Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดกระบวนการเรียนรู้การศึกษานอกระบบ โดยใช้ ONIE

การจัดกระบวนการเรียนรู้การศึกษานอกระบบ โดยใช้ ONIE

Published by สุจินต์ แช่มชื่น, 2019-06-09 04:21:26

Description: จัดทำในการอบรมเชิงปฏิบัติการ

Search

Read the Text Version

สแกนเพอื่ อา่ น E-Book จดั ทาโดย ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบฯ อาเภอวงั สมบรู ณ์ (ศรช.เขตป่ ารอยตอ่ )

การจัดกระบวนการเรียนรู้การศกึ ษานอกระบบแบบบูรณาการ โดยใช้ ONIE MODEL และ Khit- Pen นุสรา สกลนุกรกจิ ความเป็ นมาและความสาคัญของปัญหา พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 ได้ กาหนดแนวทางการจดั การศกึ ษาในมาตราท่ี 22 และมาตรา 24 ไว้ว่า (สานกั งานสภาการศกึ ษา, 2545: 13) มาตรา 22 การจดั การศกึ ษาต้องยดึ หลกั ว่าผ้เู รียนทกุ คนมีความสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเอง ได้ และถือวา่ ผ้เู รียนมีความสาคญั ท่ีสดุ กระบวนการจดั การศกึ ษาต้องสง่ เสริมให้ผ้เู รียนสามารถพฒั นาตาม ธรรมชาตแิ ละเตม็ ตามศกั ยภาพ มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องดาเนินการ ดงั ตอ่ ไปนี ้ 1. จดั เนือ้ หาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกบั ความสนใจและความถนดั ของผ้เู รียนโดยคานึงถึง ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล 2. ฝึกทกั ษะ กระบวนการคดิ การจดั การ การเผชิญสถานการณ์ และการประยกุ ต์ความรู้มาใช้เพ่ือ ป้ องกนั และแก้ไขปัญหา 3. จดั กิจกรรมให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึ กการปฏิบตั ิให้ทาได้ คดิ เป็ น ทาเป็ น รัก การอา่ นและเกิดการใฝ่ รู้อยา่ งตอ่ เนื่อง 4. จดั การเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านตา่ ง ๆ อย่างได้สดั ส่วน สมดลุ กนั รวมทงั้ ปลกู ฝังคณุ ธรรม คา่ นิยมท่ีดีงามและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ไว้ทกุ วชิ า 5. ส่งเสริมสนับสนนุ ให้ผู้สอน สามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่ือการเรียนและอานวย ความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้รวมทงั้ สามารถใช้การวิจยั เป็ นส่วนหน่ึงของ กระบวนการเรียนรู้ ทัง้ นีผ้ ู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้ อมกันจากสื่อดารเรียนการสอน และแหล่ง วทิ ยาการประเภทตา่ งๆ 6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึน้ ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับ บิดา มารดา ผ้ปู กครอง และบคุ คลในชมุ ชนทกุ ฝ่ ายเพ่ือร่วมกนั พฒั นาผ้เู รียนตามศกั ยภาพ จากสาระสาคญั ของพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ ดงั ท่ีกล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นวา่ การ จดั การศึกษา หรือการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีคณุ ภาพนนั้ จะเน้นผู้เรียนเป็ นสาคญั โดยเปิ ดโอกาสให้

2 ผู้เรียนได้คิด ได้ทา ได้ใช้ประสบการณ์ของตนซ่ึงแตกต่างกัน จากสถานการณ์ต่างๆ ใช้ส่ือการเรียนรู้ที่ หลากหลาย มีการแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ได้อย่างสะดวก มีการฝึ กปฏิบตั ิจริง สามารถเรียนรู้ได้ ตลอดเวลา ทุกสถานที่ ทงั้ ในและนอกระบบโรงเรียน การเรียนรู้ท่ีเกิดขึน้ อย่างต่อเนื่องสามารถที่จะนาไป ปรับประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้ และเมื่อกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ใช้หลกั สูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขัน้ พืน้ ฐานพุทธศักราช 2551 ตามคาสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ท่ี สป 418/2551 สงั่ ณ วนั ท่ี 18 กนั ยายน พ.ศ. 2551 ซ่งึ เป็ นหลกั สตู รที่เหมาะสมกบั กล่มุ เป้ าหมายนอกระบบที่ส่วน ใหญ่มีความรู้ ประสบการณ์จากการประกอบอาชีพและการดารงชีวิต จึงเป็ นการเสริม เติมเต็มเพื่อให้มี คณุ ภาพชีวติ ดียิ่งขนึ ้ สามารถอยใู่ นสงั คมได้อย่างมีความสขุ ปรับตนเองได้ตามสถานการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลง ไปตามภาวะเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง การปกครอง ดงั นนั้ การเรียนรู้ตามหลกั สตู รดงั กล่าว จึงเน้นไปตาม วถิ ีชีวติ นาสง่ิ ใกล้ตวั มาใช้เป็ นฐานในการเรียนรู้ เช่ือมโยงกบั ความรู้สมยั ใหม่ ให้นามาคิดวิเคราะห์ ปรับใช้ ให้เหมาะสมกบั สภาพของผ้เู รียน ชมุ ชน สงั คม ตามปรัชญาของการจดั การศกึ ษา ซ่ึงเป็ นสาระสาคญั ของ หลกั สูตรนี ้ได้กาหนดไว้เป็ นหลกั การข้อ 1 ของหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ว่า“ เป็ นหลกั สตู รท่ีมีโครงสร้างยืดหย่นุ ด้านสาระการเรียนรู้ เวลาเรียน และการจดั การ เรียนรู้โดยเน้นการบรู ณาการเนือ้ หาให้สอดคล้องกบั วถิ ีชีวิต ความแตกตา่ งของบคุ คล ชมุ ชน และ สงั คม ” การจดั กระบวนการเรียนรู้การศึกษานอกระบบแบบบรู ณาการ จะช่วยให้การจดั การเรียนรู้บรรลุ ตามหลกั การของหลกั สตู ร เป็ นการนาสภาพปัญหา ความต้องการเรียนรู้ของผ้เู รียน ชมุ ชน สงั คม เพ่ือการ เชื่อมโยงสู่การเรียนรู้ท่ีเป็ นไปอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศยั ,2551: 15 ) การจัดกระบวนการเรียนรู้การศึกษานอกระบบแบบบูรณาการ การบูรณาการ หมายถึง การรวมเนือ้ หาสาระของวิชาตา่ ง ๆ ในหลกั สูตรที่มีลกั ษณะเหมือนกัน หรือคล้ายกนั ให้เชื่อมโยงสมั พนั ธ์เป็ นสิ่งเดียวกนั โดยการตงั้ เป็ นหวั ข้อเร่ืองขนึ ้ ใหม่ และมีหวั ข้อย่อยตาม เนือ้ หาสาระที่สามารถจดั การเรียนรู้เป็ นเรื่องเดียวกันได้ และให้โอกาสผ้เู รียนในการปฏิบตั ิกิจกรรมด้วย ตนเองให้มากท่ีสดุ มีการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้หลากหลายวิธี ในการจดั กระบวนการเรียนรู้แบบบรู ณา การนนั้ มีคาศพั ท์ที่ควรทราบและทาความเข้าใจในเบอื ้ งต้น ดงั ตอ่ ไปนี ้ หน่วยการเรียนรู้ หมายถึง ความรู้ที่ครบวงจรในเรื่องหนง่ึ ซงึ่ เกิดจากการนาสภาพปัญหา ความ ต้องการเรียนรู้ของผ้เู รียน ชมุ ชน สงั คม มาจดั เป็ นหน่วยการเรียนรู้ย่อย ๆ แล้วนาเนือ้ หาและตวั ชีว้ ดั จาก รายวชิ าตา่ ง ๆ ที่สอดคล้องกบั สภาพปัญหา ความต้องการมาจดั การเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาของผ้เู รียน ชมุ ชน สงั คม โดยต้องบรรลมุ าตรฐานการเรียนรู้ และตวั ชีว้ ดั ที่เก่ียวข้อง

3 การเรียนรู้ด้วยตนเอง หมายถึง วิธีการจดั การเรียนรู้ที่มอบหมายให้ผ้เู รียนไปศกึ ษาหาความรู้ ด้วยตนเอง โดยผ้เู รียนกาหนดแผนการเรียนรู้มองตนเอง แล้วศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้จากส่ือตา่ ง ๆ เชน่ สื่อ อิเล็กทรอนิกส์ เอกสาร ภูมิปัญญา สรุปเป็ นความรู้ของตนเอง เพ่ือมานาเสนอแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นซึ่ง กนั และกัน การเรียนด้วยตนเองผ้เู รียนจะต้องเป็ นผ้มู ีความรับผิดชอบ ดาเนินการให้เสร็จตามระยะเวลาที่ กาหนดและชนิ ้ งาน/รายงาน จะต้องมีคณุ ภาพ การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม หมายถึง การจดั กระบวนการเรียนรู้ท่ีมีการกาหนดให้ผ้เู รียนมาพบกนั โดยมีครูเป็นผ้ดู าเนินการให้เกิดกระบวนการกลมุ่ เพ่ือให้มีการนาเสนอผลงาน/รายงาน ท่ีได้รับมอบหมาย มี การชีแ้ จงเร่ืองที่เก่ียวข้องในการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ หรือทาความตกลงร่วมกันเพ่ือให้ได้ข้อสรุป การวัดและ ประเมนิ ผลทงั้ ระหวา่ งภาคและปลายภาค โดยเน้นการอภิปรายแลกเปล่ียนเรียนรู้ซง่ึ กนั และกนั การเรียนรู้จากการทาโครงงาน หมายถงึ กิจกรรมที่เปิ ดโอกาสให้ผ้เู รียนได้ศกึ ษา ค้นคว้าและลง มือปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัดและความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ พร้อมกระบวนการอ่ืนใดไปใช้ในการศกึ ษาหาคาตอบในเร่ืองนนั้ ๆ โดยมีครูผ้สู อนคอยกระต้นุ แนะนาและให้คาปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่างใกล้ชิด ตงั้ แต่การเลือกหัวข้อที่จะศึกษา ค้นคว้า ดาเนินการ วางแผน กาหนดขนั้ ตอนการดาเนินงาน โดยทว่ั ๆ ไป การทาโครงงานสามารถทาได้ทกุ ระดับการศกึ ษา ซึ่ง อาจทาเป็ นรายบคุ คล หรือเป็ นกล่มุ ก็ได้ ทงั้ นีข้ ึน้ อย่กู บั ลกั ษณะของโครงงาน อาจเป็ นโครงงานเล็ก ๆ ที่ไม่ ยงุ่ ยากซบั ซ้อนหรือเป็นโครงงานใหญ่ที่มีความยากและซบั ซ้อนขนึ ้ ก็ได้ การเรียนรู้จากการทาโครงการ หมายถึง กิจกรรมที่สถานศึกษาต้องการพฒั นาผู้เรียนให้ มี คณุ สมบตั ิ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ตอบสนองตามนโยบายของสถานศกึ ษา กระทรวง รัฐบาล ประเทศชาติ โครงการเกิดจากลกั ษณะความพยายามที่จะจดั กิจกรรม หรือดาเนินการให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ เพื่อบรรเทา หรือลดหรือขจัดปัญหา และความต้องการทัง้ ในสภาวการณ์ปัจจุบันและอนาคต โครงการโดยทั่วไป สามารถแยกได้หลายประเภท เชน่ โครงการเพื่อสนองความต้องการ โครงการพฒั นาทว่ั ๆ ไป โครงการตาม นโยบายเร่งดว่ น เป็นต้น การเรียนรู้ด้วยการสอนเสริม หมายถึง การเรียนรู้ในเนือ้ หาของรายวิชาที่มีความยาก หรือ ความรู้ท่ีมีความสลบั ซบั ซ้อน ท่ีครูผ้สู อนในชนั้ เรียน หรือในกลุ่มไม่สามารถจดั การเรียนรู้ให้กับผ้เู รียนได้ โดยการเชิญผ้เู ชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาให้ความรู้เป็นครัง้ คราว การวิเคราะห์ สภาพปั ญหา หมายถึง การแยกแยะสภาพปั ญหาออกเป็ นส่วนย่อยท่ีมี ความสมั พนั ธ์กนั เพ่ือทาความเข้าใจแตล่ ะส่วนให้แจ่มแจ้ง รวมทงั้ การสืบค้นความสมั พนั ธ์ของส่วนตา่ ง ๆ เพ่ือดวู า่ สว่ นประกอบปลีกย่อยนนั้ สามารถเข้ากนั ได้หรือไม่ สมั พนั ธ์เก่ียวเนื่องกนั อยา่ งไร ซ่ึงจะช่วยให้เกิด ความเข้าใจตอ่ ส่งิ หนงึ่ ส่งิ ใดอยา่ งแท้จริง

4 แผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ หมายถึง เ อกส ารเ ครื่อ ง มือที่ช่วยใ ห้ครูมีทิศ ทา ง ดาเนินการการจัดกระบวนการเรียนรู้ นาไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้ เป็ นไปตามเจตนารมณ์ของ หลกั สตู รได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ประเด็น หมายถึง เร่ือง,ข้อความสาคญั ,ใจความสาคญั ,หลกั สาคญั ,หลกั ใหญ่ ,หวั ข้อท่ีต้องการ เรียนรู้ ความต้องการ หมายถึง ความอยากได้ ความประสงค์ท่ีผู้เรียนต้องการเรียนรู้ในเร่ืองที่ตรงกับ สภาพปัญหาที่เกิดขึน้ ในชีวิตประจาวนั ของตนเอง ความรู้ท่ีได้รับสามารถนาไปแก้ปัญหานนั้ ๆ ได้อย่าง ทนั ทว่ งที การเรียนรู้ หมายถึง การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอนั เป็ นผลจากการที่บคุ คลกระทากิจกรรมใด ๆ ทาให้เกิดประสบการณ์และเกิดทกั ษะตา่ ง ๆ ขนึ ้ ยงั ผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมคอ่ นข้างถาวร กจิ กรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ หรือ กพช. หมายถงึ กิจกรรมท่ีสง่ เสริม สนบั สนนุ ให้นกั ศกึ ษาเป็ น ผ้รู ู้จกั คดิ รู้จกั ทา เป็ นผ้คู ิดเป็ น ทาเป็ น และแก้ปัญหาเป็ น โดยนกั ศกึ ษาจะเป็ นผ้จู ดั ทาโครงการเสนอขอทา กิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามความสนใจหรือความถนัด เน้นการนาความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่ได้จาก การศึกษาเรียนรู้ไปสู่การปฏิบตั ิท่ีสอดคล้องกับวิถีชีวิต เพื่อพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม และ ส่ิงแวดล้อม รวมถึงมีการปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เช่น การเป็ นผู้มีจิตสานึกในการอนุรักษ์ พลงั งานและส่ิงแวดล้อม การมีวินยั การมีความซ่ือสตั ย์สจุ ริต เป็ นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านีจ้ ะส่งผลให้นกั ศึกษา สามารถประพฤติ ปฏิบตั ิตนหรือใช้ชีวิตอย่รู ่วมกบั ผ้อู ื่นในสงั คมอย่างสมดลุ และมีความสุข ในแตล่ ะระดบั การศกึ ษาจะต้องปฏิบตั กิ ิจกรรมพฒั นาคณุ ภาพชีวิตรวมแล้วไมน่ ้อยกวา่ 100ชว่ั โมง โดยมีขอบขา่ ยเนือ้ หา ทงั้ ในภาคทฤษฎี และภาคปฏิบตั ิ ความจาเป็ นในการจัดกระบวนการเรียนรู้ การศกึ ษานอกระบบ แบบบูรณาการ 1. หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 เป็ นหลกั สูตร รายวิชา ที่สถานศกึ ษาสามารถนารายวชิ าในแตล่ ะภาคเรียนไปจดั กระบวนการเรียนรู้แบบบรู ณาการ 2. ความต้องการเรียนรู้ของผ้ใู หญ่ เม่ือเรียนรู้แล้ว จะต้องนาไปใช้ได้ทนั ทีตามปรัชญาการศกึ ษา ผ้ใู หญ่ ซ่ึงสอดคล้องกับการจัดทาหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยการเรียนรู้และแก้สภาพปัญหาที่ เกิดขนึ ้ ในปัจจบุ นั ของผ้เู รียน ชมุ ชน สงั คม 3. การจดั กระบวนการเรียนรู้แบบบรู ณาการเป็ นการเรียนรู้ในลกั ษณะองค์รวม เน้นการจดั การ เรียนรู้ตามสภาพจริง ประกอบด้วย การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ร่วมกัน การเรียนรู้จากธรรมชาติ การเรียนรู้จากการปฏิบตั ิจริง

5 4. การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการเป็ นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับศาสตร์หลายเรื่อง มิใช่เรียนรู้แบบแยกเป็ นส่วน ๆ ทาให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ ทาให้มีความรอบคอบ สามารถนาไปใช้ เป็ นแนวทางในการนาไปประยุกต์ใช้ได้ตลอดชีวิต 5. ช่วยให้ผ้เู รียนสามารถเชื่อมโยงผสมผสานความรู้ต่าง ๆ สมั พนั ธ์กับชีวิตจริง มีความรู้ ความ เข้าใจในสภาพหรือปัญหานนั้ ๆ และทาให้มีพลงั ที่จะเรียนรู้ กระตือรือร้นเพื่อแก้ปัญหา เนือ้ หาทกุ วิชาไม่ อาจแยกจากกนั มาใช้ได้ เชน่ เดยี วกบั ชีวติ ของคนเราที่ต้องดารงอยอู่ ยา่ งกลมกลืน เป็นองค์รวม ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้ การศกึ ษานอกระบบ แบบบูรณาการ 1. ผ้เู รียนมีโอกาสได้เลือกเรียนตามความถนดั ความสนใจของตนเอง 2. มีการจดั กิจกรรมการเรียนรู้อยา่ งหลากหลาย กว้างขวางตามความพร้อมของผ้เู รียน 3. เปิ ดโอกาสให้ผ้เู รียนได้คิด ได้ทา ได้แก้ปัญหา ได้ค้นพบคาตอบด้วยตนเอง และผ้เู รียนลง มือปฏิบตั เิ องโดยมีครูผ้สู อนเป็นเพียงให้คาแนะนา ให้คาปรึกษา 4. มีการเช่ือมโยงเนือ้ หาในวิชาเดยี วกนั หรือตา่ งวชิ าของกลมุ่ สาระการเรียนรู้ 5. มีการยืดหยนุ่ เวลาเรียนได้ตามสถานการณ์ 6. มีการเชื่อมโยงสาระสาคญั หรือความคดิ รวบยอดตา่ ง ๆ อยา่ งมีความหมาย 7. มีการใช้แหลง่ ความรู้ หรือแหลง่ การเรียนได้อยา่ งหลากหลายเช่น ห้องสมดุ ห้องปฏิบตั กิ าร ทางภาษาห้องวิทยาศาสตร์ ชมุ ชน ผ้รู ู้ ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น ฯลฯ อยา่ งสมั พนั ธ์กนั ตามสภาพท่ีแท้จริงหรือ ตามความเป็ นจริง 8. มีการประเมินตามสภาพที่แท้จริง 9. ผ้เู รียนได้ร่วมสะท้อนความคดิ หรือสรุปความรู้โดยอิสระ 10. ผ้เู รียนมีวจิ ารณญาณในการคดิ แก้ปัญหา และอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสขุ หลักสาคัญของการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการ มีดังนี้ 1. การจดั การเรียนการสอนโดยเน้นผ้เู รียนเป็นศนู ย์กลาง โดยต้องกระต้นุ ให้ผ้เู รียนกระตือรือร้น มี สว่ นร่วมในกระบวนการจดั การเรียนการสอน 2. การส่งเสริมให้นกั เรียนได้ร่วมทางานกลมุ่ ด้วยตนเอง โดยสง่ เสริมให้มีกิจกรรมกล่มุ ลกั ษณะ ตา่ ง ๆ อยา่ งหลากหลาย และสง่ เสริมให้ผ้เู รียนมีโอกาสได้ลงมือทากิจกรรมตา่ ง ๆ ด้วยตนเอง 3. การจดั ประสบการณ์ตรงให้แก่นกั เรียน โดยให้ผ้เู รียนมีโอกาสได้เรียนรู้จากส่ิงที่เป็ นรูปธรรม เข้าใจงา่ ย ตรงกบั ความเป็ นจริง สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวนั อย่างได้ผล และสง่ เสริมให้มีโอกาสได้ ปฏิบตั จิ ริงจนเกิดความสามารถและทกั ษะจนตดิ เป็นนิสยั

6 4. การจดั บรรยากาศในชนั้ เรียนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกกล้าคิดกล้าทา โดยส่งเสริมให้ ผ้เู รียนมีโอกาส ท่ีจะแสดงออก ซงึ่ ความรู้สกึ นึกคิดของตนเองตอ่ สาธารณชน หรือ เพื่อนร่วมชนั้ เรียน ทงั้ นี ้ เพ่ือเสริมสร้างความมนั่ ใจให้เกิดขนึ ้ ในตวั ผ้เู รียน 5. การปลกู ฝังจิตสานกึ คา่ นิยม และจริยธรรม ที่ถกู ต้องดีงาม ให้ผ้เู รียนสามารถจาแนกแยกแยะ ความถกู ต้องดีงาม และความเหมาะสมได้ สามารถขจดั ความขดั แย้งได้ด้วยเหตผุ ล มีความกล้าหาญทาง จริยธรรม และแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา และสามคั คี รูปแบบของการบูรณาการ มี 4 รูปแบบ คือ 1. การบูรณาการแบบสอดแทรก ครูผ้สู อนในวิชาหนึ่งสอดแทรกเนือ้ หาของวิชาอื่น ๆ เข้า ในการเรียนการสอนของตน เป็ นการสอนตามแผนการสอนและประเมินผลโดยครูคนเดียว วิธีนีถ้ ึงแม้ ผ้เู รียนจะเรียนจากครูคนเดียว แตส่ ามารถมองเห็นความสมั พนั ธ์ระหวา่ งวิชาได้ 2. การบูรณาการแบบขนาน ครูตงั้ แต่ 2 คน ขึน้ ไปสอนต่างวิชากันตา่ งคนต่างสอน แตต่ ้อง วางแผนเพื่อสอนร่วมกนั โดยม่งุ สอนหวั เรื่อง/ความคิดรวบยอด / ปัญหาเดียวกนั ระบสุ ่ิงท่ีทาร่วมกนั และ ตดั สินใจร่วมกนั ว่าจะสอนหวั เรื่อง/ความคิดรวบยอดและปัญหานนั้ ๆ อย่างไร ในวิชาของแต่ละคน ใคร ควรสอนก่อน-หลงั งานหรือการบ้านท่ีมอบหมายให้ผ้เู รียนทาจะแตกตา่ งกันไปในแต่ละวิชา แตท่ งั้ หมด จะต้องมีหวั เร่ือง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาร่วมกนั การสอนแตล่ ะวิชาจะเสริมซง่ึ กนั และกนั ทาให้ผ้เู รียน มองเหน็ ความสมั พนั ธ์เชื่อมโยงกนั ระหวา่ งวชิ า 3. การบูรณาการแบบสหวิทยาการ การจดั การเรียนการสอนตามรูปแบบนีค้ ล้ายกบั บรู ณา การแบบขนาน กล่าวคือ ครูตงั้ แต่ 2 คนขนึ ้ ไปสอนตา่ งวิชากนั มาวางแผนเพ่ือสอนร่วมกนั โดยกาหนด วา่ จะสอนหวั เรื่อง/ความคดิ รวบยอด/ปัญหาเดียวกนั ต่างคนต่างแยกกันสอนตามแผนการสอนของ ตน แตม่ อบหมายให้ผ้เู รียนทางานหรือโครงการร่วมกนั ซึ่งจะช่วยเช่ือมโยงความรู้สาขาวิชาต่าง ๆ เข้า ด้วยกนั จนสร้างชิน้ งานได้ ครูแตล่ ะวิชากาหนดเกณฑ์เพื่อประเมินผลชิน้ งานของผ้เู รียนในส่วนวิชาท่ีตน สอน 4. การบูรณาการแบบข้ามวิชา หรือสอนเป็ นคณะ ครูที่สอนวิชาตา่ ง ๆ ร่วมกนั วางแผน ปรึกษาหารือ กาหนดหวั เร่ือ ง ความคดิ รวบยอด ปัญหาเดียวกนั จดั ทาแผนการสอนร่วมกนั แล้วร่วมกนั สอนเป็ นคณะ (Team) โดยดาเนินการสอนผ้เู รียนกลมุ่ เดียวกนั มอบหมายงาน โครงการให้นกั เรียนทา ร่วมกนั ครูทกุ วชิ าร่วมกนั กาหนดเกณฑ์เพ่ือประเมินผลชิน้ งานของผ้เู รียนร่วมกนั การจดั กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสาหรับนกั ศึกษา การศกึ ษานอกระบบ คือ การนาหลกั การ การบรู ณาการทกุ รูปแบบมาใช้ทงั้ รูปแบบการสอดแทรก แบบคขู่ นาน แบบสหวิทยา แบบโครงการ แบบ โครงงาน การจดั กระบวนการเรียนรู้แบบบรู ณาการอาจใช้หลาย ๆ เทคนคิ ผสมผสานเข้าด้วยกนั

7 การจัดกระบวนการเรียนรู้การศึกษานอกโรงเรียนแบบบูรณาการ โดยใช้ “ONIE MODEL” ขัน้ ตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการเป็ นขนั้ ตอนท่ีสาคญั ในการจัดการเรียนรู้ การศกึ ษานอกระบบ การจดั กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการโดยใช้ ONIE MODEL ประกอบด้วย กระบวนการหลกั ๆ ได้แก่ 1. การกาหนดสภาพปัญหาที่ต้องการในการเรียนรู้ (Orientation) 2. การแสวงหาความรู้และข้อมลู ตา่ งๆ (New Way of Learning) 3. การนาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ช้ (Implementation) 4. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (Evalution) องค์ประกอบตา่ งๆ เหล่านี ้ถกู นามาเป็ นประเดน็ ในการกาหนดกระบวนการจดั การเรียนรู้เป็ นการ รวบรวมเนือ้ หาสาระของวิชาการต่างๆ ที่มีลกั ษณะเหมือนกนั หรือคล้ายกัน ให้เชื่อมโยงสัมพนั ธ์เป็ นสิ่ง เดียวกนั โดยการตงั้ เป็ นหวั เร่ืองขึน้ ใหม่ และมีหวั ข้อยอ่ ยตามเนือ้ หาสาระท่ีสามารถจดั การเรียนรู้เป็ นเร่ือง เดียวกนั ได้ และยงั ให้โอกาสกบั ผ้เู รียนในการปฏิบตั กิ ิจกรรมด้วยตนเองให้มากที่สดุ มีกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ใช้หลากหลายวิธี และด้วยองค์ประกอบที่สอดคล้องกับเนือ้ หาสาระดงั กล่าวนีจ้ ึงขอเรียกกระบวนการ จดั การเรียนรู้นีว้ า่ การจดั กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ “ONIE MODEL” จัดอย่างไรใน ONIE MODEL การจดั กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ ONIE MODEL คือการนาองค์ประกอบต่างๆ ของการจดั การ ความรู้มาวิเคราะห์ และดาเนินการจดั การเรียนรู้อย่างเป็ นขนั้ ตอน ซึ่งเร่ิมจากการวิเคราะห์สภาพปัญหา และความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคม และนามาจัดกลุ่มและตงั้ ชื่อเรื่อง จากนนั้ ครูและผู้เรียนจึง ร่วมกนั วิเคราะห์ตอ่ ไปว่าในการที่จะต้องการความรู้ในเรื่องนนั้ ๆ จะต้องมีข้อมลู หรือความรู้อ่ืนใดอีกบ้างท่ี จะต้องศกึ ษาค้นคว้าเพ่ิมเตมิ แล้วชว่ ยกนั รวบรวมรายละเอียดเนือ้ หาตา่ งๆ ที่สอดคล้องกนั สามารถนามา เรียนรู้ร่วมกนั มีการกาหนดประเดน็ ปัญหา ส่งิ ที่จาเป็นในการเรียนรู้ และกาหนดกิจกรรมในการเรียนรู้อยา่ ง เป็นขนั้ ตอน ดงั นี ้ ตัวอย่าง การจัดการเรียนรู้โดยใช้ ONIE MODEL ขนั้ ตอนที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O: Orientation) - ผ้เู รียนและครูร่วมกันพดู คยุ ซกั ถามเรื่องเหตกุ ารณ์ปัจจบุ นั โดยพบว่าสงั คมปัจจุบนั เกิดปัญหา เศรษฐกิจตกต่า สินค้ามีราคาแพงขนึ ้ ประชาชนได้รับคา่ แรงต่า แตย่ งั มีพฤตกิ รรมใช้จา่ ยฟ่ มุ เฟื อย ทาให้เกิด ปัญหาการเป็ นหนีน้ อกระบบ ขาดนิสยั การออม ประชาชนประสบปัญหาความยากจน และมีแนวโน้มทวี ความรุนแรงตอ่ ไป ประชาชนตกงานเน่ืองจากขาดความรู้ มีการเลือกงานและเปลี่ยนงานบอ่ ย ทงั้ นีร้ วมไป ถึงปัญหาในการขาดการวางแผนในการใช้จา่ ย ทาให้รายรับไมเ่ พียงพอกบั รายจา่ ย ขนั้ ตอนท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และกิจกรรมการเรียนรู้ (N : New way of Learning)

8 - ให้ผ้เู รียนศกึ ษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้และสื่อตา่ งๆ เก่ียวกบั ปัญหาเศรษฐกิจตกต่า แล้วนามา วเิ คราะห์สรุปเป็นผงั ความคดิ (Mind Mapping) แล้วนามาเสนออภิปรายในการพบกลมุ่ การจดั การเรียนรู้ - ให้ผ้เู รียนมีการศกึ ษาแผนพฒั นาอาชีพ จากแหล่งความรู้ตา่ งๆ แล้วนามาเสนออภิปรายร่วมกัน เพ่ือเป็นแนวทางในการแสวงหาอาชีพที่เหมาะสมตอ่ ไป - อาจมีการร่วมกนั สารวจทรัพยากรและการประกอบอาชีพของชุมชน แล้วนามาศึกษาวิเคราะห์ ปัจจยั ความต้องการ ประเภทธุรกิจ จดั ทาแผนการดาเนนิ งาน ซงึ่ จะเป็นแนวทางในการขยายงานออกไปได้ อีกด้วย ขนั้ ตอนที่ 3 การปฏิบตั แิ ละนาไปใช้ (I : Implementation) ขนั้ ตอนนีส้ ามารถชว่ ยกนั สรุปสาระสาคญั และนาความรู้ที่สอดคล้องไปเป็ นแนวทางในการดาเนิน ชีวิต โดยเลือกความรู้ที่ได้รับนาไปปรับประยกุ ต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกบั ความรู้ ความสามารถ ความต้องการของแตล่ ะคน มีการพฒั นาศกั ยภาพที่ชดั เจน นาไปสกู่ ารมีชีวิตที่มีคณุ ภาพสมบรู ณ์ตอ่ ไป ขนั้ ตอนท่ี 4 การประเมินผลการเรียน (E : Evaluation) การจัดการเรียนรู้ควรต้องมีการประเมินผลจึงจะทราบว่าการจัดการเรียนรู้นัน้ เป็ นไปตาม วัตถุประสงค์ที่ตงั้ ไว้หรือไม่ เนือ้ หาครบถ้วนสมบูรณ์ตามท่ีตงั้ ใจจะให้เป็ นหรือยัง หรือควรจะต้องมีการ เพิ่มเตมิ ปรับปรุงสว่ นใดอีกหรือไม่ อยา่ งไร ในขนั้ นี ้ผ้เู รียน และผ้สู อน จะต้องมีการสรุปสาระสาคญั ร่วมกนั ตามมาตรฐานการเรียนรู้ แล้วประเมินผลการจดั การเรียนรู้ ทงั้ 4 ขนั้ ตอนในการจดั กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ ONIE MODEL เป็ นแนวทางในการจดั การเรียนรู้ ท่ีสอดคล้องกับวิสยั ทัศน์ของสานกั งาน กศน. ที่ว่า “คนไทยเกิดสงั คมแห่งการเรียนรู้” และยงั ผนวกด้วย เหตผุ ลในการจดั การเรียนรู้ให้เป็นไปตามเป้ าประสงค์ 7 ประการ ดงั นี ้ 1. คนไทยได้รับโอกาสทางการศกึ ษาอยา่ งทวั่ ถึง ครอบคลมุ และเป็นธรรม 2. ผ้เู รียนละผ้รู ับบริการได้รับการศกึ ษาที่มีคณุ ภาพ ได้มาตรฐานและมีคณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ เพื่อนาไปสคู่ วามเป็นพลเมืองดีในระบบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมขุ 3. ภาคีเครือขา่ ยเข้ามาร่วมดาเนินการจดั การศกึ ษาตลอดชีวติ อยา่ งกว้างขวาง 4. ชมุ ชนมีการจดั การความรู้ และกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างสงั คมแหง่ ภมู ปิ ัญญาและการเรียนรู้ 5. แหล่งการเรียนรู้มีอย่อู ย่างท่ัวถึงและได้รับการพฒั นา เพื่อเพิ่มโอกาสและช่องทางการศึกษา และการเรียนรู้ตลอดชีวติ ท่ีมีคณุ ภาพ และตอบสนองความต้องการของประชาชน 6. หนว่ ยงานและสถานศกึ ษานาเทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมา ใช้ในการบริหารองคก์ ร และการจดั บริการการเรียนรู้แก่ประชาชนอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 7. หนว่ ยงานและสถานศกึ ษามีระบบการบริหารจดั การท่ีมีคณุ ภาพ สามารถจดั บริการตอบสนอง กบั สภาพและความต้องการของผ้เู รียนและผ้รู ับบริการได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ

9 แม้กระบวนการจดั การเรียนรู้อยา่ งเป็ นขนั้ เป็ นตอนตามรูปแบบ ONIE จะสามารถอธิบายได้อยา่ ง ชดั เจนถึงการบรู ณาการเนือ้ หาสาระของวิชาตา่ งๆ ได้แล้ว สิง่ ท่ีควรคานงึ ถงึ และความสาคญั อย่างย่ิงในการ เช่ือมโยงความสัมพันธ์เพื่อนาไปสู่การค้นคว้าหัวข้อองค์ความรู้ใหม่ เพ่ือมาวิเคราะห์ สงั เคราะห์สู่การ แก้ ปั ญหาเพื่อให้ พบความสุข ซึ่งบุคคลสามารถรู้จักตนเอง แสวงหาความรู้ ปรับประยุก ต์ใช้ ใน ชีวิตประจาวนั ได้อย่างลงตวั และรากฐานของความเชื่อตามแนวพระพทุ ธศาสนา ที่สอนให้บคุ คลสามารถ พ้นทุกข์ และพบความสุขได้ด้วยการค้นหาสาเหตุของปัญหา สาเหตขุ องทุกข์ ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลนัน้ สามารถอยใู่ นสงั คมได้อยา่ งมีความสขุ เป็นบคุ คลที่เรียกวา่ เป็นผู้ “คดิ เป็น” Khit-Pen เก่ียวอะไรกับ ONIE ปรัชญา “คิดเป็ น” อยบู่ นพืน้ ฐานความคิดที่วา่ ความต้องการของแตล่ ะบคุ คลไมเ่ หมือนกนั แต่ ทกุ คนมีจดุ รวมของความต้องการที่เหมือนกนั คอื ทกุ คนต้องการความสขุ คนเราจะมีความสขุ เมื่อเราและ สงั คมส่ิงแวดล้อมประสมกลมกลืนกนั ได้ โดยการปรับปรุงตวั เราให้เข้ากบั สงั คมหรือส่ิงแวดล้อมหรือโดย การปรับปรุงสงั คมและส่งิ แวดล้อมให้เข้ากบั ตวั เรา หรือปรับปรุงทงั้ ตวั เราและสงั คมส่ิงแวดล้อมให้ประสม กลมกลืนกนั หรือเข้าไปอยใู่ นส่งิ แวดล้อมท่ีเหมาะสมกบั ตน คนท่ีสามารถทาได้เชน่ นี ้เพื่อให้ตนเองมี ความสขุ นนั้ จาเป็ นต้องเป็นผ้มู ีความคิดสามารถคดิ แก้ปัญหา รู้จกั ตนเองและธรรมชาตสิ ่งิ แวดล้อม จงึ จะ เรียกได้ว่าผ้นู นั้ เป็ นคน “คดิ เป็ น” หรืออีกนยั หนงึ่ ปรัชญา “คดิ เป็ น” มาจากความเชื่อพืน้ ฐานตามแนวพทุ ธ ศาสนา ที่สอนให้บคุ คลสามารถพ้นทกุ ข์ และพบความสขุ ได้ด้วยการค้นหาสาเหตขุ องปัญหา สาเหตขุ อง ทกุ ข์ ซง่ึ สง่ ผลให้บคุ คลผ้นู นั้ สามารถอยใู่ นสงั คมได้อย่างมีความสขุ (สานกั งาน กศน. , 2551 : ) ความหมายของ “คิดเป็ น” โกวิท วรพิพฒั น์ ได้ให้คาอธิบายเก่ียวกบั “คิดเป็ น” วา่ “บคุ คลที่คดิ เป็นจะสามารถเผชญิ ปัญหาใน ชีวิตประจาวนั ได้อยา่ งมีระบบ บคุ คลผ้นู ีจ้ ะสามารถพนิ จิ พจิ ารณาสาเหตขุ องปัญหาที่เขากาลงั เผชิญอยู่ และสามารถรวบรวมข้อมลู ตา่ ง ๆ ได้อยา่ งกว้างขวางเกี่ยวกบั ทางเลือก เขาจะพิจารณาข้อดขี ้อเสียของแต่ ละเรื่อง โดยใช้ความสามารถเฉพาะตวั คา่ นยิ มของตนเอง และสถานการณ์ที่ตนเองกาลงั เผชิญอยู่ ประกอบการพิจารณา” การ “คิดเป็ น” เป็นการคดิ เพื่อแก้ปัญหา คือ มีจดุ เร่ิมต้นที่ปัญหาแล้วพิจารณา ย้อนไตร่ตรองถึงข้อมลู 3 ประเภท คอื ข้อมลู ด้วยตนเองชมุ ชน สงั คม สง่ิ แวดล้อม และข้อมลู วิชาการ ตอ่ จากนนั้ ก็ลงมือกระทาถ้าหากสามารถทาให้ปัญหาหายไป กระบวนการก็ยตุ ลิ ง แตห่ ากบคุ คลยงั ไมพ่ อใจ แสดงวา่ ยงั มีปัญหาอยู่ บคุ คลก็จะเริ่มกระบวนการพิจารณาทางเลือกใหมอ่ ีกครัง้ และกระบวนการนีย้ ตุ ลิ ง เมื่อบคุ คลพอใจและมีความสขุ เม่ือบคุ คลต้องการความสขุ จงึ ต้องมีการแสวงหา แตค่ วามต้องการของแต่ ละบคุ คลยอ่ มแตกตา่ งกนั บคุ คลจะมีความสขุ ได้บคุ คลนนั้ จะต้องมีความผสมกลมกลืนกนั ได้กบั สงั คมและ สงิ่ แวดล้อม นนั่ คือการปรับตวั ให้เข้ากบั สงั คมและสงิ่ แวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา โดยอาจปรับ

10 สงั คมและส่งิ แวดล้อมให้เข้ากบั ตวั เรา หรือปรับทงั้ ตวั เราและสงั คมสิ่งแวดล้อมให้ผสมกลมกลืนกนั ได้ก็จะมี ความสขุ คนที่ทาเชน่ นีไ้ ด้จะต้องรู้จกั ใช้ปัญญา รู้จกั ตนเองและธรรมชาตสิ งิ่ แวดล้อมเป็นอยา่ งดี จงึ จะเรียก ได้วา่ “คนคิดเป็ น” นนั่ คือเป็ นผ้ทู ี่รู้จกั ปัญหาเร่ืองทกุ ข์ รู้จกั สาเหตแุ หง่ ทกุ ข์ ซง่ึ มีอยใู่ นตนเอง และ สภาพแวดล้อม รู้จกั การวเิ คราะห์หาวธิ ีดบั ทกุ ข์จากวชิ าการและประสบการณ์ และสามารถใช้กลวธิ ีท่ี เหมาะสมในการดบั ทกุ ข์ จงึ จะเกิดความสขุ ถ้ายงั ไมเ่ กิดความสขุ ก็ต้องย้อยกลบั ไปพจิ ารณาข้อมลู ทงั้ 3 ด้าน คอื ตนเอง สงั คมและส่ิงแวดล้อม และด้านวิชาการใหมอ่ ีกครัง้ จนกวา่ จะพอใจ นนั่ คือพบกบั ความสขุ ตามที่ตนต้องการ ดงั ผงั กระบวนการคดิ ดงั ตอ่ ไปนี ้ ปัญหา สาเหตุของปัญหา ตนเอง สังคม วชิ าการ หาทางแกป้ ัญหา ความสุข ไมพ่ อใจ ปฏิบตั ิ พอใจ ประเมินผล แผนภูมิ กระบวนการแก้ไขปัญหาของคน “คดิ เป็น” จะเห็นได้วา่ การจดั กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ ONIE MODEL ล้วนใช้พืน้ ฐานจากปรัชญา “คิดเป็ น” ทงั้ สนิ ้ เพราะในแตล่ ะขนั้ ตอนใช้ข้อมลู ในการพินิจพิจารณาท่ีเหมือนกนั กล่าวคือ มีการกาหนดส่ิงที่ต้องการ เรียนรู้หรือปัญหาที่ต้องการจะนาไปสู่การแก้ไข ซ่ึงแน่นอน จะต้องคิดอย่างเป็ นระบบเพื่อท่ีจะแก้ปัญหา เหลา่ นนั้ ซง่ึ การคดิ อยา่ งเป็ นระบบก็คือการ “คิดเป็ น” การคิดอย่างเป็ นระบบนนั้ ก็จะต้องใช้ข้อมลู ตา่ งๆ มา

11 ประกอบกนั ข้อมลู ท่ีวา่ ก็คงไมพ่ ้น 3 องค์ประกอบ ตามหลกั การพืน้ ฐานของปรัชญาคดิ เป็ นเชน่ เดียวกนั คิด จนรอบคอบ พบความสุข แก้ปัญหาได้ จึงนาความรู้ที่ได้ไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่าง เหมาะสมตามรูปแบบของ ONIE ในส่วนของการนาไปใช้ (Implementation) ขนั้ สดุ ท้ายคือขนั้ ประเมินผล บทสรุปของปรัชญาคดิ เป็น และการจดั กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ ONIE MODEL จบลงด้วยการประเมินผล หากยงั ไม่พอใจปรัชญาคดิ เป็ น ต้องย้อนกลบั ไปไตร่ตรองหาเหตผุ ลจากสามองค์ประกอบใหม่ จนสามารถ แก้ปัญหาได้ พบความสขุ ตามความพอใจของบคุ คล เช่นเดียวกบั รูปแบบ ONIE ซ่งึ จะต้องจดั การเรียนรู้ให้ เป็นไปตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ตงั้ ไว้นนั่ เอง คดิ อย่างไรเรียกว่า “คดิ เป็ น” “คดิ เป็ น” เป็นการคิดแบบพอเพียง พอประมาณ ไมม่ าก ไมน่ ้อยเป็นทางสายกลาง สามารถอธิบาย ได้ด้วยเหตผุ ล พร้อมท่ีจะรับผลกระทบที่เกิดโดยมีความรอบรู้ในวชิ าการท่ีเกี่ยวข้องอยา่ งรู้จริง สามารถนา ความรู้มาใช้ประโยชน์ได้ มีคณุ ภาพใช้สตปิ ัญญาในการดาเนินชีวิต ซง่ึ แนวคดิ นีส้ อดคล้องกบั ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั นน่ั เอง เป็นการบรู ณาการเอาการคดิ การกระทา การ แก้ปัญหา ความเหมาะสมและความพอดี มารวมไว้ในคาวา่ “คดิ เป็ น” คอื การคดิ เป็ นทาเป็นอยา่ ง เหมาะสมตนเกิดความพอดี และแก้ปัญหาได้ด้วย การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เพ่อื ให้เป็ นคน “คดิ เป็ น” กระบวนการเรียนรู้ตามปรัชญา “คิดเป็ น” นี ้ผ้เู รียนสาคญั ท่ีสดุ ผ้สู อนจะเป็นเพียงผ้จู ดั โอกาส จดั กระบวนการ จดั ระบบข้อมลู และแหลง่ การเรียนรู้ กิจกรรมในการเรียนรู้อาจมีแนวปฏิบตั ิดงั นี ้ 1.กระต้นุ ให้ผ้เู รียนคิดวิเคราะห์จากปัญหาและความต้องการของตนเอง 2. ผ้เู รียนมีสว่ นร่วมในการเรียนรู้อยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ 3. เรียนรู้จากการอภิปรายถกเถียงในประเดน็ ที่เป็ นปัญหา 4. ให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้จากกระบวนการกลมุ่ มีการใช้ข้อมลู หลาย ๆ ด้าน 5. เรียนรู้จากวถิ ีชีวิตจริง จากการทางาน 6. ให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้จากการทาโครงงาน 7. เรียนรู้จากการศกึ ษา กรณีตวั อยา่ งเพื่อการแก้ปัญหาชมุ ชน 8. ผ้เู รียนต้องรู้จกั ใช้ข้อมลู ท่ีลกึ ซงึ่ ฝึกตดั สนิ ใจด้วยระบบข้อมลู ท่ีเพียงพอและเช่ือถือได้ 9. นาเวทีชาวบ้านมาเป็นเครื่องมือสาคญั ในกระบวนการคดิ แก้ปัญหา 10. สง่ เสริมให้ผ้เู รียนได้ตดั สินใจในการแก้ปัญหาบนพืน้ ฐานของข้อมลู ตนเอง ชมุ ชนสง่ิ แวดล้อม และ วิชาการ

12 การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM ) การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) หมายถึง การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอย่ใู น หน่วยงานซ่ึงกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสารมาพัฒนาให้เป็ นระบบ เพ่ือประมวลข้อมูล สารสนเทศ ความคิด การกระทา ตลอดจนประสบการณ์ของบคุ คล เพ่ือสร้างความรู้เป็ นนวตั กรรม และ จดั เก็บไว้ในลกั ษณะแหลง่ ข้อมลู เพื่อให้ทกุ คนในองคก์ รสามารถเข้าถึงความรู้ ประยกุ ต์ใช้ในการปฏิบตั งิ าน และพฒั นาตนเองเป็นผ้รู ู้ รวมทงั้ ปฏิบตั งิ านได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ อนั จะกอ่ ให้เกิดการแบง่ ปันและถ่ายโอน ความรู้ ในที่สุดความรู้ท่ีมีอยู่จะแพร่กระจายสู่องค์กรและส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในการพัฒนา ผลผลติ สงู สดุ (พรธิดา วิเชียรปัญญา, 2547) การจดั การความรู้เป็ นการดาเนินการอยา่ งน้อย 6 ประการตอ่ ความรู้ ได้แก่ 1) การกาหนดความรู้ หลกั ที่จาเป็ นหรือสาคญั ตอ่ งานหรือกิจกรรมของกลมุ่ หรือองค์กร 2) การเสาะหาความรู้ท่ีต้องการ 3) การ ปรับปรุง ดดั แปลง หรือสร้างความรู้บางส่วน ให้เหมาะตอ่ การใช้งานของตน 4) การประยกุ ต์ใช้ความรู้ใน กิจการงานของตน 5) การนาประสบการณ์จากการทางาน และการประยกุ ต์ใช้ความรู้มาแลกเปล่ียนเรียนรู้ และสกดั “ขมุ ความรู้” ออกมาบนั ทกึ ไว้ และ6) การจดบนั ทกึ “ขมุ ความรู้” และ “แก่นความรู้” สาหรับไว้ใช้ งาน และปรับปรุงเป็นชดุ ความรู้ท่ีครบถ้วน ลมุ่ ลกึ และเช่ือมโยงมากขนึ ้ เหมาะตอ่ การใช้งานมากย่งิ ขนึ ้ ประเภทของความรู้ ความรู้สามารถแบง่ ออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้สองประเภท 1. ความรู้ที่ฝังอยใู่ นคน หรือความรู้มองเห็นไม่ชดั เจน (Tacil Knowledge) เป็ นทกั ษะความรู้ที่ได้จาก ประสบการณ์ พรสวรรค์ หรือสญั ชาตญาณของแตล่ ะบคุ คลในการทาความเข้าใจสิ่งตา่ งๆ เป็ นความรู้ที่ไม่ สามารถถ่ายทอดออกมาเป็ นคาพูดหรือลายลกั ษณ์อักษรได้โดยง่าย แตส่ ามารถแบ่งปันความรู้โดยการ สงั เกตและเลียนแบบ เชน่ ทกั ษะในการทางานฝี มือ หรือการคดิ เชิงวเิ คราะห์ บางครัง้ จงึ เรียกว่า ความรู้แบบ นามธรรม 2. ความรู้ที่ชัดเจน (Explicil Knowledge) เป็ นความรู้ท่ีสามารถรวบรวมถ่ายทอดได้โดยผ่าน วิธีการตา่ งๆ เช่น การบนั ทกึ เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร ทฤษฎี คมู่ ือตา่ งๆ และบางครัง้ เรียกว่าเป็ นความรู้แบบ รูปธรรม ระดบั ของความรู้ ความรู้แบง่ เป็ น 4 ระดบั ดงั นี ้ ระดบั ท่ี 1 : Know-what > รู้วา่ คอื อะไร เป็นความรู้เชิงการรับรู้ ระดบั ที่ 2 : Know-how > รู้วิธีการ เป็นความสามรถในการนาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ช้ในการปฏิบตั ิ

13 ระดบั ที่ 3 : Know-why > รู้เหตผุ ล เป็ นความเข้าใจอย่างลึกซงึ ้ เชิงเหตผุ ลที่สลบั ซบั ซ้อนอยภู่ ายใต้ เหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ความรู้นีส้ ามารถพัฒนาได้บนพืน้ ฐานของประสบการณ์ในการแก้ไข ปัญหาและการอภิปรายแลกเปล่ียนประสบการณ์ร่วมกบั ผ้อู ่ืน ระดบั ที่ 4 : Care-why > ใส่ใจกับเหตผุ ล เป็ นความรู้ในลกั ษณะการสร้างสรรค์ที่มาจากตวั เอง บคุ คลที่มีความรู้ในระดบั นีจ้ ะมีเจตจานง แรงจงู ใจ และการปรับตวั เพื่อความสาเร็จ บทสรุป การดาเนินการด้านการจดั การกระบวนการเรียนรู้อีกประเภทหนง่ึ ที่แตกตา่ งไปจากการศกึ ษาท่ีจดั กันในโรงเรียน ในสถานศึกษาตามความเข้าใจทั่วไป เป็ นการศึกษาที่เรียกว่าการศึกษานอกโรงเรียน การศกึ ษานอกระบบ การศกึ ษาตามอธั ยาศยั การศกึ ษาทางเลือก การศกึ ษาเพื่อการพฒั นา หรือท่ีพยายาม เรียกรวมเข้าด้วยกนั ว่า การศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ทงั้ หมด แต่เป็ นที่ยอมรับว่าการศึกษา ประเภทนีม้ ีอย่จู ริงและเป็ นการศกึ ษาที่เป็ นความหวงั ของผ้คู นจานวนมากในสงั คมปัจจบุ นั ความพยายาม ที่จะสื่อสารให้สังคมได้รับรู้และเข้าใจเร่ืองของการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ภายใต้ บริบทของคาว่าการศึกษาตลอดชีวิต มีการลงมือจัดการศึกษาประเภทนีอ้ ย่างตอ่ เนื่องและจริงจงั ทาให้ สร้างโอกาสให้ประชากรได้เป็ นจานวนมาก เพราะความสาคญั ของการรู้หนงั สือซึ่งเป็ นเงื่อนไขสาคญั ของ การพฒั นาประเทศในปัจจุบนั โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงั คมท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว โลกแห่งการ ส่ือสารไร้พรมแดน การรู้หนงั สือเพียงแคอ่ ่านออกเขียนได้ทวั่ ๆ ไปอาจจะน้อยเกินไป คงจะต้องมีการพฒั นา ท่ีซบั ซ้อนขึน้ โดยเฉพาะการอ่านออกเขียนได้ทางคอมพิวเตอร์ (Computer Litteracy) การใช้เทคโนโลยี ต่างๆ ได้อย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิตท่ีเปลี่ยนไป การจัดการเรียนรู้จาเป็ นต้องเช่ือมโยงเนือ้ หาท่ียากขึน้ ซบั ซ้อนและจาเป็นท่ีจะต้องมีการพฒั นาขนึ ้ เร่ือยๆ การเรียนรู้นนั้ เป็ นธรรมชาติของมนษุ ย์ท่ีจะต้องเรียนรู้อย่ตู ลอดเวลา ตัง้ แตเ่ กิดจนกระทง่ั ตาย ส่ิงท่ี มนษุ ย์เราเรียนรู้และดารงชีวิตอยนู่ นั้ ไมไ่ ด้จากการเรียนรู้เพียงในโรงเรียนเท่านนั้ การเรียนในโรงเรียนตามที่ กาหนดให้เป็ นเพียงการเรียนเพียงช่วงอายหุ น่ึงเท่านนั้ แตย่ งั มีความรู้อีกมากมายมหาศาลที่เราจะต้อง เรียนรู้ ย่ิงมีการพฒั นาความรู้ขนึ ้ มาเรื่อยๆ จาเป็นอยา่ งยิ่งท่ีเราจะต้องเรียนรู้ให้ทนั การเปล่ียนแปลงอยเู่ สมอ การจดั การเรียนรู้ตามรูปแบบการศึกษานอกโรงเรียนถือเป็ นการจดั การเรียนรู้ให้กับผู้พลาดโอกาสทาง การศึกษาให้มีโอกาสก้าวสู่ความสาเร็จได้ การเรียนรู้สู่การปฏิบตั ิถือเป็ นส่ิงสาคัญต่อการพัฒนาไปสู่ เป้ าหมาย การนาความรู้ไปปฏิบตั ิให้เกิดประโยชน์เป็ นรูปธรรม โดยอาศยั การมีปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างบคุ คล ทาให้องค์ความรู้กว้างขวางขึน้ มีการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกนั และกนั มีการจดั การความรู้ท่ีดี และมีระบบ ด้วยความตอ่ เน่ือง ผสมผสาน สอดคล้อง โดยมีความยืดหย่นุ ในด้านเวลา สถานท่ี เนือ้ หา ตลอดจนเทคนิค การเรียนการสอนที่มีหลากหลายรูปแบบในการจดั

14 การจดั กระบวนการเรียนรู้เน้นให้ผ้เู รียนแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยการใช้ส่ือการเรียนรู้ท่ี หลากหลาย ได้แก่ ส่ือส่ิงพิมพ์ ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ส่ือบคุ คล ภูมิปัญญา แหลง่ เรียนรู้ที่มีอย่ใู นท้องถิ่น ชมุ ชน และแหล่งเรียนรู้อ่ืนๆ ผ้เู รียน ครู สามารถพฒั นาสื่อการเรียนรู้ขึน้ เอง หรือนาสื่อต่างๆ ที่มีอย่ใู กล้ตวั และ ข้อมูลสารสนเทศท่ีเกี่ยวข้องมาใช้ในการเรียนรู้ โดยใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้สื่อต่างๆ ซึ่งจะช่วย สง่ เสริมให้การเรียนรู้เป็ นไปอยา่ งคุ้มคา่ นา่ สนใจ ชวนคิด ชวนตดิ ตาม เข้าใจง่าย เป็ นการกระต้นุ ให้ผ้เู รียน รู้จักวิธีการแสวงหาความรู้ เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ลึกซึง้ และต่อเนื่องตลอดเวลา การจัด กระบวนการเรียนรู้ในองค์กรมีความแตกตา่ งจากการเรียนรู้ในระบบการศึกษา เพราะเป็ นการเรียนรู้ของ ผ้ใู หญ่ที่เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมการทางาน เป็นกระบวนการของการปรับปรุงแก้ไขปัญหาโดยผา่ นความรู้ ความเข้าใจจากประสบการณ์ในอดีต สง่ิ ท่ีเคยทาผดิ พลาดในอดีต สิ่งท่ีได้รับจากการปฏิบตั ิงานและความรู้ จากศาสตร์อื่นๆ การจดั กระบวนการเรียนรู้ สามารถเรียกได้ว่า เป็ นการแบง่ ปันความรู้ความเข้าใจให้ขยาย ไปสวู่ งกว้างตอ่ ไป การเรียนรู้ประเภทนีจ้ ะเกิดขนึ ้ ใน 4 ลกั ษณะ ดงั นี ้ 1. การเรียนรู้จากการแก้ปัญหา เป็นการเรียนรู้จากการแก้ปัญหาท่ีเกิดขนึ ้ จริง เกี่ยวข้องโดยตรงกบั การทางาน ปัญหาท่ีเกิดจากการทางานจะเป็ นตวั กาหนดว่าเราจะต้องเรียนรู้อะไรบ้างจึงจะแก้ไขปัญหา เหลา่ นนั้ ได้ 2. การเรียนรู้ร่วมกนั เป็ นทีม จะทาให้เกิดการเรียนรู้มากกว่าการเรียนรู้ของบคุ คล ทาให้สมาชิกได้ คดิ อยา่ งลกึ ซงึ ้ และร่วมกิจกรรมในการเรียนรู้เพื่อการพฒั นา 3. การเรียนรู้โดยการปฏิบตั ิ เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ การแลกเปล่ียน การได้รับคาแนะนา จากบคุ คลอื่น 4. การเรียนรู้และทางานร่วมกนั ในลกั ษณะภาคีเครือข่าย เป็ นลกั ษณะความสมั พนั ธ์กบั บคุ คลอื่น โดยไมม่ ีการบงั คบั แลกเปลี่ยนความคิดและทรัพยากรระหว่างกนั ตามความสมคั รใจ มีการชว่ ยเหลือซง่ึ กนั และกนั อยา่ งสม่าเสมอ ด้วยหลกั การและเหตผุ ลดงั ที่ได้กล่าวมานี ้ย่อมเป็ นที่ประจกั ษ์ว่ากระบวนการจดั การเรียนรู้โดยใช้ ONIE MODEL ในการบรู ณาการเนือ้ หาวิชาการ เพ่ือนาไปสู่การแก้ปัญหา แสวงหาองค์ความรู้ และ ตอบสนองความต้องการของบุคคล ยึดปรัชญา “คิดเป็ น” ให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ พัฒนาตนในการคิด วิเคราะห์และแก้ปัญหา ตลอดจนใช้แนวทางการจดั การศกึ ษาในพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ซง่ึ ยดึ หลกั ท่ีวา่ ผ้เู รียนทกุ คนสามารถพฒั นาตนเองได้ และผ้เู รียนมีความสาคญั ที่สดุ ดงั นนั้ การ จดั กระบวนการเรียนรู้การศกึ ษานอกระบบแบบบรู ณาการ จงึ ถีอเป็นระบบหลกั ของการพฒั นาคนส่กู ารเป็ น มนษุ ย์ที่สมบูรณ์ ทงั้ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คณุ ธรรม มีจริยธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข มีคณุ ภาพชีวิติที่ดี เป็ นการปูพืน้ ฐานของการพฒั นาทงั้ ปวง เพราะการ พฒั นาสิง่ ตา่ งๆ นนั้ สาคญั ที่สดุ ต้องพฒั นา “คน” ก่อนนนั่ เอง

15 รายการอ้างอิง กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน. 2538. สารานกุ รมการศกึ ษาตลอดชีวิต เลม่ 1 กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา ลาดพร้ าว. คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ. สานกั งาน. (2545). พระราชบญั ญตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และ ท่ีแก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบบั ท่ี2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์พริกหวานกราฟฟิคจากดั . ชยั ยศ อ่มิ สวุ รรณ์. 2550. คดิ เป็นคือคดิ พอเพียง วารสาร กศน. เพ่ือนเรียนรู้ มีนาคม 2550, หน้า 9-11. ชมุ พล หนสู ง และคนอ่ืนๆ. 2544. ปรัชญาคดิ เป็น. (หนงั สือรวบรวม คาบรรยายและบทสมั ภาษณ์ ดร.โกวทิ วรพิพฒั น์. 2544. ในโอกาสตา่ งๆ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อกั ษรไทย. ทองอยู่ แก้วไทรฮะ. คิดเป็ น : เพ่ือนเรียนรู้สอู่ นาคต วารสาร กศน.พ่ือนเรียนรู้. มีนาคม 2550, หน้า 12-16. อนุ่ ตา นพคณุ . 2528. แนวคิดทางการศกึ ษานอกระบบโรงเรียนและการพฒั นาชมุ ชนเรื่อง คดิ เป็น. กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์. บริหารการศกึ ษานอกโรงเรียน. สานกั . (2549). คมู่ ือการแนะแนวการศกึ ษานอกโรงเรียน. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. สง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั . สานกั งาน. (2551). คมั ภีร์ กศน. . กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ห้างห้นุ สว่ นจากดั เอน็ เอ รัตนเทรดดงิ ้ -----------(2552). หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพมหานคร: รังีการพมิ พ์. ผู้วิจัย นางสาวนสุ รา สกลนกุ รกิจ ตาแหนง่ นสิ ติ ปริญญาเอก หลกั สตู การศกึ ษาผ้ใู หญ่มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร เบอร์ตดิ ตอ่ 081-6296906 e-mail address [email protected] บทความวิจัยได้นาเสนอในงาน “วันการศกึ ษานอกโรงเรียน ประจาปี ๒๕๕๔” ภายใต้หวั ข้อ “การ เรียนรู้ตลอดชีวติ เพ่ือการพัฒนามนุษย์และสังคม” สาขาวชิ าการศกึ ษานอกระบบโรงเรียน ภาควชิ าการศกึ ษาตลอดชีวติ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันพฤหสั บดที ่ี ๘ สงิ หาคม ๒๕๕๔