Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Published by MBU SLC LIBRARY, 2020-12-14 08:11:58

Description: 16732-5462-PB

Search

Read the Text Version

วารสารศรปี ทมุ ปรทิ ัศน ฉบบั มนษุ ยศาสตรและสังคมศาสตร ป‚ท่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 จากตารางท่ี 3 แสดงใหเห็นวาผลรวมเฉลี่ยคะแนนกรอบความคิดเติบโตของกลุมทดลองภายหลังส้ินสุด การทดลองสงู กวากอนการทดลองอยางมีนัยสําคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .05 และสูงกวากอนการทดลองทุกตัวบงช้ีอยา งมี นัยสําคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 อภิปรายผล 1. รูปแบบการนเิ ทศการสอนตามแนวทางกรอบความคิดเติบโตสําหรับนักศึกษาฝก ประสบการณวิชาชพี ครู เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน พบวา รูปแบบฯ ท่ีผูวิจัยสรางขึ้นนั้น ซึ่งสอดคลองกับสมมติฐานท่ี 1 ที่วามีความเช่ือม่ันในผลของความพยายามนั้น เนื่องจากการสรางรูปแบบการนิเทศการสอนตามแนวทางกรอบ ความคิดเติบโต และนําไปใชในกลุมทดลองในการวิจัยคร้ังนี้ เปนเพียงวิธีการที่ผูวิจัยสรางประสบการณเพ่ือกระตุน การสรางกรอบความคิดเติบโตใหก ับนกั ศึกษาฝก ประสบการณวชิ าชพี ครู ในกลุม ทดลองเทานนั้ 2. เพ่ือศึกษาผลการใชรูปแบบการนิเทศการสอนตามแนวทางกรอบความคิดเติบโตสําหรับนักศึกษา ฝกประสบการณวชิ าชีพครเู พอื่ พัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียน 2.1 คะแนนเฉลี่ยของกรอบความคิดเติบโตของนักเรียนในกลุมทดลองภายหลังสิ้นสุดการทดลองสูงกวา กลุมควบคุม อยา งมนี ัยสาํ คญั ทางสถติ ทิ ี่ .05 ซงึ่ สอดคลอ งกับสมมติฐานท่ี 2 ท้งั นี้แสดงใหเหน็ วาการเขารว มการนิเทศ การสอนตามแนวทางกรอบความคิดเตบิ โตท่ีออกแบบในคร้ังน้ี ประกอบดวย หลักการ 12 ประการ สมอง จิตใจ และ การเรียนรูโดย เคนและคณะ (Caine et al., 2009) และแนวทางการพัฒนากรอบความคิดโดย แอนเดอสัน (Andersen, 2006) เปนหลักในการสรางรูปแบบการนิเทศการสอน ไดสรางการเรียนรูโดยใชหลักการพ้ืนฐาน การทํางานของสมองกับจิตใจ เปนตวั ชวยใหก ารเรียนการสอนดําเนนิ ดวยความเหมาะสมของแตละบุคคล ซง่ึ หลักการ เรยี นรดู งั กลาวชวยสงเสรมิ การเรียนรูทีด่ ีใหเกิดขน้ึ กบั นักศึกษา และมผี ลสืบเนอ่ื งทําใหนกั ศึกษาสามารถเกิดการพฒั นา กรอบความคิดจากแบบจํากัดเปนแบบเติบโตได ดังน้ัน ความคิดที่แตกตางกันของนักศึกษาท้ังสองกลุมเปนผลมาจาก ปจจัยท่ีเก่ียวของหลายประการเชน การศึกษาของ มัลเลอรและดเวค (Muller and Dweck, 2012) เก่ียวกับผลจาก คําชมเชยทีก่ อ ใหเกดิ กรอบความคดิ ที่แตกตา งกนั โดยใหน ักศกึ ษาแกปญ หาท่ีงา ยกอ นแลวชมเชยนักศึกษากลมุ หน่ึงใน ความสามารถ สวนอีกกลุม หน่ึงชมเชยในความพยายาม ซ่งึ เมือ่ แกปญหาในเวลาตอ มา ก็สามารถแกป ญ หาไดดขี น้ึ และ มีการกําหนดรางวัลข้ึนเพ่ือทําใหมีความพยายามในการเปล่ียนกรอบความคิดเม่ือทํากิจกรรมตางๆ สําหรับ ความพยายามและการเลอื กใชว ิธีการแกปญหา โดยการแกป ญ หามเี ปาหมายเพื่อการเรียนรมู ากกวา ทจี่ ะเปน เปา หมาย เพื่อประเมินศักยภาพ ซึ่งผลการศึกษาช้ีใหเห็นวาระบบการใหรางวัล มีประสิทธิภาพในการเปล่ียนกรอบความคิดให เปน กรอบความคดิ เตบิ โตไดเปน อยางดี (O'Rourke et al, 2014) และในรปู แบบการนิเทศการสอนตามแนวทางกรอบ ความคิดเติบโต ผูวิจัยไดใหความสําคัญกับการใหคําชมเชยรวมกับกระบวนการสมอง จิตใจ และการเรียนรู เพ่ือสราง อิทธิพลตอการมีกรอบความคิดของนกั ศึกษา ใหนักศึกษาไดรับความรวู า สมองสามารถพัฒนาไดถือเปน แนวทางทจ่ี ะ ทําใหนักศึกษาสามารถพัฒนาตนเองใหประสบความสําเร็จได อยางไรก็ตาม แมวาการมีกรอบความคิดเติบโตจะชวย ใหสามารถพัฒนาศักยภาพของแตล ะบุคคลได แตการพัฒนาศักยภาพจากการมีกรอบความคิดเติบโตยังมีขอจาํ กัดอยู เนื่องจากจะพัฒนาไดตามศักยภาพสงู สดุ ของแตละบุคคล (Dweck, 2012) และนําไปสูความสาํ เร็จในปฏิบตั ิการสอน ในสถานศึกษาไดเ ปน อยางดีตอ ไป ป˜ญญา เชี่ยวชาญ เบิกบาน คณุ ธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 199

วารสารศรีปทุมปริทศั น ฉบบั มนษุ ยศาสตรและสงั คมศาสตร ป‚ท่ี 20 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 2.2 คะแนนกรอบความคิดเติบโตของกลุมทดลองในระยะหลังการทดลองสูงกวาระยะกอนการทดลอง อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ี .05 ซึ่งสอดคลองกับสมมติฐานท่ี 3 ทั้งนี้แสดงใหเห็นวาการเขารวมการพัฒนารูปแบบ การนิเทศการสอนตามแนวทางกรอบความคิดเติบโตท่ีออกแบบในครั้งน้ีมีผลสืบเน่ืองทําใหนักศึกษาสามารถเกิด การพัฒนากรอบความคิดได ดวยการสรางการเรียนรูใหนักศึกษาเกิดกรอบความคิดแบบเติบโต ซึ่งเปนกลยุทธใน การเรียนรูท่ีสามารถปรับเปล่ียนแกไข หรือปรับปรุงเพ่ือใหเกิดภาวะความสําเร็จได และการนําหลักการสมอง จิตใจ และเรียนรู (Caine et al., 2009) มาเช่ือมเขาการความคิดของครู โดยแอนเดอสัน (Andersen, 2006) นั้น สามารถ ทําใหผูเรียนเกิดแรงบันดาลใจ เกิดแรงผลักความสามารถในการทาทายอุปสรรคที่ตองเผชิญ และความพยายามที่จะ รับรูหรือตอสูในปญหาตางๆ และสามารถพัฒนาจากแบบจํากัดที่มีท้ังในเด็กที่มีความฉลาดและไมฉลาดใหเปนแบบ เติบโตได (Dweck, 2012) สอดคลองกับ (Blackwell, Trzesniewski, and Dweck, 2007) ที่ไดศึกษาความสัมพันธ ระหวางความเช่อื เก่ียวกับความฉลาดและผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรยี นในรายวิชาคณิตศาสตร โดยใหนักเรยี น แรกเขาช้ันประถมศึกษา ทําแบบทดสอบเพ่ือประเมินความเชื่อเกี่ยวกับความฉลาด แบงนักเรียนออกเปน 2 กลุม ไดแก กลุมท่ี 1 เช่ือวาความฉลาดสามารถเปลี่ยนแปลงได ซ่ึงเปนกรอบความคิดเติบโต และกลุมที่ 2 เชื่อวา ความฉลาดไมสามารถเปลี่ยนแปลงได ซ่ึงเปนกรอบความคิดจํากัด จากน้ันติดตามผลการเรียนวิชาน้ีของนักเรียนทั้ง สองกลุม เปนระยะเวลา 1 ภาคการศึกษา พบวา นักเรียนในกลุมท่ี 1 มีผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร สูงกวากลุมที่มี กรอบความคิดจํากดั แสดงใหเหน็ วานกั เรียนทีม่ ีกรอบความคิดเติบโต มแี นวโนม ท่ีจะประสบความสําเรจ็ ทางการเรียน มากกวานักเรียนที่มีกรอบความคิดจํากัด (Dweck, 2007) นอกจากนี้ หลังจากท่ีไดเรียนรูและเขาใจวาความฉลาด เปลย่ี นแปลงได การเรยี นรูจากขอ ผิดพลาดและการใชค วามพยายามจะชวยพัฒนาความสามารถของตนได หลังจากการเขารวมการทดลองใชร ูปแบบฯ แลว นักศึกษากลมุ ทดลองไดเกดิ พฤติกรรมการเปล่ียนแปลงที่มี การพัฒนาทางความคิดสูงข้ึน และพฤติกรรมที่แสดงถึงความพยายามที่มากขึ้น ไมทอถอยตอสิ่งท่ียาก เห็นไดชัดใน การทําขอสอบเก็บคะแนน ที่ถึงแมจะลมเหลวคะแนนท่ีไดออกมาไมดีนัก แตนักศึกษามีกําลังใจที่ดีไมทอแท และใช เวลาในการทบทวนบทเรียนมากขึ้นเพ่ือที่จะไดส ูกับการสอบคร้ังตอไป จึงอาจกลาวไดวา รูปแบบฯ มีผลตอจิตใจและ การเรียนรู ซ่ึงตรงกับทฤษฏีกรอบความคิดวาเปนความเชื่อของมนุษยที่มีตอลักษณะและคุณลักษณะของตนเอง (Dweck, 2012) เม่ือบุคคลเผชญิ สถานการณต า ง ๆ จะมกี ารตีความของเหตกุ ารณ และมกี ารแสดงออกเพอื่ ตอบสนอง ตอเหตุการณน้ันๆ โดยอาศัยรูปแบบของกรอบความคิดท่ีตนมีความเช่ืออยูเดิม ทําใหแตละคนมีแรงจูงใจและ คุณลักษณะอ่ืนๆ เชน การมีเปาหมายที่ชัดเจนแตกตางกัน เปนผลใหมีการพัฒนาศักยภาพไดไมเทากัน (Blackwell, Trzesniewski and Dweck, 2007) ดังนั้นการท่จี ะประสบความสําเรจ็ ทีม่ ีระดับท่มี ากนอยจงึ แตกตา งกันออกไป ขอเสนอแนะ 1. ขอเสนอแนะในการนําผลวิจยั ไปใช 1.1 ผูนิเทศควรศึกษาคูมือการใชใหเขาใจเพ่ือใหการดําเนินการนิเทศดําเนินการอยางเปนระบบและ สามารถดําเนินการนิเทศไดอยางมีประสิทธิภาพ 1.2 การนิเทศใหความรูเก่ียวกับการนิเทศการสอน ควรดําเนินการหลังเสร็จสิ้นกระบวนการเรียน การสอนหรือชวงปดภาคเรียน เพ่ือใหครูพบปญหาการเรียนการสอนไดชัดเจนขึ้น และทําใหครูมีเวลาเต็มที่ใน การออกแบบวางแผนสรา งนวัตกรรมและเคร่อื งมอื เก็บรวบรวมขอ มูล 1.3 การนิเทศเพื่อพัฒนาครูสามารถดาํ เนินการไดในภาคเรยี นที่ 1 และภาคเรียนท่ี 2 ปญ˜ ญา เชี่ยวชาญ เบิกบาน คุณธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 200

วารสารศรปี ทมุ ปรทิ ัศน ฉบบั มนษุ ยศาสตรแ ละสงั คมศาสตร ป‚ท่ี 20 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 2. ขอ เสนอแนะในการวจิ ัยครั้งตอ ไป ในการพัฒนากรอบความคิดเติบโต สวนสําคัญสวนหน่ึงคือ การทํางานของสมองสวนหนา สําหรับ การวิจัยในครั้งตอไป ควรนํารูปแบบการนิเทศการสอนตามแนวทางกรอบความคิดเติบโตไปศึกษาตอในดานผล การทํางานของสมอง เพ่ือตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงการทํางานของสมองกบั ผลการศกึ ษาท่ไี ด เพ่อื นาํ ไปใชตอยอดได กบั ประชากรกลุมอนื่ ๆอยา งแพรหลาย ดังนั้น จึงควรมีการศกึ ษาติดตามผลเปน ระยะๆ ภายหลงั ส้ินสดุ การทดลองเพ่ือ ดูการพัฒนาการของกรอบความคิด ในระยะยาวตอ ไป เอกสารอางองิ Anderson, E. (2006). Growing great employees: Turning ordinary people into extraordinary Performers. City USA: Galloard. Blackwell, L. A., Trzesniewski, K. H., and Dweck, C. S. (2007). Theories of intelligence and achievement across the junior high school transition: A longitudinal study and an intervention. Child Development, 78(1), 246-263. Caine, R. N., Caine, G., Carol, M., and Karl, K. (2009). Brain/mind learning Principles in action: Developing executive function brain of human. 2nd ed. CA: Corwin Press. Davis, K. and Newstrom, J.W. (1989). Human Behavior at Work: Organization Behavior. 8th ed. New York: McGraw–Hill. Dweck, C. S. (2007). Theories of intelligence and achievement across the junior high school transition: A longitudinal study and an intervention. Child Development, 78(1), 246–263. Dweck, C. S. (2012). Mindset: How you can fulfill your potential. New York: Constable and Robinson. Fernandez, C. and Yoshida, M. (2004). Lesson study: A Japanese approach to improving mathematic teaching and learning. New Jersey: Lawrence Erlbaum Associate Kaplan, B.H., Cassel T.C. and Gore, S. (1977). Social Support and Health. Medical Care, 15(5), 47-58. Muller, C. M., and Dweck, C. S. (1998). Praise for intelligence can undermine children’s motivation and performance. Journal of Personality and Social Psychology, 75(1), 33-52. O'Rourke, E., Haimovitz, K., Ballweber, C., Dweck, C. S., and Popović, Z. (2014). Brain points: A growth mindset incentive structure boosts persistence in an educational game. The Proceedings of the SIGCHI Conference on Human Factors in Computing Systems, 1-10. http://dx.doi.org/10.1145/2556288.2557157 Polit, D. F. and Hungler, B. P. (1999). Nursing Research: Principles and Methods. 6th ed. Philadelphia: Lippincott. ป˜ญญา เช่ียวชาญ เบิกบาน คณุ ธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 201

วารสารศรีปทมุ ปรทิ ัศน ฉบับมนษุ ยศาสตรและสังคมศาสตร ป‚ที่ 20 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 Romphoree, N. (2009) Factors Affecting Learning Behavior of Nursing Instructors of private Nursing. institution in Bangkok Metropolitan. Thesis of the Degree of Master of Arts Program in Cummunity Psychology. Bangkok: Silpakorn University. (in Thai) Thawirat, P. (2000). Research Methods in Behavioral and Social Science. 7th ed. Bangkok: Bureau of Educational and Psychological Testing, Srinakharinwirot University. (in Thai) Chomchuen, R. (2015) The straightness of the idea model. National Journal of Mental Health, 23(3), 12-24. (in Thai) Khammanee, T. (2014). Teaching technique: knowledge for effective learning process. 18th ed. Bangkok: Chulalongkorn University Press. (in Thai) ป˜ญญา เช่ียวชาญ เบิกบาน คณุ ธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 202

วารสารศรปี ทุมปริทศั น ฉบบั มนษุ ยศาสตรและสังคมศาสตร ปท‚ ี่ 20 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 คาํ แนะนําในการเตรียมและการสง ตนฉบับ วารสารศรีปทุมปริทศั น ฉบบั มนุษยศาสตรและสงั คมศาสตร กองบรรณาธิการ วารสารศรีปทุมปริทัศน มหาวิทยาลัยศรีปทุม มีความยินดีที่จะรับบทความจากทุกทาน เพ่ือตีพิมพและเผยแพรในวารสาร เพื่อความสะดวกในการพิจารณา จึงขอแนะแนวทางการเตรียมตนฉบับและสง ตน ฉบับ ดังนี้ ประเภทของบทความ 1. บทความวิจัย (Research Article) หมายถึง งานเขียนที่นําเสนอผลการวิจัยอยางเปนระบบ กลาวถึง ความเปนมาและความสําคัญของปญหา วัตถุประสงค ขอบเขตการวิจัย วิธีดําเนินการวิจัย ผลการวิจัย สรุป อภปิ รายผล และขอ เสนอแนะ 2. บทความวิชาการ (Academic Article) หมายถึง งานเขยี นซง่ึ เปนเรื่องทนี่ าสนใจ เปนความรูใหมหรือ แนวคิดใหม กลา วถงึ ความเปน มา วัตถุประสงค มกี ารใชแ นวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจยั จากแหลง ขอมูลท่ีหลากหลาย ประกอบการวิเคราะห วิพากษ วจิ ารณ และใหข อ เสนอแนะ 3. บทความปริทัศน (Review Article) หมายถึง งานวิชาการท่ีประเมินสถานะลาสุดทางวิชาการ เฉพาะทางที่มีการศึกษาคนควา มีการวิเคราะห และสังเคราะหองคความรู ท้ังทางกวางและทางลึกอยางทันสมัย โดยใหขอ วพิ ากษทชี่ ้ีใหเหน็ แนวโนม ที่ควรศึกษาและพฒั นาตอไป 4. บทวิจารณหนังสือ (Book Review) หมายถึง บทความท่ีวิพากษวิจารณเนื้อหาสาระ คุณคา และ คณุ ูปการ ของหนงั สือ บทความ หรอื ผลงานสิ่งประดิษฐ โดยใชห ลักวชิ าและดุลพินจิ ที่เหมาะสม องคป ระกอบของบทความ 1. บทความวจิ ยั (Research Article) บทความวิจัย ประกอบดวยชื่อเรื่อง บทคัดยอ และเน้ือหาของบทความ โดยมีขอมูลเรียงตามลําดับ ไดแก ช่ือเรื่อง ช่ือผูเขียน สังกัด (ภาควิชา คณะ สถาบัน) และอีเมล ของผูเขียนสําหรับติดตอ ในสวนบทคัดยอตองระบุถึง แบบแผนขอการวิจัย วัตถุประสงค ประชากรและตัวอยาง เครื่องมือวิจัย การเก็บรวบรวมขอมูล การวิเคราะหขอมูล และผลการวิจัย ความยาวไมเกิน 250 คํา ในกรณีท่ีตนฉบับเปนภาษาไทย ใหเขียนบทคัดยอทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ ระบุคําสําคัญของเร่ือง (Keywords) จํานวนไมเกิน 5 คํา ในสวนเน้ือหาของบทความ ใหเร่ิมตนจาก ความเปนมาและความสําคัญของปญหา วัตถุประสงค กรอบแนวคิดในการวิจัย (ถามี) สมมติฐานการวิจัย (ถามี) วิธีดําเนินการวจิ ัย ผลการวจิ ัย อภิปรายผล ขอเสนอแนะ และกิตตกิ รรมประกาศ (ถา ม)ี 2. บทความวชิ าการ (Academic Article) บทความวิชาการ ประกอบดวย ช่ือเรื่อง บทคัดยอ และเน้ือหาของบทความ โดยเรียงตามลําดับ ไดแก ชื่อเร่ือง ชื่อผูเขียน สังกัด (ภาควิชา คณะ สถาบัน) และอีเมลของผนู ิพนธ สําหรับติดตอ ในสวนบทคัดยอ ตองระบถุ งึ วัตถุประสงค สาระสําคัญ สรุป และขอเสนอแนะ โดยเนื้อหาในบทคัดยอความยาวไมเกิน 250 คํา ในกรณีท่ีตนฉบับ ป˜ญญา เช่ียวชาญ เบิกบาน คณุ ธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 203

วารสารศรีปทมุ ปรทิ ศั น ฉบับมนษุ ยศาสตรและสงั คมศาสตร ป‚ที่ 20 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 เปน ภาษาไทย ใหเ ขียนบทคดั ยอ ทง้ั ภาษาไทย และภาษาองั กฤษ ระบคุ าํ สาํ คญั ของเรือ่ ง (Keywords) จํานวนไมเกิน 5 คํา ในสวนเนื้อหาของบทความ ใหเริ่มตนจากบทนํา ท่ีแสดงเหตุผลหรือที่มาของประเด็นที่ตองการอธิบายหรือ วิเคราะห ในสวนของเน้ือหาสาระ จะเปนการอธิบายหรือวเิ คราะหประเด็นตามหลกั วชิ าการ โดยมีการสํารวจเอกสาร หรอื งานวิจัยเพ่อื สนบั สนุนจนสามารถสรปุ ผลการวิเคราะหในประเดน็ นนั้ ได อาจเปนการนําความรจู ากแหลงตา งๆ มา ประมวลรอยเรียงเพื่อวิเคราะหอยางเปนระบบ โดยผูเขียนสามารถแสดงทัศนะทางวิชาการของตนเองไวอยางชดั เจน ดว ย สวนสุดทา ยจะเปนสวนสรปุ และขอเสนอแนะ มีการเขียนเอกสารอา งองิ ที่ครบถวนสมบูรณ 3. บทความปริทัศน (Review Article) บทความปริทัศน ประกอบดวย ช่ือเร่ือง ชื่อผูเขียน สังกัด (ภาควิชา คณะ สถาบัน) และอีเมลของผูเขียน สําหรับติดตอ บทความปริทัศนเปนการนําเสนอภาพรวมของเร่ืองท่ีนาสนใจ ในสวนของเนื้อหาของบทความ ตองมี บทนํา เพื่อกลาวถึงความนา สนใจของเร่ืองท่ีนาํ เสนอกอนเขาสูเนือ้ หาในแตล ะประเด็น และตองมีบทสรุปเร่ืองทีเ่ สนอ พรอมขอเสนอแนะจากผูเขียนเกี่ยวกับเรื่องดังกลาวสําหรับใหผูอานไดพิจารณาประเด็นที่นาสนใจตอไปผูเขียนควร ตรวจสอบเนื้อหาท่เี กยี่ วของกับบทความทีน่ าํ เสนออยา งละเอยี ด โดยเฉพาะอยางยง่ิ เนอื้ หาทใ่ี หมทสี่ ุด ขอ มูลทีน่ าํ เสนอ จะตองไมจําเพาะเจาะจงเฉพาะผูอานท่ีอยูในสาขาของบทความเทาน้ัน แตตองนําเสนอขอมูลท่ีซ่ึงผูอานในสาขาอ่ืน สามารถเขา ใจได 4. บทวิจารณห นงั สือ (Book Review) บทวิจารณหนังสือ ประกอบดวย ช่ือเร่ือง ชื่อผูเขียน สังกัด (ภาควิชา คณะ สถาบัน) และอีเมลของผูเขียน สําหรับติดตอ ช่ือเรื่องของบทวิจารณหนังสือควรเรียกรองความสนใจของผูอานและส่ือความหมายไดชัดเจน เชน ต้ังช่ือตามชื่อหนังสือท่ีตองการวิจารณ ตั้งช่ือตามจุดมุงหมายของเร่ือง ต้ังช่ือดวยการใหประเด็น ชวนคิด ชวนสงสัย เปนตน ในสวนบทนํา เปนการเขียนนําเกี่ยวกับหนังสือท่ีจะวิจารณ ในสวนเน้ือหา เปนสวนแสดงความคิดเห็นและ รายละเอียด ในการวิจารณ โดยนําเสนอจุดเดน และจุดบกพรองของเรื่องอยางมีหลักเกณฑและมีเหตุผล และสวน สุดทายเปนบทสรุป เปนการเขียนสรุปความคิดทั้งหมดที่วิจารณและใหแงคิด หรือขอสังเกตที่เปนประโยชนตอผูอา น นอกจากนี้บทสรุปยังชวยใหผูอานไดทบทวน ประเด็นสําคัญของเรื่องและความคิดสําคัญของผูวิจารณ แมวาผูอาน อาจจะไมไดอานบทวิจารณทั้งบท แตไดอานบทสรุปก็สามารถทราบเรื่องของหนังสือที่นํามาวิจารณ รวมทั้ง ความคดิ เหน็ ของผูวจิ ารณทมี่ ีตอหนังสือเรื่องนน้ั ได การเตรยี มตน ฉบับ 1. ขนาดของบทความ: ควรจัดพิมพบทความดวย Microsoft Word บนกระดาษขนาด A4 หนาเดียว ประมาณ 26 บรรทัด ตอ 1 หนา แบบแนวตั้ง (Portrait) รูปแบบตัวอักษร (Font) ใหใชตัวอักษร TH Sarabun PSK ขนาดของตัวอักษร (Font size) เทา กบั 16 และใสเ ลขหนา ตง้ั แตต น จนจบบทความท่ดี า นบนขวาของกระดาษ (ยกเวน หนาแรก) ความยาวของบทความไมควรเกิน 15 หนา สําหรับการตั้งคาหนากระดาษ (Page setup) และสวนระยะ ขอบ (Margins) กําหนดดังน้ี ดานบน (Top) 2.54 ซม. ดา นลา ง (Bottom) 2.54 ซม. ดา นซา ย (Left) 2.54 ซม. ดา นขวา (Right) 2.54 ซม. หวั กระดาษ (Header) 1.25 ซม. ทา ยกระดาษ (Footer) 1.25 ซม. ปญ˜ ญา เชี่ยวชาญ เบิกบาน คณุ ธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 204

วารสารศรีปทมุ ปริทัศน ฉบับมนษุ ยศาสตรแ ละสังคมศาสตร ปท‚ ่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 2. ชื่อเรื่อง ชื่อผูเขียน และสังกัด (Title, Author’s name, Author’s affiliation): ช่ือเรื่องภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษจัดกึ่งกลาง ใหใชตัวอักษร TH Sarabun PSK ขนาดของตัวอักษร 18 ตัวหนา สวนช่ือ-นามสกุลผูเขียน และสังกัด ใหเขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ ชื่อผูเขียนใหใชตัวอักษร TH Sarabun PSK ขนาดของ ตัวอักษร 16 ตัวหนา และไมตองระบุคํานําหนาชื่อ เชน นาย นาง นางสาว ดร. ผศ. รศ. ศ. เปนตน สวนสังกัดใหใช ตัวอักษร TH Sarabun PSK ขนาดของตัวอักษร 16 ตัวหนา ใหระบุสาขาวิชา ภาควิชา คณะ สถาบัน หรือหนวยงาน ท่ีสังกัด พรอมอีเมลในการติดตอ ท้ังนี้ กรณีมีผูเขียนมากกวา 1 คน ใหระบุดวยวาใคร คือ ผูประสานงานหลัก (Corresponding Author) 3. บทคัดยอ (Abstract): หัวขอบทคัดยอใหใชตัวอักษร TH Sarabun PSK ขนาดของตัวอักษร 18 ตัวหนา และชิดซาย สวนเน้ือความในบทคัดยอและคําสําคัญใหใชตัวอักษร TH Sarabun PSK ขนาดของตัวอักษร 16 ตัวธรรมดา หากเปนบทความภาษาไทยใหเขียนบทคัดยอทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หากเปนบทความ ภาษาอังกฤษ ใหเขียนบทคัดยอเปนภาษาอังกฤษ (หรืออาจมีบทคัดยอภาษาไทยดวยหรือไมก็ได) ทั้งน้ี บทคัดยอ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมกันไมควรเกิน 1 หนากระดาษ A4 ใหจัดพิมพเปน 1 คอลัมน มีความยาวประมาณ 250 คํา จะตองพิมพคําสําคัญในบทคัดยอภาษาไทย และพิมพ Keywords ในบทคัดยอภาษาอังกฤษของบทความ เร่ืองน้ันดวย จํานวนไมเ กนิ 5 คํา 4. เนื้อหา (Content): หัวขอใหใชตัวอักษร TH Sarabun PSK ขนาดของตัวอักษร 18 ตัวหนาและชิดซา ย สว นเนื้อความในแตละหัวขอใหใ ชตวั อักษร TH Sarabun PSK ขนาดของตวั อกั ษร 16 ตัวธรรมดา 5. รูปภาพและตารางประกอบ: ควรมีภาพที่ชัดเจน ถาเปนรูปถายควรมีภาพถายจริงแนบมาดวย หากเปน ภาพท่ีคัดลอกมาจากแหลงอ่ืนควรเขียนแหลงอางอิงนัน้ ดวยตามหลักวชิ าการ กรณีรูปภาพใหใชคําวา “ภาพที่” กรณี ตารางใหใ ชค าํ วา “ตารางท”่ี 6. เอกสารอา งองิ (References): การเขยี นอา งอิงใหใ ชร ะบบ APA โดยมเี งอื่ นไขดังน้ี 6.1 เอกสารทนี่ าํ มาอางอิงตอ งมไี มเ กนิ 20 รายการ และไมค วรมอี ายเุ กนิ 10 ป ยกเวน แนวคิดหรือทฤษฎี ท่เี กดิ มากอน 10 ปแ ละในปจจบุ ันยงั มผี นู ํามาใช อนุโลมใหนาํ มาใชอ า งองิ ได 6.2 ใหจ ัดพิมพเ ปน 1 คอลัมน และเรียงตามลําดับตัวอกั ษร 6.3 การอางอิงในเนื้อหา ใชระบบนามป [นามสกุล, ป หรือ นามสกุล (ป)] และอางอิงโดยใชนามสกุล ภาษาอังกฤษเทาน้ัน เชน Yurarach (2017) หรือ (Yurarach, 2017) เปนตน ทงั้ น้ี หากมีผูเขยี น 2 คน ใหใ สน ามสกลุ ทั้งสองคน เชน Yurarach and Yoothanom (2017) หรือ (Yurarach and Yoothanom, 2017) หากมีผูแตง มากกวา 2 คน ใหใสนามสกลุ ของผูแ ตง คนแรก และตามดวย “et al.” เชน Yurarach et al. (2017) หรือ (Yurarach et al., 2017) เปน ตน 6.4 เอกสารอางอิงฉบบั ภาษาไทยตอ งแปลเปน ภาษาองั กฤษทง้ั หมด โดยมีแนวทางดงั นี้ (1) ตองแปลเอกสารอางอิงภาษาไทยเปนภาษาอังกฤษทุกรายการ โดยยังคงเอกสารอางอิง ภาษาไทยเดิมไวด วย เขียนจัดเรียงคูกัน โดยใหเอกสารอางอิงภาษาอังกฤษท่ีแปลขึ้นกอนและตามดว ยเอกสารอางอิง ภาษาไทย และเติมคาํ วา “(in Thai)” ตอทายเอกสารอา งองิ ภาษาอังกฤษทแี่ ปลจากภาษาไทย ปญ˜ ญา เช่ียวชาญ เบิกบาน คณุ ธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 205

วารสารศรีปทุมปรทิ ัศน ฉบับมนษุ ยศาสตรแ ละสงั คมศาสตร ปท‚ ี่ 20 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 (2) การเรียงลําดับเอกสารอางอิง กรณีเอกสารอางอิงท่ีแปลจากภาษาไทยเปนภาษาอังกฤษให เรยี งลาํ ดับตามตวั อกั ษรภาษาอังกฤษ และรายการเอกสารอางองิ ทุกรายการ หากมีผเู ขยี นไมเ กิน 6 คน ใหใ สชอื่ ใหครบ ทุกคน แตห ากมีมากกวา 6 คน ใหใสช ือ่ ทั้ง 6 คน หลงั จากคนที่ 6 ใหต ามดวย “และคณะ” หรอื “et al.” ตวั อยางการแปลเอกสารอา งอิงภาษาไทยเปน ภาษาอังกฤษ ตวั อยา งที่ 1 หนงั สือ ชื่อผแู ตง. (ปพ ิมพ) . ช่ือหนังสอื . พมิ พค รงั้ ที่ (ถา มี).สถานท่พี ิมพ (เมือง): สํานักพิมพห รือโรงพิมพ. Chantavanich, S. (2014). Qualitative Research Methods. 22nd ed. Bangkok: Chulalongkorn University Press. (in Thai) สภุ างค จนั ทวานิช. (2557). วธิ กี ารวจิ ยั เชิงคุณภาพ. พิมพค รงั้ ท่ี 22. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม หาวิทยาลยั . ตวั อยางท่ี 2 วารสาร ชอ่ื ผแู ตง . (ปพ ิมพ) . ชอ่ื บทความ. ชอื่ วารสาร, ปที่ (ฉบบั ท่ี), หนาแรก-หนาสดุ ทาย. Siriprakob, P. (2010). Autonomous Public Organization and Its Autonomy: A Preliminary Finding. Sripatum Review of Humanities and Social Sciences, 10(2), 63-77. (in Thai) ปกรณ ศิรปิ ระกอบ. (2553). องคก ารมหาชนกับความเปน อสิ ระ: ขอ คน พบเบอ้ื งตน . วารสารศรปี ทุม ปรทิ ศั น ฉบบั มนษุ ยศาสตรและสงั คมศาสตร, 10(2), 63-77. ตวั อยางที่ 3 เว็บไซต ช่ือผแู ตง. (ปพิมพ) . ชื่อเร่อื ง. [ออนไลน] . คน เมื่อ วนั เดอื น ป, จาก: URL. Wikipedia free encyclopedia. (2018). Globalization. [Online]. Retrieved May 23, 2018, from: http://th.wikipedia.org/wiki/Globalization. (in Thai) วิกพิ เี ดยี สารานกุ รมเสรี. (2561). โลกาภิวฒั น [ออนไลน] . คน เมอ่ื 23 พฤษภาคม 2561, จาก: http://th.wikipedia.org/wiki/Globalization. ตัวอยา งที่ 4 รายงานสืบเน่ืองการประชมุ วิชาการ ชอ่ื ผูแตง . (ปพิมพ) . ชื่อบทความ. รายงานสืบเนื่องการประชมุ วชิ าการ (ช่อื เอกสาร), วนั เดอื น ป สถานที่ จดั , หนาแรก-หนาสุดทา ย. Sorntanong, M. (2018). Guidelines for Tourism Management by Identity and Community in the Cultural Tourism of Elephant’s Village Pa-Nied Luang at Pranakorn Sri Ayutthaya Province. The Proceedings of the 13th National and International Sripatum University Conference (SPUCON2018), 20 December 2018 at Sripatum University (Bangkhen Campus), 2112-2122. (in Thai) ป˜ญญา เช่ียวชาญ เบิกบาน คุณธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 206

วารสารศรปี ทุมปรทิ ัศน ฉบบั มนษุ ยศาสตรแ ละสงั คมศาสตร ปท‚ ่ี 20 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 มานะศลิ ป ศรทนงค. (2561). “แนวทางการจัดการการทองเท่ียวตามอตั ลกั ษณแ ละวถิ ีชุมชนในเขตพ้นื ที่ แหลง ทองเทยี่ วเชิงวฒั นธรรมในหมบู า นชา งเพนียดหลวง จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา.” รายงาน สบื เน่อื งการประชุมวชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ มหาวทิ ยาลยั ศรีปทุม คร้ังที่ 13 ประจาํ ป 2561, วันท่ี 20 ธนั วาคม 2561 ณ มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2112-2122. ตวั อยา งที่ 5 วทิ ยานิพนธ/สารนพิ นธ ชอ่ื ผแู ตง . (ปพิมพ) . ชือ่ วทิ ยานิพนธ. ระดับปรญิ ญาของวทิ ยานพิ นธ, ชื่อมหาวิทยาลัย. Boonlom, P. (2017). A Survey of the Attitudes of Local Residents toward Phase 1 of the Proposed Special Economic Zone Development Plan for Klong Yai District, Trat Province. Independent Study of the Degree of Master of Public Administration Program in Local Government. Chanthaburi: Rambhai Barni Rajabhat University. (in Thai) ปกรณ บญุ ลอม. (2560). การขานรบั นโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพเิ ศษของประชาชน อําเภอ คลองใหญ จังหวัดตราด. ภาคนพิ นธป รญิ ญามหาบัณฑติ สาขาวชิ าการปกครองทองถนิ่ . มหาวิทยาลยั ราชภัฏรําไพพรรณ.ี 7. บทความทกุ เรื่องที่สงใหกองบรรณาธิการพิจารณา ตองไมไดรับการเผยแพรที่ใดมากอน หรืออยูระหวาง การพจิ ารณาเผยแพรข องวารสารอ่นื ๆ 8. การสงตนฉบับบทความ (Submission) 8.1 สงตน ฉบับบทความ (Manuscript) ที่จัดเตรียมตามคาํ แนะนําในการเตรียมตน ฉบับและตามรปู แบบ การอางอิงที่วารสารกําหนด (นามสกุล .docx และ .pdf) และสงผานระบบ ThaiJo โดยใหผูเขียนเขาไปลงทะเบียน และทําตามขนั้ ตอนของระบบ โดยสามารถเขา ไปดําเนนิ การไดท ี่ https://www.tci-thaijo.org/index.php/spurhs 8.2 กรณีท่ีบทความไมผานการพิจารณาเบื้องตนจากกองบรรณาธิการ ผูเขียนไมจําเปนตองจาย คาดําเนินการใดๆ แตกรณีที่กองบรรณาธิการพิจารณาเบ้ืองตนแลวเห็นวา ควรสงผูทรงคุณวุฒิ (Peer reviewers) จํานวน 2 ทาน ตรวจสอบและประเมินคุณภาพของบทความ ผูเขียนจะตองจายคาดําเนินการ (Operation fee) ในอตั รา 4,000 บาท ตอ 1 บทความ โดยใชวธิ กี ารโอนเงินเขาบญั ชีธนาคารและสง สลิปเงนิ โอนมาท่ีกองบรรณาธกิ าร วารสารศรีปทุมปริทัศน ฉบับมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร ผานชองทางอีเมล [email protected] หรือทาง ไปรษณีย (1) ชอื่ บัญชธี นาคาร ธนาคารกรงุ เทพ สาขามหาวิทยาลยั ศรปี ทุม ชอ่ื บัญชี มหาวิทยาลัยศรปี ทุม ประเภทบัญชี ออมทรพั ย เลขทบี่ ัญชี 006-8-07686-8 ป˜ญญา เช่ียวชาญ เบิกบาน คณุ ธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 207

วารสารศรปี ทุมปริทัศน ฉบับมนษุ ยศาสตรและสงั คมศาสตร ปท‚ ่ี 20 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธนั วาคม 2563 Sripatum Review of Humanities and Social Sciences Vol. 20 No. 2 July – December 2020 (2) กองบรรณาธิการ วารสารศรปี ทมุ ปรทิ ัศน ฉบับมนุษยศาสตรแ ละสังคมศาสตร ที่อยู ศนู ยส ง เสริมและพฒั นางานวิจยั มหาวทิ ยาลัยศรปี ทุม เลขท่ี 2410/2 ถนนพหลโยธนิ แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศพั ท 0-2579-1111 ตอ 1331, 1252, 1155 โทรสาร ตอ 2187 นโยบายและเงื่อนไขในการพจิ ารณาบทความ (Editorial Policy) 1. บทความที่สงมาเพื่อพิจารณาตีพิมพตองเปนผลงานที่อยูในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งตามวัตถุประสงคของ วารสาร ไดแก (1) บริหารธรุ กจิ (2) ศิลปศาสตร (3) นิเทศศาสตร (4) นติ ิศาสตร (5) รัฐศาสตร และ (6) ศึกษาศาสตร 2. บทความที่สงมาตองไมเคยไดรับการตีพิมพเผยแพรที่วารสารใดมากอนและตองไมอยูระหวางการเสนอ เพื่อพจิ ารณาตพี มิ พในวารสารฉบบั อื่น 3. บทความท่ีสงมาจะไดรับการประเมินคุณภาพเบ้ืองตนจากกองบรรณาธิการกอน โดยจะพิจารณาถึง ความเหมาะสมและสอดคลอ งกับวตั ถุประสงคของวารสาร โดยการพิจารณาแยกเปน 2 กรณี คอื 3.1 ในกรณีท่ีบทความไมผานการพิจารณาเบื้องตนจากกองบรรณาธิการ บรรณาธิการจะแจงปฏิเสธ การรับตีพิมพบทความ (Reject) พรอมเหตุผล ขอเสนอแนะ หรือขอสังเกตสั้น ๆ ใหผูสงบทความไดรับทราบ ท้ังนี้ ผเู ขยี นไมจําเปน ตองจา ยคา ดําเนินการใด ๆ 3.2 ในกรณีที่บทความผานการพิจารณาเบ้ืองตน จากกองบรรณาธิการ ผูเขียนจะตอ งจายคาดําเนินการ (Operation fee) ในอัตรา 4,000 บาท ตอ 1 บทความ และบรรณาธิการจะสงบทความใหผูทรงคุณวุฒิ (Peer reviewers) ในสาขาท่ีเกี่ยวของจํานวน 2 ทาน เพื่อตรวจสอบคุณภาพของบทความกอนลงตีพิมพ โดยผูประเมินไมทราบช่ือผูแตงและผูแตงไมทราบชื่อผูประเมินบทความ (Double-blind peer review) ท้ังนี้ การจา ยเงินคาดาํ เนนิ การ ใหจายผานระบบการโอนเขา บญั ชธี นาคารเทานัน้ 4. เมื่อผูทรงคุณวุฒิไดพิจารณากลั่นกรองบทความเรียบรอยแลว กองบรรณาธิการจะพิจารณาวาบทความ นนั้ ๆ ควรไดล งตพี มิ พ (Accept) หรอื ควรจะสงคนื ใหผูเ ขียนแกไขเพื่อพจิ ารณาอีกครง้ั หนงึ่ (Major/Minor Revision) หรอื ควรแจง ปฏิเสธการลงตีพมิ พ (Reject) 5. กองบรรณาธกิ ารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาและตดั สนิ การตพี มิ พบทความในวารสาร และจะไมคนื เงิน ไมวาในกรณีใดๆ ป˜ญญา เช่ียวชาญ เบิกบาน คณุ ธรรม Intellectual, Professional, Cheerfulness, Morality 208







วารสารศรีีปทุมุ ปริิทัศั น์์ ฉบับั มนุุษยศาสตร์์และสัังคมศาสตร์์ SRIPATUM REVIEW OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES ปีีที่่� 20 ฉบัับที่�่ 2 กรกฎาคม - ธันั วาคม 2563 บทความวิิจััย 07 การศึึกษาเกี่ย่� วกับั การบริหิ ารกิิจการสื่อ่� สารในงานวิิชาการต่่างประเทศ : ศิิริิวรรณ อนัันต์์โท 21 แนวทางการกำำ�หนดตารางการทำ�ำ งานของเจ้้าหน้้าที่ค�่ วบคุุมจราจรทางอากาศ ศููนย์ค์ วบคุมุ จราจรทางอากาศเส้้นทางบินิ กรุงุ เทพ : อนัันตญา เหลืืองอมรสิริ ิิ, อภิิรดา นามแสง, วราภรณ์์ เต็ม็ แก้้ว 3 3 กลยุทุ ธ์์การบริิหารงานวิชิ าการสถานศึึกษาเอกชนที่่ส� อนคนตาบอดในประเทศไทย : ไชยา หงษ์์ณีี, วานิชิ ประเสริิฐพร 44 การพััฒนาตัวั บ่่งชี้ก� ารบริิหารคุณุ ภาพโดยรวมสู่�ความเป็็นเลิศิ ของธุรุ กิจิ ที่�่ได้้การรัับรองมาตรฐาน ISO9001: 2015 ในประเทศไทย : มงคล เอกพัันธ์,์ อภิิรดีี คำำ�ไล้้ 6 0 Guidelines for Professional Competency Development of Thai Accountants in the Digital Economy Era : Porntip Shoommuangpak 7 4 Empirical Evidence of Demographic Characteristics Toward Destination Brand Equity of Hua Hin, Thailand : Revita Saisud, Chawalee Na Thalang 91 แนวทางการเสริมิ สร้า้ งการรัับรู้้�ภาพลักั ษณ์ก์ ารท่่องเที่�ย่ วเมืืองรองของไทย : กรณีีศึกึ ษา จัังหวััดสิิงห์บ์ ุุรีี : กวิินธิิดา ลอยมา, กนกกานต์์ แก้ว้ นุุช 105 The Evaluation of the Outcome and Impact of the Study on the Effectiveness of Trafifc Law Enforcement : Srisombat Chokprajakchat, Wanaporn Techagaisiyavanit, Nittaya Sumretphol, Tongyai Iyavalakul 1 1ด8 ้ ปัจั้วจยัยักทาี่ร่ม� ีบีผริลิกตา่่อรสรัููปงั แคบมบขกอางรดบัำณั�ำ เนฑินิิชติ ีีอวิาิตสขาอสงมัเจัคเรนอมเรหชัา่่วน� ิทิวยายาลในััยสัธังรครมมชศนาบสทตไรท์์ย ภาคเหนืือและภาคตะวัันออกเฉีียงเหนืือ : กรณีีศึึกษาพื้้�นที่ก่� ารเรีียนรู้้� : กนกวรา พวงประยงค์์ 133 กลยุุทธ์ท์ างการทหารในการเสริิมสร้า้ งศัักยภาพภาวะผู้้�นำ�ำ แห่่งกองทััพบก พงษ์เ์ พ็็ง : ชััยพล สุวุ ัฒั นฤกษ์์, บุุญไทย แก้้วขัันตีี, จงดีี พฤกษารัักษ์์, ธีีรพงศ์์ 146 การพััฒนาแบบวัดั ความมุ่�งมั่น� และพลัังขัับเคลื่�อ่ นทางการเรีียนในนิสิ ิิต มหาวิทิ ยาลััยเกษตรศาสตร์์ : ธนศัักดิ์์� จันั ทศิิลป์์, มนัสั นัันท์์ หัตั ถศัักดิ์์,� ปวีีณา อ่่อนใจเอื้้อ� 160 กลไกและช่อ่ งทางการตรวจสอบองค์์กรปกครองส่่วนท้้องถิ่น� ของเยาวชน จัังหวัดั เชีียงใหม่่ : จตุุพร เสถีียรคง 1 74 ก:ารนิจิรััดมกลารสศิึริ ึกิิภษััคานนัันอทก์,์ระจบุบุฬดา้รว้ ัตัยนแ์น์ ววัคฒัิดิ กนาะ,รเณรีีัยัฏนรูฐ้์้�ว์โิดิชิยิดใชา้้เกเลมิศิเป็พน็ งฐาศ์นร์ ุุจเิพืิก่อ่�รเสริิมสร้้างการเห็น็ คุณุ ค่า่ ในตนเองของวััยรุ่่�นที่อ่� อกกลางคันั 187 การพััฒนารููปแบบการนิิเทศการสอนตามแนวทางกรอบความคิิดเติบิ โตสำำ�หรัับนัักศึึกษาฝึกึ ประสบการณ์ว์ ิชิ าชีีพครูู เพื่�อ่ พััฒนาผลสััมฤทธิ์์ท� างเรีียนของนักั เรีียน : นีีรนาท จุลุ เนีียม ISSN 1513 - 7287 https://www.tci-thaijo.org/index.php/spurhs