92 แผนการจัดการเรยี นรู้มุ่งเนน้ สมรรถนะ ชือ่ วชิ า พลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม รหสั วิชา 20001-1002 ทฤษฎี 2 คาบ หลักสตู รประกาศนยี บัตรวิชาชพี (ปวช.) -สาขาคอมพิวเตอรธ์ ุรกจิ 1/5 -สาขาการบัญชี 1/6 -สาขาการตลาด 1/7 -สาขาการโรงแรม 1/8 -สาขาการโรงแรม 1/9 -สาขาเทคนิคคอมพวิ เตอร์ 2/5 หนว่ ยท่ี 3 ความสมั พนั ธข์ องพลงั งาน ทรัพยากรธรรมชาติและ สิง่ แวดลอ้ มกับการดำรงชวี ิต จดั ทำโดย นายจุตติ ประนมศรี
93 หนว่ ยการเรียนรูแ้ ละสมรรถนะประจำหนว่ ย ชือ่ หน่วย สมรรถนะ หน่วยท่ี 1 ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ความร้เู บอ้ื งต้นเก่ยี วกับ พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ 1.พลังงาน 1.มีทกั ษะในเรื่องของ 1.ขยัน และสิ่งแวดล้อม 2.ประหยดั 2.ทรพั ยากรธรรมชาติ พลงั งาน 3.ซอื่ สตั ย์ 3.สิ่งแวดลอ้ ม ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ 4.มวี ินยั 4.ความสมั พนั ธ์ระหว่างพลงั งาน ส่งิ แวดล้อม 5.สภุ าพ ทรพั ยากรธรรมชาติและ 2.มีทักษะในกิจกรรม 6.สะอาด สงิ่ แวดลอ้ ม กลุ่ม 7.สามัคคี 5.ความสมั พนั ธ์ระหว่างพลงั งาน 3.สามรถนำเสนองานใน 8.มนี ้ำใจ กับระบบนิเวศ กลมุ่ ไดอ้ ย่างดี 6.วิกฤตการใช้พลงั งาน ทรพั ยากรธรรมชาติและ 4.มีองค์ความรู้ในเร่อื งท่ี สง่ิ แวดล้อม เรียน 7.ผลกระทบท่เี กดิ จากปัญหา สงิ่ แวดลอ้ ม 8.แนวทางการอนรุ กั ษ์และพัฒนา พลงั งาน ทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดล้อม หน่วยท่ี 2 1. พลงั งานสิน้ เปลือง 1.มที ักษะในเรื่องของ 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ แหล่งกำเนิดพลังงาน 2. พลงั งานทดแทน พลงั งานส้ินเปลืองและ 2. ซ่อื สตั ย์สุจริต พลงั งานทดแทน 3. มีวินยั 2.มีทกั ษะในกิจกรรมกลุ่ม 4. ใฝเ่ รยี นรู้ 3.สามรถนำเสนองานใน 5. อย่อู ยา่ งพอเพยี ง กลุม่ ได้อยา่ งดี 6. มงุ่ มั่นในการทำงาน 4.มีองค์ความร้ใู นเรื่องที่ 7. รักความเปน็ ไทย พลังงานสน้ิ เปลืองและ 8. มจี ิตสาธารณะ พลังงานทดแทน
94 หนว่ ยการเรียนรู้และสมรรถนะประจำหนว่ ย(ตอ่ ) ช่ือหน่วย สมรรถนะ หนว่ ยท่ี 3 ความสัมพันธข์ องพลังงาน ความรู้ ทักษะ คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ ทรพั ยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อมกับการดำรงชีวิต 1.พลงั งานแปรรูป 1.มีทักษะในเรื่องของ 1.ขยัน 2.ประหยดั หน่วยที่ 4 2.บทบาทของมนุษย์ในระบบ พลังงานแปรรูป 3.ซื่อสัตย์ ผลกระทบการใชพ้ ลงั งาน 4.มวี ินยั ทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม 2.มีทกั ษะในกจิ กรรมกลุม่ 5. อยู่อยา่ งพอเพียง สิ่งแวดลอ้ ม 6. มงุ่ ม่ันในการทำงาน 3.การใช้พลงั งานใน 3.สามรถนำเสนองานใน 7. รักความเป็นไทย 8. มจี ิตสาธารณะ ชวี ติ ประจำวัน กล่มุ ได้อย่างดี 4.หน่วยวดั พลงั งาน 4.มอี งค์ความรใู้ นเร่ือง 5.พลงั งานไฟฟา้ พลังงานที่ขาด พลงั งานแปรรปู ท่ีใชใ้ น ไม่ได้ในยคุ โลกาภิวัฒน์ ยานพาหนะและประกอบ 6.พลังงานเชอ้ื เพลิงท่ใี ชส้ ำหรับ อาหาร ยานพาหนะ 5.มีความรเู้ ร่ืองมนุษยก์ บั 7.พลงั งานในการประกอบอาหาร การใช้ประโยชนจ์ าก 8.มนษุ ยก์ ับการใชป้ ระโยชน์จาก พลังงาน พลงั งาน 1.ระดบั ปญั หาสง่ิ แวดล้อม 1.มีทักษะในเร่ืองของปัญหา 1.ขยัน 2.ผลกระทบต่อสภาพภมู ปิ ระเทศ สง่ิ แวดลอ้ ม 2.ประหยัด และทรัพยากรดิน 2.มีทกั ษะในกจิ กรรมกลุ่ม 3.ซื่อสัตย์ 3.ผลกระทบต่ออากาศและเสียง 3.สามรถนำเสนองานใน 4.มวี ินยั 4.ผลกระทบต่อทรัพยากรนำ้ กลุ่มได้อย่างดี 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.ผลกระทบต่อการเกดิ ภาวะโลก 4.มีองค์ความร้ใู นเรื่อง 6. มุ่งมั่นในการทำงาน ร้อน ผลกระทบต่ออากาศและ 7. รักความเป็นไทย 6.ผลกระทบต่อการลดลงของชนั้ เสยี ง5.มคี วามรู้เรื่องมนุษย์ 8. มจี ติ สาธารณะ โอโซน (O3) ในช้นั บรรยากาศ กับผลกระทบต่อการลดลง 7.ผลกระทบต่อการสูญเสยี ความ ของชัน้ โอโซน (O3) ในชั้น หลากหลายทางชีวภาพ บรรยากาศ 8.ผลกระทบต่อการเกดิ มลทัศน์
95 หนว่ ยการเรียนรแู้ ละสมรรถนะประจำหนว่ ย(ตอ่ ) ช่ือหน่วย สมรรถนะ หนว่ ยที่ 5 หลักและวธิ ีการการอนรุ กั ษ์ ความรู้ ทกั ษะ คุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ 1.ขยนั และสิ่งแวดลอ้ ม 1. ความหมายของการอนุรักษ์ 1.มที ักษะในเร่ืองของการ 2.ประหยัด 3.ซ่อื สตั ย์ หน่วยท่ี 6 2. สถานการณ์การใชพ้ ลังงาน อนุรกั ษ์พลงั งาน 4.มวี นิ ัย การป้องกนั และการแกไ้ ข 5. อยู่อยา่ งพอเพียง ปญั หาพลงั งานและ 3. จิตสำนึกในการอนรุ กั ษ์ 2.มที ักษะในกิจกรรมกล่มุ 6. มุ่งมนั่ ในการทำงาน ส่งิ แวดลอ้ ม 7. รักความเป็นไทย พลงั งาน 3.สามรถนำเสนองานใน 8. มีจิตสาธารณะ 4. วธิ กี ารเบ้อื งต้นในการอนรุ ักษ์ กล่มุ ได้อยา่ งดี 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ 2. ซ่อื สตั ย์สจุ ริต พลังงาน 4.มอี งค์ความรู้ในเรื่อง 3. มวี ินยั 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. การปรับปรุงอาคารเพื่อการ วธิ ีการเบ้อื งต้นในการ 5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง 6. มุ่งมน่ั ในการทำงาน อนุรกั ษ์พลงั งาน อนุรกั ษ์พลังงาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจติ สาธารณะ 6. การอนุรกั ษ์พลงั งานดา้ นต่าง ๆ 5.มีความรูเ้ ร่ืองมนุษย์กับ 7. การใช้แหลง่ พลังงานอยา่ งมี แนวทางการจัดการ ประสิทธภิ าพ สง่ิ แวดล้อมแบบย่งั ยนื 8. หลกั การการจัดการ 6.มที ักษะตามวตั ถุประสงค์ สง่ิ แวดลอ้ ม และวธิ ีการอนรุ ักษ์ 9. แนวทางการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ มแบบย่งั ยืน สิ่งแวดลอ้ ม 10. ความร่วมมอื ในการจดั การ สง่ิ แวดล้อม 11. วตั ถุประสงคแ์ ละวิธกี าร อนรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ สิ่งแวดลอ้ ม 1. ปญั หาพลงั งานและ 1.มที กั ษะในเร่ืองของการ ส่งิ แวดลอ้ ม ปญั หาพลงั งานและ 2. การวเิ คราะห์ระบบสงิ่ แวดล้อม ส่งิ แวดล้อม 3. การปอ้ งกนั และวธิ ีแก้ไขปัญหา 2.มที ักษะในกจิ กรรมกลุ่ม พลงั งานสิ่งแวดลอ้ ม 3.สามรถนำเสนองานใน 4.การประเมนิ ผลกระทบ กลุ่มได้อยา่ งดี สิ่งแวดลอ้ ม 4.มอี งค์ความรใู้ นเรื่องการ ป้องกันและวิธีแก้ไขปญั หา พลังงานส่งิ แวดลอ้ ม 5.มีความร้เู รื่องการ ประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อม
96 หน่วยการเรยี นรูแ้ ละสมรรถนะประจำหน่วย(ตอ่ ) ชื่อหน่วย สมรรถนะ หนว่ ยท่ี 7 ความรู้ ทักษะ คุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ กฎหมายและนโยบาย พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ 1. ท่ีมาของกฎหมายอนุรกั ษ์ 1.มีทักษะในเรื่องของ 1.ขยัน และสิ่งแวดล้อม 2.ประหยดั พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและ กฎหมายอนรุ ักษ์พลังงาน 3.ซ่ือสัตย์ 4.มวี ินยั สงิ่ แวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและ 5. อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง 6. มงุ่ มั่นในการทำงาน 2. กฎหมายการอนรุ ักษ์พลังงาน สิ่งแวดล้อม 7. รกั ความเปน็ ไทย 8. มีจติ สาธารณะ 3. กฎหมายสิ่งแวดล้อม 2.มที ักษะในกจิ กรรมกลมุ่ 9.สุภาพ 10.สะอาด 4. กฎหมายสงวนและคุ้มครอง 3.สามรถนำเสนองานใน 11.สามัคคี 12.มีนำ้ ใจ สัตว์ปา่ กลุ่มได้อย่างดี 5. กฎหมายส่ิงแวดลอ้ มอืน่ ๆ 4.มีองค์ความรใู้ นเร่ือง 6. ผลบังคับทางกฎหมายของ ปัญหาการใช้กฎหมาย พระราชบัญญตั ิ พลงั งาน 7. ปัญหาการใชก้ ฎหมายพลงั งาน ทรัพยากรธรรมชาติและ ทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม สิ่งแวดลอ้ ม 5.มีความรเู้ ร่ืองมนุษย์กับ 8. นโยบายและแผนเก่ียวกับ แนวทางการจัดการ พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ มแบบยง่ั ยนื สิ่งแวดลอ้ ม 6.นโยบายและแผนเกยี่ วกับ พลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม
97 การสอนออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom
98 การสอนออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom การสอบออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom
99 แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยท่ี 3 ชอื่ หนว่ ย ความสมั พนั ธ์ของพลงั งาน ทรัพยากรธรรมชาติและ สอนคร้ังที่ 6-7 ชั่วโมงรวม 4 สง่ิ แวดล้อมกับการดำรงชวี ิต ชือ่ เร่อื ง ความสัมพันธ์ของพลงั งานกับการดำรงชีวติ จำนวนชวั่ โมง 2 1.สาระสำคัญ 1.พลงั งานแปรรปู 2.บทบาทของมนษุ ย์ในระบบสง่ิ แวดล้อม 3.การใช้พลงั งานในชีวิตประจำวนั 4.หน่วยวัดพลังงาน 5.พลังงานไฟฟา้ พลงั งานทข่ี าดไม่ได้ในยุคโลกาภิวฒั น์ 6.พลังงานเช้อื เพลงิ ทใี่ ช้สำหรบั ยานพาหนะ 7.พลังงานในการประกอบอาหาร 8.มนษุ ยก์ บั การใชป้ ระโยชน์จากพลงั งาน 2.สมรรถนะประจำหนว่ ย เพื่อให้ผู้เรียนศึกษาความสัมพันธ์ของพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับการดำรงชีวิตและนำ ความรู้ไปประยุกต์ใชเ้ พอ่ื การอนรุ ักษ์พลังงาน 3.จุดประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 ดา้ นความรู้ เม่อื เรียนจบหนว่ ยการเรียนรู้นี้ ผเู้ รียนสามารถ 1. อธิบายพลงั งานแปรรปู ไดถ้ กู ต้อง 2. อธิบายบทบาทของมนษุ ยต์ อ่ ส่ิงแวดล้อม และสง่ิ แวดล้อมต่อมนษุ ยไ์ ด้ถูกต้อง 3. เปรยี บเทยี บหนว่ ยวดั พลงั งานแตล่ ะชนิดไดถ้ กู ตอ้ ง 4. คำนวณค่าพลงั งานไฟฟา้ ได้ถกู ต้อง 5. คำนวณพลงั งานที่ใชใ้ นชีวติ ประจำวัน ใชส้ ำหรบั ยานพาหนะและประกอบอาหารไดถ้ ูกตอ้ ง 6. อธิบายความสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษยก์ ับการใชป้ ระโยชน์จากพลังงานได้ถูกต้อง 3.2 ด้านทักษะ 1.มที ักษะในเร่ืองของพลงั งานแปรรูป 2.มที ักษะในกจิ กรรมกลมุ่ 3.สามรถนำเสนองานในกลุม่ ได้อย่างดี 4.มอี งคค์ วามร้ใู นเร่อื งพลงั งานแปรรปู ที่ใชใ้ นยานพาหนะและประกอบอาหาร 5.มีความรู้เรื่องมนษุ ย์กบั การใช้ประโยชน์จากพลงั งาน
100 3.3 คุณลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ 1.ขยนั 2.ประหยัด 3.ซื่อสตั ย์ 4.มีวนิ ัย 5. อยู่อยา่ งพอเพียง 6. มุง่ มัน่ ในการทำงาน 7. รักความเปน็ ไทย 8. มจี ติ สาธารณะ 3.4 หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ดา้ นสงั คม -รูจ้ ักแบง่ หน้าที่รบั ผดิ ชอบในการทำงาน -แลกเปลี่ยนเรยี นรจู้ ากเพ่ือนครู ด้านส่ิงแวดล้อม -มีความรใู้ นการเลอื กใชว้ สั ดุอปุ กรณ์ในทอ้ งตลาดมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม -มีความรู้เก่ียวกับการรักษาธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อม ด้านวัฒนธรรม -มคี วามรู้ความเข้าใจในภูมิปัญญาท้องถนิ่ มาใช้ในการเรยี นรู้ และ ผลิตชิ้นงาน 4.ความรู้พ้นื ฐานท่ีควรมกี ่อนเรยี น -ความร้ดู า้ นการแปรรูปพลงั งาน -ความรู้ดา้ นการทำกจิ กรรมกลุ่ม -ความรูด้ ้านการนำเสนองาน 5.เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ มนษุ ยใ์ ช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะใชใ้ นรูปของปัจจัยสี่หรือแปร รูปเป็นพลงั งานต่าง ๆ และพลังงานแปรรปู แต่ละอย่างมีความสัมพันธต์ ่อกนั มอี ิทธิพลต่อความเปน็ อยขู่ องมนุษย์ แต่การ ใช้พลังงานส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังใช้จากการแปรรูปของทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป หรือพลังงานเชื้อเพลิง ฟอสซิล ได้แก่ น้ำมัน แก๊สธรรมชาติและถ่านหิน ในขณะที่ใช้มนุษย์พยายามหาพลังงานทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง ฟอสซิลที่กำลังจะหมดไป ดังนั้น การใช้ทรัพยากรพลังงาน ควรทำความเข้าใจการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าซึ่งขาดไมไ่ ด้ พลงั งานจากยานพาหนะ และพลงั งาน เพอื่ ปรุงอาหาร สามารถคำนวณได้เพื่อการ อนุรักษท์ ่ถี ูกต้อง
101 แผนการจัดการเรยี นรมู้ ุง่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยท่ี 3 ช่อื หนว่ ย ความสัมพันธ์ของพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและ สอนครง้ั ที่ 6-7 ชัว่ โมงรวม 4 สงิ่ แวดล้อมกบั การดำรงชีวิต ชอื่ เร่ือง ความสัมพนั ธข์ องพลงั งานกับการดำรงชีวติ จำนวนชวั่ โมง 2 6.กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั สนใจปัญหา จงู ใจผู้เรียน (motivation) 1. ตรวจเรยี กรายช่ือ การแตง่ กาย 2. แจ้งจดุ ประสงค์การเรียนรู้วิชาพลงั งาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม/การวัดผลและเกณฑก์ ารประเมนิ ผล/โดย เปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นซักถาม 3. บอกจดุ ประสงคก์ ารเรียนหน่วยที่ 1 ความรู้เบ้อื งต้นเกีย่ วกบั พลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม 4. ให้ทำแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 1 (10 นาท)ี 5. สนทนา ซกั ถามจากภาพข่าวเกยี่ วกบั ส่งิ แวดลอ้ มและเหตกุ ารณ์ปัจจบุ ันจากส่อื ตา่ ง ๆ ให้ผเู้ รยี นแสดงความ คิดเห็น ขน้ั ศกึ ษาข้อมูล (information) 1. อธิบายความหมายของทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ มและพลงั งาน ซักถามใหผ้ เู้ รยี นยกตัวอยา่ ง ประกอบคำอธิบาย 2. อธบิ ายความรเู้ บื้องตน้ เกย่ี วกับพลังงานและสงิ่ แวดลอ้ มกบั ระบบนเิ วศ และสาระการเรยี นรู้ตามหนว่ ย การเรยี น โดยใช้ Power Point ประกอบ พร้อมการซักถาม 3. ให้ทำกจิ กรรมใบงานท่ี 1 โดยผสู้ อนจะตรวจสอบและสรปุ ในชั่วโมงถดั ไป 4. ใหผ้ ้เู รยี นซกั ถามข้อสงสัยหรือนำไปสูก่ ารสรปุ ขน้ั นำขอ้ มลู มาทดลองใช้ (application) 1. ให้รว่ มกันสรปุ สาระสำคญั โดยการซกั ถาม 2. ให้ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น ขนั้ สำเร็จผล (progress) 1.สรุปเกณฑ์การประเมินผล 2.ถา้ ผู้เรยี นไม่ผา่ นควรมีการซ่อมเสรมิ
102 แผนการจัดการเรียนรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยที่ 3 ชือ่ หน่วย ความสมั พนั ธ์ของพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและ สอนครัง้ ที่ 6-7 ชว่ั โมงรวม 4 ส่ิงแวดลอ้ มกับการดำรงชวี ิต ช่ือเร่ือง ความสัมพนั ธ์ของพลงั งานกบั การดำรงชีวิต จำนวนชั่วโมง 2 7.สื่อการเรยี นร้/ู แหลง่ การเรียนรู้ สือ่ สง่ิ พมิ พ์ - หนังสือเรยี นวชิ าพลังงาน ทรัพยากรและส่ิงแวดลอ้ ม ของสำนักพิมพ์ศนู ยส์ ง่ เสรมิ วชิ าการ (2562) - ขา่ วสารเกย่ี วกับทรพั ยากรธรรมชาติ สิง่ แวดลอ้ ม และพลังงาน ทเ่ี ป็นขา่ วในส่อื ตา่ ง ๆในเหตุการณ์ ปจั จบุ นั สอื่ โสตทัศน์ Power Point 8.เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ) - ใบเนอื้ หาเรือ่ ง ความรเู้ บื้องต้นเกี่ยวกับพลงั งาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม 9.การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กับวชิ าอ่ืน - บูรณาการกบั วชิ าพลังงานและส่งิ แวดล้อม 10.การวดั และประเมินผล 1. การวัดผล 1.1 จากแบบทดสอบหลงั เรยี น 1.2 จากกิจกรรมกลมุ่ ตามใบงาน 1.3 จากการสงั เกตพฤตกิ รรม 1.4 จากการนำเสนองานกลุ่ม 1.5 จากแบบทดสอบออนไลน์ 2. เครอื่ งมือวัดและประเมิน 2.1 ใบงาน 2.2 แบบทดสอบออนไลน์ 2.3 แบบประเมนิ คณุ ธรรม จริยธรรม 3. เกณฑ์การประเมินผล 3.1 จากแบบประเมนิ พฤตกิ รรมรายบคุ คลและกลมุ่ 3.2 จากคะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน 3.3 แบบประเมนิ คณุ ธรรมและจริยธรรม
103 แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยท่ี 3 ช่อื หนว่ ย ความสัมพนั ธ์ของพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม สอนคร้ังที่ 6-7 กบั การดำรงชีวิต ชั่วโมงรวม 4 ช่อื เรื่อง ความสัมพนั ธ์ของพลังงานกบั การดำรงชวี ิต จำนวนช่ัวโมง 2 1.บันทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ 11.1 ผลการใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้ จำนวนเน้อื หา มีความเหมาะสม ไม่เหมาะสมกบั จำนวนเวลา เพราะเหตใุ ด............................................................... การเรียงลำดบั เน้ือหา มีความเหมาะสม ไม่เหมาะสมกับความเขา้ ใจของผู้เรยี น เพราะเหตุใด................................................ การนำเขา้ สู่บทเรยี น มคี วามเหมาะสม ไมเ่ หมาะสมกับเน้ือหาแต่ละหัวข้อ เพราะเหตุใด...................................................... วิธีการสอน มีความเหมาะสม ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาแต่ละหัวขอ้ เพราะเหตุใด..................................................... สือ่ การสอน มคี วามเหมาะสม ไม่เหมาะสมกับเน้ือหาแต่ละหัวข้อ เพราะเหตุใด...................................................... งานทีก่ ำหนดใหท้ ำ มีความเหมาะสม ไม่เหมาะสมกบั เนอื้ หา/เวลา/วตั ถุประสงค์ เพราะเหตุใด........................................... การนำเสนอ มคี วามเหมาะสม ไมเ่ หมาะสมกบั เน้อื หา/เวลา/วัตถปุ ระสงค์ เพราะเหตุใด........................................... การประเมินผล มีความเหมาะสม ไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงคห์ นว่ ย เพราะเหตใุ ด....................................................... อื่น ๆ ............................................................................................................................. .........................................
104 เน้อื หาหนว่ ยที่ 3 ความสัมพันธ์ของพลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาติและ สงิ่ แวดลอ้ มกับการดำรงชีวติ สถานการณแ์ ละความสัมพนั ธ์ของการใชพ้ ลังงาน สิ่งทท่ี ำใหก้ ารดำรงชวี ติ เปน็ ไปตามความต้องการ มีส่ิงอำนวยความสะดวก เช่น ไฟฟา้ ประปา ถนน สวนสาธารณะ หอสมดุ ประชาชน โรงพยาบาลและอนื่ ๆ แตส่ ่งิ เหล่านต้ี ้องอาศยั กลไกลในการ ขับเคล่อื นของระบบ คือ พลังงานรปู แบบต่าง ๆ พลงั งานจึงถือเปน็ ปจั จยั พน้ื ฐานที่สำคัญต่อการพฒั นา ประเทศ ท้ังทางด้านเศรษฐกิจ ดา้ นอตุ สาหกรรม ดา้ นคมนาคม ดา้ นเกษตรกรรม และดา้ นสงั คม ปัจจัยที่ ส่งผลต่อปรมิ าณการใชพ้ ลงั งานทีเ่ ห็นได้อย่างชดั คอื จำนวนประชากร อัตราการเพม่ิ ของประชากร และ ระดบั ของการพัฒนา ซ่งึ ประเทศที่ยิง่ พฒั นามากเท่าไรจะยิ่งมีการบริโภคพลงั งานมากขึน้ เป็นเทา่ ตวั พลังงาน ฟอสซิลในปจั จบุ นั มีแนวโน้มว่าจะขาดแคลนและมรี าคาสงู ขึ้น นอกจากนกี้ ารใชเ้ ช้อื เพลิงฟอสซลิ ยงั ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อส่งิ แวดล้อมทเ่ี กิดจากการแสวงหาเชื้อเพลิง การเปล่ยี นรูปพลงั งาน และของเสียทเ่ี กิดจากการผลิต และใชพ้ ลงั งาน รูปแบบของพลังงาน - พลังงานปฐมภมู ิ คือ แหลง่ พลงั งานท่ีเกิดข้นึ หรือมีอยตู่ ามธรรมชาติ สามารถนำมาใช้โดยตรง ได้แก่ น้ำ แสงแดด ลม เชื้อเพลงิ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำมันดบิ ถา่ นหิน แกส๊ ธรรมชาติ พลังงาน - พลังงานเชิงพาณิชย์ คอื พลงั งานท่ีตอ้ งอาศยั กลไกของตลาดในการส่งผา่ นหรือกระจายพลังงานไปยงั ผู้ใช้ เป็นพลังงานที่ต้องอาศยั การซือ้ ขายผ่านระบบของตลาด และยงั เป็นพลงั งานประเภททมี่ ีการใช้มากที่สุดใน โลก ไดแ้ ก่ น้ำมัน ถ่านหิน และกา๊ ซธรรมชาติ ถานการณพ์ ลังงานของโลก ปัจจุบันทวั่ โลกกำลังประสบกับปญั หาเรอ่ื งวิกฤตพลังงานเช้ือเพลิงขาดแคลนอย่างหนัก ซึ่งนับวนั พลังงานที่มีอยู่มีปริมาณน้อยลงทุกทแี ละคงตอ้ งหมดไปในอนาคตอันใกล้ ส่งผลให้ราคาของเชื้อเพลงิ แตล่ ะชนดิ ปรับตัวสงู ขึ้นอย่างต่อเนื่อง การคาดการณ์พลังงานสำรองพลงั งาน พลงั งานสำรองในประเทศไทย สำรองทั่วโลก น้ำมนั 41 ปี น้ำมัน - ก๊าซธรรมชาติ 19 ปี กา๊ ซธรรมชาติ 63 ปี 61 ปี ถา่ นหนิ ถ่านหิน 150 ปี ตารางที่ 4.1 การคาดการณ์พลังงานสำรอง ที่มา: กรมพฒั นาพลังงานทดแทนและอนุรกั ษ์พลงั งาน กระทรวงพลงั งาน
105 ปรมิ าณการใชพ้ ลงั งานของโลก (จากการสำรวจการใช้พลังงานในปี พ.ศ. 2553 โดยบริษทั บพี )ี - การใชน้ ำ้ มัน ปริมาณการใชน้ ้ำมนั ของโลกต่อวัน พบวา่ บรเิ วณเอเชยี แปซฟิ กิ มีการใชน้ ้ำมนั มาก ท่สี ุดประมาณ 1,267.8 ล้านตัน รองลงมา ไดแ้ ก่ อเมริกาเหนือ ยโุ รป และยเู รเชีย ตะวนั ออก กลาง อเมริกาใต้และกลาง และแอฟริกา ใชน้ ้ำมนั ประมาณ 1,039.7 922.9 360.2 282.0 และ 155.5 ล้าน ตนั ตามลำดบั . แผนภูมทิ ี่ 4.1 ปรมิ าณการใช้น้ำมนั ของโลก ทีม่ า: กรมพัฒนาพลงั งานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน - การใช้ก๊าซธรรมชาติ ใช้กา๊ ซธรรมชาติมากทส่ี ุดของโลก คือ บริเวณยุโรปและยเู รเชยี ใชม้ าก ประมาณ 1,137.2 พันล้านลูกบาศกเ์ มตร รองลงมาได้แก่ อเมรกิ าเหนือ และเอเชียแปซฟิ ิกใช้ ประมาณ 846.1 และ 567.6 พันล้านลกู บาศกเ์ มตร แผนภูมทิ ี่ 4.2 ปรมิ าณการใชก้ า๊ ซธรรมชาตขิ องโลก ทมี่ า: กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลงั งาน กระทรวงพลังงาน
106 - การใชถ้ า่ นหนิ พบวา่ บรเิ วณเอเชยี แปซิฟิกใช้ถ่านหินมากท่สี ุดประมาณ 2,384.7 ล้านตัน เทยี บเทา่ นำ้ มันดิบ หรือคดิ เป็นรอ้ ยละ 67.1 ของปริมาณถ่านหินทใี่ ช้ทั้งโลก รองลงมาไดแ้ ก่ อเมรกิ าเหนือ ยุโรปและยเู รเชีย แอฟริกา อเมริกาใต้และกลาง และตะวันออกกลาง ใช้ถ่านหนิ ประมาณ 556.3 486.8 95.3 23.8 และ 8.8 ลา้ นตนั เทียบเทา่ นำ้ มันดบิ ตามลำดับ แผนภูมิที่ 4.3 ปริมาณการใชถ้ ่านหนิ ทมี่ า: กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรกั ษพ์ ลังงาน กระทรวงพลังงาน สถานการณพ์ ลงั งานของประเทศไทย ประเทศไทยมแี หลง่ พลงั งานของตนเองน้อยมาก ตอ้ งพ่ึงพาพลงั งานจากต่างประเทศถงึ รอ้ ย ละ 60 ของความต้องการพลังงานพาณิชยท์ ้ังหมด และกา๊ ซธรรมชาติท่ีมีอยูใ่ นประเทศก็มีอยู่ ไมเ่ พยี งพอกับ ความตอ้ งการใช้ภายในประเทศในระยะยาว ดังน้นั การใชท้ รัพยากรพลังงานท่ีมีอยู่ อย่างจำกัด ควรใหม้ ีการ ใชอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพมากที่สดุ
107 แผนภมู ทิ ่ี 4.4 การใช้พลังงานข้ันสดุ ทา้ ยจำแนกตามสาขาเศรษฐกจิ ของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 ทม่ี า: กรมพฒั นาพลังงานทดแทนและอนรุ กั ษพ์ ลังงาน จากรูปจะเห็นไดว้ ่าสัดส่วนการใชใ้ นสาขาอุตสาหกรรมมกี ารใช้พลงั งานมากทสี่ ุด คือ รอ้ ย ละ 36.4 รองลงมาเป็นการใช้ในสาขาขนสง่ สาขาบ้านอยู่อาศัย สาขาธรุ กจิ การคา้ และสาขา เกษตรกรรม คือ รอ้ ยละ 35.2 15.5 7.7 และ 5.2 ตามลำดบั การใชพ้ ลงั งานประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 มปี ริมาณ 71,166 พันตันเทียบเท่านำ้ มันดิบ เพิม่ ข้ึนจากปี 2552 รอ้ ยละ 6.7 คิดเป็นมลู ค่า การใชพ้ ลงั งาน รวม 1,294 พนั ลา้ นบาท โดยมกี ารใช้พลังงานเพิ่มขึน้ ดังนี้ - สาขาเกษตรกรรม 3,701 พนั ตนั เทยี บเท่านำ้ มนั ดิบ เพิม่ ขน้ึ จากปกี ่อนรอ้ ยละ 6.4 - สาขาอุตสาหกรรม 25,871 พนั ตันเทยี บเท่านำ้ มันดิบ เพิ่มข้นึ ร้อยละ 7.5 - สาขาบา้ นอยอู่ าศัย 11,013 พนั ตนั เทียบเท่านำ้ มนั ดิบ เพ่มิ ขน้ึ ร้อยละ 9.2 - สาขาธุรกิจการคา้ 5,520 พนั ตันเทยี บเทา่ น้ำมนั ดิบ เพมิ่ ข้นึ ร้อยละ 11.7 - สาขาขนสง่ 25,061 พันตนั เทยี บเท่าน้ำมันดิบ เพ่มิ ขึน้ รอ้ ยละ 3.8 การใชพ้ ลงั งานของประเทศไทย ปี 2554 - น้ำมัน มกี ารใช้รวมทงั้ สนิ้ 33,067 พนั ตนั เทยี บเท่าน้ำมันดบิ เพิ่มขึ้นจากปีกอ่ นร้อยละ 3.0 เปน็ สดั สว่ นร้อยละ 57.6 ของการใชพ้ ลังงานเชงิ พาณชิ ย์ทัง้ หมด แบ่งเป็นใชใ้ นสาขาการขนส่งมากทสี่ ุด คิดเป็น สดั สว่ นร้อยละ 70.8 รองลงมาเป็นการใชใ้ นสาขาการเกษตรรอ้ ยละ 11.1 สาขาอุตสาหกรรม การผลติ รอ้ ยละ 8.3 สาขาบ้านอยู่อาศัยร้อยละ 6.1 สาขาธรุ กจิ การคา้ ร้อยละ 3.3 และสาขาการก่อสรา้ ง รอ้ ยละ 0.4 โดยมี การใช้พลงั งานน้ำมันชนดิ ตา่ ง ๆ ดังนี้
108 · นำ้ มนั ดีเซล (รวมดเี ซลหมนุ เรว็ บี 5) รอ้ ยละ 50.0 · นำ้ มันเบนซิน (รวมแก๊สโซฮอล์) รอ้ ยละ 16.5 · ก๊าซปโิ ตรเลยี มเหลวรอ้ ยละ 15.1 · นำ้ มันเครอื่ งบนิ ร้อยละ 12.6 · นำ้ มันเตาร้อยละ 5.8 · นำ้ มันก๊าดรอ้ ยละ 0.03 - ก๊าซธรรมชาติ มีการใช้รวมท้ังสน้ิ 4,485 พนั ตันเทียบเท่านำ้ มันดิบหรือ 508 ลา้ นลูกบาศก์ฟตุ ต่อ วัน เพมิ่ ขน้ึ จากปีกอ่ นร้อยละ 19.0 โดยเปน็ สดั ส่วนรอ้ ยละ 7.8 ของการใช้พลงั งานเชิงพาณชิ ยท์ งั้ หมด ใช้ใน สาขาอุตสาหกรรมการผลติ มากที่สุดเป็นสดั ส่วนร้อยละ 54.6 ท่เี หลอื อีกร้อยละ 45.4 เปน็ การใชใ้ นสาขาการ ขนส่งและสาขาธุรกจิ การค้า - ถ่านหิน มกี ารใชร้ วมทั้งส้นิ 7,201 พันตนั เทียบเท่าน้ำมนั ดิบ ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 12.6 เป็น สดั สว่ นรอ้ ยละ 12.5 ของการใชพ้ ลังงานเชงิ พาณชิ ยท์ ั้งหมด ท้งั นเี้ ปน็ การใช้ในสาขาอุตสาหกรรมการผลติ ท้ังหมด - ไฟฟา้ มีการใชร้ วมทง้ั สิน้ 12,671 พันตนั เทยี บเท่านำ้ มันดบิ ลดลงจากปีกอ่ นรอ้ ยละ 4.2 โดย เป็นสดั ส่วนรอ้ ยละ 22.1 ของการใช้พลังงานเชิงพาณชิ ย์ ท้ังน้ีเป็นการใช้ในสาขาอตุ สาหกรรม มากที่สุดคิด เป็นสดั ส่วนร้อยละ 41.8 รองลงมาเปน็ การใชใ้ นสาขาธรุ กิจการคา้ สาขาบา้ นอยู่อาศัย และสาขาอ่นื ๆ อกี เปน็ สดั สว่ นร้อยละ 34.9 22.1 และ 1.2 ตามลำดับ การผลิตพลังงานของประเทศไทย ปี 2553 การผลติ พลังงานเชิงพาณชิ ยม์ ีปริมาณ 49,148 พันตันเทียบเทา่ นำ้ มนั ดบิ เพิ่มขนึ้ จากปีก่อน รอ้ ย ละ 11.0 ประกอบดว้ ย - น้ำมันดบิ มีการผลิต 7,655 พนั ตนั เทียบเท่านำ้ มนั ดิบ เพิ่มขน้ึ ร้อยละ 0.9 - ลกิ ไนต์ มกี ารผลิต 4,771 พนั ตนั เทียบเท่าน้ำมนั ดิบ ลดลงร้อยละ 0.1 - กา๊ ซธรรมชาติ มกี ารผลติ 31,061 พันตนั เทยี บเท่านำ้ มันดบิ เพ่ิมข้ึนร้อยละ 17.1 - คอนเดนเสท มีการผลติ 4,467 พนั ตันเทยี บเท่านำ้ มันดบิ เพ่มิ ขน้ึ รอ้ ยละ 17.8 - ไฟฟ้าพลังน้ำและอื่นๆ มกี ารผลิต 1,194 พนั ตนั เทียบเทา่ น้ำมนั ดิบ ลดลงรอ้ ยละ 24.7 - พลังงานหมุนเวยี นและพลงั งานอ่นื ๆ (ฟืน แกลบ กากออ้ ย วสั ดเุ หลอื ใช้ทางการเกษตร ขยะ กา๊ ซ ชีวภาพ แบล็คลเิ คอ และกา๊ ซเหลือใช้จากขบวนการผลิต) มีการผลิต 22,281 พันตันเทียบเท่านำ้ มนั ดิบเพมิ่ ขึ้น รอ้ ยละ 8.0
109 การผลติ พลังงานของประเทศไทย ปี 2554 การผลิตจากแหล่งภายในประเทศปี 2554 มีการผลิตพลงั งาน ดังนี้ - น้ำมันดิบ ผลติ รวมทง้ั สิ้น 6,859 พนั ตัน หรอื เฉลยี่ 137,426 บารเ์ รลต่อวนั ลดลงจากปกี อ่ นร้อยละ 10.2 เปน็ สัดส่วนร้อยละ 13.7 ของพลงั งานเชิงพาณิชย์ทีผ่ ลิตได้ทง้ั หมดจากแหล่งภายในประเทศ - กา๊ ซธรรมชาติ ผลติ ได้รวมทัง้ ส้นิ 31,310 พนั ตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือเฉลยี่ 3,491 ล้าน ลูกบาศก์ฟตุ ต่อวนั ลดลงจากปกี อ่ นร้อยละ 0.3 เปน็ สัดส่วนรอ้ ยละ 62.4 ของพลังงานเชงิ พาณิชย์ ที่ผลิตได้ ทง้ั หมดจากแหลง่ ภายในประเทศ - ลิกไนต์ ผลติ ไดร้ วมทัง้ สน้ิ 5,992 พันตันเทยี บเท่านำ้ มนั ดิบ หรอื เฉลีย่ 58,430 ตนั ตอ่ วนั เพ่ิมขึน้ จากปี ก่อนร้อยละ 20.7 เปน็ สัดสว่ นร้อยละ 11.7 ของพลงั งานเชงิ พาณิชยท์ ผ่ี ลิตไดท้ ้ังหมดจากแหลง่ ภายในประเทศ - พลงั งานจากน้ำ ผลติ กระแสไฟฟ้ารวมทั้งส้ิน 1,809 พันตนั เทียบเทา่ น้ำมนั ดิบ เพิ่มขึน้ จากปี ก่อนร้อยละ 47.4 และเปน็ สัดส่วนร้อยละ 3.6 ของพลังงานเชิงพาณชิ ยท์ ่ีผลิตไดท้ ัง้ หมด จากแหลง่ ภายในประเทศ - พลงั งานความร้อนใตพ้ ิภพ พลังงานแสงอาทติ ย์ และพลังงานจากลม ผลิตไดร้ วมทั้งสิน้ เทียบเท่า นำ้ มนั ดบิ 8 พันตัน - พลงั งานหมนุ เวยี น ผลิตพลังงานหมนุ เวยี นรวมทั้งสิ้น 6,623 พันตันเทยี บเทา่ น้ำมนั ดบิ เพิ่มขน้ึ จากปี 2553 ร้อยละ 16.9 การผลิตกากออ้ ยเป็นสดั ส่วนรอ้ ยละ 66.6 ของพลังงานหมุนเวยี นท่ีผลิตไดท้ ้ังหมด ส่วนที่ เหลือเป็นการผลติ วัสดเุ หลอื ใช้ทางการเกษตร กา๊ ซชวี ภาพ แกลบ ฟืน และอื่นๆ คิดเปน็ สดั ส่วนร้อยละ 17.0 8.8 5.4 2.1 และ 0.1 ตามลำดบั
110 การนำเข้าพลังงาน การนำเข้าพลังงานของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 มีดงั น้ี - น้ำมันดิบมกี ารนำเขา้ 41,766 พันตันเทียบเท่าน้ำมนั ดบิ เพมิ่ ข้นึ ร้อยละ 1.0 - ถ่านหินมีการนำเข้า 10,628 พันตนั เทยี บเทา่ น้ำมนั ดิบ เพิ่มขึน้ ร้อยละ 3.5 - การนำเขา้ น้ำมันสำเรจ็ รูป 161 พนั ตนั เทียบเทา่ น้ำมนั ดิบ ลดลงรอ้ ยละ 62.5 - กา๊ ซธรรมชาตมิ ีการนำเขา้ 9,156 พนั ตันเทยี บเท่านำ้ มันดิบ เพ่มิ ขน้ึ ร้อยละ 10.4 - คอนเดนเสทมีการนำเขา้ 1,581 พันตนั เทยี บเท่าน้ำมันดิบ เพิ่มขนึ้ ร้อยละ 13.7 - ไฟฟ้ามกี ารนำเขา้ 666 พันตันเทยี บเท่านำ้ มันดบิ เพ่มิ ขึ้นรอ้ ยละ 220.2 - พลงั งานหมุนเวียน (ฟืน และถา่ น) มีการนำเข้า 59 พนั ตนั เทยี บเทา่ น้ำมันดบิ เพิ่มข้ึนรอ้ ย ละ 11.3 โดยสามารถพิจารณาสดั สว่ นการนำเขา้ พลงั งานจำแนกตามชนดิ พลงั งาน
111 แผนภมู ทิ ่ี 4.7 การนำเข้าพลังงานจำแนกตามชนิดพลังงานของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 ท่มี า: กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนรุ ักษ์พลังงาน การนำเข้าพลงั งานของประเทศไทย ปี 2554 มรี ายละเอยี ดดังนี้ - นำ้ มันดบิ มกี ารนำเข้ารวมทง้ั สิน้ 39,637 พันตนั ลดลงจากปกี อ่ นร้อยละ 2.7 เปน็ สดั ส่วน รอ้ ย ละ 61.6 ของการนำเข้าพลังงานเชิงพาณชิ ยท์ ้ังหมด คิดเป็นมูลค่านำเขา้ ทงั้ ส้ิน 976,789 ลา้ นบาท เพ่ิมขึ้นจากปี กอ่ นร้อยละ 29.6 - ก๊าซธรรมชาติ มกี ารนำเข้ารวมท้งั สิ้น 9,744 พันตนั เทียบเท่านำ้ มนั ดิบ และเปน็ สัดสว่ น รอ้ ยละ 15.1 ของการนำเขา้ พลังงานเชงิ พาณิชย์ท้ังหมด ลดลงจากปกี อ่ นร้อยละ 14.4 คิดเปน็ มูลคา่ นำเข้าท้ังส้ิน 93,923 ล้านบาท เพมิ่ ข้ึนจากปีกอ่ นร้อยละ 10.7 นอกจากนยี้ ังมกี ารนำเข้าก๊าซธรรมชาตเิ หลวปรมิ าณ 863 พันตัน เทียบเทา่ นำ้ มันดบิ คิดเป็นมูลค่า 15,993 ล้านบาท - ถ่านหนิ มีการนำเข้ารวมทัง้ ส้ิน 10,402 พันตันเทยี บเท่านำ้ มนั ดิบ ลดลงจากปกี ่อนรอ้ ยละ 2.5 โดย คิดเปน็ สัดสว่ นรอ้ ยละ 16.2 ของการนำเข้าพลงั งานเชิงพาณิชยท์ ้ังหมด คิดเปน็ มูลค่าทง้ั ส้ิน 42,054 ล้าน บาท เพม่ิ ขนึ้ จากปีก่อนร้อยละ 7.0 - ไฟฟ้า มีการนำเข้ารวมทง้ั ส้ิน 910 พันตันเทยี บเท่านำ้ มนั ดบิ เพ่ิมขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 46.5 เปน็ สดั ส่วนรอ้ ยละ 1.4 ของการนำเขา้ พลงั งานเชิงพาณชิ ย์ท้ังหมด คดิ เป็นมลู ค่าทั้งสิน้ 13,095 ลา้ นบาท เพ่ิมขน้ึ จากปี ก่อนเกือบเท่าตวั
112 การส่งออกพลังงาน การสง่ ออกพลังงานของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 - นำ้ มนั มกี ารสง่ ออก 10,499 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ เพ่ิมขนึ้ รอ้ ยละ 3.5 - น้ำมันดบิ มกี ารส่งออก 1,760 พันตันเทียบเทา่ น้ำมันดิบ ลดลงรอ้ ยละ 17.8 - ไฟฟ้ามีการส่งออก 115 พันตันเทียบเท่าน้ำมนั ดิบ ลดลงรอ้ ยละ 13.5 - ก๊าซโซลนี ธรรมชาตมิ ีการสง่ ออก 96 พนั ตันเทียบเทา่ น้ำมันดิบ เพิ่มขน้ึ ร้อยละ 9.1 - ถา่ นหินมีการส่งออก 13 พันตันเทยี บเท่านำ้ มนั ดบิ ลดลงร้อยละ 27.7 - พลังงานหมนุ เวียน (ถา่ น) และเชอื้ เพลงิ ชีวภาพ (เอทานอล) มีการสง่ ออก 48 พนั ตนั เทยี บเท่า น้ำมันดบิ เพ่มิ ขน้ึ รอ้ ยละ 71.4 แผนภมู ทิ ี่ 4.9 การสง่ ออกพลังงานจำแนกตามชนดิ พลงั งานของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 ท่มี า: กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน
113 การสง่ ออกพลังงานของประเทศไทย ปี 2554 รายละเอียดดังนี้ - น้ำมันสำเร็จรปู รวมทั้งสน้ิ 9,142 พันตนั เทียบเทา่ นำ้ มนั ดิบ ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 11.5 และคดิ เป็นสัดส่วนรอ้ ยละ 82.5 ของการส่งออกพลังงานเชงิ พาณิชยท์ ้ังหมด - น้ำมันดิบเป็นสัดส่วนรอ้ ยละ 14.8 - กา๊ ซโซลีนธรรมชาตเิ ป็นสดั สว่ นร้อยละ 1.4 - ไฟฟ้าเปน็ สดั สว่ นร้อยละ 1.3 - ถ่านหิน เป็นสดั ส่วนร้อยละ 0.04 - พลงั งานหมุนเวียนด้ังเดิมมีการสง่ ออกถ่านรวมทัง้ สิ้น 13 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดบิ ส่วนฟืนมีการ สง่ ออกเพยี งเล็กน้อย สถานการพลังงานโลกในอนาคต ( รายงานการคาดการณ์อนาคตพลงั งานโลกในระยะยาวของเอ็กซอนโม บิล) แมจ้ ะมคี วามก้าวหน้าในการใชพ้ ลังงานอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ แต่การเพ่มิ ขนึ้ ของประชากรและการขยายตวั ทางเศรษฐกจิ จะสง่ ผลใหค้ วามตอ้ งการพลังงานโดยรวมของโลกพุม่ ขน้ึ สูง ความตอ้ งการพลงั งานในทุกรปู แบบจะ เพ่มิ ขึ้นในอัตราเฉลี่ยปลี ะ รอ้ ยละ 0.9 นับแต่ปี 2010-2040 นำ้ มนั จะยงั คงเปน็ แหล่งพลงั งานอันดับหนึ่งของ โลก นำโดยความต้องการพลังงานปิโตรเลยี มเหลวท่เี ตบิ โตกวา่ รอ้ ยละ 70 ของประเทศ กา๊ ซธรรมชาตจิ ะเปน็ แหลง่ พลงั งานหลกั ทเ่ี ตบิ โตเร็วท่ีสุด กล่าวคือจะมีความต้องการทว่ั โลกสงู ข้นึ ราว ร้อยละ 60 ในช่วงปี 2010- 2040 และ 2025 กา๊ ซธรรมชาติจะก้าวขน้ึ เปน็ แหล่งพลงั งานท่ีมกี ารใช้มากท่สี ดุ เปน็ อนั ดับสองของโลก ในทาง กลบั กัน ความต้องการถ่านหินจะสูงสุดในปี 2025 และจะเรมิ่ ลดลงอันมีผลมาจากการเพ่ิมประสทิ ธภิ าพพลังงาน ท่ตี ้องการพลงั งานทม่ี สี ว่ นผสมของคารบ์ อนต่ำ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในภาคการผลติ ไฟฟา้ แผนภมู ทิ ่ี 4.10 ความต้องการใช้พลงั งานโลก ตามประเภทเช้ือเพลงิ ทมี่ า: องค์กรพลงั งานระหวา่ งประเทศ
114 ความตอ้ งการพลงั งานภาคครวั เรือนและการพาณิชย์ เป็นภาคส่วนท่สี ำคญั ของความต้องการพลงั งานโลก เมอื่ พจิ ารณาถงึ การใชไ้ ฟฟ้า จนกระท้ัง ปี 2040 การขยายตัวทางเศรษฐกจิ ความมั่งคง และการเพ่ิมจำนวนของบา้ นพักอาศัยทัว่ โลกจะต้อง การพลงั งานเพม่ิ ข้ึน ร้อยละ 25 ในภาคครัวเรือนและการพาณชิ ยจ์ ะมีค่าผันแปรไปสกู่ ารใชไ้ ฟฟา้ และก๊าซ ธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาตคิ ือเช้อื เพลิงยอดนยิ มอันดบั สองในภาคครวั เรือนและพาณิชยข์ องประเทศพฒั นา แลว้ และในปี 2040 จะเพ่ิมขึน้ เปน็ ร้อยละ 30 แผนภมู ทิ ่ี 4.11 สดั สว่ นความตอ้ งการเชื้อเพลิงภาครวั เรอื นและการพาณิชย์ ทีม่ า: องค์กรพลงั งานระหวา่ งประเทศ ภาคการขนส่ง ในการเปลี่ยนแปลงอย่างมากของการใชพ้ ลังงานจนถึงปี 2040 จะมาจากภาคขนส่งการเพิ่มจำนวนอยา่ ง รวดเรว็ ของยานยนตไ์ ฮบรคิ และลำ้ สมยั อื่น ๆ รวมถึงการพัฒนาประสิทธภิ าพยานพาหนะแบบดั้งเดิม ทำให้ความ ต้องการพลงั งานคงที่ในภาคยานพาหนะสว่ นบคุ คล ทงั้ ที่จำนวนยายพาหนะเพ่มิ ข้ึนสองเท่า ในทาง กลับกัน ความต้องการเชอ้ื เพลงในภาคขนส่งทางพาณชิ ย์ รถบรรทุก เครื่องบินและเรอื จะสูงขน้ึ อย่างต่อเนื่อง
115 แผนภมู ิท่ี 4.12 ความต้องการเช้ือเพลงิ เพ่อื การขนส่ง ท่มี า: องค์กรพลังงานระหวา่ งประเทศ ภาคอุตสาหกรรม จุดกำเนดิ ของกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และตำแหน่งงาน ภาคอุตสาหกรรมใช้พลังงานเพ่ือผลิตวัสดุและสินคา้ ทส่ี ร้างสรรค์ชวี ติ ยคุ ใหม่ โดยในช่วง 30 ปขี า้ งหน้าความต้องการพลังงานภาคอุตสาหกรรมจะเพ่ิมข้นึ อยา่ ง ต่อเนอ่ื ง ในปี 2040 การใชพ้ ลงั งานภาคอตุ สาหกรรมของโลกจะสูงข้นึ ราว ร้อยละ 80 โดยนำ้ มนั สูงขนึ้ รอ้ ย ละ 25 ก๊าซธรรมชาตสิ งู ขนึ้ ร้อยละ 50
116 แผนภมู ิที่ 4.13 การเตบิ โตของเชื้อเพลิงภาคอุตสาหกรรม ทม่ี า: องค์กรพลังงานระหวา่ งประเทศ ความตอ้ งการไฟฟา้ จากความต้องการกระแสไฟฟา้ มีค่าเพ่ิมขน้ึ ท่วั โลก เราใช้พลังงานกา๊ ซธรรมชาติ พลังงานลม และ พลังงานแสงอาทติ ย์ในการผลิตกระแสไฟฟา้ ในปี 2010-2040 เราตอ้ งการกระแสไฟฟ้าท่ัวโลกเพ่มิ ขึน้ ร้อย ละ 80 มีการกระจายตามภาคส่วนดงั น้ี ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 45 ภาคครัวเรือน ร้อยละ 30 ภาคการ พาณิชย์ ร้อยละ 20 ส่วนในภาคขนส่งมีการตอ้ งการคงท่ี ในการผลติ กระแสไฟฟ้ามีการเปลี่ยนจากถ่านหิน มา เป็นพลงั งานกา๊ ซธรรมชาติ พลังงานนิวเคลยี ร์ และพลังงานหมุนเวียน
117 พลงั งานทดแทน พลงั งานทดแทน (Alternative Energy) หมายถึง พลงั งานทีใ่ ชท้ ดแทนพลังงานจากน้ำมนั เช้ือเพลิง ปจั จุบนั การหาแหลง่ พลงั งานทดแทน เพื่อมาใชแ้ ทนพลังงานจากซากฟอสซิส มีการพัฒนาโดย การศึกษาคน้ ควา้ ทดสอบ พฒั นาและสาธติ ตลอดจนส่งเสริม และเผยแพร่การใช้พลังงานทดแทนอย่าง ต่อเนือ่ ง ดว้ ยเหตผุ ลทว่ี ่า พลงั งานจากซากฟอสซสิ กำลงั จะหมดไป และพลังงานทดแทนซ่ึงจัดวา่ เป็นพลงั งานที่ สะอาด ไมม่ ีผลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ ม สามารถหาง่ายในท้องถ่ิน จงึ เป็นท่สี นใจ ตัวอย่างเชน่ การใช้พลงั งาน หมุนเวยี นในการผลติ กระแสไฟฟ้า ประเภทของพลงั งานทดแทน 1. ไบโอดเี ซล (biodiesel) เป็นเชื้อเพลงิ ดเี ซลผลิตจากแหลง่ ทรพั ยากรหมุนเวยี นเปน็ สารประเภทเอส เทอร์ ได้จากการหมกั คุณสมบัตสิ ำคัญของไบโอดีเซล สามารถย่อยสลายไดเ้ องตามกระบวนการชวี ภาพใน ธรรมชาติ และไมเ่ ปน็ พิษต่อสง่ิ แวดล้อม ไบโอดเี ซลแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ชนิดคอื - ไบโอดีเซลที่ไดจ้ ากน้ำมนั พืชหรือไขมนั สตั ว์ ซงึ่ สามารถนำมาใช้กบั เครื่องยนต์ดเี ซล ไดเ้ ลย - ไบโอดเี ซลแบบผสม เป็นการนำนำ้ มันพชื หรือน้ำมันจากสตั วม์ าผสมกับน้ำมนั กา๊ ด หรอื น้ำมนั ดีเซล กอ่ นนำไปใช้ เชน่ โคโคดีเซล (Coco-diesel) และปาล์มดีเซล (Palm-diesel) เป็นตน้ - ไบโอดเี ซลแบบเอสเตอร์ ได้จากปฏิกริ ิยาเคมที ่ีเรียกว่า ทรานส์เอสเตอริฟิเค ชัน (Transesterification process) ซึง่ นำแอลกอฮอล์มาทำปฏกิ ริ ิยากับน้ำมนั จากพืชหรอื สัตว์โดยใช้กรดหรือ ด่างเปน็ ตัวเรง่ ปฏกิ ริ ิยา ขนั้ ตอนในการผลิตไบโอดีเซล 1. นำนำ้ มนั พืชทไ่ี ด้จากพชื น้ำมันมาผสมทำปฏิกริ ยิ ากับเมทานอล (methanol) กบั สารเรง่ ปฏกิ ริ ิยา ซงึ่ จะไดเ้ ปน็ ไบโอดีเซลกบั กลเี ซอรนี 2. แยกกลเี ซอรนี ออก ทำความสะอาดไบโอดีเซล
118 2. กา๊ ซชีวภาพ (Biogas หรือ digester gas) หรอื ไบโอก๊าซ คือ ก๊าซท่เี กิดขึ้นตามธรรมชาติ ซงึ่ เกิด จากการหมักย่อยสลายของสารอนิ ทรีย์ภายใตส้ ภาวะ ทป่ี ราศจากออกซเิ จน หรือหมายถงึ ก๊าซมเี ทนเกดิ จาก การหมกั (fermentation) ของสารอินทรีย์โดยกระบวนการหมักสามารถเกดิ ข้ึนไดใ้ นหลุมขยะ กองมลู สัตว์ และ กน้ บ่อแหล่งน้ำนง่ิ สารอนิ ทรีย์กจ็ ะเกดิ การหมักและเกิดก๊าซชวี ภาพ ก๊าซชีวภาพเกิดจากการหมักของสารอินทรยี ์ โดยมีจุลินทรียจ์ ำพวกแบคทีเรีย เชน่ จุลนิ ทรยี ก์ ลุม่ สรา้ งมีเทน (methane-producing bacteria) หรือเมทาโน เจนและจลุ ินทรีย์กลุ่มสร้างกรด (acid-producing bacteria) มาชว่ ยยอ่ ยในสภาวะไร้อากาศ ในกระบวนการ ย่อยในสภาวะไร้อากาศ เปน็ การท่ีจลุ นิ ทรีย์ตา่ ง ๆ ทำปฏิกิริยายอ่ ยสลายสารอินทรยี ์ลงจากสิ่งมชี วี ิต ซ่ึงมี โครงสรา้ งทีซ่ บั ซ้อนลงเป็นโครงสรา้ งทซ่ี ับซ้อนน้อยลงเปน็ ขั้นๆ ไป 3. ชีวมวล (biomass) คอื สิง่ ท่ไี ด้มาจากส่งิ มชี ีวิต เชน่ ต้นไม้ อ้อยถ่าน ฟนื แกลบ วชั พืชต่าง ๆ หรือ แม้กระท่ังขยะและมลู สัตว์ การนำชีวมวลมาใช้เป็นพลงั งานโดยกระบวนการที่ให้ความร้อน เช่น การนำถ่าน ไม้ หรือฟืน เพอื่ ใหเ้ กิดความรอ้ น สำหรบั นำไปใช้เพื่อประโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ซึง่ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี ดงั นี้ การพัฒนาและผลติ เตาที่ใชก้ ันอยู่ทว่ั ไปใหเ้ ปน็ เตาประสิทธภิ าพสงู (เตาซเู ปอร์อังโล)่ จดุ ไฟตดิ เร็ว ให้ความ ร้อนสูง มีควนั น้อย ประหยัดเชอ้ื เพลิง และพฒั นาเตาประสิทธภิ าพสูงสำหรับอุตสาหกรรมชนบทขนาด เลก็ เช่น เตานงึ่ เมีย่ ง เตานึ่งปอสา เตาเผาอฐิ ส่วนด้านเชื้อเพลงิ น้นั ได้คดิ คน้ และผลติ กอ้ นอดั ชวี ภาพหรอื เชอ้ื เพลิงเขียว โดยนำพืชหรือวัชพชื มาสับแลว้ อัดแทง่ ตากแดด และอบใหแ้ หง้ ก้อนอัดชวี มวลทไ่ี ดจ้ ะจดุ ติดไฟ ง่าย ให้ความรอ้ นสงู นอกจากนี้ ยังได้นำผลผลิต หรือผลพลอยได้ของพชื จำพวกแปง้ และ นำ้ ตาล เช่น ขา้ ว ขา้ วโพด อ้อย กากนำ้ ตาล มาผลิตเอทธิลแอลกอฮอล์ รวมท้ังนำมันสำปะหลงั มาเผาโดย ควบคมุ ความร้อน เพื่อให้ได้กา๊ ซชวี มวล เพอื่ นำไปใช้เป็นเช้ือเพลงิ ต่อไป รปู ท่ี 4.1 ตน้ ข้าวโพด ทมี่ า: http://nsfcrcnews.blogspot.com/2010/10/blog-post.html
119 4. ก๊าซโซฮอล์ กา๊ ซโซฮอลเ์ ปน็ น้ำมนั เชื้อเพลิงทไ่ี ดจ้ ากการผสมระหว่างเอทานอล หรือท่เี รียกว่า เอทิลแอลกอฮอล์ ซง่ึ เปน็ แอลกอฮอล์ท่ีได้จากการแปรรูปจากพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ออ้ ย ข้าว ขา้ วโพด มันสำปะหลงั ฯลฯ และเปน็ แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5 % โดยปรมิ าตร ผสมกบั น้ำมนั เบนซินไร้สารตะก่ัวออกเทน 91 (ชนดิ ท่มี ี คณุ สมบตั ิบางตัวต่างจากเบนซนิ 91 ท่ีจำหนา่ ยอยู่ในปัจจุบัน) ในอตั ราส่วนเบนซนิ 9 สว่ น เอทานอล 1 ส่วน จงึ ได้เป็นนำ้ มันก๊าซโซฮอล์ ออกเทน 95 5. พลังงานแสงอาทติ ย์ เป็นพลังงานที่อยใู่ นความสนใจ และมีการพฒั นาอย่างตอ่ เนอ่ื ง เพราะเราสามารถนำมาใชไ้ ดอ้ ยา่ งไม่ สิน้ สดุ และมีลักษณะกระจายไปถึงผูใ้ ช้โดยตรง เป็นแหล่งพลงั งานทส่ี ะอาดปราศจากมลพษิ ต่อ สิง่ แวดลอ้ ม ประเทศที่ต้ังอยูใ่ นเขตใกล้เส้นศนู ย์สูตรหรือเส้นแบ่งคร่ึงโลก จึงไดร้ บั พลงั งานแสงอาทิตยค์ ่อนข้าง สงู คา่ ความเขม้ พลังงานแสงอาทิตย์รวมเฉลีย่ ของประเทศประมาณ 4.7 กโิ ลวัตต์ ตอ่ ชว่ั โมงตอ่ ตารางเมตรต่อ วัน หากเราสามารถใช้พลงั งานแสงอาทติ ย์ทสี่ อดส่องลงมาบนพนื้ ที่ของประเทศไทยเพยี งหนึ่งในร้อยสว่ นของพน้ื ท่ี ทัง้ หมด เราจะไดร้ ับพลังงานเทยี บเทา่ การใชน้ ้ำมันดิบประมาณ 7,000,000 ตนั ต่อปี รูปท่ี 4.2 แผงเซลล์แสงอาทิตย์ ท่มี า: http://www.vcharkarn.com/vblog/40866 6. พลงั งานนิวเคลียร์ เปน็ พลังงานทไ่ี ดจ้ ากแร่พลูโตเนยี มและแรย่ เู รเนยี มทำปฏกิ ิริยากัน และถูกนำไป ตม้ ในนำ้ ให้น้ำเดือดกลายเป็นไอนำ้ ไปหมุนกงั หนั ไอนำ้ ของเคร่ืองผลิตไฟฟา้ 7. พลงั งานถ่านหนิ แมเ้ ปน็ พลังงานทสี่ รา้ งผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มมากจากการเผาถ่านหินและส่งกา๊ ซ คารบ์ อนไดออกไซด์ออกมา แตไ่ ดม้ ีการพัฒนาระบบการเผาไหม้ใหถ้ ่านหนิ กลายเป็นก๊าซเชอ้ื เพลิง อีกท้ังถา่ นหนิ ยงั มปี รมิ าณมากพอทจี่ ะนำมาใชเ้ ป็นพลงั งานทดแทนได้ จากการสำรวจพบว่าถ่านหินสามารถขุดพบในเหมืองทว่ั
120 โลก ในภูมิภาคเอเชีย-แปซฟิ ิกมีการสำรองถ่านหินมากสุดถึง 297 พันล้านตนั และดว้ ยเชื้อเพลิงทีห่ างา่ ยและใช้ ตน้ ทุน 8. กา๊ ซธรรมชาติ (CNG-NGV) และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในประเทศไทยสามารถขุดพบแหล่งกา๊ ซ ธรรมชาติได้ ปจั จุบันถูกนำมาใช้เป็นเชอื้ เพลิงด้านยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ อตุ สาหกรรมยานยนตห์ นั มาผลิต เครื่องยนต์ทใ่ี ชก้ ๊าซ CNG เนื่องจากต้นทุนการผลิตท่ีต่ำ ท้ังยงั สามารถนำไปผลติ ไฟฟ้าไดอ้ ีก ดว้ ย สำหรบั LNG คือ การนำกา๊ ซมเี ทนมาทำให้อุณหภมู ิลดตำ่ ลงที่ -161 องศาเซลเซยี สในสถานะของ ของเหลว โดยคณุ สมบัตแิ ละความปลอดภัยเทยี บเทา่ กับก๊าซ CNG ซ่งึ ประเทศไทยมีแผนทีจ่ ะนำเข้ากา๊ ซชนิดนี้ใน ปี 2554 เพื่อเปน็ พลงั งานทางเลอื กในภาคอตุ สาหกรรม รูปที่ 4.3 เขื่อนภมู ิพล ทมี่ า: http://hilight.kapook.com/view/62597 9. พลังงานนำ้ เราสามารถสรา้ งเขอ่ื นท่กี ักเก็บน้ำไวใ้ นท่ีสงู ปล่อยให้นำ้ ไหลลงมาตามท่อเขา้ สู่เครื่อง กังหนั นำ้ ผลักดนั ใบพดั ให้กังหนั นำ้ หมุนเพลาของเคร่อื งกังหันนำ้ ทตี่ ่อเข้ากับเพลาของเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้าทจ่ี ะหมนุ ตามเกดิ การเหนยี่ วนำขึ้นในเครอ่ื งกำเนิดไฟฟ้า ทำใหเ้ กิดพลงั งานไฟฟ้า การผลิตกระแสไฟฟา้ จากพลงั งาน น้ำ อาจจะผลิตจากเขอ่ื นขนาดใหญ่ เขือ่ นขนาดกลาง หรือเขื่อนขนาดเล็ก เพ่ือผลิตกระแสไฟฟา้ สำหรบั ใชใ้ น ชมุ ชนขนาดเลก็ ซึ่งปี 2547 โรงไฟฟา้ พลงั งานน้ำในประเทศไทย มีกำลังผลติ ติดตั้งรวม 2,973 เมกกะวัตต์ รปู ท่ี 4.4 กงั หันลม ทม่ี า: http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/china-economic- business/result.php?SECTION_ID=459&ELEMENT_ID=2308
121 10. พลังงานลม ลมเป็นพลงั งานท่มี ีอยู่ท่ัวไปไม่มีวันหมด กระแสลมโดยเฉลย่ี ของประเทศไทยอยใู่ น ระดบั กลางถงึ ต่ำ ซึ่งมคี วามเร็วของกระแสลมตำ่ กว่า 4 เมตรต่อวินาที เราได้นำพลังงาน จากกระแสลมมาใชใ้ น การหมนุ กงั หนั ลมสบู น้ำ ซ่งึ มีอยู่ทั่วประเทศไทยประมาณ 5,800 ชดุ มกี ารศึกษาและพัฒนาการนำกงั หันลมมาใช้ ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในหลายพ้ืนท่ีของประเทศไทย โดยเฉพาะ ทแี่ หลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ไดน้ ำ กงั หนั ลมมาใชผ้ ลิตกระแสไฟฟ้าร่วมกับการผลติ กระแสไฟฟา้ จากพลังงานแสงอาทติ ย์ 11. พลังงานความร้อนใต้พภิ พ พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นพลงั งานธรรมชาตเิ กิดจาก การเคลอ่ื น ตวั ของเปลือกโลกเกิดแนวรอยเล่อื นแตก ทำให้น้ำบางส่วนจะไหลซึมลงไปใตผ้ ิวโลก ไปสะสมตัวและรับความ ร้อนจากชั้นหินทมี่ ีความร้อนสูง กลายเป็นน้ำรอ้ นและไอน้ำทีพ่ ยายาม แทรกตัวมาตามรอยเล่ือนแตกของชัน้ มาบนผิวดิน อาจจะเป็นในลักษณะของนำ้ พรุ อ้ น ไอนำ้ ร้อน โคลนเดือด และกา๊ ซ นำ้ รอ้ นจากใตพ้ ืน้ ดินสามารถ นำมาถา่ ยเทความร้อนให้กับของเหลว หรือสาร ท่ีมจี ดุ เดือดตำ่ ง่ายตอ่ การเดือดและการเป็นไอน้ำ แล้วนำไอ รอ้ นท่ีได้ไปหมุนกังหนั เพื่อขับเคลือ่ นเคร่ืองกำเนดิ ไฟฟา้ นอกจากน้ีน้ำพรุ ้อนทน่ี ำมาใช้ในการผลติ กระแสไฟฟ้า แลว้ เมอื่ มอี ุณหภมู ิตำ่ ลงเหลือประมาณ 80 องศาเซลเซยี ส สามารถนำมาใชเ้ ปน็ พลังงานในการอบแหง้ พืชผล ทางการเกษตร เป็นพลงั งานสำหรับหอ้ งเย็นและเครื่องปรับอากาศได้ดว้ ย แผนภมู ิท่ี 4.15 ปริมาณการใช้พลงั งานทดแทนของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 ที่มา: กรมพัฒนาพลงั งานทดแทนและอนุรกั ษ์พลังงาน ประโยชน์ของพลังงานทดแทน การใชพ้ ลงั งานทดแทนจะมปี ระโยชนใ์ นแง่ต่างๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ทางดา้ นเศรษฐกจิ ทำให้ภาวะของเศรษฐกิจของประเทศดีข้ึน เพราะสามารถใชผ้ ลิตผล ทาง ธรรมชาตแิ ละทางการเกษตรที่ประเทศเราสามารถผลติ ไดเ้ องทดแทนการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ทำให้ ประเทศประหยดั งบประมาณได้อีกดว้ ย 2. ผลิตผลทางการเกษตรมีมูลคา่ สูงข้นึ และสามารถใชป้ ระโยชน์มากขน้ึ ในแง่ต่างๆ กัน เชน่ ผลติ ภณั ฑ์ ทเี่ หลือจากการสขี ้าวคือ แกลบ สามารถนำมาทำเป็นเชอื้ เพลิงประเภทชีวมวลได้ มนั สำปะหลังซง่ึ มีราคา ตกต่ำ สามารถนำมาเป็นวตั ถุดิบในการผลิตเอทานอล เพ่อื เป็นส่วนผสมในการทำนำ้ มันก๊าซโซฮอลล์ เปน็ ต้น
122 3. ดา้ นการรกั ษาส่ิงแวดลอ้ ม การลดมลพิษต่าง ๆ การนำเอาพลงั งานทดแทนมาใช้แทนพลงั งานจาก ปิโตรเลยี ม ชว่ ยลดการเกิดมลพิษต่อสง่ิ แวดลอ้ ม 4. ดา้ นการสาธารณูปโภค เป็นการสง่ เสรมิ ใหช้ ุมชนหรอื เอกชนสามารถใช้พลังงานทดแทน อำนวย ความสะดวกด้านสาธารณูปโภคได้ เชน่ การทเ่ี อกชนหรอื ชมุ ชนทำการผลิตไฟฟา้ จากพลังงาน แสงอาทิตย์ พลงั งานไฟฟา้ จากนำ้ ตก เป็นต้น ความสำคัญของพลังงาน การใช้พลงั งานในอดีต แตเ่ ดิมมนษุ ยม์ เี พียงอาหารเท่านน้ั ท่เี ป็นแหล่งพลังงาน ต่อมามนษุ ย์ เรมิ่ รู้จัก ไฟ โดยมกี ารใชไ้ ฟทำอาหารใหส้ ุก ใชแ้ รงงานสัตว์เป็นพลงั งานในการเพาะปลกู และเร่ิม ใชไ้ มเ้ ปน็ เชือ้ เพลิง ให้ความรอ้ นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ผลติ อาวธุ สำหรับล่าสัตวแ์ ละป้องกนั ตวั ต่อมาความจำเปน็ ในการใช้ พลงั งานเพ่มิ สูงข้ึน แต่แหล่งพลังงานยงั คงมจี ำกัดอยูเ่ พียงไม้หรือพลงั นำ้ ทอ่ี ยู่ในรปู กงั หนั นำ้ ซึง่ จะมใี ช้กันมาก ในประเทศองั กฤษ ต่อมายคุ ปฏิวัตอิ ตุ สาหกรรมในศตวรรษที่ 19 มนุษยเ์ ร่ิมใชพ้ ลงั งานในอตั ราที่เพิ่มข้ึนอย่าง รวดเรว็ มีการประดิษฐ์เคร่ืองจักรไอน้ำ เริ่มมีการใชถ้ า่ นหินเปน็ เชื้อเพลงิ แทนไม้ และใช้กงั หนั น้ำและลม ปลาย ศตวรรษที่ 19 เริม่ มีการใช้ถ่านหินในการผลติ ไฟฟา้ ทำให้ความต้องการในการใชพ้ ลังงานเพมิ่ ข้นึ อยา่ ง รวดเร็ว ศตวรรษท่ี 20 ได้มีการค้นพบปโิ ตรเลียม ซงึ่ เป็นเช้ือเพลงิ พลงั งานที่มีคณุ สมบัตเิ อนกประสงค์ สามารถ ใช้ใหแ้ สงสว่าง (นำ้ มนั ก๊าด) ใช้ผลิตไฟฟ้าใช้ขบั เคล่อื นเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่มีการ สันดาปภายใน ปิโตรเลียมถูกนำมาใชแ้ ทนถ่านหนิ มากขึ้น เน่ืองจากการขนสง่ น้ำมนั ทำได้งา่ ยกว่าการขนสง่ ถา่ น หินน่ันเอง จงึ ทำให้มีการเติบโตดา้ นเศรษฐกิจในประเทศตะวนั ตก ซง่ึ นบั วา่ เปน็ จุดสำคัญทท่ี ำให้การใช้พลงั งาน ของมนุษย์โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก และอเมริกาเพิ่มข้ึนอยา่ งรวดเร็ว การดำรงชีวิตของมนุษย์มีความต้องการใช้พลังงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานเพ่ือ ตอบสนองต่อความต้องการข้ันพน้ื ฐาน มนษุ ย์ยงั ใช้พลงั งานเพอื่ ใหก้ ารดำรงชีวติ มีความสะดวกสบาย และมีความ ทนั สมัยอีกด้วย ตัวอยา่ งการใช้พลังงานในการทำกิจกรรมของมนุษย์ เชน่ การบรโิ ภคในครวั เรือนมีการใช้ พลังงาน ความร้อนในการหุงต้มอาหาร ทำให้เส้ือผ้าแห้ง ทำใหร้ ่างกายอบอนุ่ ใช้พลงั งานไฟฟา้ เพอื่ ความ สะดวกสบายในการดำรงชีวติ เชน่ ใช้ในการปรบั อากาศเพื่อให้อุณหภูมิอยใู่ นระดับทตี่ ้องการ ใชพ้ ลงั งาน ไฟฟ้าเพอ่ื ให้เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าตา่ งๆ ทำงาน ใชพ้ ลังงานเพ่ือการผลติ และการบรกิ าร ซึ่งจะมี การใช้พลังงานรูปแบบ ต่างๆ ในกระบวนการผลติ เชน่ ใชพ้ ลงั งานคาร์บอนในการตม้ น้ำให้เดือด เพ่ือให้ได้ไอน้ำสำหรับใชใ้ น กระบวนการผลติ ใช้พลงั งานเพื่อการคมนาคมขนส่งในการเดินทาง เป็นตน้ จากการใช้พลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ จึงอาจกลา่ วได้วา่ มนุษย์ไม่สามารถดำรงชวี ิตอยู่ได้หากปราศจาก พลงั งาน ความสมั พนั ธข์ องพลังงานกบั การดำรงชวี ติ พลังงานมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต ตลอดจนการเปลย่ี นแปลงตา่ งๆ ท่ีเกดิ ข้ึนบนโลก ในการดำรงชวี ติ ของ สิ่งมีชีวติ ซ่ึงจำเป็นทีจ่ ะต้องใช้พลังงานในการประกอบกจิ กรรมหรอื การปฏิบัติงานต่างๆ เชน่ 1. การเคลือ่ นไหวซ่ึงอาจเปน็ ส่วนทเ่ี คลื่อนไหวอวัยวะ เช่น การเตน้ ของหัวใจ การหายใจ ของปอด การ เคลื่อนไหวสว่ นต่างๆ ของร่างกาย เช่น การเคลอ่ื นไหวแขน ขา การเดนิ การหบุ ของใบ และการเคลื่อนที่ของยอด
123 พชื เขา้ หาแสง กระบวนการทางสรีระ เชน่ การแบ่งเซลล์ การหดตวั ของเซลล์กล้ามเนอ้ื การทำงานของเซลล์ ประสาท การสังเคราะห์แสง การดูดแร่ธาตแุ ละสารอาหารดว้ ยกระบวนการซ่ึงใช้พลงั งานของพชื 2. การติดต่อสื่อสารซึง่ จะต้องใชพ้ ลังงาน เช่น พลงั งานเสียงเพื่อการพดู คุย พลังงานแสง ชว่ ยในการ มองเหน็ สง่ิ ต่าง ๆ การตดิ ต่อส่ือสารโดยการใชก้ ารแสดงออกด้วยท่าทางตา่ ง ๆ คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ จะใชป้ ระโยชน์ สำหรบั การส่งวทิ ยุและโทรทัศน์ และเมื่อมีการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาช่วยเทคโนโลยกี ารสือ่ สารกจ็ ะเกิดเป็น เทคโนโลยีสารสนเทศ พลงั งานมคี วามสำคัญสำหรบั การทำงานของเครื่องมือเครื่องจักรและอุปกรณ์ เช่น 2.1 พลังงานไฟฟ้าสามารถขบั เคล่ือนอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ 2.2 พลังงานจากสารเช้ือเพลงิ ประเภทที่เรียกวา่ ฟอสซิล โดยเฉพาะนำ้ มันเปน็ เช้ือเพลิง สำหรบั ยานพาหนะประเภทต่าง ๆ 2.3 พลงั งานชว่ ยใหอ้ ุปกรณส์ ำรวจสามารถทำงานได้ 2.4 พลงั งานชว่ ยให้อปุ กรณท์ างการแพทยส์ ามารถทำงานได้ 3. พลังงานทำให้เกดิ การเปล่ียนแปลงทางธรรมชาติ 3.1 การเกิดฟ้ารอ้ ง ฟ้าแลบ และฟา้ ผ่าซงึ่ เกดิ จากการที่ก้อนเมฆถูกลมพัดเคลอื่ นท่ี เกดิ การเสยี ดสกี นั กบั อากาศและเกดิ ไฟฟ้าสถติ ขึน้ ในท่สี ุดจะมีการกระโดดของอเิ ลก็ ตรอนจากก้อนเมฆที่มีประจุ ไฟฟ้าลบไปสู่กอ้ นท่มี ปี ระจบุ วก หรอื ลงสูพ่ น้ื ดนิ ซึ่งในขณะที่กระแสอิเลก็ ตรอนเคลอื่ นที่ ผา่ นอากาศและผา่ นพน้ ไปแลว้ อากาศจะเคล่ือนที่เข้ามากระทบกันเป็นผลทำใหเ้ กิดเสยี ง 3.2 การถูกกดั เซาะและพงั ทลายของพืน้ ทซ่ี ึ่งเปน็ ผลสืบเนือ่ งมาจากพลังน้ำท่ีอาจเป็น พลังงานจากฝนหรือกระแสน้ำ และพลังงานลมจะทำให้เกิดการถูกกัดเซาะและการพังทลายของพน้ื ท่ี 3.3 ความเสียหายท่ีเกิดข้นึ เนื่องจากพลงั งานลมและกระแสน้ำ ซ่ึงอาจก่อให้เกิดความเสียหายขึน้ กบั อาคาร สิง่ ปลูกสรา้ ง พ้ืนทีเ่ กษตรกรรมและพน้ื ท่ปี า่ ไมไ้ ด้ สรุป พลังงานถือเป็นปัจจัยพ้นื ฐานท่ีสำคญั ต่อการพัฒนาประเทศ ท้ังทางด้านเศรษฐกิจ ดา้ น อุตสาหกรรม คมนาคม และเกษตรกรรม ซ่งึ พลงั งานมคี วามสำคัญต่อสง่ิ มีชวี ติ ตลอดจนการเปลยี่ นแปลงต่าง ๆ ทีเ่ กดิ ขึ้นบนโลกในด้านตา่ ง ๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะการดำรงชวี ิตของมนุษย์จำเป็นต้องใชพ้ ลังงานในการ ประกอบกิจกรรมหรือปฏบิ ัติงานตา่ ง ๆ พลงั งานจึงสามารถตอบสนองความต้องการของมนษุ ย์ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
124 การสอนออนไลน์ การสอบออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom
125 สอ่ื การสอนประจำหนว่ ย
126 สื่อการสอน
127 สือ่ การสอน ดคู ลปิ วดี โี อ
128 แบบทดสอบประจำหนว่ ย
129 แบบทดสอบ หน่วยที่ 3 ความสัมพนั ธ์ของพลงั งาน และ สิง่ แวดล้อม 1.การใชพ้ ลงั งานในอดตี กับปัจจบุ นั มีลักษณะแตกต่างกันในดา้ นใดมากทสี่ ดุ ก.ปรมิ าณการใช้พลังงาน ข.กลมุ่ ผใู้ ชพ้ ลงั งาน ค.ปญั หาการใชพ้ ลังงาน ง.เปา้ หมายการใช้พลังงาน 2.กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพชื ใช้กา๊ ซชนดิ ใด ก.ออกซิเจน ข.ไนโตรเจน ค.คาร์บอนไดออกไซด์ ง.คาร์บอนมอนอกไซด์ 3.แหลง่ พลงั งานทสี่ ำคัญทส่ี ุดในธรรมชาติมาจากแหล่งใด ก.พืช ข.ดวงอาทิตย์ ค.น้ำ ง.ออกซิเจน 4.ขอ้ ใดกล่าวถงึ กฎของธรรมชาติไดถ้ ูกต้อง ก.มนุษย์เป็นผ้สู ร้างอาหารและพลังงาน ข.พลงั งานและสารอาหารไดจ้ ากธรรมชาตเิ ท่านั้น ค.สิ่งมชี วี ติ เป็นผูส้ ร้างพลังงานและสารอาหาร ง.พลงั งานและสารอาหารไมม่ ีความสัมพนั ธก์ ับสิ่งมีชวี ิต 5.ข้อใดไมใ่ ชค่ วามหมายของระบบนเิ วศ ก.สังคมของสง่ิ มีชีวติ กับส่งิ แวดล้อมที่มคี วามสัมพันธเ์ กีย่ วข้องกัน ข.หนว่ ยพืน้ ทท่ี ป่ี ระกอบดว้ ยสงิ่ มีชีวิตและส่ิงท่ีไม่มชี วี ติ ทมี ีความสมั พันธ์กัน ค.ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกลมุ่ ของสง่ิ มีชวี ติ กบั พ้นื ที่อาศยั ง.สิง่ มีชวี ิตกบั ส่งิ แวดล้อมไมจ่ ำเปน็ ต้องมคี วามสัมพนั ธก์ ัน 6.องค์ประกอบท่ีไม่มชี ีวติ ของระบบนเิ วศคือข้อใด ก.แสงสวา่ ง ข.พชื ค.สัตว์ ง.จลุ ินทรยี ์ 7.ข้อใดคือผ้ผู ลติ ในระบบนิเวศ ก.พชื ข.สัตว์
130 ค.มนุษย์ ง.รา 8.นกทที่ ำรังบนตน้ ไม้เป็นความสัมพนั ธข์ องสง่ิ มชี วี ิตในระบบนิเวศตามข้อใด ก.ภาวะปรสิต ข.3ภาวะพึ่งพา ค.ภาวะเก้ือกลู กันชวั่ คราว ง.ภาวะแก่งแยง่ 9.ระบบนิเวศข้อใดท่ีเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์เพื่อให้มีความเป็นอยูท่ ่ีดี มคี วามสะดวกสบาย ก.ระบบนเิ วศบก ข.ระบบนเิ วศเกษตรกรรม ค.ระบบนิเวศเมืองและอุตสาหกรรม ง.ระบบนเิ วศน้ำตก 10.จากภาพโซ่ ผัก→หนอน→นก→เหยี่ยว ผู้ผลติ ในระบบนิเวศคือข้อใด ก.ผัก ข.หนอน ค.นก ง.เหยย่ี ว 11.จากโซอ่ าหาร ผกั →หนอน→นก→เหยีย่ ว ตามกฏ 10 % ถา้ ผักมีพลังงาน 100 แคลอรี นกจะไดร้ ับ พลงั งานเท่าใด ก.100 แคลอรี ข.10 แคลอรี ค.1 ง.0.1 แคลอรี 12.ขอ้ ใดคือตัวอยา่ งของกฎแห่งการควบคุมในระบบนเิ วศ ก.จิ้งจกเปล่ยี นสเี พื่อลา่ เหย่อื ข.สตั วใ์ นเขตหนาวจะมีขนจำนวนมากปกคลมุ ร่างกาย ค.ปลาวางไขแ่ ละออกลูกคร้ังละมากๆ ง.ปลาใหญก่ ินปลาเล็กเป็นอาหาร 13.ลักษณะของตน้ ไม้ทเ่ี จริญเติบโตในทะเลทรายจะมีใบนอ้ ยหรอื ใบขนาดเล็กเปน็ ไปตามกฎการรกั ษาความสมดลุ ของระบบนเิ วศข้อใด ก.กฎแห่งการปรับตน ข.กฎแห่งการทวีจำนวน ค.กฎแหง่ การแทนท่ี ง.กฎแหง่ การควบคุม
131 14.มนษุ ย์ในชนบทมีความสัมพันธก์ บั ส่งิ แวดล้อมตามขอ้ ใด ก.การใช้รถยนตใ์ นการคมนาคม ข.มีการเสาะแสวงหาพลังงานเพ่มิ เติม ค.นิยมนำไม้มาสรา้ งบ้านท่ีอยู่อาศยั ง.ประกอบอาชีพค้าขาย 15.ขอ้ ใดไม่ใชป่ รากกฏการณ์ท่ีพบในระบบนเิ วศ ก.การหมนุ เวียนธาตอุ าหาร ข.การถา่ ยทอดพลังงาน ค.การเปล่ียนแปลงตลอดเวลา ง.การพง่ึ พาตนเองของส่งิ มชี วี ิต
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: