26 แผนการจัดการเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ ชื่อวิชา พลงั งาน ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม รหัสวิชา 20001-1002 ทฤษฎี 2 คาบ หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชพี (ปวช.) -สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ 1/5 -สาขาการบญั ชี 1/6 -สาขาการตลาด 1/7 -สาขาการโรงแรม 1/8 -สาขาการโรงแรม 1/9 -สาขาเทคนิคคอมพวิ เตอร์ 2/5 หนว่ ยที่ 2 แหลง่ กำเนิดพลงั งาน จัดทำโดย นายจตุ ติ ประนมศรี
27 หนว่ ยการเรียนรูแ้ ละสมรรถนะประจำหนว่ ย ชือ่ หน่วย สมรรถนะ หน่วยท่ี 1 ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ความร้เู บอ้ื งต้นเก่ยี วกับ พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ 1.พลังงาน 1.มีทกั ษะในเรื่องของ 1.ขยัน และสิ่งแวดล้อม 2.ประหยดั 2.ทรพั ยากรธรรมชาติ พลงั งาน 3.ซอื่ สตั ย์ 3.สิ่งแวดลอ้ ม ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ 4.มวี ินยั 4.ความสมั พนั ธ์ระหว่างพลงั งาน ส่งิ แวดล้อม 5.สภุ าพ ทรพั ยากรธรรมชาติและ 2.มีทักษะในกิจกรรม 6.สะอาด สงิ่ แวดลอ้ ม กลุ่ม 7.สามัคคี 5.ความสมั พนั ธ์ระหว่างพลงั งาน 3.สามรถนำเสนองานใน 8.มนี ้ำใจ กับระบบนิเวศ กลมุ่ ไดอ้ ย่างดี 6.วิกฤตการใช้พลงั งาน ทรพั ยากรธรรมชาติและ 4.มีองค์ความรู้ในเร่อื งท่ี สง่ิ แวดล้อม เรียน 7.ผลกระทบท่เี กดิ จากปัญหา สงิ่ แวดลอ้ ม 8.แนวทางการอนรุ ักษ์และพัฒนา พลงั งาน ทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดล้อม หน่วยท่ี 2 1. พลงั งานสิน้ เปลือง 1.มที ักษะในเรื่องของ 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ แหล่งกำเนิดพลังงาน 2. พลังงานทดแทน พลงั งานส้ินเปลืองและ 2. ซ่อื สตั ย์สุจริต พลงั งานทดแทน 3. มีวินยั 2.มีทกั ษะในกิจกรรมกลุ่ม 4. ใฝเ่ รยี นรู้ 3.สามรถนำเสนองานใน 5. อย่อู ยา่ งพอเพยี ง กลุม่ ได้อยา่ งดี 6. มงุ่ มั่นในการทำงาน 4.มีองค์ความร้ใู นเรื่องที่ 7. รักความเปน็ ไทย พลังงานสน้ิ เปลืองและ 8. มจี ิตสาธารณะ พลังงานทดแทน
28 หนว่ ยการเรียนรู้และสมรรถนะประจำหนว่ ย(ตอ่ ) ช่ือหน่วย สมรรถนะ หนว่ ยท่ี 3 ความสัมพันธข์ องพลังงาน ความรู้ ทักษะ คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ ทรพั ยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อมกับการดำรงชีวิต 1.พลงั งานแปรรูป 1.มที ักษะในเร่ืองของ 1.ขยัน 2.ประหยดั หน่วยที่ 4 2.บทบาทของมนุษย์ในระบบ พลังงานแปรรูป 3.ซื่อสัตย์ ผลกระทบการใชพ้ ลงั งาน 4.มวี ินยั ทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม 2.มีทกั ษะในกจิ กรรมกลุม่ 5. อยู่อยา่ งพอเพียง สิ่งแวดลอ้ ม 6. มงุ่ ม่ันในการทำงาน 3.การใช้พลงั งานใน 3.สามรถนำเสนองานใน 7. รักความเป็นไทย 8. มจี ิตสาธารณะ ชวี ติ ประจำวัน กลมุ่ ได้อยา่ งดี 4.หน่วยวดั พลงั งาน 4.มีองค์ความร้ใู นเร่ือง 5.พลงั งานไฟฟา้ พลังงานที่ขาด พลงั งานแปรรูป ท่ีใชใ้ น ไม่ได้ในยคุ โลกาภิวัฒน์ ยานพาหนะและประกอบ 6.พลังงานเชอ้ื เพลิงท่ใี ชส้ ำหรับ อาหาร ยานพาหนะ 5.มคี วามรเู้ ร่ืองมนุษยก์ บั 7.พลงั งานในการประกอบอาหาร การใชป้ ระโยชนจ์ าก 8.มนษุ ยก์ ับการใชป้ ระโยชน์จาก พลังงาน พลงั งาน 1.ระดบั ปญั หาสง่ิ แวดล้อม 1.มีทกั ษะในเรื่องของปัญหา 1.ขยัน 2.ผลกระทบต่อสภาพภมู ปิ ระเทศ สงิ่ แวดล้อม 2.ประหยัด และทรัพยากรดิน 2.มีทกั ษะในกิจกรรมกลุ่ม 3.ซื่อสัตย์ 3.ผลกระทบต่ออากาศและเสียง 3.สามรถนำเสนองานใน 4.มวี ินยั 4.ผลกระทบต่อทรัพยากรนำ้ กลมุ่ ได้อยา่ งดี 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.ผลกระทบต่อการเกดิ ภาวะโลก 4.มีองค์ความรใู้ นเรื่อง 6. มุ่งมั่นในการทำงาน ร้อน ผลกระทบต่ออากาศและ 7. รักความเป็นไทย 6.ผลกระทบต่อการลดลงของชนั้ เสียง5.มคี วามรู้เรื่องมนุษย์ 8. มจี ติ สาธารณะ โอโซน (O3) ในช้นั บรรยากาศ กบั ผลกระทบต่อการลดลง 7.ผลกระทบต่อการสูญเสยี ความ ของชนั้ โอโซน (O3) ในชั้น หลากหลายทางชีวภาพ บรรยากาศ 8.ผลกระทบต่อการเกดิ มลทัศน์
29 หนว่ ยการเรยี นรแู้ ละสมรรถนะประจำหนว่ ย(ตอ่ ) ช่ือหน่วย สมรรถนะ หน่วยที่ 5 หลักและวธิ ีการการอนรุ กั ษ์ ความรู้ ทกั ษะ คุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ 1.ขยัน และส่งิ แวดลอ้ ม 1. ความหมายของการอนุรักษ์ 1.มที ักษะในเร่ืองของการ 2.ประหยัด 3.ซ่อื สัตย์ หนว่ ยท่ี 6 2. สถานการณก์ ารใชพ้ ลังงาน อนุรกั ษ์พลงั งาน 4.มวี นิ ัย การปอ้ งกนั และการแกไ้ ข 5. อยู่อยา่ งพอเพียง ปัญหาพลงั งานและ 3. จิตสำนกึ ในการอนรุ ักษ์ 2.มที ักษะในกิจกรรมกล่มุ 6. มุ่งมนั่ ในการทำงาน ส่ิงแวดลอ้ ม 7. รักความเป็นไทย พลงั งาน 3.สามรถนำเสนองานใน 8. มีจิตสาธารณะ 4. วิธกี ารเบอ้ื งต้นในการอนรุ ักษ์ กล่มุ ได้อยา่ งดี 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ 2. ซ่อื สตั ย์สจุ ริต พลงั งาน 4.มอี งค์ความรู้ในเรื่อง 3. มวี นิ ยั 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. การปรบั ปรุงอาคารเพื่อการ วธิ ีการเบ้อื งต้นในการ 5. อยู่อย่างพอเพยี ง 6. มุ่งมน่ั ในการทำงาน อนรุ กั ษ์พลังงาน อนุรกั ษ์พลังงาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ 6. การอนุรักษ์พลังงานดา้ นต่าง ๆ 5.มีความรูเ้ ร่ืองมนุษย์กับ 7. การใชแ้ หลง่ พลังงานอยา่ งมี แนวทางการจัดการ ประสทิ ธิภาพ สง่ิ แวดล้อมแบบย่งั ยนื 8. หลักการการจัดการ 6.มที ักษะตามวตั ถุประสงค์ สง่ิ แวดลอ้ ม และวธิ ีการอนรุ ักษ์ 9. แนวทางการจดั การ ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมแบบยง่ั ยนื สิ่งแวดลอ้ ม 10. ความรว่ มมือในการจดั การ สง่ิ แวดลอ้ ม 11. วตั ถปุ ระสงคแ์ ละวิธกี าร อนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ สิ่งแวดลอ้ ม 1. ปญั หาพลงั งานและ 1.มที กั ษะในเร่ืองของการ ส่งิ แวดลอ้ ม ปญั หาพลงั งานและ 2. การวเิ คราะห์ระบบสิ่งแวดล้อม ส่งิ แวดล้อม 3. การปอ้ งกนั และวิธีแก้ไขปัญหา 2.มที ักษะในกจิ กรรมกลุ่ม พลังงานส่งิ แวดล้อม 3.สามรถนำเสนองานใน 4.การประเมินผลกระทบ กลุ่มได้อยา่ งดี สิ่งแวดล้อม 4.มอี งค์ความรใู้ นเรื่องการ ป้องกันและวิธีแก้ไขปญั หา พลังงานส่งิ แวดลอ้ ม 5.มีความร้เู รื่องการ ประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อม
30 หน่วยการเรยี นรูแ้ ละสมรรถนะประจำหน่วย(ตอ่ ) ชื่อหน่วย สมรรถนะ หนว่ ยท่ี 7 ความรู้ ทักษะ คุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ กฎหมายและนโยบาย พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ 1. ท่ีมาของกฎหมายอนุรกั ษ์ 1.มีทักษะในเรื่องของ 1.ขยัน และสิ่งแวดล้อม 2.ประหยดั พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและ กฎหมายอนรุ ักษ์พลังงาน 3.ซ่ือสัตย์ 4.มวี ินยั สงิ่ แวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและ 5. อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง 6. มงุ่ มั่นในการทำงาน 2. กฎหมายการอนรุ ักษ์พลังงาน สิ่งแวดล้อม 7. รกั ความเปน็ ไทย 8. มีจติ สาธารณะ 3. กฎหมายสิ่งแวดล้อม 2.มที ักษะในกจิ กรรมกลมุ่ 9.สุภาพ 10.สะอาด 4. กฎหมายสงวนและคุ้มครอง 3.สามรถนำเสนองานใน 11.สามัคคี 12.มีนำ้ ใจ สัตว์ปา่ กลุ่มได้อย่างดี 5. กฎหมายส่ิงแวดลอ้ มอืน่ ๆ 4.มีองค์ความรใู้ นเร่ือง 6. ผลบังคับทางกฎหมายของ ปัญหาการใช้กฎหมาย พระราชบัญญตั ิ พลงั งาน 7. ปัญหาการใชก้ ฎหมายพลงั งาน ทรัพยากรธรรมชาติและ ทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม สิ่งแวดลอ้ ม 5.มีความรเู้ ร่ืองมนุษย์กับ 8. นโยบายและแผนเก่ียวกับ แนวทางการจัดการ พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ มแบบยง่ั ยนื สิ่งแวดลอ้ ม 6.นโยบายและแผนเกยี่ วกับ พลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม
31 การสอนออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom
32 การสอนออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom
33 แผนการจัดการเรียนรมู้ ่งุ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยท่ี 1 สอนคร้งั ที่ 3-5 ช่อื หน่วย แหล่งกำเนิดพลังงาน ชวั่ โมงรวม 8 ช่ือเรอ่ื ง 1. พลงั งานสนิ้ เปลือง 2. พลงั งานทดแทน จำนวนชั่วโมง 2 1.สาระสำคัญ 1. พลงั งานสิน้ เปลอื ง 2. พลังงานทดแทน 2.สมรรถนะประจำหน่วย เพือ่ ให้ผเู้ รยี นได้ศกึ ษาการใชพ้ ลงั งานสนิ้ เปลอื งและพลงั งานทดแทนเพอ่ื นำไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวนั 3.จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 ดา้ นความรู้ เม่อื เรียนจบหนว่ ยการเรยี นน้ี ผเู้ รยี นสามารถ 1. อธิบายความหมายของพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมไดถ้ กู ตอ้ ง 2. อธิบายความสมั พนั ธข์ องพลงั งาน ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมไดถ้ ูกตอ้ ง 3. อธิบายสาเหตคุ วามเสื่อมโทรมของพลงั งาน ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมได้ถกู ตอ้ ง 4. อธบิ ายแนวทางการอนุรกั ษพ์ ลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมได้ถูกต้อง 5. อธิบายผลกระทบทีเ่ กิดจากการใช้พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มได้ถูกต้อง 3.2 ดา้ นทักษะ 1.มีทกั ษะในเร่อื งของพลงั งานสนิ้ เปลืองและลังงานทดแทน 2.มที ักษะในกจิ กรรมกลมุ่ 3.สามรถนำเสนองานในกลมุ่ ได้อย่างดี 4.มีองคค์ วามร้ใู นเร่ืองทพี่ ลงั งานสนิ้ เปลอื งและพลงั งานทดแทน 3.3 คณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 2. ซอื่ สตั ย์สุจรติ 3. มีวินัย 4. ใฝเ่ รียนรู้ 5. อย่อู ยา่ งพอเพียง 6. ม่งุ ม่ันในการทำงาน
34 7. รกั ความเปน็ ไทย 8. มีจติ สาธารณะ 3.4 หลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ด้านสงั คม -รู้จกั แบ่งหนา้ ท่ีรบั ผดิ ชอบในการทำงาน -แลกเปลีย่ นเรยี นรจู้ ากเพ่ือนครู ด้านส่ิงแวดล้อม -มคี วามร้ใู นการเลอื กใชว้ สั ดอุ ุปกรณใ์ นทอ้ งตลาดมาใชป้ ระโยชน์ได้อยา่ งเหมาะสม -มีความร้เู ก่ยี วกับการรกั ษาธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อม ดา้ นวัฒนธรรม -มคี วามรู้ความเข้าใจในภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ มาใช้ในการเรยี นรู้ และ ผลิตชนิ้ งาน 4.ความรพู้ ้นื ฐานทีค่ วรมีกอ่ นเรียน -ความรูด้ า้ นพลังงานส้นิ เปลอื ง -ความรดู้ า้ นการทำกิจกรรมกลมุ่ -ความรดู้ ้านการนำเสนองาน 5.เนื้อหาสาระการเรียนรู้ พลังงานเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรธรรมชาติ บางครั้งอาจเรียกว่า “ทรัพยากรพลังงาน” พลังงานเป็น ปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ในอดีตการใช้พลังงานใช้แบบง่าย ๆ และโดยตรง เช่น การใช้ฟืน ถ่านไม้เป็นเชื้อเพลิง การใช้ลม แสงแดด พลังงานน้ำ ต่อมาเมื่อมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น รูปแบบการใช้พลังงานเพ่ิม มากขึ้น การค้นคว้าหาความรู้ทางพลังงานสูงมากขึ้น ซึ่งการใช้พลังงานจึงเกิดผลกระทบกับพลังงานที่เกิดจาก ทรัพยากรท่ีใช้แล้วหมดไป จึงต้องหาพลังงานทดแทนมาให้เพียงพอกับการใช้ โดยได้จากทรัพยากรที่ใช้แล้วไม่หมด เชน่ นำ้ ลม แสงแดด
35 แผนการจัดการเรยี นรมู้ ุ่งเน้นสมรรถนะ หน่วยที่ 1 ชื่อหนว่ ย แหลง่ กำเนดิ พลงั งาน สอนคร้ังท่ี 3-5 ชือ่ เร่ือง 1. พลังงานสน้ิ เปลือง 2. พลงั งานทดแทน ชวั่ โมงรวม 8 จำนวนช่วั โมง....... 6.กิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ สนใจปัญหา จูงใจผู้เรยี น (motivation) 1. ตรวจเรยี กรายชือ่ การแตง่ กาย 2. แจง้ จุดประสงค์การเรียนรวู้ ิชาพลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ ม/การวดั ผลและเกณฑก์ ารประเมนิ ผล/โดย เปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รียนซักถาม 3. บอกจุดประสงค์การเรยี นหน่วยท่ี 1 ความรูเ้ บือ้ งต้นเกี่ยวกับพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. ให้ทำแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยท่ี 1 (10 นาที) 5. สนทนา ซักถามจากภาพข่าวเกย่ี วกบั ส่ิงแวดลอ้ มและเหตุการณป์ ัจจบุ นั จากสอ่ื ตา่ ง ๆ ให้ผูเ้ รยี นแสดงความ คดิ เหน็ ขั้นศึกษาข้อมูล (information) 1. อธิบายความหมายของทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ มและพลังงาน ซักถามใหผ้ เู้ รียนยกตวั อย่าง ประกอบคำอธบิ าย 2. อธบิ ายความรเู้ บ้ืองต้นเกย่ี วกับพลงั งานและสิง่ แวดลอ้ มกับระบบนเิ วศ และสาระการเรียนรตู้ ามหน่วย การเรยี น โดยใช้ Power Point ประกอบ พร้อมการซักถาม 3. ใหท้ ำกิจกรรมใบงานที่ 1 โดยผ้สู อนจะตรวจสอบและสรุปในชว่ั โมงถดั ไป 4. ใหผ้ ู้เรียนซกั ถามข้อสงสยั หรอื นำไปสู่การสรปุ ข้นั นำข้อมูลมาทดลองใช้ (application) 1. ให้รว่ มกันสรุปสาระสำคัญโดยการซักถาม 2. ใหท้ ำแบบทดสอบหลงั เรยี น ขั้นสำเร็จผล (progress) 1.สรปุ เกณฑ์การประเมนิ ผล 2.ถา้ ผู้เรียนไม่ผ่านควรมีการซอ่ มเสรมิ
36 แผนการจัดการเรยี นรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยท่ี 1 ช่อื หนว่ ย แหลง่ กำเนิดพลังงาน สอนคร้ังท่ี 3-5 ชอ่ื เรอื่ ง 1. พลงั งานสิน้ เปลอื ง 2. พลังงานทดแทน ชวั่ โมงรวม 8 จำนวนชวั่ โมง....... 7.ส่ือการเรียนร้/ู แหลง่ การเรียนรู้ ส่อื สง่ิ พมิ พ์ - หนังสอื เรียนวชิ าพลงั งาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม ของสำนักพมิ พศ์ นู ยส์ ง่ เสรมิ วิชาการ (2562) - ขา่ วสารเกีย่ วกบั ทรัพยากรธรรมชาติ สงิ่ แวดล้อม และพลงั งาน ท่ีเป็นขา่ วในส่ือตา่ ง ๆในเหตกุ ารณ์ ปจั จุบนั ส่ือโสตทศั น์ Power Point 8.เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ) - ใบเน้อื หาเรอ่ื ง ความรูเ้ บือ้ งต้นเก่ยี วกับพลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 9.การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กับวชิ าอืน่ - บรู ณาการกับวิชาพลังงานและส่ิงแวดล้อม 10.การวัดและประเมินผล 1. การวัดผล 1.1 จากแบบทดสอบหลงั เรยี น 1.2 จากกจิ กรรมกลุ่มตามใบงาน 1.3 จากการสังเกตพฤติกรรม 1.4 จากการนำเสนองานกลุ่ม 1.5 จากแบบทดสอบออนไลน์ 2. เครอ่ื งมือวดั และประเมิน 2.1 ใบงาน 2.2 แบบทดสอบออนไลน์ 2.3 แบบประเมินคณุ ธรรม จริยธรรม 3. เกณฑ์การประเมินผล 3.1 จากแบบประเมิน พฤติกรรมรายบคุ คลและกลุ่ม 3.2 จากคะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน 3.3 แบบประเมินคุณธรรมและจรยิ ธรรม
37 แผนการจดั การเรยี นรมู้ ุ่งเนน้ สมรรถนะ หนว่ ยที่ 1 ช่ือหน่วย แหลง่ กำเนดิ พลงั งาน สอนคร้งั ท่ี 3-5 ช่อื เรือ่ ง 1. พลงั งานส้นิ เปลือง 2. พลงั งานทดแทน ชัว่ โมงรวม 8 จำนวนชวั่ โมง....... 1.บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ 11.1 ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ จำนวนเนอ้ื หา มีความเหมาะสม ไม่เหมาะสมกับจำนวนเวลา เพราะเหตใุ ด............................................................... การเรยี งลำดับเน้อื หา มีความเหมาะสม ไม่เหมาะสมกับความเข้าใจของผเู้ รียน เพราะเหตุใด................................................ การนำเขา้ สู่บทเรียน มีความเหมาะสม ไมเ่ หมาะสมกับเนอ้ื หาแต่ละหัวข้อ เพราะเหตุใด...................................................... วิธกี ารสอน มคี วามเหมาะสม ไมเ่ หมาะสมกบั เน้ือหาแต่ละหัวข้อ เพราะเหตุใด..................................................... สอ่ื การสอน มีความเหมาะสม ไม่เหมาะสมกับเนอื้ หาแต่ละหวั ขอ้ เพราะเหตุใด...................................................... งานท่กี ำหนดให้ทำ มคี วามเหมาะสม ไมเ่ หมาะสมกบั เนื้อหา/เวลา/วตั ถปุ ระสงค์ เพราะเหตุใด........................................... การนำเสนอ มคี วามเหมาะสม ไม่เหมาะสมกบั เนอ้ื หา/เวลา/วัตถุประสงค์ เพราะเหตุใด........................................... การประเมนิ ผล มคี วามเหมาะสม ไม่เหมาะสมกบั วัตถปุ ระสงค์หนว่ ย เพราะเหตใุ ด....................................................... อนื่ ๆ ............................................................................................................................. .........................................
38 เนือ้ หาหน่วยท่ี 2 แหลง่ กำเนิดพลงั งาน พลังงานสิน้ เปลือง พลงั งานสิ้นเปลอื งหรอื พลงั งานท่ีใชแ้ ลว้ หมด หมายถงึ พลงั งานทเ่ี กิดจากทรัพยากรธรรมชาติทีใ่ ช้แล้ว หมดไปหรอื ไม่สามารถเกดิ ทดแทนได้ แบ่งออกเปน็ พลังงานเช้ือเพลิงฟอสซิล ซึ่งหมายถึง พลงั งานที่ให้ค่า ความ รอ้ นเปน็ เช้ือเพลิง (Fuel) เกิดจากการทับถมของซากพชื ซากสตั ว์ (Fossil) เปน็ เวลานบั ลา้ น ๆ ปี ภายใต้ ผวิ โลกท่ี อณุ หภมู ิและความดนั สงู เชน่ ปโิ ตรเลียม กา๊ ซธรรมชาติ ถ่านหิน ทรายนำ้ มนั หนิ น้ำมนั เปน็ ต้น และ พลงั งานท่ี ไม่ใชเ่ ช้ือเพลิงฟอสซลิ เช่น พลงั งานนิวเคลียร์ เป็นตน้ 3.1 ปิโตรเลียม (Petroleum) ปิโตรเลยี ม (Petroleum) หรอื เรียกอกี อย่างหนึง่ ว่า น้ำมันดบิ (Crude Oil) คำว่า “ปิโตรเลยี ม” (Petroleum) มที ี่มาจากภาษาละติน 2 คำ คือ “เพตรา” (Petra) ซึง่ แปลวา่ หิน และคำวา่ “โอเลียม” (Oleum) ซง่ึ แปลวา่ น้ำมัน ปิโตรเลียมจึงหมายถงึ น้ำมันท่อี ยู่ในชัน้ หนิ ปโิ ตรเลียมเกดิ จากการทับถมและแปรสภาพของซากสงิ่ มชี ีวติ ท้ังพืชและสตั ว์ ต้งั แต่ยุคก่อน ประวตั ศิ าสตร์ (286-360 ลา้ นป)ี ในช้นั หินใต้พืน้ ผวิ โลก กลา่ วคอื เมื่อส่ิงมีชีวิตทงั้ พชื และสตั ว์ตายจะตกตะกอน หรือถูกกระแสน้ำ พัดพามาจมลง ณ บริเวณทเ่ี คยเปน็ ทะเลสาบขณะนัน้ แลว้ คลกุ เคล้าถูกทบั ถมด้วย ช้ันกรวดทราย และโคลนตมท่ี แม่น้ำลำคลองพัดพามาทบั ถมกนั เปน็ ชน้ั ๆ ตลอดเวลา จนหนานับเป็นรอ้ ยเป็น พันเมตร ทำให้น้ำหนกั กดทบั กลายเป็นชั้นหนิ ตา่ ง ๆ เชน่ ชนั้ หินทราย ชนั้ หนิ ปูน และชัน้ หินดินดาน เป็นตน้ ความกดดนั จากชัน้ หนิ ผนวกกับ ความร้อนใต้พืน้ ผิวโลก และการสลายตัวของอนิ ทรยี สารตามธรรมชาติ ทำให้ ซากพชื และสัตว์สลายตวั กลายสภาพ จากกรดฟุลวคิ เปน็ ฮวิ มนิ เป็นคีโรเจน (Kerogen) และเป็นหยดนำ้ มนั และ ก๊าซธรรมชาติ หรอื ทีเ่ รยี กรวม ๆ วา่ ปโิ ตรเลียมในทสี่ ดุ ปิโตรเลียมเป็นสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน มีไฮโดรเจน (H) และคาร์บอน (C) เป็นองค์ประกอบหลกั โดย มธี าตอุ น่ื ๆ ปะปนกนั บา้ ง ดงั นัน้ คุณภาพปิโตรเลียมจะแตกตา่ งกันบ้างข้นึ อย่กู ับชนิดของอินทรียสารและ สารประกอบอ่นื ๆ รวมทั้งสภาพแวดลอ้ ม การเปลี่ยนแปลงสารอินทรยี ์จนเกิดปิโตรเลยี ม สำหรบั แหล่งปิโตรเลยี มทมี่ ีนำ้ มันดิบและกา๊ ซธรรมชาตเิ กิดรวมกัน ส่วนที่เป็นก๊าซซง่ึ เบาจะลอยตัวอยู่ ส่วนบน รองลงมาคือน้ำมนั และนำ้ ตามลำดบั แหล่งปิโตรเลียมทีใ่ หญแ่ ละสำคัญของโลก อยู่ในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง ได้แก่ ประเทศ ซาอุดีอาระเบยี อหิ รา่ น อิรัก คเู วต กาตาร์ สหรัฐอาหรบั เอมเิ รตส์ กลมุ่ ประเทศในแอฟริกา ได้แก่ แอลจเี รีย ลเิ บยี กาบอง และไนจีเรีย และกลุ่มประเทศแถบทะเลแคริบเบียน ได้แก่ เวเนซุเอลา โคลอมเบีย เมก็ ซิโก และ ตรนิ ิแดด รวมทง้ั เอกวาดอร์ในอเมริกาใต้ ส่วนแหล่งปโิ ตรเลยี มใหม่ ๆ ทม่ี ขี นาดใหญ่และสำคญั ได้แก่ แหล่ง ปโิ ตรเลียมใน ทะเลเหนือ ในทวีปยโุ รป และแหล่งปโิ ตรเลยี มในประเทศออสเตรเลีย อนิ โดนเี ซยี และมาเลเซยี ประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมนั มากที่สุด ได้แก่ ซาอดุ ีอาระเบีย มีประมาณ 260,000 ลา้ นบาร์เรล (1 บารเ์ รล เทา่ กบั 158.99 ลิตร) เท่ากบั 25% ของนำ้ มนั ทว่ั โลก แหล่งปโิ ตรเลยี มของประเทศไทย ในปัจจุบัน ประเทศไทยมกี ารสำรวจพบแหลง่ ปโิ ตรเลียม ของประเทศ แลว้ 99 แหล่ง โดยเปน็ แหล่งทที่ ำการ ผลิตอยู่ 41 แหล่ง ซ่ึงแบง่ ได้เป็น • แหล่งปโิ ตรเลียมบนบก 41 แหลง่ ทำการผลิตอยู่ 20 แหล่ง
39 • แหลง่ ปโิ ตรเลยี มในทะเล 58 แหล่ง ทำการผลิตอยู่ 21 แหล่ง ประเทศไทยมีปรมิ าณสำรองปิโตรเลยี ม ที่พิสูจน์ทราบแล้ว (Proved Reserves) ทง้ั สน้ิ 2,937 ล้าน บารเ์ รล เทยี บเทา่ นำ้ มนั ดบิ โดยแบ่งเป็น นำ้ มนั ดิบ 313.2 ลา้ นบาร์เรล กา๊ ซธรรมชาติ 12.8 ลา้ นลูกบาศก์ฟตุ และ กา๊ ซธรรมชาติเหลว (หรอื อาจเรียกว่า คอนเดนเสท) 297.5 ล้านบารเ์ รล แหล่งผลิตปิโตรเลยี ม (บงกช) ในอ่าวโทษของบริษทั ปตท. 3.2 ก๊าซธรรมชาติ {Natural Gas) ก๊าซธรรมชาตเิ ปน็ ปิโตรเลยี มชนิดหนง่ึ ซงึ่ เกิดจากซากพชื ซากสตั วท์ ี่ทบั ถมกันมาเปน็ เวลานับ ล้าน ๆ ปี โดยทั่วไปประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอน ซึ่งสารในกลมุ่ น้ีจะให้พลงั งาน และกลุ่มท่ีไม่ใชส่ ารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน เช่น กา๊ ซไนโตรเจน (N) ไฮโดรเจนซลั ไฟล์ (HS) คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO) และไอนำ้ สารประกอบ กล่มุ นีจ้ ะทำใหค้ ุณภาพของก๊าซธรรมชาติเปลี่ยนไป ดังนนั้ การใชก้ ๊าซธรรมชาตจิ งึ ผ่านกระบวนการ แยกก๊าซ ธรรมชาติเช่นกัน กระบวนการแยกกา๊ ซธรรมชาติและประโยชน์ 3.3 ถา่ นหิน (Coal) ถา่ นหินเปน็ เชื้อเพลงิ ฟอสซลิ ชนดิ หนึ่ง เกดิ จากการสะสมสารอินทรยี วตั ถุ (ซากพืช) ทที่ ับถมกนั นาน ประมาณ 40-300 ล้านปี เกิดเป็นถ่านหินชนดิ ตา่ ง ๆ ดังรูป ถา่ นหนิ มีส่วนประกอบของสารหลายชนิด โดยมธี าตทุ ส่ี ำคญั คือ คารบ์ อน (C) และมสี ารที่ระเหยได้ ความช้นื รวมอย่ดู ว้ ย ถา่ นหินชนิดใดมีเปอร์เซ็นต์ของธาตคุ ารบ์ อนมากจะเปน็ ถา่ นหินท่ีมีคุณภาพดี เผาไหม้แลว้ ให้ คา่ ความร้อนสงู ถ่านหินมี 4 ชนิด เรยี กตามปริมาณคาร์บอนจากสงู ไปต่ำ ได้แก่ แอนทราไซต์ (Anthracite) บทิ ู มินสั (Bituminous) ซบั บิทูมินัส (Subbituminous) ลกิ ไนต์ (lignite) ส่วนถา่ นหนิ ท่ีกลั่นสลายแล้วเรยี กวา่ ถ่าน โคก้ (Coke) สำหรับประเทศไทย ถา่ นหินท่พี บสว่ นใหญ่ ได้แก่ ลิกไนต์ ซงึ่ ถอื วา่ มีคณุ ภาพต่ำ เปรียบเทียบถา่ นหิน ลกิ ไนต์ 2-3.7 ตนั จะให้ค่าความร้อนเท่ากบั นำ้ มนั เตา 1 ตัน ลกิ ไนตม์ กี ระจัดกระจายทั่วไป จากการสำรวจของกรมทรพั ยากรธรณคี าดวา่ มปี ริมาณสำรองทง้ั สน้ิ 2.197 ล้านตนั แหล่งสำคัญ และแหลง่ ใหญ่อยทู่ างภาคเหนือ ประมาณ 1,803 ล้านตัน หรือรอ้ ยละ 82 ของ ปรมิ าณ สำรองทัว่ ประเทศ สว่ นอกี 394 ลา้ นตน้ หรือร้อยละ 18 อยู่ในภาคใต้
40 การใช้ถา่ นหนิ เป็นเช้อื เพลงิ นั้น จะมปี ญั หามลพษิ ส่ิงแวดล้อมทีร่ ้ายแรงอย่างหนง่ึ คือ การปล่อยกา๊ ซ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO) ซ่งึ เป็นพษิ ออกสูบ่ รรยากาศ เนอ่ื งจากในถ่านหินจะมีสารซัลเฟอร์ (S) หรือกาํ มะถัน เจือ ปนอย่ดู ้วยในปรมิ าณค่อนข้างสูง . เหมืองถ่านหนิ ท่ีสำคญั ของประเทศไทยมี 2 แหง่ คือ 1) เหมืองลิกไนตแ์ มเ่ มาะ จังหวัดลำปาง เริม่ ผลติ มาใช้เมือ่ ปี พ.ศ. 2497 เปน็ ลกิ ไนตท์ ่มี ีปริมาณ ซัลเฟอร์ ค่อนข้างสูง คือ ประมาณร้อยละ 2.4 โดย นำ้ หนกั ในปัจจบุ ันได้นำลิกไนต์ที่ผลิตได้ท้งั หมดปอ้ น ให้กบั โรงไฟฟา้ พลงั งานความร้อนท่ีแม่เมาะ ประมาณ ปลี ะ 15 ลา้ นตนั เหมอื งถา่ นหนิ แม่เมาะ จ.ลำปาง 2) เหมืองลิกไนต์กระบี่ ตง้ั อยทู่ ี่ตำบลปูดำ จงั หวดั กระบี่ เกือบทงั้ หมดของลกิ ไนต์ทผี่ ลิตมาใช้ปลี ะ 250- 300 พนั ตัน ใช้ในการผลติ กระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยลิกไนต์จากแหล่งนมี้ ปี ริมาณซัลเฟอรประมาณ ร้อยละ 2.2 โดยนำ้ หนกั 3.4 หนิ น้ำมัน (Oil Shale) หินน้ำมนั เป็นหนิ ดนิ ดานทม่ี อี ินทรียสารแปรสภาพเปน็ ไฮโดรคาร์บอนหนัก มีลกั ษณะข้น ยืดหยุน่ ได้ คลา้ ย ยาง ซงึ่ เรียกวา่ คีโรเจน (Kerogen) เจือปนอยู่ สีนำ้ ตาลอ่อนจนถงึ น้ำตาลเข้ม มนี ำ้ มันชุ่มในเน้ือหิน ตดิ ไฟได้ ชาวบ้านมกั เรียกวา่ หินติดไฟ การนำพลงั งานจากหินน้ำมันมาใช้ทำได้ 2 ทาง คอื หินน้ำมนั ชนดิ ท่มี ปี รมิ าณนำ้ มนั ต่ำกว่า ร้อยละ 15 โดย น้ำหนักต่อหนิ น้ำมนั 1 กโิ ลกรัม นำมาบดให้ละเอียดและใชเ้ ป็นเชื้อเพลิงโดยตรง สว่ นหินน้ำมัน ท่ีมนี ำ้ มันสงู กวา่ ร้อยละ 15 โดยน้ำหนกั จะนำมากล่ันเปน็ น้ำมัน ไดน้ ำ้ มันเบนซินในปริมาณน้อย ส่วนใหญ่จะได้นำ้ มันดีเซลและ น้ำมันเตา ท่ีเหลอื จะเป็นยางมะตอยและถ่านโคก้ และผลพลอยได้ของการกลนั่ คือ แอมโมเนยี และสารประกอบ ของกำมะถัน (S) อยู่ในไอน้ำทก่ี ลน่ั ออกมา ซงึ่ สารทั้งสองนำไปทำปุ๋ยแอมโมเนียมฟอสเฟต (NHSO) ไดป้ ระมาณ 60 กโิ ลกรัมต่อหนิ นำ้ มนั 1,000 กิโลกรัม ปัจจุบนั น้ำมนั ท่ีได้จากหนิ นำ้ มันยังมรี าคา แพงกว่านำ้ มนั ที่ไดจ้ ากการ กลัน่ ปิโตรเลยี มมากไม่คุ้มคา่ กับการลงทุนและก่อปัญหาเก่ยี วกับมลพษิ เพราะน้ำมนั ท่ีได้จากการกลัน่ หนิ นำ้ มนั มี สารประกอบของกำมะถัน และกากในการกล่นั ประมาณร้อยละ 60 โดยนำ้ หนกั แหล่งหินน้ำมันของโลกมีมากที่
41 สหรัฐอเมริกา แคนาดา รัสเซีย และเยอรมนี ประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณ ท้ังหมดในโลก ซึ่งผลิตน้ำมันได้ถึง 2 ลา้ นล้านบาร์เรล แหลง่ หนิ นำ้ มันทส่ี ำรวจพบในประเทศไทยอยู่ทางภาคเหนอื และทางภาคใต้ เช่น ตาก ลำพูน ลำปาง กระบ่ี สรุ าษฎรธ์ านี เป็นตน้ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ที่ อ.แมส่ อด จ.ตาก จัดวา่ เปน็ แหล่งหนิ นำ้ มนั ท่ีมีขนาดใหญ่แหลง่ หน่งึ ของ โลก ซึ่งจากการสำรวจพบว่า แมส่ อดมีแหล่งสำรองหนิ น้ำมันประมาณ 19,000 ลา้ นตัน ซึ่งสามารถกล่ันไดน้ ำ้ มันถึง 6,100 ลา้ นบาร์เรล ซงึ่ ถือว่ามากเพยี งพอตอ่ การนำมาใช้ประโยชน์ ในด้านการใช้เปน็ พลังงานทดแทนในอนาคต 3.5 พลังงานนวิ เคลยี ร์ (Neuclear Reaction) พลังงานนิวเคลียร์ หมายถึง พลงั งานท่ีไดจ้ ากการสลายนวิ เคลยี สในอะตอมของธาตุ ซ่ึงในกระบวนการ ทางนิวเคลียรท์ ่ีให้พลงั งานความรอ้ นมาใช้งานไดน้ ้ันเกิดจาก 2 กระบวนการทีส่ ำคัญคือ “การแตกตวั ” (Fission) และ “การรวมตวั ” (Fusion) ของแร่กมั มันตรงั สีหรือธาตทุ ี่เหมาะสมเป็นเช้ือเพลิง 1) กระบวนการแตกตวั (Fission) เกิดจากการยิง่ อนภุ าคนิวตรอนสลายนวิ เคลียสอะตอมของ ธาตุหนัก เรยี กวา่ แรก่ ัมมนั ตรังสี และอาศยั อปุ กรณท์ เ่ี รียกวา่ เครื่องปฏิกรณ์นวิ เคลยี ร์ (Neuclear Reactor) เป็น ตวั ควบคมุ ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลียรแ์ ละจ่ายพลงั งานความร้อนใหก้ ับระบบเพ่ือใชป้ ระโยชนใ์ นการผลติ กระแสไฟฟา้ ต่อไป แร่เชือ้ เพลิงที่ใช้น้ีเรยี กว่า เช้อื เพลิงแตกตัว (Fission Fuels) ทใี่ ช้กันมาก ได้แก่ ยูเรเนยี ม-235 (U-235) ซึ่งเปน็ ไอโซโทปหนงึ่ ของธาตุยูเรเนียมทมี่ ีอยู่ในธรรมชาติ จากการประเมินทราบวา่ ในธรรมชาติ จะมยี ูเรเนยี ม -235 อยู่ น้อยมากเพียง 0.7% เท่านน้ั สว่ นอีก 99.3% จะเปน็ ยูเรเนียม-238 (U-238) โดย แร่ยูเรเนยี มในธรรมชาติน้ันจะ อยูใ่ นรปู ของยูเรเนียมออกไซด์ (UO) และในเนื้อแรต่ ามธรรมชาตดิ งั กล่าวนจี้ ะมี ธาตยุ เู รเนียมอยูเ่ พยี ง 60 ppm (สว่ นในลา้ นส่วน) เท่าน้ัน ดังนน้ั การสกัด U-235 แตล่ ะกรัมมาใช้ ตอ้ งใช้สนิ แร่มหาศาลและใชเ้ ทคโนโลยีช้ันสงู แต่ แรย่ ูเรเนียมกใ็ ห้พลังงานค่อนขา้ งสงู กล่าวคือ ธาตยุ ูเรเนียม -235 ประมาณ 1 กรัม เทียบเทา่ กบั พลังงานที่ได้จาก ถา่ นหินประมาณ 3 ตน้ นอกจากยูเรเนียม-235 แลว้ ยังมี เชื้อเพลงิ นวิ เคลยี ร์อ่ืนอีก เช่น พลูโตเนียม-239 (Pu- 239) และแรท่ อเรยี ม การเกดิ ปฏิกิริยาฟชิ ชัน่ ของธาตุกัมมนั ตรงั สี U-235 จากรูป เปน็ การยงิ อนภุ าคนิวตรอนเข้าสู่นิวเคลียสของธาตุ U-235 ทำให้เกดิ ธาตุใหมแ่ ละ อนุภาค นวิ ตรอนอกี หลาย ๆ อนภุ าค และอนุภาคเหล่าน้นั ก็จะไปชนกับนวิ เคลียสของธาตอุ ่นื ๆ ออกมา ทำให้ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าลกู โซ่
42 2) กระบวนการรวมตัว (Fusion) เกิดจากปฏกิ ริ ยิ าการหลอมรวมตัวของธาตุเบาเปน็ ธาตุใหม่ ซ่งึ มมี วล มากกว่าเดิม พร้อมท้ังปลดปลอ่ ยพลงั งานออกมามหาศาล เช่น การรวมตวั ของดิวเทอเรยี ม (H) ซ่งึ เปน็ ไอโซโทป หนึง่ ของธาตุไฮโดรเจน ไดเ้ ป็นธาตุฮเี ลยี ม (He) พร้อมทัง้ ปล่อยพลังงานมหาศาลดงั สมการ ลกั ษณะการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ประเภทน้ี จะให้พลงั งานมากกว่าปฏิกิรยิ าการแตกตวั ของ ยเู รเนยี ม ประมาณ 4 เท่า ในปริมาณมวลทีเ่ ทา่ กนั พลงั งานทไี่ ด้จำนวนมหาศาลน้ีประมาณ 6.48 x 10 จลู ต่อมวลของ ไฮโดรเจน 1 กรมั ในธรรมชาติการเกดิ ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์แบบรวมตวั เกดิ ขึ้นในดวงอาทิตย์ สำหรบั การ ผลติ พลังงานจากปฏิกิรยิ านวิ เคลยี รป์ ระเภทนข้ี องมนุษยย์ งั อยู่ในข้ันพัฒนา : การนำพลงั งานนวิ เคลยี รม์ าใชป้ ระโยชน์ สว่ นมากจะนำมาผลติ กระแสไฟฟ้าซงึ่ เปน็ โรงไฟฟ้า พลงั งาน ความร้อนชนิดหน่ึง คือ ใช้ความร้อนท่ีได้จากปฏิกิริยานิวเคลยี รม์ าผลติ ไอน้ำร้อนไปหมุนกงั หนั ผลิตไฟฟ้า แทน พลังงานเชือ้ เพลงิ ฟอสซิล ในปัจจุบนั จำนวนโรงไฟฟ้าพลงั งานนิวเคลยี รท์ ่วั โลกมีประมาณ 420 โรง เชน่ ใน สหรัฐอเมริกามี 111 โรง ฝรงั่ เศสมี 56 โรง อดีตสหภาพโซเวียตมี 45 โรง ญป่ี ่นุ มี 42 โรง อังกฤษมี 37 โรง อินเดีย มี 7 โรง เกาหลใี ต้มี 9 โรง ไต้หวนั มี 6 โรง เป็นต้น ผลิตกระแสไฟฟ้าไดเ้ กอื บ 400,000 เมกะวตั ต์ คิดเปน็ ประมาณ รอ้ ยละ 20 ของกำลังผลติ กระแสไฟฟ้าของโลก สำหรบั ประเทศไทยยงั ไมม่ โี รงไฟฟ้านิวเคลียร์ เนอื่ งจากยังไม่เป็นที่ ยอมรบั ของสงั คมเกี่ยวกบั ระบบความปลอดภัย
43 พลงั งานทดแทน พลังงานทดแทน หมายถึง พลงั งานที่หามาทดแทนพลังงานสนิ้ เปลืองหรือพลงั งานเชือ้ เพลงิ หรือฟอสซลิ หรอื อาจจะเรียกว่า เปน็ พลังงานหมุนเวยี น คือใชแ้ ลว้ ยงั หมุนเวียนได้ตลอดไป ไดจ้ ากทรัพยากรธรรมชาตทิ ใี่ ช้ แล้วไม่ หมดหรอื เกิดทดแทนได้ พลงั งานทเี่ ราพงึ่ พาอยู่ทกุ วนั น้ี เป็นพลังงานเช้อื เพลิงฟอสซลิ มากถงึ ร้อยละ 80 ซึง่ เป็นพลงั งานที่ได้ จาก ทรพั ยากรธรรมชาติ ซ่งึ ใช้แลว้ หมดไป ปญั หาท่ีควรคดิ กค็ ือถ้าทรพั ยากรเหล่านหี้ มดไปจะทำอยา่ งไร นกั วิทยาศาสตรจ์ งึ พัฒนาพลังงานทดแทนใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากข้นึ เพื่อมาทดแทน 4.1 พลงั งานแสงอาทิตย์ พลังงานแสงอาทิตย์ หมายถึง พลงั งานจากรังสจี ากดวงอาทติ ย์ ซึ่งเกิดปฏกิ ริ ยิ าฟิวชน่ั (Fusion) คือ การ รวมตัวของไฮโดรเจนเปน็ ฮเี ลยี มในดวงอาทิตย์ พลงั งานแสงอาทติ ยเ์ ปน็ ปฏิกิริยาสะอาดไมท่ ำปฏกิ ริ ยิ าใด ๆ ทำให้ สง่ิ แวดลอ้ มเป็นพิษ พลังงานแสงอาทิตย์สามารถนำมาใช้ได้หลายรูปแบบ 1) การทำนำ้ ร้อน เป็นการประยุกตค์ วามร้อนจากรังสีดวงอาทติ ย์ท่ีแพร่หลายมานานในต่างประเทศ เครือ่ ง ทำน้ำร้อนดว้ ยรังสดี วงอาทติ ย์ มอี งค์ประกอบที่สำคญั คือ ตัวรับรังสีดวงอาทิตย์แบบแผ่นเรียบ และถงั สะสมน้ำ รอ้ น เพื่อใหร้ บั รังสีดวงอาทิตย์ได้ดคี วรวางตวั รบั รงั สีเอยี งเป็นมมุ เทา่ กับเส้นรงุ้ โดยประมาณและ หนั หนา้ เข้าสเู่ สน้ ศูนย์สูตร ในประเทศไทยมผี ้ผู ลิตเครอ่ื งทำน้ำร้อนดว้ ยรังสีดวงอาทิตย์ที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมอยู่ หลายราย น้ำ ร้อนท่ีได้มอี ุณหภมู ิ 50-60 องศาเซลเซยี ส สว่ นใหญ่ใชต้ ามทพ่ี กั อาศยั โรงแรม และโรงพยาบาล : อนาคตเม่ือ เครอ่ื งทำนำ้ รอ้ นไดร้ ับการวิจัยและการพัฒนาใหม้ ีประสทิ ธิภาพดแี ละคุ้มค่ามากขนึ้ าหกรรมหลายประเภทก็อาจ นำไปใช้ได้ดว้ ย 2) การอบแหง้ การตากแห้งด้วยรงั สดี วงอาทติ ย์กลางแจ้งน้นั ได้ทำกนั มานานนับพนั ปี แตก่ ารตาก หลาย ประการ เช่น ขาดสุขลักษณะเนือ่ งจากฝุ่นละอองและแมลง ไม่สามารถควบคมุ คุณภาพ ผลผลติ ได้ ใช้เวลานาน เป็นตน้ จึงออกแบบเครอ่ื งอบแหง้ ดว้ ยแสงอาทติ ย์เพ่ือแก้ไขขอ้ บกพร่องดงั กล่าว เคร่ืองอบแหง้ ดว้ ยรงั สดี วงอาทิตย์มลี ักษณะท่สี ำคัญ คอื ตัวเคร่ืองอาจเปน็ กล่องหรือตู้ ด้านบนด้านข้าง และด้านหน้า ซึ่งหนั เขา้ หาเส้นศูนย์สูตรทำดว้ ยวตั ถโุ ปร่งใส เชน่ กระจกหรอื พลาสติก ผิวภายใน ของพน้ื และ ด้านหลังซ่ึงทึบทาสดี ำดา้ น เพื่อดดู รังสดี วงอาทิตย์ ดา้ นลา่ งของเครือ่ งอบแหง้ เจาะช่องให้อากาศ เย็นและแหง้ จาก ภายนอกเข้า ด้านบนมีช่องให้อากาศชื้นออก ภายในมีตะแกรงสำหรับวางวัสดทุ ่จี ะอบ การระบายอากาศผา่ น เครื่องอบแหง้ จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ หรือจะใชพ้ ัดลมเขาชวา เครอื งขนาดใหญ่และมีวสั ดอุ บแห้งมาก ทำ ใหม้ คี วามต้านทานต่อการไหลของอากาศสงู ปัจจุบันมีเครอ่ื งอบแหง้ ดว้ ยรงั สดี วงอาทิตย์อยู่หลายแบบ เชน่ แบบ เตน็ ท์ แบบกล่อง แบบตู้ เปน็ ตน้ ส่วนใหญ่ใช้อบพืชเศรษฐกิจ ปลา เมลด็ พืช บ่มใบยาสูบ อบไม้ 3) การกลนั่ นำ้ เครื่องกลัน่ น้ำด้วยรงั สแี สงอาทติ ย์ ประกอบด้วย อา่ งบรรจุน้ำ พื้นอา่ งเคลือบสดี ำ เพื่อดดู รังสดี วงอาทติ ย์ ด้านบนปิดด้วยกระจกใส เอยี งทำมุม 14 องศา หันหน้าไปทางดวงอาทติ ย์ น้ำร้อนในอ่าง จะ ระเหยข้นึ ไปกล่นั ตวั ใต้กระจก และไหลมารวมกนั ในรางดา้ นใต้ของดา้ นล่างกระจก 4) การหุงต้ม เตาหุงตม้ ดว้ ยรังสีดวงอาทติ ย์แบง่ ออกเปน็ 3 ชนดิ ชนิดแรก มีตัวรับรงั สดี วงอาทติ ย์ แบบ แผ่นเรียบ ปิดกระจกใสสองชั้น เพ่ือผลติ ไอน้ำ เตาชนิดน้ีไม่ต้องปรบั ตามดวงอาทิตย์ ใชต้ ้มหรอื นึ่งอาหาร ได้ ชนดิ ท่ี
44 สอง มีลกั ษณะเปน็ กล่อง ภายในทาสีดำ ดา้ นบนมีกระจกใสปิดและยงั มีกระจกเงาติดเสรมิ เพื่อสะท้อน รังสดี วง อาทิตย์ใหเ้ ขา้ มาในกล่องอีก เตาชนดิ นตี้ อ้ งปรบั ตามดวงอาทติ ย์เป็นคร้ังคราว ใช้ตม้ นง่ึ หรืออบอาหารได้ ชนดิ ที่ สาม เปน็ จานสะท้อนรังสพี าราโบลกิ มีกลไกปรับตามดวงอาทิตย์ เตาชนดิ น้มี คี วามคลอ่ งตวั ในการทำ อาหาร มากกว่าสองชนดิ แรก เพราะนอกจากใชต้ ้ม น่งึ และอบด้วย ยงั ทอดได้อีกด้วย 5) การผลติ กำลังจากรงั สีดวงอาทิตยโ์ ดยผ่านกระบวนความร้อน (Solar Thermal Power (System) คอื เปลยี่ นรงั สีดวงอาทติ ยเ์ ปน็ ความร้อนเพ่อื ผลิตไอทม่ี ีความดันสูงซงึ่ นำไปขบั ดนั เครื่องจักร เช่น กงั หันไอ กำลังเพลา ทไ่ี ดจ้ ากเครื่องจักรอาจนำไปหมุนเคร่ืองกำเนิดไฟฟา้ (Generator) เพื่อผลิตไฟฟา้ หมนุ คอมเพรสเซอร์ (Compressor) เพื่อทำความเย็นหรือหมุนเคร่ืองสูบน้ำก็ได้ 6) การทำความเยน็ โดยใชร้ ะบบผลติ กำลังจากรงั สีดวงอาทิตย์ผา่ นกระบวนความรอ้ น ผลิตกำลัง เพลา ไปหมนคอมเพรสเซอรข์ องเครอ่ื งทำความเยน็ แบบอัดไอ (Vapour Compression) อกี วิธหี นึ่งซ่ึงจะมี ศักยภาพสูง กวา่ คอื การใชค้ วามรอ้ นจากตวั รบั รงั สดี วงอาทิตยแ์ บบแผน่ เรียบไประเหยไอของสารทำความเย็น ในเจเนอเรเตอร์ (Generator) ของเครื่องทำความเย็นแบบดูดซมึ (Absorption Refrigeration) ปัจจบุ นั ระบบทำความเยน็ ด้วยรังสดี วงอาทิตย์แบบดดู ซมึ ใชน้ ำกบั ลเิ ทียมไบรไมด์ หรอื แอมโมเนีย รบั เปน็ สารทำงาน ระบบความเยน็ ด้วยรังสีดวงอาทิตย์น้ใี ชไ้ ด้ทัง้ ในงานปรบั อากาศและทำความเยน็ เพ่ือเก็บ รกั ษาอาหาร แต่ราคายังสูงและประสิทธภิ าพยังตำ่ อยู่ ต้องการงานวจิ ยั และพฒั นาเพ่มิ เติมอีก 7) การสบน้ำโดยผ่านกระบวนความร้อน (Solar Thermal Pumping) โดยใชร้ ะบบผลิตกำลัง จากรังสี ดวงอาทติ ยผ์ ่านกระบวนความรอ้ น ผลติ กำลังเพลาไปหมนุ เครอ่ื งสบู นำ้ ก็ได้ แตก่ ย็ งั มีวธิ สี บู นำ้ ด้วยรังสดี วงอาทิตย์ โดยผ่านกระบวนความร้อนอ่ืน ๆ อีกหลายวิธี เชน่ การใช้ความรอ้ นจากตัวรบั รงั สีดวงอาทิตย์ แบบแผ่นเรียบผลิต ไอของเหลวท่มี จี ุดเดือดตำ่ เชน่ เพนเทน แล้วนำไปขับดันลูกสูบหรือลิน้ ปิด-เปิด (Valve) ของเครอ่ื งสบู นำ้ โดยตรง เคร่อื งสบู นำ้ ดว้ ยรงั สีดวงอาทิตยน์ ี้ ปัจจบุ นั ยงั มีราคาสงู และประสิทธภิ าพตำ่ มาก จำเปน็ ตอ้ งทำการวิจัย และพัฒนาอีกมากจึงจะคุ้มค่า 8) การเปลยี่ นรูปพลังงานแสงอาทติ ยเ์ ปน็ พลังงานไฟฟ้า อุปกรณท์ ่ีเปลีย่ นพลงั งานแสงอาทิตย์ เป็น พลังงานไฟฟา้ เรียกวา่ เซลลแ์ สงอาทติ ยห์ รือเซลล์สุรยิ ะ (Solar Cell) มขี อ้ ดหลาย อยา่ งถาวร ไม่มคี า่ ใช้จา่ ยขณะใช้ งาน ไม่มีของเหลือใช้ เปลย่ี นพลังงานแสงอาทติ ย์เป็นพลงั งานไฟฟา้ เดโดยตรง ปราศจากมลพิษ ควนั เสยี ง กลิน่ ใช้ งานไดท้ ุกสภาพ พ้ืนท่ี ระบบการผลิตไฟฟา้ ด้วยพลงั งานแสงอาทติ ย์ ในบา้ นเราเป็นแบบที่อาศัยระบบการทำงาน ของ เซลลแ์ สงอาทติ ยโ์ ดยกระบวนการโฟโตโวลตาอิก (Photovoltaic) ซ่ึงเป็นผลใหอ้ ิเลก็ ตรอนเคล่ือนผา่ น ผวิ สมั ผัสทต่ี ดิ อยูบ่ นด้านหนา้ และด้านหลังของเซลล์ แสงอาทติ ย์ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลส่วู งจรภายนอกได้ กระแสไฟฟ้าท่ีได้จะเป็นไฟฟ้ากระแสตรงไมส่ ม่ำเสมอ ขึ้นอยกู่ บั ปริมาณและความเข้มของแสงท่ไี ด้รบั ในชว่ งของแต่ ละช่วงเวลา จงึ ตอ้ งนำกระแสไฟฟา้ ท่ีไดม้ า เกบ็ สะสมไว้ในแบตเตอร่ี จากนนั้ จึงนำไฟฟ้าท่ีได้ ผ่านอปุ กรณท์ ่ีควบคุม และเคร่ืองแปลงกระแสไฟฟา้ เพ่ือเปล่ียนใหเ้ ป็นไฟฟา้ กระแสสลบั สำหรบั นำไปใชก้ ับอุปกรณ์เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าทว่ั ไป บางกรณีอาจแปลง เป็นไฟฟา้ กระแสสลับแลว้ เชอื่ มเข้าระบบสายจ่าย ไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภมู ิภาคหรอื การ ไฟฟ้า นครหลวง เพื่อแจกจ่ายไปตามอาคารบ้านเรือนได้ โดยตรงโดยไม่ต้องเก็บสะสมพลงั งานไวใ้ นแบตเตอรี่ ก่อน ก็ได้ ระบบไฟฟา้ แสงอาทิตย์ ปจั จบุ นั มีการใชร้ ะบบผลติ ไฟฟ้าดว้ ย พลงั งานแสงอาทติ ย์กับหมู่บา้ น โรงเรียน และอนามยั ในชนบทท่ีไม่มี ไฟฟา้ ใช้ท่ัวประเทศแลว้
45 4.2 พลังงานน้ำ น้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติทใี่ ชแ้ ลว้ ไมห่ มด มีการหมนุ เวยี นอยู่ในโลกและมีพลงั งานมากตาม แรงโนม้ ถ่วง ของโลก มนุษยใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากพลงั งานนำ้ โดยกกั เกบ็ ไว้ให้มีระดับสูง นำมาใช้ประโยชน์ โดยผลติ กระแสไฟฟ้า พลังน้ำในรปู ของเขอื่ นกักเก็บนำ้ ใหส้ ูง แล้วปลอ่ ยมาหมนุ เคร่อื งกำเนิดไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าจากพลงั งานน้ำ ประเทศไทยมแี หลง่ พลังงานทจ่ี ะพัฒนาก่อสรา้ งเขอื่ นผลิตไฟฟ้าหลายแหง่ โดยเฉพาะในปัจจบุ ัน มี โรงไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดกลางเกิดข้ึนมากมาย ซง่ึ ในอดีตเรามักสร้างเขอ่ื นผลติ กระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ มี ผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้ มป่าไม้ สัตวป์ า่ เขือ่ นทผ่ี ลิตกระแสไฟฟา้ แหง่ แรกของประเทศไทย คือ เขื่อนภมู พิ ลกัน้ น้ำปิงท่ี อ.สามเงา จ.ตาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวเสดจ็ พระราชดำเนินเปิดเข่ือนภูมพิ ลเม่อื วนั ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 เดิมชื่อ เขอ่ื นยนั ฮี 4.3 พลังงานลม ลมเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาตเิ กดิ จากความแตกตา่ งของอณุ หภูมิ ความกดดนั ของบรรยากาศ และ แรงจากการหมนุ ของโลก ส่ิงเหลา่ น้เี ปน็ ปจั จัยทีก่ อ่ ให้เกดิ ความเรว็ ลมและกำลังลมเป็นพลังงานรปู หน่ึงท่มี ี อยูใ่ น ตวั เอง ปัจจบุ ันมนุษย์ไดใ้ ห้ความสำคัญและนำพลังงานจากลมมาใชป้ ระโยชน์มากข้ึน เน่ืองจากพลังงาน ลมมีอยู่ โดยท่วั ไปไม่ต้องซ้ือหา เป็นพลังงานสะอาด ไม่ก่อให้เกดิ อนั ตรายตอ่ สภาพแวดล้อมและสามารถนำมา ใชป้ ระโยชน์ ไดอ้ ยา่ งไม่รจู้ ักหมดส้ิน 1) เทคโนโลยีกังหนั ลม กังหันลม คือ เคร่ืองจักรกลอย่างหน่งึ ทีส่ ามารถรับพลังงาน จลน์ จากการเคลือ่ นที่ ของลมใหเ้ ปน็ พลังงานกล ได้ จากน้นั นำพลงั งานกลมาใชป้ ระโยชนโ์ ดยตรง เช่น การบดสีเมลด็ พชื การสูบน้ำหรอื ในปัจจบุ ัน ใช้ผลติ เปน็ พลังงานไฟฟ้า การพฒั นากังหันลม เพือ่ ใชป้ ระโยชน์ มีมาตงั้ แต่สมัยอยี ิปตโ์ บราณ และ ต่อเนื่องถึงปัจจบุ ัน โดยการออกแบบกังหนั ลม จะต้องอาศัยความรู้ทางด้านพลศาสตร์ของลม และหลัก วิศวกรรมศาสตร์ในแขนงต่าง ๆ เพื่อใหไ้ ด้กำลังงาน พลังงาน และประสิทธภิ าพสงู สดุ กังหนั ลมสามารถแบง่ ออกตามลักษณะการจดั วางแกนของใบพดั ได้ 2 รูปแบบ คือ
46 1.1) กังหันลมแนวแกนตง้ั (Vertical Axis Turbine (VAWT)) เปน็ กงั หันลมทม่ี ีแกนหมุนและ ใบพัดต้ัง ฉากกบั การเคล่ือนที่ของลมในแนวราบ 1.2) กงั หันลมแนวแกนนอน (Horizontal Axis Turbine (HAWT)) เป็นกังหันลมทแี่ กนหมุน ขนานกับ การเคล่อื นทขี่ องลมในแนวราบ โดยมีใบพดั เปน็ ตวั ตัง้ ฉากรับแรงลม 2) การใช้กงั หันลม ประโยชน์จากพลงั งานน้ีสามารถนำมาใชง้ านได้ 2 ลกั ษณะ คอื 2.1) กังหันลมเพ่ือสบู นำ้ (Wind Turbine for Pumping) เป็นกงั หันลมทีร่ ับพลังงานจลนจ์ าก การ เคล่อื นท่ีของลมและเปล่ียนให้เปน็ พลงั งานกล ใช้ในการชักหรอื สูบนำ้ จากที่ตำ่ ขน้ึ ทีส่ ูงเพื่อใช้ในการเกษตร การทำ นาเกลอื การอุปโภคและการบริโภค ปจั จุบนั มใี ชอ้ ยดู่ ว้ ยกัน 2 แบบ คอื แบบระหดั และแบบสูบซกั 2.2) กังหันลมเพื่อผลติ ไฟฟ้า (Wind Turbine for Electric) เป็นกังหันลมที่รบั พลงั งานจลน์ จากการ เคล่ือนท่ีของลมและเปล่ียนให้เป็นพลงั งานกล จากน้ันนำพลังงานกลมาผลติ เปน็ พลงั งานไฟฟา้ ปจั จุบนั มีการ นำมาใชง้ านทงั้ กังหันลมขนาดเลก็ (Small Wind Turbine) และกังหนั ลมขนาดใหญ่ (Large Wind Turbine) 4.4 พลงั งานชีวมวล พลงั งานชวี มวล (Biomass) หมายถงึ พลงั งานท่ีได้จากมวลของสงิ่ มีชีวติ ชนดิ ต่าง ๆ พลังงานชวี มวล สว่ น ใหญ่ใชใ้ นรูปของเช้ือเพลงิ ชวี ภาพ (Biofuel) โดยมีพนื้ ฐานจากการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ซง่ึ CH 0 เปน็ สารอินทรยี ์ท่เี กบ็ สะสมพลงั งานเคมไี ว้ พชื และสัตวใ์ ชเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ การ เจรญิ เติบโต โดย ไดส้ ารอนิ ทรีย์ท่เี ป็นประโยชน์ต่อรา่ งกาย เมือ่ เรานำสารอินทรยี เ์ หลา่ น้ผี ่านกระบวนการท่ี เหมาะสม จะสามารถ เปล่ยี นชีวมวลเหล่าน้ันใหเ้ ปน็ พลังงานท่เี ปน็ ประโยชนไ์ ด้ เช้ือเพลงิ ชีวภาพแตกต่างจาก เชื้อเพลงิ ฟอสซลิ (ถ่านหิน และปิโตรเลยี ม) ซึง่ เป็นเชื้อเพลิงส้ินเปลอื งตรงทเี่ ชื้อเพลิงชีวภาพจัดเปน็ พลังงาน หมุนเวียนทส่ี ามารถฟ้ืนฟหู รือ สร้างข้นึ ใหม่ได้ ตราบใดทีต่ น้ ไมแ้ ละพืชไม่ถกู ตัดโคน่ สมดลุ กับการปลกู ทดแทนให้ เจรญิ เติบโตข้นึ มาได้ทัน ปจั จุบนั โลกใชป้ ระโยชนจ์ ากเชอื้ เพลิงชีวภาพในปริมาณไมม่ าก คือ ประมาณรอ้ ยละ 15 เทา่ นน้ั ดว้ ยเหตนุ ี้ จึงได้มีการค้นคว้าพยายามใชป้ ระโยชนจ์ ากเชอ้ื เพลงิ ชีวภาพมากข้นึ โดยเฉพาะในประเทศทพ่ี ฒั นา แล้ว เชน่ ใน ยโุ รป มีการนำเช้อื เพลิงชวี ภาพไปใช้เพ่ือการผลิตไฟฟ้าขนาดเลก็ และใช้ในภาคเกษตรกรรม เปน็ ต้น 1) ชนดิ ของเชือ้ เพลิงชวี ภาพ เชื้อเพลงิ ชวี ภาพมี 3 รปู แบบหลกั ได้แก่ 1.1) ของแข็ง เช่น ไม้ ขเ้ี ล่ือย ฟางข้าว ซงั ขา้ วโพด ชานอ้อย มูลสัตว์ ถา่ น เขา เปลือกสตั ว์ หรอื เปลือก พชื แกลบขา้ ว ฝ้าย ถวั่ ลสิ ง เป็นต้น ไมฟ้ ืนเป็นพลังงานชวี ภาพชนดิ แรกที่มนุษยน์ ำมาใช้ในการหุงตม้ อาหาร ให้ แสงสวา่ งและสรา้ งความอบอุ่นให้แกค่ รัวเรือนต้งั แต่สมยั ดกึ ดำบรรพ์หลายพันปีมาแล้ว 1.2) ของเหลว พลังงานจากเชือ้ เพลงิ ชีวภาพท่ีอยใู่ นรปู ของเหลวอาจจะแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ (1) แอลกอฮอล์ ซึ่งเปน็ สารประกอบอนิ ทรีย์ มีสถานะเปน็ ของเหลวระเหยงา่ ย แอลกอฮอล์ ท่ี นำมาใชเ้ ป็นเช้ือเพลิงมี 2 ชนิด คอื เอทานอลหรือเอทิลแอลกอฮอล์ (C HOH) (แอลกอฮอล์ท่ีรับประทานได้) และ เมทานอลหรือเมทิลแอลกอฮอล์ (CH OH) (แอลกอฮอลท์ ี่รับประทานไม่ได้) (2) นำ้ มนั จากพชื และสัตว์ ไดแ้ ก่ น้ำมนั พืชบริสุทธิ์ นำ้ มันพืชทใ่ี ช้แล้ว (Waste Vegetable Oil) ไข สัตวแ์ ละไบโอดีเซลทผ่ี ลิตจากน้ำมนั พชื ไขสตั ว์ และนำ้ มันพืชใชแ้ ลว้ โดยผ่านกรรมวธิ ที างเคมี (3) นำ้ มนั จากขยะ นำ้ มนั ซ่ึงมคี ุณลกั ษณะทางเคมีและกายภาพคลา้ ยคลึงกบั ปิโตรเลยี ม สามารถ สกัดจากขยะชีวมวลมาใช้งานได้
47 1.3) ก๊าซชวี ภาพ (Biogas) สว่ นใหญ่ได้แก่ กา๊ ซมีเทน (CH) ท่ีไดจ้ ากการหมักมูลสัตว์หรือ ของเสียจาก โรงเลย้ี งสัตว์ เช่น สกุ ร โค กระบือ โดยรวบรวมของเสยี เหลา่ น้ีใส่ในถงั หมักที่มีเชอื้ จลุ ินทรีย์ เมื่อทิง้ ไว้ให้ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าในทีไ่ ม่มอี ากาศ จุลนิ ทรยี จ์ ะใช้สารอนิ ทรีย์ในของเสยี และเกิดก๊าซมเี ทนขึ้น นำไปใช้ เป็นเช้อื เพลิงใน การปรงุ อาหารและกระบวนการอ่นื ๆ ท่ีต้องการใช้ความร้อน สว่ นของเหลือจาดงั หมักเม่ือ สะสมมาก ยังนำไปใช้ เปน็ ปยุ๋ ได้อีกดว้ ย การพฒั นาเชือ้ เพลิงชีวภาพที่ดำเนนิ การผลิตเชงิ พาณชิ ยแ์ ละจำหนา่ ยอยู่ในประเทศไทยนั้น ไดแ้ ก่ เอ ทานอล นำ้ มนั แกส๊ โซฮอล์ นำ้ มันดีเซลปาลม์ (บริสทุ ธ์)ิ และไบโอดีเซล การใชพ้ ลังงานจากชีวมวลแสดงได้ 2) การนำพลังงานจากชวี มวลไปใช้ การนำพลังงานชวี มวลไปใช้ประโยชน์ สามารถนำไปใชไ้ ด้ 2 ลกั ษณะ คอื 2.1} กระบวนการทใ่ี ห้ความร้อน ไดแ้ ก่ พวกฟ้นื ถ่านไม้ นำมาจุดไฟนำความรอ้ นไปใช้ประโยชน์ โดยตรง เชน่ ใชใ้ นการหุงตม้ ของสังคมชนบท ปญั หาท่ีเกดิ จากกระบวนการให้ความร้อน คือ การขาดแคลนไม้ ถา่ น และพืน้ หายากขึ้น ดังนั้น การใช้พลงั งานชีวมวลในลกั ษณะนตี้ อ้ งคำนึงถึงการทดแทนหรือการลดการ สญู เสีย พลังงานจากการใช้ โดยคาํ นงึ ถงึ วัสดธุ รรมชาตทิ ่ใี ห้ความร้อนสงู ลดการสญู เสยี เชน่ โครงการเชอื้ เพลิงเขียว อดั แท่ง เตาซูเปอร์อั่งงโล่ประสทิ ธิภาพสงู จากการพฒั นาของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลงั งาน (พพ.) 2.2) กระบวนการทางชีวภาพ เป็นการนำมูลสตั ว์ ขยะเน่าเสยี ของเหลือท้ิงจากการเกษตร ผา่ นการ หมกั เพื่อย่อยสลายสารอินทรียใ์ นสภาพไร้ออกซเิ จนจะได้ก๊าซชวี ภาพ (Biogas) ซงึ่ สว่ นใหญ่ ได้แก่ ก๊าซมีเทน (CH) ประมาณร้อยละ 50-75 และคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO) ร้อยละ 36-39 กา๊ ซชวี ภาพ (Biogas) ใช้เปน็ เช้ือเพลงิ ใน เตาหงุ ต้ม ตะเกยี ง เคร่อื งยนต์ และเครอื่ งกำเนิดไฟฟา้ เปน็ ตน้ สมบตั ขิ องกา๊ ซชวี ภาพขึ้นอยู่กบั ปริมาณกา๊ ซมเี ทน โดยท่ัวไปกา๊ ซชีวภาพ 1 ลูกบาศก์เมตร มีกาช มีเทนร้อย ละ 60 คา่ ความรอ้ นประมาณ 5,000-5,500 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบเท่ากับนำ้ มันดีเซล 0.60 ลติ ร หรอื เบนซนิ 0.67 ลติ ร หรอื พลงั งานไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ชัว่ โมง หรือฟ้ืน 1.5 กิโลกรัม หรือกา๊ ซหงุ ต้ม 0.46 กิโลกรัม 4.5 พลงั งานความร้อนใตพ้ ิภพ พลงั งานความร้อนใต้พภิ พเป็นแหล่งพลังงานหมนุ เวียนท่ีไมม่ วี นั หมด ดังปรากฏให้เห็นในรูปของ “นำ้ พุ รอ้ น” ซงึ่ เป็นปรากฏการณธ์ รรมชาติท่ีมนี ้ำร้อนไหลขึน้ มาจากใต้ผวิ ดนิ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ภายใตพ้ ืน้ โลก ยังคงมคี วาม รอ้ นอยู่ นำ้ พุร้อนจึงเปน็ แหล่งพลงั งานรปู แบบหนึ่งท่ีสามารถนำมาพฒั นาเพ่ือใช้ประโยชน์ด้าน ต่าง ๆ เช่น การ ผลติ กระแสไฟฟา้ ด้านอุตสาหกรรมและการเกษตรกรรม อีกท้งั ยงั พฒั นาเป็นแหล่งท่องเทย่ี ว 1 ได้อีกด้วย ประเภท การใช้ประโยชน์ข้นึ อยู่กับอณุ หภูมิของน้ำพรุ อ้ น อตั ราการไหลของน้ำพรุ อ้ น และลักษณะ โครงสร้างของชนั้ หนิ ที่ เป็นหินกักเกบ็ และเปน็ ช่องทางการนำน้ำพรุ ้อนขึ้นมาสผู่ ิวโลก ประเทศไทยต้ังอยรู่ ะหว่างอิทธพิ ลการเคลอ่ื นตวั ของเปลอื กโลกซงึ่ เปน็ ร่องนำ้ ให้ความรอ้ นจากหิน หลอมเหลวร้อนใต้ผวิ ดินถา่ ยเทขึ้นมาสู่พ้ืนผวิ โลกได้ง่าย โรงไฟฟ้า จากการสำรวจพบว่ามนี ำ้ พุร้อนประมาณ 90 แห่ง กระจาย อยู่ในภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคใต้ และ ภาคตะวันออก อุณหภมู ิอยู่ในข้นั ตำ่ คอื 40-100 องศาเซลเซียส และ จากการสำรวจของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่และกรมทรัพยากรธรณี เพ่ือหาแหล่งเหมาะสม ในภาคเหนอื เพอ่ื การผลิตกระแสไฟฟา้ มีท่ี น่าสนใจอยู่ 2 แห่ง คือ
48 1) แหล่งสันกำแพง อยู่บรเิ วณบา้ นโปง่ ฮ่อม ตำบลบ้านสหกรณ์ อำเภอสนั กำแพง จังหวดั เชยี งใหม่ พบ แหล่งกกั เกบ็ พลงั งานความร้อนท่ีความลกึ 3 ระดบั คือ ทีร่ ะดบั ความลกึ ไม่เกิน 10 เมตร ลกึ ปานกลาง 500 เมตร และทรี่ ะดับลกึ 1,000-3,000 เมตร ซงึ่ ที่ระดับความลกึ 500 เมตร จะมีอุณหภมู ริ ะหวา่ ง 120130 C สามารถให้ไอ นำ้ ผลติ กระแสไฟฟ้าได้ น้ำพุรอ้ นสันกำแพง 2) แหลง่ อำเภอฝาง ตงั้ อยทู่ ี่บริเวณ ตำบลม่อนบิน อำเภอฝาง จังหวดั เชียงใหม่ แหล่งพลงั งานความรอ้ นนี้ มีลักษณะเป็นแอ่งท่ี ระดับความลกึ 40-60 เมตร อุณหภูมิสงู สดุ 200°C ปัจจุบนั มีการจดั ตง้ั โรงไฟฟ้าขนาดเลก็ ขนาด 300 กิโลวตั ต์ ซึ่งถือวา่ เปน็ โรงไฟฟ้าพลังงาน ความร้อนใต้พภิ พแหง่ แรกของประเทศไทย 4.6 พลังงานมหาสมุทร มหาสมทรครอบคลมุ พื้นที่กวา่ ร้อยละ 70 ของพื้นผิวโลก มศี กั ยภาพในการนำมาใชป้ ระโยชน์ในด้าน พลงั งานทดแทนจากกระแสน้ำ คล่นื ความร้อนในมหาสมุทร ลม และแสงอาทติ ย์ 1) พลังงานจากกระแสนำ้ กระแสนำ้ ขึ้นน้ำลง เกดิ จากแรงดงึ ดูดของดวงอาทติ ยแ์ ละดวงจนั ทร์ทม่ี ี ผลต่อ โลกของเรา รวมท้ังการหมนรอบตวั ของโลก ทำให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงของพลังงานศักย์และพลงั งานจลน์ ของน้ำ ในมหาสมุทรและแมน่ ้ำ เราสามารถใชป้ ระโยชน์จากกระแสน้ำโดยเปลี่ยนใหเ้ ปน็ พลงั งานไฟฟ้า เช่นเดยี วกับการผลติ ไฟฟ้าจาก พลังงานน้ำ โดยเลอื กแม่น้ำหรอื อา่ วท่ีมพี ้ืนทเี่ กบ็ น้ำไดม้ ากและพิสยั ของนำ้ ขึน้ น้ำลงมีค่าสูง แลว้ สร้าง เข่อื นทป่ี าก แมน่ ำ้ หรอื ปากอ่าว เพ่อื ให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำขนึ้ มา เมื่อน้ำขึน้ จะไหลเขา้ สู่อา่ งเก็บน้ำ และเมื่อนำ้ ลง นำ้ จะไหลออก จากอา่ งเกบ็ น้ำ การไหลเขา้ ออกจากอ่างของน้ำต้องควบคุมใหไ้ หลผ่านกงั หันน้ำท่ตี อ่ เช่ือมกับ เครื่องกำเนดิ ไฟฟ้า เมือ่ กังหนั น้ำหมุนจะได้ไฟฟ้าออกมาใชง้ าน ในปัจจุบันโรงไฟฟ้าจากกระแสน้ำท่ีดำเนนิ การแลว้ ตั้งอยใู่ นประเทศ ฝรงั่ เศส แคนาดา และฟลิ ปิ ปินส์ นอกจากนัน้ เรายังสามารถผลิตไฟฟ้าจากกังหนั กระแสน้ำ (Tidal Turbine) ซึ่งมี หลกั การทำงานเชน่ เดยี วกบั กังหันลม เนอ่ื งจากนำ้ มคี วามหนาแน่นกว่าอากาศถึง 800 เท่า ดังนน้ั กงั หันชนิดนี้ จงึ ต้องแขง็ แรงกว่ากงั หนั ลม นำ้ หนักมากและต้นทุนสูงกว่า แต่กส็ ามารถผลติ พลงั งานไดม้ ากกว่า 2) พลงั งานจากคล่นื คลน่ื เกดิ จากลมท่ีพัดพาผวิ นำ้ ในมหาสมทุ รจนเกดิ การเคล่ือนไหวพลังงาน คล่ืน เป็น การเกบ็ เก่ยี วเอาพลังงานทล่ี มถ่ายทอดใหก้ ับผิวน้ำในมหาสมุทรเกิดเปน็ คล่นื วิ่งเข้าสู่ชายฝ่งั และ เกาะแก่งตา่ ง ๆ
49 เครอ่ื งผลิตไฟฟ้าพลงั งานคลืน่ จะถกู ออกแบบให้ลอยตัวอยูบ่ นผวิ นำ้ บรเิ วณหนา้ อา่ วดา้ นหนา้ ท่ี หนั เขา้ หาคล่ืน การ นำพลังงานคลืน่ มาใช้น้นั ทำได้โดยการควบคมุ ให้คลน่ื ผา่ นช่องแคบทเี่ รียวลง เพือ่ เพ่มิ กำลัง และขนาดของคล่นื ผา่ นเข้าในอ่างเกบ็ น้ำและใช้หมุนกงั หนั เพอ่ื ผลิตกระแสไฟฟ้า การใชค้ ลื่นเพือ่ ผลติ ไฟฟา้ ใหไ้ ดผ้ ล จะต้องอยู่ในบรเิ วณท่มี ยี อดคล่ืนเฉล่ยี อยู่ที่ 8 เมตร และต้อง มแี รงลม ดว้ ย แตจ่ ากการวดั ความสูงของยอดคลนื่ สูงสดุ ในประเทศไทยที่จังหวดั ระนองพบว่า ยอดคล่นื สงู สดุ เฉลยี่ อยูท่ ่ี 4 เมตรเทา่ น้ัน เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานคลนื่ ในปจั จุบันน้นั ยังคงไม่สามารถใช้ในไทยให้ ผลจรงิ จังได้ บริเวณชายฝั่งสหรฐั อเมริกา ยุโรป ญี่ปนุ่ และนิวซีแลนดม์ ีศักยภาพในการใช้ประโยชน์จากพลงั งาน คล่ืนได้ 3) พลังงานความร้อนในมหาสมุทร เกิดจากบริเวณผิวน้ำของมหาสมุทรที่ไดร้ บั ความร้อนจาก ดวงอาทิตย์ (ท่ปี ระมาณยส่ี บิ กวา่ องศาเซลเซยี ส) ซงึ่ จะร้อนกวา่ น้ำส่วนที่ลกึ ลงไป (ทนี่ ้ำลึกประมาณ 1 กิโลเมตร มอี ุณหภมู ิ ประมาณ 4 องศาเซลเซยี ส) ความแตกตา่ งของอุณหภมู เิ ชน่ นี้ ถือไดว้ ่าเป็นแหลง่ พลงั งานชนิดหนง่ึ และสามารถ นำมาผลติ กระแสไฟฟ้าได้ ระบบแปลงพลังงานความร้อนในมหาสมุทร (Ocean Thermal Energy Conversion) จะ ทำงานไดใ้ น บริเวณทมี่ ีอุณหภูมแิ ตกตา่ งกันอย่างน้อย 25 องศาเซลเซยี ส จงึ จํากดั เฉพาะในภูมภิ าคเขตรอ้ น เชน่ รฐั ฮาวาย สหรัฐอเมรกิ า ปัจจุบนั ยงั มีขอ้ จํากัดในการผลิตไฟฟา้ จากพลังงานความร้อนในมหาสมุทร เนอื่ งจาก การผลติ ไฟฟ้า ด้วยวธิ ดี ังกลา่ วยังไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธภิ าพมากนกั รวมทัง้ การส่งกระแสไฟฟ้าท่ี ผลิตได้จากมหาสมุทร สู่ชายฝั่งที่มีระยะทางไกล
50 การสอนออนไลน์ การสอบออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom
51 ส่ือการสอนหน่วยที่ 2.0
52 ส่ือการสอน
53 ส่ือการสอน
54 ส่ือการสอนหน่วยที่ 2.1
55 สือ่ การสอนหน่วยท่ี 2.1 พลังงานสนิ้ เปลอื ง ความรู้พน้ื ฐานด้านพลงั งาน การจาแนกประเภทพลังงานตามหลักสากล การจาแนกประเภทพลงั งานตามขน้ั ตอนการผลติ พลงั งานขั้นตน้ พลงั งานขั้นสดุ ท้าย พลังงานขัน้ ตน้ พลงั งานขั้นสดุ ทา้ ย พลังงานเชิงพาณิชย์ น้ํามนั ดิบ นํา้ มันสาํ เรจ็ รูป ถา่ นหนิ ถา่ นหนิ การแปรรปู ถา่ นโคก้ ถ่านอดั นํา้ มนั ดบิ กา๊ ซธรรมชาติ ความร้อน ไฟฟา้ พลงั งาน นวิ เคลียร์ คอนเดนเสท ถ่านโค้ก ถ่านอัด ความรอ้ น และ เช้ือเพลิงไม้ ฟนื สนิ้ เปลือง กา๊ ซธรรมชาติ กา๊ ซเช้อื เพลิงจากถ่านหนิ ไฟฟา้ (จากการ นา้ํ เสยี ถ่านไม้ ความรอ้ นและไฟฟ้า หินน้าํ มนั นํา้ มันสังเคราะห์จากหิน ก๊าซชวี ภาพ พลงั งาน (จากใต้พภิ พ น้าํ มนั นาํ้ มันสาํ เรจ็ รูป เผาไหม้ ความร้อนจากใตพ้ ภิ พ หมนุ เวยี น ขยะ เชื้อเพลงิ ต่างๆ) ความร้อนจากแสงอาทติ ย์ นาไปใชง้ าน แสงอาทิตย์ น้ํา ลม) ของเสยี เช้อื เพลิงชวี ภาพที่แปรรูปมา จากพลงั งานหมนุ เวยี นชนิด ไฟฟ้าพลงั แสงอาทติ ย์ เช้ือเพลงิ ชีวภาพ ไฟฟ้าพลังนาํ้ ชีวมวล ต่างๆ ไฟฟ้าพลงั ลม ปโิ ตรเลียม ( ) ปโิ ตรเลียม ( ) เชือ้ เพลิงในชีวิตประจําวนั เชอ้ื เพลิงในชวี ติ ประจาํ วัน ปิโตรเลยี ม ( ) ปโิ ตรเลยี ม ( ) เชือ้ เพลิงในชวี ติ ประจาํ วัน เช้อื เพลงิ ในชวี ิตประจําวนั
56 การแปรรปู พลงั งาน ปิโตรเลยี ม ส่อื การสอนหน่วยที่ 2.1 การแปรรูปพลงั งาน ปิโตรเลยี ม นา้ํ มนั ดิบ นาํ้ มันสําเรจ็ รปู นํ้ามนั ดิบ แหลง่ ปิโตรเลยี ม กา๊ ซธรรมชาติ โรงกล่ันนํ้ามนั การแปรรปู พลงั งาน ปิโตรเลียม การแปรรปู พลังงาน ปโิ ตรเลียม นํ้ามันสําเร็จรปู น้าํ มนั เบนซนิ กา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลว หรอื แอลพจี ี () นํา้ มนั เตา ยางมะตอย นาํ้ มนั ดเี ซล น้าํ มนั เคร่อื งบนิ ก๊าซธรรมชาติ โรงแยก ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ( ) การแปรรูปพลังงาน ถา่ นหนิ เหมืองถา่ นหนิ ถ่านหิน การแปรรปู พลงั งาน ถา่ นหนิ การแปรรูปพลังงาน ถา่ นหิน คณุ สมบัติของถ่านหินชนิดต่างๆ โรงไฟฟ้า ไฟฟา้ 1) แอนทราไซต์ คา่ ความร้อน ค่าความช้นื ปริมาณขเ้ี ถา้ ปริมาณ 2) บิทูมนิ สั กามะถัน ถ่านหนิ 3) ซบั บิทู มนิ ัส สูง ต่ํา ต่ํา 4) ลิกไนต์ สูง ต่ํา ต่ํา ต่ํา ปานกลาง-สงู ปานกลาง ปานกลาง ต่ํา ต่ํา-ปานกลาง สงู สงู ปานกลาง ต่ํา-สูง โรงงานอุตสาหกรรม ความรอ้ น
ก๊าซธรรมชาติ ( ส่อื การสอนหน่วยท่ี 2.1 57 ) แก๊สธรรมชาติ โดยทว่ั ไปจะประกอบดว้ ยมเี ทน เปน็ สว่ นใหญ่ คอื รอ้ ยละ 70 ขนึ้ ไป (แกส๊ แหง้ ) คอื แกส๊ ธรรมชาตทิ ่ี ประกอบดว้ ยมีเทน ( 4 ) เกอื บท้งั หมด มี ชนิดอนื่ เจือปนอยู่เล็กน้อย มีสถานะเปน็ แก๊สท่ี อุณหภูมิและความดนั บรรยากาศ (แก๊สช้ืน) คอื แกส๊ ธรรมชาติทมี่ ีพวก โพรเพน บวิ เทน เพนเทน เฮกเซน ล ปนอยู่ ในอตั ราทคี่ ่อนข้างสูง คณุ สมบตั ิทั่วไปของก๊าซธรรมชาติ กา๊ ซธรรมชาติในสถานะต่าง ๆ ที่ควรรจู้ ัก 1. ไม่มสี ี ไมม่ กี ล่นิ ปราศจากพิษ 1. หรือก๊าซธรรมชาตทิ ข่ี นสง่ โดยทางทอ่ 2. เบากวา่ อากาศ (ความถ่วงจําเพาะ 0.5-0.8 เรยี กชอ่ื ทางการตลาดว่า คือ ก๊าซธรรมชาตทิ มี่ กี า๊ ซมเี ทนเป็น สว่ นใหญ่ นาํ ไปเป็นเชอื้ เพลิงในการผลติ กระแสไฟฟ้า หรือในโรงงาน เท่าของอากาศ) อตุ สาหกรรม 3. เปน็ เชือ้ เพลิงสะอาด เผาไหมส้ มบรู ณ์กว่า ติดไฟงา่ ย โดยมชี ว่ งการตดิ ไฟท5่ี - 15 ของปรมิ าตรในอากาศ และอณุ หภูมทิ ่ี สามารถติดไฟได้เองกค็ ือ537 - 540 องศา เซลเซียส ก๊าซธรรมชาตใิ นสถานะตา่ ง ๆ ทคี่ วรรู้จัก กา๊ ซธรรมชาตใิ นสถานะตา่ ง ๆ ทคี่ วรรู้จกั 2. หรอื คอื ส่วนใหญเ่ ปน็ ก๊าซมเี ทน 3. หรือ ในกรณีทีร่ ะยะทาง ระหวา่ งแหลง่ ผลติ กับบรเิ วณทใ่ี ช้มรี ะยะทางไกลเกินกวา่ 2000 กโิ ลเมตร เม่อื ขนสง่ กา๊ ซธรรมชาติมาทางท่อ จะสง่ เขา้ สถานีบริการเพอื่ มาอัดเพมิ่ จะใชก้ ารขนสง่ ดว้ ยเรอื ทีถ่ ูกออกแบบไว้เฉพาะ โดยการทํากา๊ ซธรรมชาติให้ ความดนั ประมาณ3 000-3 600 ปอนด์ตอ่ ตารางนิ้ว จากนั้น ก็จะสามารถ เตมิ ใส่ถังเกบ็ กา๊ ซ ของรถยนตต์ ่อไป กลายสภาพเป็นของเหลว เพ่อื ใหป้ รมิ าตรลดลงประมาณ600 เท่า โดยทั่วไปจะมีอณุ หภูมิ -160 องศาเซลเซยี ส
58 ส่ือการสอนหน่วยที่ 2.2
59 สื่อการสอนหน่วยท่ี 2.2 หมายถงึ พลงั งานใดๆทจ่ี ะ พลังงานทดแทนมี สามารถนาํ มาใชป้ ระโยชน์ มากมายหลายอย่าง เชน่ ทดแทนแหล่งพลังงาน ซึ่งมี พลงั งานลม พลงั งานนา้ํ การสะสมตามธรรมชาติ พลังงานชวี มวล พลงั งาน และใช้หมดไป เช่น นํ้ามัน แสงอาทิตย์ พลังงาน ถา่ นหนิ กา๊ ซธรรมชาติ ไฮโดรเจน ล ยูเรเนยี ม ศกั ยภาพพลงั งานลม ในประเทศไทย พลังงานลม แผนท่ีแสดงพลงั งานลม ใน คอื การแปลงพลงั งานจลน์ ประเทศไทย จากการเคล่อื นที่ของลมให้ (หน่วย : วัตต์/ตารางเมตร) เปน็ พลงั งานกล และนํา พลงั งานกลมาใชเ้ พื่อสูบนํา้ สถานีพลงั งานทดแทนพรหมเทพ จังหวดั ภูเก็ต(ต่อ) โดยตรงหรือผลติ เปน็ ในปี พ.ศ. 2535 ได้ตดิ ตงั้ กังหันลมขนาดกาํ ลงั ผลติ 10 กโิ ลวัตต์ พลงั งานไฟฟ้า เพมิ่ อกี 2 ชุด ทําให้มกี าํ ลังผลติ ไฟฟา้ รวม 42 กิโลวัตต์ ในปี พ.ศ. 2539 ตดิ ตัง้ กงั หันลม ขนาดกาํ ลงั ผลิต 150 กโิ ลวตั ต์ สถานีพลังงานทดแทนพรหมเทพ จงั หวัดภเู กต็ พอ้ มกบั ยกเลิกการใช้งานกังหันลมขนาดเล็กท่ีต้องซ่อมบํารงุ บอ่ ย ในปี พ.ศ. 2526 กฟผ.ได้ และชาํ รุดเสยี หาย ทําให้มีกําลังผลติ ไฟฟ้าจากกังหันลมรวม 170 จัดตั้งสถานีทดลองการผลติ กิโลวตั ต์ ไฟฟา้ จากกังหันลม ทบ่ี ริเวณ ในปี พ.ศ. 2541 ตดิ ตง้ั ระบบผลติ ไฟฟา้ จากเซลลแ์ สงอาทิตย์ แหลมพรหมเทพ จังหวัด เพิม่ เติม ทําใหม้ กี ําลงั ผลิตรวมทั้งสน้ิ 180.124 กโิ ลวตั ต์ ภเู กต็ ซึง่ มคี วามเร็วลมเฉลี่ย ตลอดปี ประมาณ 5 เมตรตอ่ วนิ าทีโดยติดตง้ั กังหันลม ขนาดเล็กเพ่ือทดสอบการใช้ งานจาํ นวน 6 ชดุ
60 พลงั งานน้า พลงั งานความร้อนใตพ้ ิภพ พลงั งานจากทะเลและ กฟผ. ได้สรา้ งโรงไฟฟ้าพลังความรอ้ นใตพ้ ภิ พฝางขนาดกาํ ลังผลิต 300 มหาสมทุ ร มหี ลายประเภท กโิ ลวัตต์ ตง้ั อย่ทู ี่ตาํ บลม่อนปน่ิ อําเภอฝาง จงั หวดั เชยี งใหม่ มีหลักการ ไดแ้ ก่ พลงั งานจากน้ําขึน้ -นํ้าลง ทํางาน คอื นําน้าํ รอ้ นไปถา่ ยเทความร้อนให้กับของเหลวหรือสารทาํ งาน พลงั งานจากคล่นื พลงั งานจาก ( ) ท่ีมีจดุ เดือดต่ําจนกระท่งั เดอื ดเปน็ ไอแลว้ นาํ ไอนไ้ี ป อุณหภูมขิ องนํ้าทะเล เปน็ ต้น หมุนกงั หนั เพอื่ ขับเคร่ืองกาํ เนดิ ไฟฟา้ ผลติ ไฟฟ้าออกมา ประเทศไทยมแี หลง่ นาํ้ ท่ีมี ศกั ยภาพสามารถผลติ พลงั งาน การผลติ กระแสไฟฟ้าดว้ ยเซลล์แสงอาทิตย์ ไฟฟา้ ได้ท้ังสน้ิ ประมาณ 25 500 เมกะวัตต์ แบ่งออกเปน 3 ระบบ คือ เขอื่ นผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย 1. เซลล์แสงอาทิตยแ์ บบอสิ ระ( )เปน็ ระบบ ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการออกแบบสําหรบั ใช้งานในพนื้ ทีช่ นบทท่ีไมม่ รี ะบบ 1. เขอื่ นแกง่ กระจาน จังหวัดเพชรบรุ ี สายส่งไฟฟา้ อปุ กรณร์ ะบบท่สี ําคัญประกอบดว้ ยแผงเซลลแ์ สงอาทิตย์ 2. เข่อื นวชิราลงกรณ จังหวดั กาญจนบุรี อปุ กรณค์ วบคุมการประจุแบตเตอรี่ แบตเตอร่ี และอปุ กรณ์เปลย่ี นระบบ 3. เข่ือนจุ าภรณ์ จงั หวัดชยั ภูมิ 4. เขอ่ื นทา่ ทุง่ นา จังหวัดกาญจนบรุ ี 5. เขื่อนภมู ิพล จังหวัดตาก 6. เขือ่ นนา้ํ พุง จงั หวดั สกลนคร 7. เขื่อนบางลาง จังหวดั ยะลา 8. เขอ่ื นปากมูล จงั หวดั อุบลราชธานี 9. เข่อื นรชั ชประภา จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี 10. เข่อื นศรีนครนิ ทร์ จังหวดั กาญจนบุรี 11. เข่อื นสิริกติ ิ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ 12. เขือ่ นสริ ินธร จังหวดั อุบลราชธานี 13. เขอื่ นอุบลรัตน์ จงั หวัดขอนแกน่ ้ พลังงานแสงอาทิตย์ มีการใช้พลงั งานแสงอาทติ ยใ์ นหลายรูปแบบเช่น การผลิตกระแสไฟฟา้ ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ การผลติ นา้ํ ร้อนด้วยพลงั งานแสงอาทติ ย์ การผลติ พลงั งานความรอ้ นจากแสงอาทติ ย์ ไฟฟ้ากระแสตรงเปน็ ไฟฟ้ากระแสสลับแบบอสิ ระ การผลติ กระแสไฟฟา้ ดว้ ยเซลล์แสงอาทติ ย์ การผลติ กระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทติ ย์ 2. เซลลแ์ สงอาทติ ย์แบบต่อกบั ระบบจาหนา่ ย ( 3. เซลลแ์ สงอาทติ ย์แบบผสมผสาน( ) เปน็ ) เปน็ ระบบผลิตไฟฟา้ ท่ถี กู ออกแบบสําหรับผลติ ไฟฟ้าผา่ น ระบบผลิตไฟฟ้าที่ถกู ออกแบบสาํ หรบั ทาํ งานร่วมกบั อุปกรณผ์ ลิตไฟฟ้า อ่นื ๆ เช่น ระบบเซลลแ์ สงอาทติ ย์กบั พลงั งานลม และเคร่อื งยนต์ดีเซล อุปกรณ์เปลย่ี นระบบไฟฟา้ กระแสตรงเป็นไฟฟา้ กระแสสลบั เข้าสรู่ ะบบ ระบบเซลล์แสงอาทิตยก์ ับพลังงานลม และไฟฟา้ พลังนาํ้ เปน็ ต้น โดย สายส่งไฟฟ้าโดยตรง ใชผ้ ลิตไฟฟ้าในเขตเมือง หรอื พ้ืนท่ีที่มรี ะบบจําหน่าย รูปแบบระบบจะขน้ึ อยกู่ ับการออกแบบตามวตั ถุประสงคโ์ ครงการเป็น ไฟฟ้าเขา้ ถึง อุปกรณ์ระบบท่สี ําคัญประกอบด้วยแผงเซลลแ์ สงอาทิตย์ กรณเี ฉพาะ อปุ กรณ์เปล่ียนระบบไฟฟา้ กระแสตรงเป็นไฟฟา้ กระแสสลับชนิดต่อกับ ระบบจําหน่ายไฟฟา้
การผลิตน้าร้อนด้วยพลังงานแสงอาทติ ย์ 61 แบง่ ออกเปน 3 ชนิด คอื การผลิตน้ารอ้ นด้วยพลงั งานแสงอาทติ ย์(ต่อ) 1. การผลิตนา้ ร้อนชนดิ 2. การผลติ นา้ ร้อนชนิดใชป้ ัมน้าหมนุ เวยี นเหมาะสาํ หรบั การใชผ้ ลิตนาํ้ ไหลเวยี นตามธรรมชาติ ร้อนจํานวนมาก และมีการใช้อย่างต่อเนือ่ ง เปน็ การผลิตนํ้าร้อนชนดิ ทม่ี ี ถังเกบ็ อยูส่ ูงกว่าแผงรับ 3. การผลิตนา้ รอ้ นชนิดผสมผสานเปน็ การนาํ เทคโนโลยกี ารผลิตนา้ํ รอ้ น แสงอาทติ ย์ ใชห้ ลกั การ จากแสงอาทติ ย์มาผสมผสานกบั ความรอ้ นเหลอื ท้ิงจากการระบาย หมนุ เวยี นตามธรรมชาติ ความร้อนของเครอ่ื งทําความเยน็ หรือเครือ่ งปรบั อากาศโดยผา่ น อปุ กรณ์แลกเปล่ยี นความร้อน การผลิตพลังงานความรอ้ นจากแสงอาทิตย์ การผลิตพลงั งานความร้อนจากแสงอาทิตย์(ตอ่ ) มกี ารใช้งาน 3 ลักษณะ คอื 3. การอบแห้งระบบ 1. การอบแห้งระบบ เป็นระบบท่ีเครอ่ื งอบแหง้ ทาํ งานโดย เปน็ ระบบอบแหง้ ท่ีใช้ อาศัยพลังงานแสงอาทติ ยแ์ ละกระแสลมทีพ่ ัดผ่าน พลงั งานแสงอาทติ ย์ และ ยงั ต้องอาศยั พลงั งานใน 2. การอบแห้งระบบ เป็นระบบอบแห้งท่ีมเี ครือ่ งช่วยใหอ้ ากาศ รปู แบบอื่น ๆ ชว่ ยในเวลาที่ ไหลเวียนในทศิ ทางท่ีตอ้ งการ เช่น มีพัดลมตดิ ตั้งในระบบเพ่ือบงั คับ มีแสงอาทิตยไ์ ม่สมํ่าเสมอ ใหม้ กี ารไหลของอากาศผ่านระบบ หรือต้องการใหผ้ ลิตผล ทางการเกษตรแห้งเรว็ ข้นึ พลงั งานนิวเคลยี ร์ โรงไฟฟา้ พลังงานนิวเคลยี ร์ทเ่ี ดน่ ๆ มีอยู่ 3 แบบใหญ่ ๆ คือ โรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลยี ร์เปน็ ทางเลือก 1. โรงไฟฟา้ พลังงานนิวเคลยี รแ์ บบความดนั สูง ( ของประเทศไทย ที่จะแก้ปญั หาดา้ น พลังงานในระยะยาวได้ซง่ึ ในปี 2548 ทั่ว ) โลกมีโรงไฟฟา้ พลังงานนวิ เคลียร์ดําเนนิ การ 2. โรงไฟฟา้ พลงั งานนวิ เคลยี ร์แบบนาํ้ เดอื ด ( ผลติ ไฟฟา้ เชงิ พาณิชย์ถึง 439 โรง มีกาํ ลัง ผลติ 336 331 ( ) และอยใู่ นขนั้ ตอน ) การก่อสรา้ งอีก 25 โรง ในประเทศ 3. โรงไฟฟา้ พลังงานนิวเคลยี ร์แบบใช้ อินเดยี ญ่ีปุ่น เกาหลีใต้ สวีเดน เยอรมนั และปากีสถาน ( :)
เซลล์เชอื้ เพลิง 62 เซลล์เช้อื เพลงิ มลี ักษณะคลา้ ยกบั แบตเตอรี่มากในดา้ นที่สามารถอดั เซลล์เชอื้ เพลิง ประจุใหม่ไดเ้ รือ่ ยๆ เซลล์เชอ้ื เพลิงยงั ไม่เป็นท่ีนิยมใชท้ วั่ เพราะตน้ ทุนการผลติ อุปกรณ์สงู คือ อปุ กรณ์ท่ที ําใหเ้ กดิ ปฏิกิรยิ า และยงั มอี นั ตรายทต่ี ้องใช้ความรเู้ ฉพาะควบคุมหลายประการแตใ่ น เคม-ี ไฟฟ้า ระหวา่ งออกซเิ จนกบั ปัจจบุ นั ไดน้ าํ มาใชก้ ับอปุ กรณไ์ ฟฟ้าหลายชนดิ เชน่ โทรศัพทม์ อื ถือ ปาลม์ ไฮโดรเจนซึ่งสามารถเปล่ยี นแปลง พลังงานของเชอื้ เพลงิ ไปเป็น เอทานอล พลังงานไฟฟ้าโดยตรงไมต่ ้องผา่ น การเผาไหม้ทําใหเ้ ครอ่ื งยนตท์ ใี่ ช้ เป็นแอลกอฮอลช์ นดิ หนึ่งซ่งึ เกิดจาก เซลล์เช้อื เพลงิ น้ไี ม่ก่อมลภาวะทาง การหมกั พืช เพื่อเปล่ยี นแปง้ จากพชื อากาศ ทง้ั ยงั มีประสทิ ธภิ าพสงู กวา่ เป็นนาํ้ ตาลแล้วเปลี่ยนจากน้าํ ตาล เคร่อื งยนตเ์ ผาไหม้1-3 เท่า ขน้ึ อยู่ เป็นแอลกอฮอล์ เมอื่ ทําให้เป็น กับชนิดของเซลลเ์ ช้อื เพลงิ และชนิด แอลกอฮอล์บรสิ ุทธิ์ 95 โดยการ ของเชอื้ เพลงิ ที่ใช้ กลนั่ จะเรียกว่า เอทานอล ( ) เอทานอลท่ีนําไปผสมใน แก๊สโซ อล์ นํา้ มันเพ่อื ใช้เตมิ เครอื่ งยนตเ์ ป็น แอลกอฮอลท์ ี่มีความบริสุทธ์ติ ้ังแต่ แกส๊ โซฮอลค์ ือสว่ นผสมของ 99.5 โดยปรมิ าตร ซึง่ สามารถใช้ นาํ้ มนั เบนซนิ กับเอทานอล ซงึ่ เป็นเช้ือเพลิงได้ เปน็ แอลกอฮอล์บรสิ ุทธ์ิ เราสามารถผลิตเอทานอลได้ จากพืชทป่ี ลกู ในประเทศ เช่น ออ้ ย มนั สาํ ปะหลัง รวมทั้ง ธัญพชื เช่นข้าวฟ่าง ขา้ ว ข้าวโพด เป็นตน้ ได้ ความเปนมาของการใช้แกส๊ โซ อล์ในประเทศไทย การผลติ แกส๊ โซฮอล์ ในประเทศไทยนนั้ เกดิ จากแนวพระราชดาํ ริใน พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวเมอื่ ปี2528 โดยโครงการส่วนพระองค์ ได้ศกึ ษาการผลติ แกส๊ โซฮอล์ เพื่อใช้เปน็ พลงั งานทดแทน โดยผลิตเอทา นอลจากออ้ ย หลังจากนนั้ กเ็ กดิ ความต่นื ตวั ทง้ั จากภาครัฐและเอกชนเขา้ มารว่ มพัฒนาและนาํ ไปทดสอบกับเครอ่ื งยนต์ ความเปนมาของการใชแ้ ก๊สโซ อล์ในประเทศไทย(ต่อ) 2543 2544 5 95
63 ไบโอดีเซล ดีเซลปาล์มบริสทุ ธิ คอื น้ํามันเช้ือเพลงิ ที่ผลติ มาจาก เกิดข้นึ จากแนวพระราชดาํ ริใน นาํ้ มนั พืชหรอื ไขมันสตั ว์ โดยผ่าน พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ทรงเล็งเห็นวา่ ขบวนการท่ที ําใหโ้ มเลกุลเล็กลง ประเทศไทยอาจประสบปัญหาการขาดแคลน ให้อย่ใู นรปู ของ เอทลิ เอสเตอร์ นํา้ มนั ในภาวะราคานํ้ามนั แพง จึงทรงดาํ ริให้ () โครงการส่วนพระองค์ สวนจติ รลดา รว่ ม ดําเนนิ การวิจัยกับหนว่ ยงานต่าง ๆ เชน่ () สถาบนั การศึกษา หนว่ ยงานของรฐั และเอกชน ขอ้ ดขี องการใช้ดีเซลปาลม์ บรสิ ทุ ธิ ปจั จบุ ันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจด สิทธิบัตรการใช้น้ํามนั ปาลม์ บริสุทธ์ิ และน้าํ มัน สามารถช่วยลดปริมาณมลพิษจากท่อไอ ปาล์มบรสิ ทุ ธ์ิ ผสมกบั นํ้ามันดีเซล เพื่อใชเ้ ป็น เสยี โดยสามารถลดปรมิ าณควนั ดาํ ลงได้อยา่ ง เช้อื เพลงิ สําหรับเครือ่ งยนตด์ เี ซลกับกรมทรัพย์สิน มี นัยสําคญั น้าํ มนั พืชเปน็ เชอื้ เพลงิ สะอาด มปี รมิ าณ ทางปัญญาเรยี บรอ้ ยแล้ว กาํ มะถันนอ้ ยมาก เม่อื เทียบกบั นํ้ามนั ดีเซล เม่อื นํามาเปน็ เชอ้ื เพลิงในเมืองใหญ่และพน้ื ที่ที่ 10 บญั ญัติ ประหยดั นา้ มนั มปี ัญหาด้านส่งิ แวดลอ้ ม จะชว่ ยลดผลกระทบ ที่มตี อ่ สิ่งแวดลอ้ มได้ ผูท้ ่ใี ช้ดีเซลปาล์มบรสิ ทุ ธิ์ เติมในรถยนต์ 1. ขบั รถไมเ่ กิน 90 ก.ม./ชม. ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรบั แตง่ เครอ่ื งยนต์ ความเรว็ สูงสดุ ท่ีกฎหมายกําหนดไว้ ทางธรรมดา 90 กม./ชม. ทางดว่ น 110 กม./ชม. 2. จอดรถไวบ้ ้านโดยสารสาธารณะ มอเตอรเ์ วย์ 120 กม./ชม. ถา้ ผูใ้ ช้รถยนตร์ ้อยละ 1 จากจํานวน 5 ลา้ นคนั หนั มาใชบ้ ริการรถสาธารณะด้วยระยะทาง 48 กม./วนั ใน 1 ปี (260 วนั ทํางาน) จะประหยัดนํ้ามัน 52 ลา้ นลติ ร คดิ เป็นค่านาํ้ มนั 780 ล้านบาท 3. ไมข่ ับกด็ ับเครอ่ื ง 4. ทางเดียวกันไปด้วยกัน 5. หลกี เลย่ี งช่ัวโมงเรง่ ดว่ น 6. ใช้โทรศัพท-์ โทรสารเลยี่ งรถตดิ การตดิ เครือ่ งยนต์จอดอย่เู ฉยๆ เป็น ถา้ ขบั รถยนต์ 5 คัน ไปทางเดยี วกนั ทห่ี มาย ถา้ รถติดเพียงร้อยละ 1 ของ จาํ นวน ใชอ้ ปุ กรณส์ อ่ื สารแทนการเดินทาง เชน่ เวลา 5 นาที ใกล้กัน ระยะทาง 48 กม./คัน (ไป-กลับ) รถยนต์ 5 ล้านคนั ในวันทํางานทกุ วนั ส่งหนงั สอื ระหวา่ งหนว่ ยงาน และในบางเสาร์-อาทิตย์ ใน 1 ปี (330 ส้นิ เปลืองน้ํามนั โดยเปลา่ ประโยชน์ ใน 1 ปี (260 วนั ทํางาน) จะสิน้ เปลอื งนา้ํ มัน วัน/ปี) หากเร่งดว่ นกใ็ ชว้ ิธสี ่งทางโทรสาร 500 ซซี ี 5 200 ลิตร คดิ เปน็ คา่ นํา้ มนั 78 000 บาท จะสิน้ เปลืองนา้ํ มนั 12.4 ล้านลิตร คดิ หากเปน็ เอกสารสําคญั กใ็ ช้วิธีรวบรวม เป็นค่าน้ํามนั 186 ล้านบาท เอกสารแล้วส่งพรอ้ มกัน ถ้าร้อยละ 1 ของรถยนต์ 5 ล้านคัน ใช้ หนงั สอื เวียนท่ไี มส่ าํ คญั ก็ใชว้ ิธีสง่ - สลับขับ 5 คน ต่อรถ 1 คนั หรือส่งไปรษณีย์ ใน 1 ปี จะประหยดั นํ้ามันได้ 41.6 ล้านลิตร คิดเป็นเงนิ 624 ลา้ นบาท 7. วางแผนกอ่ นเดนิ ทาง 8. ลมยางตอ้ งพอดไี สก้ รองต้องสะอาด 9. ไมบ่ รรทกุ ของเกินจาเปน 10. ตรวจเชค็ เครอ่ื งยนต์เปนประจา ถ้าไม่ศกึ ษาเสน้ ทางกอ่ นเดนิ ทาง และ ความดันลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน1 ปอนด์ตอ่ หากขับรถโดยบรรทุกของท่ไี มจ่ าํ เปน็ เปล่ยี นไสก้ รองตามกาํ หนด ขับรถหลงทาง 10 นาที ตารางนิว้ ถา้ ขับทกุ วันเฉลย่ี วนั ละ48 กม. ใน 1 ประมาณ 10 ก.ก. เปน็ ระยะทาง 25 เปล่ยี นนํ้ามนั หล่อลืน่ ทกุ 5 000 กม. เดือน ก.ม. สนิ้ เปลืองนํา้ มัน 40 ซซี ี ตรวจสอบระดบั นาํ้ มนั เคร่อื ง และน้าํ ใน จะสิ้นเปลอื งน้ํามนั 500 ซีซี คดิ เป็นค่า แบตเตอรี่ นํ้ามัน 7.50 บาท รถยนต์ สิน้ เปลืองน้ํามันเพ่ิมข้นึ 2.4 ลติ ถา้ ร้อยละ 10 ของรถยนตท์ วั่ ประเทศ 5 ตรวจสอบระดบั นาํ้ ปอ้ นหมอ้ น้าํ ล้านคัน ขับรถโดยบรรทุกสงิ่ ของทไี่ ม่ ปรับปรุงสมรรถนะรถยนตใ์ ห้ดีตลอดเวลา ถ้ารถยนต์ 5 ลา้ นคัน ขบั หลงทาง เฉลย่ี รถจกั รยานยนต์ สิ้นเปลอื งนาํ้ มันเพม่ิ ขนึ้ 1.2 ลติ ร จําเป็น ชว่ ยประหยดั นํา้ มนั เชื้อเพลงิ ได้ รอ้ ยละ เดอื นละ 1 คร้ัง ใน 1 ปี 3- 9 รถบรรทุกส้นิ เปลอื งน้ํามันเพมิ่ ขนึ้ 4.2 ลติ ร ใน 1 ปี จะสนิ้ เปลอื งน้ํามัน 7.3 ลา้ น จะสน้ิ เปลืองนา้ํ มนั 30 ลา้ นลติ ร คดิ เปน็ ถ้าร้อยละ 30 ของรถแต่ละประเภท ละเลยเชน่ น้ี บอ่ ยๆ รวม ลติ ร คิดเปน็ เงิน 10.95 ลา้ นบาท ค่านาํ้ มัน 450 ลา้ นบาท เป็น 30 วัน/ปี จะสน้ิ เปลืองน้าํ มันเพม่ิ ขึ้น5.8 ลา้ นลิตร คดิ เปน็ เงิน 87 ลา้ นบาท ถา้ ไส้กรองสะอาด จะช่วยลดการส้ินเปลืองนาํ้ มันวนั ละ65 ซซี ี
64 ส่ือการสอนหน่วยที่ 2.3
สอ่ื การสอนหน่วยที่ 2.3 65 ไฟฟ้ามาได้อยา่ งไร ทาไมต้องประหยัดพลังงาน 1.ค่าไฟฟา้ ฐาน ราคาค่าไฟฟ้า 2.คา่ ไฟฟา้ ผันแปร หรอื ค่า 3.ภาษมี ลู คา่ เพมิ่ 7 เป็นค่าไฟฟา้ ท่ีปรับเปลี่ยนเพมิ่ ข้นึ หรอื ลดลง ตามการเปล่ยี นแปลงของตน้ ทนุ คา่ ใช้จ่ายด้านเชือ้ เพลิงและค่าซื้อไฟฟา้ ทอ่ี ยูน่ อกเหนอื การควบคมุ ของการไฟฟา้ ประเภท 2114 14.60 0 2 8370.6 11 415.06 0.2477 คา่ 2 820.50 คา่ บรกิ าร 312.24
66 วทิ ยุ 15 วตั ต์ ถา้ เปิดท้งิ ไว้ 3 ชว่ั โมงต่อวนั หมายเหตุ - ค่าไฟฟา้ หน่วยละ 2.5 บาท จะกินไฟ 1.35 หนว่ ยต่อเดือน ค่าไฟประมาณ 4.05 บาท ถ้าเปดิ ท้ิงไว้เชน่ น้ี 1 ลา้ นเคร่ือง จะ -/ ( /1 000) 0.5 ชั่วโมงต่อวัน 30 วันต่อเดือน สิน้ เปลอื งคา่ ไฟเดอื นละ 4.05 ลา้ นบาท หรือปี ละ 48.6 ล้านบาท การใช้งานให้เกิดการประหยัดพลังงาน ปมั นํา้ 1/3 แรงม้า (249 วัตต์) ใช้ 5 ช่วั โมงต่อวัน ค่า 1. เลอื กใช้ขนาดใหเ้ หมาะสมกบั การใชง้ าน ไฟฟ้าประมาณเดอื นละ 112.05 บาท ปัมนา้ํ แรงม้า (375 วตั ต์) ใช้ 5 ชวั่ โมงตอ่ วนั คา่ ไฟประมาณเดือนละ 2. ซับผมด้วยผ้าหรือเป่าดว้ ยพดั ลมกอ่ นใช้งาน 168.75 บาท ถ้าใช้ปัมนํ้าขนาด 375 วตั ต์ 1 ล้านเคร่ือง ท่วั ประเทศ จะเป็นค่าไฟประมาณ 168.75 ล้านบาทต่อ 3. ไม่ใช้ในหอ้ งปรบั อากาศ เดือน หรือ 2 025 ลา้ นบาทต่อปี 4. ลดเวลาการใชง้ าน หมายเหตุ - คา่ ไฟฟ้าหน่วยละ 2.5 บาท -/ ( /1 000) 1 ชั่วโมงต่อวนั 30 วันตอ่ เดอื น การใช้งานใหเ้ กิดการประหยดั พลงั งาน หมายเหตุ - ค่าไฟฟ้าหนว่ ยละ 2.5 บาท 1. เลอื กใช้ขนาดใหเ้ หมาะสมกบั การใช้งาน 2. ทาํ ความสะอาดถงุ เก็บฝุ่นทกุ ครั้งหลังใชง้ าน 3. ใชห้ ัวดูดฝุ่นให้เหมาะสมกับลกั ษณะงาน 4. ระวงั ไมใ่ หส้ ายดูดฝุ่นพบั ขณะใชง้ าน -/ ( /1 000) 0.5 ชัว่ โมงต่อวนั 30 วันตอ่ เดือน 5. ไม่ควรนําไปใชด้ ูดวัสดทุ ม่ี ีขนาดใหญ่ 6. ใช้ชนิดของหัวดดู ใหเ้ หมาะสมกับงาน การใชใ้ หเ้ กดิ การประหยัดพลังงาน หมายเหตุ - คา่ ไฟฟ้าหนว่ ยละ2.5 บาท 1. เลือกขนาดใหเ้ หมาะสมกบั การใช้งาน 2. ไมค่ วรปรบั อณุ หภมู ิใหส้ งู เกนิ ไป -/ ( /1 000) 16 ชว่ั โมงตอ่ วนั 30 วนั ต่อเดือน 3. ไม่ควรเปิดเคร่อื งตลอดเวลาขณะอาบนาํ้ (ถูสบ)ู่ 4. ไม่ควรเปดิ น้าํ ให้ไหลมากเกนิ ไป 5. ใช้ฝักบวั ทปี่ ระหยัดน้ํา 6. ปดิ วาลว์ นํ้าและสวทิ ซท์ ันที่เมื่อเลกิ ใช้งาน 7. ไมค่ วรอาบนา้ํ อุน่ โดยใช้อา่ งอาบน้าํ 8. ใชเ้ ครื่องทําน้ําอ่นุ แบบใช้แกส๊ แทนการใชไ้ ฟฟา้ 9. เปลี่ยนไปใชเ้ คร่อื งทํานาํ้ อุ่นจากแสงอาทติ ย์ 10. เปลยี่ นไปใชเ้ คร่ืองทาํ นาํ้ อนุ่ จากระบบปรับอากาศ การใช้งานใหเ้ กดิ การประหยดั พลงั งาน การใชง้ านให้เกดิ การประหยดั พลงั งาน (ต่อ) 1. ตัง้ ต้เู ยน็ ให้ด้านหลังห่างจากผนังไมน่ ้อยกวา่ 15 เซนตเิ มตร 8. สวทิ ซห์ ลอดไฟในตูเ้ ยน็ ควรทาํ งานไดเ้ ป็นปกติ มิเชน่ น้นั หลอดไฟจะติดตลอด เพือ่ ใหร้ ะบายความรอ้ นไดด้ ี เวลา เมอ่ื ปิดตูเ้ ยน็ อาจเชค็ โดยกดปุ่มท่ีประตแู ล้วหลอดไฟควรจะดบั 2. ต้งั สวิทซค์ วบคมุ อุณหภูมิทีต่ วั เลขตํ่าสดุ เท่าที่จะทําได้ 9. ไฟฟ้าไม่ควรรว่ั ลงดนิ ซึง่ อาจทดสอบโดยปิดเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ทง้ั หมดภายในบา้ น 3. ไมเ่ ปดิ ตเู้ ย็นบ่อย เพราะจะเสียความเยน็ แลว้ หมุนสวทิ ซ์ควบคุมอณุ หภูมิไปท่ีเลขตํา่ สุด ถา้ มเิ ตอร์ของการไฟฟา้ ยังหมุนอยู่ 4. ไม่นําของรอ้ นเขา้ ไปแชใ่ นตเู้ ยน็ แสดงวา่ เกดิ การรั่วลงดนิ 5. ละลายนํา้ แข็งเปน็ ประจาํ โดยถอดปลัก หรอื กดปุ่มละลายน้ําแข็ง 6. ทาํ ความสะอาดแผงคอล์ยด้านหลังเปน็ ประจํา เพือ่ ใหร้ ะบายความร้อนได้ดี 10. อยา่ ปลอ่ ยให้มอเตอร์คอมเพรสเซอรท์ ํางานไม่เต็มที่ ซ่งึ อาจเกิดจากลนิ้ ร่วั 7. ยางขอบประตูต้เู ยน็ จะต้องไม่ฉกี ขาดหรือเสื่อมสภาพเพราะทาํ ใหอ้ ากาศรอ้ น หรือนํา้ ยาน้อย เคร่อื งจะเดนิ ตลอดเวลา แต่ไม่มีความเย็นหรือเยน็ น้อยอาจ ทดสอบโดยใชม้ ือสัมผัสแผงร้อนดา้ นหลัง ถา้ มีความรอ้ นไมเ่ ท่ากนั แสดงวา่ และชนื้ เขา้ ไปในตู้เย็น อาจเกดิ น้าํ แข็งเกาะเร็ว ผดิ ปกติ 11. ใช้ตู้เยน็ ขนาดที่เหมาะสมกบั การใช้งาน (ตใู้ หญก่ ินไฟมากกว่าต้เู ลก็ ) 12. ใชต้ ู้เย็นทม่ี ฉี ลากเบอร์ 5
หมายเหตุ - ค่าไฟฟ้าหนว่ ยละ 2.5 บาท 67 -/ ( /1 000) 1 ช่ัวโมงตอ่ วัน 30 วันต่อเดือน การใชง้ านให้เกดิ การประหยัดพลังงาน 1. ปรบั ระดับความร้อนใหเ้ หมาะสมกบั ผา้ แต่ละชนดิ หมายเหตุ - ค่าไฟฟา้ หน่วยละ 2.5 บาท 2. รดี ผา้ ครงั้ ละมากๆ 3. ตงั้ ใจรีดผ้าให้เร็ว 4. ไม่ควรพรมนา้ํ บนผา้ มากเกนิ ไป 5. ซักและตากผา้ ใหถ้ ูกวิธีเพ่อื ไมใ่ หผ้ า้ ยบั มาก 6. ดึงปลกั ออกกอ่ นท่ีจะรดี เสรจ็ ประมาณ 2-3 นาที 7. อยา่ ลมื ถอดปลักเตารีดออกทกุ คร้งั 8. ชว่ งจัดผา้ รีดควรวางเตารีดบนวสั ดทุ ี่เปน็ ฉนวน 9. เลอื กใช้เตารีดท่ีมีวัตตต์ ํ่าๆ 10. ไมร่ ีดผา้ ในห้องปรบั อากาศ การใช้งานใหเ้ กิดการประหยดั พลงั งาน 1. เปดิ เม่อื ถงึ รายการท่ีจะดู 2. ถอดปลกั ทุกคร้ังเม่ือปิดโทรทศั น์ โดยเฉพาะเครอ่ื งทมี่ ีรโี มท 3. ไมเ่ ปิดโทรทศั น์ท้ิงไว้ เพ่ือฟงั แต่เสียง 4. ไมน่ อนหลบั หนา้ ทวี ี ถ้าจําเปน็ ควรตัง้ เวลาการปิด 5. ไมค่ วรใช้ทวี ีทีม่ ีขนาดใหญเ่ กินไป 6. ควรร่วมกันดูทีวแี ทนทจ่ี ะแยกกนั ดคู นละเคร่อื ง 7. ไมค่ วรปรบั เสยี งดังจนเกินความจาํ เป็น 8. ไมค่ วรปรับความสวา่ งและความเข้มของภาพมากเกนิ ไป -/ ( /1 000) 5 ชวั่ โมงตอ่ วนั 30 วันตอ่ เดือน หมายเหตุ - คา่ ไฟฟา้ หน่วยละ 2.5 บาท -/ ( /1 000) 1 ชว่ั โมงตอ่ วนั 30 วนั ตอ่ เดือน การใช้งานให้เกดิ การประหยัดพลงั งาน หมายเหตุ - ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 2.5 บาท 1. ใชข้ นาดหม้อหงุ ขา้ วใหเ้ หมาะสม 2. ใชข้ ้าวทีห่ งุ โดยใชน้ ํา้ นอ้ ย และสกุ เรว็ -/ ( /1 000) 1 ชัว่ โมงต่อวัน 30 วนั ต่อเดือน 3. ไมเ่ ปดิ ฝาหม้อขณะหงุ 4. หงุ ขา้ วในปริมาณท่เี หมาะสม (ไม่มากเกนิ ไป) 5. ไมค่ วรอนุ่ ไว้ทงั้ วัน ควรถอดปลักเมือ่ หงุ สุก การใชง้ านใหเ้ กิดการประหยดั พลงั งาน หมายเหตุ - คา่ ไฟฟา้ หน่วยละ 2.5 บาท 1. ใชข้ นาดเตาใหเ้ หมาะสม -/ ( /1 000) 0.25 ช่ัวโมงต่อวัน 30 วนั ต่อเดือน 2. ปรบั ต้งั อุณหภูมิไมส่ งู เกนิ ไป 3. ทาํ อาหารใหพ้ อเหมาะ การใชง้ านใหเ้ กิดการประหยดั พลังงาน 4. ปิดทนั ทีเม่ือเลิกใช้งาน 5. ไมใ่ ช้ในพื้นทป่ี รบั อากาศ 1. เลือกใช้ขนาดให้เหมาะสมกบั การใชง้ าน 6. เตรยี มอาหารท่จี ะทาํ พรอ้ มกอ่ นเรม่ิ 2. ปรับต้ังอุณหภมู ิใหต้ า่ํ ท่สี ุดเท่าท่ีจะทาํ ได้ 7. ใช้ภาชนะท่คี ลมุ เต็มพนื้ ทีเ่ ตา 3. ไมป่ งิ้ จนไหมเ้ กรยี ม 8. ทําอาหารทีส่ ุกงา่ ยและใชค้ วามร้อนนอ้ ย 4. ไมใ่ ช้ในพืน้ ท่ีปรับอากาศ 9. ไมค่ วรใชอ้ าหารทม่ี อี ุณหภมู ติ า่ํ ไปต้ม 5. ไม่ควรใช้ขนมปงั ทม่ี อี ณุ หภมู ิตา่ํ ไปปิ้ง 10. เปลยี่ นไปใช้เชื้อเพลงิ เชน่ แก๊สจะดีกวา่
หมายเหตุ - ค่าไฟฟ้าหนว่ ยละ 2.5 บาท 68 -/ ( /1 000) 1 ชวั่ โมงตอ่ วนั 30 วนั ตอ่ เดือน การใชง้ านใหเ้ กดิ การประหยัดพลงั งาน 1. ใชข้ นาดเลก็ ทีส่ ุดเทา่ ที่จะทาํ ได้ หมายเหตุ - ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 2.5 บาท 2. ไมใ่ ชน้ ้ํามัน หรอื นาํ้ มากเกินไป 3. ทําอาหารท่ีสกุ ง่าย และใชค้ วามร้อนนอ้ ย -/ ( /1 000) 0.5 ชว่ั โมงต่อวนั 30 วันต่อเดือน 4. ปรับตัง้ อุณหภมู ไิ มส่ ูงเกินไป 5. หาฝาปิดกระทะขณะใชง้ าน หมายเหตุ - ค่าไฟฟา้ หนว่ ยละ 2.5 บาท 6. เตรียมอาหารกอ่ นเร่ิมเปิดใชง้ าน 7. ทาํ อาหารใหพ้ อเหมาะ -/ ( /1 000) 0.5 ช่วั โมงตอ่ วนั 30 วันตอ่ เดือน 8. ปิดทันทีเม่ือเลิกใช้ 9. ไม่ใช้ในพืน้ ทป่ี รับอากาศ 10. ไม่ควรใช้อาหารทมี่ ีอุณหภูมิต่ําไปตม้ หรอื ทอด 11. เปลี่ยนไปใชเ้ ชือ้ เพลงิ เชน่ แก๊สจะดีกว่า การใช้งานใหเ้ กิดการประหยัดพลังงาน 1. ไม่ใช้ขนาดใหญจ่ นเกนิ ไป 2. ไม่ใช้อาหารท่มี อี ุณหภมู ิตา่ํ เขา้ เตา 3. ไมใ่ ช้อณุ หภูมทิ ่ีสูงเกนิ ไป 4. ไมใ่ ชก้ บั ทาํ อาหารทส่ี กุ ยาก 5. ไมใ่ ช้ในพนื้ ที่ปรับอากาศ 6.ใช้ภาชนะท่รี ะบุให้ใช้กับเตาไมโครเวฟเทา่ นน้ั 7. ไม่ตง้ั เวลานานเกนิ ไป 8. เปลย่ี นไปใชเ้ ตาแกส๊ แทน การใช้งานใหเ้ กดิ การประหยัดพลงั งาน 1. เลือกเครอื่ งซกั ผา้ ใหเ้ หมาะสมกับการใชง้ าน 2. ควรแชผ่ ้ากอ่ นนาํ เขา้ ไปซกั ในเครื่อง 3. ซกั แต่ละครัง้ ตอ้ งเตม็ พกิ ัดของเคร่อื ง 4. ไมค่ วรอบผา้ ด้วยเครอื่ งควรใช้แสงแดดจะดีกวา่ 5. ถา้ มแี สงแดดมากไมค่ วรป่ันแหง้ 6. ควรแยกการซกั ระหวา่ งผ้าทีส่ กปรกมากและสกปรกนอ้ ย 7. ควรใชผ้ งซักฟอกทีส่ ามารถล้างออกไดง้ ่าย เพอื่ ลดจํานวนครงั้ ของการลา้ ง 8. การใช้โปรแกรมท่ใี ชน้ ํ้าน้อย 9. หลีกเล่ียงการใช้น้าํ ร้อนซกั ผ้า 10. ความดันและปรมิ าณนํา้ ทเ่ี ขา้ เครอื่ งตอ้ งเพียงพอ การใช้งานใหเ้ กิดการประหยดั พลงั งาน 1. เลือกใช้พดั ลมตงั้ โตะ๊ หรือต้งั พนื้ มากกว่าแบบตดิ เพดานเพราะกินไฟนอ้ ยกวา่ 50 2. ไมเ่ ปิดพัดลมท้ิงไวเ้ มอ่ื ไม่มีคนอยู่ 3. ใช้พัดลมเบอร์ 5 4. ปรับพดั ลมให้หมุนไป-มาจะใช้ไฟมากกว่าอย่กู ับที่ 5. เปิดทค่ี วามเรว็ ตาํ่ จะประหยัดกวา่ 6. ทาํ ความสะอาดใบพดั สมํ่าเสมอ 7. ใชข้ นาดท่เี หมาะสมกบั การใชง้ าน หมายเหตุ - คา่ ไฟฟ้าหนว่ ยละ2.5 บาท -/ ( /1 000) 5 ชัว่ โมงต่อวนั 30 วนั ต่อเดือน
วธิ ีง่ายๆ สาหรบั การประหยัดพลังงานทบ่ี า้ น 69 การประหยดั พลงั งานในสถานทีท่ างาน แหล่งทีม่ าของความรอ้ นภายในอาคาร อุปกรณส์ านักงาน หลอดไฟฟ้า ปิดจอคอมพิวเตอร์ ในเวลาพกั เทีย่ ง หลอดผอม36 วัตต์ ถ้าเปิดทง้ิ ไวว้ นั ละ 1 ช่วั โมง จาํ นวน 1 ล้านหลอด จะสน้ิ เปลอื งค่าไฟเดอื นละ 4.14 ล้านบาท หรอื ปลี ะ 49.7 ลา้ นบาท ปิดเครื่องและถอดปลกั หลงั หากใช้หลอดคอมแพคฟลอู อเรสเซนต์ชนดิ ท่มี บี ลั ลาสต์ภายในขนาด13 วัตต์ แทน เลิกงาน หลอดไส้ ขนาด 60 วตั ต์ 1 ชว่ั โมง จํานวน 1 ลา้ นหลอดทวั่ ประเทศจะประหยดั คา่ ไฟฟา้ ได้ ปละ 50.76 ล้านบาท หมายเหตุ - คา่ ไฟฟ้าหนว่ ยละ 2.5 บาท การใชง้ านให้เกิดการประหยดั พลงั งาน -/ ( /1 000) ต้ม 0.5 30 ( /1 000) อุน่ 7.5 30 1. ใส่นํ้าใหพ้ อเหมาะกับความตอ้ งการใชน้ ํ้ารอ้ น 2. ไมต่ ้มนา้ํ ในหอ้ งปรับอากาศ หมายเหตุ - คา่ ไฟฟ้าหนว่ ยละ 2.5 บาท 3. ถอดปลกั ทันทเี ม่ือเลิกใช้ หรือเม่อื น้ําเดอื ด 4. ปรบั อุณหภูมิในการต้มไมใ่ ห้สูงเกนิ ความตอ้ งการใชน้ ้าํ -/ ( /1 000) 1 ช่ัวโมงต่อวนั 30 วนั ตอ่ เดือน 5. ใชข้ นาดใหเ้ หมาะสมกับความต้องการใช้นาํ้ 6. ไมค่ วรเปดิ ฝาขณะต้ม การใชง้ านใหเ้ กดิ การประหยดั พลังงาน 7. เมื่อใช้งานเปน็ เวลานาน ควรเปล่ยี นซีลท่ฝี า 1. เลือกใชเ้ ครื่องทวี่ ตั ตต์ ํา่ ๆ 8. ถา้ เปน็ ไปได้ควรใช้แก๊สในการตม้ น้ํา 9. ทําความสะอาดภายในไมใ่ หเ้ กิดตะกรัน 2. เลือกใช้จอภาพขนาดเลก็ เกาะเพราะตะกรันจะทาํ ใหใ้ ชเ้ วลาในการต้มนานข้นึ 3. ลดเวลาการใชง้ านใหต้ า่ํ ลง 10. ไม่นาํ นาํ้ เยน็ ไปตม้ 4. ปิดจอภาพทกุ ครัง้ เม่อื หยดุ ใชง้ าน 5. ไม่ปรบั จอภาพใหส้ วา่ งเกนิ ไป 6. เลอื กใช่เครือ่ งทม่ี ีความเร็วสูง
มาตรการสาหรบั เครอื่ งถ่ายเอกสาร 70 ถา่ ยเฉพาะเอกสารท่ีจําเป็นเท่านนั้ ลฟิ ท์ ไม่วางเครอ่ื งถา่ ยเอกสารไวใ้ นหอ้ งปรับอากาศ การใชล้ ิฟท์อย่างมปี ระสทิ ธิภาพและประหยัดพลงั งาน กดปุ่มพกั เมือ่ ใชง้ านเสรจ็ ถ้าเปน็ อาคารสงู ที่จําเปน็ ต้องใชล้ ฟิ ท์ ควรเลอื กลฟิ ท์ ที่มขี นาดความเรว็ ของลฟิ ทท์ ่ี เหมาะสมกับจํานวนผู้ใช้ลิฟท์ในอาคารนนั้ ปดิ เครือ่ งถา่ ยเอกสารหลงั จากเลกิ งาน และถอดปลักออกดว้ ย ถ้ามีลฟิ ทห์ ลายตวั ควรตง้ั ใหล้ ฟิ ทท์ ํางานหยุดตามชั้นตา่ ง ๆ ที่เหมาะสมในแตล่ ะตัว เช่น บางตวั หยุดเฉพาะชัน้ คแู่ ละบางตวั หยุดเฉพาะชั้นคี่ หรือหยุดต้งั แตช่ ้นั เท่าใด เลือกเครอื่ งถ่ายเอกสารท่ีมีระบบประหยัดพลงั งาน เป็นตน้ ไป เม่อื เลยเวลารีบเร่งแลว้ ควรเปิดลิฟท์ใหเ้ หลอื จาํ นวนตัวทใ่ี ชง้ านให้น้อยท่ีสดุ ตาม ความเหมาะสม จัดทาํ ป้าย เพอ่ื ปลูกจติ สํานกึ ในการใช้ลฟิ ท์ เชน่ การเดินขน้ึ บันไดแทนการใช้ลิฟท์
71 ส่ือการสอนหน่วยที่ 2.4
72 สอื่ การสอนหน่วยที่ 2.4 รวมพลงั คนไทยลดใชพ้ ลงั งาน ความหมายของ การจดั การด้านพลังงาน การจัดการทรพั ยากรพลงั งาน อย่างมีประสทิ ธิภาพ เพอื่ บรรลุ เป้าหมายในการประหยดั ทาอยา่ งไร คณะทางานประหยดั พลังงาน จึงจะประสพผลสาเร็จ ข้นั ตอนของการดาเนินการประหยัดพลังงาน 1. กาํ หนดนโยบาย / เป้าหมาย ปจั จัยสู่ความสาเรจ็ 2. กาํ หนดวธิ กี ารดําเนินงาน 3. การวิเคราะหส์ ภาพปัจจุบนั - การประหยดั พลงั งานต้องเปน็ นโยบายหลกั ของหน่วยงาน 4. ประเมนิ ศักยภาพการประหยัด/ การลงทุน - จะตอ้ งได้รับความรว่ มมือจากทกุ ๆฝ่าย 5. ระดมความคดิ เหน็ - ต้องกาํ หนดนโยบายใหท้ กุ ๆฝา่ ยไดร้ บั ทราบ 6. จดั ทาํ แผนปรับปรุง - ตอ้ งดาํ เนินการอย่างเปน็ ขนั้ ตอนมีแบบแผน 7. ดาํ เนนิ การปรับปรุง 8. ตรวจสอบการปฎิบัติตามแผน ขั้นตอนของการดาเนินการประหยดั พลังงาน 9. ประเมนิ ผลประหยัดตามมาตรการทปี่ รบั ปรงุ 1. การกาหนดนโยบาย / เปา้ หมาย 10. ปรับปรุงขนั้ ตอนวธิ ดี าํ เนินการ 11. ดําเนินการอย่างต่อเนอ่ื ง - การประหยัดพลังงานต้องเปนนโยบายขององคก์ ร - มีเปา้ หมายชัดเจนภายในระยะเวลาทีก่ าหนด ข้นั ตอนของการดาเนินการประหยัดพลงั งาน - ต้องประกาศใหท้ ุกคนทราบ 2. กาหนดวิธีการดาเนินการ - ตอ้ งมงี บประมาณในการดาเนนิ การ - ประชมุ ระดมความเห็น - จดั ตั้งคณะทางานในการดาเนินการ - ทกุ คนมีสว่ นร่วม - กําหนดวิธกี ารในการดาํ เนนิ การ - คณะทางานขององคก์ ร - รับขอ้ เสนอจากผู้ปฎิบตั ใิ นทุกระดบั - คณะทางานในการรณรงค์/ ประชาสมั พันธ์ / อบรม - นําขอ้ เสนอเขา้ ส่ทู ่ปี ระชมุ - คณะทางานในการดาเนนิ งานในแตล่ ะกจิ กรรม - มรี างวลั ให้กับขอ้ เสนอทีด่ ี - กาหนดผู้ดแู ลความคบื หนา้ ของโครงการ ข้นั ตอนของการดาเนินการประหยดั พลงั งาน - หัวหนา้ โครงการ - หวั หนา้ หน่วยแตล่ ะหนว่ ย 4. ประเมนิ ศักยภาพการประหยัด / การลงทนุ - ประเมนิ ผลท่ีคาดว่าประหยดั ไดใ้ นรปู ของค่าใช้จา่ ย ขนั้ ตอนของการดาเนนิ การประหยัดพลงั งาน - วิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุน 3. วิเคราะหส์ ภาพปจั จบุ ัน 5. ระดมความคดิ เห็น - การประเมนิ สภาพการจัดการพลงั งาน - ความเป็นไปได้ - ขอ้ ตกลงร่วมมือในการจัดการพลังงานในหนว่ ยงาน - ปัญหาอปุ สรรคทค่ี าดวา่ จะเกิด - บุคลากรในองคก์ ร - ความเหมาะสม - กิจกรรมงานดา้ นปฎิบัติ - ความคดิ ริเรม่ิ ดา้ นประสิทธิภาพพลงั งาน - การรว่ มกนั กาํ หนดกาํ หนดคา่ ตวั ชว้ี ดั
ขั้นตอนของการดาเนนิ การประหยดั พลงั งาน 73 6. - ข้นั ตอนของการดาเนินการประหยดั พลังงาน 7. - () - - - ) - - () 8. - - - - - ข้ันตอนของการดาเนนิ การประหยดั พลังงาน 9. ประเมินผลประหยัด - ในแตล่ ะมาตรการท่ปี รบั ปรงุ - ตอ้ งมีการกําหนด 10. ปรับปรุงวธิ ีการดาเนนิ การ นําข้อมลู จากการประเมินผลมาปรับปรงุ วิธกี ารทาํ งานให้เหมาะสมกวา่ เดิม 11. ดาเนนิ การอยา่ งตอ่ เนื่อง ตราบเทา่ ทม่ี กี ารใชพ้ ลงั งาน ลดการใชพ้ ลังงานทาไดอ้ ย่างไร การกาหนด การใช้พลงั งานทาได้อยา่ งไร เราทาได้ ลด ละ เลิก พฤตกิ รรมสน้ิ เปลอื ง กาหนดจากการใช้พลงั งานรวม เชน่ การ ประหยัดเพอ่ื ชาติ ใช้พลงั งานของเดือนในปฐาน เทียบกับเดือน รว่ มใจลดใช้พลังงาน เดียวกันของปถดั ไป กาหนดจากดัชนีการใช้พลังงาน เชน่ การ . ใชพ้ ลงั งานต่อพ้นื ท่ี หรอื ตอ่ จานวนเจา้ หนา้ ทีสาหรับสานักงาน หรือ ต่อเตยี ง -คนไข้ใน สาหรับโรงพยาบาลของเดือนในปฐาน เทยี บ . กบั เดือนเดยี วกันของปถัดไป คณุ ทราบหรอื ไม่ ใช้พลังงานอย่างถกู วิธี คือการการประหยัดพลังงาน วธิ กี ารง่าย ๆ ดว้ ยตวั ของคณุ เอง ประหยัดมากข้นึ เมอื่ มกี ารปรับปรงุ หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ช่วยชาติประหยดั งบประมาณ
74 ใสใ่ จดูแลระบบแสงสวา่ ง การบารงุ รักษา อย่าเปิดไฟทง้ิ ไวเ้ มื่อไมม่ คี นอยู่ กาํ หนดเวลาเปดิ ปดิ มีผูร้ ับผิดชอบ บํารงุ รกั ษาอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสมํา่ เสมอและต่อเนื่อง ปิดไฟบางบรเิ วณเร็วกว่าท่เี คยปฏิบัติ ใชป้ ระโยชนจ์ ากแสงธรรมชาติ ทําความสะอาดฝาครอบ/ หลอดไฟ และแผน่ สะทอ้ นแสงไฟในโคม ลดจาํ นวนหลอดไฟบริเวณทอ่ี าศยั แสงธรรมชาติได้ ควรทําความสะอาดอย่างสมา่ํ เสมอ ทกุ เดือน อย่าใชห้ ลอดไฟท่ไี ม่ไดม้ าตรฐาน การปรบั ปรุงเปลย่ี นแปลง หลอดไส้ วตั ต์ ถ้าเปิดทิง้ ไวว้ นั ละ ชั่วโมง ล้านหลอด แยกสวทิ ซ์ควบคุมอปุ กรณ์แสงสวา่ ง สวิทซก์ ระตกุ งา่ ยดายไม่ยุ่งยาก ส้ินเปลอื งเดอื นละ ล้านบาท หรือปลี ะ ลา้ นบาท เพื่อควบคุมการใช้งานแสงสว่างอย่างเหมาะสม หน่งึ สวทิ ซ์ ควบคุมหลอดแสงสวา่ งจาํ นวนมาก งา่ ยต่อการควบคมุ หลอดผอม วตั ต์ ถ้าเปดิ ทงิ้ ไวว้ ันละ ช่วั โมง ลา้ นหลอด สิน้ เปลอื งเดอื นละ . ลา้ นบาท หรือปีละ . ลา้ นบาท 2. การให้แสงสว่างเฉพาะพ้ืนท่ี () วธิ ีการใหแ้ สงสว่าง 3 วธิ ี ขอ้ ดี ประหยดั พลังงานกวา่ วิธีการแรก 1. การให้แสงสว่างท่วั พื้นที่ ( ) ข้อเสยี การย้ายตาํ แหนง่ พืน้ ท่ีทาํ งานไม่อสิ ระ ข้อดี ออกแบบได้งา่ ย ยา้ ยตําแหนง่ ท่ที ํางานไดอ้ ย่างอสิ ระ 3. การใหแ้ สงสว่างเฉพาะตาํ แหนง่ () ขอ้ เสยี สิ้นเปลอื งพลงั งานสงู ข้อดี เป็นวธิ ที ปี่ ระหยดั พลังงานท่สี ดุ ขอ้ เสยี ตอ้ งควบคุมทศิ ทางและความสวา่ ง มกี ารทาความสะอาดโคมไฟ สวติ ชไ์ ฟ ( ) แยกสวิตช์โคมไฟ สวติ ชเ์ ชือกกระตุก 1 หลอด 2 หลอด 3 หลอด
75 เคร่ืองปรบั อากาศ ก่อนลา้ ง ตง้ั อณุ หภมู ิเครอื่ งปรบั อากาศท่ี องศาเซลเซยี ส เปดิ พดั ลมระบายอากาศเทา่ ท่ีจําเป็น ปิดเคร่อื งปรบั อากาศขนาด ตนั เรว็ ขึ้นวนั ละ ชวั่ โมง ล้านเครื่อง ประหยัดปีละ ล้านบาท การบาํ รุงรักษา ทาํ ความสะอาดแผน่ กรองอากาศและคอยล์ทําความเยน็ อยา่ งน้อย เดือนละ ครง้ั ทําความสะอาดแผงระบายความร้อนทุก เดอื น หลังล้าง ผลการตรวจวัดพลังไฟฟา้ กอ่ นและหลงั ล้างเครื่องปรับอากาศ พลงั ไฟฟา้ ก่อนล้าง พลงั ไฟฟา้ หลงั ล้าง พลงั ไฟฟา้ ลดลง / ลดลง (กิโลวัตต)์ (กโิ ลวัตต)์ () () หอ้ งทาํ งาน 1 2.53 2.44 3.56 23.63 กระทรวงพลังงาน (ขนาด 30 825 / ) 3.40 2.60 23.53 39.72 (เบอร์5) ( นา้ ยานอ้ ย ) กระจอกขา่ ว (25 000 / ) 2.77 2.45 11.55 32.87 (ไม่มีฉลากเบอร์5) ห้องแลกบตั ร ( 13 500 / ) 1.61 1.46 9.32 23.89 หอ้ งรับรองเลก็ ( 18 300 / ) 1.49 1.37 8.05 22.99 (เบอร์5) อยา่ คดิ มาก เขาใหล้ า้ ง พดั ลมระบายอากาศ ไม่เปดิ นานเกินไป เครอ่ื งปรับอากาศ ปละ 2 คร้งั ระบายอากาศเยน็ ออก รบั อากาศบรสิ ทุ ธท์ิ ี่ร้อน จากภายนอกเขา้ มา ต้องไม่มากเกนิ ไป อตั ราการระบายอากาศ ตามมาตรฐาน อตั ราการระบายอากาศ ตามกฎกระทรวง 33 39 ตาม พรบ. ควบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522 / 62-198 198 9
Search