ชื่อ-นามสกุล……………………………………………………… ชั้น………… เลขที่………… พระพุทธศาสนา ม.4 SOC KRU AM
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ประวัติ และความสำคัญของพระพุทธศาสนา ศาสนาทุกศาสนามีหลักคำสอนให้ศาสนิกชนพัฒนาตนให้ดีขึ้น และก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุด ตามแต่ละความเชื่อนั้น ๆ ลักษณะของสังคมชมพูทวีปและคติความเชื่อทาง แคว้นต่าง ๆ ที่ประกอบเป็นมัชฌิมชนบท ศาสนาในสมัยก่อนพระพุทธเจ้า ชวนอ่าน : ไม่มีอารยัน-ดราวิเดียนแท้ในอินเดีย ด้านการเมืองการปกครอง อินเดียสมัยพุทธกาลแบ่งเป็นแต่ละแว่นแคว้นที่เรียกว่า ชนบท ส่วนแว่นแคว้นที่อาณาเขตกว้างขวางจะเรียกว่า มหาชนบท โดยชนบท แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนกลาง เรียกว่า มัชฌิมชนบท หรือ มัธยมประเทศ หัวเมืองชั้นนอก เรียกว่า ปัจจันตชนบท เพราะเชื่อกันว่า พวกอริยกะ ที่อพยพเข้ามาในชมพูทวีป เรียกตัวเองว่า มัชฌิมชนบท (เป็นอยู่กลาง/ ศูนย์กลางการ ปกครอง) และเรียกพวกมิลักขะที่อยู่นอกเขตของตนว่า ปัจจันตชนบท
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM แผนที่แสดงการอพยพย้ายถิ่นฐานและแพร่กระจายภาษา วัฒนธรรมของประชากรในลุ่มแม่น้ำสินธุ ระบบการปกครองของแคว้นต่าง ๆ จากแผนที่จะเห็นว่า ไม่มีกลุ่มประชากรไหนที่เป็นชาติพันธุ์นั้น อย่างแท้จริง เพราะเราทุกคนคือผลผลิตของการผสมปนเปจากการ ราชาธิปไตย (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) : กษัตริย์เป็น อพยพของมนุษย์ ซึ่งในอินเดียเองก็เช่นกัน ประมุข มีอำนาจทั้งหมดในการปกครอง โดยมีปุโรหิต เป็นที่ปรึกษาด้านราชการ แคว้นใหญ่ส่วนมากใช้ ระบบนี้ เช่น แคว้นมคธ แคว้นโกศล โดยพระมหา กษัตริย์จะยึดอุดมการณ์ ปกครองโดยธรรม (ยึดหลัก ธรรมพุทธศาสนาเป็นแกนในการปกครอง เช่น หลักทศ พิธราชธรรม 10 หลักจักรวรรดิวัตร 12 เป็นต้น) สามัคคีธรรม (ประชาธิปไตยระดับหนึ่ง) : การบริหาร ประเทศกระทำโดยรัฐสภาที่สมัยนั้นเรียกว่า สัณฐา คาร มีประมุขรัฐสภาดำรงตำแหน่งตามระยะเวลาที่ กำหนด หรือมีคณะกรรมการบริหารในชนบท (เมือง) นิคม (อำเภอ) และคาม (ตำบล) เช่น กรณีรัฐสภา ศากยะ เจ้าศากยะซึ่งอายุ 20 ปีขึ้นไป ทุกคนมีสิทธิ์ได้ เป็นสมาชิกของสภานี้และก่อนเข้าเป็นสมาชิดจะมีการ กล่าวคำปฏิญาณ แคว้นเล็ก ๆ แยกปกครองตัวเองก็จริง แต่ยังขึ้นอยู่ กับแคว้นที่ใหญ่กว่าอยู่ดี
การปกครองยึดถือหลัก 7 ประการ เรียกว่า อปริหาริยธรรม ด้านสังคม ชนชั้นต่าง ๆ ในระบบวรรณะ มีการจัดระเบียบทางสังคมด้วยระบบ วรรณะ ตามความเชื่อของศาสนา พราหมณ์ โดยใช้เชื้อชาติเป็นเกณฑ์ใน การแบ่ง คนเกิดวรรณะใดจะมีสิทธิและ แนวทางการดำเนินชีวิตตามหลักคำสอน ที่ได้วางไว้โดยจะขัดขืนไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ ถูกกำหนดมาแล้วโดยพระเจ้า ที่แม้คน วรรณะต่ำจะพยายามยกตัวเองให้สูงขึ้น ด้วยการศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือ ความสำเร็จในชีวิตอื่น ๆ ก็ไม่มีทางทำได้ มูลเหตุที่ทำให้เกิดระบบวรรณะ 1.ทางตำนาน : ได้แก่ ทฤษฎีต่อไปนี้ 2. สันนิษฐานตามหลักวิชา : เพราะวรรณะ แปลว่า สีผิว อาจแปลได้ — ทฤษฎีเกี่ยวกับยุค 4 ยุค แต่ละยุคได้ ว่า สีผิวคือตัวแปรในการแบ่งชนชั้น พราหมณ์ที่ผิวกายขาวซึ่งต่อมาเกิดผสม เกิดคนในวรรณะต่าง ๆ ตามลำดับ ปะปนกับรูปแบบความเป็นอยู่และการผสมผสานของเชื้อชาติกับอิทธิพล ของสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ เมื่อเวลาผ่านไป สีผิวจึงเป็นเครื่องแบ่งที่ 1.1 กฤตยุค : วรรณะพราหมณ์ ไม่แน่นอน 1.2 ไตรดายุค : วรรณะกษัตริย์ 1.3 ทวาปรยุค : วรรณะแพศย์ อย่างไรก็ตาม การถือวรรณะในระยะแรกไม่ได้เคร่งครัดมากนัก แต่มามี 1.4 กลียุค : วรรณะศูทรและจัณฑาล ในระยะหลัง ก่อให้เกิดการเหยียดชนชั้น การเอาเปรียบด้านการเข้าถึง — ทฤษฎีเกี่ยวกับองคาพยพของพระผู้ ทรัพยากร การเบียดขับคนต่างวรรณะให้ตกอยู่ชายขอบของสังคมโดยใช้ สร้างที่ถือว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์ ความเชื่อเป็นเครื่องมือสำคัญ จากอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของพระองค์เอง และ จัดวรรณะ สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM
และเพื่อชี้ให้เห็นความบกพร่องในด้านนี้พระพุทธเจ้า สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM จึงได้ตรัสเตือนพวกพราหมณ์ว่า “คนเราจะดีหรือชั่ว มิใช่เพราะเชื้อชาติวรรณะเป็น กำหนด การกระทำของเขาต่างหากที่เป็นตัวกำหนด” ด้านศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ คนอินเดียสมัยพุทธกาลนิยมนับถือศาสนาพราหมณ์ดัง นั้น ความเชื่อและแนวทางการปฏิบัติ จึงขึ้นอยู่บนพื้นฐาน ของคำสอนทางศาสนาพราหมณ์เป็นใหญ่ ดังนี้ ความเชื่อเรื่องการล้างบาป เชื่อว่าการอาบหรือดื่ม น้ำในแม่น้ำคงคา โดยเฉพาะที่เมืองพาราณสี (ถือ เป็นเมืองของพระศิวะ) และเมืองคยา (เมืองของ พระวิษณุ) จะได้บุญมาก กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งกาย และใจ นอกจากนี้ยังนิยมเผาศพที่ริมน้ำคงคาและ ลอยกระดูกและเถ้าถ่านลงไปในแม่น้ำ ส่วนคนฐานะ ยากจนไม่สามารถหาฟืนมาเผาได้ จึงทิ้งศพลงใน แม่น้ำ เพราะเชื่อว่าผู้ตายจะได้ขึ้นสวรรค์ ความนิยมล้างบาปในแม่น้ำคงคาแพร่หลายมาก แต่ในสภาวการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป การทิ้งขยะลงในแม่น้ำเป็นการก่อมลพิษและ มีส่วนสำคัญที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลง นักเรียนคิดเห็นอย่างไรต่อแนวทางในการการปฏิบัติตนตามความเชื่อดังกล่าว?
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM ทรรศนะเกี่ยวกับโลกและชีวิต คนอินเดียในสมัยพุทธกาลมี ทรรศนะต่างกันเกี่ยวกับสถานภาพของ โลก เช่น บางพวกเห็นว่าโลกนี้นิรันดร บางพวกเห็นว่าโลกมีที่สิ้นสุด เกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตายก็เช่นกัน มีทั้งคนที่ เชื่อว่าคนเราตายแล้วต้องเกิดอีก คนที่ เชื่อว่าตายแล้วไม่เกิดแล้ว ฯลฯ การแสวงหาสัจธรรม สถานภาพเศรษฐกิจที่มีความ ยากจนบีบคั้นและสภาพสังคมที่มีการ แบ่งชนชั้นวรรณะ ทำให้ผู้คนบางกลุ่ม เลือกจะปลีกตนออกจากบ้านเรือนเข้า สู่ป่าเพื่อแสวงหาคำนอบแก่ชีวิตในรูป แบบต่าง ๆ โดยถือเพศผู้แสวงหาโมก ษะ (ทางหลุดพ้น) มีชื่อเรียกว่า อาชีวก ปริพาชก ชฎิล หรือสมณะ โดยตั้งตน เป็นเจ้าสำนักสอนลัทธิของตนแก่ มหาชน โดยเจ้าลัทธิที่มีชื่อเสียงมากใน ยุคนั้น 6 ท่าน ดังนี้
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM แนวทางปฏิบัติ การหมกมุ่นเสพสุขทางกามารมณ์ : แสวงหา ความสุขทางเนื้อหนังอย่างเต็มที่ เพราะถือว่ามี ชีวิตเดียว ความสุขทางเนื้อหนังจึงเป็นจุดหมาย สูงสุดของชีวิต เมื่อตายทุกอย่างก็สิ้นสุด โดยคน พวกนี้ได้ประกาศทรรศนะของตนว่า คนเรา ประกอบด้วยธาตุ 4 เมื่อตายลง ธาตุดินก็กลับสู่ ดิน ธาตุน้ำก็กลับคืนสู่น้ำ ธาตุไฟกลับคืนสู่ลม และธาตุลมก็กลับคืนสู่ลม ความรู้สึกทั้งหลายหาย ไปในอวกาศ คนเราไม่ว่าโง่หรือฉลาดเมื่อกายแตก สลายก็แตกดับหายสูญ ไม่คงอยู่อีกต่อไป ไม่มีโลก หน้า ความตายคือที่สุดของสรรพสิ่ง โลกปัจจุบัน นี้เท่านั้นคือความจริง สิ่งที่เรียกว่านรกหรือ สวรรค์ เป็นเพียงจินตนาการของคนโกง คนที่เห็นเช่นนี้เรียกว่า โลกายตะ เป็นลัทธิ วัตถุนิยมของอินเดียโบราณ ส่วนพุทธศาสนาเรียกลัทธินี้ ว่า กามสุขัลลิกานุโยค (ลัทธิหมกมุ่นอยู่ในสุขทางกาม) การบำเพ็ญตบะ : คือ ทำตนให้ลำบากด้วยการบำเพ็ญตบะต่าง ๆ เช่น ย่างตนให้ร้อนไฟ ขุดหลุมฝังตนเอง เอาขี้เถ้า หรือโคลนทาตัวให้สกปรกจนเป็นสะเก็ดดำ แช่กายในน้ำที่เย็นจัด ทำให้อวัยวะพิการด้วยวิธีต่าง ๆ ตลอดจนการอด อาหาร เพราะเชื่อว่า การทรมานให้ลำบากแล้วกิเลสภายในจิตใจจะเหือดแห้งไป หรือพระผู้เป็นเจ้าจะกรุณาประทาน ความหลุดพ้นให้ วิธีนี้เรียกว่า ตบวิธี (ตะ-บะ-วิธี) พระพุทธศาสนา เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค การฝึกโยคะ : คือ การฝึกจิตให้สงบ เพื่อให้พลังจิตควบคุมหรือบังคับกาย ผลของการฝึกจิตคือทำให้ได้ฌานสมาบัติขั้น ต่าง ๆ วิธีนี้เรียกว่า โยควิธี ผู้ที่ฝึกปฏิบัติวิธีนี้เรียกว่า โยคี มีแพร่หลายมากในประเทศอินเดีย โดนผู้ที่เป็นเจ้าสำนักที่ มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น คือ อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุททกดาบส รามบุตร
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM พวกพราหมณ์มักจะผูกขาดและสืบทอดพระเวทโดยพัฒนาให้มีความ ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อมุ่งสนองความต้องการและประโยชน์ส่วนตน เช่น พิธี บูชายัญที่ต้องเซ่นสรวงสังเวยด้วยชีวิตของสัตว์ การทรมานตนเอง จะเห็นได้ว่าในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังรุ่งเรืองในทางการเมืองการ ปกครองโดยใช้ประโยชน์จากความเชื่อเพื่อสร้างอำนาจและความชอบ ธรรม แต่คนอีกกลุ่มกลับมีคุณภาพชีวิตที่ด้อยลง และคนกลุ่มที่ปลีกตัว ออกจากสังคมเพื่อมุ่งแสวงหาความจริงของชีวิตโดยมิได้สนใจสภาพของ สังคม เทศกาลกุมภเมลา หนึ่งในเทศกาลสำคัญที่สุดของศาสนาฮินดู ความสำคัญของพุทธศาสนา พุทธศาสนามีทฤษฎีที่เป็นสากล พุทธศาสนาสอนความเป็นจริงที่ไม่ขึ้นต่อบุคคลใด เมื่อพูดว่าสิ่งนี้ดี ใน อีกแง่หนึ่ง สิ่งนี้อาจจะไม่ดีสำหรับคนอื่นก็ได้ พระพุทธศาสนาสอนว่า ปาณาติบาต คือ การทำลายชีวิตเป็นสิ่งไม่ดี ก็สอนเป็นกลาง ๆ ว่า ไม่ควรฆ่า คน ไม่ว่าใครก็ตาม หรือสัตว์แม้เป็นสัตว์เล็ก เพราะถือเป็นบาปทั้งนั้น เพราะพุทธศาสนาถือหลักการสากลว่า คนและสัตว์ต่างรักตัวกลัวตาย การ ทำลายชีวิตให้ตกล่วงไปถือว่าเป็นบาปเช่นเดียวกัน ข้อทฤษฎีที่เป็นสากลที่พุทธศาสนาสอนอยู่เสมอคือ หลักความจริงอัน ประเสริฐแห่งชีวิต 4 ประการ (อริยสัจ 4) ดังนี้ 1.สอนว่าชีวิตและโลกนี้มีปัญหา และภาพรวมของปัญหาที่เป็นสากลมัก เกี่ยวข้องกับการเกิด แก่ เจ็บ และตาย 2.สอนว่าปัญหามีสาเหตุ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ 3.สอนว่ามนุษย์สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง มนุษย์มีศักยภาพที่จะ พัฒนาตนเอง 4. สอนว่าการแก้ปัญหานั้นต้องใช้ปัญญาและความพากเพียร
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM พระพุทธศาสนามีข้อปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง ข้อปฏิบัติที่ยึดทางสายกลางของพระพุทธศาสนา เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา อันได้แก่ อริยมรรคมีองค์แปด ได้แก่ คำว่า ชอบ ในที่นี้ หมายถึงความถูกต้อง ไม่ผิด พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนาศรัทธาและเป้าหมาย พลาด การแก้ไขปัญหาในชีวิตตามทางสายกลาง ได้แก่ ที่ถูกต้อง ทางที่มีองค์ประกอบ 8 ประการข้างต้น โดยทางสาย กลางเป็นทางที่ไม่สัมพันธ์และไม่เข้าใกล้ทางที่สุดโต่งทั้ง 1.การพัฒนาศรัทธา : ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่นในคุณงามความ สองทาง คือ ทางที่บำรุงบำเรอความสุขทางกาย กับ ดีที่ประกอบด้วยเหตุผล (เชื่อในความดีงาม บนพื้นฐานของ ทางที่ทรมานตนให้ลำบากด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยทาง เหตุผล) โดยศรัทธาที่ควรพัฒนามีลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ สายกลางนี้จะเป็นทางที่นำไปสู่การตรัสรู้และถึง - เชื่อมั่นในความดีงามของมนุษย์ นิพพานในที่สุด - เชื่อมั่นในกฎแห่งการกระทำและผลของการกระทำ - เชื่อมั่นว่ามนุษย์ต้องรับทั้งผิดและชอบต่อการกระทำและผล ของการกระทำนั้น 2. การพัฒนาปัญญา : ปัญญา คือ การรู้ทั่วถึง ทะลุปรุโปร่ง รอบด้าน ส่วนความรู้มี 2 ประเภท คือ ความรู้ที่มีมาตั้งแต่เกิด (สหชาติปัญญา) และความรู้ที่ได้จากการเล่าเรียนและฝึกฝน (โยค ปัญญา) สัมมาอาชีวะ การหาเลี้ยงชีพอย่างสุจริต โดยปัญญาหรือความรู้ที่ควรพัฒนามี 3 ลักษณะ ได้แก่ 1.ปัญญารู้จักความเสื่อม (อปายโกศล) คือ รู้ว่าอะไรคือความเสื่อม เหตุของความเสื่อมคืออะไร 2.ปัญญารู้ความเจริญ (อายโกศล) คือ รู้ว่าอะไรคือความดี ความเจริญที่แท้ และรู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ก่อให้เกิดความดีนั้น 3.ปัญญารู้จักวิธีการและเหตุแห่งความเสื่อมและสร้างเหตุแห่งความเจริญ (อุปายโกศล) คือ รู้ทั้งสองด้าน คือรู้ทั้งข้อ 1 และ ข้อ 2. โดยผู้ที่ฉลาดอย่างแท้จริง จะต้องมีปัญญาทั้ง 3 ประการ คือ
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM พระพุทธศาสนาเน้นว่าศรัทธาที่ถูกต้องจะต้องเป็นความเชื่อมั่นใน สิ่งดีงามของมนุษย์ เชื่อมั่นในการกระทำและผลของการกระทำ เชื่อ มั่นว่าเราต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ศรัทธาที่ถูกต้องจะ ต้องไม่ใช่ความเขื่อฝังหัวอย่างมืดบอด แต่ต้องเป็นไปเพื่อให้เกิด ปัญญา รู้ผิดชอบชั่วดี รู้ทางเสื่อมทางเจริญ และรู้วิธีทางเสื่อม ตลอด จนสร้างสรรค์ความเจริญ
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM ธรรมะ คือหลักความเป็นจริงที่ปรากฎอยู่ตามธรรมชาติ ทั้งที่เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้และนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ ในทางพระพุทธศาสนาแบ่งธรรมะเป็น 2 ระดับ คือ ระดับโลกิยธรรม คือ ธรรมของผู้ยังไม่หมดกิเลส ระดับโลกุตตรธรรม ธรรมชั้นสูง ได้แก่ บุคคลผู้บรรลุ ธรรมและเข้าใจสภาพของรูปธรรมและนามธรรม อย่างแจ่มแจ้งจนหมดอาสวะกิเลสโดยสิ้นเชิง พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ศิลปะศรีวิชัย พุทธศตวรรษที่ 14 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หลักการของพระพุทธศาสนา ลักษณะประชาธิปไตยในพระพทุธศาสนา หลักประชาธิปไตยในพระพุทธ ประชาธิปไตยในพระพทุธศาสนา พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร สมัยแรกที่พบใน ศาสนา พระธรรมวินัยเป็นธรรมนูญ เน้นความเสมอภาคของกลุ่มคนใน ภาคใต้ของประเทศไทย อายุราวพุทธ สูงสุดในการปกครอง ดูแลพุทธบริษัท สังคม โดยทุกคนมีเสรีภาพในการ ศตวรรษที่ 12-13 4และรักษาพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ ปกครองอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ต้องตั้ง ทุกรูปที่อุปสมบทเข้ามาในพระพุทธ อยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมหรือ ศาสนา มีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน หลักคุณธรรมที่ดีงามถือความถูก ตามพระธรรมวินัยเคารพกัน ตาม ต้องเป็นใหญ่ (ธรรมาธิปไตย) ลำดับอาวุโสไม่มีการแบ่งชนช้ันทาง ปฏิบัติตามหลักธรรมที่ดีงาม มติที่ สังคม และกิจการด้านศาสนาต้องผ่าน ประชุม มติที่ประชุมสงฆ์ เรียกว่า สังฆกรรม และยึดถือความเสมอภาคของคนใน โดยมีมติที่ประชุมสงฆ์เป็นเอกฉันท์ สังคมเป็นหลัก ไม่ละเมิดสิทธิและ เช่น การทำพิธีอุปสมบท การตัดสิน เสรีภาพของคนอื่น และบำเพ็ญตน อธิกรณ์ (การกระทำผิดวินัย) เป็นต้น เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม ส่วนรวม
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM หลักการของวิทยาศาสตร์กับพระพทุธศาสนา หลักของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คือ วิชาที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานและเหตุผล แล้วจึงนำมาจัดเข้าเป็นระเบียบหรือวิชาที่มนุษย์พยายามศึกษาเรื่องราวของ ตนเองและจักรวาลจนเกิดความรู้ ซึ่งได้มาโดยการสังเกตและค้นคว้าจาก ธรรมชาติแล้วนำมาจัดระเบียบ หลักการของวิทยาศาสตร์ มีดังนี้ 1. วิทยาศาสตร์เน้นด้านวัตถุนิยม คือสสารและพลังงาน และความสุขทาง วัตถุ 2. วิทยาศาสตร์เชื่อว่าความจริงรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย 3. วิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับความจริงที่เป็นนามธรรม (หรือจิตใจ) ซึ่งสัมผัสจับ ต้องไม่ได้ 4. วิทยาศาสตร์เน้นให้คนแสวงหาความสุขทางกาย 5. วิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับมูลค่า หรือผลสำเร็จคิดเป็นราคา ต้นทุน และกำไร หลักการของพระพุทธศาสนา หลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา คือ การเข้าถึงความหลุดพ้นจาก ความทุกข์ โดยจำแนกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้ 1. พระพุทธศาสนายอมรับความจริงอื่นนอกจากวัตถุ 2. พระพุทธศาสนายอมรับความจริงที่เป็นนามธรรม (จิตใจ) เช่น กรรมดี กรรมชั่ว 3. พระพุทธศาสนายอมรับในประสาทสัมผัสทั้งห้า และประสาทสัมผัสทาง จิต 4. พระพุทธศาสนาเน้นให้คนเป็นคนดี โดยมุ่งฝึกฝนอบรมทางจิต 5. พระพุทธศาสนามุ่งเน้นความสงบสุขทางใจ หรือความสุขจากการสละ กิเลสตัณหา 6. พระพุทธศาสนามีเป้าหมายให้ชาวพุทธหลุดพ้นจากความทุกข์ ทั้งในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน (การดำรงชีวิตในสังคม) และดับทุกข์โดยสิ้นเชิง (นิพพาน)
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ความสำคัญของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย พระพุทธศาสนาถือวา เปนศาสนาที่มีอิทธิพลตอ การสรรคสรางสังคมและวัฒนธรรมไทย ขึ้นมาเพื่อ ใหมีเอกลักษณ (Identity) เปนของเฉพาะตนที่พระพุทธศาสนาไดเ ขา มาตั้งมั่นในดินแดนสุวรรณภูมิ เป็น ระยะเวลาอันยาวนานนับตั้งแตสมัยของพระโสณะและพระอุตตระ พระธรรมฑูตสายแรกที่ไดเดิน ทางมาเผยแผห ลักคําสอนของพระพุทธศาสนาใหแกช าวไทยในสมัยนั้นไดร ับเอากรอบแนวคิดและ หลักธรรมคําสอนของพระพุทธศาสนาไประยุกตใ ชในชีวิตประจําวันและไดป ลูกฝงแนวคิดดัง กลา วใหอนุชนรุน หลังมาเปนลําดับ เราจะพบวาดินแดนใดที่พระพุทธศาสนาแผเ ขา ไปถึงดินแดนนั้นก็ จะมีประเพณีวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมา และผูค นที่นับถือพระพุทธศาสนา ในดินแดนนั้น ๆ ก็จะยึดมั่นในคําสอนของพระพุทธศาสนาสืบตอ กันเรื่อยมา แต่ทว่า พระพุทธศาสนากับสังคมไทยในรอบ จิตรกรรมพุทธศาสนามักปรากฎการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ทางสังคม 10 ปที่ผา นมาเกิดปญหามากมาย โดยเฉ พาะปญ หาเกี่ยวกับการบิดเบือนคําสอน ซึ่งเปน สิ่งที่ทา ทายความสามารถของคณะสงฆใ นการ เขา ไปแกไ ขปญ หาดังกลา ว นอกจากนั้นยังมีปญ หาที่กอ ใหเกิดภาวะเสื่อมถอยศรัทธา เช่น การ ปลอมบวช ทั้งนี้ เพราะถือเปนภาวการณแ ทรก ซึมที่กอใหเกิดผลรายกับพระพุทธศาสนา ขณะ เดียวกันยังมีปญ หาเรื่องสิทธิสตรีกับการบ วชเปนภิกษุณี ซึ่งเปน ปญหาเกา ที่ถูกนํามาฟน เพื่อสรา งความชอบธรรมใหม ซึ่งถือเปน ประเด็น ที่ทาทายความรูสึกของชาวพุทธอยูไ มน อย
ตามคำสอนพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับสัปปุริสธรรม 7 1.คำนิยาม: ความพอเพียง ประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ ได้แก่ ประการ คือ ความรู้จักเหตุ เป็นผู้รู้จักผล ผู้รู้จักตน ผู้ 1) ความพอประมาณ: พอดี ไม่น้อย ไม่มากเกิน ไม่เบียดเบียนตัว รู้จักประมาณ ผู้รู้จักกาลเวลา ผู้รู้จักองค์กรและรู้จัก เลือกบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียง 3 ด้าน เองและผู้อื่น คือ ความพอประมาณ เป็นผู้รู้จักประมาณและรู้จักตน 2) ความมีเหตุผล: ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล พิจารณาปัจจัยที่ ความมีเหตุผล เป็นผู้จักเหตุและเป็นผู้รู้จักผล และการมี ภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว เป็นผู้รู้จักกาล รู้จักชุมชนและรู้จัก เกี่ยวข้อง คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้น บุคคล โดยเป็นหลักธรรมและปรัชญาที่ชี้แนะแนวทาง 3) การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี: เตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและ การดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ดีมีพื้นฐานมาจากวิถี ชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น คำนึงความเป็นไปได้ของ ตลอดเวลาและเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการ สถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤตเพื่อความมั่นคง มีความตระหนักในซื่อสัตย์ 2. เงื่อนไข: การตัดสินและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ต้องมีพื้นฐานของ สุจริต และมีความอดทน พากเพียร ตลอดจนใช้สติ ความรู้และคุณธรรม ปัญญาเพื่อดำเนินชีวิตที่ดี 1) ความรู้: รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 2) คุณธรรม: ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน สติปัญญา แบ่งปัน พระพุทธศาสนากับปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงและ การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM
นอกจากนี้ ยังมีหลักธรรมอื่น ๆ หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอ พระพุทธศาสนาและแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เน้นการเดินตามทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) เพียงด้วยนะ ! การเดินทางสายกลาง สอดคล้องกับการใช้ชีวิตไม่ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ต้องลด ละ และเลิกอ บายมุข ด้วยการประพฤติตามหลักเบญจศีลและเบญจธรรม ถือเป็นหัวใจหลักของการดำเนิน ตามวิถีพุทธ หลักมัชฌิมาปฏิปทา (การปฏิบัติตนในทางสายกลาง) เป็นการปฏิบัติทางสายกลางประกอบด้วยมรรคมีองค์ 8 ประการ เป็นหนทางสายเดียวที่สามารถชำระจิตให้บริสุทธิ์ เป็นอิสระจาก ทุกข์ทั้งปวง โดยองค์ธรรม คือ ปัญญา มีสัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ แล้วแสดงออกเป็นพฤติกรรม ได้แก่ สัมมากัมมันตะ สัมมา อาชีวะ และสัมมาวาจา มีสัมมาวายามะเป็นแรงเคลื่อนผลักดันให้มีสัมมาสติ และสัมมาสมาธิ อัตตถิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค เป็นการประพฤติตนให้พัวพันหมกมุ่นอยู่ใน เป็นการประพฤติตนให้พัวพันคลุกคลีอยู่ใน การทรมานตนให้ลำบากเดือดร้อน ทุกข์ทรมาน กามสุข หรือความสุขทางกายเป็นสิ่งที่มีค่า เป็นความพยายามเพื่อบรรลุที่หมายด้วยการ สูงสุดของชีวิต และการปฏิบัติที่ตามใจตนเอง ทรมานร่างกายและบังคับจิตใจของตน ทำ ในความสุขทางเนื้อหนัง นั่นคือ รูป รส กลิ่น ตนเองให้อยู่ในบ่อแห่งความทุกข์ เป็นทางสุด เสียง หรือกามคุณ เป็นทางสุดโต่งฝ่ายวัตถุ โต่งฝ่ายกิเลสกาม ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง กาม ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ให้เดินทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือไม่เข้า ใกล้ที่สุด 2 อย่างข้างต้น เป็นทางเลือกใหม่ที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบอันเป็นแนวทางเพื่อการตรัสรู้ และแสดงแก่ ปัญจวัคคีย์ (ธัมมจักกัปปวัตนสูตร)
มัชฌิมาปฏิปทา เป็นต้นแบบของความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทำให้เกิดปัญญา เห็นอริยสัจ 4 ปัญญา เห็นชอบ เห็นทุกข์ เพราะมีสัมมาสติเป็นตัวควบคุมอยู่ ทำงานไปโดยอาศัยความกลม อริยมรรคมีองค์ ๘ เกลียวกัน เกิดสัดส่วนพอดีกับมรรคอื่น ๆ สัมมาสติที่ควบคุมนี้ทำให้ควบคุมไม่ให้ติด กามสุขจนเกินไป สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM
รู้หมือไร่? พระพุทธเจ้าก็สอนให้เราวางแผนการเงิน ! โภควิภาค 4 การใช้ชีวิตด้วยหลักธรรมโภควิภาคของแต่ละคนในชีวิตประจำวันการแบ่งโภคะ หรือทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น สังหาริมทรัพย์ (เงินทอง) หรืออสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน/อาคาร ฯลฯ) ที่เป็น ส่วนที่ 1 เป็นค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปแล้วเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับดูแลสมาชิกในครอบครัว การบริจาคเพื่อการกุศล เงินให้เปล่าที่เป็นภาษีสังคม ส่วนที่ 2 และ 3 เป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพการงาน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การปฏิบัติภารกิจหน้าที่ ที่มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ส่วนที่ 4 จะเป็นส่วนที่จะต้องแบ่งปันออกมาเพื่อเก็บไว้ส่วนออม สำหรับใช้จ่ายในคราวจำเป็น สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM พระพุทธศาสนา กับการพัฒนาที่ยั่งยืน หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ เน้นเรื่องความถึงพร้อมในปัจจัย 4 เพราะพระพุทธเจ้าเล็งเห็นความสำคัญของ ปัจจัย 4 ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์ การพัฒนาที่ยั่งยืน มุ่งเน้นการทำลาย หลักการ ใช้ทรัพยากรอย่างประหหยัด ใช้เท่าที่จำเป็น ทรัพยากรที่น้อย แต่เพิ่มพูนทรัพยากร ใช้เทคโนโลยีเพื่อประหยัดทรัพยากร และใช้ทรัพยากรอย่างมี และความสมบูรณ์ เกิดก่อให้เกิดความ ประสิทธิภาพโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ขาดแคลน มีกินมีใช้ตลอดไป บริโภคตามความจำเป็น นำสิ่งที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่จนถึงที่สุด SDGs เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) มีทั้งหมด 17 เป้า หมาย (Goals) ภายใต้หนึ่งเป้าหมายจะประกอบไปด้วยเป้าหมายย่อย ๆ ที่เรียกว่า เป้าประสงค์ (Targets) ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 169 เป้าประสงค์ และพัฒนา ตัวชี้วัด (Indicators) จำนวน 232 ตัวชี้วัด
ขอบคุณรูปภาพจาก scontent.fbkk22-2.fna.fbcdn.net SOCIAL STUDIES, SANSAI WITTAYAKOM ความสำคัญของพระพุทธศาสนา กับการศึกษา การเมือง และสันติภาพ มนุษย์ไม่อาจอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง จำเป็นต้องรวมกันอยู่เป็นสังคม เป็นกลุ่มก้อน ดังนั้นจำเป็นต้องจัดระบบในการอยู่ ร่วมกัน โดยจะต้องมีฝ่ายปกครอง และอยู่ภายใต้การปกครอง ซึ่งไม่ว่าการปกครองจะเป็นลักษณะใดก็ตามถือว่าเป็น “การเมือง” การเมืองจึงเป็นเรื่องของการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองจะผูกมัด สมาชิกทั้งหมดในสังคม หลักการปกครองของพระพุทธศาสนา มีประเด็น ประเด็นที่ยกมาจะเห็นได้ว่า การเมืองและสันติภาพเป็นสิ่งที่ สำคัญที่น่าศึกษาและควรนำมาประพฤติปฏิบัติเป็น พระพุทธองค์ให้ความสำคัญที่จะปลดปล่อยมนุษย์ให้อยู่ร่วมกัน อย่างยิ่ง กล่าวคือ พระพุทธศาสนาได้อุบัติขึ้นมาใน อย่างสันติสุข ทรงต่อสู้กับแนวทางการปกครองที่ถือชั้นวรรณะ ช่วงที่มนุษย์ถูกกดขี่อิสรภาพ มีการถือชั้นวรรณะ การเอาเปรียบซึ่งกันและกัน มาสู่ความเสมอภาคกันและมีเสรีภาพ เป็นการจำกัดสิทธิ และหน้าที่ของมนุษย์ ยังผลให้ ในการดำรงชีวิตพระพุทธศาสนาจึงมีแนวทางและหลักการที่จะ เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ไม่เท่าเทียมกันในสังคม นำพาชาติบ้านเมืองให้บรรลุเป้าหมายที่สงบสุขมีสันติอย่าง โดยเฉพาะสังคมชนชั้นของอินเดียในสมัยนั้น ได้ตก แท้จริง โดยให้ฝ่ายปกครองและสมาชิกของสังคมนั้น ๆ หรือ อยู่ภายใต้การปกครองของชนชาติอริยกะ ซึ่งเป็นผู้ ประเทศชาตินั้น ๆ ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่จะช่วย ผูกขาดอำนาจแต่เพียงเผ่าเดียว จนกระทั่งพระพุทธ พยุงความอยู่รอดปลอดภัยให้เกิดแก่ชาติบ้านเมืองเป็นอันดับแรก องค์ได้อุบัติขึ้นในโลก ทรงปฏิเสธการถือชั้นวรรณะ จะเป็นสภาพเอื้อให้สมาชิกทุกคนในประเทศนั้นมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น ทั้ง 4 คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร และมีจิตใจมุ่งไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วย หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM การเมืองในโลกเป็นเรื่องของการแบ่งสรรผล Photo: Pssyppl / Instagram ประโยชน์และอำนาจ จึงจำเป็นต้องสะสมผู้คน พวกพ้อง เงินทอง ข้าวของ แม้กระทั่งอาวุธ หัวใจของพระพุทธศาสนาคือ สันติภาพภายในตัวของ ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพราะหากตกลงกันด้วยดีไม่ได้ มนุษย์ ถ้าเรามีสันติหรือความสงบในหัวใจ เราก็สามารถ ก็ต้องข่มขู่ด้วยวิธีการที่รุนแรงไปตามลำดับจน ต่อสู้กับปัญหาภายนอกได้ด้วยความสุขุมรอบคอบและ กระทั่งการสู้รบขนาดเล็กไปจนถึงสงครามขนาด ด้วยปัญญา เราจะเป็นคนที่ยิ้มสู้ปัญหา พระพุทธศาสนา ใหญ่ลามไปทั่วโลก การเมืองทางโลกจึงเป็นการ สอนให้เรารักกัน มีความเมตตากรุณาต่อกัน มีความ แสดงพลังอำนาจทุกๆ วิถีทางเพื่อจะได้เหนือคู่ต่อสู้ อดทน ไม่เบียดเบียนกัน และคำสอนที่สำคัญที่ทำให้เรามี อันจะทำให้สามารถแย่งชิงผลประโยชน์ในสัดส่วน สันติภาพภายในหคือหลักของอิทัปปจยตาที่สอนว่า ที่มากกว่าคนอื่นเพราะเหตุแห่งการมีกำลังอำนาจ สรรพสิ่งอิงอาศัยกันและกันตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง จะ มากกว่าคนอื่น เห็นได้ว่าพระพุทธศาสนามุ่งเน้นสู่การอยู่ร่วมกันอย่าง สันติสุขแต่การจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขนั้นสมาชิกของ สังคมจะต้องร่วมกันให้เกิดการปกครองที่ดี ดังคำกล่าว ของพระธรรมปิฏกที่ว่า สมาชิกของรัฐผู้มีส่วนร่วมให้เกิด การปกครองที่ดี โดยเฉพาะคนในสังคมประชาธิปไตย พึง รู้หลักปฏิบัติดังนี้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
รู้หลักอธิปไตย สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM คือ รู้หลักความเป็นใหญ่ที่เรียกว่า อธิปไตย 3 ประการ ดังนี้ 1.อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ คือ ถือเอาตนเอง ฐานะ 1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ของตนเป็นใหญ่ ฝ่ายที่เป็นกุศลใน 2.พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม ด้านนี้คือ การเว้นจากการทำความชั่ว มุ่งทำความดีด้วย การเคารพตนเอง และทำกิจกรรมร่วมกัน 3.ไม่บัญญัติ หรือล้มเลิกข้อบัญญัติ 2.โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ คือ ถือความนิยมของชาว โลกเป็นใหญ่ หวั่นไหวไปตามเสียงนินทา สรรเสริญ ต่าง ๆ ที่ตกลงวางบัญญัติไว้แล้ว เป็นต้น ฝ่ายที่เป็นกุศลได้แก่ เว้นจากการทำชั่ว มุ่ง 4. ให้ความเคารพและรับฟังความคิด ทำความดีด้วยการเคารพเสียงของชนหมู่มาก เห็น 3. ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ ถือหลักการ ความ 5. ไม่ข่มเหงสตรี จริง ความถูกต้อง ความดีงาม เหตุผลเป็นใหญ่ กระทำ 6.เคารพบูชาสักการะเจดีย์ ให้ความ ด้วยการคำนึงถึงสิ่งที่ได้ศึกษา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การรู้จักพิจารณา เคารพศาสนสถาน ปูชนียสถาน อย่างถ่องแท้ ตามกำลังสติปัญญา และมุ่งคิดพิจารณา อนุสาวรีย์ประจำชาติ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อความ 7. ให้การอารักขาพระภิกษุสงฆ์หรือ ดีงาม ตามหลักโดยทั่วไปได้แก่ การรู้จักเคารพหลักการ ผู้ทรงศีล กฎ ระเบียบ กติกา และข้อบังคับทางสังคมหรือองค์กร นั้น ๆ ดังนั้นหากเราต้องการถือเอาความถูกต้องเป็นใหญ่ จะต้องยึดหลักของธรรมาธิปไตย โดยมิได้ถือตนหรือถือ โลกเป็นใหญ่ นอกจากนี้ มีส่วนในการปกครอง โดยปฏิบัติตามหลักการร่วมรับผิดชอบที่ จะช่วยป้องกันความเสื่อม นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองโดยส่วนเดียว ที่เรียกว่า อปริหานิยธรรม 7 เป็นหลักธรรมสำหรับใช้ในการปกครอง เพื่อป้องกันมิให้การบริหารหมู่ คณะเสื่อมถอย แต่กลับเสริมให้เจริญเพียงส่วนเดียว สามารถนำไปใช้ได้ทั้งหมู่ ชนและผู้บริหารบ้านเมือง ดังนี้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM หลักสาราณียธรรม หลักสังคหวัตถุ 4 สาราณียธรรม หมายถึง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง แปลว่า เครื่องยึดเหนี่ยว เป็นเครื่องก่อให้เกิดความ ความให้ระลึกถึง หมายถึง มีความปรารถนาดีต่อกัน สามัคคีกลมเกลียวสนิทสนมให้มั่นคงตลอดไป มีดังต่อไปนี้ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน 1.ทาน หมายถึง การแบ่งให้ เฉลี่ยให้ ปันให้ เพื่อแสดง อัธยาศัยไมตรี 1. เมตตากายกรรม 2.ปิยวาจา หมายถึง พูดคำที่สุภาพ อ่อนโยน 2. เมตตาวจีกรรม 3.อัตถจริยา เป็นการบำเพ็ญตนให้มีประโยชน์ต่อผู้อื่น 3. เมตตามโนธรรม 4.สมานัตตา คือการไม่ถือตัว ไม่หยิ่งจองหอง 4. แบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้มาด้วยความชอบ ธรรมแก่เพื่อนมนุษย์ 5.รักษาความประพฤติ (ศีล) 6.มีความเห็นร่วมกัน ไม่วิวาทเพราะมีความเห็น ผิดกัน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 พุทธประวัติ พุทธสาวก พุทธศาสนิกชนตัวอย่าง และ ชาดกในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระ เจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ พระองค์ทรงถือกำเนิดในศากยวงค์ สกุลโคตมะ พระองค์ประสูติ ในวัน ศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (เดือนวิสาขะ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะกับกรุงเทว ทหะ แคว้นโกลิยะ (ปัจจุบันคือตำบลรุมมินเด ประเทศเนปาล) เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นผู้มีพระบารมีอัน บริบูรณ์ ถึงแม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วย สุขสมบัติมหาศาลก็มิได้พอพระทัยในชีวิต คฤหัสถ์ พระองค์ยังทรงมีพระทัยฝักใฝ่ ใคร่ครวญถึงสัจธรรมที่จะเป็นเครื่องนำทางซึ่ง ความพ้นทุกข์อยู่เสมอ พระองค์ได้เคยสด็จ ประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต พระองค์จึงสังเวชพระทัยในชีวิต และพอ พระทัยในเพศบรรพิต มีพระทัยแน่วแน่ที่จทรง ออกผนวช เพื่อแสวงหาโมกขธรรมอันเป็นทาง ดับทุกข์ถาวรพ้นจากวัฏสงสารไม่กลับมาเวียน ว่ายตายเกิดอีก
พุทธประวัติ สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM การตรัสรู้ ขั้นตอนการค้นคว้าหาทางพ้นทุกข์ เมื่อทรงผนวชแล้ว ได้แสวงหา หนทางการดับทุกข์เป็นเวลา 6 ปี จึงได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ในวันเพ็ญ เดือน 6 สรุปเป็นขั้นตอน ดังนี้ เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดการสร้างพระพุทธรูปปางสมาธิ ขั้นที่ 1 ทรงฝึกปฏิบัติโยคะ เป็นการฝึกจิตใจให้สงบ เพื่อให้บรรลุทางพ้นทุกข์ ด้วยการปฏิบัติด้านร่างกายและจิตใจด้วยวิธีต่าง ๆ พระพุทธองค์ทรงศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติโยคะจาก อาจารย์ 2 ท่าน คือ อาฬารดาบส กาลามโคตร จน สำเร็จฌาณสมาบัติ 7 ชั้น และอุททกดาบส รามบุตร ได้สำเร็จฌาณสมาบัติขั้นที่ 8 แต่ไม่พบหนทางพ้นทุกข์ ขั้นที่ 2 หลังทรงเห็นว่าการปฏิบัติโยคะไม่ทำให้พบหนทางในการ ทรงบำเพ็ญตบะ ดับทุกข์จึงหันมาบำเพ็ญตบะ คือ การทำให้ตนเองลำบาก เช่น การย่างตนให้ร้อนด้วยไฟ เพราะเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า จะประทานความหลุดพ้นให้ นักบวชอินเดียนิยมทำเป็น จำนวนมาก ขั้นที่ 3 ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา หรือการกระทำกิจที่ทำได้โดยยาก เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เกิดการสร้าง พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน 1. กัดฟันและเอาลิ้นดุนเพดานปาก 2.กลั้นลมหายใจจนหูอื้อ ปวดศีรษะ และจุกเสียดท้อง 3.อดอาหาร โดยลดอาหารลงทีละ น้อยจนไม่เสวยอะไรเลย หลังผ่านไป 6 ปี ทรงพิจารณาไตร่ตรองแล้ว พบว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยานั้น ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ที่แท้จริง จึงกลับมาเสวยพระกระยาหารตามเดิม แล้วทรง ยึดทางสายกลาง ทำให้ปัญจวัคคีย์เสื่อมศรัทธาและปลีกตัวออกไป
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM ขั้นที่ 4 ทรงบำเพ็ญเพียรทางจิต พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เมื่อวันขึ้น หลังตรัสรู้ พระพุทธองค์ได้เสด็จไปตรัส พระพุทธองค์เสด็จตามลำพังไปยัง 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี สอน โดยบุคคลกลุ่มแรกที่เสด็จไปโปรด อุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ารับ \"ข้าว โดยสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ คือ คือ ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน มธุปายาส\" จากนางสุชาดา และนำถาด กระบวนการเกิดของทุกข์และการดับ โดยแสดงปฐมเทศนาที่เรียกว่า ธัมมจักกัป- ไปลอยในแม่น้ำเนรัญชรา พราหมณ์โสถิ ทุกข์ เรียกว่า อริยสัจ 4 ประกอบด้วย ปวัตนสูตร ในวันเพ็ญเดือน 8 มีใจความย่อ ยะถวายหญ้ากุสะ 8 กำ เพื่อเป็นที่ 4 ตอน ดังนี้ ประทับใต้ต้นศรีมหาโพธฺ์ พระองค์ทรง 1.ทุกข์ : ความไม่สบายกายและใจ ประทับนั่งทำสมาธิ เป็นสภาวะที่ทนได้ยาก ขั้นตอนการรู้แจ้งของพระสิทธัตถะ 2.สมุทัย : สาเหตุทืี่ทำให้เกิดทุกข์ สามารถสรุปได้ ดังนี้ 3.นิโรธ : ความดับทุกข์/หมดทุกข์ 4.มรรค : หนทางดับทุกข์ 1.ปฐมยาม (18.00-22.00 น.) : ทรงระลึกชาติหนหลังของ โพธคยา พระองค์ได้ หรือชาวไทยนิยมเรียกว่า พุทธคยา 2.ทุติยยาม (22.00-02.00 น.) : ตั้งอยู่ในอำเภอคยา รัฐพิหาร ประเทศ ทรงได้ตาทิพย์ มองเห็นการเกิด อินเดีย เป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นสถานที่ การตายของสัตว์ทั้งหลายตามผล ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ภายใต้ต้นมหา กรรมที่ได้กระทำไว้ โพธิ์ 3.ปัจฉิมยาม (02.00-06.00 น.) : ทรงเกิดการรู้แจ้งที่สามารถทำให้ กิเลสทั้งหลายหมดไป นับตั้งแต่ในอดีต โพธคยาเป็นสถานที่ทางศาสนาที่สำคัญ ทั้งต่อ ชาวฮินดูและชาวพุทธ โดยสำหรับชาวพุทธ โพธคยาเป็นหนึ่งในสี่ของ แหล่งการจาริกแสวงบุญ (สังเวชนียสถาน) และเป็นแหล่งมรดกโลก ของยูเนสโก โดยอีก 3 แห่ง ได้แก่ กุศินคร ลุมพินี และสารนาถ
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM พุทธประวัติตอนต้น : ทรงชี้ว่ามีทางสุดโต่งอยู่ 2 ทาง ที่ไม่ทำให้หลุดพ้นทุกข์ ได้แก่ การหมกมุ่นในกาม และการทรมานตนเองให้ลำบาก พุทธประวัติตอนที่สอง : ทรงแสดงทางสายกลาง หรืออริยมรรคมีองค์ 8 ว่าเป็น หนทางที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ พุทธประวัติตอนที่สาม : ทรงแสดงอริยสัจ (ความจริงอันประเสริฐ) 4 ประการ พุทธประวัติตอนสุดท้าย : เป็นการสรุปธรรมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตร หลังการแสดงปฐมเทศนา โกญฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมจึงขอบวชเป็นภิกษุรูป แรกในพุทธศาสนา หลังจากนั้น วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ก็บรรลุโสดาบัน ในวันต่อ ๆ มา ครั้นถึงวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 หลังจากสดับพระธรรมเทศนาอนัตตลักขณ สูตร พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้บรรลุพระนิพพานเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้ง 5 รูป เกร็ดความรู้ หลังพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน วันนี้จึงเกิดพระรัตนตรัย ครบ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ เรียก วันนี้ว่า วันอาสาฬหบูชา
พุทธประวัติ สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM ภายหลังการตรัสรู้ ยสกุลบุตรและสหายอีก 54 คน ขอบวชในพุทธศาสนา จึงมีพระสงฆ์หลังจากมีพระอรหันตสาวกครบ 60 รูป พระพุทธเจ้าทรง ส่งให้แยกย้ายไปประกาศพุทธศาสนายังทิศต่าง ๆ ส่วนพระพุทธเจ้าเสด็จปโปรดชฎิลสามพี่น้องและบริวาร 1,000 คน บวชเป็น สาวกของพระพุทธองค์ ชวนอ่านคอนเทนต์น่าสนใจ! ทรงเสด็จไปกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อแสดงธรรมแก่พระ เจ้าพิมพิสารและประชาชน จนดวงตาเห็นธรรมบรรลุโสดาบัน และพระเจ้าพิมพิสารก็ถวายสวนไผ่เป็นแห่งแรก ชื่อว่า วัดเวฬุวัน Faith Marketing ต่อมาทรงได้เด็กหนุ่มสองคนที่เป็นศิษย์ของสัญชัยเวลัฎบุตร มาเป็นอัคร สาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา คือ พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร ความเชื่อ ศรัทธา และการตลาด ทรงรับการถวายวัดเชต ปรากฏการณ์ด้านความเชื่อความ วันที่เมืองสาวัตถี แคว้น ศรัทธาอยู่คู่กับมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย โกศลจากอนาถปิณฑิก ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาก้าวล้ำไปมาก เศรษฐี ซึ่งสมเด็จพระสัมมา เพียงใด แต่เรื่องของความเชื่อความ สัมพุทธเจ้าทรงประทับที่วัด ศรัทธาก็ยังคงฝังรากลึกอยู่ในวิถีชีวิต เชตวันถึง 19 พรรษา ของผู้คน...
พุทธประวัติ SOC KRU AM ตลอด 45 พรรษา พระองค์ได้เสด็จไปเผยแผ่ พระพุทธศาสนา สั่งสอนประชาชนในแคว้นต่าง ๆ มาโดยตลอด ทั้งที่มีโรคประจำพระองค์ คือ ปักขันทิกาพาร (โรคท้องรั่ว) อันเป็นผลมาจาก การบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัจฉิมโอวาท เมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ทรงเสด็จดับขัน ปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา ในวันเพ็ญเดือน วิสาข (15 ค่ำ เดือน 6) \"วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ\" สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็น ธรรมดา ท่านทั้งหลายจงให้ถึงพร้อม ด้วยความ ไม่ประมาทเถิด
ขอบคุณสื่อประกอบการสอนจาก Facebook Fanpage นายแสน Facilitator & board game
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา พุทธสาวก หมายถึง พุทธบริษัท ๔ ที่เป็นพระภิกษุและอุบาสกที่เป็นพระอริยบุคคลฝ่ายชายรุ่นทันเห็นพระพุทธเจ้าตามที่ ปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา พุทธสาวิกา หมายถึง พุทธบริษัท ๔ ที่เป็นภิกษุณีและอุบาสิกาที่เป็นพระอริยบุคคลฝ่าย หญิงรุ่นทันเห็นพระพุทธเจ้าตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา และชาวพุทธตัวอย่าง คือ บุคคลรุ่นหลังที่เกิดไม่ทันได้ เห็นพระพุทธเจ้า แต่ท่านเหล่านั้นใช้ชีวิตเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติหน้าที่ชาวพุทธได้เป็นอย่างดี พระอัสสชิ เป็นบุตรพราหมณ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ที่ได้รับ พระกีสาโคตมีเถรี เกิดในวรรณะแพศย์ มีชื่อเดิมว่าโคตมี เชิญให้ทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ โกณทัญญะ แต่เพราะมีร่างกายผ่ายผอม หลายคนจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า \"กีสา- ได้ชักชวนให้เฝ้าปรนนิบัติเจ้าชายสิทธัตถะที่บำเพ็ญ โคตมี\" ทุกรกิริยา ณ อุรุเวลาเสนานิคม ต่อมาทรงบรรลุโสดาบัน หลังจากฟัง \"ธัมม-จักรกัปปวัตนสูตร\" และบรรลุอรหันต์หลัง หลังการเสียชีวิตของบุตรของท่าน ท่านมีความเศร้าโศก จากฟัง \"อนัต-ตลักขณสูตร\" พระอัสสชิเป็นอาจารย์ของพระ เสียใจมาก จนพบพระพุทธองค์ที่ทรงใช้อุบายในการแก้ความ สารีบุตร ทุกข์ใจของท่าน เมื่อบวชเป็นภิกษุณีแล้ว ได้ตั้งใจปฏิบัติธรรม จนบรรลุเป็นอรหันต์ คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นครูที่ดี และเป็นผู้มั่นคงในพุทธ ศาสนา เป็นเอตทัคคะ ด้านทรงจีวรเศร้าหมอง เป็นผู้มีความคิดฉับไว มีความเคารพนอบน้อม และเป็นครูที่ดีของสตรีทั้งหลาย
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง พระนางมัลลิกา เป็นธิดาของมัลละกษัตริย์องค์หนึ่งในเมืองกุสินารา ภายหลังได้สมรสกับพันธุลเสนาบดี ต่อมาพระนางมัลลิกาได้นิมนต์พระอัครสาวกพร้อมภิกษุ 500 รูป ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน เช้า วันนั้นมีคนนำจดหมายมาแจ้งว่าสามีและบุตรของพระนางถูกโจรฆ่าตาย เมื่อพระนางทราบ เรื่องแล้วก็ทรงพยายามหักห้ามความโศกเศร้าไว้ โดยพระสารีบุตรเถระได้เทศนาสอนให้ พระนางเข้าใจชีวิตด้วยคาถาสั้น ๆ ว่า \"ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีนิมิตหมาย ตาย ที่ไหน ตายเมื่อใด หรือตายด้วยอาการอย่างใด ชีวิตสั้นนัก เป็นอยู่ลำบากและประกอบด้วย ความทุกข์\" เป็นสาวิกาที่ดีของพระพุทธเจ้า เข้าใจโลกและชีวิต เป็นผู้มีความอดทน เป็นผู้มีใจกว้าง และเป็นภรรยาที่ดี หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นแพทย์ประจำพระองค์พระโคตมพุทธเจ้า และพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้น มคธ เป็นบุตรของหญิงงามเมืองผู้หนึ่ง ถูกมารดาทิ้งตั้งแต่กำเนิด ชาววังพระเจ้า พิมพิสารมาพบเข้าจึงเก็บไปเลี้ยง ครั้นเติบใหญ่ขึ้น เขาเดินทางไกลไปตักษศิลา เพื่อเรียนวิชาแพทย์ 7 ปี สำเร็จแล้วก็เริ่มรักษาคนในราชคฤห์ คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง เป็นผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงยิ่ง เป็นผู้ใฝ่รู้และมีความพากเพียรสูงยิ่ง เป็น อุบาสกที่ดี และเป็นผู้เสียสละอย่างยิ่ง
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM พุทธศาสนิกชน ตัวอย่าง พระนาคเสน เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าในยุคหลัง ซึ่งมีชีวิตอยู่ ในราวพุทธศตวรรษที่ 6 เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ \"โสณุตตระ\" โดยอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเชิงเขาหิมาลัย สาเหตุที่ท่านออกบวชในพระพุทธศาสนาก็เพราะ เลื่อมใสในพระโรหณเถระ และต้องการเรียนศิลปะที่ สูงสุด และได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือมิลินทปัญหา พูดถึงการสนทนาธรรมระหว่างพระนาคเสนและ พระยามิลินทร์ (พระเจ้าเมนานเดอร์) พระยามิลินทร์ได้รับการถวายวิปัชนา คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง ปัญหา ได้เกิดความเข้าใจในหลักธรรมแห่ง เป็นผู้ใฝ่รู้อย่างยิ่ง พระพุทธศาสนา สละความเห็นผิดและ ยอมรับผิดและแก้ไข ยอมรับนับถือพุทธศาสนาในที่สุด ตนเอง เป็นผู้มีปฏิภาณอย่าง ยอดเยี่ยม เป็นนักสอนธรรมที่มี เทคนิคการสอนดีเยี่ยม SCAN เพื่ออ่านการวิจารณ์หนังสือ : Book Review มิลินทปัญหา ฉบับแปลในมหามกุฎราชวิทยาลัย
สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM พุทธศาสนิกชนตัวอย่าง หลวงปู่มั่น ภูริทตตฺโต ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ จากองค์การยูเนสโก เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ ซึ่งประวัติของท่านถือเป็นแรงบันดาลใจอันดีงามให้กับพระภิกษุสงห์และฆราวาสได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานและการภาวนาเจริญสมาธิ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมของคนทั่วโลกในยุค ปัจจุบัน ผลงานและคุณูปการของท่านมีความประจักษ์และมีความเชื่อมโยงกับภารกิจขององค์การยูเนสโกที่มุ่งส่งเสริม ในสาขาการศึกษา วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม สังคมและมนุษยศาสตร์ ส่งเสริมให้เกิดการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติภาพ ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของประชาชน ความอดกลั้น อุดมคติ ปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม ตลอดจน ความเข้าใจอันดีของมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะการเผยแผ่ข้อวัตรปฏิบัติให้ขยายวงกว้างสู่สังคมได้อย่างจริงจัง ทำให้มีผู้สนใจศึกษาแนวทางที่ท่านได้วางไว้ จึงสามารถกล่าวได้ว่า องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้นำความสงบ นำสันติภาพ ภายในจิตใจออกมาสู่สังคมภายนอก และแผ่ขยายสู่ประชาคมโลก และมวลมนุษยชาติได้อย่าง แท้จริง และยั่งยืน (Sustainabity)
พุทธศาสนิกชนตัวอย่าง สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) มีนามเดิมว่า เฮง ฉายา เขมจารี เป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น เจ้าคณะ ใหญ่หนใต้ เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ราชวรวิหาร และแม่กองบาลีสนามหลวง ต่อมา ได้จัดระเบียบวัดทั้ง ในด้านการทะเบียน การทำสังฆกรรม การจัดลำดับชั้นการปกครองคณะ และได้รับคัดเลือกให้เป็นประธานสังฆสภา เป็นรูปแรก คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง เป็นผู้เคารพต่อพระรัตนตรัย เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที เป็นนักปกครองที่ดีเยี่ยม
พุทธศาสนิกชนตัวอย่าง สุชีพ ปุญญานุภาพ จากผลงานการประพันธ์ทั้งใน เดิมชื่อว่าบุญรอด ภายหลัง เชิงวิชาการและด้านวรรณกรรม ท่านได้เปลี่ยนชื่อเป็น สุชีพ ตาม เป็นที่ประจักษ์ถึงความรอบรู้ด้าน ฉายาภาษาบาลีของท่านคือ สุชีโว พระพุทธศาสนาเป็นเลิศ และ (ผู้มีชีวิตที่ดี) ท่านสุชีพเป็นนัก ความสามารถในการเล่าพระธรรม วิชาการที่ได้รับการยอมรับทั้งจาก อย่างยากที่จะมีใครทัดเทียมได้ พุทธศาสนิกชนและคณะสงฆ์ไทย มรดกงานวรรณกรรมอันล้ำค่านี้ อย่างกว้างขวาง เมื่อครั้งอุปสมบท ได้สร้างคุณูปการอันสำคัญยิ่งให้แก่ เป็นพระภิกษุ ณ วัดกันมาตุยาราม บรรณพิภพไทย ชื่อเสียงของท่านโด่งดัง เป็นที่ เคารพเลื่อมใสอย่างยิ่งในหมู่คณะ กิจกรรมเพื่อพระพุทธศาสนา สงฆ์และพุทธศาสนิกชนเสมอมา เป็นผู้ริเริ่มหรือรื้อฟื้นให้มี ชาดก มหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น ท่านได้ดำริก่อตั้งมูลนิธิปุญญานุ เป็นเรื่องราวหรือชีวประวัติใน ภาพ เพื่อหาทุนสนับสนุนการ อดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า เรียนของสามเณร คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระ เป็นผู้เริ่มวางรากฐานให้มีการก่อ โพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ ตั้ง ยุวพุทธิกสมาคมแห่ง ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังใน ประเทศไทย โอกาสต่าง ๆ เรียกเรื่องในอดีต เป็นพระภิกษุไทยคนแรกที่ ของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็น ปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในที่ เรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึง ประชุมที่มีฝรั่งต่างชาติจนกลาย เรียกว่า นิทานชาดก เป็นแบบให้พระภิกษุยุคใหม่ได้ ปรับใช้ เป็นบิดาแห่งวิชาศาสนาเปรียบ เทียบในประเทศไทย เป็นคนแรกที่บุกเบิกเอาวิชาพุทธ ศาสนาไปใช้สอนในลักษณะ วิเคราะห์ระดับมหาวิทยาลัย สังคมศึกษา ครูแอม : SOC KRU AM
ชาดก มหาเวสสันดรชาดก สาเหตุที่เวสสันดกชาดกถูกยกให้เป็น มหาชาตินั้น เนื่องจากชาดกเรื่องนี้ถือเป็นพระ ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะได้เป็น ทศชาติชาดก พระพุทธเจ้า อีกทั้งยังเป็นพระชาติที่ทรงทำ เพ็ญบารมีครบทั้ง 10 ประการ โดยเฉพาะ การเทศน์มหาชาติยังคงมีสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน อย่างยิ่ง ‘ทานบารมี’ ที่ทรงบริจาคทุกสิ่งทุก ซึ่งในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยจัดขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน อย่าง แม้แต่ภรรยาและบุตรของตนเองก็ ขอบคุณข้อมูลจาก https://readthecloud.co/vessantara-jataka/ บริจาค ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทำได้ยากและเป็นการ เสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ภาคกลางนิยมจัดขึ้นหลังออกพรรษา พ้น การเทศนาเรื่องพระเวสสันดรชาดกหรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘เทศน์มหาชาติ’ นั้น มีมาตั้งแต่ หน้ากฐินแล้ว ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สมัยสุโขทัยเป็นอย่างน้อยเพราะปรากฏหลักฐานอยู่ในจารึกหลักที่ 3 หรือจารึกนครชุม ซึ่ง นิยมทำกันในเดือน 4 เรียกว่า ‘งานบุญผะเหว จารึกขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1900 ในรัชกาลของพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือพญาลิไท ความว่า ด’ ในขณะที่ภาคเหนือจัดขึ้นในเดือนยี่เป็งหรือ “…ธรรมเทศนาอันเป็นต้นว่า พระมหาชาติหาคนสวดแลมิได้เลย…” วันเพ็ญเดือน 12 เรียกว่า ‘การตั้งธรรมหลวง’ ส่วนภาคใต้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่แต่ละท้องถิ่น เห็นสมควร และเรียกว่า ‘เทศน์มหาชาติ’ แบบเดียวกับในภาคกลาง และไม่ใช่เพียงแต่งาน เทศน์หรืองานวรรณกรรม เท่านั้น เวสสันดรชาดกยัง ถูกบันทึกอยู่ในรูปของภาพ เล่าเรื่องบนฝาผนังวัด บ้างเป็นงานจิตรกรรมฝาผนัง บ้างเป็นงาน ปูนปั้น บ้างเป็นจิตรกรรมในกรอบรูป รวม ถึงแบบที่เป็นงานแกะสลักไม้ก็มีเหมือนกัน
๑. กัณฑ์ทศพร SOC KRU AM เป็นพรที่ขอให้หน้าอกไม่หย่อน ยาน ขอให้ผิวงาม หรือขอให้ท้องยัง แบนราบแม้จะตั้งครรภ์อยู่ แต่พร ข้อสำคัญที่นางผุสดีขอกับ พระอินทร์ก็คือ “ขอให้มีโอรสเป็นผู้ รักในการบริจาคทานยิ่งกว่าชีวิต” โดยกัณฑ์นี้ช่างมักจะเขียนเป็นภาพ พระอินทร์ เทพเจ้าแห่งสายฟ้าผู้มี กายสีเขียวกำลังให้พรแก่นางผุสดี โดยมีแบกกราวด์หลากหลายแล้ว แต่ยุคสมัย เป็นกัณฑ์แรกและเป็นปฐมเหตุของเรื่องนี้ เป็นกัณฑ์ที่ว่าด้วยการที่ พระอินทร์ประทานพร 10 ประการให้กับนางผุสดี ก่อนจะลงไปจุติเป็น มารดาของพระเวสสันดรชาดก จิ ต ก ร ร ม ฝ า ผ นั ง พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ช า ด ก ต อ น กั ณ ฑ์ ท ศ พ ร
๒. กัณฑ์หิมพานต์ SOC KRU AM เป็นกัณฑ์ที่เป็นมูลเหตุในการออกไปอยู่ป่าของพระเวสสันดร เพราะพระองค์ได้หลั่งน้ำประทานช้างปัจจัยนา เคนทร์ ช้างที่มีความสามารถพิเศษในการบันดาลให้ ฝนตกให้แก่พราหมณ์ 8 คน จากเมืองกลิงคราษฎร์ ที่กำลังประสบปัญหาฝนแล้ง ซึ่ง การประทานช้างวิเศษให้แก่เมือง อื่นสร้างความไม่พอใจให้แก่ชาว เมืองเป็นอย่างมากและส่งผล ให้พระเวสสันดรต้องถูก เนรเทศออกจากเมือง โดยมี นางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี ติดตามไปด้วย ฉากสำคัญของกัณฑ์นี้ย่อม เป็นฉากที่พระเวสสันดรบริจาคช้างให้แก่ พราหมณ์ทั้ง 8 โดยพระเวสสันดรจะอยู่บน ช้างก็ได้ หรือจะลงมายืนบนพื้นก็ได้ แต่บาง วัดก็จะเขียนเป็นฉากที่พราหมณ์ทั้ง 8 ขี่ ช้างปัจจัยนาเคนทร์ออกจากเมือง โดยจะมี ชาวเมืองมาขัดขวาง นับจากนั้น พระเวสสันดรทรงเข้าไป อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ พร้อมกับพระนาง มัทรี พระโอรส และพระธิดา
SOC KRU AM วัดอุดมประชาราษฎร์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรได้ถวายทานแบบถวายแล้วถวายอีก เพราะเมื่อพระเวสสันดรเสด็จออกจากเมือง ทรงประทับบนราช รถที่เทียมด้วยม้า ระหว่างทางมีคนมาขอม้า พระองค์ก็ประทาน ให้ มีคนมาขอราชรถ พระองค์ก็ประทานให้อีก จนพระองค์และ นางมัทรีต้องอุ้มพระชาลีพระกัณหาขึ้นบ่าแทน สำหรับกัณฑ์นี้ ช่างมักจะวาดภาพเป็นแอนิเมชันต่อเนื่อง เริ่มจากพระเวสสันดรหลั่งน้ำประทานราชรถหรือม้าให้กับคน ๓. ทานกัณฑ์ที่มาขอที่มาขอ แล้วต่อด้วยฉาก 4 กษัตริย์เดินดง มหาเวสสันดรชาดก พระองค์ได้ขอบริจาคทาน ใหญ่ เรียกว่า สัตตสดกมหา ทาน ประกอบด้วย ช้าง ม้า โคนม รถม้า นารี ทาส ทาสี ผ้าอาภรณ์ อย่างละ ๗๐๐ เพื่อให้กับคนทั่วไป และ ระหว่างการเดินด้วยราชรถ ทองนั้น ได้มีพราหมณ์ ๔ คน มาทูลขอม้า และราชรถ พระองค์ได้พระราชทานให้จน หมดสิ้น
มหาเวศสันดรชาดก : วนประเวศ SOC KRU AM ๔. กัณฑ์วนประเวศ ชวนอ่านคอนเทนต์น่าสนใจ! กษัตริย์เมืองเจตราษฎร์จะยกราชสมบัติให้แต่พระองค์ปฏิเสธเพราะโดน ‘วันนึงฉันเดินเข้าป่าหิมพานต์’ ชวนไปสำรวจแลนมาร์ก เนรเทศจากเมืองมา แถมยังเป็นเชื้อสายกษัตริย์แห่งเมืองสีพี จะให้ไปครอง หาจุดเช็คอินในป่าหิมพานต์เมืองทิพย์ เมืองอื่นคงไม่ได้ กษัตริย์เมืองเจตราษฎร์จึงให้พรานเจตบุตรทำหน้าที่เป็น คนเฝ้าทางเข้าป่าแทน โดยเมื่อทั้ง 4 พระองค์เดินทางไป ถึงป่าแล้ว พระอินทร์ได้ให้เทวดามา เนรมิตศาลาไว้รองรับ ซึ่งถ้าดูจาก เนื้อหาที่เล่าให้ฟัง ฉากที่จะต้อง ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนังน่าจะต้อง เป็นฉากที่กษัตริย์เมืองเจตราษฎร์มา เข้าเฝ้าพระเวสสันดร หรือฉากที่พระ เวสสันดรและคณะเดินทางไปถึงศาลา ในป่าวงกต ซึ่งก็มีจริงๆ แต่ใน จิตรกรรมสมัยหลังนิยมเขียนฉาก 4 กษัตริย์เดินดงแทนกัณฑ์นี้มากกว่า
๕. กัณฑ์ชูชก มหาเวสสันดรชาดก เล่าถึงตัวละครที่จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญของชาดกเรื่องนี้อย่างชูชก ที่เป็นขอทาน แต่มีความสามารถในการขอทานระดับสุดยอดจนมีเงินเยอะเลยเอาไปฝากเพื่อน แต่ เพื่อนดันเอาเงินของชูชกไปใช้จนเกลี้ยง พอชูชกมาทวง เพื่อนก็เลยยกลูกสาวแสนสวยนา มอมิตดาให้แทน SOC KRU AM ตำแหน่งแห่งที่ของสตรีใต้บริบทชายเป็นใหญ่ พอช่างโบราณจะเล่าฉากนี้ ฉาก สำคัญควรเป็นฉากที่ชูชกได้นางอมิต ดา แต่ทว่าฉากที่เป็นที่นิยมในการวาด กลับเป็นฉาก ที่พราหมณ์ไล่ตีไล่ทุบ ภรรยาตัวเอง ไม่ก็ฉากที่นางอมิตดา โดยรุมด่า แต่อย่างไรก็ตาม นางอมิต ดาก็เป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ ดูแลชู ชกอย่างดีจนเพื่อนพราหมณ์อิจฉาเลย ไปพาลใส่ภรรยาตัวเอง บรรดานาง พราหมณีก็เลยมาต่อว่านางอมิตดาตัว ต้นเรื่องจนนางเสียใจ เลยขอให้ชูชกไป ขอพระกัณหาและพระชาลีมาเป็นทาส รับใช้ ซึ่งแน่นอนว่าชูชกปฏิเสธไม่ได้จึง จำใจต้องไป
๖. กัณฑ์จุลพน มหาเวสสันดรชาดก ว่าด้วยการเดินทางครึ่งแรกของชูชกเพื่อไปหาพระเวสสันดร ชูชกเจอกับ พรานเจตบุตร และโดนหมาของพรานเจตบุตรไล่จนต้องขึ้นไปหลบบนต้นไม้ เดชะบุญ สกิลล์นักพูดระดับเทพของชูชกทำงาน หลอกพรานบุญว่าตัวเองเป็นคน ของพระเจ้าสัญชัย จะมาพาพระเวสสันดรกลับเมือง พรานเจตบุตรก็หลงเชื่อ จึงชวนกันไปกินข้าวที่บ้านแถมยังบอกทางไปให้ชูชก ดังนั้น เมื่อจะเขียนจิตรกรรมตอนนี้ ก็ต้องเขียนฉากที่ชูชกโดนหมาไล่ขึ้นต้นไม้ ดังปรากฎดังภาพ ขวามือนี้
มหาเวสสันดรชาดก ๗. กัณฑ์มหาพน SOC KRU AM ฉากนี้มักจะแสดงด้วย เป็นภาคต่อของกัณฑ์จุลพน ภาพอัจจุตฤๅษีกำลังชี้ เพราะเป็นกัณฑ์ที่สกิลล์นักพูด บอกทางให้กับชูชก โดย ของชูชกทำงานอีกครั้งเพื่อหลอก ฉากหลังอาจจะเป็นป่า คนให้หลงเชื่อ โดยเหยื่อในครั้งนี้ ริมน้ำ หรือในศาลา คืออัจจุตฤๅษี โดย ฤๅษีโดนชูชก หลอกถามทาง โดยหลอกว่า อยากสนทนาธรรมกับพระ เวสสันดร และฤๅษีก็โดนหลอก เข้าอย่างจัง บอกทางชูชกจนใน ที่สุด ผู้ใดบูชากัณฑ์มหาพน จะได้เสวยสมบัติใน ดาวดึงส์เทวโลกนั้น มีทรัพย์ศฤงคารบริวาร มาก มีอุทยาน และสระโบกขรณีเป็นที่ ประพาส เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยศักดานุภาพ เฟื่องฟุ้งไปทั่วชมพูทวีป อีกทั้งจักได้เสวยอาหาร ทิพย์เป็นนิจนิรันดรฯ
SOC KRU AM ๘. กัณฑ์กุมาร เล่าถึงพระกัณหาและชาลี โดยเลือกตอนที่พระชาลีขึ้นมากราบ พระบาทบิดา แต่ก็มีบ้างที่ช่างวาดฉากยก เริ่มด้วยการที่ชูชกสำรวจที่พักของพระเวสสันดรก่อน แล้วจึงเฝ้ารอจนกว่า สองกุมารให้ชูชก หรือฉากที่ชูชกเอาเชือกผูก พระนางมัทรีออกไปหาผลไม้ในป่าจึงเดินเข้าไปขอสองกุมารกับพระเวสสันดร ข้อมือสองกุมารแล้วลากไปก็มีบ้างเหมือนกัน เพราะถ้าแม่อยู่ แม่ไม่มีทางยกลูกให้คนอื่นง่าย ๆ แน่ ๆ เรียกว่าชูชกแผนสูง ใช้ได้ พอได้จังหวะเหมาะก็เข้าไปขอสองกุมาร ซึ่งก็แน่นอนว่าพระเวสสันดรยก ผู้ใดบูชากัณฑ์กุมาร ย่อมประสบความ ให้ พอรู้ว่าจะต้องไปอยู่กับชูชก ทั้งพระกัณหาและพระชาลีต่างก็หนีไปหลบอยู่ สำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา ครั้นตายไปได้เกิดใน ในสระบัว จนพระเวสสันดรต้องตามไปเกลี้ยกล่อม พรรณนาคุณของทาน ฉกามาพจรสวรรค์ ในสมัยพระศรีอาริยเมต บารมีจนสองกุมารใจอ่อน ไตรยมาอุบัติ ก็จะได้พบศาสนาของพระองค์ จะได้ถือปฏิสนธิในตระกูลกษัตริย์ โดยพระชาลีขึ้นมาก่อน พระกัณหาจึงค่อยตามมา จากนั้นพระเวสสันดรจึงประทานสองกุมารแก่ชูชก ชู ชกจึงข่มโดยการทุบตีทั้งสองจนหนีกลับมาหาพระ เวสสันดร จนผู้เป็นพ่อต้องเกลี้ยกล่อมรอบที่สองให้ สองกุมารให้ยอมตามชูชกไป ซึ่งฉากนี้ช่างนิยมวาดซีน ที่พระเวสสันดรเกลี้ยกล่อมสองกุมารให้ขึ้นจากสระบัว
เป็นกัณฑ์ที่เล่าเหตุการณ์ระหว่างที่นางมัทรีหาผล ไม้เสร็จ กำลังจะกลับไปหาพระเวสสันดร เหล่าเทวดา กลัวว่านางมัทรีจะไปขัดขวางการประทานสองกุมารให้ ชูชก จึงแปลงกายเป็นราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ไปขวางทาง จนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเปิดทาง พอกลับไปถึงนางมัทรีไม่เจอพระกัณหา พระชาลี ก็ออก ตามหาจนสลบไป พระเวสสันดรต้องปลุกขึ้นมาและ อธิบายเหตุผลจนนางมัทรีเข้าใจ ข้อสังเกตและค่านิยมไทยปัจจุบัน จากวารสาร มจร พุทธศาสตร์ปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2564) ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก มีผู้แต่งหลายสำนวน ส่วน กัณฑ์มัทรี ผู้แต่งคือ เจ้าพระยา พระคลังหน ในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเนื้อหากัณฑ์นี้เป็นการกล่าว ถึงลักษณะของสตรี ในทางพระพุทธศาสนาในลักษณะของสตรีผู้ทรงพระสิริโฉม มีคุณธรรมแต่กลับต้องทุกข์ทรมาน จากความเป็นมารดาที่ ลูกถูกบริจาคให้เป็นทาน แต่ก็ยอมรับการถวายทานนั้นของ ๙. กัณมหาฑเว์สสมันัดทรชารดีกพระเวสสันดร การยอมรับหน้าที่ของภริยาที่ต้องยอมรับ การ ตัดสินใจในการถวายทานของพระเวสสันดรเป็น ลักษณะที่กล่าวถึงตัวละครที่บอกเล่ายุคสมัย มากกว่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่ยอมรับกันได้ใน เวลาต่อมา จึงปรากฎข้อถกเถียงในเรื่องดังกล่าว อย่างกว้างขวาง
SOC l KRU AM ฝ่ายท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) ทรงวิตกว่าแม้นมี ผู้มาทูลขอพระนางมัทรี พระเวสสันดรก็คงจะประทาน ให้ ถ้าผู้ต่ำช้าได้ไปก็จะทำให้พระนางโศกเศร้าหมองศรี ส่วนพระเวสสันดรก็จะไม่มีผู้คอยเฝ้าปรนนิบัติ ท้าวสัก กเทวราชจึงจะลงไปแสร้งทูลขอพระนางมัทรี เมื่อพระ เวสสันดรประทานแล้วก็จะถวายพระนางคืนเพื่อให้อยู่ ปรนนิบัติพระสวามีต่อไป เมื่อดำริดังนั้นแล้วท้าวสักก เทวราชก็ทรงเนรมิตกายเป็นพราหมณ์ชราพิการไปทูล ถามทุกข์สุขของพระเวสสันดรในการที่เสด็จมาประทับ อยู่ในป่า พระเวสสันดรทรงคิดว่าชะรอยพราหมณ์ผู้นี้ คงจะตั้งใจมาขอสิ่งใดจึงได้ตรัสถาม พราหมณ์ก็ทูลขอ พระนางมัทรี ข้อมูลจาก https://www.sac.or.th/ ม๑๐. กัณฑ์สักกบรรพ หาเวสสันดรชาดก แต่ก่อนที่จะทูลขอพราหมณ์ได้เปรียบน้ำพระทัยของ พระเวสสันดรว่าดุจปัญจนที หลังจากได้สดับพระเวสสันดร ก็ตรัสยกพระนางมัทรีให้พราหมณ์ทันที ขณะที่ทรงหลั่งน้ำ ทักษิโณทกก็บังเกิดความอัศจรรย์ไปทั่วจักรวาล พระ เวสสันดรทรงใคร่รู้ว่าพระนางมัทรีรู้สึกอย่างไรจึงหันไป ทอดพระเนตรนาง พระนางมัทรีจึงทูลอนุโมทนาด้วยความ สุจริตใจ ยินดีในการประกอบกุศลของพระสวามี ท้าวสักก เทวราชเห็นทั้งสองพระองค์มีศรัทธาในการบำเพ็ญบุญ เสมอกันจึงทูลสรรเสริญ และถวายพระนางมัทรีคืนเพื่อให้ อยู่ปรนนิบัติพระเวสสันดรต่อไป โดยอ้างว่าตนชราแล้วไม่ เหมาะแก่พระเกียรติของนาง แล้วทูลว่าตนคือท้าวสักกเทว ราช ตั้งพระทัยจะมาถวายพร 8 ประการ พระเวสสันดรจึง ทูลขอพร
SOC KRU AM พระเจ้าสัญชัยจึงตัดสินใจที่จะไปพาพระเวสสันดรกับนางมัทรีกลับเมือง ถือเป็นฉากที่ช่างมีความหลากหลายในการเลือกฉากวาดมากที่สุดฉากหนึ่ง โดยฉากที่ฮิตจนถึงในยุคปัจจุบัน เป็นฉากที่ชูชกผูกเปลบนต้นไม้โดยผูกสอง กุมารไว้ที่โคนต้นไม้ บางที่ก็เขียนฉากที่พระเจ้าสัญชัยไถ่สองกุมารจากชูชก ภายในปราสาท บางที่เขียนฉากชูชกกินมากเกินท้องแตกตาย แบ่งฉากใหญ่ออกเป็น 2 ฉาก ฉากแรกคือฉากในป่า ซึ่งเป็นฉาก ระหว่างการเดินทาง พอถึงกลางคืน ชูชกก็ผูกเปลขึ้นไปนอนบนต้นไม้ ทิ้งสองกุมารให้อยู่บนพื้น จนเทวดา ต้องแปลงตัวเป็นพระเวสสันดรและ นางมัทรีมาดูแลสองกุมารทุกคน ส่วนฉากที่สองเป็นฉากในเมือง คือ เมืองเชตุดรของพระเจ้าสัญชัย เพราะเหมือนโชคชะตาเข้าข้างสอง กุมาร ชูชกพาทั้งสองเข้าไปยังเมือง เชตุดรจนทำให้ได้พบกับพระเจ้า สัญชัย ซึ่งพระองค์ตัดสินใจไถ่ตัว 2 กุมารจากชูชกพร้อมดูแลชูชกอย่าง ดี ชูชกไม่เคยกินดีอยู่ดีขนาดนี้จึง กินเกินขนาดจนท้องแตกตาย
๑๒. กัณฑ์ฉกษัตริย์ มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์นี้เป็นเรื่องราวการรับ ต่อมามหาอำมาตย์ราชปุโรหิต จึง SOC KRU AM พระเวสสันดรกลับเมือง ดยเล่าถึง ได้พร้อมกันทูลอัญเชิญให้ พระ ขบวนเสด็จของพระเจ้าสัญชัย เวสสันดรทรงลาผนวชเสด็จไปครอง นางผุสดี พระกัณหา และพระชาลี ราชย์สมบัติในพระนครสีพี ซึ่งทวย ที่เดินทางไปถึงอาศรมของพระ ราษฎร์ ทั้งมวลมีความยินดีพร้อมกัน เวสสันดรและนางมัทรี พอทั้ง 6 ถวาย ให้พระองค์เป็นกษัตริย์ปกครอง คนได้พบหน้ากันอย่างพร้อมหน้า ราชอาณาจักรสืบไป พร้อมตาก็รู้สึกปลื้มปิติอย่างมาก จนถึงแก่วิสัญญีหรือสลบกันหมด โดยช่างนิยมเขียนหลัก ๆ อยู่ฉาก พอข้าวราชบริพารมาพบเข้าก็ดีใจ เดียว คือฉากที่ทั้งหมดพบกันอีกครั้ง จนสลบไปเช่นกัน จนพระอินทร์ ในที่พักของพระเวสสันดรและร้องไห้ ต้องบันดาลฝนโบกขรพรรษซึ่ง ดีใจจนสลบไป ซึ่งมีทั้งการสลบแบบ เป็นฝนพิเศษจนทั้งหมดฟื้นขึ้นมา นาฏลักษณ์และสลบจริงๆ อยู่ที่ว่าช่าง แล้วจึงทูลเชิญพระเวสสันดรและ ที่เขียนฉากนี้เป็นช่างพื้นบ้านหรือช่าง นางมัทรีกลับเมืองเชตุดร หลวง
พูดถึงการเสด็จกลับเมืองเชตุดรของพระเวสสันดร ๑๓. นครกัณฑ์ และคณะ ซึ่งเมื่อกลับไปถึง พระเวสสันดรก็ได้ขึ้นครอง ราชสมบัติ ปกครองเมืองด้วยความเมตตาและทาน มหาเวสสันดรชาดก บริจาคจนสิ้นอายุขัย ฉากหลักที่ช่างมักจะเขียน ก็คือฉาก ขบวนเสด็จของพระเวสสันดรกลับเมือง บางวัดเขียนทั้ง ขบวนขาไปและขบวนขากลับ ซึ่งวิธีสังเกตว่าขบวนไหน เป็นขบวนไหน ให้ดูที่ต้นทางกับปลายทาง ดูว่าฝั่งไหน เป็นเมือง ฝั่งไหนเป็นศาลา ซึ่งแน่นอนว่า ฝั่งที่ออกจาก เมืองก็คือฉากขบวนขามาของกัณฑ์ฉกษัตริย์ ส่วนฝั่งที่ ออกมาจากศาลาจเป็นขบวนขากลับเมืองเชตุดรของนคร กัณฑ์ แต่ถ้าวัดไหนเขียนขบวนขาเดียวก็มักจะเป็นขบวน ขากลับ
Search
Read the Text Version
- 1 - 49
Pages: