Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางการให้วัคซีนโควิด 19

แนวทางการให้วัคซีนโควิด 19

Description: แนวทางการให้วัคซีนโควิด 19

Keywords: แนวทางการให้วัคซีนโควิด 19

Search

Read the Text Version

19แนวทางการให้วัคซีนโควิด ในสถานการณ์การระบาดป 64 ของประเทศไทย กรมควบคมุ โรค กมุ ภาพนั ธ์ 2564

คำนำ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรสั โคโรนา 2019 ในปัจจุบันได้ส่งผลกระทบในวงกวา้ งอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะ ใช้มาตรการป้องกันควบคุมโรคหลายมาตรการ เช่น คัดกรองและเฝ้าระวังโรค กักตัวผู้มีความเสี่ยง รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า งดจัดกิจกรรมท่ีรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ทำความสะอาดสถานที่และพื้นผิวสัมผัสร่วม เป็นตน้ แต่ส่ิงท่ีเป็นความหวังของรฐั บาลและประชาชนในขณะน้ี คือ วัคซีนป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า วัคซีนโควิด 19 นั้น ประเทศไทยได้มีการเตรียม ความพร้อมท่ีเก่ียวข้องกับการจัดหาวัคซีนดังกล่าว เพ่ือให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการใช้วัคซีนที่มีความปลอดภัย และมีประสทิ ธภิ าพไดม้ ากท่สี ุดเทา่ ทศี่ กั ยภาพของประเทศจะดำเนนิ การได้ ขณะน้ีวัคซีนโควิด 19 หลายชนิดได้รับการพัฒนาและผลิตสำเร็จ วัคซีนบางชนิดได้รับอนุญาตทะเบียน แบบฉุกเฉิน (Emergency Use Authority: EUA) จากประเทศของบริษัทผู้ผลิตเองและจากประเทศที่นำวัคซีนไปใช้ และวัคซีนบางชนิดอาจจะยังไม่ได้รับอนุญาตทะเบียน แต่รัฐบาลบางประเทศก็นำไปใช้ก่อน สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขคำนึงถึงความปลอดภัยและประโยชน์ท่ีจะเกิดแก่ประชาชน ดังน้ันวัคซีนโควิด 19 ทุกชนิดท่ีนำมาใช้ในประเทศจะต้องผ่านการพิจารณาและยอมรับจากคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการด้านวิชาการ คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซนี ฯ และคณะทำงานหลายคณะ ซึง่ ประกอบด้วยผเู้ ชีย่ วชาญ ผู้ทรงคณุ วุฒิจากหลายสาขาและภาคส่วน ที่สำคัญจะต้องผ่านการพิจารณาอนุญาตข้ึนทะเบียนแบบพิเศษ เรียกว่า “Conditional approval for emergency use authorization” จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในช่วง สถานการณ์การระบาดของโรคโควดิ 19 เพ่อื สรา้ งความม่ันใจให้แกป่ ระชาชนทกุ คนทสี่ มัครใจรบั วัคซนี วัคซีนโควิด 19 ท่ีจัดหาเป็นของประชาชนในประเทศ การที่จะให้ประชาชนได้รบั การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ท่ีมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันการเกิดโรคหรือการเกิดโรคที่รุนแรง ส่วนสำคัญเกิดจากการปฏิบัติงานของ เหล่าบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกสังกัด ซ่ึงต้องระดมแรงกายแรงใจกับภาระงานท่ีหนักและเวลาท่ีมี จำกัด ส่ิงหนึ่งที่จะสามารถช่วยให้การดำเนินงานสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ “แนวทางการให้บริการ วัคซีนโควิด 19 ในสถานการณ์การระบาด ปี 2564 ของประเทศไทย” ซึ่งกรมควบคุมโรคได้จัดทำข้ึน โดยได้รับ ความกรณุ าจากศาสตราจารยแ์ พทย์หญิงกลุ กัญญา โชคไพบูลย์กิจ ในการทบทวนองค์ความรูท้ ้ังหมดเกี่ยวกบั วคั ซีน โควิด 19 รวมถึงคณาจารย์จากโรงเรียนแพทย์ สมาคม/ราชวิทยาลัยแพทย์สาขาต่าง ๆ ผู้ทรงคุณวุฒิ และ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมควบคุมโรคและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในการเขียนและขัดเกลาเนื้อหา ในแนวทาง ซ่ึงเป็นฉบับแรกสำหรบั การปฏบิ ัติงานในช่วงตน้ กรมควบคุมโรค 2564

สารบัญ หนา้ 1 ความรู้เกีย่ วกับโรคโควิด 19 4 ความรู้เกี่ยวกบั วัคซนี โควดิ 19 14 กลไกการขับเคลอ่ื นและการเตรยี มบุคลากรในการดำเนนิ งาน 17 กลุ่มเป้าหมายและระยะการดำเนินงานให้วัคซนี 19 การสำรวจกลุ่มเปา้ หมาย การลงทะเบียนจองสิทธิ์ และนัดหมายรับบริการ 24 การเบิกจา่ ยและบริหารจดั การวคั ซนี 28 การให้บรกิ ารวคั ซนี โควดิ 19 31 การบันทกึ จัดทำรายงาน และติดตามการดำเนนิ งานให้บริการวัคซีนโควดิ 19 35 การเฝ้าระวงั ติดตามเหตกุ ารณ์ไม่พงึ ประสงค์ภายหลังไดร้ ับวคั ซีนโควดิ 19 47 ขอ้ คำถามท่ีพบบอ่ ย Q&A ภาคผนวก 50 51 1. ตวั อยา่ งใบนัดหมายรบั วคั ซนี 52 2. ตวั อย่างเอกสารรบั รองการได้รับวัคซนี โควดิ 19 ของประเทศไทย 3. ขนาดของวัคซนี โควดิ 19 ของบรษิ ทั Sinovac Life Sciences จำกัด และบรษิ ทั 53 54 AstraZeneca จำกดั 55 4. การจัดวางวัคซนี โควดิ 19 ในตเู้ ยน็ 57 5. แบบฟอร์มขอเบิกวคั ซีนโควดิ 19 59 6. แผน่ ความรู้ (Vaccine information sheet) 64 7. แบบคดั กรองและใบยินยอมรับบริการวัคซนี โควดิ 19 65 8. แบบรายงานเหตุการณ์ไมพ่ ีงประสงค์ภายหลงั ได้รับการสร้างเสรมิ ภูมิคุ้มกันโรค 9. แบบรายงานการใหว้ ัคซนี โควดิ 19 ประจำวนั เอกสารอ้างอิง

ความรเู้ กีย่ วกบั โรคโควดิ 19 โรคโควิด 19 (Coronavirus disease 2019, COVID-19) เกิดจากการติดเช้ือไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุ ซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) ซึ่งได้มีการค้นพบการระบาดคร้ังแรกที่เมืองอู่ฮ่ัน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้ังแต่ช่วงปลายปี พ.ศ. 2562 และได้มีการแพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างต่อเน่ือง เชื้อซาร์ส-โควี-2 เป็นไวรัสชนิด (+) Single strand RNA อยู่ใน Coronaviridae family จัดอยู่ใน Betacoronavirus เช่นเดียวกับ SARS-CoV และ MERS-CoV เชื้อนี้มเี ปลอื กหุ้ม (Envelop) ซง่ึ เปน็ สารจำพวกไกลโคโปรตีน เม่อื ส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ อิเล็กตรอนจะเห็นกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต เป็นปุ่ม (Spike) ย่ืนออกจากอนุภาคไวรัส ทำให้มีลักษณะคล้ายมงกุฎ ล้อมรอบ เชื้อน้ีมีระยะฟักตัวตั้งแต่ 2 - 14 วัน เชื้อน้ีสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านฝอยละออง จากการไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย อัตราการแพร่กระจายเชื้อเฉล่ีย 2 - 4 คน (Basic Reproductive Number: R0 เท่ากับ 1.4 – 3.9) ข้ึนอยู่กับความหนาแน่นของประชากร ผู้ป่วยด้วยโรคติดเช้ือ ไวรัสโคโรนา 2019 จะมีอาการระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ มีไข้ ไอ มีน้ำมูก หายใจถ่ี หายใจลำบาก ในกรณีท่ี อาการรุนแรงมาก อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม ปอดอักเสบ ไตวาย หรอื อาจเสียชีวติ จากอาการ แสดงท่ีเกิดขึ้นหลายประการคล้ายคลึงกับไวรัสชนิดอ่ืนท่ีก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ จึงต้องอาศัยการ ทดสอบทางห้องปฏิบัติการเพ่ือยืนยันเช้ือ โดยการรักษาจะเป็นการรักษาแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการ ป่วยต่าง ๆ สำหรับกลุ่มเส่ียงต่อการสัมผัสเช้ือน้ีสามารถเกิดข้ึนได้ทุกเพศทุกวัย แต่ในกลุ่มเส่ียงสูงที่อาจเกิดการ สัมผัสเช้ือมาก ได้แก่ ผู้ท่ีอาศัยในพื้นที่เส่ียงต่อการสัมผัสโรคหรือประเทศหรือเมืองที่มีการระบาดของโรคอย่าง ต่อเน่ือง ผู้ที่เดินทางเข้า-ออกหรือแวะเปล่ียนเคร่ืองบินในประเทศหรือเมืองที่มีการระบาดของโรคอย่างต่อเนื่อง บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข บุคคลที่ทำงานให้บริการนักท่องเท่ียว และผู้ที่มีอายุ > 50 ปี และมีโรค ประจำตวั เรื้อรงั เชน่ เบาหวาน โรคหลอดเลือด และหัวใจ เปน็ ต้น จากข้อมูลขององค์การอนามยั โลก และกรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 22 มกราคม 2564 พบวา่ ประชากรกว่า 96 ล้านรายทั่วโลก เป็นโรคโควิด 19 และมปี ระชากรกว่า 2 ล้านรายเสียชวี ิตจากการติดเชื้อ ดังกล่าว (1) สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยพบว่าประชากรมากกว่า 13,000 รายติดเชื้อ และมี 71 รายเสียชวี ิตจาก โรคโควิด 19 (2) แม้ว่าคนส่วนใหญ่ท่ีเป็นโรคน้ีจะไม่มีอาการรุนแรง เพียงประมาณ ร้อยละ 20 เท่าน้ันที่มีอาการ ปว่ ย และมีอตั ราการเสียชีวิตต่ำกว่ารอ้ ยละ 1 แต่เนื่องจากเป็นโรคใหม่จึงไม่มีภูมิคุ้มกันในคนท่ัวไป ทำให้จำนวนผู้ ทต่ี ดิ เชือ้ มีมาก จงึ ส่งผลให้เกิดการเสียชีวติ จำนวนมาก ทำให้ระบบสาธารณสขุ รองรับไม่ได้ ซ่ึงมาตรการป้องกนั ต่าง ๆ ท่ีใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ การรักษาระยะห่างทางสังคม (Social distancing) และการกักตัว ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และระบบเศรษฐกิจ และไม่สามารถป้องกันการ แพร่ระบาดของโรคได้อย่างสมบูรณ์ หลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยจึงได้มีการคิดค้นและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ซ่งึ เป็นความหวงั ใหม่ในการปอ้ งกนั การตดิ เชื้อ การแพร่ระบาดของโรค และการลดความรุนแรงจากการติดเช้อื สถานการณก์ ารระบาดระดบั นานาชาตแิ ละประเทศไทย จากข้อมูล ณ วันท่ี 26 กุมภาพันธ์ 2564 มีผู้ติดเชื้อ จำนวน 112,209,815 ราย เสยี ชีวิต 2,490,776 ราย คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 2.22 ส่งผลกระทบต่อประเทศ/เขตการปกครองพิเศษมากถึง 219 แห่งทั่วโลก สำหรับ -1-

สถานการณ์ในประเทศไทย พบผู้ป่วยยืนยันสะสม 25,809 ราย ติดเชื้อในประเทศ 23,056 ราย เป็นผู้ตรวจคัด กรองเชิงรุก 14,485 ราย ผู้เดินทางจากต่างประเทศ 2,753 ราย มีจำนวนผู้รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 774 ราย รักษาหาย จำนวน 24,952 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.70 ของจำนวนผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตจำนวน 83 ราย คิดเป็น รอ้ ยละ 0.32 ของจำนวนผู้ตดิ เชอื้ กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลต้ังแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม 2563 ของผู้ป่วย ยืนยันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ประเทศไทย โดยวิเคราะห์ใน 5 ด้าน ได้แก่ เพศ กลุ่มอายุ สัญชาติ/เชื้อชาติ อาชีพ และโรคประจำตัว พบว่า จากจำนวนของผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด 19 ท้ังหมด 3,330 ราย อัตราส่วนเพศหญิงต่อเพศชาย เท่ากับ 1 : 1.25 มีผู้ป่วยหญิง 1,477 คน (ร้อยละ 44.35) และชาย 1,853 คน (ร้อยละ 55.65) ผู้ป่วยมีอายุเฉล่ีย 38.44 ปี (95%CI เท่ากับ 37.9-39.0 ปี) และมีค่ามัธยฐาน เท่ากับ 36 ปี (IQR เท่ากับ 27-49 ปี) โดยอายุมากที่สุดคือ 96 ปี และอายุน้อยที่สุดคือ 1 เดือน กลุ่มที่มีจำนวนผู้ป่วยสูงท่ีสุด คือ กลุ่มอายุ 20-29 ปี (ร้อยละ 27.44) รองลงมาคือ 30-39 ปี (ร้อยละ 24.11) 40-49 ปี (ร้อยละ 18.52) 50-59 ปี (ร้อยละ 13.27) 60-69 ปี (ร้อยละ 6.90) ตามลำดับ และพบว่าผู้ป่วยในกลุ่มอายุน้อยมักจะไม่แสดงอาการหรือ แสดงอาการของโรคน้อย เมื่ออายุผ้ปู ่วยเพ่ิมข้ึนสัดส่วนที่ไมแ่ สดงอาการของโรคจะลดลง ผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด 19 มีทง้ั หมด 52 สัญชาติ ผปู้ ่วยมีสญั ชาตไิ ทย (ร้อยละ 89.69) อาชีพของผปู้ ่วยยนื ยนั โรคโควิด 19 ซ่ึงเป็นผปู้ ่วยยืนยัน ที่ไม่ได้อยู่ใน State quarantine ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างท่ัวไป/ฟรีแลนซ์ ค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว พนักงาน บริษัท/พนักงานโรงงาน พนักงานในสถานบันเทิง นักเรียน/นักศึกษา ข้าราชการ/พนักงานของรัฐ/รัฐวิสาหกิจ พ่อบ้าน/แม่บ้าน บุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น ขณะที่อาชีพของผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด 19 ใน State quarantine ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน/นักศึกษา รองลงมาคือรับจ้างทั่วไป/ฟรีแลนซ์ กลุ่มท่ีไม่ระบุอาชีพ พนักงาน นวด/สปา เป็นต้น หากแยกผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด 19 ท้ังหมดตามอาชีพที่จำแนกตามประเภทมาตรฐานอาชพี ของ กระทรวงแรงงาน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นอาชีพพนักงานบริการ/พนักงานขายในร้านค้าและตลาด รองลงมา คือ ไม่ระบุอาชีพ อาชีพพื้นฐาน (ไม่ต้องอาศัยความชำนาญด้านเทคนิค) นักเรียน/นักศึกษา และผู้ประกอบวิชาชีพต่าง ๆ (ต้องอาศัยความชำนาญด้านเทคนิค) ตามลำดับ โรคประจำตัวในกลุ่มผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด 19 ท้ังท่ีไม่ใช่ State quarantine และผู้ที่อยู่ใน State quarantine มักมีโรคประจำตัวเช่นเดียวกัน ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคไตเรื้อรัง มะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอดอุดก้ันเร้ือรัง และโรคหลอดเลือดและสมอง แต่สัดส่วนของผู้ป่วยมีอาการรุนแรง พบว่า ในผู้ป่วยท่ีไม่อยู่ใน State quarantine ส่วนใหญ่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไตเรื้อรัง และโรคมะเร็ง ตามลำดับ ในขณะที่ผู้ป่วยที่อยู่ใน State quarantine ไม่มี ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต เม่ือวิเคราะห์ปัจจัยเส่ียงด้านโรคประจำตัว พบว่า โอกาสเสียชีวิตจะเพิ่มข้ึน อยา่ งมีนัยสำคญั หากผู้ปว่ ยมีโรคประจำตวั ทเ่ี ป็นโรคไต เบาหวาน โรคหวั ใจ และความดนั โลหติ สงู ตามลำดับ โดยสรปุ ข้อค้นพบทส่ี ำคัญ คือ ▪ ผูป้ ่วยยืนยนั โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ส่วนใหญ่เปน็ ช่วงวัยทำงานตอนตน้ ▪ แนวโนม้ การเสยี ชีวติ เพ่ิมมากข้ึน เม่ือผู้ปว่ ยอายเุ พ่ิมขึ้น สังเกตไดจ้ ากอัตราป่วยตายจำแนกตามกลุ่มอายุ ▪ กลุ่มอาชีพท่ีมีความเสี่ยงติดเชื้อ ได้แก่ อาชีพบริการ รับจ้างท่ัวไป/ฟรีแลนซ์ แต่ในกลุ่มท่ีอยู่ใน State quarantine พบวา่ เปน็ กลุม่ นักเรยี น/นักศึกษาเป็นหลกั ▪ ผู้ป่วยทม่ี ีอาการรุนแรงหรือเสียชวี ติ มักจะมโี รคประจำตัวมากกว่า 1 โรคข้ึนไป -2-

▪ โรคประจำตัวส่วนใหญ่ที่พบได้แก่ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง โดยกลุ่มท่ีมีอาการรุนแรง พบว่ามี โรคเบาหวาน ความดนั โลหติ สูง โรคตบั โรคไตเรอ้ื รงั และมะเร็ง ▪ ผู้ป่วยที่อยู่ใน State quarantine มีอาการของโรคที่รุนแรงน้อยกว่าผู้ป่วยท่ีไม่อยู่ใน State quarantine ▪ จากการวเิ คราะห์ Odd’s Ratio ของผู้ปว่ ยยืนยันโรคโควิด 19 รว่ มกบั โรคไต เบาหวาน โรคหัวใจ และ ความดนั โลหติ สงู จะเพมิ่ โอกาสการเสยี ชวี ติ อย่างมนี ัยสำคัญ -3-

ความรูเ้ กี่ยวกับวัคซนี โควดิ 19 การพัฒนาวัคซนี ซารส์ -โควี-2 (โควดิ 19) ในปัจจุบนั (นายแพทย์ปพนสรรค์ เจยี ประเสรฐิ และศาสตราจารย์แพทยห์ ญงิ กุลกัญญา โชคไพบูลย์กจิ ) ข้อมูลจากทางองค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO) (3) ณ วันที่ 22 มกราคม 2564 พบว่ามีวัคซีนโควิดจำนวน 237 ชนิดที่ถูกผลิตข้ึน โดยมีจำนวน 173 ชนิดท่ีกำลังอยู่ในช่วงการทดลองกับ สัตว์ และมีจำนวน 64 ชนิดท่ีกำลังอยู่ในการศึกษาในมนุษย์ ซ่ึงวัคซีนเหล่านี้มีกระบวนการผลิตท่ีหลากหลาย เทคโนโลยี โดยโครงสร้างของไวรัสซาร์ส -โควี-2 จะมีปุ่มยื่นที่เรียกว่า สไปค์ ซึ่งเป็นไกลโคโปรตีน ทำหน้าท่ีไปจับกับตัวรับ angiotensin-reverting enzyme-2 (ACE2 receptor) ซึ่งอยู่บนผิวของเซลล์ของระบบ ทางเดินหายใจ หลอดเลือด และลำไส้ เมื่อส่วนของโปรตีนสไปค์ที่เรียกว่า receptor-binding domain (RBD) จับกับ ตัวรบั ACE2 แลว้ ไวรัสจะสามารถเข้าเซลล์ ทำใหเ้ กิดการตดิ เช้ือและอาการเจ็บป่วยตามมา ดังนนั้ วคั ซีนส่วนใหญ่ จะมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายผลิตภูมิต้านทานต่อต้านโปรตีนสไปค์เป็นสำคัญ ซ่ึงพบว่าผู้ป่วยที่หายจากโรค โควิด 19 จะมีแอนติบอดีต่อโปรตีนสไปค์ โดยเฉพาะในส่วนของ RBD สูง แสดงให้เห็นว่า สามารถใช้ anti-RBD antibody เปน็ ตัวช้วี ัดภูมติ า้ นทานโรคได้ และใชว้ ัดวา่ มกี ารตอบสนองตอ่ วัคซนี หรือไม่ 1. วคั ซนี ชนดิ สารพนั ธกุ รรม ไดแ้ ก่ วคั ซนี ดีเอน็ เอ (DNA) หรอื เอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) วัคซีนกลุ่มนี้ ใช้เทคโนโลยีใหม่ ซ่ึงคิดต่อยอดมาประมาณ 30 ปี โดยการสังเคราะห์สารดีเอ็นเอ (DNA) หรือสารเอ็มอารเ์ อ็นเอ (messenger RNA: mRNA) ที่กำกับการสร้างโปรตีนสไปค์ของไวรสั ซาร์ส-โควี-2 โดยพบว่า วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันข้ึนสูงมาก และวิธีในการบริหารง่ายกว่าดีเอ็นเอ จึงนำมาผลิต เป็นวัคซีนป้องกันอีโบล่า และยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาเพื่อเป็นวัคซีนรักษามะเร็งบางชนิด เนื่องจากเอ็มอาร์เอ็นเอ เป็นสารท่ีไวตอ่ การถูกทำลาย จึงต้องใช้สารนาโนพาร์ติเคิล (Lipid nanoparticle) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากไขมัน เพ่ือเป็นตัวส่งเอ็มอาร์เอ็นเอให้เข้าเซลล์ และเอ็มอาร์เอ็นเอจึงไปกำกับให้เซลล์ผลิตสารโปรตีนสไปค์ ทำให้เซลล์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สร้างแอนติบอดีข้ึนมาต่อต้าน เนื่องจากการผลิตเป็นไปได้ง่ายกว่า จึงทำให้วัคซีนน้ี สำเร็จออกมาทดสอบก่อน เป็นผลให้สามารถประกาศประสิทธิภาพในการป้องกนั โรคไดก้ ่อน ซ่ึงพบว่ามี 2 ชนิดคือ ของ Pfizer และ Moderna ท่ีออกมาก่อนมีประสิทธิภาพสูงถึงร้อยละ 95 (5) และ 94 ตามลำดับ (6) วัคซีน ทั้งสองชนิด เมื่อออกมาได้รับการตอบรับอย่างดี มีการฉีดอย่างกว้างขวางกว่า 80 ล้านโดสภายในเวลา 2 เดือน เป็นผลให้เป็นการลดลงของอุบัติการณ์ของประเทศท่ีฉีดวัคซีนน้ีได้อย่างครอบคลุมมาก เช่น ประเทศอิสราเอล อังกฤษ อเมริกา วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอของท้ังสองผู้ผลิตต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำมาก คือ Pfizer เก็บที่ -70 องศา เซลเซียส (12) และ Moderna เก็บท่ี -20 องศาเซลเซียส (13) ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ในประเทศเมืองร้อน มีความพรอ้ มต่ำในการรกั ษาลูกโซ่ความเยน็ ท่ตี ้องการ รวมท้ังมรี าคาสูงมาก จงึ ทำให้การเข้าถึงวัคซีนเอ็มอารเ์ อ็นเอ ค่อนข้างจำกัด นอกจากน้ี อาจมีการแพ้สารนาโนพาร์ติเคิลได้ ซึ่งทำให้วัคซีนกลุ่มนี้มีอัต ราการแพ้แบบ anaphylaxis สูงกว่าวัคซีนอ่ืน ๆ ท่ีเคยมีการใช้มา คือ Pfizer มีอัตราแพ้ 4.7 รายในหนึ่งล้านโดส (7) และ Moderna มีการแพ้ 2.5 รายในหน่ึงล้านโดส (7,8) ทำให้ต้องฉีดในสถานพยาบาล แต่ในอนาคต วัคซีนท่ีพัฒนา รนุ่ ถัดไป จะลดปญั หาเหลา่ น้ีไปได้ -4-

2. วคั ซีนชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ (Recombinant viral vector vaccine) วัคซีนกลุ่มน้ีใช้ไวรัสท่ีสามารถตัดแต่งพันธุกรรม เช่น ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) เป็นไวรัสพาหะ โดยนำ สารพันธุกรรมท่ีกำกับการสร้างโปรตีนสไปค์ของไวรสั ซาร์ส-โควี-2 มาสอดใส่ในไวรัสพาหะ แล้วนำมาฉีด โดยไวรัส พาหะที่มีการพัฒนาคือ ไวรัสอะดีโนของชิมแพนซี (Chimpanzee adenovirus) โดย Astra Zeneca, ไวรัสอะดี โนของมนุษย์สายพันธุ์ 5 (Human adenovirus type 5) โดยบริษัท CanSinoBio, ไวรัสอะดีโนของมนุษย์ สายพันธุ์ 26 (Human adenovirus type 26) โดยบรษิ ัท Johnson and Johnson และ ไวรัสอะดีโนของมนุษย์ สายพันธ์ุ 5 และ 26 (Human adenovirus type 5 and 26) โดยบริษัท Gamaleya ของรัสเซีย วัคซีนท่ีใช้ไวรัส เป็นพาหะเหล่านี้ เป็นวัคซีนเช้ือมีชีวิต โดยไวรัสพาหะอาจจะถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ไม่แบ่งตัว หรือเป็นไวรัสที่ อ่อนฤทธ์ิไม่ทำให้ป่วย ข้อดีคือเป็นการเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ สามารถกระตุ้มภูมิคุ้มกันทั้งระบบ แอนติบอดีย์ และระบบเซลล์ได้ดี เป็นผลในการป้องกันโรคตั้งแต่ฉีดเข็มแรก และอาจจะใช้เพียงโดสเดียวได้ เช่น วัคซีนของ Johnson and Johnson แต่อาจมีความกังวลว่า หากผู้รับวัคซีนเพ่ิงจะติดเช้ือไวรัสอะดีโน ตามธรรมชาติ ซ่ึงเป็นไวรัสหวัด อาจทำให้มีแอนติบอดีต่อไวรัสอะดีโน และส่งผลรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ ดังท่ีพบในการศึกษาของวัคซีน CanSinoBio อย่างไรก็ดี (9) ผลการศึกษาของ Oxford–AstraZeneca (พบประสทิ ธิภาพร้อยละ 70 แต่ป้องกนั โรครุนแรงได้ร้อยละ 100) (10) และ Gamaleya (พบประสิทธภิ าพร้อยละ 91.6) (11) รวมทั้งของ Johnson and Johnson (12) ดูจะไม่พบว่ามีปัญหานี้ อาจเป็นไปได้ว่ามีการรบกวน ไม่มากนักถ้ามีแอนติบอดีในระดับต่ำ และเนื่องจากเป็นไวรัสเช้ือมีชีวิตแม้จะถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ หรือไม่แบ่งตัว แต่ยังไม่ควรใช้กับผู้ท่ีมีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างมาก จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจน และเทคโนโลยีการใช้ไวรัสพาหะ แบบน้ี ยังไม่เคยมีการใช้ในวงกว้างมาก่อน แต่จากการใช้วัคซีนของ Oxford–AstraZeneca กว่า 10 ล้านโดส พบว่ามีความปลอดภัยสูง และประสิทธิภาพดี ยังคงต้องมีการศึกษาติดตามระยะยาวต่อไป และน่าจะเป็นวัคซีน กล่มุ ท่ีมีการใช้มากท่ีสุดในอนาคต เนือ่ งจากราคาทถ่ี กู กว่า สามารถเกบ็ ในระบบลกู โซ่ความเยน็ ทีม่ อี ยู่ได้ 3. วัคซีนทีท่ ำจากโปรตีนสว่ นหน่งึ ของเชอื้ (Protein subunit vaccine) วัคซีนเทคโนโลยีนี้มีความคุ้นเคยมานาน และใช้ในการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนตับอักเสบบี ทำโดย การผลิตโปรตีนสไปค์ของไวรัสซาร์ส-โควี-2 อาศัยเทคนิคต่างๆ ท่ีคุ้นเคย เช่นระบบ cell culture, yeast, baculovirus, ใบยาสูบ แล้วนำมาผสมกับสารกระตุ้นภูมิ เมือ่ ฉีดเขา้ สูร่ ่างกายจะกระตนุ้ ให้ร่างกายสรา้ งแอนตีบอดี ต่อต้านโปรตีนสไปค์ วัคซีนกลุ่มน้ีกำลังมีการศึกษา เช่น วัคซีนของ Novavax ผลิตจาก baculovirus และใช้ Matrix M เป็นตัวกระตุ้นภูมิ พบว่ามีประสิทธิภาพสูงป้องกันโรคได้ร้อยละ 90 (13) และมีความปลอดภัย คาดว่า วัคซีนกลมุ่ นจ้ี ะมกี ารนำมาใชอ้ ย่างกว้างขวางตอ่ ไป 4. วัคซนี ชนิดเช้ือตาย (Inactivated vaccine) วัคซีนกลุ่มน้ีผลิตโดยนำไวรัสซาร์ส-โควี-2 มาเลี้ยงขยายจำนวนมาก และนำมาฆ่าด้วยสารเคมีเช่น betapropiolactone, formaldehyde หรือความร้อน เมื่อฉีดวัคซีนจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัส เทคโนโลยีนี้เป็นวิธีท่ีใช้กับวัคซีนตับอักเสบเอ โปลิโอชนิดฉีด จึงมีความคุ้นเคยในประสิทธภิ าพและความปลอดภัย แต่เนื่องจากการเพาะเลี้ยงไวรัสต้องทำในห้องปฏิบัติการนิรภัยระดับ 3 ทำให้การผลิตทำได้ช้าและมีราคาแพง วัคซีนในกลุ่มนี้ได้มีการศึกษาแล้วพบว่ากระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคได้ดี จากการรายงานเบื้องต้นวัคซีนของ Sinovac พบว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคแบบมีอาการท่ีต้องพบแพทย์ ได้ร้อยละ 77.9 และป้องกันโรครุนแรงได้ ทั้งหมด แต่หากนับรวมถึงการป้องกันโรคแบบที่มีอาการน้อย ๆ โดยไม่ต้องพบแพทย์ด้วย พบว่าป้องกันได้ร้อยละ -5-

50.4 ส่วนวัคซีนของ Sinopharm พบว่ามีประสิทธิภาพรวมอยู่ท่ีร้อยละ 79.4 (14) วัคซีนกลุ่มนี้จะมีราคาในการผลิต แพงกวา่ กลุ่มอ่นื แต่ไดเ้ ร่ิมมีการใช้ในหลายประเทศแล้ว และคาดว่าจะมกี ารนำมาใชใ้ นประเทศไทยเรว็ ๆ นี้ ข้อมูลที่กล่าวมานี้ เป็นข้อมูล ณ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ความรู้เก่ียวกับวัคซีนป้องกันโควิด 19 จะมี การนำเสนอมากขึ้นเรื่อย ๆ วัคซีนท่ีใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ อาจมีมาในอนาคต ตารางท่ี 1 สรุปข้อมูลวัคซีนแต่ละ รปู แบบ ส่วนตารางท่ี 2 แสดงถงึ ผลการศึกษาระยะท่ี 3 และทม่ี ีการใชจ้ นถึงเดือนกมุ ภาพันธ์ 2564 ตารางท่ี 1 แสดงข้อมูลสำคญั เกี่ยวกบั ชนดิ ของวคั ซีนโควิด 19 โดยแบ่งตามเทคโนโลยกี ารผลติ วคั ซนี กระบวนการผลิต ตัวอย่างวคั ซีน ข้อดี ข้อจำกัด วัคซนี ชนดิ อาร์เอ็นเอ (ผผู้ ลติ ) (RNA based • สามารถผลิตวคั ซนี ได้ง่าย รวดเร็ว • ต้องเกบ็ รักษาวัคซีนท่อี ณุ หภูมติ ่ำ vaccine) • BNT162b2 • สามารถปรบั ปรงุ วัคซนี เพ่อื รอง มาก เน่ืองจาก mRNA ถกู ทำลาย (BioNTech/Pfizer) ไดง้ ่าย (ยกเว้น CVnCoV ของ วคั ซีนชนดิ ใช้ไวรสั เปน็ รบั สายพนั ธหุ์ ากมีการกลายพันธ์ุ บริษัท CureVac ทสี่ ามารถเก็บท่ี พาหะ • mRNA-1273 ไดง้ ่าย อณุ หภมู ิ 3-5oC ได้) (15) (mRNA- (Recombinant viral (Moderna) • แม้จะมขี อ้ มลู เกี่ยวกับการแพ้ และ 1273 ของบรษิ ทั Moderna อาจ vector vaccine) เป็นเทคนคิ การผลติ วัคซีนแบบ พจิ ารณาเก็บในอณุ หภูมิ 2-8oC ได้ • CVnCoV ใหมท่ ีย่ ังไม่เคยใช้ในการผลติ วคั ซนี แต่จะมอี ายไุ มเ่ กนิ 30 วนั นบั จาก (Curevac) ตวั อ่ืนทำใหม้ คี วามกังวลเร่ืองความ วนั ที่เก็บทอ่ี ุณหภมู ดิ ังกล่าว) (16) ปลอดภัยระยะยาว อยา่ งไรกด็ ี • AZD1222 ในชว่ งเวลาอันส้ัน ไดม้ กี ารใชไ้ ป • ต้องอาศัยนาโนพารต์ ิเคลิ (Oxford– แล้วกวา่ 100 ลา้ นโดส ทำใหม้ ี (Nanoparticle) ซ่ึงเป็นสารท่ี AstraZeneca) ประสบการณ์การใชอ้ ย่างรวดเรว็ นำมาห่อหมุ้ ป้องกัน และเปน็ ตวั ที่ทำใหม้ ่ันใจถงึ ความปลอดภยั ได้ นำพา mRNA สารน้อี าจกระตุ้น • Ad5-nCoV การแพ้รุนแรงได้ (CanSinoBIO) • การกระตุน้ การสร้างภมู คิ ้มุ กนั ขึ้นกบั ชนดิ ของไวรัสตัวนำที่ใช้ • ไวรสั พาหะอาจถูกทำลายจาก • Sputnik V โดยรวมพบว่าสามารถกระตุ้นการ ภูมิคุม้ กันของร่างกายทอี่ าจจะมี (Gamaleya) สรา้ งภมู ิค้มุ กันไดด้ ี อยกู่ ่อนฉีดวคั ซนี ซ่งึ อาจพบในผทู้ ่ี เพิง่ จะตดิ เชื้ออะดีโนไวรัสสายพันธุ์ • Covishield • เลียนแบบการตดิ เชื้อตาม ท่เี ปน็ พาหะและส่งผลต่อการ (Serum Institute ธรรมชาติของไวรสั พาหะ โดย กระตุ้นภมู คิ ุ้มกนั ได้ แตผ่ ล of India) ไวรัสพาหะบางตัวอาจมีการ การศึกษาท่ีมีอย่ยู ังไม่พบปญั หาน้ี ดดั แปลงพนั ธุกรรมจนไมส่ ามารถ • Ad26.COV2.S แบง่ ตัวได้ และเนอื่ งจากเป็นไวรสั • สามารถกระต้นุ ภูมิคมุ้ กนั ได้ดที ั้ง (Johnson and ออ่ นฤทธิ์ จงึ มีความปลอดภัยสูง ระบบแอนตีบอดแี ละระบบเซลล์ Johnson) (Cell mediated immunity) • ผลติ ไมย่ าก ราคาไม่แพง • เนอ่ื งจากไวรสั พาหะเปน็ เช้ือมชี วี ติ แมว้ ่าจะออ่ นฤทธ์หิ รอื ไม่แบง่ ตัว แตอ่ าจกอ่ โรคได้ในผ้ทู มี่ ภี าวะ ภมู คิ มุ้ กนั บกพร่องอยา่ งมาก • สร้างภมู ิค้มุ กันไดต้ ้ังแตโ่ ดสแรก และอาจใชเ้ พียง 1 โดสได้ -6-

กระบวนการผลิต ตวั อย่างวคั ซนี ขอ้ ดี ขอ้ จำกดั (ผูผ้ ลิต) วคั ซีนทท่ี ำจากโปรตีน • มีความปลอดภยั สูง ใชก้ บั ผทู้ ่มี ี • กระตนุ้ การสร้างภมู ิคมุ้ กนั ไดไ้ มด่ ี สว่ นหนง่ึ ของเช้ือ • EpiVacCorona ภมู ิค้มุ กันบกพรอ่ งได้ จึงทำใหต้ ้องใช้สารแอดจแู วน้ (Protein subunit (FBRI SRC VB (adjuvant) ซงึ่ ทำให้มปี ฏิกริ ยิ า vaccine) VECTOR • ไมเ่ ส่ยี งต่อการติดเชือ้ เฉพาะท่ใี นตำแหนง่ ท่ฉี ีดได้ Rospotrebnadzor • สามารถผลิตวัคซีนไดง้ ่าย รวดเรว็ วัคซีนชนิดเชอ้ื ตาย Koltsovo) • มีประสบการณ์การใชม้ ามากมาย • มีตน้ ทุนการผลติ สูง เนือ่ งจากตอ้ ง (Inactivated เพาะเลีย้ งเช้ือในห้องปฏบิ ัติการ vaccine) • NVX-CoV2373 ในวคั ซีนชนดิ อืน่ ๆ เช่น วัคซีน ระดบั สงู (Biosafety level 3) (Novavax) ไข้หวัดใหญ่ วัคซนี ไวรสั ตบั อักเสบ บี เปน็ ตน้ • Coronavac • มคี วามปลอดภยั สูง ใช้กบั ผ้ทู ม่ี ี (Sinovac) ภมู ิคมุ้ กันบกพร่องได้ • เป็นเทคโนโลยแี บบเดิมที่เคยมี • BBIBP-CorV ประสบการณ์การใชก้ ับวัคซีนอนื่ ๆ (Sinopharm, เช่น วคั ซนี ไวรัสตับอักเสบเอ เป็น Beijing Institute ต้น of Biological Products) • Inactivated vaccine (Sinopharm, Wuhan Institute of Biological Products) • Covaxin (Bharat Biotech) -7-

ตารางท่ี 2 แสดงขอ้ มูลของวคั ซนี โควิด 19 แตล่ ะชนดิ ท่มี กี ารรายงานผลการศึกษาระยะที่ 3 บรษิ ทั BioNTech/Pfizer Moderna Oxford– Sinovac Sinopharm Bharat Gamaleya ประเทศผผู้ ลิต สหรัฐอเมรกิ า AstraZeneca สาธารณรัฐประชาชนจีน (Beijing Institute of BNT162b2 สหรฐั อเมรกิ า Biological Products) อนิ เดีย รัสเซยี ช่ือวคั ซนี mRNA vaccine mRNA-1273 องั กฤษ Coronavac BBV152 (Covaxin) Sputnik V วธิ ีการผลิต mRNA vaccine AZD1222 Inactivated vaccine สาธารณรฐั ประชาชนจนี Non-replicating ฉดี เขา้ กลา้ มเน้อื Non-replicating Inactivated viral vector วธิ ีการฉีด 2 ครงั้ ฉีดเข้ากลา้ มเน้ือ viral vector vaccine ฉีดเขา้ กลา้ มเนื้อ BBIBP-CorV vaccine vaccine 2 ครงั้ (ChAdOX1) 2 ครงั้ (heterologous การเกบ็ รกั ษา หา่ งกนั 3 สัปดาห์ Inactivated vaccine rAd26 and rAd5) -60oC ถงึ -80oC ห่างกัน 4 สปั ดาห์ ฉดี เข้ากลา้ มเน้อื หา่ งกนั 2 สัปดาห์ ฉีดเขา้ กลา้ มเน้อื ขนาดประชากร -25oC ถงึ -15oC 2 ครง้ั 2oC ถึง 8oC ฉีดเข้ากล้ามเนอ้ื ฉดี เข้ากลา้ มเนอ้ื เป้าหมาย (จาก (-70oC) (2oC ถงึ 8oC 2 ครง้ั การศกึ ษาระยะที่ 3) กลมุ่ อายุตั้งแต่ เก็บได้ 30 วัน) ห่างกัน 4-12 สปั ดาห์ กลมุ่ อายุตงั้ แต่ 2 คร้งั 2 ครั้ง ห่างกนั 3 สัปดาห์ ประสทิ ธภิ าพในการ 18 ปีขึ้นไป กลมุ่ อายุต้งั แต่ 2oC ถงึ 8oC 18 ปขี ึน้ ไป ปอ้ งกันการโรคโควดิ จำนวน 43,548 คน จำนวน 27,680 คน หา่ งกนั 3 สัปดาห์ ห่างกนั 4 สปั ดาห์ 2oC ถงึ 8oC 19 ทไี่ มม่ อี าการ 18 ปีข้นึ ไป กล่มุ อายุต้งั แต่ ไมม่ ีขอ้ มลู 2oC ถงึ 8oC 2oC ถึง 8oC ไมม่ ีขอ้ มลู จำนวน 30,420 18 ปีข้ึนไป กลมุ่ อายตุ ้ังแต่ บรษิ ัท จำนวน 11,636 คน Sinovac กลมุ่ อายุตง้ั แต่ กลุม่ อายตุ ้ังแต่ 18 ปขี นึ้ ไป BioNTech/Pfizer คน 18 ปขี น้ึ ไป 18 ปีข้นึ ไป จำนวน 19,866 คน ไมม่ ขี อ้ มลู มีแนวโน้มแตไ่ มม่ ี ยังไม่มขี อ้ มลู ขนาด จำนวน 25,800 คน นัยสำคญั ประชากรเปา้ หมาย ไม่มขี ้อมลู Moderna ไมม่ ขี อ้ มลู Oxford– ไมม่ ขี อ้ มลู Gamaleya AstraZeneca Sinopharm Bharat (Beijing Institute of Biological Products) -8-

ประสิทธิภาพในการ •ประสิทธภิ าพ •ประสทิ ธภิ าพ •ประสิทธภิ าพ • ประสทิ ธภิ าพจากการ •ประสทิ ธภิ าพโดยรวม •ยงั ไม่มีข้อมลู •ประสทิ ธภิ าพ ป้องกันโรคโควิด-19 โดยรวม ร้อยละ โดยรวม ร้อยละ รายงาน โดยรวมรอ้ ยละ ท่ีมอี าการ 94.1 โดยรวมรอ้ ยละ 70.4 วเิ คราะห์ข้อมลู เบอื้ งตน้ ใน ร้อยละ 79.4 91.6 95 •ประสทิ ธภิ าพใน •ประสิทธภิ าพขึ้นอยู่ การศึกษาแตล่ ะประเทศ •ประสทิ ธภิ าพใน การปอ้ งกันโรค กับระยะหา่ งระหวา่ ง ให้ผลทแ่ี ตกต่าง การป้องกนั โรคโค โควิด-19 ทมี่ ี วิด-19 ทม่ี ีอาการ อาการรุนแรง การฉีด 2 ครงั้ โดย • อนิ โดนเี ซยี : ร้อยละ รุนแรงร้อยละ รอ้ ยละ 100 100 จะมีประสทิ ธิภาพสงู 65.3 (วเิ คราะห์จาก Gamaleya ถา้ ฉดี หา่ งกัน อาสาสมัคร540 คน) ไม่พบผลขา้ งเคียง รนุ แรง มากกวา่ 8 สปั ดาห์ • ตุรกี : ร้อยละ 91.25 •ประสทิ ธภิ าพในการ (วิเคราะห์จาก ปอ้ งกนั โรคโควิด-19 อาสาสมคั ร=1,322 คน) ทม่ี ีอาการรุนแรงร้อย • บราซลิ : รอ้ ยละ 77.9 ละ 100 (วิเคราะหจ์ าก อาสาสมัคร=9,252 คน) แตห่ ากรวมการป้องกัน โรคแบบอาการน้อยๆ ด้วย จะมีประสิทธิภาพ รอ้ ยละ 50.4 ประสิทธภิ าพในการ ปอ้ งกนั การติดเชอื้ โควิด- 19 ที่มีอาการรุนแรง : รอ้ ยละ 100 Oxford– Sinopharm AstraZeneca บริษัท BioNTech/Pfizer Moderna Sinovac (Beijing Institute of Bharat จากการศกึ ษาวจิ ยั พบ ผลข้างเคยี งที่รุนแรง พบอาการแพ้ 1 รายใน Biological Products) ในกล่มุ วัคซีน คอื กลมุ่ วคั ซนี จากการศกึ ษา ความปลอดภยั และ จากการศึกษาวิจยั จากการศึกษาวจิ ยั •Transverse ในตุรกี ไม่พบผลขา้ งเคียงรุนแรง ไม่พบผลขา้ งเคยี ง ผลข้างเคียงท่รี ุนแรง พบผลขา้ งเคยี งท่ี พบผลข้างเคยี งที่ รนุ แรง 4 รายใน รุนแรงในกลมุ่ รุนแรง กล่มุ วคั ซนี แต่จาก วัคซีน คอื -9-

ประสบการณก์ ารใช้ การสืบค้นข้อมลู • อาการแพร้ ุนแรง myelitis 1 ราย มากกว่า 1 ล้านโดส มากกว่า 15 ล้านโดส มากกวา่ 1 ล้านโดส ไมม่ ขี ้อมลู แตค่ าดวา่ จนถงึ เดอื น เพิ่มเตมิ พบวา่ ไม่ รอ้ ยละ 1.5 ในช่วง 14 วนั มีความปลอดภยั มคี วามปลอดภยั นา่ จะใชไ้ ปจำนวน สัมพันธก์ บั การไดร้ บั • Bell palsy 3 ราย หลงั จากการให้วคั ซนี มากแล้ว กมุ ภาพันธ์ 2564 วคั ซนี (<รอ้ ยละ 0.1) ครง้ั ท่ี 2 หลงั จากการ ในตา่ งประเทศ • เสยี ชวี ติ 2 ราย สืบสวนพบวา่ เปน็ มากกวา่ 50 ลา้ น (<รอ้ ยละ 0.1) โดย idiopathic, short โดส มคี วาม รายหนง่ึ เกิดจาก segment spinal ปลอดภัย การฆ่าตัวตาย และ cord demyelination มีโอกาสแพร้ นุ แรง อีกรายเกดิ หัวใจ แต่ไมส่ ามารถบอก แบบ anaphylaxis หยดุ เตน้ ไม่ทราบ ความสมั พนั ธก์ บั 4.7 ต่อลา้ นโดส (7) สาเหตุ วคั ซนี ได้ •Multiple sclerosis มากกว่า 30 ลา้ น จากการสืบสวนแลว้ โดส มคี วาม สรุปวา่ นา่ เป็น ปลอดภัย ปญั หาทีเ่ กิดก่อนการ มีโอกาสแพ้รนุ แรง ได้รับวัคซนี แบบ anaphylaxis มากกว่า 10 ลา้ นโดส 2.5 ตอ่ ล้านโดส มีความปลอดภัย (7,8) -10-

วัคซนี ทจ่ี ะมกี ารนำมาใชใ้ นประเทศไทยปี 2564 วัคซีนที่จะได้นำมาใช้ก่อนน่าจะเป็นวัคซีนของ Oxford–AstraZeneca และวัคซีนชนิดเชื้อตายของ Sinovac หรือ Sinopharm หลังจากน้ันจะมีวัคซีนชนิดอ่ืน ๆ ตามมาในเวลาไม่นาน แต่ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด อาจมี การให้บริการได้ทั้งในภาครัฐหรือเอกชน จำเป็นจะต้องมีการขึ้นทะเบียนรับรองให้ใช้โดยคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซ่ึงทำให้ม่ันใจว่า วัคซีนท่ีจะนำมาใช้ทุกตัวในประเทศไทยจะต้องมีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยต่อผู้ท่ี ไดร้ ับการฉดี วัคซนี วัคซีนของ Oxford–AstraZeneca เป็นวัคซีนท่ีผลิตโดยใช้ไวรัสอะดีโนไวรัสของชิมแพนซีซึ่งนำมา ดัดแปลงพันธุกรรม ทำให้ไม่สามารถแบ่งตัวได้ และสอดใส่สารพันธุกรรมที่กำกับการสร้างโปรตีนสไปค์ของไวรัส ซาร์ส-โควี-2 นับเป็นวัคซีนเช้อื มีชีวติ ท่ถี ูกทำใหอ้ ่อนฤทธ์ิ โดยวัคซีนนี้มีประสิทธิภาพโดยรวมร้อยละ 70.4 ในการป้องกัน โรคโควิด 19 ท่ีมีอาการ และมีประสทิ ธิภาพรอ้ ยละ 100 ในการป้องกันโรคโควิด-19 ท่ีมอี าการรุนแรงหรือเสียชีวิต ประสิทธิภาพเกิดได้ต้ังแต่การฉีดเข็มแรก และไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเช้ือแบบไม่มีอาการ ผลข้างเคียงท่ีพบบ่อยหลังการฉีด คือ อาการปวด บวมบริเวณท่ีฉีดวัคซีนซึ่งสามารถหายได้เอง (10) ในปัจจุบัน แนะนำให้ฉีดในกลุ่มอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยฉีดเข้ากล้ามเน้ือ 2 ครั้งห่างกัน 4-12 สัปดาห์ แต่จากการศึกษา พบว่า วัคซีนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นในกล่มุ ท่ีฉีดวัคซีนหา่ งกันเกนิ 8 สัปดาห์ขึ้นไป (20) ทางองค์การอนามัยโลก จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนของ Oxford–AstraZeneca นี้ห่างกัน 8-12 สัปดาห์เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด (21) อย่างไรก็ตาม วัคซีนน้ียังไม่ควรให้ในผู้ท่ีมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างมาก เน่ืองจากเป็นวคั ซีนท่ีมีเช้ือชีวิต แม้ว่า จะเป็นเชื้อไวรัสท่ีถูกทำให้อ่อนฤทธิ์หรือไม่แบ่งตัว แต่ยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยเพียงพอ เช่นเดียวกันยังไม่มี ข้อมูลการใช้วัคซีนในเด็ก หญิงตงั้ ครรภ์ และหญิงใหน้ มบุตรในขณะนี้ วัคซนี ของ Sinovac เป็นวัคซีนชนิดเช้ือตาย ในปัจจุบนั แนะนำให้ฉีดในกลุ่มอายุตง้ั แต่ 18 ปีข้ึนไป โดยฉีด เข้ากล้ามเนื้อ 2 คร้ังห่างกัน 2 สัปดาห์ วัคซีนมีประสิทธิภาพโดยรวมในการป้องกันโรคแบบมีอาการท่ีต้องพบ แพทย์ได้ร้อยละ 77.9 ซ่ึงประสิทธิภาพของวัคซีนมีความแตกต่างกันแต่ละประเทศที่ทำการศึกษา โดยมี ประสิทธิภาพร้อยละ 65.3, 91.25 และ 77.9 ในประเทศอินโดนีเซีย ตุรกี และบราซิลตามลำดับ วัคซีนมี ประสิทธิภาพรอ้ ยละ 100 ในการปอ้ งกนั โรคโควิด 19 ท่ีมอี าการรุนแรง และหากนบั รวมถึงการปอ้ งกันโรคแบบที่มี อาการน้อยๆ โดยไม่ตอ้ งพบแพทย์ด้วย จะพบประสิทธิภาพเพยี งรอ้ ยละ 50.4 ท่ีน่าสนใจคือ การศึกษาในระยะท่ี 2 พบว่าหากเว้นช่วงเข็มที่ 1 และ 2 ห่างกัน 28 วัน จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่า 14 วัน แต่การฉีดห่างกัน 28 วัน ยังไม่มีผลการศึกษาในระยะท่ี 3 ผลข้างเคียงที่พบบ่อยหลังการฉีด คือ อาการปวด บวมบริเวณที่ฉีด พบประมาณ ร้อยละ 20 ซ่ึงสามารถหายได้เอง (17) นอกจากน้ี การศึกษาในระยะท่ี 3 ยังไม่มีข้อมูลในผู้ท่ีอายุ 60 ปีขึ้นไป มากเพียงพอ จึงยังไม่ได้มีคำแนะนำให้ใช้ในผู้ที่อายุเกิน 60 ปีโดยท่ัวไป แต่เน่ืองจากผลการศึกษาระยะท่ี 2 พบว่า ผูท้ ่ีอายุมากกวา่ 60 ปี ให้ผลการตอบสนองต่อวัคซนี ไม่แตกต่างจากผู้ท่ีมีอายุน้อยกว่า และมผี ลขา้ งเคียงไมแ่ ตกตา่ งกัน จงึ อาจพจิ ารณาใหใ้ ชไ้ ดถ้ า้ มคี วามจำเป็นและเห็นวา่ ประโยชน์มากกวา่ และผทู้ ่ีสงู วยั เป็นกลุม่ เสย่ี งตอ่ โรครุนแรง ด้วยข้อมูลที่มีจำกัด แต่จำเป็นต้องนำวัคซีนมารีบใช้ ดังนั้นการรับรองให้ใช้จึงอาศัยผลจากการศึกษา เบื้องต้นที่วา่ มีประสิทธิภาพโดยรวมและปลอดภัยเทา่ นั้น คาดวา่ เมื่อการศึกษาจบจะเปน็ ผลประสิทธภิ าพท่ีชัดเจน มากข้ึน รวมทั้งการศึกษาในประชากรกลุ่มย่อยหรือกลุ่มพิเศษ และแม้ว่าวัคซีนเหล่านี้จะได้รับรับรองจาก คณะกรรมการอาหารและยาว่ามีความปลอดภัยและอนุมัติให้ใช้ได้แล้วก็ตาม แต่เป็นการอนุมัติแบบมีเง่ือนไข ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การฉีดวัคซีนเหล่าน้ีสามารถทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้ในอัตราท่ีแตกต่างกัน -11-

จึงจำเป็นต้องสังเกตอาการหลังการฉีดอย่างน้อย 30 นาทีในสถานพยาบาลเสมอ และต้องมีการรายงานอาการ ไม่พึงประสงค์หลงั ได้รับวัคซนี อย่างเขม้ ข้นและเป็นระบบ เพ่ือใหเ้ กิดความมน่ั ใจในการใช้วัคซีน วัคซีนที่มีใช้ในขณะนี้ พัฒนามาจากไวรสั ที่เกิดการระบาดต้ังแต่ช่วงต้นในปลายปี 2562 แต่ไวรัสซาร์ส-โควี-2 มกี ารกลายพันธุ์ไปอย่างมากจากการระบาดท่ีรนุ แรง วัคซนี อาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชือ้ กลายพันธไ์ุ ดน้ ้อย กว่าเชื้อดงั้ เดิม จึงจำเปน็ ต้องตดิ ตามผลการศึกษาต่อไป ยกตัวอย่างเช่น วัคซีนของ Oxford–AstraZeneca พบว่า ให้ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ B1.1.7 ที่ระบาดในอังกฤษ ด้อยกว่าเช้ือด้ังเดิม แต่ประสิทฺธิภาพในการป้องกันโรคยังเท่าเดิมอยู่ แต่อาจจะลดลงไปได้หากพบการกลายพันธุ์ท่ีมากข้ึนขณะนี้ประเทศไทยจัดหาวัคซีนโควิดมาให้บริการในปี 2564 อย่างน้อย จำนวน 2 ชนดิ ได้แก่ วคั ซีนของ Oxford–AstraZeneca และ Sinovac รายละเอียดดงั ตารางที่ 3 ตารางท่ี 3 คำแนะนำการใชว้ คั ซนี ของ Oxford–AstraZeneca และ Sinovac วคั ซนี Oxford–AstraZeneca วัคซีน Sinovac (CoronaVacTM) ขนาดตอ่ โดส 5 x1010 virus particle 6 ไมโครกรมั วธิ ีการฉีด เขา้ กล้ามเนื้อ เข้ากล้ามเนือ้ การเกบ็ รักษา 2oC ถงึ 8oC 2oC ถงึ 8oC ตารางการฉีดทีแ่ นะนำ 2 เข็มหา่ งกัน 8-12 สัปดาห์ 2 เขม็ ห่างกัน 2-4 สปั ดาห์ (ตามเอกสารกำกับยา) ตารางการฉีดวัคซีนของประเทศ 2 เข็มห่างกัน 10-12 สัปดาห์ 2 เขม็ ห่างกัน 2-4 สัปดาห์ ไทยกำหนดโดยคณะอนุกรรมการ โดยในพื้นทีท่ ่ีมกี ารระบาดรุนแรงแนะนำ สร้างเสรมิ ภมู ิค้มุ กันโรค ใหฉ้ ีดห่างกนั 2 สัปดาห์ ประสทิ ธิภาพ ปอ้ งกันการตดิ เชื้อทุกแบบ 54.1% ปอ้ งกันโรคท่มี อี าการต้ังแตน่ ้อยมาก50.4% ป้องกันโรคแบบมีอาการ 70.4% ปอ้ งกันโรคแบบมอี าการ65.3%-91.2% ปอ้ งกันโรครุนแรง เสียชวี ิต 100% ปอ้ งกันโรครุนแรง เสยี ชีวติ 100% ผลข้างเคียงใดโดยรวมจากข้อมูล ประมาณ 88% สว่ นใหญ่เปน็ อาการ ประมาณ 35% สว่ นใหญ่เปน็ อาการ ศกึ ษาระยะที่ 2-3 เฉพาะท่ี ไม่รุนแรง เข็มแรกจะมี เฉพาะที่ ไม่รนุ แรง เข็มแรกจะมีอาการ อาการมากกวา่ เขม็ ท่สี อง ผู้สูงวัยจะมี มากกวา่ เข็มทสี่ อง ผู้สูงวัยจะมีอาการ อาการน้อยกว่า น้อยกว่า ขอ้ หา้ ม แพ้รนุ แรงจากการฉดี ครง้ั ก่อน และแพ้ส่วนประกอบของวัคซีนรุนแรง ขอ้ ควรระวงั ทคี่ วรเล่อื นการฉีด ผ้ทู ี่เจบ็ ปว่ ยเฉยี บพลัน แต่หากเปน็ หวดั เลก็ น้อยสามารถฉีดได้ ไปก่อน กลุ่มบุคคลทีม่ ขี ้อมูลการศึกษาอยู่ อายมุ ากกว่า 65 ปี มโี รคประจำตวั อายุมากกวา่ 60 ปี และผ้ทู ่เี คยเป็น บา้ งแตไ่ ม่มาก แต่พิจารณาให้ฉีดได้ เช่น อ้วน โรคปอด หัวใจ หลอด COVID-19 มาก่อน หากพบว่ามีความเสย่ี งต่อการเกดิ เลือด เบาหวาน และผทู้ เี่ คยเปน็ โรคสูง หรอื เปน็ กลุ่มเป้าหมาย COVID-19 มาก่อน ข้อควรระวงั เน่อื งจากยังไมม่ ีผล อายุ <18 ปี, หญงิ ต้งั ครรภ์, อายุ <18 ป,ี หญิงตง้ั ครรภ,์ -12-

วัคซีน Oxford–AstraZeneca วัคซีน Sinovac (CoronaVacTM) การศกึ ษา แต่อาจพจิ ารณาฉีดได้ หญิงให้นมบุตร, ผ้ทู ม่ี ภี มู คิ ุ้มกัน หญงิ ให้นมบตุ ร, ผทู้ ่ีมีภูมคิ ุ้มกันบกพร่อง ในกรณที ่ีมีความเสี่ยงสงู หรืออยใู่ น กลุ่มเป้าหมายทใ่ี หฉ้ ีด โดย บกพร่อง, ตดิ เชื้อเอชไอวี , ติดเช้ือเอชไอวี พิจารณา เห็นวา่ ประโยชน์มากกว่าความ - แพ้รนุ แรงจากการฉีดวัคซนี ครัง้ ก่อน หรอื แพ้สว่ นประกอบของวคั ซีน เสี่ยง - โรคเร้ือรังทีค่ วบคุมไม่ได้และอาการยังไม่คงท่ี ของระบบ cardiovascular เช่น ข้อควรระวงั ในการใช้ตามแผนของ unstable angina จนกว่าแพทย์ผู้ดูแลจะประเมินให้ฉีดได้ กระทรวงฯ ในกลุ่มเป้าหมาย - ภาวะ severe neurologic disease ทเ่ี พงิ่ เป็นมาไมน่ าน เชน่ Guillain Barre Syndrome, Transverse myelitis, Acute disseminated การตรวจภมู ิค้มุ กันก่อนหรือหลัง encephalomyelitis (ADEM) จนกวา่ แพทย์จะประเมินให้ฉีดได้ การฉีด - หญงิ ตงั้ ครรภ์ จนกว่าจะมีข้อมลู มากกว่านี้ ไม่จำเปน็ -13-

กลไกการขบั เคลอื่ นและการเตรียมบุคลากรในการดำเนินงาน กลไกการขบั เคล่อื นการดำเนินงาน เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ประเทศไทยได้กำหนดมาตรการในการป้องกันโรค หลายประการ หน่ึงในมาตรการหลักท่ีสำคัญ คือ การให้วัคซีนโควิด 19 ในประชาชนกลุ่มเป้าหมาย จึงมีความจำเป็น ต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอแก่ประชาชน กระบวนการนำวัคซีนโควิด 19 มาใช้ในประเทศไทย ประกอบด้วย กระบวนการคัดเลือก จัดซ้ือจัดหาวัคซีน การพิจารณาข้อมูลเชิงวิชาการ การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย กระบวนการ บริหารจัดการวัคซีนและการให้บริการ การดำเนินงานเหล่านี้อาศัยกลไกการขับเคลื่อน ภายใต้คณะกรรมการ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. คณะกรรมการขับเคลื่อนการจดั หาวัคซนี โควิด 19 เพ่อื ประชาชนไทย กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดกลไกการดำเนินงานจัดหาวัคซีนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประเทศไทย มีวัคซีนสำหรับให้บริการแก่ประชากร โดยจัดต้ังคณะกรรมการขับเคล่ือนการจัดหาวัคซีนโควิด 19 เพ่ือประชาชนไทย มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม คณะกรรมการขับเคล่ือนฯ มีอำนาจหน้าที่ ในการจัดทำข้อเสนอทางเลือกเชิงนโยบายการจัดหาวัคซีนโควิด 19 และแผนการจัดหาวัคซีนเสนอต่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้เป็นไป ตามแผนและกรอบเวลาที่กำหนด รวมท้ังเจรจาต่อรองกับภาคีเครือข่ายท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือจัดหาวัคซีน โควิด 19 จากผผู้ ลติ ทั้งในและตา่ งประเทศ คณะกรรมการฯ ได้แตง่ ตั้งคณะทำงานสำหรับดำเนินการจัดทำข้อตกลง และเจรจาจัดหาวัคซีนโควิด 19 เพ่ือให้การดำเนินงานในการต่อรองและพิจารณาร่างสัญญาจัดหาวัคซีน มีความคล่องตวั ปัจจุบันประเทศไทยมีการลงนามสัญญาซื้อวัคซีนโควิด 19 จากบริษัท AstraZeneca (Thailand) เม่ือวันท่ี 27 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 26 ล้านโดส และกำลังจองเพ่ิมอีก 35 ล้านโดส ซ่ึงเป็นวัคซีนชนิด Viral vector ท่ีพัฒนาโดย Oxford University ร่วมกับผู้ผลิตคือบริษัท AstraZeneca จำกัด บริษัท AstraZeneca จำกดั ตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด 19 ให้แก่ผผู้ ลิตในประเทศไทย คือ บรษิ ัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกดั และมีวคั ซีนนำเข้ามาถงึ ประเทศไทยวนั ท่ี 24 กมุ ภาพันธ์ 2564 จำนวน 117,000 โดส นอกจากน้ียังมีการจัดหาวคั ซนี CoronaVac จากบริษัท Sinovac จำนวน 2 ล้านโดส ซึ่งมาถึงประเทศ ไทยในวันท่ี 24 กุมภาพันธ์ 2564 จำนวน 2 แสนโดส และทยอยมาจนครบตามจำนวน ท้ังนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนโควิด 19 เพื่อประชาชนไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงมีความพยายามทจ่ี ะจดั หาวคั ซีนเพม่ิ เติมเพ่ือให้ครอบคลุมประชาชนไทยทุกคนต่อไป 2. คณะกรรมการวคั ซีนแห่งชาติ การใช้วัคซีนโควิด 19 ในสถานการณ์การระบาด จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากผู้เช่ียวชาญ ด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งได้แก่ คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคภายใต้คณะกรรมการวัคซีน แหง่ ชาติ คณะอนุกรรมการสร้างเสรมิ ภูมิคุ้มกันโรคและคณะทำงานผูเ้ ชี่ยวชาญกำหนดแผนการให้วัคซีนป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้ข้อแนะนำชนิดของวัคซีนท่ีเหมาะสมในการนำมาใช้ กำหนดลำดับ กลุ่มเป้าหมายในการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ในช่วงแรกที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด ช่วงที่มีวัคซีนเพ่ิมข้ึน และช่วงที่มี วัคซีนเพียงพอ รวมท้ังให้คำแนะนำแนวทางการให้บริการวัคซีน ท้ังน้ีรายละเอียดของกลุ่มเป้าหมายจะอยู่ในหัวข้อ “กลุม่ เป้าหมาย” -14-

3. คณะกรรมการโรคตดิ ต่อแห่งชาติ สำหรับการบรหิ ารจัดการวัคซีนและการให้วัคซีนโควิด 19 คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้แตง่ ต้ัง คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) เพ่ือเตรียมความพร้อม การดำเนินงาน การกำกับติดตาม และการแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้การ ดำเนินงานเป็นไปอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นที่เช่ือมั่นของประชาชน โดยมีคณะทำงาน 6 ด้าน ท่ีสนับสนุนการดำเนินงาน ได้แก่ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และแผนงาน คณะทำงานด้านการเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารและสื่อประชาสัมพันธ์ คณะทำงานด้านการให้บริการวัคซีน ฝึกอบรม และกำกับติดตามผล คณะทำงานด้านการประกันคุณภาพวัคซีนและติดตามอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน คณะทำงาน ด้านระบบข้อมูลการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 และคณะทำงานวิชาการด้านบริหาร จัดการ และศกึ ษาการให้บริการวคั ซนี กลไกทั้งสามดังกล่าวข้างต้น ได้เชื่อมโยงการดำเนินงานผ่านฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ ซ่ึงไดแ้ ก่ กรมควบคมุ โรค การเตรียมบุคลากรในการดำเนนิ งาน ในการดำเนินงานให้วคั ซีนโควิด 19 ซึ่งเป็นวัคซีนใหม่สำหรับควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ท่ีต้องให้บริการแกก่ ลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมากและภายในระยะเวลาที่จำกัด การเตรยี มทีมทำงานจงึ เปน็ อีกส่ิงหนึ่งท่ี มีความสำคัญ เพอื่ แบ่งหน้าทค่ี วามรับผิดชอบและจดั ระเบียบการทำงาน ในแต่ละระดับ ดังนี้ 1. ระดับจังหวัด ระดับจังหวัด ตามข้อสั่งการของปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้จงั หวัดได้มีกลไกในการบริหาร จัดการและกำกับติดตาม โดยให้จัดต้ังคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่ออำนวยการ บริหารจัดการ และแก้ไขสถานการณ์ในการให้วัคซีนโควิด 19 ในระดับจังหวัด โดยสามารถพิจารณาแต่งต้ัง คณะอนุกรรมการและ/หรอื คณะทำงานตามความเหมาะสมของบรบิ ทแต่ละจังหวดั 2. ระดับหน่วยบรกิ าร มอบหมายผรู้ ับผิดชอบการดำเนินงานตามข้ันตอนหลัก จำแนกได้ 5 ทีม ดงั นี้ 1) ทีมลงทะเบียน/นัดหมาย ประกอบด้วย เจ้าหน้าท่ีเวชระเบียน หรือเจ้าหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมาย ทำหนา้ ทล่ี งทะเบียนจองสทิ ธ์ิการฉดี วคั ซนี รวมถึงการลงนัดหมายวันทร่ี ับบรกิ ารฉดี วัคซีนโควิด 19 ในระบบ ระบบ ลงทะเบียนที่โรงพยาบาล (Hospital Information System: HIS) ให้กับกลุ่มเป้าหมายท่ีมีความประสงค์รับวัคซีน รวมถึงให้บริการลงทะเบียนฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และนัดหมายวันที่รับบริการฉีดวัคซีน เข็มท่ี 2 ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ทไ่ี มไ่ ดน้ ัดหมายลว่ งหน้า แต่มาทีโ่ รงพยาบาลและมีความประสงค์จะขอรับบรกิ ารฉีดวคั ซีนโควดิ 19 ในวนั นนั้ ๆ ทั้งนี้ เพื่อลดความแออัดในการจัดบริการ และเป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 ควรจัดให้มี การต้ังจุดลงทะเบียน/นัดหมายเฉพาะในส่วนของการฉีดวัคซีนโควิด 19 แยกออกจาก จุดลงทะเบียนปกติของ โรงพยาบาล 2) ทีมจัดส่งและจัดเก็บวัคซีนในระบบลูกโช่ความเย็น (Cold chain) ประกอบด้วย เภสัชกร และเจ้า พนักงานเภสัชกรรมท่ีรับผิดชอบการบริหารจัดการวัคซนี และระบบลูกโซ่ความเยน็ ทำหน้าท่ีตรวจรับวัคซีนโควิด 19 -15-

จากองค์การเภสัชกรรม จัดเก็บและรกั ษาวัคซีนภายใต้ระบบลูกโซ่ความเย็นทีค่ ลงั วคั ซีนระดับอำเภอ จัดทำบัญชีรับ- จา่ ยวคั ซีนโควิด 19 จ่ายวัคซีนให้กับทมี ให้บรกิ าร รวมทั้งให้คำปรกึ ษาเกย่ี วกับวัคซีนและอาการภายหลังไดร้ ับวัคซนี 3) ทมี ใหบ้ ริการ ประกอบดว้ ย พยาบาลวชิ าชพี นกั วิชาการสาธารณสขุ และเจ้าพนกั งานสาธารณสุข ทีท่ ำ หน้าท่ีในการเตรียมกลุ่มเป้าหมาย เตรียมสถานท่ี เบิกวัคซีน ตรวจสอบและคัดกรองกลุ่มเป้าหมาย จัดลำดับ ในการฉีดวัคซีน ตรวจสอบการบันทึกอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน ให้ข้อมูลการฉดี วคั ซีนและการดูแล ตนเองหลังได้รับวัคซีนแก่กลุ่มเป้าหมาย ฉีดวัคซีน นัดรับวัคซีนในเข็มท่ี 2 เฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ภายหลัง ได้รบั วคั ซีน 30 นาที และแนะนำการบันทึกอาการภายหลงั รับวคั ซีน จดั เก็บวคั ซีนท่ีเปดิ ใช้แลว้ ในตู้เย็นทีม่ ีอุณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซยี ส และจดั การขยะตดิ เชอื้ 4) ทีมเฝ้าระวังและตอบโต้อาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข และเจ้าพนักงานสาธารณสุข ดำเนินการในการเฝ้าระวังและตอบโต้อาการไม่พึงประสงค์ ภายหลังได้รับวัคซีนโควิด 19 กำหนดนิยามและวิธีการสอบสวนและรายงานอาการฯ ตามแนวทางการติดตาม เฝ้าระวงั เหตกุ ารณ์ไม่พงึ ประสงคภ์ ายหลงั จากไดร้ ับวัคซนี ของกองระบาดวทิ ยา กรมควบคุมโรค 5) ทมี บริหารจัดการและติดตามผล ประกอบด้วย ผู้บรหิ ารโรงพยาบาล สาธารณสุขอำเภอ และบคุ ลากร ของโรงพยาบาลและหนว่ ยบริการในระดบั ตำบลที่ได้รบั มอบหมาย ทำหน้าที่ในการประสานการดำเนินงาน อำนวย ความสะดวกและแกไ้ ขปัญหาในการดำเนินงาน ตดิ ตามผลการให้บรกิ าร และความปลอดภัยของวคั ซีน -16-

กลมุ่ เป้าหมายและระยะการดำเนนิ งานให้วัคซนี ประเทศไทยมีนโยบายการให้วัคซีนโควิด 19 แก่ประชาชนทุกคนที่สมัครใจ ตามข้อบ่งใช้ของวัคซีน แต่ละชนิดในเอกสารกำกบั ยา แต่เนือ่ งจากวัคซีนโควดิ 19 เป็นวัคซนี ที่อยู่ในระยะแรกของการผลิต ดงั น้ัน ปริมาณ ของวัคซีนที่ผลิตได้น้อยกว่าความต้องการใช้วัคซีน ดังนั้น คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคภายใต้ คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติจึงได้กำหนดลำดับกลุ่มเป้าหมายในการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ในสถานการณ์ การระบาดของโรค โดยคำนึงถึงหลักจรยิ ธรรม ความเท่าเทียม หลักฐานทางวิชาการ ปริมาณวคั ซีนท่ีจัดหาได้ และ ความสามารถในการบรหิ ารจัดการภายใต้บรบิ ทของประเทศ ทั้งน้ีกระทรวงสาธารณสุข ได้พจิ ารณาและมนี โยบายให้จัดลำดับกลุ่มเป้าหมายในการเขา้ ถึงวัคซนี ดงั นี้ ระยะที่ 1 เมือ่ มวี คั ซนี ปรมิ าณจำกัด วัตถปุ ระสงค์: 1) ลดการป่วยรนุ แรงและเสยี ชวี ิตจากโรคโควิด 19 2) รักษาระบบสุขภาพของประเทศ กล่มุ เป้าหมาย: ▪ บุคลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ดา่ นหนา้ ท้งั ภาครัฐและเอกชน* ▪ บคุ คลทมี่ ีโรคประจำตวั - โรคทางเดนิ หายใจเรือ้ รงั รุนแรง เช่น ปอดอดุ กั้นเรื้อรงั และโรคหอบหดื ที่ควบคุมไดไ้ มด่ ี - โรคหวั ใจและหลอดเลือด - โรคไตเร้อื รังระยะ 5 - โรคหลอดเลอื ดสมอง - โรคมะเรง็ ทุกชนิดทอ่ี ยู่ระหว่างเคมบี ำบดั รงั สีบำบัด และภูมคิ ุ้มกนั บำบดั ** - โรคเบาหวาน - โรคอ้วน ท่ีมีน้ำหนกั >100 กโิ ลกรัม หรอื BMI >35 กโิ ลกรัมตอ่ ตารางเมตร ▪ ผ้ทู ่มี อี ายุต้ังแต่ 60 ปี ขึน้ ไป ▪ เจา้ หนา้ ทีท่ ีเ่ ก่ียวข้องกับการควบคมุ โรคโควิด 19 ท่ีมโี อกาสสมั ผัสผปู้ ว่ ย*** หมายเหตุ: * ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าท่ีผู้ช่วยเหลือผู้ป่วย นักเทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าท่ีห้องปฏิบัติการโควิด 19 เจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาลที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อผู้ป่วยโควิด 19 (เช่น เวรเปล เจ้าหนา้ ทที่ ำความสะอาดหอพกั ผปู้ ่วย เจา้ หนา้ ทแ่ี ผนกซักฟอกในโรงพยาบาล) เจา้ หนา้ ทสี่ อบสวน โรค เจ้าหน้าท่ีท่ีปฏิบัติงานอยู่ในสถานที่กักกัน อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.)/ อาสาสมัคร สาธารณสขุ แรงงานต่างด้าว (อสต.) ที่ตอ้ งสมั ผสั ผู้ป่วยโควิด 19 เป็นตน้ ** ให้อยู่ภายใตด้ ุลยพินจิ ของแพทย์ *** ได้แก่ เจ้าหน้าท่ีที่ปฏิบัติหน้าที่ ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ทหาร ตำรวจ ท่ีปฏิบัติหน้าที่ ควบคมุ โรคชายแดน เปน็ ตน้ ท้ังนี้ กลุ่มเป้าหมายอาจมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดได้ตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ประสิทธิภาพของวัคซีน และจำนวนวัคซีนท่ีจัดหาได้ โดยพิจารณาให้ความสำคัญกับพ้ืนที่ท่ีมีการระบาดรุนแรง โดยเฉพาะพ้นื ท่คี วบคมุ สูงสดุ และเขม้ ข้น -17-

ระยะท่ี 2 เมอื่ มวี ัคซนี มากขึ้น และเพยี งพอ วัตถปุ ระสงค์: 1) เพ่อื รกั ษาเศรษฐกิจ สงั คม และความมัน่ คงของประเทศ 2) เพ่ือสรา้ งภูมิค้มุ กันในระดับประชากรและฟื้นฟูให้ประเทศกลบั เขา้ สู่ภาวะปกติ กลุ่มเปา้ หมาย: ▪ กลุ่มเป้าหมายในระยะท่ี 1 ▪ บคุ คลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอนื่ ๆ ที่นอกเหนอื จากด่านหนา้ ▪ ผูป้ ระกอบอาชพี ภาคการท่องเท่ียว เช่น พนกั งานโรงแรม สถานบนั เทงิ มคั คุเทศก์ นักกฬี า ▪ ผ้เู ดินทางระหว่างประเทศ เชน่ นักบิน/ลกู เรือ นักธรุ กจิ ระหวา่ งประเทศ ▪ ประชาชนท่ัวไป ▪ นกั การทตู เจ้าหนา้ ทอ่ี งคก์ รระหวา่ งประเทศ นกั ธุรกิจต่างชาติ คนตา่ งชาติพำนกั ระยะยาว ▪ แรงงานในภาคอตุ สาหกรรม ภาคบริการ -18-

การสำรวจกลมุ่ เป้าหมาย การลงทะเบียนจองสทิ ธ์ิ และนัดหมายรับบรกิ าร 1. การสำรวจกล่มุ เปา้ หมายการใหว้ คั ซนี ขอความร่วมมือหน่วยบริการและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ โรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน หน่วยงาน สาธารณสุขและหน่วยงานอ่ืนๆ ท่ีไม่ใช่หน่วยงานทางการแพทย์และสาธารณสุขท่ีปฏิบัติงานเก่ียวข้องกับการ ควบคุมโรคโควิด 19 สำรวจกลุ่มเป้าหมายท่ีควรได้รับวัคซีนโควิด 19 ปี 2564 ในระยะแรกที่วัคซีนมีปริมาณ จำกดั ไดแ้ ก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ทัง้ ภาครฐั และเอกชน ▪ บุคลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ด่านหนา้ ภาครัฐ ประกอบด้วย - ในสถานพยาบาล ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยเหลอื ผู้ป่วย นัก เทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าท่ีห้องปฏิบัติการโควิด 19 เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล/ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และศนู ย์บริการสาธารณสุข/ ศนู ยอ์ นามัย ทม่ี ีโอกาสสัมผสั เช้อื ผู้ปว่ ยโควิด 19 (เช่น เวรเปล เจา้ หน้าที่ทำ ความสะอาดหอพกั ผู้ป่วย เจา้ หน้าท่ีแผนกซกั ฟอกในโรงพยาบาล) เจา้ หนา้ ท่ีสอบสวนโรค เจา้ หน้าทที่ ป่ี ฏิบัติงานอยู่ ในสถานที่กกั กนั - ในหน่วยงานสาธารณสุขท่ีเกี่ยวข้อง คือ เจ้าหน้าท่ีมีโอกาสสัมผัสเชื้อผู้ป่วยโควิด 19 ได้แก่ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ท่ีปฏิบัติงานอยู่ในสถานที่กักกันโรค หรือเจ้าหน้าท่ีห้องปฏิบัติการโควิด 19 ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)/สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ (สสอ.)/สำนักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.)/ศนู ยว์ ิทยาศาสตร์การแพทย์ ▪ บคุ ลากรทางการแพทย์และสาธารณสขุ ด่านหนา้ ภาคเอกชน ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยเหลือผู้ป่วย นักเทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าที่ ห้องปฏิบัติการโควิด 19 เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเอกชน ท่ีมีโอกาสสัมผัสเชื้อผู้ป่วยโควิด 19 (เช่น เวรเปล เจา้ หน้าทีท่ ำความสะอาดหอพักผูป้ ่วย เจ้าหน้าที่แผนกซักฟอกในโรงพยาบาล) เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ท่ี ปฏบิ ตั ิงานอยู่ในสถานทกี่ ักกนั โดยทางสมาคมโรงพยาบาลเอกชน จะประสานการสำรวจและรวบรวมข้อมูลบุคลากรของ โรงพยาบาลภาคเอกชนในทุกจงั หวดั ท่ัวประเทศ ส่งให้กรมควบคมุ โรค ▪ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)/อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) ท่ีมีโอกาส สมั ผสั เชือ้ ผ้ปู ่วยโควดิ 19 บคุ คลทม่ี ีโรคประจำตวั หมายถงึ บุคคลที่มีโรคประจำตวั และอายุต้งั แต่ 18 ปี ถงึ อายุต่ำกวา่ 60 ปี ดงั น้ี ▪ โรคทางเดินหายใจเร้ือรังรนุ แรง เช่น ปอดอุดกั้นเร้ือรัง เป็นต้น ▪ โรคหัวใจและหลอดเลอื ด ▪ โรคไตเรอ้ื รังระยะ 5 ▪ โรคหลอดเลอื ดสมอง ▪ โรคมะเรง็ ทุกชนิดที่อย่รู ะหว่างการรกั ษาด้วย เคมบี ำบัด รงั สบี ำบดั และภูมคิ ุม้ กนั บำบดั ▪ โรคเบาหวาน ▪ โรคอ้วน ท่มี นี ้ำหนกั >100 กิโลกรมั หรอื BMI >35 กิโลกรัมตอ่ ตารางเมตร -19-

ผู้ท่มี ีอายตุ ง้ั แต่ 60 ปี ขน้ึ ไป ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีข้ึนไป ทุกคน (ในปี 2564 คือผู้ที่เกิดก่อนปี 2504) สำหรับกรณีท่ี กลุ่มเป้าหมายอายุต้ังแต่ 60 ปี ขึ้นไปและมีโรคประจำตัวในกลุ่มเส่ียง ให้สำรวจข้อมูลอยู่ในกลุ่มอายุต้ังแต่ 60 ปี ขึ้นไป เจา้ หนา้ ที่ที่เก่ยี วข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ทม่ี โี อกาสสมั ผสั ผู้ปว่ ย ประกอบดว้ ย ▪ ทหารและตำรวจ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั การควบคมุ โรคโควดิ 19 ทม่ี โี อกาสสัมผัสผู้ปว่ ย หรอื ปฏิบัติ หน้าที่ ณ ช่องทางเข้าออกระหวา่ งประเทศ ท่ีปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีควบคุมโรคชายแดน ▪ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าท่ี ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ปฏิบัติหน้าท่ีควบคุมโรค ชายแดน ท่ีเก่ียวข้องกับการควบคุมโรคโควดิ 19 ท่ีมีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่น ทา่ อากาศยานนานาชาติ ด่านควบคุม โรค (ระหวา่ งประเทศ) ดา่ นช่องทางเขา้ ออกระหว่างประเทศ (ทางบก ทางนำ้ และทางอากาศ) ▪ เจ้าหน้าทีอ่ ่ืน ๆ ทเี่ กย่ี วข้องกับการควบคมุ โรคโควดิ 19 ที่มโี อกาสสมั ผัสผูป้ ่วย 2. การรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย จากข้อส่ังการของการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในวันที่ 29 มกราคม 2564 ขอความร่วมมือให้ดำเนินการส่งข้อมูล กลุม่ เปา้ หมาย ดังน้ี - ให้ทุกจังหวัดส่งรายช่ือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน เปน็ รายบุคคล พร้อมยนื ยันว่าแต่ละคนประสงค์จะฉดี วัคซนี หรอื ไม่ เขา้ ฐานขอ้ มูล MOPH immunization center ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (บันทึกเป็นรายบุคคล หรือ Upload ไฟล์ Excel) - ให้ สสจ. เป็นผบู้ นั ทกึ ข้อมูลเปา้ หมายในจังหวัด และกรมการแพทยเ์ ป็นผบู้ ันทกึ เป้าหมายในกรุงเทพฯ - สำหรับข้อมูลบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคเขต (สคร.ที่ 1-12) และสถาบนั ปอ้ งกนั ควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) ขอใหส้ ำรวจและรวบรวมไวใ้ นจงั หวดั ที่ตั้งของหนว่ ยงาน - ให้ทุกจังหวัดสง่ ข้อมูลให้กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพ่ือรวบรวม ข้อมูลการสำรวจทั้งหมดทุกจังหวัดในเขตรับผิดชอบส่งต่อไปยังกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินการจดั สรรวัคซนี ต่อไป ผู้ประสานงาน : กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 02 5901497 การลงทะเบียนเพื่อจองสิทธิและนดั หมายรับบริการ ข้ันตอนการปฏิบัติงานสำหรับเจ้าหน้าที่ของหน่วยบริการเพื่อการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ผ่านระบบ ลงทะเบียนที่โรงพยาบาล Hospital Information System (HIS) หรือ Web base หรือ Web application: Co-vaccine.moph (https://co-vaccine.moph.go.th) มดี งั นี้ -20-

การเตรยี มการช่วงก่อนลงทะเบียนจองสทิ ธฉิ ดี วคั ซนี 1. การเตรียมระบบลงทะเบียนกลุ่มเป้าหมาย 1.1 โรงพยาบาลรวบรวมกลุ่มเป้าหมายที่ประสงค์รับวัคซีน ส่งให้ส่วนกลาง เพื่อจัดทำฐานข้อมูล MOPH immunization center 1.2 ส่วนกลางกำหนดยอดจัดสรรวัคซีนให้แก่โรงพยาบาล และบันทึกในระบบ Hospital Information System (HIS) หรือ Web base ของโรงพยาบาล สำหรับจัดทำกิจกรรมการฉีดวัคซีนและตารางจองการฉีดวัคซีน และแจ้งให้โรงพยาบาลทราบผ่านระบบ Hospital Information System (HIS) หรอื Web base 2. การประชาสมั พันธ์การลงทะเบยี นกลุม่ เป้าหมาย โรงพยาบาลส่ือสารและประชาสัมพันธใ์ ห้ประชาชนกลุ่มเปา้ หมายให้ลงทะเบยี นจองสิทธ์ิและนัดหมาย รับบริการ โดยประชาชนที่มีโทรศัพท์มือถือ ให้ download Application หมอพร้อม หรือ ประชาชนที่ไม่มี โทรศพั ทม์ ือถอื ให้ลงทะเบยี นที่โรงพยาบาล 3. ข้ันตอนการจัดการวัคซนี เพอ่ื จดั ทำกจิ กรรมการฉีดวคั ซีนและตารางจองการฉีดวคั ซนี (Slot) เมื่อโรงพยาบาลได้รับจำนวนการจัดสรรวัคซีนในระบบ Hospital Information System (HIS) หรือ Web base แล้ว ต้องแบ่งสัดส่วนจำนวนวัคซีน สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จองสิทธิการฉีดวัคซีนผ่าน Application และ Web-based/Hospital ท่ีหน่วยบริการ และกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ได้จองสิทธิการฉีดวัคซีน (Walk in) เพ่ือจัดทำ กิจกรรมการฉดี วัคซนี และตารางจองการฉีดวคั ซนี 4. การจดั กจิ กรรมการฉดี วัคซีนและตารางจองการฉดี วัคซนี (Slot) การกำหนดกิจกรรมการฉีดวัคซีนและตารางจองการฉีดวัคซีน ของโรงพยาบาลสำหรับให้บริการวัคซีน โควิด 19 แก่กลุ่มเป้าหมาย ให้โรงพยาบาลดำเนินการผ่านระบบ Hospital Information System (HIS) หรือ Web base ของโรงพยาบาล 4.1 โรงพยาบาลกำหนดวันที่ให้บริการในแต่ละเดือน, ช่วงเวลาท่ีให้บริการในแต่ละวัน ทั้งช่วงเช้าและ ชว่ งบา่ ย 4.2 กำหนดโควต้าจำนวนวคั ซีนท่ีสามารถฉีดได้ในช่วงเวลาทีใ่ ห้บริการในแตล่ ะวนั ในตอนเชา้ และตอนบา่ ย การลงทะเบียนจองสิทธินดั หมายฉีดวัคซนี ชอ่ งทางการลงทะเบียนจองสทิ ธิฉดี วคั ซนี โควดิ 19 ของกลมุ่ เปา้ หมาย สามารถลงทะเบยี นเพ่ือตรวจสอบสทิ ธิ จองวัน เวลาและหนว่ ยบริการสำหรับฉีดวคั ซีน ได้ 2 ช่องทาง ดังนี้ 1.1 ลงทะเบียนจองสิท ธิด้วยตนเอง ผ่าน Web application: Co-vaccine.moph (https://co- vaccine.moph.go.th) บน Smart phone 1.2 ลงทะเบียนจองสิทธิ ณ โรงพยาบาลผ่านระบบ Hospital Information System (HIS) หรือ Web base ของโรงพยาบาล โรงพยาบาลทำการลงทะเบียนจองสิทธิฉีดวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมายผ่านหน้า Hospital Information System (HIS) หรือ Web base ของระบบการบริการวัคซีนโควิด 19 โดยตรวจสอบสิทธิว่าเข้าเกณฑ์ท่ีจะได้รับ การฉีดวัคซีนหรือไม่ กรณีกลุ่มเส่ียงมีโรคประจำตัวแต่ไม่มีหลักฐานในระบบของ รพ. ท่ีจองฉีดวัคซีน ให้ใช้ หลักฐานยืนยัน เช่น ใบรับรองแพทย์ หรือ ประวัติการรักษาในการลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนล่วงหน้า ต่อจากน้ัน -21-

กำหนดวันฉีดวัคซีน และหน่วยฉีดวัคซีนตามที่ให้ผู้รับบริการเลือก ยืนยันการจองฉีดวัคซีน โดยโรงพยาบาล สามารถออกใบนัดหมายฉีดวัคซีนโควิด 19 (ภาคผนวกท่ี 1) ตามรูปแบบท่ีกรมควบคุมโรคกำหนด หรือนัดหมาย ฉดี วัคซีนตามระบบการนดั หมายปกตขิ องโรงพยาบาล การให้บรกิ ารฉีดวัคซีนโควิด 19 1. ข้ันตอนการเขา้ รบั บริการฉีดวคั ซีน 1.1 กลุ่มเป้าหมายท่ีลงทะเบียนจองสิทธิแล้วท้ัง 2 ช่องทางทุกราย สามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ ณ โรงพยาบาลตามวัน เวลาที่จองสิทธิไว้ตามบัตรนัด โดยกลุ่มเป้าหมายท่ีมี Application จะได้รับการแจ้งเตือนการนัด หมายผ่าน Application 1.2 กลุ่มเป้าหมายที่ไม่ได้มีการลงทะเบียนจองสิทธิในเวลาท่ีกำหนด สามารถขอรับบริการฉีดวัคซีน ได้ที่โรงพยาบาล ในช่วงท่ีให้บริการวัคซีนโควิด 19 (Walk in) แต่เนื่องจากปริมาณวัคซีนที่โรงพยาบาลได้รับการ จัดสรรมีจำนวนจำกัดและไม่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกคน ดังนั้น โรงพยาบาลต้องให้บริการฉีดวัคซีน แก่กลุ่มเป้าหมายตามลำดับการจองสิทธิ ซึ่งผู้มีสิทธิจากการจองฉีดวัคซีนและมาขอรับบริการก่อนจะได้สิทธิฉีด วัคซีนกอ่ น 2. การยืนยนั ตัวตนเพื่อเข้ารับบรกิ าร 2.1 โรงพยาบาลสามารถเลอื กใชว้ ธิ ยี นื ยันตวั ตนผู้จองสทิ ธฉิ ดี วคั ซนี ได้ 2 วิธี โดยมีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี วิธีที่ 1 การยืนยันตัวตนแบบ “กรอกข้อมูลบัตรประชาชน” ผ่านระบบ Hospital Information System (HIS) ห รื อ Web base ห รื อ Web application: Co-vaccine.moph (https://co-vaccine.moph.go.th) ณ จดุ ให้บริการ วธิ ีที่ 2 การยืนยนั ตัวตนโดยสแกน “QR Code/Virtual ID Application” ทโี่ รงพยาบาล 2.2 หลังจากโรงพยาบาลทำการยนื ยันตวั ตนกับระบบใหแ้ ก่ผู้จองสิทธิฉีดวคั ซีนตามวิธดี ังกล่าวขา้ งต้น เรยี บรอ้ ยแล้ว ระบบจะเข้าสู่รายละเอียดกิจกรรมการฉีดวัคซีนตามวันท่ีนัด โรงพยาบาลทำการยืนยนั เข้ารับการฉีด วัคซีนใหก้ บั ผู้จองสิทธฉิ ดี วัคซนี 3. การให้บริการฉดี วัคซนี 3.1 การใหบ้ ริการฉดี วัคซนี โควิด 19 เขม็ ที่ 1 โรงพยาบาลฉีดวัคซีนให้กับกลมุ่ เป้าหมายที่หน่วยฉีดวัคซีน ตามรายละเอียดการนัดฉีดวัคซีน เมื่อฉีด วัคซีนเสร็จแล้วโรงพยาบาลบันทึกข้อมูลการให้บริการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มเป้าหมายผ่าน Hospital Information System (HIS) หรือ Web based ของโรงพยาบาล เมอ่ื ผรู้ บั บริการได้รับการฉดี วคั ซนี เข็มท่ี 1 แล้ว โรงพยาบาลจะนัดหมายการรับบริการฉีดวัคซนี เข็มท่ี 2 และบันทึกรายละเอียดการเกิด AEFI ภายหลังสังเกตอาการ 30 นาที (Day 0) ผ่าน Hospital Information System (HIS) หรือ Web based ของโรงพยาบาล 3.2 การให้บรกิ ารฉีดวคั ซีนโควิด 19 เข็มที่ 2 กลุ่มเป้าหมายท่ีได้นัดหมายการฉีดวัคซีนเข็มท่ี 2 จะมีระบบการแจ้งเตือนการนัดหมายผ่าน Application หมอพร้อม -22-

เม่ือผู้รับบริการมาฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตามนัดหมาย โรงพยาบาลต้องตรวจสอบการรายงานการเกิด AEFI หลังฉีดวัคซีนเข็มท่ี 1 ของผู้รับบริการ ว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ก่อนที่จะฉีดวัคซีนเข็มท่ี 2 ให้กับ ผู้รบั บริการท่ีหนว่ ยฉีดวคั ซีน หลังจากผู้รับบริการได้รับวัคซีนเข็มท่ี 2 แล้ว โรงพยาบาลจะบันทึกข้อมูลการฉีดวัคซีนและออก เอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (ภาคผนวกที่ 2) ให้ในรายที่รับวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 ครบถ้วน และบันทึกรายละเอียดการเกิด AEFI ภายหลังสังเกตอาการ 30 นาที (Day 0) ผ่าน Hospital Information System (HIS) หรือ Web based ของโรงพยาบาล หลังให้บรกิ ารฉีดวัคซีนโควิด 19 การรายงาน AEFI หลงั ให้บริการฉีดวัคซีน โรงพยาบาลแนะนำให้กลุม่ เป้าหมายบนั ทึกรายละเอียดการเกิด AEFI หลังการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 1 และ 2 โดยสังเกตอาการ หลังฉีด 30 นาที และในวันท่ี 1, 7 และ 30 รายละเอียดตามการดำเนินการเฝ้าระวัง AEFI -23-

การเบิกจา่ ยและบริหารจดั การวคั ซีน การดำเนนิ งานใหบ้ รกิ ารวคั ซนี โควิด 19 ในระยะแรกจะดำเนินการที่โรงพยาบาลท้งั ภาครัฐและเอกชนเป็น หลัก เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมด้านแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขท่ีเก่ียวข้อง รวมถงึ อุปกรณ์ต่างๆ ท่ีสามารถรองรบั การจดั การกรณีทม่ี ีผ้ไู ด้รับการฉดี วัคซีนเกิดอาการไม่พึงประสงคภ์ ายหลังจาก ได้รับฉีดวัคซีน (Adverse Event Following Immunization: AEFI) และเมื่อมีความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยพ้ืนที่สามารถบริหารจัดการวัคซีนและการดำเนินงานส่วนที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้ จึงจะขยายสถานที่ดำเนินการ ให้บริการวคั ซีนโควิด 19 ไปยังหน่วยบริการต่อไป เช่น ท่ีโรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตำบล (รพ.สต.) ศูนย์สุขภาพ ชุมชน (ศสม.) คลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster: PCC) หรือศูนย์บริการสาธารณสุข (ศบส.) เป็นต้น เพื่อช่วยเร่งรัดการให้บริการวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งข้ึน ซึ่งจะช่วยเพ่ิมความครอบคลุมการได้รับวัคซีนของประชาชน ภายในประเทศได้มากขึ้น โดยกระทรวงสาธารณสุขจะแจ้งให้ทราบในลำดับถัดไป ท้ังนี้ กรมควบ คุมโรคเป็นผู้ กำหนดจำนวนจัดสรรวัคซีนโควดิ 19 ที่แต่ละโรงพยาบาล/หน่วยงานจะได้รับ และลำดับการได้รับวัคซีนก่อน-หลัง ของแต่ละโรงพยาบาล/หนว่ ยงานขึ้นอยกู่ ับสถานการณ์การระบาดของโรคในแตล่ ะพ้ืนที่ตามประกาศของกระทรวง สาธารณสุข ซ่ึงวัคซีนโควิด 19 ท่ีกระทรวงสาธารณสุขจัดหาได้ในระยะแรกปี พ.ศ. 2564 มีจำนวนรวมท้ังส้ิน 63 ล้านโดส จาก 2 บริษัทผู้ผลิต ได้แก่ บริษัท Sinovac Life Sciences จำกัด จำนวน 2 ล้านโดส และบริษัท AstraZeneca จำกัด จำนวน 61 ล้านโดส นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนอุปกรณ์ในระบบลูกโซ่ความเย็นและอุปกรณ์การฉีดวัคซีน ให้แก่หน่วยบริการสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชนท่ัวประเทศท่ีดำเนินการให้บริการวัคซีนโควิด 19 เพ่ือรองรับ การสำรองและการใหบ้ รกิ ารวัคซีนแก่กลุ่มเป้าหมาย ดงั น้ี 1. อุปกรณใ์ นระบบลกู โซ่ความเย็น ไดแ้ ก่ 1.1 ตูเ้ ย็นชนิด Pharmaceutical refrigerator สนับสนุนจังหวัดละ 1 ตู้ สำหรับเป็นคลังวัคซีนสำรองระดับจังหวัด โดยจะต้องมีเคร่ืองกำเนิด ไฟฟ้าสำรอง (Generator) เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ฉุกเฉินในระบบลูกโซ่ความเย็น (Cold chain breakdown) และเป็นจุดท่ีสามารถบริหารจัดการวัคซีนภายในจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงได้รับ การสนบั สนนุ งบประมาณจำนวน 100,000 บาท ต่อจงั หวัด เพอ่ื ให้จดั หาตู้เยน็ เพิ่มเติมให้เพยี งพอ 1.2 กระติกวคั ซนี ขนาดใหญ่ (Cold box) ขนาดความจุ 53 ลติ ร สนบั สนนุ ให้แก่โรงพยาบาลท้งั ภาครัฐและเอกชนท่ัวประเทศท่ีดำเนนิ การใหบ้ ริการวัคซีนโควดิ 19 1.3 กระตกิ วคั ซีนขนาดใหญ่ (Cold box) ขนาดความจุ 46 ลิตร สนบั สนนุ ให้แกห่ น่วยบรกิ ารทวั่ ประเทศ 1.4 เคร่ืองบนั ทึกอณุ หภมู ิแบบตอ่ เนอื่ ง (Data Logger) สนบั สนนุ ให้แก่โรงพยาบาลทง้ั ภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศท่ีดำเนนิ การให้บริการวัคซีนโควิด 19 1.5 เครื่องอ่านข้อมลู จาก Data Logger (Interface) สนับสนนุ ใหแ้ กโ่ รงพยาบาลทั้งภาครฐั และเอกชนทวั่ ประเทศที่ดำเนนิ การให้บริการวคั ซีนโควดิ 19 1.6 เทอรโ์ มมิเตอรแ์ สดงผลแบบดจิ ติ อล (Digital Thermometer) สนับสนุนใหแ้ ก่หนว่ ยบริการท่ัวประเทศ -24-

2. อปุ กรณ์การฉดี วคั ซนี ไดแ้ ก่ 2.1 เข็มฉีดยา เบอร์ 25-26 ความยาว 1 น้ิว 2.2 เข็ม Draw เบอร์ 18 ความยาว 11/2 นว้ิ 2.3 กระบอกฉีดยา ขนาด 1 มิลลลิ ติ ร และ 3 มลิ ลลิ ิตร โดยจำนวนสนับสนุนอุปกรณ์การฉีดวัคซีนทั้ง 3 รายการจะสอดคล้องกับปริมาณวัคซีนโควิด 19 ทแ่ี ตล่ ะโรงพยาบาล/หนว่ ยงานได้รบั การเบกิ จา่ ยและการกระจายวัคซนี โควดิ 19 หนว่ ยงานทีเ่ ก่ยี วข้องในการดำเนนิ การเบิกจา่ ยและการกระจายวัคซนี โควิด 19 มดี ังนี้ 1. หน่วยงานส่วนกลาง กรมควบคุมโรคเป็นผู้กำหนดจำนวนจัดสรรวัคซีนโควิด 19 ที่แต่ละโรงพยาบาล/หน่วยงานจะได้รับ และ กระจายวัคซีนโดยองค์การเภสัชกรรมหรือบริษัทเอกชนผู้รับจ้างขนส่งวัคซีน ไปยังโรงพยาบาล/หน่วยงานโดยตรง ซึ่งลำดับการได้รับวัคซีนก่อน-หลังของแต่ละโรงพยาบาล/หน่วยงานขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาดของโรคในแต่ ละพื้นที่ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคจะมีการแจ้งจำนวนจัดสรรวัคซีนให้แก่ โรงพยาบาล/หน่วยงานทราบตามระบบตอ่ ไป 2. ฝา่ ยเภสัชกรรมโรงพยาบาล มีหน้าทด่ี ังนี้ 2.1 ตรวจสอบความพรอ้ มของพ้นื ทจ่ี ัดเกบ็ วคั ซนี โควิด 19 ในระบบลกู โซ่ความเยน็ ได้แก่ 1) ควรมีความจุของตู้เย็นเก็บวัคซีนที่เพียงพอสำหรับจัดเก็บวัคซีนเพื่อให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมาย ของโรงพยาบาล และตู้เย็นอยู่ในสภาพที่ใช้การได้เป็นปกติ โดยสามารถตรวจสอบขนาดของวัคซีนโควิด 19 ทั้ง 2 บรษิ ัทผผู้ ลิต ไดแ้ ก่ บรษิ ัท Sinovac Life Sciences จำกดั และบรษิ ทั AstraZeneca จำกัด (ภาคผนวกที่ 3) 2) ติดตัง้ ตเู้ ยน็ ในจุดท่ีมีเครื่องกำเนิดไฟฟา้ สำรอง (Generator) เพอ่ื ปอ้ งกันปัญหาท่ีอาจเกิดขึ้นจาก เหตกุ ารณ์ฉกุ เฉินในระบบลูกโซค่ วามเย็น (Cold chain breakdown) 2.2 วัคซีนโควิด 19 นำส่งโดยองค์การเภสัชกรรมหรือบรษิ ัทเอกชนผูร้ ับจ้างขนส่งวัคซีน มายังโรงพยาบาล สัปดาห์ละครั้งสำหรับโรงพยาบาลขนาดใหญ่/ผู้รับบริการจำนวนมาก ได้แก่ รพศ. รพท. และเดือนละครั้งสำหรับ โรงพยาบาลขนาดเล็ก/ผู้รับบริการจำนวนน้อย ได้แก่ รพช. ขอให้ดำเนินการตรวจรับวัคซีนตามระบบปกติ เช่น การตรวจสอบข้อมูลในใบนำส่งวัคซีนต้องตรงกับวัคซีนที่ถูกนำส่ง ได้แก่ รายการวัคซีน ชื่อบริษัทผู้ผลิตวัคซีน/ช่อื ทางการค้า จำนวนวัคซีน เลขที่ผลิต (Lot No.) วันที่ผลิต (Mfg. date) (ถ้ามีระบุในใบนำส่ง) และวันหมดอายุ (Exp. date) ตรวจสอบอุณหภูมิให้เหมาะสม และตรวจสอบสภาพของวัคซีน ขวดวัคซีน กล่องบรรจุวัคซีน และ กลอ่ งโฟมควรอยู่ในสภาพดี แล้วจึงลงนามผรู้ บั วัคซีนพรอ้ มลงวันที่ เป็นตน้ 2.3 เมื่อตรวจรับวัคซีนโควิด 19 เรียบร้อย ขอให้รีบดำเนินการจัดเก็บวัคซีนในตู้เย็นท่ีอุณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซียส โดยเร็ว ติดป้ายชื่อวัคซีนกำกับ และควรให้มีช่องว่างระหว่างขวด/กล่องวัคซีนพอให้ความเย็น ไหลเวียนไดท้ ่ัวถึง สำหรับวัคซีนโควิด 19 ของบริษัท Sinovac Life Sciences จำกัด จัดเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายจึง แนะนำให้จัดวางไว้ที่ชั้นกลางหรือชั้นที่ 2 ของตู้เย็น และห่างจากจุดปล่อยความเย็น ส่วนวัคซีนโควิด 19 ของ บริษัท AstraZeneca จำกัด จัดเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นจึงแนะนำให้จัดวางไว้ที่ชั้นที่ 1 ของตู้เย็น โดยวัคซีนโควิด 19 ทั้ง 2 บริษัทผู้ผลิต ให้เก็บป้องกันแสง ห้ามแช่แข็ง และห้ามวางไว้ที่ถาดรองใต้ช่องแช่แข็ง ฝาประตูตู้เย็น และ -25-

ช่องแช่ผัก เนื่องจากเป็นจุดที่อุณหภูมิไม่เหมาะสม และหากโรงพยาบาลมีวัคซีนของทั้ง 2 บริษัทในเวลาเดียวกัน ขอให้จัดวางแยกกัน ไมน่ ำมารวมกนั และติดป้ายชือ่ วคั ซนี รายบริษัทผผู้ ลติ /ชื่อทางการคา้ (ภาคผนวกที่ 4) 2.4 จดั ทำทะเบียนรับ-จา่ ยวัคซีนโควิด 19 โดยเฉพาะ โดยแยกรายบริษัทผู้ผลิต/ชื่อทางการค้า และบนั ทึก ขอ้ มูลทุกครัง้ ทมี่ กี ารรับหรอื จ่ายวัคซนี ได้แก่ - วัน/เดือน/ปี - หน่วยงานผู้นำส่งวัคซีน (รับวัคซีน) ได้แก่ องค์การเภสัชกรรม หรือหน่วยงานที่จ่ายวัคซีนให้ไป (จ่ายวัคซีน) ไดแ้ ก่ จดุ ฉีดวัคซนี ของโรงพยาบาล - จำนวนวัคซนี ท่รี บั หรอื จา่ ย (หน่วยนบั เปน็ ขวด) - เลขทีผ่ ลติ (Lot No.) - วันหมดอายุ (Exp. date) - จำนวนวัคซีนคงเหลือรายเลขที่ผลติ (Lot No.) (หนว่ ยนับเป็น ขวด) 2.5 ทุกครั้งท่ีได้รับแบบฟอร์มขอเบิกวัคซีนโควิด 19 จากจุดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของโรงพยาบาล ขอให้ดำเนินการตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของข้อมูลขอเบิกวัคซีน หากพบความผิดปกติของข้อมูลให้รีบ ประสานงานไปยังผู้ขอเบกิ วคั ซนี เพอื่ แก้ไขปัญหารว่ มกนั โดยเรว็ 2.6 จ่ายวคั ซนี โควดิ 19 ตามหลกั วัคซนี ทหี่ มดอายุก่อน ใหจ้ า่ ยออกกอ่ น หรอื First Expire First Out (FEFO) ท้ังนี้ โรงพยาบาลทเี่ ปน็ คลังวคั ซีนสำรองระดับจงั หวัดซึ่งมตี ู้เย็นชนิด Pharmaceutical refrigerator เพ่ิม สำหรับจัดเก็บวัคซีนโควิด 19 ท้ังในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลอ่ืน ๆ ภายในจังหวัด ขอให้ฝ่ายเภสัชกรรมร่วม ดำเนนิ การบริหารจดั การและจดั สรรวคั ซนี ภายในจังหวดั อยา่ งเหมาะสม และจัดทำทะเบียนรับ-จา่ ยวัคซนี โควดิ 19 โดยแยกรายบรษิ ัทผผู้ ลิต 3. จุดให้บริการฉดี วัคซีนโควิด 19 ของโรงพยาบาล มีหนา้ ท่ีดงั นี้ 3.1 ตรวจสอบความพร้อมระบบลูกโซค่ วามเย็นของพื้นท่ีจัดเกบ็ วัคซนี โควดิ 19 โดยควรมีความจุของตูเ้ ย็น เก็บวัคซีนท่ีเพียงพอสำหรับจัดเก็บวัคซีนเพื่อให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายในแต่ละรอบการให้บริการ ตู้เย็นอยู่ใน สภาพที่ใช้การได้เป็นปกติ โดยสามารถตรวจสอบขนาดของวัคซีนโควิด 19 ท้ัง 2 บริษัทผู้ผลิต ได้แก่ บริษัท Sinovac Life Sciences จำกัด และบริษทั AstraZeneca จำกดั (ภาคผนวกท่ี 3) 3.2 เมื่อสำรวจได้จำนวนกลุ่มเป้าหมายในแต่ละรอบการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว ขอให้ ดำเนินการขอเบิกวัคซีนไปยังฝ่ายเภสัชกรรมโรงพยาบาล โดยกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์มขอเบิกวัคซีนโควิด 19 (ภาคผนวกที่ 5) และจัดส่งแบบฟอร์มฯ ให้ฝ่ายเภสัชกรรมโรงพยาบาลก่อนกำหนดให้บริการทุกคร้ัง เพื่อให้ฝ่าย เภสชั กรรมฯ ไดต้ รวจสอบข้อมูลขอเบิกและจดั เตรียมวัคซนี ท้ังนี้ ควรขอเบิกวัคซีนอย่างน้อยสัปดาห์ละคร้ัง และปริมาณท่ีขอเบิกควรสัมพันธ์กับปริมาณ การให้บริการและพ้ืนท่ีจัดเก็บวัคซีนในตู้เย็นเพ่ือป้องกันปัญหาวัคซีนไม่พอให้บริการ ทำให้ต้องขอเบิกเพ่ิมเติม นอกรอบ หรือมีวัคซีนเหลือภายหลังการให้บริการมากเกินไปซึ่งจะเสี่ยงต่อปัญหาที่จากเหตุการณ์ฉุกเฉินในระบบ ลกู โซ่ความเย็นได้ (Cold chain breakdown) -26-

3.3 เมือ่ ไดร้ ับวคั ซีนโควดิ 19 จากฝ่ายเภสัชกรรมโรงพยาบาลเรยี บรอ้ ย ให้จดั เก็บวคั ซีนในตเู้ ย็นท่อี ุณหภมู ิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซียส โดยเร็ว ติดป้ายชื่อวัคซีนกำกับ และควรให้มีช่องว่างระหว่างขวด/กล่องวัคซีนพอให้ ความเยน็ ไหลเวียนได้ท่วั ถงึ สำหรับวัคซีนโควิด 19 ของบริษัท Sinovac Life Sciences จำกัด เป็นวัคซีนชนิดเช้ือตายจึงแนะนำ ให้จัดวางไว้ที่ช้ันกลางหรือช้ันท่ี 2 ของตู้เย็น และห่างจากจุดปล่อยความเย็น ส่วนวัคซีนโควิด 19 ของบริษัท AstraZeneca จำกัด เป็นวัคซีนชนิดเช้ือเป็นจึงแนะนำให้จัดวางไว้ท่ีชั้นท่ี 1 ของตู้เย็น โดยวัคซีนโควิด 19 ทง้ั สองบริษัทผู้ผลิต ให้เก็บป้องกนั แสง ห้ามแช่แขง็ และห้ามวางไว้ที่ถาดรองใต้ช่องแช่แข็ง ฝาประตตู ูเ้ ย็น และช่อง แช่ผัก เน่ืองจากเป็นจุดท่ีอุณหภูมิไม่เหมาะสม สำหรับโรงพยาบาลท่ีมีวัคซีน 2 บริษัทผู้ผลิตในเวลาเดียวกันขอให้ จัดวางแยกกัน ไมน่ ำมารวมกนั และตดิ ป้ายช่ือวัคซีนรายบรษิ ทั ผผู้ ลิต/ช่ือทางการคา้ (ภาคผนวกท่ี 4) 3.4 จดั ทำทะเบียนรับ-จ่ายวคั ซีนโควิด 19 โดยเฉพาะ โดยแยกรายบรษิ ัทผ้ผู ลิต/ชือ่ ทางการคา้ และบนั ทึก ข้อมูลทุกครงั้ ทีม่ กี ารรบั หรือจ่ายวคั ซนี ได้แก่ - วัน/เดอื น/ปี - หน่วยงานผนู้ ำส่งวัคซีน (รับวคั ซีน) ไดแ้ ก่ ฝา่ ยเภสัชกรรมโรงพยาบาล หรือหน่วยงานท่ีจ่ายวคั ซีน ให้ไป (จา่ ยวคั ซีน) ได้แก่ จดุ ฉดี วัคซนี ของโรงพยาบาล - จำนวนวัคซนี ท่รี ับหรอื จ่าย (หนว่ ยนบั เปน็ ขวด) - เลขทผ่ี ลติ (Lot No.) - วนั หมดอายุ (Exp. date) - จำนวนวัคซีนคงเหลือรายเลขท่ีผลติ (Lot No.) (หนว่ ยนับเปน็ ขวด) 3.5 จ่ายวัคซีนโควิด 19 ตามหลักวัคซีนที่หมดอายุก่อน ให้จ่ายออกก่อน หรือ First Expire First Out (FEFO) และหลังเปิดขวดวัคซีนควรใช้ให้หมดโดยเร็ว สำหรับกรณีวัคซีน Multiple dose ได้แก่ วัคซีนโควิด 19 ของบริษัท AstraZeneca จำกัด ที่ให้บริการยังไม่หมดขวด สามารถเก็บไว้รอให้บริการได้นาน 6 ช่ัวโมง หลังเปิด ขวด โดยระหว่างรอตอ้ งจดั เกบ็ ทอ่ี ณุ หภมู ิ +2 ถงึ +8 องศาเซลเซยี ส 3.6 เม่ือสิ้นสดุ แต่ละวันท่ีให้บรกิ ารฉดี วัคซีนโควิด 19 ขอให้เก็บขวดวัคซีนที่ใช้แล้วเฉพาะวัคซีน Multiple dose ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน 7 วัน อย่างปราศจากเช้ือ เพ่ือรอการส่งตรวจ พิสูจน์อาการไม่พึงประสงค์ภายหลังจากได้รับฉีดวัคซีน (AEFI) โดยติดป้ายกำกับ เช่น วัคซีนโควิด 19 รอส่งตรวจ AEFI เปน็ ตน้ 3.7 ขวดวคั ซนี และอุปกรณก์ ารฉีดวคั ซีนให้ทำลายแบบขยะตดิ เชือ้ ตามระบบปกติทีห่ นว่ ยงานดำเนินการอยู่ -27-

การให้บรกิ ารวคั ซีนโควดิ 19 เนื่องจากวัคซีนโควิด 19 เป็นวัคซีนชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีการให้บริการในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค มาก่อน ดังน้ัน หน่วยบริการและบุคลากรผู้ให้วัคซีนทุกระดับจึงควรมีการเตรียมพร้อมก่อนการให้บริการ ควบคุม มาตรฐานการให้บริการ และบริหารจัดการภายหลังได้รับวัคซีน ตามมาตรฐานงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคอย่าง เคร่งครัด มรี ายละเอียด ดงั นี้ 1) การเตรยี มพร้อมก่อนการใหบ้ ริการวคั ซนี โควิด ประกอบด้วย 1.1 การจดั เตรียมสถานทใ่ี หบ้ ริการ เพ่ือสร้างความเช่ือมั่นในการให้บริการวัคซีนโควิด และเตรียมพร้อมตอบโต้กรณีเกิดเหตุการณ์ ไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีน จึงกำหนดให้วัคซีนโควิด 19 ในหน่วยบริการระดับโรงพยาบาลชุมชนข้ึนไปที่มี แพทย์ประจำเท่าน้ัน ไม่รวมหน่วยบริการปฐมภูมิ (PCU) และคลินิกหมอครอบครวั (PCC) ดังน้ัน โรงพยาบาล ควรจดั ให้มีสถานท่ีให้บริการเป็นการเฉพาะ มีพื้นท่ีเพียงพอสำหรบั ผู้มารอรับบริการ โดยยึดหลกั การเวน้ ระยะห่าง 1 – 2 เมตร มีจุดล้างมือหรือที่ตั้งเจลแอลกอฮอล์ มีจุดลงทะเบียน/คัดกรอง จุดรอฉีดวัคซีนและให้ความรู้ ห้องฉีด วัคซีนท่ีมีความพร้อมในการกู้ชีพ จุดเฝ้าสังเกตอาการภายหลังได้รับวัคซีน จุดนัดหมาย/จ่ายยา โดยมีผังขั้นตอน การรบั บรกิ ารอย่างชดั เจน เพอื่ ใหส้ ะดวกต่อการรับบริการของกลุ่มเป้าหมาย 1.2 การจดั เตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ์ โรงพยาบาลจำเป็นต้องจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการฉีดวัคซีน ภายใต้ระบบลูกโซ่ความเย็น และ เอกสารตา่ ง ๆ ใหพ้ ร้อมต่อการดำเนินงาน ได้แก่ • อปุ กรณ์ในการฉีดวคั ซีน ได้แก่ เข็มฉีดยา กระบอกฉีดยา พลาสเตอร์ กระติกสำหรับใส่วคั ซีน สำลี แอลกอฮอล์ ยาแกป้ วดลดไข้ - ขนาดกระบอกฉีดยาท่ีเหมาะสม: เนื่องจากปริมาณวัคซีนท่ีใช้ต่อโดส มีปริมาณ 0.5 ซีซี จงึ ควรใช้ กระบอกฉดี ยาขนาด 1 ซซี ี หรอื 3 ซีซี เปน็ ขนาดทีเ่ หมาะสมกบั ปริมาณวัคซนี ทีใ่ ชต้ อ่ โดส - ขนาดเขม็ ฉีดยาท่ีเหมาะสม: ขนาดเข็มฉีด 23-26 G ยาว 1-2 น้ิว โดยฉดี เขา้ ชัน้ กลา้ มเนอื้ • อุปกรณ์กู้ชีพ ประกอบด้วย Ambu bag, oxygen face mask, IV fluid for resuscitation, Adrenaline, Laryngoscope, Endotracheal tube • เอกสารที่เก่ียวข้อง ได้แก่ แผ่นความรู้ (ภาคผนวกที่ 6) แบบคัดกรองและใบยินยอมฉีดวัคซีน โควิด 19 (ภาคผนวกท่ี 7) ทะเบยี นนัดหมาย ทะเบยี นผู้รับบรกิ าร เปน็ ตน้ 2) การใหบ้ ริการตามมาตรฐานงานสรา้ งเสรมิ ภมู คิ ุ้มกนั โรค 2.1 การตรวจสอบความพร้อมก่อนใหบ้ ริการ ก่อนฉีดวัคซีน หน่วยบริการต้องตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ อุปกรณ์การฉีด วัคซีน และ ระบบลูกโซค่ วามเยน็ ได้แก่ • กำหนดลำดับท่ีของขวดวัคซีนโดยเรียงตามวันหมดอายุ บันทึก Lot. Number และเลขที่ขวด วัคซีน (รายละเอียดในแนวทางการเฝ้าระวังและตอบโต้เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริม ภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทย : บทท่ี 4 การดำเนินการให้บริการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคเพ่ือรองรับการสอบสวน เหตุการณไ์ ม่พงึ ประสงคภ์ ายหลงั ได้รบั การสรา้ งเสรมิ ภูมคิ ุ้มกันโรค) -28-

• เก็บวัคซนี ไว้ทีอ่ ุณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซยี ส • ตรวจสอบอปุ กรณ์กูช้ พี ให้ครบถว้ นถกู ตอ้ ง พรอ้ มใช้งาน • จัดเตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณ์การฉดี วัคซีนให้ได้มาตรฐาน 2.2 ซกั ประวตั ิ คัดกรอง และใหค้ วามรแู้ ก่กลุ่มเปา้ หมาย 2.2.1 ก่อนฉีดวคั ซีนให้กล่มุ เป้าหมาย เจา้ หน้าทีค่ วรมีการซักประวตั แิ ละคัดกรองกล่มุ เปา้ หมาย รวมถงึ ตรวจสอบข้อหา้ มและข้อควรระวงั ในการฉีดวคั ซีนโควดิ 19 ดังนี้ • อายุต่ำกวา่ 18 ปี • หญงิ ตั้งครรภ์ หรือ ใหน้ มบตุ ร หรือ วางแผนทจ่ี ะตงั้ ครรภ์ • มีประวัตแิ พว้ ัคซนี หรือ แพ้ยา หรือสว่ นประกอบของวัคซีน อย่างรนุ แรง • เคยไดร้ ับการถ่ายเลือด พลาสมา ผลติ ภณั ฑจ์ ากเลือด สว่ นประกอบของเลอื ด อมิ มูโนโกลบูลนิ ยาต้านไวรัส หรอื แอนติบอดี สำหรับการรกั ษาโควิด-19 ภายใน 90 วันทีผ่ ่านมา • มโี รคประจำตัวท่อี าการยงั ไม่คงท่ี ไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้ เชน่ เจ็บแน่นหนา้ อก หอบ เหนอื่ ย ใจสั่น เปน็ ต้น • มีอาการเก่ยี วกบั สมอง หรือ ระบบประสาทอน่ื ๆ • ตรวจพบเชื้อโควดิ 19 ในชว่ ง 10 วันที่ผา่ นมา • มอี าการเจบ็ ป่วยเฉยี บพลัน หรอื นอนรกั ษาตัวและออกจากโรงพยาบาลไมเ่ กนิ 14 วนั • ผทู้ ่ีมีภาวะภูมิคุ้มกนั บกพร่อง หรือ ได้รบั ยากดภมู ิค้มุ กนั • มภี าวะเลือดออกง่ายหรือหยดุ ยาก เกลด็ เลอื ดต่ำ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หรอื ได้รับยา ต้านการแข็งตัวของเลือด • มอี าการปว่ ย เช่น มีไข้ หนาวส่นั หายใจลำบาก อ่อนเพลยี กล้ามเน้ือ เป็นต้น ทั้งนี้ หากกลุ่มเปา้ หมายมีภาวะดังกลา่ ว หา้ มฉีดวัคซนี โควิด 19 หรือควรปรกึ ษาแพทย์ก่อนฉีด หมายเหตุ กรณีตดิ เชื้อโควดิ มาก่อนในช่วง 3-6 เดือน แนะนำฉดี แค่ 1 เข็ม 2.2.2 ให้ความรู้เกี่ยวกบั โรคและวคั ซีน ก่อนการให้วัคซีน เจา้ หน้าทีต่ ้องแจง้ ให้ผรู้ ับบริการทราบ ข้อมลู เกย่ี วกบั โรคและวัคซนี โควิด 19 ในเร่ืองประโยชนแ์ ละความปลอดภัยของวคั ซีน อาการข้างเคียงท่ีอาจเกิดข้ึน ภายหลังไดร้ ับวคั ซีน รวมถงึ แนวทางการปฏิบัติตนแกผ่ มู้ ารบั วัคซนี เมื่อผู้รับบริการรับทราบข้อชี้แจงแล้วควรให้เวลาผู้รับบริการตัดสินใจว่ารับการฉีดวัคซีนหรือไม่ โดยสมคั รใจ ไม่เร่งรดั เวลาในการรบั วัคซนี โดยผูร้ ับบรกิ ารอาจมาขอรบั วัคซีนภายหลงั ได้ 2.3 การฉีดวัคซนี ตามขนาดและตำแหน่งทกี่ ำหนด ด้วยวิธี Sterile technique โดยมดี งั นี้ - การเตรยี มวคั ซนี • ตรวจสอบชนดิ ของวคั ซีนทจี่ ะให้ • ตรวจสอบวนั หมดอายุท่ีขวดวัคซนี ที่จะใช้ • ขวดยาท่ีเป็น Vial ขวดใหม่ทุกขวด เม่ือแกะฝาพลาสติกขวด Vial ออก ให้ใช้สำลี แอลกอฮอล์เชด็ ทีจ่ กุ ยางและรอใหแ้ หง้ ก่อนจึงแทงเข็ม Draw ภายใต้เทคนิคการปลอดเชอ้ื อย่างเคร่งครดั -29-

• วัคซีนชนิด Multiple dose และหากดูดวัคซีนออกมาแล้วไม่ครบโดส ให้ท้ิงไป แล้ว เตรียมใหม่ (ห้ามดูดเพิ่มจากขวดใหม่เพื่อเติมให้ครบโดส) เมื่อเปิดใช้แล้วให้ใช้ภายใน 6 ชั่วโมง (ห้าม draw วัคซีน ไวใ้ นไซรงิ คล์ ่วงหน้า) - การจัดทา่ ฉดี วัคซนี ผู้ที่มารับวัคซีนให้นั่งเก้าอ้ี (เพราะหากมีอาการหน้ามืดเป็นลม จะไม่เป็นอันตราย) เอาแขนแนบ ลำตวั (ไมท่ ้าวสะเอว) - การฉดี วัคซีน • ฉดี วคั ซนี บริเวณต้นแขน เขา้ ชั้นกลา้ มเน้ือ (Deltoid) - บันทึกเลขท่ีวัคซนี และลำดับขวดวัคซีนทก่ี ล่มุ เป้าหมายแต่ละคนได้รบั - หลังฉดี วคั ซีน ให้ผ้รู บั บริการน่ังพักสงั เกตอาการอยา่ งน้อย 30 นาทแี ละบนั ทึกอาการภายหลงั รับวัคซีน กอ่ นให้กลบั บ้าน - กำจัดอุปกรณ์ ตามมาตรฐานการกำจดั ขยะติดเชอื้ - เก็บขวดวคั ซนี ท่ีใชแ้ ล้วในตู้เย็นอย่างน้อย 7 วัน (เพอ่ื นำวคั ซีนสง่ ตรวจเมื่อเกดิ อาการ ขา้ งเคียงที่รนุ แรง) 2.4 หลังการให้บริการ จดั ทำทะเบยี นการให้บริการและบันทึกข้อมูลในฐานข้อมลู HDC (43 แฟ้ม) ตรวจสอบและ ตดิ ตามกลุ่มเป้าหมายทไ่ี ม่ไดม้ ารบั วคั ซนี ตามนดั -30-

การบนั ทึก จดั ทำรายงาน และตดิ ตามการดำเนินงานใหบ้ รกิ ารวัคซนี โควิด 19 1. การบันทกึ การให้บรกิ าร 1.1 ระบบลงทะเบียนที่โรงพยาบาล (Hospital Information System (HIS) หรือ Web base ของ โรงพยาบาล) ขอให้หน่วยบริการทั้งภาครัฐและเอกชน ดำเนินการบันทึกผลการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ในกลุ่มเป้าหมายผ่านระบบลงทะเบยี นทโี่ รงพยาบาล (Hospital Information System (HIS) หรอื Web base ของ โรงพยาบาล) ซ่ึงข้อมูลการให้บริการวัคซีนแต่ละเข็มเป็นการบันทึกเป็นรายบุคคล ได้แก่ วันที่ได้รับวัคซีน ช่ือ การค้าของวคั ซนี เลขท่ี Lot No.ของวคั ซีน สถานท่ีท่ีได้รบั วัคซีน ขอ้ มลู อาการ AEFI ท่ีพบหลังฉีดวัคซีนภายใน 30 นาที (Day 0) โดยข้อมูลอาการ AEFI สามารถบันทึกได้ด้วยตนเอง (Self-report) หรือ เจ้าหน้าที่กรอกข้อมูลให้ ศึกษารายละเอียดตามหวั ขอ้ “การเฝ้าระวังตดิ ตามเหตุการณไ์ ม่พงึ ประสงค์ภายหลงั ไดร้ บั วคั ซีนโควดิ 19” 1.2 ในระบบ HIS ของโรงพยาบาล ในระบบฐานข้อมูลตามโครงสร้างมาตรฐานข้อมูลด้านสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (43 แฟ้ม) ในแฟ้ม งานสร้างเสรมิ ภูมิคุ้มกันโรค (EPI) ของกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนกั ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดรหัส วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อใช้ในการบันทึกและการส่งออกข้อมูลตามรหัสวัคซีนในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กระทรวงสาธารณสขุ ปีงบประมาณ 2564 ดังตารางที่ 4 ตารางท่ี 4 รหัสวคั ซนี โควดิ 19 ในแผนงานสร้างเสริมภมู คิ ุม้ กนั โรค กระทรวงสาธารณสุข ปงี บประมาณ 2564 รหัสที่ใชบ้ ันทกึ ชอื่ วัคซีน ช่อื วคั ซีน ประเภท อายุ (เดือน)/ ชอ่ื โรคท่ปี ้องกัน รหัส ICD-10-TM (มาตรฐาน กยผ.) ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย กลุม่ เป้าหมาย CA1 Covid-19 โควิด 19 สร้างภมู คิ ุ้มกันตอ่ เชอ้ื ไวรสั โรคตดิ เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 โคโรนา 2019 (Astrazeneca) (บริษัทแอสตราเซเนกา) ฉดี U11.9 หรือเชอื้ โควดิ 19 เขม็ ท่ี 1 CA2 Covid-19 โควดิ 19 สรา้ งภมู คิ ุ้มกนั ต่อเชื้อไวรสั โรคตดิ เชื้อไวรสั โคโรนา 2019 โคโรนา 2019 (Astrazeneca) (บรษิ ัทแอสตราเซเนกา) ฉีด U11.9 หรือเชื้อโควดิ 19 เข็มที่ 2 CS1 Covid-19 โควดิ 19 สร้างภมู ิคุ้มกันตอ่ เชือ้ ไวรัส โรคตดิ เชื้อไวรสั (Sinovac) (บรษิ ทั ซโิ นแวค) โคโรนา 2019 โคโรนา 2019 ฉดี U11.9 หรอื เช้ือโควดิ 19 เข็มที่ 1 CS2 Covid-19 โควิด 19 สรา้ งภมู คิ ุ้มกันต่อเชอ้ื ไวรสั โรคตดิ เชื้อไวรสั (Sinovac) (บรษิ ัทซิโนแวค) โคโรนา 2019 โคโรนา 2019 ฉีด U11.9 หรือเชื้อโควดิ 19 เข็มท่ี 2 หมายเหตุ : ขอ้ มลู รหัสวคั ซนี โควดิ 19 ทีเ่ พ่ิมในแผนงานสรา้ งเสริมภูมคิ มุ้ กนั โรค ณ วนั ท่ี 23 กุมภาพันธ์ 2564 1.3 การออกบตั รรับรองการไดร้ ับวัคซนี ป้องกนั โรคโควิด 19 -31-

หลังจากกลุ่มเปา้ หมายรบั วัคซีนครบ 2 เขม็ แล้ว ขอให้หน่วยบรกิ ารออกหลักฐานยืนยนั ความครบถว้ นของ การได้รับวัคซีนครบท้ัง 2 เข็ม โดยช่องทางระบบลงทะเบียน Hospital Information System (HIS) หรือ Web base ของโรงพยาบาล สามารถพิมพ์เอกสารออกจากระบบ และในระบบ Application สามารถบันทึกไว้เป็น หลักฐานในรปู แบบ QR Code หรือ รูปภาพ เพ่อื ใชเ้ ป็นประวตั ิการไดร้ ับวคั ซีนโควิด 19 ประจำตัวบคุ คล สำหรับเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของประเทศไทย (THAILAND NATIONAL CERTIFICATE OF COVID-19 VACCINATION) ที่สว่ นกลางออกแบบไว้ มขี ้อมูลท่ีบนั ทกึ (ภาคผนวกท่ี 2) ดังน้ี ข้อมลู ผู้รับบริการ : ชอ่ื -นามสกุล เพศ วนั เดือนปเี กิด หมายเลขบตั รประชาชน หมายเลขพาสปอรต์ และที่ อยปู่ จั จบุ ัน ข้อมูลประวัติการได้รับวัคซีน : วันที่ได้รับวัคซีน (เข็มที่ 1-2) ชื่อการค้าของวัคซีน (เข็มที่ 1-2) รุ่นการ ผลิต/เลขท่ี Lot No. ของวัคซีน (เข็มท่ี 1-2) พร้อมลงชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ (ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ อาจ วางแผนพฒั นาให้มีการลงชื่อในระบบได)้ ขอความร่วมมือเจ้าหน้าท่ีผู้ให้บริการ แจ้งกลุ่มเป้าหมายให้เก็บเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรค โควิด 19 ของประเทศไทย ไว้แสดงเป็นหลักฐานรับรองว่าได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ครบถ้วนท้ัง 2 เข็มแล้ว 2. การจัดทำรายงานผลการให้บริการ ขอให้หน่วยบริการประมวลรายงานเพ่ือติดตามและประเมินผลการให้วัคซีนโควิด 19 ในการลดการป่วย และการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 (COVID-19) ในกลุ่มเป้าหมายจากระบบ Hospital Information System (HIS) หรือ Web base ของโรงพยาบาล ซึ่งสามารถประมวลรายงานจำแนกตามพื้นที่ (หน่วยบริการ/อำเภอ/จังหวัด/ เขต/ประเทศ) หรือ จำแนกเป็นรายกลุ่มเป้าหมายได้ เพ่ือให้เจ้าหน้าที่ผู้เก่ียวข้องทุกระดับใช้ในการควบคุมกำกับ และตดิ ตามผลการได้รับวคั ซีนโควิด 19 ดงั น้ี 1) รายงานผลการได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็มท่ี 1 เพ่ือประเมินผลและติดตามการได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 1 ในกลุ่มเป้าหมายเป็นรายพื้นที่ (หน่วยบริการ/อำเภอ/จังหวัด/เขต/ประเทศ) และประมวลผลให้จำแนก เป็นรายกลมุ่ เป้าหมายได้ โดยมีวิธกี ารคำนวณ ดังน้ี ผลการไดร้ ับวัคซีนโควดิ 19 เข็มที่ 1 (รอ้ ยละ) = จำนวนกลุ่มเปา้ หมายทงั้ หมดท่ไี ดร้ บั วคั ซีนโควดิ 19 เข็มท่ี 1 x 100 จำนวนกลมุ่ เป้าหมายตามยอดจดั สรรวคั ซีน เขม็ ท่ี 1 2) รายงานผลการได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็มท่ี 2 เพื่อประเมินผลและติดตามการได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็มท่ี 2 ในกลุ่มเป้าหมายเป็นรายพื้นที่ (หน่วยบริการ/อำเภอ/จังหวัด/เขต/ประเทศ) และประมวลผลให้จำแนก เป็นรายกลมุ่ เปา้ หมายได้ โดยมวี ธิ กี ารคำนวณ ดังน้ี ผลการไดร้ ับวคั ซีนโควิด 19 เข็มท่ี 2 (ร้อยละ) = จำนวนกลุม่ เปา้ หมายทง้ั หมดทไี่ ด้รบั วคั ซนี โควดิ 19 เขม็ ที่ 2 x 100 จำนวนกล่มุ เป้าหมายตามยอดจดั สรรวคั ซนี เข็มที่ 2 -32-

3) รายงานความครอบคลุมการให้บรกิ ารวัคซีนโควิด 19 ครบ 2 เข็ม เพ่ือติดตามผลการได้รับบริการ วัคซีนครบถ้วนทั้ง 2 เข็ม ครอบคลุมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ทุกพ้ืนท่ี (หน่วยบริการ/อำเภอ/จังหวัด/เขต/ประเทศ) และประมวลผลให้จำแนกเป็นรายกลุม่ เปา้ หมายได้ โดยมีวิธกี ารคำนวณ ดงั นี้ ความครอบคลุมการให้บรกิ ารวัคซนี โควิด 19 ครบ 2 เขม็ (ร้อยละ) = จำนวนกลุ่มเป้าหมายทงั้ หมดทไี่ ด้รบั วัคซีนโควดิ 19 ครบ 2 เข็ม x 100 จำนวนกลมุ่ เป้าหมายทัง้ หมดในระบบลงทะเบยี น 4) รายงานความครอบคลุมการได้รับวัคซีนโควิด 19 ครบ 2 เข็ม เพื่อประเมินผลการป้องกันควบคุม โรคในพื้นที่ ซึ่งกำหนดให้กลุ่มเป้าหมายต้องได้รับวัคซีนโควดิ 19 ครบถ้วนทั้ง 2 เข็มครอบคลุมไมต่ ่ำกว่ารอ้ ยละ 70 ทุกพ้ืนท่ี (หน่วยบริการ/อำเภอ/จังหวัด/เขต/ประเทศ) และประมวลผลให้จำแนกเป็นรายกลุ่มเป้าหมายได้ โดยมีวธิ กี ารคำนวณ ดังน้ี ความครอบคลมุ การไดร้ บั วคั ซีนโควิด 19 ครบ 2 เขม็ (ร้อยละ) = จำนวนกลมุ่ เป้าหมายทั้งหมดในพืน้ ทีร่ บั ผิดชอบทอี่ าศยั อย่จู ริง ท่ีไดร้ บั วัคซีนโควิด 19 ครบ 2 เข็ม x 100 จำนวนกลุ่มเปา้ หมายท้ังหมดในพืน้ ทร่ี บั ผดิ ชอบทอ่ี าศยั อย่จู รงิ การกำกบั ตดิ ตามการดำเนินงาน สำหรบั การตดิ ตามผลการดำเนินงานการให้บริการวคั ซนี ป้องกันโรคโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข อาศัย กลไกการติดตามผล ผ่านทางคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเช้ือไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) โดยคณะทำงานด้านการให้บริการวัคซีน ฝึกอบรม และกำกับติดตามผลภายใต้ คณะอนุกรรมการอำนวยการฯ ดังกล่าว มีหน้าที่และอำนาจโดยตรง ในการกำกบั ตดิ ตาม ประเมินผลการให้วัคซีน ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 อย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ รวมถึงเสนอผลการให้บริการแก่ คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซ่ึงมี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานคณะทำงาน เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการให้วัคซีน ปอ้ งกันโรคโควิด 19 ในกล่มุ เป้าหมาย จำแนกรายพนื้ ที่ ดงั นี้ - ทีมบริหารจัดการและติดตามผลของหน่วยบริการ ติดตามผลการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในระดับหน่วยบริการ จากข้อมูลการประมวลผล (Dashboard) ในฐานข้อมูลลงทะเบียนที่โรงพยาบาล Hospital Information System (HIS) หรือ Web based ของโรงพยาบาลเปน็ ประจำทกุ สปั ดาห์ทใ่ี ห้บรกิ าร - ทีมบริหารจัดการและติดตามผลของระดับอำเภอ จังหวัดและระดับเขต ติดตามผลการให้บริการวัคซีน ป้องกันโรคโควิด 19 ในระดับอำเภอ จังหวัดและระดับเขต จากข้อมูลการประมวลผล (Dashboard) ในฐานข้อมูล ลงทะเบียนท่ีโรงพยาบาล (Hospital Information System (HIS) หรือ Web based ของโรงพยาบาล) เป็นประจำ ทุกสัปดาห์ทีใ่ หบ้ รกิ าร - กรมควบคุมโรคในฐานะเลขานุการคณะทำงานด้านการให้บริการวัคซีน ฝึกอบรม และกำกับติดตามผล จะรวบรวมและติดตามข้อมูลผลการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากข้อมูลการประมวลผล (Dashboard) ในฐานข้อมูลลงทะเบียนท่ีโรงพยาบาล (Hospital Information System (HIS) หรอื Web based ของโรงพยาบาล) -33-

ในระดับส่วนกลาง เพ่ือนำเสนอความก้าวหน้าของการดำเนินการเป็นประจำ ผ่านเวทีการประชุมคณะกรรมการ หรือ คณะทำงานต่างๆ ที่เก่ียวข้องในระดับกระทรวง และจะประสานติดตามงานกับพ้ืนท่ีผ่านเขตบริการสุขภาพ (เขตบริการสุขภาพที่ 1-13, สคร.ที่ 1-12/ สปคม. หรือ สสจ.และกรุงเทพฯ) กรณีท่ีพบข้อสงสัย หรือ ต้องการ รายละเอียดข้อมูลของผลการดำเนินงานเพิ่มเติม หรือ พบปัญหา อุปสรรค รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่พบ ในระดบั พืน้ ที่ เพอ่ื พฒั นาระบบตดิ ตามผลการดำเนนิ การให้ดียิ่งข้นึ ต่อไป -34-

การเฝา้ ระวังติดตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังไดร้ บั วัคซนี โควิด 19 เนื่องจากวัคซีนโควิด 19 เป็นวัคซีนใหม่ที่พัฒนาและผลิตข้ึนอย่างเร่งด่วน เพื่อใช้ป้องกันควบคุมโรคไวรัส โคโรนา 19 แก่ประชาชน ซ่ึงแม้ว่าหลายประเทศจะได้เริ่มให้บริการวัคซีนนี้อย่างกว้างขวางโดยพบว่าเป็นวัคซีน ทีป่ ลอดภัย อาการภายหลังได้รับวัคซีนส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงก็ตาม สำหรับประเทศไทย เพ่ือเป็นการกำกับติดตาม ความปลอดภัยและประกันความมั่นใจของประชาชนต่อวัคซีนและงานบริการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กระทรวง สาธารณสขุ จึงได้จัดระบบเฝา้ ระวงั ตดิ ตามอาการภายหลังไดร้ ับวคั ซนี โควิด 19 ไว้ 3 ระบบ ไดแ้ ก่ 1. ระบบเฝา้ ระวงั เชงิ รับ (Existing AEFI Surveillance) 2. ระบบตดิ ตามความปลอดภัยเชงิ รกุ สำหรบั วคั ซีนโควิด19 (ActiveSurveillanceSystemforCOVID–19Vaccine) 3. การเฝา้ ระวังกล่มุ อาการทอ่ี าจเกีย่ วข้องกับการไดร้ บั วคั ซนี โควดิ 19 (Adverse Event of Special Interest: AESI) ระบบเฝา้ ระวังเชงิ รบั (Existing AEFI Surveillance) เป็นการเฝ้าระวังอาการภายหลังได้รับวัคซีนตามระบบปกติ ดำเนินการเช่นเดียวกับวัคซีนชนิดอ่ืน โดยหน่วยงานรบั ผิดชอบในสว่ นกลาง คือ กองระบาดวิทยา กรมควบคมุ โรค แนวทางการดำเนินงาน 1. ผู้รายงานและเคร่ืองมือในการรายงาน: สถานบริการสาธารณสุขแต่ละแห่งกำหนดผู้รับผิดชอบ ในการรายงานเหตกุ ารณ์ไมพ่ งึ ประสงค์ภายหลงั ได้รบั วัคซนี โควิด 19 โดยมเี ครอ่ื งมือในการรายงาน ดังนี้ 1.1 แบบรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (AEFI1) คือแบบ รายงานข้อมลู ผ้ปู ่วยแต่ละราย 1.2 โปรแกรมฐานข้อมูลเฝ้าระวงั เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รบั การสร้างเสรมิ ภมู ิค้มุ กันโรค (AEFI DDC) เป็นโปรแกรม Online ท่ีใช้บันทึกข้อมูลตามแบบรายงาน (AEFI1) จากสถานพยาบาลและห้องชันสูตร ท่ัวประเทศ สง่ ข้อมลู ไปยงั กองระบาดวทิ ยา กรมควบคมุ โรค 2. การดำเนนิ งานเฝ้าระวงั เหตุการณไ์ มพ่ ึงประสงคภ์ ายหลงั ได้รบั วคั ซนี โควดิ 19 ตามแผนผงั ที่ 1 มี 2 ส่วน คอื แบบฟอรม์ AEFI 1 ใชส้ ำหรับผ้ปู ว่ ยทเ่ี ข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกราย และแบบฟอรม์ AEFI 2 กรณเี หตกุ ารณ์รา้ ยแรงหรอื ผ้ปู ว่ ยเป็นกล่มุ ก้อนทีจ่ ำเปน็ ตอ้ งสอบสวนโรค -35-

แผนผงั ท่ี 1 การดำเนนิ งานเฝ้าระวังเหตกุ ารณไ์ ม่พึงประสงคภ์ ายหลังไดร้ บั วคั ซีนโควิด 19 ผปู้ ว่ ยสงสยั AEFI สถานพยาบาลภาครัฐ เอกชน และหอ้ งชนั สูตร ไมเ่ ขา้ เกณฑต์ ามนยิ ามการเฝา้ ระวัง AEFI จบ เขา้ เกณฑต์ ามนยิ ามการเฝา้ ระวงั AEFI เกณฑ์การรายงานตามกฎหมาย กรณีที่ต้องรายงานเพือ่ การติดตามและการสอบสวนเพม่ิ เติม (พรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558) ได้แก่ รวบรวมขอ้ มลู เหตกุ ารณ์ AEFI 1. เหตกุ ารณท์ รี่ ้ายแรง (Serious AEFI) ทุกเหตุการณ์ ลงในแบบรายงาน AEFI1 2. เหตุการณ์ทเ่ี ปน็ กลุม่ ก้อน (AEFI cluster) 3. เหตกุ ารณ์ทอ่ี าจจะเกี่ยวขอ้ งกับการบริหารจดั การใหว้ คั ซีน ภายใน 7 วนั 4. เหตุการณ์ท่ีสร้างความกังวลหรือความตระหนกอย่างมากต่อ นับจากวันท่ีพบผู้ปว่ ย ครอบครัวและชมุ ชน ภายใน 24 ชวั่ โมง - สอบสวนโรค นบั จากวนั ท่พี บผู้ปว่ ย - กรอกแบบสอบสวน AEFI2 บนั ทึกข้อมูลจากแบบ AEFI1 เชอ่ื มโยง - SAT สำนักงานสาธารณสขุ จงั หวดั ลงในโปรแกรมฐานข้อมลู เฝา้ ระวงั เหตุการณไ์ ม่พึง กับฐาน - SAT สำนักอนามยั กรุงเทพมหานคร ประสงคภ์ ายหลังไดร้ ับการสร้างเสรมิ ภมู คิ มุ้ กันโรค - SAT สำนกั งานปอ้ งกันควบคมุ โรค ข้อมลู SAT - SAT สถาบนั ปอ้ งกันควบคุมโรคเขตเมอื ง (AEFI DDC) - SAT กรมควบคุมโรค SAT กรมควบคุมโรค รายงาน DCIR ต่อผ้บู รหิ ารกรมควบคุมโรค ภายใน 30 นาที -36-

ระบบตดิ ตามความปลอดภยั เชิงรกุ สำหรบั วัคซีนโควิด 19 (Active Surveillance System for COVID 19 Vaccine) เป็นการเฝ้าระวังเฉพาะกิจที่มุ่งเน้นให้ได้ข้อมูลความปลอดภัยของวัคซีนจากการใช้จริงของ ป ระเทศที่ ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่ได้รับวัคซีนอย่างกว้างขวางและติดตามผลจากการใช้วัคซีนดังกล่าว เพื่อติดตาม เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนโควิด 19 อย่างเข้มข้นและครบถ้วน โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ในส่วนกลาง คือ สำนกั งานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แนวทางการดำเนนิ งาน 1. ผูร้ ายงานและเครือ่ งมือในการรายงาน : กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำช่องทางการบันทึกรายงานข้อมูล แบ่งเป็น 2 รูปแบบหลัก 1) App-Based Safety Monitoring : การรายงานข้อมูลผา่ น Application บนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน 2) Hospital-Based Safety Monitoring : การรายงานข้อมูลผ่าน Hospital Information System (HIS) หรอื Web base หรือ Web application: Co-vaccine.moph (https://co-vaccine.moph.go.th) โดยมีการติดตามหลังฉีดวัคซนี ในชว่ งเวลาทก่ี ำหนด คือ 30 นาที 1 วัน 7 วัน และ 30 วัน ตารางที่ 5 การรายงานเหตุการณ์ไมพ่ ึงประสงคภ์ ายหลงั รับวัคซนี โควิด 19 ผ่าน Application บนโทรศพั ทส์ มารท์ โฟน และ Web application (https://co-vaccine.moph.go.th) เร่ือง ช่องทางการรายงาน App-Based Safety Monitoring Hospital-Based Safety กลมุ่ เป้าหมาย Monitoring ผูร้ บั วัคซีน ทม่ี สี มาร์ทโฟนและ การตดิ ตามเหตุการณ์ไม่พงึ ประสงค์ ลงทะเบยี นผา่ นระบบ application ผ้รู ับวคั ซนี ที่ไมม่ โี ทรศัพทส์ มาร์ทโฟน ภายหลงั ได้รับวัคซนี หรือไมป่ ระสงคล์ งทะเบยี นผา่ นระบบ ผ่าน application ทมี่ ีระบบเตือน application ชอ่ งทางการบันทึกเหตกุ ารณ์ไม่พึงประสงค์ อัตโนมัติ ภายหลงั ไดร้ ับวคั ซีน Focal point ที่ รพ. กำหนด เชน่ ผูบ้ ันทกึ เหตุการณไ์ ม่พึงประสงคภ์ ายหลงั Application บนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน กลุม่ งานเภสัชกรรม เวชกรรมสังคม ได้รับวคั ซนี หรืออาจรว่ มทีมกับ อสม./อสต. ผูร้ บั วัคซนี เป็นผู้บันทึกข้อมลู ใน application ดว้ ยตนเอง ทัง้ ทมี่ ี HIS หรือ Web application อาการและไม่มีอาการภายหลังไดร้ บั (https://co-vaccine.moph.go.th) วคั ซีน ผูร้ บั วัคซนี แจง้ Focal point หรอื เจา้ หนา้ ที่หนว่ ยงานปฐมภูมิ บนั ทกึ ขอ้ มลู ผ้รู บั วคั ซนี ท้งั ท่มี ีอาการและ ไมม่ ีอาการภายหลังรับวัคซีน -37-

ขั้นตอนการดำเนนิ การ 1. การเตรยี มความพรอ้ มก่อนการติดตามเหตุการณ์ไมพ่ ึงประสงค์ (Adverse Events: AEs) จากการใช้วัคซนี โควดิ 19 ผู้บริหารประชุม/หารือร่วมกับทีมบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อวางแผนเฝ้าระวัง/ติดตามการเกิดเหตุการณ์ ไม่พึงประสงค์ และกำหนดบุคคลท่ีจะเป็นผู้ประสานงานหลัก (Focal point) ของโรงพยาบาล ในการติดตามและ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเหตกุ ารณ์ไมพ่ งึ ประสงคจ์ ากการใชว้ คั ซีนโควิด 19 2. การลงทะเบยี นผรู้ ับวัคซีน ในวันท่ีมารบั วัคซีนเข็มแรก (Day 0) ผูป้ ระสงค์รบั วคั ซีนติดต่อ พยาบาล หรอื เจ้าหน้าที่ทไ่ี ด้รบั มอบหมาย เพื่อลงทะเบียนผู้รับวัคซีน (อาจลงทะเบียนการจองวัคซีนไว้ล่วงหน้า) โดยระบุข้อมูล ช่ือ-นามสกุล เลขบัตร ประชาชน วัน/เดือน/ปีเกิด เพศ ประวัติการแพ้ยา(อาการท่ีเกิด) โรคประจำตัว ลงในระบบตามแบบฟอร์มที่ กำหนดในโปรแกรม 3. การใหบ้ ริการวคั ซีนและสงั เกตอาการภายหลังได้รบั วัคซีนเข็มแรก 3.1 เจ้าหน้าท่ีผู้รับผิดชอบบันทึกข้อมูลวัคซีน และวิธีการให้วัคซีน โดยระบุช่ือวัคซีน Lot number ครั้งที่ฉีด และวนั /เวลาทีไ่ ด้รับวัคซีนลงในระบบ ตามแบบฟอรม์ ที่กำหนดในโปรแกรม โดยแบ่งเปน็ 2 กรณี คอื กรณีท่ี 1 ผู้รบั วคั ซีนมโี ทรศัพทส์ มาร์ทโฟน และประสงค์จะตดิ ตามเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ผ่าน Application ระบบจะเช่อื มโยงขอ้ มลู วคั ซีน และวิธกี ารใหว้ คั ซนี ของ รพ. เข้า Application อตั โนมตั ิ กรณีท่ี 2 ผ้รู บั วคั ซีนไมม่ โี ทรศพั ท์สมาร์ทโฟน หรอื ไมป่ ระสงคจ์ ะบนั ทกึ ผา่ น Application ระบบจะเช่ือมโยง ข้อมูลวัคซีน และวิธีการให้วัคซีน เข้า HIS หรือ Web application (https://co- vaccine.moph.go.th) อัตโนมตั ิ เพ่อื เป็นขอ้ มูลสำหรบั Focal point รพ. ใช้ประกอบการติดตาม 3.2 แพทย์ พยาบาล หรือนกั วชิ าการสาธารณสขุ ฉดี วัคซีนใหก้ ับผทู้ ีล่ งทะเบยี น 3.3 ผู้รับวัคซีนนั่งพักสังเกตอาการประมาณ 30 นาที ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ เจา้ หน้าท่ีให้ความรู้ในการติดตาม สงั เกตอาการที่อาจเกิดขึ้นภายหลังไดร้ ับวคั ซนี การดแู ลตนเองเบื้องต้น พร้อมทั้ง แจกและอธิบายถึงความสำคัญของ Patient card รวมท้ังเม่ือต้องไปรับวัคซีนเข็ม 2 ที่สถานพยาบาลอ่ืน หรือเมื่อ เกิดสงสยั ว่าแพว้ คั ซนี หรอื เกดิ อาการไม่พึงประสงค์ ใหผ้ รู้ บั วคั ซนี แสดง patient card แก่เจา้ หน้าที่ 3.4 เมื่อครบกำหนด 30 นาที ให้บันทึกข้อมูลว่าเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังรับวัคซีนหรือไม่ทันที โดยแบง่ เป็น 2 กรณี ดังน้ี กรณี ที่ 1 ผู้รับวัคซีนมีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน และประสงค์จะติดตามเหตุการณ์ ไม่พึงประสงค์ ผ่าน Application ให้บันทึกข้อมูลว่าเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังรับวัคซีนหรือไม่ ลงใน Application ดว้ ยตนเองทนั ที กรณีท่ี 2 ผู้รับวัคซีนที่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน หรือไม่ประสงค์จะบันทึกผ่าน Application ให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้บันทึกข้อมูล ผ่าน HIS หรือ Web application (https://co-vaccine.moph.go.th) โดยทันที หรอื ภายในวันนน้ั โดยทนั ทหี รือภายในวันนนั้ ทั้งนี้ ขอให้เจ้าหน้าท่ีท่ีเก่ียวข้องแจ้งรายชื่อผู้ที่ได้รับวัคซีนแก่ Focal point หรือ Focal Point ดึงขอ้ มลู ในระบบด้วยตนเอง 3.5 การติดตามเหตุการณไ์ มพ่ งึ ประสงคใ์ นวันท่ี 1, 7 และ 30 ภายหลังรบั วคั ซีนเข็มแรก -38-

⚫ การติดตามและบันทึกเหตุการณ์ไมพ่ ึงประสงคภ์ ายหลังรบั วัคซีน มี 2 รปู แบบ ดังน้ี กรณที ี่ 1 ผ้รู ับวัคซีนมโี ทรศพั ทส์ มาร์ทโฟน และประสงค์จะบนั ทกึ ผา่ น Application ด้วยตนเอง ⚫ Application แจง้ เตือนการตดิ ตามอาการภายหลังรับวัคซนี ในวันท่ี 1, 7 และ 30 ใหผ้ รู้ ับ วคั ซนี ทราบโดยอตั โนมตั ิ และให้ผรู้ ับวัคซีนบนั ทกึ ขอ้ มลู ลงใน Application ⚫ หากเกิดอาการข้ึนนอกเหนือจากวันท่ีติดตาม ให้ผู้รับวัคซีนจดบันทึกข้อมูลว่าเกิดอาการ ใดบ้าง เรมิ่ มอี าการวัน เดือน ปเี ทา่ ไหร่ เวลาใด และทำการบันทึกข้อมูลใน Application เมอื่ ถงึ วนั ที่ตดิ ตาม ⚫ กรณีผู้รับวัคซีนไม่บันทึกข้อมูลตามที่แนะนำ เมื่อถึงกำหนดมารับวัคซีนเข็มที่ 2 ขอให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล บันทึกข้อมูลผา่ น HIS หรือ Web application (https://co-vaccine.moph.go.th) กรณีที่ 2 ผูร้ ับวัคซีนทไี่ มม่ โี ทรศัพทส์ มารท์ โฟน หรือไม่ประสงค์จะบันทึกอาการผา่ น Application ⚫ Focal point ของ โรงพยาบาล ติดตามอาการ ในวันท่ี 1, 7 และ 30 ภายหลังการฉีดวัคซีนร่วมกับ ทีมเจา้ หน้าที่หนว่ ยงานปฐมภมู ิ และ อสม./อสต. ⚫ เจ้าหน้าท่ีบันทึกข้อมูลท่ีได้รับแจ้งจากผู้รับวัคซีนผ่าน HIS หรือ Web application (https://co-vaccine.moph.go.th) หมายเหตุ: การติดตามขอ้ มูลกรณที ี่ 1 และ 2 ให้บันทึกข้อมูลชอ่ื เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ และ เพมิ่ เติมในส่วนของขอ้ มูลทสี่ ่งผลตอ่ การดำเนินชวี ิตประจำวัน และการต้องไปพบแพทย์ 4. การให้บรกิ ารวัคซนี และสังเกตอาการภายหลงั ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ดำเนินการเชน่ เดียวกับ ข้อ 3 -39-

แผนผงั ที่ 2 แนวทางตดิ ตามความปลอดภยั เชงิ รกุ ของวคั ซีนโควดิ -19 สำหรบั บคุ ลากรทางการแพทย์และประชาชน ทมี บุคลากรทางการแพทย์และผทู้ ีเ่ ก่ียวขอ้ งใน รพ. ประชมุ /หารือรว่ มกันในการวางแผนเฝ้าระวงั /ติดตามการเกดิ เหตกุ ารณ์ไม่พึง ประสงค์ (AEs) จากการใช้วัคซีนโควิด-19 และกำหนดบุคคลท่จี ะเป็นผ้ปู ระสานงานหลกั (Focal point) ในการตดิ ตาม และเก็บรวบรวมข้อมลู AEs จดุ เรม่ิ ตน้ เขม็ ท่ี 1,2 Day 0 (วันทฉ่ี ดี ยา) พยาบาล หรือเจา้ หน้าท่ีท่ไี ดร้ บั มอบหมาย ลงทะเบียนผู้รับวคั ซนี (ซง่ึ อาจลงทะเบยี นการจองวัคซีนไว้ล่วงหนา้ แลว้ ) (ระบุขอ้ มูล ชอ่ื -นามสกุล เลขบัตรประชาชน วัน/เดอื น/ปีเกิด เพศ ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว) ผ่าน App ไม่ผ่าน App เชอ่ื มโยงขอ้ มูลวัคซีน และขอ้ มลู การฉดี วัคซนี เชอ่ื มโยงขอ้ มลู วัคซีน และข้อมูลการฉดี วัคซนี เข้า App อัตโนมตั ิ (ระบขุ อ้ มลู ชอ่ื วัคซนี Lot no. ของ ร.พ. เขา้ Web base portal อัตโนมัติ (ระบขุ ้อมูล ชอื่ วคั ซีน ครง้ั ท่ฉี ดี และวัน/เวลาทไ่ี ด้รับวัคซีน) Lot no. ครัง้ ทฉ่ี ดี และวัน/เวลาทไ่ี ด้รับวัคซนี ) ฉีดวคั ซนี ให้กบั ผู้ทล่ี งทะเบียน เฝ้าระวงั การเกิด AEs 30 นาที หลังฉดี วคั ซนี และเจา้ หน้าที่ ใหค้ วามรู้การติดตาม สังเกต AEs ทีอ่ าจเกิดขึ้นไดภ้ ายหลงั ได้รบี วัคซนี การประเมินอาการและการดูแลตนเองเบ้ืองต้นเมอ่ื เกดิ อาการดงั กล่าว พรอ้ มท้งั แจก Patient card ให้กบั ผรู้ บั วัคซีน (และแจ้งผไู้ ม่มี APP จดบันทกึ ขอ้ มลู AE เพ่อื แจง้ ตอ่ Focal point) ผ่าน App ไม่ผา่ น App ผู้ไดร้ บั วัคซนี บันทึกขอ้ มูล AE เจา้ หน้าที่บนั ทึกขอ้ มูล AE (ทงั้ ท่เี กดิ AE และ ไม่เกดิ AE) (ทัง้ ที่เกิด AE และ ไมเ่ กิด AE) ผา่ น App ผา่ น Hospital web based Day 1,7, 30 Day 1, 7, 30 หลงั ทฉี่ ดี ยา หลังทฉี่ ีดยา App แจ้งเตือนการตดิ ตาม AE กรณีผรู้ บั วคั ซีนเกดิ เหตกุ ารณไ์ มพ่ ึงประสงค์ แจ้งรายชอ่ื Focal point ตดิ ตาม AE ครัง้ ตอ่ ไป ในวนั ท่ี 1, 7 และ 30 ทเี่ ขา้ ตามเกณฑ์การรายงานเพ่อื ติดตามผล ผู้ทีไ่ ดร้ บั วคั ซนี ครัง้ ตอ่ ไป ในวนั ที่ 1, 7 และ 30 ภายหลังการฉีดวคั ซนี ให้ผรู้ บั และสอบสวน ใหเ้ จ้าหนา้ ทด่ี ำเนินการ แก่ Focal point วคั ซีนโดยอตั โนมัติ แผนภมู กิ ารดำเนนิ งานเฝ้าระวังเหตกุ ารณ์ ภายหลังการฉดี วัคซนี ไมพ่ งึ ประสงค์ภายหลงั ไดร้ ับวัคซีนโควดิ 19 (อาจมีทมี อสม.ร่วมติดตาม) -40-

หมายเหตุ: กรมควบคุมโรคและสำนกั งานคณะกรรมการอาหารและยา ดงึ ข้อมลู สรุปจำนวนผู้รับวคั ซนี และจำนวน ผูเ้ กิด AE จากฐานข้อมูลของ MOPH National Immunization Center (สป.) -41-

ตวั อยา่ งแบบสอบถามสำหรับการตดิ ตามและสอบถามเหตุการณ์ไมพ่ งึ ประสงค์ การตดิ ตามและสอบถามเหตกุ ารณ์ไมพ่ ึงประสงคเ์ พอ่ื บนั ทกึ ขอ้ มลู ลงในระบบ 1. สอบถาม ชื่อ-นามสกุล และข้อมลู การไดร้ บั วัคซีน (เพ่อื ยืนยนั ตวั ตน) 2. วนั ทต่ี ดิ ตามอาการ................................... (ให้ตดิ ตามวันที่ 1, 7, 30 ของแต่ละเข็ม) 3. ภายหลงั การฉดี วัคซนี มีอาการผิดปกติ/อาการไมพ่ งึ ประสงค์ หรอื ไม่ [ ] ไมเ่ กดิ [ ] เกิด ตวั อย่างการสอบถามอาการ เชน่ [ ] 1.ปวด บวม แดง ร้อน คนั ณ บริเวณทีฉ่ ดี (Injection site reaction) [ ] 2.ไข้ (Fever) [ ] 3.ปวดศีรษะ (Headache) [ ] 4.เหนอ่ื ย อ่อนเพลยี ไมม่ ีแรง (Fatigue) [ ] 5.ปวดกล้ามเนอื้ (Myalgia) [ ] 6.คล่ืนไส้ (Nausea) [ ] 7.อาเจียน (Vomiting) [ ] 8.ทอ้ งเสีย (Diarrhea) [ ] 9.ผ่ืน (rash) เชน่ ผน่ื แดง ผื่นคนั ผืน่ ลมพิษขึ้นตามตัว [ ] 10.บวม (Edema) เช่น หนา้ บวม คอบวม บวมทั่วรา่ งกาย [ ] 11.ปวดขอ้ * ( Joint pain) ปวดเม่ือยตามตวั * ไมส่ บายตวั * [ ] 12.หนา้ มืด (Faint) หมดสติ (Unconscious) [ ] 13.แน่นหนา้ อก (Chest tightness) หายใจไมส่ ะดวก (Shortness of breath) [ ] 14.ใจสัน่ (Palpitations) [ ] 15.กลา้ มเนอื้ อ่อนแรง (Muscle weakness) เช่น [ ] กล้ามเน้ือแขน/ขาอ่อนแรง [ ] 16.หน้าเบ้ยี ว (Facial paralysis, Facial pulsy) [ ] 17.ชกั (Seizures) หรือ ชักร่วมกับมไี ข้ [ ] 18.อาการอ่นื ๆ เชน่ เลือดไหลไมห่ ยดุ เลือกออกผดิ ปกติ เป็นตน้ โปรดระบ…ุ …............................................. (อาการไมส่ บายตวั * ปวดเมอ่ื ยตามตัว* ปวดข้อ* ออ่ นเพลยี * : หากเป็นผูส้ ูงอายุอาจมอี าการต้งั แต่ก่อนฉีดวัคซีนอยู่แลว้ หากเปน็ เชน่ นี้ ควรสอบถามว่า หากเทยี บกับกอ่ นไดร้ บั วัคซนี อาการเปน็ อาการปกตทิ ีเ่ ปน็ หรือรุนแรงกว่าปกต)ิ 4. หากมีอาการผดิ ปกติ ใหร้ ะบุ วันทเ่ี กดิ อาการ………………………. (เชน่ วนั ที่ 1, 2, ….. ) 5. อาการผดิ ปกติดงั กลา่ วเกดิ ขึน้ ยาวนานกชี่ ั่วโมง หรือ กี่วัน 6. อาการไมพ่ ึงประสงคท์ เ่ี กดิ ขึน้ สง่ ผลกระทบต่อการดำเนนิ ชีวิตประจำวันของท่านหรอื ไม่ [ ] ไมส่ ่งผล [ ] สง่ ผล 7. เม่อื เกิดอาการไมพ่ ึงประสงค์แลว้ ท่านไปพบแพทย์หรอื ไม่ [ ] ไม่ไป [ ] ไป หมายเหตุ หากผู้ได้รับวัคซีนแจ้งว่าเกิดอาการข้อใดข้อหนึ่งดังน้ี ควรรีบไปโรงพยาบาล หรือโทร 1669 เพื่อรับบริการทาง การแพทย์ฉกุ เฉนิ เช่น ไข้สงู หนาวส่นั อาเจยี นรุนแรง แนน่ หน้าอก/หายใจไม่สะดวก ใจส่ัน หน้าบวม คอบวม บวมท่วั ร่างกาย ผื่น ลมพิษ ผนื่ ทง้ั ตัว ตมุ่ น้ำพอง วงิ เวยี นหรืออ่อนแรง ต่อมนำ้ เหลืองโต ผิวหนงั ลอก ปวดขอ้ หรือปวดเมอื่ ยกล้ามเน้ือรุนแรง กลา้ มเนื้อ แขน/ขาอ่อนแรง กลา้ มเนอื้ อัมพาต หรือ หน้าเบย้ี ว (มุมปากตก) -42-

ตัวอยา่ ง หัวข้อการบนั ทึกข้อมลู ผา่ น Application หรือ Web base portal 1.ขอ้ มูลสถานพยาบาลท่ีฉีด 1.1 ช่ือสถานพยาบาลทีฉ่ ีด.................................................... 1.2 รหสั สถานพยาบาลทฉ่ี ีด……………………………… 2.ขอ้ มูลผ้รู บั วคั ซีน 2.1 HN………………………….. 2.2 ID ประชาชน 13 หลกั ……………………….. 2.3 ชื่อ นามสกุล...................................... 2.4 เพศ ...[ ] ชาย [ ] หญงิ 2.5 อายุ (ป)ี ............... 2.6 วนั /เดือน/ปี เกดิ ..................................... 2.7 เบอร์โทรมอื ถอื ผรู้ ับวัคซนี ................................. 2.8 มโี รคประจำตวั หรือไม่ [ ] ไมม่ ี [ ] มี (ระบไุ ด้มากกว่า 1 ข้อ) [ ] 1.โรคทางเดนิ หายใจเรอ้ื รงั รุนแรง เชน่ ปอดอดุ ก้นั เร้ือรงั และโรคหอบหืดทีค่ วบคมุ ไดไ้ มด่ ี [ ] 2.โรคหวั ใจและหลอดเลือด [ ] 3.โรคไตเรื้อรงั ระยะ 5 [ ] 4.โรคหลอดเลอื ดสมอง [ ] 5.โรคมะเร็งทกุ ชนิด ทอี่ ยูร่ ะหวา่ งการรักษาดว้ ย เคมีบำบดั รังสบี ำบดั และภูมคิ มุ้ กันบำบดั [ ] 6.โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) [ ] 7.โรคอว้ น [ ] 8.โรคอื่นๆ โปรดระบุ………………………………………………………………………………….. 3.ข้อมลู วัคซีน 3.1 ชอื่ การคา้ [ ] XXXXX (บรษิ ัท.Astra Zeneca) [ ] YYYYYY (บรษิ ัท Sinovac) [ ]…………... (บริษทั ...........) 3.2 Lot No……………………... 3.3 คร้ังทฉี่ ดี [ ] วนั ทฉ่ี ดี เข็มท่ี 1 …………….……. [ ] วันท่ีฉีดเข็มท่ี 2 …………….……. 4.ข้อมลู อาการไมพ่ งึ ประสงค์ 4.1 วันทต่ี ิดตามอาการ................................... (ให้ติดตามวนั ที่ 0, 1, 7, 30 ของแตล่ ะเขม็ ) 4.2 เกิดอาการไม่พึงประสงค์หรือไม่ [ ] ไมเ่ กดิ [ ] เกิด 4.3 อาการไม่พงึ ประสงคท์ ่พี บ [ ] 1.ปวด บวม แดง รอ้ น บริเวณทฉ่ี ีด (Injection site reaction) [ ] 2.ไข้ (Fever) [ ] 3.ปวดศรี ษะ (Headache) [ ] 4.เหนอื่ ย ออ่ นเพลีย ไมม่ ีแรง (Fatigue) [ ] 5.ปวดกล้ามเนอื้ (Myalgia) [ ] 6.คลน่ื ไส้ (Nausea) [ ] 7.อาเจยี น (Vomiting) [ ] 8.ทอ้ งเสีย (Diarrhea) [ ] 9.ผืน่ (rash) [ ] 10.อาการอื่น ๆ เชน่ ปวดข้อ ชกั เลอื ดไหลไมห่ ยุด เปน็ ต้น โปรดระบุ……............................................. 4.4 วันทเ่ี กดิ อาการ………………………. 4.5 อาการไม่พงึ ประสงคท์ ่ีเกิดข้นึ สง่ ผลกระทบตอ่ การดำเนนิ ชวี ติ ประจำวันของทา่ นหรือไม่ [ ] ไม่สง่ ผล [ ] สง่ ผล 4.6 เมื่อเกดิ อาการไม่พึงประสงค์แล้ว ทา่ นไปพบแพทย์หรือไม่ [ ] ไม่ -43-

การเฝา้ ระวังกลุ่มอาการที่อาจเก่ยี วข้องกับการไดร้ ับวัคซีนโควดิ 19 (Adverse Event of Special Interest) : AESI เพือ่ เสริมระบบการเฝา้ ระวังเหตกุ ารณ์ไมพ่ ึงประสงค์หลังการได้รับวคั ซีนโควิด19 จึงได้ดำเนนิ การเฝา้ ระวัง กลุ่มอาการที่อาจเกี่ยวข้อง แบบเฉพาะพ้ืนที่ (Sentinel surveillance) ในโรงพยาบาลท่ัวไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ในพ้ืนที่ที่มีการระบาดของโรค และได้รับวัคซีนโควิด 19 ทั้งน้ี กระทรวงสาธารณสุขโดย กองระบาดวทิ ยา กรมควบคมุ โรค จะไดแ้ จ้งรายชอ่ื โรงพยาบาลท่ีเป็นพ้นื ทีด่ ำเนินการต่อไป แนวทางการดำเนนิ งาน เมื่อพบผู้ป่วยที่มารับบริการในโรงพยาบาล โดยไม่จำกัดเพศ อายุ ที่มีกลุ่มอาการเฝ้าระวัง (ตารางท่ี 6) ให้ดำเนนิ การ ดงั นี้ ➢ ประสานแพทย์ พยาบาล และผเู้ กี่ยวขอ้ งในโรงพยาบาล หากพบผู้ป่วยทีไ่ ดร้ ับการวนิ จิ ฉัยดว้ ยโรคและกลุ่ม อาการเฝ้าระวังในตารางที่ 1 ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการสอบสวนโรค และตรวจสอบประวัติ การไดร้ ับวัคซนี โควิด 19 ในช่วง 1 ปีทผ่ี า่ นมา และกรอกขอ้ มูลในแบบฟอรม์ AESI ➢ กรณีท่ีมีประวัติการได้รับวัคซีน ในช่วง 1 เดือนท่ีผ่านมา เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานสอบสวนโรค ทำการสอบสวนโรคโดยใช้แบบสอบสวน AEFI1/ AEFI2 ➢ เกบ็ ตัวอยา่ ง Nasal Pharyngeal Swab (NPS) และตัวอย่างเลือดเพ่ือตรวจหาเช้ือและภูมคิ ุ้มกันชนดิ IgM IgG ต่อเช้ือ SARS-CoV2 ➢ บันทกึ ขอ้ มูลในแบบสอบสวนโรค และส่งข้อมูลผา่ นระบบออนไลน์ (AEFI Program) ผู้รบั ผิดชอบเตรยี มข้อมลู ประวตั กิ ารรบั วัคซนี โควิด 19 และประวัติการรักษาของผู้ปว่ ย นำเสนอคณะ ผู้เชยี่ วชาญเพ่ือพิจารณาเหตุการณ์ไม่พงึ ประสงค์หลงั การได้รับวัคซนี โควดิ 19 -44-

แผนผังท่ี 3 แสดงแนวทางการเฝา้ ระวังกล่มุ อาการทอ่ี าจเก่ียวขอ้ งกบั การได้รับวคั ซีนโควิด 19 หมายเหตุ : กรมควบคมุ โรคและสำนกั งานคณะกรรมการอาหารและยา ดงึ ขอ้ มูลสรุปจำนวนผ้รู บั วคั ซนี และ จำนวนผเู้ กดิ AE จากฐานข้อมลู ของ National Immunization Center (สป.) ตารางที่ 6 ช่อื โรคหรือกลุ่มอาการท่ีสำคัญสำหรบั การเฝ้าระวงั กลุม่ อาการท่ีอาจเกย่ี วข้องกับวัคซนี โควิด ชอื่ โรคหรือกลุ่มอาการ ICD10 Respiratory system - J80 - U07.1 - Adult Respiratory Distress Syndrome (ARDS) - COVID-19 - I40 Cardiovascular system - I30 - Acute myocarditis - Acute Pericarditis - G37.3 Neurological system - Acute transverse myelitis in demyelinating disease of central nervous - G61.0 - G04.0 system - G51.0 - Guillain Barre Syndrome (GBS) - I64 - Acute disseminated encephalomyelitis (ADEM) - G03.0, G03.9 - Bell’s palsy - G05.8 - Cerebrovascular stroke - D69.3 - Aseptic meningitis, meningitis unspecified - Meningoencephalitis (Encephalitis, myelitis and encephalomyelitis in other diseases classified elsewhere) Immune mediated disease - Idiopathic thrombocytopenic purpura (ITP) -45-

ช่อื โรคหรือกลุ่มอาการ ICD10 - D69.0 - Allergic purpura, Allergic vasculitis - I77.6 - Arteritis, unspecified - M30.3 - Kawasaki - โรค Immune mediated disease อ่นื ๆ ทแ่ี พทยว์ ินจิ ฉัย - I80.2 อ่ืนๆ - I26 - Deep vein thrombosis (DVT) - T69.1 - Pulmonary embolism - Chilblain-like lesions -46-

ขอ้ คำถามที่พบบ่อย Q&A คำถามท่ที ่ัวไปเกย่ี วกบั วัคซีนโควดิ 19 1. บุคคลกลมุ่ ใดบ้างที่ควรได้รับวคั ซีนโควิด 19 ตอบ ประชาชนทุกคนควรได้รับวัคซีน แต่ในช่วงท่ีวัคซีนเริ่มมีใช้จะมีจำนวนจำกัด กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ จึงไดก้ ำหนดให้วคั ซีนในบคุ คลกลุม่ เสย่ี งก่อน ได้แก่ 1. บุคลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ด่านหนา้ ทง้ั ภาครัฐและเอกชน 2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเร้ือรังระยะ 5 โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคมะเร็งทุกชนิดท่ีอยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด รังสี บำบดั และภมู ิคุ้มกนั บำบัด 3. ผทู้ ่มี ีอายุ 60 ปขี นึ้ ไป 4. เจ้าหน้าท่ีท่ีเกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 เช่น อสม./อสต. ทหาร ตำรวจ จะต้องคัดกรองผู้ที่ เข้ามาจากต่างประเทศและในพนื้ ที่ท่มี ีการระบาด 2. กรณีกลมุ่ เสี่ยงที่มโี รคประจำตวั แต่มีอายุต่ำกวา่ 18 ปี หรือเป็นหญิงต้ังครรภ์ หญิงให้นมบุตร สามารถรบั การฉีด วัคซนี โควดิ 19 ได้หรอื ไม่ ตอบ ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการศึกษารองรับเกี่ยวกับการให้วัคซีนโควิด 19 ในประชากรท่ีอายุน้อยกว่า 18 ปี เน่ืองจากข้อมูลการวิจัยส่วนใหญ่จะทำในประชากรที่มีอายุ 18 ปีข้ึนไป ยกเว้นการวิจัยวัคซีนโควิด 19 ของ บริษัท BioNTech/Pfizer ท่ีมีการศึกษาในประชากรที่อายุต้ังแต่ 16 ปีข้ึนไป และได้รับการรับรองโดยองค์การ อาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Food and Drug Administration) ให้สามารถใช้ในประชากร ที่ อ ายุ ต้ั งแ ต่ 16 ปี ข้ึ น ไป ได้ ส่ ว น ใน ก ลุ่ ม ห ญิ งต้ั งค รรภ์ ข ณ ะ น้ี ยั งไม่ มี ข้ อ มู ล ก ารศึ ก ษ าร อ งรับ จึงยังไม่ได้มีการแนะนำให้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ในหญิงต้ังครรภ์ในช่วงน้ี จนกว่าจะมีข้อมูลมากกว่านี้ เว้นแต่ความ เสยี่ งตอ่ การเกดิ โรคสงู และประเมินแล้วว่าวัคซนี ใหป้ ระโยชนม์ ากกวา่ ความเสีย่ ง ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมท้ังหญิงให้นมบุตร สามารถฉีดวัคซีนได้ ยกเว้นโรคเร้ือรังที่อาการยังไม่ คงที่ ควรให้แพทยป์ ระเมินกอ่ นฉดี 3. ผู้สูงอายุ ฉดี วคั ซีนใดไดบ้ า้ ง ตอบ ขณะนี้มีการศึกษาวัคซีน AstraZeneza ในผู้ที่อายุเกิน 65 ปีแล้ว แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก ซ่ึง พบว่ามีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีและปลอดภัยคาดว่าน่าจะมีข้อมูลท่ีมากข้ึนเร็วๆ นี้ ประเทศ อังกฤษ องค์การอนามัยโลกและไทย จึงรับรองให้ใช้ในผู้สูงอายุได้ แต่ในบางประเทศเช่น เยอรมัน ยุโรป ต้องการ รอผลขอ้ มลู ทีม่ ากข้ึนกอ่ นจะรับรองใหใ้ ชไ้ ด้ ส่วนวัคซีนของ Sinovac ยังไม่มีการศึกษาระยะท่ี 3 ในผู้ท่ีอายุเกิน 60 ปีแต่มีการศึกษาในระยะที่ 2 แล้ว พบว่าผู้ท่ีอายุเกิน 60 ปี มีภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนสูงพอๆ กับผู้ที่อายุต่ำกว่าและมีผลข้างเคียงไม่ต่างกัน คาดว่า วัคซีนชนิดน้ีใช้กับผู้ท่ีอายุเกิน 60 ปีได้ อาจพิจารณาให้วัคซีนน้ีได้เม่ือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และเห็นประโยชน์ท่ี มากกว่า -47-


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook