี่ยนแปลง ตนเองจากภายใน เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพปัญหาหรือความรู้สึกที่ไม่พอใจในสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ โดยให้ความสำคัญ กับการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของบุคคลที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตนเองจากภายใน โดย Mezirow (2003) ได้ให้ ความหมายของการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงไว้ว่า กระบวนการในการเปลี่ยนแปลงกรอบการอ้างอิง (Frame of Reference) ใหด้ ีกว่าเดิม ซ่ึงได้แก่ มมุ มอง ความเช่อื ที่อยูภ่ ายในจิตใจของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมท่ีบุคคลน้ันปฏิบัติ เป็นประจำโดยไม่รู้ตัว เพื่อที่จะทำให้บุคคลนั้นมีมุมมอง ความเชื่อที่ดีกว่าเดิม และส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออก เปล่ยี นแปลงได้อยา่ งเหมาะสม ตอ่ มา Mezirow (2012) มองวา่ กระบวนการเปล่ียนแปลงตนเอง เป็นกระบวนการสำคัญ
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 283 ทีจ่ ะต้องได้รับการส่งเสริมและสร้างให้เกิดข้ึนในระบบการศึกษา เพราะเป็นกระบวนการแลกเปล่ียนทางความคิดอย่างมี เหตุผลและการสะท้อนอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งจะช่วยพัฒนาลักษณะประชาธิปไตย คือ การยอมรับความแตกต่าง พรอ้ มท่ีจะแลกเปลี่ยนและตดั สนิ เพื่อหาข้อสรปุ ที่ถูกตอ้ ง รวมทัง้ สามารถสงั เกตและสะทอ้ นเกีย่ วกับตนเองได้ การศกึ ษางานวจิ ัยในอดตี ทผี่ า่ นมาเกี่ยวกับการเรยี นรู้เพ่ือการเปลี่ยนแปลงได้ข้อค้นพบว่า การวัดการเรียนรู้ เพื่อการเปลี่ยนแปลงจะสามารถวัดได้ 2 มิติ คือ การวัดผ่านกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงตามแนวคิดของ Mezirow (1978, 2000) โดยใช้เครื่องมือวัดของ King (2009) และการวัดที่จำแนกตามระดับการเรียนรู้ของผู้เรียน 3 ระดับการเรียนรู้ ที่ประกอบไปด้วย การเรียนรู้แบบปรับเหมาะ (Adaptive Learning) การเรียนรู้ที่กำเนิดขึ้น (Generative Learning) และการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) (Sessa et al., 2010) แต่เนื่องจากรายละเอียดของข้อคำถามในเครื่องมือของ King (2009) มีข้อจำกัดคือ มีจำนวนข้อคำถามที่น้อยและยังไม่ ครอบคลุมรายละเอียดของกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงทั้ง 10 ขั้นตอน อีกทั้งเมื่อนำมาใช้ศึกษาในบริบท พฤติกรรมการเรียนรู้ของนิสิตบัณฑิตศึกษา เพื่อใช้เป็นสารสนเทศในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ ของผู้เรียนระดับบัณฑิตศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างดียิ่งขึ้น นำไปสู่การผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและ มีคุณลักษณะที่เหมาะสมกับสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาเครื่องมือวัดกระบวนการ เรยี นรเู้ พื่อการเปลย่ี นแปลงโดยอิงตามแนวคิดของ Mezirow (1978, 2000) และพฒั นาตอ่ ยอดใหไ้ ดเ้ ครื่องมือท่ีเหมาะสม กับบรบิ ทการเรียนรูข้ องนิสติ บณั ฑติ ศกึ ษามากท่ีสดุ อย่างไรก็ตาม ในการศึกษานำร่อง (Pilot Study) ก่อนดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ออกแบบร่าง เคร่อื งมือวัดโดยสรา้ งข้อคำถามตามแนวคดิ ของ Mezirow (1978, 2000, 2012) จำนวน 10 ข้ันตอนๆ ละ 4 ขอ้ รวม 40 ขอ้ เก็บรวบรวมข้อมูลแบบออนไลน์ด้วย Google Forms กับนิสิตบัณฑิตศึกษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวอย่างวิจัยแต่มีลักษณะ ใกล้เคียงกัน จำนวน 366 คน นำข้อมูลมาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ ได้องค์ประกอบของกระบวนการเรียนรู้ เพื่อการเปลี่ยนแปลงของนิสิตบัณฑิตศึกษา จำนวน 4 องค์ประกอบ โดยองค์ประกอบที่ 1 เป็นการรวมตัวแปร (ข้อคำถาม) ของกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงตามแนวคิดของ Mezirow (1978, 2000, 2012) ขั้นตอนที่ 1 จำนวน 3 ข้อ ขั้นตอนที่ 2 จำนวน 4 ข้อ และขั้นตอนที่ 3 จำนวน 3 ข้อ องค์ประกอบที่ 2 เป็นการรวมตัวแปร (ข้อคำถาม) ของกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงตามแนวคิดของ Mezirow ขั้นตอนที่ 3 จำนวน 4 ข้อ และ ขนั้ ตอนท่ี 5 จำนวน 3 ข้อ องค์ประกอบที่ 3 เป็นการรวมตัวแปร (ข้อคำถาม) ของกระบวนการเรยี นรู้เพื่อการเปลย่ี นแปลง ตามแนวคิดของ Mezirow ขั้นตอนที่ 6 จำนวน 4 ข้อ ขั้นตอนที่ 7 จำนวน 4 ข้อ และขั้นตอนที่ 8 จำนวน 3 ข้อ และ องค์ประกอบที่ 4 เป็นการรวมตัวแปร (ขอ้ คำถาม) ของกระบวนการเรยี นรู้เพื่อการเปลย่ี นแปลงตามแนวคดิ ของ Mezirow ขั้นตอนที่ 9 จำนวน 4 ข้อ และขั้นตอนที่ 10 จำนวน 4 ข้อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รายการคำถามของร่างเครื่องมือวัด กระบวนการเรียนรูเ้ พ่ือการเปล่ียนแปลงตามแนวคิดของ Mezirow (1978, 2000, 2012) ยงั มลี กั ษณะซอ้ นทับกัน ยากที่ จะตีความให้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน จึงมีความจำเป็นที่ผู้วิจัยจะต้องสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดกระบวนการ เรยี นรเู้ พ่อื การเปลย่ี นแปลงของนิสิตบัณฑติ ศกึ ษาขึ้นใหม่
284 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ 23 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน - มถิ นุ ายน 2564 วัตถุประสงคก์ ารวิจัย เพอื่ พฒั นาและตรวจสอบคณุ ภาพเคร่อื งมือวดั กระบวนการเรยี นรเู้ พอื่ การเปลีย่ นแปลงของนสิ ติ บัณฑิตศกึ ษา ตัวแปรทศี่ กึ ษา ตัวแปรวิจัย คือ กระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การประเมินกรอบความคิดที่แตกต่างภายในจติ ใจ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการสร้างทางเลอื กหรือแนวทางในการเรียนรู้ แบบใหม่ การวางแผนในการเตรยี มความพรอ้ มเพอื่ สรา้ งบทบาทใหม่ และการสร้างและบรู ณาการสมรรถนะเขา้ กับความรู้ และประสบการณภ์ ายใตม้ ุมมองใหม่ ตวั อย่างวจิ ัย ตัวอย่างวิจัย ได้แก่ นิสิต/นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ที่กำลังศึกษาอยู่ใน สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย จำนวน 100 คน กำหนดขนาดตัวอย่างจากเว็บไซต์ danielsoper.com ของ Daniel Soper (Soper, 2019) โดยกำหนดค่า Effect Size เท่ากับ .40 ค่า Probability Level เท่ากับ .05 ค่า Desired Power เทา่ กบั .8 จำนวนตัวแปรแฝง เทา่ กับ 5 และจำนวนตัวแปรสังเกตได้ เท่ากับ 24 ไดจ้ ำนวนตัวอย่างขั้นต่ำ จำนวน 92 คน ผู้วิจัยชดเชยการสูญหายหรือข้อมูลไม่ครบสมบูรณ์ โดยเพิ่มเป็น 120 คน (ได้ตัวอย่างวิจัยที่สมบูรณ์ จำนวน 100 คน โดยตัวอย่างวิจัยได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Random Sampling) โดยสุ่มมหาวิทยาลัย จำแนก 6 ภูมิภาค (ภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้) ภมู ิภาคละ 1 มหาวทิ ยาลัย รวม 6 มหาวิทยาลัย จากน้ันสมุ่ นสิ ิตบัณฑิตศึกษาคณะครุศาสตร์/ศกึ ษาศาสตร์ ในสาขาต่างๆ ครอบคลมุ 2 ระดบั ได้แก่ ระดบั ปริญญาโท และระดบั ปรญิ ญาเอก ระดบั ละ 10 คนต่อมหาวิทยาลัย รวม 120 คน วธิ ีดำเนินการวจิ ัย การวิจัยในครั้งน้ี ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยมุ่งพัฒนา เครอ่ื งมอื วัดกระบวนการเรยี นรู้เพ่ือการเปลี่ยนแปลงของนิสติ บณั ฑิตศกึ ษา มรี ายละเอยี ด ดงั นี้ ขั้นตอนการสร้างเครื่องมอื วัด ขั้นตอนการพัฒนาแบบวัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงของนิสติ บัณฑิตศึกษามรี ายละเอยี ด ดังนี้ 1. ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวขอ้ งกับการวดั ทางจติ วิทยา (Gregory, 2014) และกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ตามแนวคิดของ Mezirow (2000, 2012) เพ่ือนำมาใช้สำหรบั การออกแบบการสรา้ งเคร่ืองมอื วัดตัวแปรทางจิตวิทยาและ นิยามตวั แปรเชงิ ปฏบิ ัติการ 2. ร่างแบบวัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยแบ่งออกเป็น 2 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ข้อมูล ทั่วไปเกี่ยวกับผู้ตอบ ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา แผนการศึกษา สาขาวิชา ชั้นปี และมหาวิทยาลัย โดยมี ลักษณะเป็นแบบเลือกตอบและแบบเติมคำ และตอนที่ 2 แบบวัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงของนิสิต บัณฑิตศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตรประเมินค่า 5 ระดับ (Rating Scale) จำนวน 24 ข้อ ให้คะแนน 1 เมื่อนิสิตแสดง
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 285 พฤติกรรมการปฏิบัติในระดับน้อยทีส่ ุด เรียงลำดับเพิม่ ข้ึนจนถึง 5 คะแนน เมื่อนิสิตแสดงพฤติกรรมการปฏิบัติในระดบั มากที่สุดสำหรับคำถามเชิงบวก และให้คะแนนกลับทางกันเมื่อเป็นคำถามเชิงลบ ออกแบบการนำไปใช้โดยให้นิสิต บณั ฑติ ศึกษาประเมนิ ตนเองเพื่อสะท้อนถึงพฤติกรรมการเรยี นร้ตู ามกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปล่ียนแปลงตามแนวคิด ของ Mezirow (2000, 2012) 3. นำแบบวัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปล่ียนแปลงเสนอต่ออาจารย์ทปี่ รึกษาเพ่ือตรวจสอบความถูกต้อง และความเหมาะสมเบือ้ งตน้ และปรับปรุงแก้ไขสำนวนภาษาตามขอ้ เสนอแนะ 4. นำแบบวัดที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 ท่าน เพื่อตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อรายการกับนิยามเชิงปฏิบัติการ แล้วคำนวณหาค่าดัชนี ความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) คัดเลือกข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป และ ปรับปรุงแกไ้ ขสำนวนภาษาตามข้อเสนอแนะ 5. นำแบบวัดไปทดลองใช้กับนิสิตบัณฑิตศึกษาจำนวน 100 คน เพื่อตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง และหาค่าความเที่ยงโดยสูตรค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟาของครอนบาค (Cronbach's Alpha Coefficient) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบวัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงแบบออนไลน์ที่จัดทำขึ้นผ่าน Google Forms มีลักษณะเป็นมาตรประเมินค่า ส่งแบบสอบถามให้ตัวอย่างวิจัยทาง E-mail และใช้เวลาในการเก็บ ข้อมลู ประมาณ 2 สัปดาห์ การวิเคราะห์ขอ้ มลู การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ต้องมีค่า 0.5 ขึ้นไป การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง เพื่อตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้าง และวิเคราะห์ค่าความเที่ยงของแบบวัดโดยใช้สูตรค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ ครอนบาค (Cronbach's Alpha Coefficient) ผลการวิจัย 1. ผลการพัฒนาเครื่องมือวัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงของนิสิตบัณฑิตศึกษา ผู้วิจัย ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของ ตวั แปร โดยการศึกษาในคร้ังน้ีจะศึกษาจากแนวคิดของ Mezirow (2000, 2012) เปน็ หลัก เนือ่ งจากเป็นผู้คิดค้นแนวคิด ของการเรยี นรู้เพื่อการเปล่ียนแปลง โดยกล่าวว่ากระบวนการเรยี นรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงประกอบดว้ ย 10 ข้นั ตอน ได้แก่ ความไม่สอดคล้องกันของความคิด ความรู้สึกที่มีมาก่อน (A disorienting dilemma) การทบทวนตรวจสอบตนเอง (A self-examination with feelings of guilt or shame) การประเมินอย่างมีวิจารณญาณในฐานคติของความรู้ สังคม วัฒนธรรม หรือจิตใจ (A critical assessment of epistemic, sociocultural, or psychic assumptions) การอธิบาย สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจในเรื่องราวกับผู้อ่ืน (Recognition that one’s discontent and the process of
286 | วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ปีท่ี 23 ฉบับที่ 2 เมษายน - มถิ นุ ายน 2564 transformation are shared and that others have negotiated a similar change) การสำรวจทางเลือกในการสร้าง บทบาทใหม่ ความสมั พนั ธ์แบบใหม่ และการปฏบิ ัติแบบใหม่ (Exploration of options for new roles, relationships, and actions) การวางแผนเพื่อการปฏิบัติการตามเป้าหมาย (Planning of a course of action) การแสวงหาความรู้และ พัฒนาทักษะเพื่อนำไปใช้ตามท่ีระบุในแผน (Acquisition of knowledge and skills for implementing one’s plans) การเตรียมความพร้อมเพ่ือสร้างบทบาทใหม่ (Provisional trying of new roles) การสร้างสมรรถนะและความเชื่อมั่นใน ตนเองตามบทบาทใหม่ (Building of competence and self-confidence in new roles and relationships) และ การบูรณาการความรู้และประสบการณ์เข้ากับชีวิตภายใต้ของมุมมองใหม่ (A reintegration into one’s life on the basis of conditions dictated by one’s perspective) จากนั้นผู้วิจัยนำกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง 10 ขั้นตอน มาสังเคราะห์เพื่อยุบรวมเป็น 4 ขั้นตอน ตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เช่ยี วชาญ ดังตัวอย่างคำกลา่ วทว่ี ่า “นิยามตัวแปรแต่ละขั้นตอนมีความทับซ้อนกัน ไม่สามารถตีความเพื่อแยกนิยามให้ขาดจากกันได้ ชัดเจน” (อาจารย์ท่ีปรกึ ษา) “ควรจัดกลุ่มตัวแปรหรือขั้นตอนกระบวนการ TL ใหม่ เพราะสถานการณ์ที่นำมาใช้ในแต่ละตัวแปร ค่อนขา้ งใกล้เคยี ง/ซำ้ กันมาก ทำใหจ้ ำแนกไดย้ ากวา่ แตล่ ะตวั แปรแตกต่างกนั อยา่ งไร” (ผเู้ ชย่ี วชาญ) จากแนวทางข้างตน้ ทำให้กระบวนการเรยี นรู้เพื่อการเปลีย่ นแปลงมีข้ันตอนการวัดท่ีแยกจากกันได้อย่าง ชดั เจน และมคี วามตอ่ เน่ืองของกระบวนการมากย่ิงขึ้น ผู้วิจัยจงึ จดั กลมุ่ ขน้ั ตอนของกระบวนการเรียนรเู้ พื่อการเปล่ียนแปลง ใหม่ จำนวน 4 องคป์ ระกอบ มีรายละเอยี ดดงั ตาราง 1 ตาราง 1 การเปรยี บเทยี บระหว่างกระบวนการเรยี นร้เู พื่อการเปล่ยี นแปลงแบบเดิมและยบุ รวม กระบวนการเรยี นรู้เพอื่ การเปลี่ยนแปลง กระบวนการเรียนรู้เพอ่ื การเปล่ียนแปลง (Mezirow, 2000, 2012) (ยุบรวมตามข้อเสนอแนะ) 1 ความไมส่ อดคล้องกันของความคิด ความรู้สกึ ท่ีมมี ากอ่ น 1 การประเมินกรอบความคิดท่ีแตกต่าง 2 การทบทวนตรวจสอบตนเอง ภายในจิตใจ 3 การประเมินอย่างมีวิจารณญาณในฐานคติของความรู้ สังคมวัฒนธรรม หรือจิตใจ 4 การอธบิ ายสิ่งที่เกย่ี วข้องกับความไม่พอใจในเร่อื งราวกับผอู้ ื่น 2 การแลกเปล่ียนเรียนรู้ในการสร้าง 5 การสำรวจทางเลือกในการสร้างบทบาทใหม่ ความสัมพันธ์แบบใหม่ และ ทางเลอื กหรือแนวทางในการเรยี นรู้ การปฏบิ ัตแิ บบใหม่ แบบใหม่ 6 การวางแผนเพ่ือการปฏิบตั ิการตามเป้าหมาย 3 การวางแผนในการเตรียมความพร้อม 7 การแสวงหาความรู้และพัฒนาทักษะเพ่อื นำไปใช้ตามท่รี ะบุในแผน เพ่อื สร้างบทบาทใหม่ 8 การเตรยี มความพรอ้ มเพ่ือสร้างบทบาทใหม่
Journal of Education Naresuan University Vol.23 No.2 April – June 2021 | 287 กระบวนการเรียนรู้เพือ่ การเปลี่ยนแปลง กระบวนการเรยี นรู้เพ่ือการเปลี่ยนแปลง (Mezirow, 2000, 2012) (ยุบรวมตามข้อเสนอแนะ) 9 การสร้างสมรรถนะและความเชอ่ื มั่นในตนเองตามบทบาทใหม่ 4 การสร้างและบรู ณาการสมรรถนะ 10 การบูรณาการความรู้และประสบการณ์เข้ากบั ชีวิตภายใต้ของมุมมองใหม่ เข้ากับความรู้และประสบการณ์ ภายใต้มุมมองใหม่ กระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การประเมินกรอบความคิดที่แตกต่าง ภายในจิตใจ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการสร้างทางเลือกหรือแนวทางในการเรียนรู้แบบใหม่ การวางแผนในการเตรียม ความพร้อมเพื่อสร้างบทบาทใหม่ และการสร้างและบูรณาการสมรรถนะเข้ากับความรู้และประสบการณ์ภายใต้มุมมอง ใหม่ ผู้วิจัยนำนิยามเชิงปฏิบัติการขององค์ประกอบมาเป็นแนวทางในการสร้างข้อคำถามในแต่ละองค์ประกอบๆ ละ 6 ข้อ รวม 24 ข้อ โดยแต่ละองค์ประกอบมีคำถามเชิงบวก และคำถามเชิงลบปะปนกัน แต่ละคำถามใช้คำตอบที่เป็น ตวั เลอื ก 5 ระดบั ไดแ้ ก่ แสดงพฤตกิ รรมในระดับน้อยทีส่ ดุ (ให้ 1 คะแนน) และเพม่ิ ขน้ึ จนถึงแสดงพฤตกิ รรมในระดับมาก ท่สี ดุ (ให้ 5 คะแนน) และให้คะแนนสลับกนั เมอื่ เปน็ คำถามเชิงลบ รายการคำถามมีรายละเอียดดังตาราง 2 ตาราง 2 รายการข้อคำถามจำแนกตามองค์ประกอบของกระบวนการเรยี นร้เู พื่อการเปลี่ยนแปลง ขนั้ ตอน รายการคำถามตามนยิ ามเชิงปฏิบัติการ 1 การประเมนิ กรอบความคดิ ที่แตกต่างภายในจติ ใจ 1.1 ข้าพเจ้ารู้สึกคบั ข้องใจ ไมช่ อบเปลยี่ นวิธีการเรียนร้ทู ี่แตกต่างไปจากวิธที ่ีข้าพเจ้าคุ้นเคย 1.2 เมอื่ ขา้ พเจา้ ได้พบเห็นวิธีการเรียนรู้แบบใหม่ ขา้ พเจา้ สามารถบอกความแตกต่างระหว่างวิธกี ารเรียนรู้แบบใหม่กับ วธิ ีการเรียนรูแ้ บบเดิมที่ข้าพเจา้ คุ้นเคยไดอ้ ย่างมีเหตุผล 1.3 เม่อื ไดร้ ับมอบหมายงานทข่ี ้าพเจา้ ไม่ถนัด ขา้ พเจ้าจะหาเหตุผลเพ่ือปฏิเสธการทำงานน้ัน 1.4 ข้าพเจ้ามองเห็นความแตกต่างระหว่างวิธีการทำงานร่วมกับเพื่อนกลุ่มใหม่ที่แตกต่างไปจากการทำงานกับเพื่อน กลุ่มเดมิ ไดอ้ ยา่ งชัดเจนและมเี หตผุ ล 1.5 ข้าพเจ้าจะประเมินวิธีการเรียนรู้แบบเดิมที่ใช้ และหากพบว่าผลการเรียนรู้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง อัน เน่ืองมาจากจุดอ่อนของวิธีเรยี นรู้ท่ีใช้อยู่ ข้าพเจา้ จะมองหาวธิ เี รียนรู้ใหม่ 1.6 ข้าพเจ้าจะไม่เปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ จนกว่าจะมีข้อมูลชี้ชัดว่า วิธีการเดิมที่ใช้อยู่ ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถพัฒนา ตนเองใหด้ ขี ้นึ กว่าเดมิ ได้ 2 การแลกเปล่ียนเรยี นรู้ในการสร้างทางเลือกหรอื แนวทางในการเรียนรแู้ บบใหม่ 2.1 ในกรณีที่ข้าพเจ้ากับเพื่อนเกิดความคิดเห็นไม่ตรงกันในการทำงานกลุ่ม ข้าพเจ้าจะแลกเปลี่ยนความคิดเชิงเหตุ และผลกบั เพือ่ นในกลุ่ม เพอื่ หาทางออกและกำหนดแนวทางในการทำงานร่วมกัน 2.2 ถ้าข้าพเจ้าเห็นว่า เพื่อนเข้าใจเนื้อหาผิด ข้าพเจ้าจะฟังเหตุผลของเพื่อน และจะอธิบายให้เพื่อนเข้าใจมโนทัศน์ท่ี ถกู ต้องโดยการให้เหตผุ ลใหม่ประกอบ 2.3 ข้าพเจา้ เช่ือว่า การอภปิ รายแลกเปล่ียนเรียนรู้ด้วยเหตุและผลของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม จะทำให้สมาชิกในกลุ่มที่ มคี วามคิดความเช่ือต่างกัน สามารถกำหนดเป้าหมายและวธิ ีการทำงานรว่ มกันได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 485
Pages: