Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 10. วิทยาศาสตร์ พว11001 ประถม สาระความรู้พื้นฐาน

10. วิทยาศาสตร์ พว11001 ประถม สาระความรู้พื้นฐาน

Description: 10. วิทยาศาสตร์ พว11001 ประถม สาระความรู้พื้นฐาน

Keywords: 10. วิทยาศาสตร์ พว11001 ประถม สาระความรู้พื้นฐาน

Search

Read the Text Version

93 ทรัพยากรนํา โลกทีเราอาศยั อยปู่ ระกอบไปดว้ ยพืนนาํ ถึง 3 ส่วน เป็นทรพั ยากรทีสามารถหมนุ เวยี นได้ ไมม่ ี วนั หมดไปจากโลก แต่ถกู ทาํ ใหเ้ สือมสภาพหรือมีคุณภาพตาํ ลงได้ แหลง่ นาํ แบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ นําบนดนิ ไดแ้ ก่ นาํ ในแมน่ าํ ลาํ คลอง หนอง บึง อ่างเกบ็ นาํ นาํ จากแหลง่ นีจะมปี ริมาณมากหรือ นอ้ ยขึนอยกู่ บั ปัจจยั ต่อไปนี - ปริมาณของนาํ ฝนทีไดร้ ับ - อตั ราการสูญเสียของนาํ ซึงมสี าเหตุมาจากการระเหยและการคายนาํ - ความสามารถในการกกั เก็บนาํ นําใต้ดนิ เป็นนาํ ทีแทรกอยใู่ ตด้ นิ ไดแ้ ก่ นาํ บาดาล การทีระดบั นาํ ใตด้ ินจะมีปริมาณมากหรือ นอ้ ยเพยี งใดขึนอยกู่ บั ปัจจยั ต่อไปนี - ปริมาณนาํ ทีไหลจากผวิ ดิน - ความสามารถในการกกั เก็บนาํ ไวใ้ นชนั หิน ความสําคญั ของนํา นาํ มีความสาํ คญั ต่อสิงมีชีวติ มากมายดงั นี - ดา้ นเกษตรกรรม เพือการเพาะปลกู เลยี งสตั ว์ ฯลฯ - ดา้ นการคมนาคมขนส่งทางนาํ - ดา้ นการอุตสาหกรรม - ดา้ นการอุปโภคและการบริโภค การอนุรักษ์ทรัพยากรนํา มีแนวทางในการปฏิบตั ดิ งั นี - การพฒั นาแหลง่ นาํ โดยการขุดลอกแหล่งนาํ ต่างๆ ทีตืนเขิน - ใชน้ าํ อยา่ งประหยดั ไมป่ ล่อยใหน้ าํ ทีใชเ้ สียไปโดยเปลา่ ประโยชน์ - ไม่ตดั ไมท้ าํ ลายป่ า - ป้ องกนั ไมใ่ หเ้ กิดมลพษิ กบั แหล่งนาํ

94 ทรัพยากรป่ าไม้ ป่ าไมเ้ ป็นส่วนทีมีความสาํ คญั ต่อระบบนิเวศเป็นอยา่ งยงิ เป็ นตน้ นาํ เป็ นทีอยอู่ าศยั ของสตั วป์ ่ า มากมาย ช่วยป้ องกนั การชะลา้ งหน้าดิน เป็ นส่วนสาํ คญั ทีทาํ ใหเ้ กิดการหมุนเวียนของสารต่าง ๆ ใน ธรรมชาติ ฯลฯ ป่ าเป็ นสิงจาํ เป็ นต่อโลก แนวทางในการอนุรักษ์ป่ าไม้ - การทาํ ความเขา้ ใจถงึ ความสาํ คญั ของป่ าต่อการดาํ รงชีวติ ของมนุษย์ สตั ว์ และสิงต่างๆ ทีอยใู่ นโลก - การสร้างจติ สาํ นึกร่วมกนั ในการดแู ลรักษาป่ าไมใ้ นชุมชน ซึงแนวทางหนึงคือการเปิ ดโอกาส โดยภาครัฐในการออกพระราชบญั ญตั ิป่ าชุมชน - การออกกฎหมายเพือคุม้ ครองพืนทีป่ า และการออกกฎเพอื ป้ องกนั การตดั ไมท้ าํ ลายป่ า - ช่วยกนั ปลกู ป่ าในพืนทีป่ าเสือมโทรม โดยอาจจะเป็นการร่วมมอื กบั สมาชิกในชุมชนเพือปลกู ป่ าในโอกาสต่าง ๆ - ติดตามข่าวสารเกยี วกบั สิงแวดลอ้ มเป็นประจาํ เพอื จะไดท้ ราบความเคลือนไหวเกียวกบั การ ร่วมอนุรักษป์ ่ าไมร้ วมถึงสิงแวดลอ้ มในดา้ นอนื ดว้ ย ทรัพยากรแร่ ทรัพยากรแร่ หมายถงึ แร่ธาตุต่างๆ ทีมีอยใู่ นโลก ทงั บริเวณส่วนทีเป็นพืนดินและส่วนทีพนื นาํ ซึงมนุษยส์ ามารถนาํ มาใชป้ ระโยชน์ไดต้ ามความตอ้ งการ แหล่งกาํ เนิดแร่ แร่ธาตุต่าง ๆ ทีมอี ยใู่ นบริเวณเปลือกโลกเกิดมาจากสาเหตุหลกั ๆ ดงั นี - ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น การระเบิดของภเู ขาไฟ การเคลอื นทีของแผน่ เปลือกโลก เป็นตน้ ซึงจะทาํ ใหแ้ ร่ธาตุต่าง ๆ ทีอยใู่ ตผ้ วิ โลกถกู ผลกั ดนั ขึนมา

95 - การแปรสภาพทางเคมีของหินประเภทต่าง ๆ ทีอยบู่ นเปลือกโลกจนไดแ้ ร่ชนิดใหมเ่ ป็น องคป์ ระกอบประเทศไทยมีแร่ธาตตุ ่าง ๆ อยอู่ ยา่ งอุดมสมบูรณ์ โดยสามารถพบแร่ธาตุชนิดต่างๆ กระจายกนั อยทู่ วั ประเทศ เช่น - แร่ลิกไนต์ พบมากที อ.เหนือคลอง จ.กระบี อ.แมเ่ มาะ จ.ลาํ ปาง อ.ลี จ.ลาํ พนู - หินนาํ มนั พบมากที อ.แม่สอด จ.ตาก - แร่เกลือหินโพแทซ พบกระจดั กระจายทวั ไปในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย - แร่รัตนชาติ พบมากแถบภาคตะวนั ออกและตะวนั ตกของประเทศไทย - แร่ดีบุก พบมากที จ.พงั งา และหลายจงั หวดั ในภาคใตข้ องประเทศไทย วธิ ีการอนุรักษ์ทรัพยากรแร่ ทรัพยากรแร่เป็นทรัพยากรธรรมชาติทีใชแ้ ลว้ หมดไป ดงั นนั ทุกคนจึงตอ้ งร่วมมือกนั อนุรักษ์ ทรัพยากรแร่อยา่ งเตม็ ความสามารถ วธิ ีการอนุรกั ษท์ รัพยากรแร่มีหลากหลายวธิ ีดงั แนวทางต่อไปนี - ใชส้ ิงของเครืองใชต้ ่าง ๆ อยา่ งรู้คุณค่า โดยใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์สูงสุดเท่าทีจะทาํ ได้ - ใชแ้ ร่ธาตุใหต้ รงกบั ความตอ้ งการและตรงกบั สมบตั ิของแร่ธาตุนนั ๆ - แยกขยะทีจะทิงออกเป็นส่วน ๆ ตามประเภทของขยะ คือ ขยะทีไมส่ ามารถนาํ กลบั มาใชไ้ ด้ เช่น เศษอาหาร เป็นตน้ ขยะทีสามารถนาํ กลบั มาใชใ้ หม่ได้ เช่น ขวดแกว้ กระป๋ องบรรจุภณั ฑ์ เป็นตน้ และขยะอนั ตราย เช่น ถา่ นไฟฉายแบบต่าง ๆ แบตเตอรี แผงวงจรอเิ ลก็ ทรอนิกส์ เป็นตน้ ซึงจะทาํ ให้ การนาํ ขยะไปผลติ เป็นผลิตภณั ฑใ์ หม่ทาํ ไดง้ ่ายขึน และลดการขดุ ใชแ้ ร่ธาตุต่าง ๆ ลง ผลกระทบจากการใชัทรัพยากรธรรมชาตใิ นท้องถนิ ในปัจจุบนั ทุกคนคงทราบดีถึงสภาพความเสือมโทรมของสิงแวดลอ้ มทีกาํ ลงั เกิดขนึ และหาก ทุกคนยงั คงนิงเฉย ไม่ตระหนกั ถึงอนั ตรายทกี าํ ลงั เกิดขึนกบั สิงแวดลอ้ ม อกี ไมน่ านปัญหาสิงแวดลอ้ ม ต่าง ๆ ก็จะไมส่ ามารถแกไ้ ขกลบั มาใหม้ สี ภาพทีเหมาะสมต่อการดาํ รงชีวิตได้ และเราทุกคนซึงเป็นส่วน หนึงของสิงแวดลอ้ มกจ็ ะไดร้ ับผลกระทบทไี มส่ ามารถคาดเดาไดอ้ ยา่ งไมม่ ีทางหลีกเลยี ง ในฐานะทีเรา ทุกคนเป็นมนุษย์ เราจึงควรตระหนกั และหาแนวทางในการป้ องกนั แกไ้ ขปัญหาสิงแวดลอ้ มทีกาํ ลงั เกิดขึน นีดว้ ยความเขา้ ใจอยา่ งจริงจงั การอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ นนั ไมใ่ ช่เรืองยากเกินกาํ ลงั ของเรา ทุกคน ขอเพียงแค่เราตงั ใจทาํ และทาํ การอนุรักษจ์ นเป็นนิสยั เพยี งเท่านีทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม ทีงดงามก็จะอยกู่ บั เราไปอกี นาน แนวทางในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มทาํ ไดด้ งั แนวทางดงั นี - การเริมตน้ อนุรักษค์ วรเริมตน้ จากสิงใกลต้ วั และทาํ ไดง้ ่ายก่อน เช่น เริมจากการอนุรักษ์ สิงแวดลอ้ มบริเวณบา้ น บริเวณหมบู่ า้ น หรือในอาํ เภอของตนเอง

96 - ศกึ ษาหาความรู้เกียวกบั ลกั ษณะของสิงแวดลอ้ มทีอยรู่ อบตวั เราใหเ้ ขา้ ใจ เพราะลกั ษณะของ สิงแวดลอ้ มแต่ละทอ้ งถนิ มีรายละเอียดทีแตกต่างกนั - ปฏบิ ตั ิการอนุรกั ษอ์ ยา่ งค่อยเป็นค่อยไป และพยายามหาเพอื นทีมแี นวคิดเดียวกนั มาร่วมกนั ทาํ งาน เพอื เพมิ กาํ ลงั คนและแนวคิดในการอนุรักษ์ การอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มไม่ใช่เรืองยากจนเกินความสามารถของทุกคน หากตงั ใจทีจะทาํ เพราะเพยี งแค่การนาํ ถงุ พลาสติกทีใชแ้ ลว้ กลบั มาใชใ้ หม่กเ็ ป็นการชว่ ยลดปริมาณขยะ ไดแ้ ลว้ หรือการแยกขยะก่อนทิงก็จะเป็นการช่วยลดการใชท้ รัพยากรธรรมชาติลงไปไดอ้ ีกทางหนึง ตวั อยา่ งขา้ งตน้ นีเป็นเพยี งตวั อยา่ งบางประการของการปฏบิ ตั ิการเพอื สิงแวดลอ้ มเท่านนั หากทุกคน ช่วยกนั คิดชว่ ยกนั ทาํ เราทุกคนกจ็ ะมชี วี ติ ทีดีในสิงแวดลอ้ มทีดี และมที รัพยากรต่าง ๆ ใหเ้ ราใชส้ อยกนั อยา่ งเพยี งพอ หลกั การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ในการอนุรักษแ์ ละจดั การทรัพยากรธรรมชาติใหเ้ หมาะสมและไดร้ ับประโยชน์สูงสุด ควร คาํ นึงถงึ หลกั ต่อไปนี 1. การอนุรักษแ์ ละการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ ตอ้ งคาํ นึงถึงทรัพยากรธรรมชาติอนื ควบคู่กนั ไป เพราะทรัพยากรธรรมชาติต่างกม็ ีความเกียวขอ้ งสมั พนั ธแ์ ละส่งผลต่อกนั อยา่ งแยกไมไ่ ด้ 2. การวางแผนการจดั การทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งชาญฉลาด ตอ้ งเชือมโยงกบั การพฒั นา สงั คม เศรษฐกิจ การเมือง และคุณภาพชีวติ อยา่ งกลมกลนื ตลอดจนรักษาไวซ้ ึงความสมดุลของระบบนิเวศ ควบคกู่ นั ไป 3. การอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ ตอ้ งร่วมมอื กนั ทุกฝ่ าย ทงั ประชาชนในเมือง ในชนบท และ ผบู้ ริหาร ทุกคนควรตระหนกั ถงึ ความสาํ คญั ของทรัพยากรและสิงแวดลอ้ มตลอดเวลา โดนเริมตน้ ทีตนเอง และทอ้ งถนิ ของตน ร่วมมอื กนั ทงั ภายในประเทศและทงั โลก 4. ความสําเร็จของการพฒั นาประเทศขึนอย่กู บั ความอุดมสมบูรณ์และความปลอดภยั ของ ทรัพยากรธรรมชาติ ดงั นนั การทาํ ลายทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็ นการทาํ ลายมรดกและอนาคตของชาติ ดว้ ย 5. ประเทศมหาอาํ นาจทีเจริญทางดา้ นอุตสาหกรรม มีความตอ้ งการทรัพยากรธรรมชาติเป็ น จาํ นวนมาก เพือใชป้ ้ อนโรงงานอตุ สาหกรรมในประเทศของตน ดงั นันประเทศทีกาํ ลงั พฒั นาทงั หลาย จึงตอ้ งช่วยกนั ป้ องกนั การแสวงหาผลประโยชนข์ องประเทศมหาอาํ นาจ 6. มนุษยส์ ามารถนาํ เทคโนโลยตี ่าง ๆ มาช่วยในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติได้ แต่การ จดั การนนั ไม่ควรมุ่งเพยี งเพอื การอยดู่ ีกินดีเท่านนั ตอ้ งคาํ นึงถงึ ผลดีทางดา้ นจิตใจดว้ ย

97 7. การใชท้ รัพยากรธรรมชาติในสิงแวดลอ้ มแต่ละแห่งนัน จาํ เป็ นตอ้ งมีความรู้ในการรักษา ทรัพยากรธรรมชาติทีจะให้ประโยชน์แก่มนุษยท์ ุกแง่ทุกมุม ทงั ขอ้ ดีและขอ้ เสีย โดยคาํ นึงถึงการสูญ เปล่าอนั เกิดจากการใชท้ รัพยากรธรรมชาติดว้ ย 8. รักษาทรัพยากรธรรมชาติทีจาํ เป็นและหายากดว้ ยความระมดั ระวงั พร้อมทงั ประโยชน์และ การทาํ ใหอ้ ยใู่ นสภาพทีเพมิ ทงั ทางดา้ นกายภาพและเศรษฐกิจเท่าทีทาํ ได้รวมทงั จะตอ้ งตระหนกั เสมอวา่ การใชท้ รัพยากรธรรมชาติทีมากเกินไปจะไม่เป็นการปลอดภยั ต่อสิงแวดลอ้ ม 9. ตอ้ งรักษาทรัพยากรทีทดแทนได้โดยใหม้ อี ตั ราการผลิตเท่ากบั อตั ราการใชห้ รืออตั ราการเกิด เท่ากบั อตั ราการตายเป็นอยา่ งนอ้ ย 10. หาทางปรับปรุ งวิธีการใหม่ ๆ ในการผลิต และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมี ประสิทธิภาพ อีกทงั พยายามคน้ ควา้ สิงใหมม่ าใชท้ ดแทน 11. ใหก้ ารศึกษาเพอื ใหป้ ระชาชนเขา้ ใจถงึ ความสาํ คญั ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สาํ หรับวิธีการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตินนั ศิริพรต ผลสิทธุ์ (2531 : 196 - 197) ได้ เสนอวธิ ีการไวด้ งั นี 1. การถนอม เป็ นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติทงั ปริมาณและคุณภาพใหม้ ีอยนู่ านทีสุดโดย พยายามใชท้ รัพยากรธรรมชาติใหม้ ปี ระสิทธิภาพ เช่น การเลือกจบั ปลาทีมขี นาดโตมาใชใ้ นการบริโภค ไมจ่ บั ปลาทีมีขนาดเลก็ เกินไป เพอื ใหป้ ลาเหลา่ นนั ไดม้ โี อกาสโตขึนมาแทนปลาทีถกู จบั ไปบริโภคแลว้ 2. การบูรณะซ่อมแซม เป็นการบูรณะซ่อมแซมทรัพยากรธรรมชาติทีเกิดความเสียหายให้มีสภาพ เหมือนเดิมหรือเกือบเท่าเดิม บางครังอาจเรียกวา่ พฒั นากไ็ ด้ เช่น ป่ าไมถ้ กู ทาํ ลายหมดไป ควรมีการปลูก ป่ าขึนมาทดแทนจะทาํ ใหม้ พี นื ทีบริเวณนนั กลบั คืนเป็นป่ าไมอ้ ีกครังหนึง 3. การปรับปรุงและการใช้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ เช่นการนาํ แร่โลหะประเภทต่าง ๆ มาถลุงแลว้ นาํ ไปสร้างเครืองจกั รกล เครืองยนต์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ซึงจะให้ประโยชน์แก่มนุยษ์เรามากยงิ ขึน 4. การนาํ มาใช้ใหม่ เป็ นการนําทรัพยากรธรรมชาตทิ ีใช้แล้วมาใช้ใหม่ เช่น เศษเหลก็ สามารถนาํ กลบั มาหลอมแลว้ แปรสภาพสาํ หรับการใชป้ ระโยชน์ใหมไ่ ด้ 5. การใช้สิงอืนทดแทน เป็ นการนาํ เอาทรัพยากรอย่างอืนทีมีมากกว่า หรือหาง่ายกว่า มาใช้ ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติทีหายากหรือกาํ ลงั ขาดแคลน เช่น นาํ พลาสติกมาใชแ้ ทนโลหะในบางส่วน ของเครืองจกั รหรือยานพาหนะ 6. การสํารวจหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาตเิ พมิ เติม เพือเตรียมไวใ้ ชป้ ระโยชน์ในอนาคต เช่น การสาํ รวจแหล่งนาํ มนั ในอ่าวไทย ทาํ ใหค้ น้ พบแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็ นจาํ นวนมาก สามารถนาํ มาใช้ ประโยชนท์ งั ในระยะสนั และในระยะยาว อีกทงั ช่วยลดปริมาณการนาํ เขา้ กา๊ ซธรรมชาติจากต่างประเทศ 7. การประดิษฐ์ของเทยี มขึนมาใช้ เพือหลีกเลียงหรือลดปริมาณในการใชท้ รัพยากรธรรมชาติ ชนิดอืน ๆ ทีนิยมใชก้ นั ของเทียมทีผลิตขึนมา เช่น ยางเทียม ผา้ เทียม และผา้ ไหมเทียม เป็ นต้น

98 8. การเผยแพร่ความรู้เป็ นการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรืองทรัพยากรธรรมชาติและ สิงแวดล้อม เพือทีจะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มทีและรัฐควรมีบทบาทในการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม โดยการวางแผนจดั ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มอยา่ งรัดกมุ 9. การจดั ตังสมาคม เป็ นการจดั ตงั สมาคมหรือชมรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิงแวดลอ้ ม เรืองที สิงแวดล้อม ความหมายสิงแวดล้อม รูปธรรม (สามารถจบั ตอ้ งและมองเห็นได)้ และนามธรรม (ตวั อยา่ งเช่นวฒั นธรรมแบบ แผน ประเพณี ความเชือ) มอี ิทธิพลเกียวโยงถงึ กนั เป็นปัจจยั ในการเกือหนุนซึงกนั และกนั ผลกระทบ จากปัจจยั หนึงจะมสี ่วนเสริมสร้างหรือทาํ ลายอีกส่วนหนึง อยา่ งหลีกเลยี งมิได้ สิงแวดลอ้ มเป็นวงจร และ วฏั จกั รสิงแวดลอ้ ม คือ ทุกสิงทุกอยา่ งทีอยรู่ อบตวั มนุษยท์ งั ทีมีชีวติ และไม่มีชีวติ รวมทงั ทีเป็น วฏั จกั รทีเกียวขอ้ งกนั ไปทงั ระบบ สิงแวดลอ้ มแบ่งออกเป็นลกั ษณะกวา้ ง ๆ ได้ 2 ส่วน คือ . สิงแวดลอ้ มทีเกิดขึนเองตามธรรมชาติ เช่น ป่ าไม้ ภเู ขา ดิน นาํ อากาศ . สิงแวดลอ้ มทีมนุษยส์ ร้างขึน เช่น ชุมชนเมอื ง สิงก่อสร้างโบราณสถาน ศลิ ปกรรม สาเหตขุ องปัญหาสิงแวดล้อม สาเหตุหลกั ของปัญหาสิงแวดลอ้ มมีอยู่ 2 ประการดว้ ยกนั คือ 1. การเพมิ ของประชากร (Population growth) ปริมาณการเพิมของประชากรก็ยงั อยใู่ นอตั รา ทวีคูณ (Exponential Growth) เมือผคู้ นมากขึนความตอ้ งการบริโภคทรัพยากรกเ็ พิมมากขนึ ทุกทางไมว่ า่ จะเป็นเรืองอาหาร ทีอยอู่ าศยั พลงั งาน 2. การขยายตัวทางเศรษฐกจิ และความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี (Economic Growth & Technological Progress) ความเจริญทางเศรษฐกิจนนั ทาํ ใหม้ าตรฐานในการดาํ รงชีวิตสูงตามไปดว้ ย มี การบริโภคทรัพยากรจนเกินกวา่ ความจาํ เป็นขนั พืนฐานของชีวิต มคี วามจาํ เป็ นตอ้ งใชพ้ ลงั งานมากขึน ตามไปดว้ ย ในขณะเดียวกนั ความกา้ วหนา้ ทางดา้ นเทคโนโลยกี ช็ ่วยเสริมใหว้ ธิ ีการนาํ ทรัพยากรมาใชไ้ ด้ ง่ายขึนและมากขึน ผลทีเกดิ จากปัญหาสิงแวดล้อม ผลสืบเนืองอนั เกิดจากปัญหาสิงแวดลอ้ ม คือ ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ เนืองจากมี การใชท้ รัพยากรกนั อยา่ งไมป่ ระหยดั อาทิ ป่ าไมถ้ กู ทาํ ลาย ดินขาดความอดุ มสมบูรณ์ ขาดแคลนนาํ ภาวะมลพิษ (Pollution) เช่น มลพิษในนาํ ในอากาศและเสียง มลพิษในอาหาร สารเคมี อนั เป็นผลมา จากการเร่งรัดทางดา้ นอุตสาหกรรมนนั เอง

99 การเปลยี นแปลงสิงแวดลอ้ มในทอ้ งถนิ โดยธรรมชาติ ไดแ้ ก่ การเกิดอุทกภยั จากนาํ ป่ าไหลหลาก ทาํ ใหส้ ิงมีชีวิตโดยเฉพาะพืชถกู นาํ ท่วม พชื บางชนิดไม่สามารถดาํ รงชีวิตอย่ไู ดใ้ นทีทีมีนาํ ท่วม จึงตาย ไปในทีสุด และอุทกภยั ยงั ก่อใหเ้ กิดความเสียหายต่อสิงมีชีวิตทุกชนิด โดยเฉพาะสตั วแ์ ละมนุษย์ การเกิดลมพายุก็เป็ นสาเหตุทีทาํ ใหส้ ิงแวดลอ้ มเกิดการเปลียนแปลงโดยลมพายุอาจพดั พา รุนแรงจนทาํ ใหต้ น้ ไมส้ ูง ๆ บางตน้ ตา้ นแรงลมไม่ไหว จึงโดนลมลม้ ลงไป ทาํ ใหเ้ กิดความเสียหายต่าง ๆ ตามมาทาํ ใหส้ ิงแวดลอ้ มเปลยี นไป การเกดิ ภูเขาไฟระเบิดก็เป็นสาเหตุทีทาํ ใหส้ ิงแวดลอ้ มเกิดการเปลียนแปลง ความร้อนของลาวา ทีไหลออกมาจากปล่องภเู ขาไฟ ทาํ ใหส้ ิงมีชีวิตไม่สามารถดาํ รงชีวติ ได้ อีกทงั กา๊ ซต่าง ๆ ทีปล่อยออกมา จากปล่องภูเขาไฟทาํ ใหส้ ภาพอากาศเปลียนไป การเปลยี นแปลงสิงแวดลอ้ มในทอ้ งถนิ โดยมนุษย์ ไดแ้ ก่ มนุษยท์ าํ ใหภ้ ูเขาไมม่ ตี น้ ไม้ กลายเป็น ภเู ขาหวั โลน้ ตน้ ไมใ้ นป่ าถกู ตดั โค่นทาํ ลาย สตั วป์ ่ าไมม่ ีทีอยอู่ าศยั และขาดอาหาร นาํ เสีย อากาศเป็นพษิ ดินเสีย และเสือมสภาพ ภาวะโลกร้อน (Global Warming) ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลียนแปลง (Climate Change) เป็ น ปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบนั สังเกตไดจ้ าก อุณหภูมิ ของโลกทีสูงขึนเรือย ๆ สาเหตุหลกั ของ ปัญหานี มาจาก กา๊ ซเรือนกระจก (Greenhouse gases) ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสาํ คญั กบั โลก เพราะก๊าซจาํ พวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกกั เกบ็ ความร้อนบางส่วนไวใ้ นโลก ไม่ใหส้ ะทอ้ นกลบั สู่บรรยากาศทงั หมด มิฉะนนั โลกจะ กลายเป็ นแบบดวงจนั ทร์ ทีตอนกลางคืนหนาวจดั (และ ตอนกลางวนั ร้อนจดั เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลงั งาน จาก ดวงอาทิตย)์ ซึงการทาํ ใหโ้ ลกอุ่นขึนเช่นนี คลา้ ยกบั หลกั การของ เรือนกระจก (ทีใช้ ปลกู พชื ) จึงเรียกวา่ ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) แต่การเพิมขึนอยา่ งต่อเนืองของ CO2 ทีออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการ กระทําใดๆทีเผา เชือเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน นํามนั ก๊าซธรรมชาติ หรื อ สารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลใหร้ ะดบั ปริมาณ CO2 ในปัจจุบนั สูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ลา้ นส่วน) เป็ น ครังแรกในรอบกวา่ 6 แสนปี คาร์บอนไดออกไซด์ ทีมากขนึ นี ไดเ้ พมิ การกกั เก็บความรอ้ นไวใ้ นโลกของเรามากขนึ เรือยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดงั เช่นปัจจุบนั ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปี นบั ตงั แต่ปี พ.ศ. 2533 มานี ไดม้ ีการบนั ทึกถึงปี ทีมีอากาศร้อน ทีสุดถึง 3 ปี คือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แมว้ ่าพยากรณ์การเปลียนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ยงั มีความไมแ่ น่นอนหลายประการ แต่การถกเถยี งวพิ ากษว์ จิ ารณ์ไดเ้ ปลียนหัวขอ้ จากคาํ ถาม ทีวา่ \"โลกกาํ ลงั ร้อนขึนจริงหรือ\" เป็น \"ผลกระทบจากการทีโลกร้อนขึนจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนือง

100 ต่อสิงทีมชี ีวติ ในโลกอยา่ งไร\" ดงั นนั ยงิ เราประวิงเวลาลงมือกระทาํ การแกไ้ ขออกไปเพียงใด ผลกระทบ ทีเกิดขึนก็จะยงิ ร้ายแรงมากขึนเท่านนั และบุคคลทีจะไดร้ ับผลกระทบมากทีสุดก็คือ ลกู หลานของพวก เราเอง สาเหตุ ภาวะโลกร้อนเป็ นภยั พิบตั ิทีมาถึง โดยทีเราทุกคนต่างทราบถึงสาเหตุของการเกิดเป็ นอย่างดี นนั คือ การทีมนุษยเ์ ผาผลาญเชือเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน นาํ มนั และก๊าซธรรมชาติ เพือผลิตพลงั งาน เราต่างทราบดีถึงผลกระทบบางอย่างของภาวะโลกร้อน เช่น การละลายของนําแข็งในขวั โลก ระดบั นาํ ทะเลทีสูงขึน ความแหง้ แลง้ อยา่ งรุนแรง การแพร่ระบาดของโรคร้ายต่าง ๆ อุทกภยั ปะการัง เปลียนสีและการเกิดพายรุ ุนแรงฉับพลนั โดยผทู้ ีไดร้ ับผลกระทบมากทีสุด ไดแ้ ก่ ประเทศตามแนว ชายฝัง ประเทศทีเป็นเกาะ และภูมภิ าคทีกาํ ลงั พฒั นาอยา่ งเอเชียอาคเนย์ จากการทาํ งานของคณะกรรมการของรัฐบาลนานาชาติ ว่าดว้ ยเรืองการเปลียนแปลงสภาพ ภูมอิ ากาศทีมีองคก์ ารวิทยาศาสตร์ ไดร้ ่วมมือกบั องคก์ ารสหประชาชาติ เฝ้ าสงั เกตผลกระทบต่างๆ และ ไดพ้ บหลกั ฐานใหม่ทีแน่ชดั วา่ จากการทีภาวะโลกร้อนขึนในช่วง 50 กวา่ ปี มานี ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก การกระทาํ ของมนุษย์ ซึงส่งผลกระทบอย่างต่อเนืองให้อุณหภูมิของโลกเพิมขึนในทุกหนทุกแห่ง ประมาณ 1.4 - 5.8 องศาเซลเซียส การเปลียนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เปลียนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย แต่เป็ นการ เปลยี นแปลงอยา่ งรุนแรงซึงเกิดขึนบ่อยครัง และมคี วามรุนแรงมากขึนเรือย ๆ ตวั อยา่ งทีเห็นไดช้ ดั ไดแ้ ก่ ความแหง้ แลง้ อยา่ งรุนแรง วาตภยั อทุ กภยั พายฝุ นฟ้ าคะนอง พายทุ อร์นาโด แผน่ ดินถล่ม และการเกิด พายรุ ุนแรงฉบั พลนั จากภาวะอนั ตรายเหลา่ นีพบวา่ ผทู้ ีอาศยั อยใู่ นเขตพืนทีทีเสียงกบั การเกิดเหตุการณ์ ดงั กล่าว ซึงไดร้ ับผลกระทบมากกว่าพืนทีส่วนอืน ๆ ยงั ไม่ไดร้ ับการเอาใจใส่และช่วยเหลือเท่าทีควร นอกจากนี ยงั มกี ารคาดการณ์วา่ การทีอณุ หภมู ขิ องโลกสูงขึน เป็นเหตุใหป้ ริมาณผลผลิตเพือการบริโภค โดยรวมลดลง ซึงทาํ ใหจ้ าํ นวนผอู้ ดอยากหิวโหยเพมิ ขึนอีก 60 - 350 ลา้ นคน ในประเทศไทยและฟิ ลิปปิ นส์ มีโครงการพลงั งานต่าง ๆ ทีจดั ตงั ขึน และการดาํ เนินงานของ โครงการเหลา่ นี ไดส้ ่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวทิ ยาอยา่ งเห็นไดช้ ดั ตวั อยา่ งเช่น การเปลียนแปลงของ ฝนทีไมต่ กตามฤดูกาล และปริมาณนาํ ฝนทีตกในแต่ละช่วงไดเ้ ปลียนแปลงไป การบุกรุกและทาํ ลายป่ า ไมท้ ีอุดมสมบูรณ์ การสูงขึนของระดบั นาํ ทะเลและอุณหภูมิของนาํ ทะเล ซึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อ ระบบนิเวศวิทยาตามแนวชายฝัง และจากการทีอุณหภูมิของนาํ ทะเลสูงขึนนี ไดส้ ่งผลกระทบต่อการ เปลยี นสีของนาํ ทะเล ดงั นนั แนวปะการังต่าง ๆ จึงไดร้ ับผลกระทบและถกู ทาํ ลายเช่นกนั ประเทศไทยเป็ นตวั อย่างของประเทศทีมีชายฝังทะเล ทีมีความยาวประมาณ 2,490 กิโลเมตร และเป็ นแหล่งทีมีความสาํ คญั อยา่ งมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยงิ การประมง การ เพาะเลียงสัตวน์ ํา และความไม่แน่นอนของฤดูกาลทีส่งผลกระทบต่อการทําเกษตรกรรม มีการ

101 คาดการณ์ว่า หากระดบั นาํ ทะเลสูงขึนอีกอยา่ งนอ้ ย 1 เมตรภายในทศวรรษหน้า หาดทรายและพืนที ชายฝังในประเทศไทยจะลดนอ้ ยลง สถานทีตากอากาศชายทะเล รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเทียวใน สถานทีท่องเทียวต่าง ๆ เช่น พทั ยา และ ระยองจะไดร้ ับผลกระทบโดยตรง แมแ้ ต่กรุงเทพมหานคร ก็ไม่ สามารถหลีกเลียงจากผลกระทบของระดบั นาํ ทะเลทีสูงขึนนีเช่นกนั ปัญหาดา้ นสุขภาพ ก็เป็ นเรืองสาํ คญั อีกเรืองหนึงทีไดร้ ับผลกระทบอยา่ งรุนแรง จากสภาพ ภูมิอากาศทีเปลียนแปลงนีดว้ ย เนืองจากอณุ หภมู แิ ละความชืนทีสูงขึน ส่งผลใหม้ กี ารเพมิ ขึนของยุงมาก ขึน ซึงนํามาสู่การแพร่ ระบาดของไข้มาลาเรี ยและไข้ส่า นอกจากนีโรคทีเกียวข้องกับนํา เช่น อหิวาตกโรค ซึงจดั วา่ เป็นโรคทีแพร่ระบาดไดอ้ ยา่ งรวดเร็วโรคหนึงในภมู ภิ าคนี คาดว่าจะเพิมขึนอยา่ ง รวดเร็วและต่อเนือง จากอุณหภูมิและความชืนทีสูงขึน คนยากจนเป็ นกลุ่มคนทีมีความเสียงสูงต่อ ผลกระทบ จากการเปลียนแปลงนี ประกอบกบั การใหค้ วามรู้ในดา้ นการดูแลรักษาสุขภาพทีดี ยงั มีไม่ เพยี งพอ ปัจจุบนั นีสัญญาณเบืองตน้ ของสภาพภูมิอากาศทีเปลียนแปลงไป ไดป้ รากฏขึนอยา่ งแจง้ ชดั ดงั นัน สมควรหรือไม่ทีจะรอจนกว่าจะคน้ พบขอ้ มลู มากขึน หรือ มีความรู้ในการแกไ้ ขมากขึน ซึง ณ เวลานนั กอ็ าจสายเกินไปแลว้ ทีจะแกไ้ ขได้ ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน แมว้ ่าโดยเฉลียแลว้ อุณหภูมิของโลกจะเพิมขึนไม่มากนัก แต่ผลกระทบทีเกิดขึนจะส่งผลต่อ เป็นทอด ๆ และจะมีผลกระทบกบั โลกในทีสุด ขณะนีผลกระทบดงั กล่าวเริมปรากฏใหเ้ ห็นแลว้ ทวั โลก รวมทังประเทศไทย ตัวอย่างทีเห็นได้ชัด คือ การละลายของนําแข็งทวั โลก ทังทีเป็ นธารนําแข็ง (glaciers) แหล่งนาํ แขง็ บริเวณขวั โลก และในกรีนแลนดซ์ ึงจดั ว่าเป็ นแหล่งนาํ แข็งทีใหญ่ทีสุดในโลก นาํ แขง็ ทีละลายนีจะไปเพมิ ปริมาณนาํ ในมหาสมทุ ร เมือประกอบกบั อณุ หภูมิเฉลียของนาํ สูงขึน นาํ ก็จะ มกี ารขยายตวั ร่วมดว้ ย ทาํ ใหป้ ริมาณนาํ ในมหาสมุทรทวั โลกเพมิ มากขึนเป็นทวคี ณู ทาํ ใหร้ ะดบั นาํ ทะเล สูงขึนมาก ส่งผลให้เมืองสาํ คญั ๆ ทีอย่รู ิมมหาสมุทรตกอย่ใู ตร้ ะดบั นาํ ทะเลทนั ที มีการคาดการณ์ว่า หากนาํ แข็งดงั กลา่ วละลายหมด จะทาํ ใหร้ ะดบั นาํ ทะเลสูงขึน 6 - 8 เมตรทีเดียว ผลกระทบทีเริมเห็นได้ อีกประการหนึงคือ การเกิดพายหุ มุนทีมีความถีมากขึน และมีความรุนแรงมากขึนดว้ ย ดงั เราจะเห็นได้ จากข่าวพายเุ ฮอริเคนทีพดั เขา้ ถล่มประเทศสหรัฐอเมริกาหลายลกู ในช่วงสองสามปี ทีผา่ นมา แต่ละลกู ก็ สร้างความเสียหายในระดบั หายนะทงั สิน สาเหตุอาจอธิบายไดใ้ นแง่พลงั งาน กล่าวคือ เมือมหาสมุทรมี อณุ หภูมิสูงขึน พลงั งานทีพายไุ ดร้ ับกม็ ากขึนไปดว้ ย ส่งผลใหพ้ ายมุ คี วามรุนแรงกว่าทีเคย นอกจากนัน สภาวะโลกร้อนยงั ส่งผลให้บางบริเวณในโลกประสบกบั สภาวะแห้งแลง้ อย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น ขณะนีได้เกิดสภาวะโลกร้อนรุ นแรงขึนอีกเนืองจากต้นไม้ในป่ าทีเคยทําหน้าทีดูดกลืนแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ ไดล้ ม้ ตายลงเนืองจากขาดนาํ นอกจากจะไม่ดูดกลืนแก๊สต่อไปแลว้ ยงั ปล่อย

102 คาร์บอนไดออกไซดอ์ อกมาจากกระบวนการย่อยสลายดว้ ย และยงั มีสัญญาณเตือนจากภยั ธรรมชาติอืน ๆ อีกมาก ซึงหากเราสงั เกตดี ๆ จะพบว่าเป็นผลจากสภาวะนีไมน่ อ้ ย การแก้ปัญหาโลกร้อน แลว้ เราจะหยดุ สภาวะโลกร้อนไดอ้ ยา่ งไร เป็นเรืองทีน่าเป็นห่วงวา่ เราคงไมอ่ าจหยดุ ยงั สภาวะ โลกร้อนทีกาํ ลงั จะเกิดขึนในอนาคตได้ ถึงแมว้ า่ เราจะหยดุ ผลิตแก๊สเรือนกระจกโดยสินเชิงตงั แต่บดั นี เพราะโลกเปรียบเสมือนเครืองจกั รขนาดใหญ่ทีมีกลไกเลก็ ๆ จาํ นวนมากทาํ งานประสานกนั การ ตอบสนองทีมตี ่อการกระตุน้ ต่าง ๆ จะตอ้ งใชเ้ วลานานกว่าจะกลบั เขา้ สู่สภาวะสมดุล และแน่นอนว่า สภาวะสมดุลอนั ใหม่ทีจะเกิดขึนยอ่ มจะแตกต่างจากสภาวะปัจจุบนั อยา่ งมาก แต่เรากย็ งั สามารถบรรเทาผลอนั ร้ายแรงทีอาจจะเกิดขึนในอนาคตเพือใหค้ วามรุนแรงลดลงอยู่ ในระดบั ทีพอจะรับมือได้ และอาจจะชะลอปรากฏการณ์โลกร้อนให้ชา้ ลง กินเวลานานขึน สิงทีเรา พอจะทาํ ไดต้ อนนีคือพยายามลดการผลติ แกส๊ เรือนกระจกลง และเนืองจากเราทราบว่าแก๊สดงั กล่าวมา จากกระบวนการใชพ้ ลงั งาน การประหยดั พลงั งานจึงเป็ นแนวทางหนึงในการลดอตั ราการเกิดสภาวะ โลกร้อนไปในตวั กิจกรรมที 1 1. ใหน้ กั ศกึ ษายกตวั อยา่ งสิงทีมนุษยท์ าํ ใหส้ ิงแวดลอ้ มเกิดการเปลยี นแปลงมา อยา่ ง ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… 2. ใหน้ กั ศึกษายกตวั อยา่ งผลกระทบทีมตี ่อมนุษย์ เมือสิงแวดลอ้ มถกู ทาํ ลายมา 2 อยา่ ง ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………

103 3. พลงั งานชนิดแรกทกี ่อใหเ้ กิดสิงมีชีวติ ขึนมาบนโลกคือ ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… 4. ทรัพยากรป่ าไมใ้ นประเทศไทย ในระยะ 30 ปี ลดลงเท่าตวั ซึงทาํ ใหส้ ่งผลกระทบต่อสิงใด ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… 5. สาเหตุสาํ คญั ทีทาํ ใหเ้ กิดวกิ ฤตทางธรรมชาติ ซึงเป็นปัญหาทีมนุษยก์ าํ ลงั เผชิญอยใู่ นปัจจุบนั คือ ...…………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… 6. แหลง่ พลงั งานทีใหญ่ทีสุดในโลก คือ................................................................................ 7. การใชท้ รัพยากรอยา่ งสินเปลืองของมนุษยก์ ่อใหเ้ กิดวกิ ฤตดา้ นใด................................... 8. เพือรักษาสมดุลทางธรรมชาติไวใ้ หป้ ระชาชนรุ่นหลงั ควรปรับสภาพการใชท้ รัพยากรธรรมชาติ อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… 9. วธิ ีสร้างความสมดุลใหช้ ีวติ มนุษยก์ บั ธรรมชาติไดพ้ งึ พากนั ยาวนานขึน มนุษยค์ วรปฏิบตั ิ อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………

104 กิจกรรมที 2 แบ่งนกั เรียนออกเป็นกล่มุ และใหแ้ ต่ละกลมุ่ ไปศึกษาปัญหาสิงแวดลอ้ มและ แนวทาง การแกไ้ ขปัญหาแลว้ ออกมานาํ เสนอหนา้ ชนั เพอื การแลกเปลียนขอ้ มลู ซึงกนั และกนั ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………

105 บทที 6 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สาระสําคญั ปรากฏการณ์ธรรมชาติทีเกียวขอ้ งกบั ชีวิตประจาํ วนั การเกิดเมฆ หมอก นาํ คา้ ง ฝน ลูกเห็บ สภาพอากาศของทอ้ งถนิ เพอื การดาํ รงชีวิตไดอ้ ยา่ งปกติสุข ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. อธิบายการเกิดเมฆ หมอก นาํ คา้ ง ฝน และลกู เห็บได้ 2. บอกสภาพอากาศของทอ้ งถนิ ได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที การเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เรืองที 2การรายงานสภาพอากาศของทอ้ งถนิ

106 เรืองที 1 การเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 1.1 เมฆ (Clouds) “เมฆ” เป็นไอนาํ ทีลอยตวั อยใู่ นอากาศ เมือไดร้ ับความร้อนจากดวงอาทิตยก์ ็จะลอยตวั สูงขึนจน ไปกระทบกบั มวลอากาศเย็นทีอยู่ดา้ นบนทาํ ให้กลนั ตวั เป็ นละอองนําขนาดเล็กและเมือละอองนํา เหลา่ นนั รวมตวั กนั ก็จะเป็นเมฆ ตวั อยา่ งการเกิดเมฆทีเห็นไดช้ ดั ไดแ้ ก่ “คอนเทรล” ซึงเป็ นเมฆทีสร้าง ขึนโดยฝี มือมนุษย์ เมือเครืองบินไอพ่นบินอย่ใู นระดบั สูงเหนือระดบั ควบแน่น ไอนาํ ซึงอยใู่ นอากาศ ร้อนทีพน่ ออกมาจากเครืองยนต์ ปะทะเขา้ กบั อากาศเยน็ ซึงอยภู่ ายนอก เกิดการควบแน่นเป็ นหยดนาํ โดยการจบั ตวั กบั เขม่าควนั จากเครืองยนตซ์ ึงทาํ หนา้ ทีเป็ นแกนควบแน่น เราจึงมองเห็นควนั เมฆสีขาว ถกู พ่นออกมาทางทา้ ยของเครืองยนตเ์ ป็นทางยาว ในการสร้างฝนเทียมก็เช่นกนั เครืองบินทาํ การโปรย สารเคมี “ซิลเวอร์ไอโอไดด”์ เพอื ทาํ หนา้ ทีเป็นแกนควบแน่นใหไ้ อนาํ ในอากาศมาจบั ตวั และควบแน่น เป็ นเมฆ การเรียกชือเมฆ เมฆทีเกิดขึนในธรรมชาติมี 2 ลกั ษณะ คือ เมฆกอ้ น และเมฆแผน่ เราเรียกเมฆกอ้ นว่า “เมฆ คิวมลู สั ” และเรียกเมฆแผน่ ว่า “เมฆสเตรตสั ” หากเมฆกอ้ นลอยชิดติดกนั เรานาํ ชือทงั สองมารวมกนั และเรียกวา่ “เมฆสเตรโตคิวมลู สั ” ในกรณีทีเป็นเมฆฝน เราจะเพมิ คาํ ว่า “นิมโบ” หรือ “นิมบสั ” ซึง แปลว่า “ฝน” เขา้ ไป เช่น เราเรียกเมฆกอ้ นทีมฝี นตกวา่ “เมฆคิวมโู ลนิมบสั ” และเรียกเมฆแผน่ ทีมฝี นตก วา่ “เมฆนิมโบสเตรตสั ” เราแบ่งเมฆตามระดบั ความสูงเป็น 3 ระดบั คือ เมฆชนั ตาํ เมฆชนั กลาง และ เมฆชนั สูง หากเป็นเมฆชนั กลาง (ระดบั ความสูง 2 - 6 กิโลเมตร) เราจะเติมคาํ ว่า “อลั โต” ซึงแปลวา่ “ชนั กลาง” ไวข้ า้ งหนา้ เช่น เราเรียกเมฆกอ้ นชนั กลางว่า “เมฆอลั โตคิวมลู สั ” และเรียกเมฆแผน่ ชนั กลางว่า “เมฆ อลั โตสเตรตสั ” หากเป็นเมฆชนั สูง (ระดบั ความสูง 6 กิโลเมตร ขึนไป ) เราจะเติมคาํ วา่ “เซอโร” ซึงแปลวา่ “ชนั สูง” ไวข้ า้ งหนา้ เช่น เราเรียกเมฆกอ้ นชนั สูงว่า “เมฆเซอโรคิวมลู สั ” เรียกเมฆแผน่ ชนั สูงว่า “เมฆ เซอโรสเตรตสั ” และเรียกชนั สูงทีมรี ูปร่างเหมือนขนนกวา่ “เมฆเซอรัส” รูปที 1 แผนผงั แสดงการเรียกชือเมฆ

107 ประเภทของเมฆ นกั อุตุนิยมวทิ ยา แบ่งเมฆทงั สิบชนิดออกเป็น 4 ประเภท ดงั นี 1. เมฆชันสูง เป็นเมฆทีก่อตวั ทีระดบั ความสูงมากกว่า 6 กิโลเมตร เมฆในชนั นีส่วนใหญ่มกั จะ มลี กั ษณะเป็นกอ้ นเลก็ ๆ และมกั จะค่อนขา้ งโปร่งใส แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ เมฆเซอโรควิ มูลสั เมฆสีขาว เป็นผลกึ นาํ แข็ง มีลกั ษณะ เป็นริว คลืนเลก็ ๆ มกั เกิดขึนปกคลุมทอ้ งฟ้ าบริเวณกวา้ ง เมฆเซอโรสเตรตัส มีลกั ษณะคลา้ ยกับเมฆเซอรัสแต่จะแผ่ ออกเป็ นแผ่นบาง ๆ ตามทิศทางของลม แผ่นบาง สีขาว เป็ น ผลึกนําแข็ง ปกคลุมทอ้ งฟ้ าเป็ นบริ เวณกวา้ ง โปร่งแสงต่อ แสงอาทิตย์ บางครังหกั เหแสง ทาํ ให้เกิดดวงอาทิตยท์ รงกลด และดวงจนั ทร์ทรงกลด เมฆเซอรัส เมฆริว สีขาว รูปร่างคลา้ ยขนนก เป็นผลกึ นาํ แขง็ มกั เกิดขึนในวนั ทีมีอากาศดี ทอ้ งฟ้ าเป็นสีฟ้ าเขม้ 2. เมฆชันกลาง เป็นเมฆทีก่อตวั ขึนจากหยดนาํ หรือผลึกนาํ แขง็ อยทู่ ีระดบั ความสูงจากพืนดนิ 2 - 6 กิโลเมตร สามารถจาํ แนกตามลกั ษณะรูปร่างไดด้ งั นี เมฆอลั โตควิ มลู สั เมฆกอ้ น สีขาว ลกั ษณะเป็ นกลุ่มกอ้ นเล็ก ๆ คลา้ ยฝงู แกะมีช่องวา่ งระหว่างกอ้ นเลก็ นอ้ ย บางครังอาจก่อตวั ตาํ ลงมาดูคลา้ ย ๆ กบั เมฆสเตรโตคิวมลู สั หรือเกิดเป็ นก้อน ซอ้ น ๆ กนั คลา้ ยกบั ยอดปราสาท เมฆอลั โตสเตรตสั มลี กั ษณะเป็นแผน่ ปกคลมุ บริเวณทอ้ งฟ้ า บริเวณกวา้ ง ส่วนมากมกั มสี ีเทา เนืองจากบงั แสงดวงอาทิตย์ หรือดวงจนั ทร์ ไม่ใหล้ อดผา่ น ทาํ ใหเ้ ห็นเป็นฝ้ า ๆ อาจทาํ ให้ เกิดละอองฝนบาง ๆ ได้

108 3. เมฆชันตาํ เป็นเมฆทีเกดิ ขึนทรี ะดบั ความสูงจากพืนดินไม่เกิน 2 กิโลเมตร ซึงสามารถ จาํ แนกตามลกั ษณะรูปร่างไดด้ งั นี เมฆสเตรตสั เป็นเมฆแผน่ บาง สีขาว ปกคลมุ ทอ้ งฟ้ าบริเวณ กวา้ ง และอาจทาํ ให้เกิดฝนละอองได้ มกั เกิดขึนตอนเช้า หรือหลงั ฝนตก บางครังอาจลอยตาํ ปกคลุมพืนดิน เรียกว่า “หมอก” เมฆสเตรโตคิวมูลัส เมฆก้อน ลอยติดกันเป็ นแพ ไม่มี รูปทรงทีชัดเจน มีช่องว่างระหว่างก้อนเพียงเล็กน้อย มกั เกิดขึนเวลาทีอากาศไม่ดี และมีสีเทา เนืองจากลอยอย่ใู นเงา ของเมฆชนั บน เมฆนิมโบสเตรตัส เมฆแผ่นหนาสีเทาเข้ม คลา้ ยพืนดินที เปี ยกนํา ทาํ ให้เกิดฝนตกพรําๆ หรือฝนตกแดดออก ไม่มี พายฝุ นฟ้ าคะนอง ฟ้ าร้องฟ้ าผ่า มกั ปรากฏให้เห็นสายฝนตก ลงมาจากฐานเมฆ 4. เมฆก่อตวั ในแนวตงั เป็นเมฆทีอยสู่ ูงจากพืนดนิ ตงั แต่ 500 - 20,000 เมตร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เมฆควิ มลู สั เมฆกอ้ นปุกปุย สีขาว รูปทรงคลา้ ยดอกกะหลาํ ฐานเมฆเป็ นสีเทาเนืองจากมีความหนามากพอทีจะบดบงั แสง จนทาํ ใหเ้ กิดเงา มกั ปรากฏให้เห็นเวลาอากาศดี ทอ้ งฟ้ า เป็นสีฟ้ าเขม้ เมฆคิวมูโลนิมบัส เมฆก่อตวั ในแนวตงั พฒั นามาจากเมฆ คิวมลู สั มีขนาดใหญ่มากปกคลุมพืนทีครอบคลุมทงั จงั หวดั ทาํ ให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ฟ้ าแลบ ฟ้ าร้อง พายฝุ นฟ้ าคะนอง และบางครังอาจมลี กู เห็บตก

109 สีของเมฆ สีของเมฆบ่งบอกถึงปรากฏการณ์ทีเกิดขึนภายในเมฆ เนืองจากเมฆเกิดจากไอนาํ ลอยตวั ขึนสู่ที สูงเย็นตวั ลงและควบแน่นกลายเป็ นละอองนําขนาดเล็ก ละอองนําเหล่านีมีความหนาแน่นสูง แสงอาทิตยไ์ มส่ ามารถส่องทะลุผา่ นไปไดไ้ กลภายในกลุ่มละอองนาํ นี จึงเกิดการสะทอ้ นของแสงทาํ ให้ เราเห็นเป็นกอ้ นเมฆสีขาว ในขณะทีกอ้ นเมฆกลนั ตวั หนาแน่นขึน ทาํ ใหล้ ะอองนาํ เกิดการรวมตวั ขนาดใหญ่ขึนจนใน ทีสุดก็ตกลงมากลายเป็นฝน ซึงในระหวา่ งกระบวนการนีละอองนาํ ในกอ้ นเมฆซึงมีขนาดใหญ่ขึนจะมี ช่องว่างระหวา่ งหยดนาํ มากขึน ทาํ ใหแ้ สงสามารถส่องทะลุผา่ นไปไดม้ ากขึน ซึงถา้ กอ้ นเมฆนันมีขนาด ใหญ่พอ และช่องว่างระหว่างหยดนาํ นนั มากพอ แสงทีผ่านเขา้ ไปก็จะถกู ซึมซบั ไปในกอ้ นเมฆและ สะทอ้ นกลบั ออกมานอ้ ยมาก ซึงการซึมซบั และการสะทอ้ นของแสงนีส่งผลให้เราเห็นเมฆตงั แต่ สีขาว สีเทา ไปจนถึง สีดาํ โดยสีของเมฆนนั สามารถใชใ้ นการบอกสภาพอากาศได้ - เมฆสีเขียวจาง ๆ นนั เกิดจากการกระเจิงของแสงอาทิตยเ์ มอื ตกกระทบนาํ แขง็ เมฆคิวมโู ลนิมบสั ทีมีสีเขียวนนั บ่งบอกถึงการก่อตวั ของพายฝุ น พายลุ กู เห็บ ลมทีรุนแรง หรือ พายทุ อร์นาโด - เมฆสีเหลอื ง ไมค่ ่อยไดพ้ บเห็นบ่อยครัง แต่อาจเกิดขึนไดใ้ นช่วงปลายฤดูใบไมผ้ ลิไปจนถึง ช่วงตน้ ของฤดูใบไมร้ ่วง ซึงเป็ นช่วงทีเกิดไฟป่ าไดง้ ่าย โดยสีเหลืองนันเกิดจากฝ่ ุนควนั ในอากาศ - เมฆสีแดง สีส้ม หรือสีชมพู โดยปกติเกิดในช่วงพระอาทิตยข์ ึน และพระอาทิตยต์ ก โดยเกิด จากการกระเจิงของแสงในชนั บรรยากาศ ไม่ไดเ้ กิดจากเมฆโดยตรง เมฆเพียงเป็ นตัวสะทอ้ นแสงนี เท่านนั แต่ในกรณีทีมพี ายฝุ นขนาดใหญ่ในช่วงเดียวกนั จะทาํ ใหเ้ ห็นเมฆเป็นสีแดงเขม้ เหมือนสีเลอื ด 1.2 หมอก หมอกเกิดจากกลนั ตัวของไอนําในอากาศ เมือไปกระทบกับความเย็นจะเปลียนสถานะ ควบแน่นเป็ นละอองนาํ คลา้ ยควนั สีขาว ลอยติดพืนดิน บางครังจะหนามากจนเป็ นอุปสรรคในการ คมนาคม ซึงในวนั ทีมีอากาศชืน และทอ้ งฟ้ าใส พอตกกลางคืนพืนดินจะเยน็ ตวั อยา่ งรวดเร็ว ทาํ ใหไ้ อนาํ ในอากาศเหนือพืนดินควบแน่นเป็ นหยดนํา หมอกซึงเกิดขึนโดยวิธีนีจะมีอุณหภูมิตาํ และมีความ หนาแน่นสูง เคลอื นตวั ลงสู่ทีตาํ และมีอยอู่ ยา่ งหนาแน่นในหุบเหว แต่เมืออากาศอนุ่ มีความชืนสูง ปะทะ กบั พนื ผวิ ทีมีความหนาวเยน็ เช่น ผวิ นาํ ในทะเลสาบ อากาศจะควบแน่นกลายเป็ นหยดนาํ ในลกั ษณะ เช่นเดียวกบั หยดนาํ ซึงเกาะอยรู่ อบแกว้ นาํ แข็ง

110 รูปที 2 แสดงลกั ษณะของหมอก 1.3 นาํ ค้าง นาํ คา้ งเป็นหยดนาํ ขนาดเลก็ เกาะติดพืนดินหรือตน้ ไม้เกิดจากการควบแน่นของไอนาํ บนพนื ผวิ ของวัตถุ ซึงมีการแผ่รังสีออกจนกระทังอุณหภูมิลดตาํ ลงกว่าจุดนําค้างของอากาศซึงอยู่รอบๆ เนืองจากพนื ผวิ แต่ละชนิดมกี ารแผร่ ังสีทีแตกต่างกนั ดงั นนั ในบริเวณเดียวกนั ปริมาณของนาํ คา้ งทีปก คลุมพนื ผวิ แต่ละชนิดจึงไม่เท่ากนั เช่น ในตอนหัวคาํ อาจมีนาํ คา้ งปกคลุมพืนหญา้ แต่ไม่มีนาํ คา้ งปก คลมุ พนื คอนกรีต เหตุผลอกี ประการหนึงซึงทาํ ใหน้ าํ คา้ งมกั เกิดขึนบนใบไมใ้ บหญา้ กค็ ือ ใบของพชื คาย ไอนาํ ออกมา ทาํ ใหอ้ ากาศบริเวณนนั มคี วามชืนสูง รูปที 3 แสดงลกั ษณะของนําค้าง

111 1.4 ฝน คือ ไอนาํ ทีกลนั ตวั เป็นหยดนาํ แลว้ ตกลงมาบนพนื ผวิ โลก ซึงเป็นรูปแบบหนึงของการตกลงมา จากฟ้ าของนาํ นอกจากฝนแลว้ ยงั มีการตกลงมาในรูป หิมะ เกลด็ นาํ แขง็ ลกู เห็บ นาํ คา้ ง ฝนนนั อย่ใู นรูป หยดนาํ ซึงตกลงมายงั พืนผิวโลกจากเมฆ ลกั ษณะของการเกิดฝน สามารถแบ่งตามสาเหตุการเกิดได้ ดงั นี 1. ฝนเกิดจากการพาความร้อน มวลอากาศร้อนลอยตวั สูงขนึ 2. ฝนภูเขา มวลอากาศทีอมุ้ ไอนาํ พดั จากทะเล ปะทะภูเขา จะลอยตวั สูงขึน 3. ฝนพายหุ มนุ ความกดอากาศสูงเคลือนไปสู่บริเวณความกดอากาศตาํ มวลอากาศในบริเวณ ความกดอากาศตาํ ลอยตวั สูงขึน 4. ฝนในแนวอากาศ มวลอากาศร้อนปะทะมวลอากาศทีมอี ณุ หภูมิเยน็ มวลอากาศร้อนลอยตวั สูงขึน 1.5 ลูกเหบ็ คือ หยดนาํ ทีกลายสภาพเป็นนาํ แขง็ เกิดจากมวลอากาศร้อนทีลอยตวั สูงขึนพดั พาเมด็ ฝนลอยขึน ไปปะทะกบั มวลอากาศเยน็ ทีอยดู่ า้ นบน ทาํ ใหเ้ มด็ ฝนจบั ตวั กลายเป็นนาํ แขง็ เมือตกลงมายงั มวลอากาศ ร้อนทีอยดู่ า้ นล่าง ความชืนจะเขา้ ไปห่อหุม้ เมด็ นาํ แข็งใหเ้ พมิ ขึน จากนนั กระแสลมกจ็ ะพดั พาเมด็ นาํ แขง็ วนซาํ ไปซาํ มาหลายครังจนเมด็ นาํ แขง็ มขี นาดใหญ่ขึน และกระแสลมไมส่ ามารถพยงุ เอาไวไ้ ดจ้ ึงตกลงมายงั พนื ดนิ ส่วนใหญ่จะมีขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 2 - 3 มิลลเิ มตร ซึงมกั จะเกิดขึนในเขตพืนทีทีมีอากาศ ร้อนมาก และเกิดในชว่ งเปลยี นจากฤดูร้อนไปเป็นฤดฝู น ทาํ ใหเ้ กิดความเสียหายต่อการเลยี งสตั ว์ เรือกสวน ไร่นา บา้ นเรือน และเครืองบิน รูปที 4 แสดงลกั ษณะของลูกเห็บ

112 1.6 กรณศี ึกษานําค้างแข็ง สาเหตุ และผลกระทบ นาํ คา้ งแข็ง หรือ “แม่คะนิง” และ“เหมยขาบ” เกิดจากไอนาํ ในอากาศทีใกล้ ๆ กบั พนื ผวิ ดินลด อณุ หภูมลิ งจนถงึ จุดนาํ คา้ ง จากนนั กจ็ ะกลนั ตวั เป็นหยดนาํ โดยอุณหภมู ิยงั คงลดลงอยา่ งต่อเนือง จนถึง จุดตาํ กว่าจดุ เยอื กแขง็ จากนนั นาํ คา้ งกจ็ ะเกดิ การแขง็ ตวั กลายเป็นนาํ คา้ งแขง็ เกาะอยตู่ ามยอดไมใ้ บหญา้ ซึงการเกิดแมค่ ะนิงนนั ไมใ่ ช่จะเกิดขนึ ไดง้ ่าย ๆ แต่จะเกิดกต็ ่อเมอื มอี ากาศหนาวจดั จนนาํ คา้ งยอดหญา้ หรือยอดไมแ้ ข็งตวั ในอณุ หภมู ปิ ระมาณศนู ยอ์ งศาเซลเซียสหรือติดลบเลก็ นอ้ ย ผลกระทบของนําค้างแขง็ การเกิดแม่คะนิงอาจจะน่าสนใจสาํ หรับใครหลาย ๆ คน แต่กม็ ีทงั ผลดี และผลเสีย ซึงถา้ มองใน ดา้ นการท่องเทียวก็เป็ นตวั กระตุน้ นักท่องเทียว แต่ในทางตรงกนั ข้ามจะมีผลกระทบโดยตรงทาง การเกษตร เพราะสร้างความเสียหายแก่พืชไร่และผกั ต่าง ๆ เช่น ขา้ วทีกาํ ลงั ออกรวงก็จะมีเมลด็ ลีบ พืชไร่ ชะงกั การเจริญเติบโต พชื ผกั ใบจะหงิกงอ ไหมเ้ กรียม ส่วนพวกกลว้ ย มะพร้าว และทุเรียนใบจะแห้งร่วง เป็นตน้ ซึงหากแม่คะนิงเกิดติดต่อกนั ยาวนาน ถอื ว่าชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนเดือดร้อนแน่นอน เรืองที 2 การรายงานสภาพอากาศของท้องถนิ การพยากรณ์อากาศ หมายถึง การคาดหมายสภาพลมฟ้ าอากาศ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ในอนาคต เช่น การคาดหมายสภาพอากาศของวนั พรุ่งนี เป็ นตน้ ซึงการทีจะพยากรณ์อากาศไดต้ อ้ งมี องคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ 1. ความรู้ความเข้าใจในปรากฏการณ์และกระบวนการต่าง ๆ ทีเกิดขึนในบรรยากาศ โดยไดม้ า จากการเฝ้ าสงั เกตและบนั ทึกไว้ ซึงมนุษยไ์ ดม้ กี ารสงั เกตลมฟ้ าอากาศมานานแลว้ เพราะมนุษยอ์ ยภู่ ายใต้ อทิ ธิพลของลมฟ้ าอากาศโดยไม่อาจหลีกเลียงได้ จึงมีความจาํ เป็ นทีตอ้ งทราบลกั ษณะลมฟ้ าอากาศที เป็ นประโยชน์และลกั ษณะอากาศทีเป็ นภัย การสงั เกตทาํ ให้สามารถอธิบายถึงสาเหตุของการเกิด ลกั ษณะอากาศแบบต่าง ๆ ได้ 2. สภาวะอากาศปัจจุบัน ซึงจาํ เป็ นตอ้ งใชเ้ ป็ นขอ้ มูลเริมตน้ สาํ หรับการพยากรณ์อากาศ โดย ขอ้ มลู นีไดม้ าจากการตรวจสภาพอากาศ ซึงมีทงั การตรวจอากาศผวิ พืน การตรวจอากาศชนั บนในระดบั ความสูงต่าง ๆ สิงสาํ คญั ทีตอ้ งทาํ การตรวจเพอื พยากรณ์อากาศไดแ้ ก่ อุณหภมู ิ ความกดอากาศ ความชืน ลม และเมฆ 2.1 อุณหภูมขิ องอากาศ หมายถงึ ระดบั ความร้อนของอากาศ ซึงมีความสาํ คญั ต่อการ หมุนเวยี นของอากาศ โดยอากาศจะเคลอื นทีจากบริเวณทีมีอุณหภูมิตาํ ไปยงั บริเวณทีมีอุณหภูมิสูงกว่า ทงั นีอณุ หภูมขิ องอากาศในแต่ละบริเวณนนั จะมลี กั ษณะทีแตกต่างกนั ออกไป และสามารถเปลียนแปลง ไดต้ ลอดเวลา โดยปกติอากาศทีอยเู่ หนือพืนดินจะอบอุ่นและแหง้ ส่วนอากาศทีอยเู่ หนือพืนนาํ จะเยน็ และชืน เครืองมือทีเราใชส้ าํ หรับวดั อุณหภูมิคือ “เทอร์โมมิเตอร์” ซึงมีหน่วยเป็ นองศาเซลเซียส หรือ

113 องศาฟาเรนไฮต์ ปัจจุบนั การตรวจอุณหภูมิอากาศทีช่วยใหก้ ารพยากรณ์แม่นยาํ ยงิ ขึนคือ การตรวจ อากาศดว้ ยเรดาร์และดาวเทียมอุตุนิยมวทิ ยา 2.2 ความกดอากาศ คือ นาํ หนักของอากาศทีกดทบั เหนือบริเวณนันๆ สามารถวดั ได้ โดยใชเ้ ครืองมือทีเรียกวา่ “บารอมิเตอร์” มีหน่วยเป็น มิลลบิ าร์ หรือ ปอนดต์ ่อตารางนิว ความกดอากาศ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ บริเวณความกดอากาศตํา หรือ ความกดอากาศตํา หมายถึง บริเวณซึงมี ปริมาณอากาศอยนู่ ้อย ซึงจะทาํ ให้นาํ หนักของอากาศน้อยลงตามไปดว้ ย ทาํ ใหอ้ ากาศเบาและลอยตวั สูงขึน เกิดการแทนทีของอากาศทาํ ใหเ้ กดิ ลม บริเวณความกดอากาศสูง หรือ ความกดอากาศสูง หมายถึง บริเวณทีมีค่า ความกดอากาศสูงกวา่ บริเวณโดยรอบ เรียกอีกอยา่ งหนึงว่า “แอนติไซโคลน” เกิดจากศูนยก์ ลางความ กดอากาศสูงเคลือนตวั ออกมายงั บริเวณโดยรอบ ทาํ ให้อากาศขา้ งบนเคลือนตัวจมลงแทนที ทาํ ให้ อุณหภมู ิสูงขึนไม่เกิดการ กลนั ตวั ของไอนาํ สภาพอากาศโดยทวั ไปจึงปลอดโปร่ง ทอ้ งฟ้ าแจ่มใส 2.3 ลม คือ การเคลอื นไหวของอากาศ ถา้ ลมแรงก็หมายถึงว่า มวลของอากาศเคลือน ตวั ไปมากและเร็ว การวดั ลมจาํ ตอ้ งวดั ทงั ทิศและความเร็วของลม สาํ หรับการวดั ทิศของลมนนั เราใช้ ศรลม ส่วนการวดั ความเร็วของลม เราใชเ้ ครืองมอื ที เรียกว่า “แอนนมี อมเิ ตอร์” การวดั ความเร็วและทิศ ของลม อาจทาํ ไดโ้ ดยใชเ้ ครืองมืออีกชนิดหนึง เรียกว่า “ใบพดั ลม” ซึงสามารถวดั ความเร็วและทิศได้ พร้อมกนั 3. ความสามารถทจี ะผสมผสานองค์ประกอบทังสองข้างต้นเข้าด้วยกนั เพอื คาดหมายการ เปลยี นแปลงของบรรยากาศทจี ะเกดิ ขนึ ในอนาคต

114 บทที 7 สารและสมบัตขิ องสาร สาระสําคญั ความหมาย ความสาํ คญั ของสารในชีวติ ประจาํ วนั การนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ การเขา้ สู่ร่างกายของ สาร ประเภทของสาร และผลติ ภณั ฑใ์ นชีวิตประจาํ วนั การใชส้ ารในชีวิตประจาํ วนั และผลกระทบจาก การใชส้ าร การเลือกใชส้ ารและผลิตภณั ฑอ์ ยา่ งถกู ตอ้ ง เหมาะสม ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั - อธิบายความหมายความสาํ คญั และความจาํ เป็นในการใชส้ ารได้ - อธิบายสมบตั ิทวั ไปของสารได้ - จาํ แนกสารโดยใชส้ ถานะและการจดั เรียงอนุภาคได้ - อธิบายปัจจยั ทีมีผลต่อการเปลียนสถานะของสารได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที สารและสมบตั ิของสาร เรืองที ปัจจยั ทีมผี ลต่อการเปลียนสถานะของสาร

115 เรืองที สารและสมบตั ขิ องสาร ความหมายของสาร สาร หมายถึง สิงทีมีตัวตน มีมวล ตอ้ งการทีอยู่ และสัมผสั ได้ สารแต่ละชนิดจะมีลักษณะ เฉพาะตวั หรือ สมบตั ิของสาร ซึงแตกต่างจากสารอืน เช่น นาํ มีจุดเดือดที 100 องศาเซลเซียส กรดมรี สเปรียว แอลกอฮอลต์ ิดไฟได้ เป็นตน้ สมบัตขิ องสารแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท 1. สมบัติทางกายภาพ หมายถึง สมบัติของสารทีแสดงให้เห็นลกั ษณะภายนอกของสาร สามารถสงั เกตไดง้ ่าย เช่น รูปร่าง สี กลนิ รส สถานะของสาร จุดเดือด จุดหลอมเหลว เป็นตน้ 2. สมบัติทางเคมี หมายถึง สมบัติของสารทีแสดงลกั ษณะภายในของสารโดยอาศยั การ เปลียนแปลงทางเคมี เช่น เหลก็ เป็นสนิม โลหะเมอื ทาํ ปฏิกิริยากบั กรดแลว้ เกิดการผกุ ร่อน เป็นตน้ สถานะของสารและการจดั เรียงอนุภาค สถานะของสารสามารถแบ่งออกเป็น 3 สถานะ คือ 1. ของแขง็ คือ สารทีมีรูปร่างและปริมาตรทีแน่นอน ไม่เปลียนแปลงตามภาชนะ อนุภาคชิด กนั เป็นระเบียบ มคี วามหนาแน่นและแรงยดึ เหนียวระหว่างโมเลกลุ สูงกว่าของเหลวและก๊าซ เช่น กอ้ น หิน ไม้ พลาสติก เหลก็ เป็นตน้ ภาพแสดงการจดั เรียงอนุภาคของของแขง็ 2. ของเหลว คือ สารทีมีปริมาตรแน่นอน แต่มีรูปร่างไม่แน่นอนเปลียนแปลงตามภาชนะที บรรจุ อนุภาคอยใู่ กลเ้ คียงกนั แต่ไมเ่ ป็นระเบียบ มกี ารชนกนั ตลอดเวลา จึงมีความหนาแน่นสูงกว่ากา๊ ซ เช่น นาํ นาํ นม สบ่เู หลว แชมพู เป็นตน้ ภาพแสดงการจดั เรียงอนุภาคของของเหลว

116 3. ก๊าซ คือ สารทีมรี ูปร่างและปริมาตรไมแ่ น่นอน เปลียนแปลงตามภาชนะทีบรรจุเพราะมีแรง ยึดเหนียวระหว่างโมเลกุลน้อยมาก จึงฟ้ ุงกระจายไดเ้ ต็มภาชนะและมีความหนาแน่นตาํ เช่น อากาศ แก๊ซหุงตม้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นตน้ ภาพแสดงการจดั เรียงอนุภาคของก๊าซ ตารางที 1 แสดงสมบตั ขิ องสารแต่ละสถานะ ของแขง็ ของเหลว ก๊าซ 1.มมี วล ตอ้ งการทีอยู่ และสมั ผสั ได้ 1.มมี วล ตอ้ งการทีอยู่ 1.มมี วล ตอ้ งการทีอยู่ 2.รูปร่างแน่นอน เปลยี นแปลง รูปร่างยาก และสมั ผสั ได้ และสมั ผสั ได้ 3.ปริมาตรคงที ไมส่ ามารถกด หรือบีบใหม้ ปี ริมาตรลดลงได้ 2.รูปร่างไมแ่ น่นอน ขึนอยกู่ บั 2.รูปร่างไม่แน่นอน ขึนอยกู่ บั 4.อนุภาคของของแขง็ เรียงชิด กนั แน่นทาํ ใหไ้ ม่สามารถ ภาชนะทีบรรจุ ภาชนะทีบรรจุ เคลอื นทีได้ 5.ทะลผุ า่ นไดย้ าก 3.ปริมาตรคงที ไม่สามารถกด 3.มีปริมาตรไม่คงที สามารถกด - หรือบีบใหม้ ีปริมาตรลดลงได้ หรือบีบใหม้ ปี ริมาตรลดลงได้ 4.อนุภาคของของเหลวอยชู่ ิดกนั 4.อนุภาคของแก๊สอยหู่ ่างกนั ทาํ แต่มีช่องวา่ งระหวา่ งอนุภาค ทาํ ใหอ้ นุภาคเคลอื นทีอิสระจึงฟ้ งุ ใหเ้ คลอื นทีไดบ้ า้ ง กระจายเตม็ ภาชนะทีบรรจุเสมอ 5.ทะลผุ า่ นได้ 5.ทะลุผา่ นไดง้ ่าย 6.ระดบั ผวิ หนา้ ของของเหลวจะ - อยใู่ นแนวราบเสมอไมว่ า่ จะอยู่ ทีใด

117 กจิ กรรม สถานะของสาร จงพิจารณาชือสารทีกาํ หนดและจาํ แนกสารนนั อยใู่ นสถานะใด โดยขดี เครืองหมาย  ลงในตาราง สาร ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ กอ้ นหิน โต๊ะ ออกซิเจน นาํ มนั พชื ก๊าซหุงตม้ พดั ลม นาํ เกลอื นาํ แข็ง คาร์บอนไดออกไซด์ ควนั ไฟ คอมพวิ เตอร์ ยางลบ สบู่เหลว นาํ อดั ลม นาํ ตาล ไนโตรเจน แอลกอฮอล์ กระดาษ แชมพสู ระผม ผงซกั ฟอก

118 เรืองที ปัจจยั ทมี ีผลต่อการเปลียนแปลงของสถานะของสาร สารทุกชนิดสามารถเปลียนแปลงสถานะได้ การเปลียนแปลงสถานะของสารเกียวขอ้ งกบั อณุ หภูมิ จุดเดือดและจุดหลอมเหลวของ สารชนิดนนั ๆ ซึงการเปลียนแปลงสถานะของสารนีจะส่งผล ต่อลกั ษณะกายภาพของสารนนั เช่น นาํ แข็ง กลายเป็นของเหลว ของเหลวกลายเป็นก๊าซ เป็นตน้ การเปลียนแปลงสถานะในแต่ละรูปแบบ มชี ือเรียกต่างกนั ตามลกั ษณะการเปลียนแปลง ดงั นี การระเหย คือ กระบวนการการเปลยี นแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็นกา๊ ซ โดยมกั เกิดเมอื ของเหลวนนั ๆ ไดร้ ับพลงั งานหรือความร้อน โดยไม่จาํ เป็นตอ้ งมีอณุ หภูมิถงึ จุดเดือด ไดแ้ ก่ นาํ เปลียนสถานะเป็น ไอนาํ นําในถ้วยชาระเหยกลายเป็ นไอ และรวมตวั บนกระจก

119 การระเหิด คือ กระบวนการการเปลียนแปลงสถานะของสสาร จากของแขง็ กลายเป็นก๊าซ โดย ไมผ่ า่ นสถานะการเป็นของเหลว ไดแ้ ก่ นาํ แขง็ แหง้ เปลียนสถานะเป็น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ ถา้ เราใส่ลกู เหมน็ ในตเู้ สือผา้ ไวส้ กั ระยะหนึง ลกู เหมน็ จะมขี นาดเลก็ ลงเพราะลกู เหมน็ เปลียนสถานะจาก ของแข็งกลายเป็นไอทาํ ใหม้ ีกลนิ เหมน็ ไลแ่ มลง การระเหิดของนาํ แขง็ แห้ง การควบแน่น คือ กระบวนการการเปลียนแปลงสถานะของสสาร จากก๊าซ กลายเป็นของเหลว โดยมกั เกิดเมอื กา๊ ซนนั ๆ สูญเสียความร้อนหรือพลงั งาน ไดแ้ ก่ ไอนาํ เปลยี นแปลงสถานะเป็น นาํ การ เกิดฝน เป็นตน้ การเกดิ ฝนเกดิ จากการควบแน่นของไอนํา

120 การแข็งตัว คือ กระบวนการการเปลียนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็ น ของแขง็ โดยมกั เกิดเมอื ของเหลวนนั ๆ สูญเสียความร้อนหรือพลงั งาน ไดแ้ ก่ นาํ เปลียนแปลงสถานะ เป็นนาํ แข็ง โดยของแข็งนัน สามารถเปลียนสถานะกลบั เป็ นของเหลวได้ โดยการไดร้ ับพลงั งานหรือ ความร้อน การหลอมเหลว หรือ การละลาย คือ กระบวนการการเปลียนแปลงสถานะของสสาร จาก ของแข็ง กลายเป็นของเหลว โดยมกั เกิดเมือของแขง็ นนั ๆ ไดร้ ับความร้อนหรือพลงั งาน ไดแ้ ก่ นาํ แข็ง เปลียนแปลงสถานะเป็น นาํ นาํ แข็ง ตงั ทงิ ไว้จะกลายเป็ นนํา นาํ ไปแช่ต้เู ยน็ จะเปลยี นมาเป็ นนําแขง็ การตกผลกึ คือ กระบวนการการเปลียนแปลงสถานะของสาร จากของเหลว กลายเป็ นของแข็ง โดยมกั เกิดเมือของเหลวนัน ๆ สูญเสียความร้อนหรื อพลงั งาน ได้แก่ นํา เปลียนแปลงสถานะ เป็นนาํ แขง็ แต่โดยทวั ไปแลว้ การตกผลึกนันนิยมใช้ กบั การเปลียนแปลงรูปร่างทางเคมี เสียมากกว่า เพราะโดยทวั ไปใชก้ บั สารประกอบหรือวตั ถุ ทีไม่สามารถหลอมเหลว หรือ ละลาย กลบั เป็ นของเหลว ไดอ้ กี เกลอื เกลอื ละลายนํา ระเหยนําออกได้เกลอื

121 กจิ กรรม การเปลียนแปลงสถานะของสาร จดุ ประสงค์ ทดลองและอธิบายการเปลียนแปลงสถานะของสารได้ วสั ดุอปุ กรณ์ 2. ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 3.ชอ้ นโตะ๊ 1. บีกเกอร์ 5. นาํ แข็ง 6.ไมข้ ีดไฟ 4. เกลอื วธิ ที ดลอง 1. แบ่งกลุ่มเรียน กลมุ่ ละ 4 - 5 คน 2. นาํ นาํ แขง็ ในบีกเกอร์ ตงั ทิงไว้ 10 นาที สงั เกตการเปลยี นแปลงของนาํ แข็งและบนั ทึกผล 3. นาํ เกลือ 1 ชอ้ นโต๊ะ ใส่ลงไปในบีกเกอร์ คนจนเกลอื ละลายหมด 4. นาํ บีกเกอร์ตงั ไฟ จนกวา่ นาํ ในบีกเกอร์ระเหยหมด สงั เกตการเปลียนแปลงและบนั ทึกผล บันทกึ ผลการทดลอง สาร การเปลยี นแปลง นาํ แข็ง ก่อนทดลอง หลงั ทดลอง เกลือ สรุปผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………….. .………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………

122 บทที 8 การแยกสาร สาระสําคญั ความสาํ คญั วธิ ีการ และกระบวนการแยกสารต่อการนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ มีการใชว้ ิธกี ารแยก สารทีเหมาะสม ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั 1. อธิบายความสาํ คญั วิธกี ารและกระบวนการแยกสารได้ 2. สามารถเลอื กใชว้ ธิ ีการแยกสารทีเหมาะสมและนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจาํ วนั ได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที การแยกสาร เรืองที การเขา้ สู่ร่างกายของสาร เรืองที ประเภทของสารทีพบในชีวติ ประจาํ วนั เรืองที สารและผลิตภณั ฑข์ องสารทีใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั เรืองที ผลกระทบทีเกิดจากการใชส้ ารต่อชีวิตและสิงแวดลอ้ ม

123 เรืองที การแยกสาร สารต่าง ๆ มกั อยรู่ วมกบั สารอืน ๆ ในรูปของสารเนือเดียว หรือสารเนือผสม ถา้ ตอ้ งการสาร เพยี งชนิดเดียวเพือนาํ มาใชป้ ระโยชน์ อาจทาํ ไดโ้ ดยแยกสารออกมาโดยอาศยั สมบตั ิเฉพาะตวั ของสาร การแยกสารเนือผสมทีไม่เป็นเนือเดียวทาํ ไดโ้ ดยใชว้ ธิ ีการทางกายภาพ เช่น หยบิ ออก ร่อนดว้ ยตะแกรง ใชแ้ มเ่ หลก็ ดูด การแยกสารทีเป็นเนือเดียวอาจแยกไดโ้ ดยการระเหยจนแหง้ สารเนือเดียว หมายถึง สารทีมลี กั ษณะเป็นเนือเดียวกนั เมือนาํ ส่วนใดส่วนหนึงไปทดสอบจะมี สมบตั ิเหมอื นกนั เช่น นาํ กลนั นาํ โซดา นาํ เชือม นาํ เกลือ เป็นตน้ สารเนือเดียวมีไดท้ งั 3 สถานะ คือ . สารเนือเดียวสถานะของแข็ง เช่น เหล็ก ทองคาํ ทองแดง สงั กะสี อะลมู ิเนียม นาก ทองเหลือง หินปนู เกลอื แกง นาํ ตาลทราย . สารเนือเดียวสถานะของเหลว เช่น นาํ กลนั นาํ เกลอื นาํ สม้ สายชู นาํ อดั ลม นาํ มนั พืช นาํ เชือม นาํ นม . สารเนือเดียวสถานะแก๊ส เช่น อากาศ แกส๊ หุงตม้ แก๊สออกซิเจน แก๊สไนโตรเจน แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ สารเนือผสม หมายถึง สารผสมทีไมผ่ สมเป็นเนือเดียวกนั สามารถมองเห็นสารเดิมไดด้ ว้ ยตาเปล่า สารแต่ละชนิดจะมสี มบตั ิของสารแตกต่างกนั เช่น นาํ แป้ ง นาํ โคลน ยาเคลอื บกระเพาะ เป็นตน้ สารเนอื ผสมมไี ด้ทัง 3 สถานะ เช่น 1. สารเนือผสมสถานะของแข็ง เช่น ทราย คอนกรีต ดิน 2. สารเนือผสมสถานะของเหลว เช่น นาํ คลอง นาํ โคลน นาํ จิมไก่ 3. สารเนือผสมสถานะแก๊ส เช่น ฝ่ นุ ละอองในอากาศ เขม่า ควนั ดาํ ในอากาศ การแยกสารผสมแต่ละชนิดนนั ตอ้ งรู้จกั เลือกใชว้ ิธีการทีเหมาะสม ขึนอยกู่ บั สมบตั ิของสารที ผสมอยใู่ นสารนนั ๆ 1. การกรอง เป็ นวิธีการแยกสารผสมทีมีสถานะเป็ นของแข็งออกจากของเหลว วสั ดุทีใชก้ รองทีอยหู่ ลาย ชนิด เช่น กระดาษกรอง สาํ ลี ผา้ ขาว เช่น การกรองนาํ กะทิ การกรองสิงสกปรกในนาํ เชือม เป็นตน้

124 2. การกลนั เป็ นวิธีการแยกสารผสมทีเป็ นของเหลวหรือของแข็งทีละลายเป็ นเนือเดียวกันโดยใชส้ มบัติ ความแตกต่างของจุดเดือดของสารแต่ล่ะชนิด การกลนั ตอ้ งทาํ ใหส้ ารทีเป็ นของเหลวกลายเป็ นไอโดย การใหค้ วามร้อน สารทีกลายเป็นไอเมือไดร้ ับความเยน็ ก็จะเกิดความควบแน่นกลนั ตวั เป็ นสารบริสุทธ์ สารทีมีจุดเดือดตาํ จะกลนั ตวั ออกมาก่อนสารทีมีจุดเดือดสูงกวา่ 3. การระเหย การแยกสารดว้ ยวิธีนีเหมาะสาํ หรับใชแ้ ยกสารผสมทีเป็ นของเหลวและมีของแข็งละลายใน ของเหลว โดยวิธีการระเหยนิยมใชใ้ นการแยกเกลอื ออกจากนาํ ทะเล เมอื นาํ ระเหยหมดก็จะไดเ้ กลอื นาํ มาใช้ การทํานาเกลอื โดยวธิ กี ารระเหย 4. การตกตะกอน การแยกสารดว้ ยวิธีนีเป็นการแยกสารผสมทีเป็ นของแข็งทีแขวนลอยอยใู่ นของเหลว โดยการ ตงั สารผสมนนั ทิงไว้ ของแขง็ ทีอยใู่ นของเหลว เป็นสิงทีมนี าํ หนกั ดงั นนั เมือตงั ทิงไวก้ จ็ ะตกตะกอน แยกของจากของเหลว เราจึงสามารถแยกของสารผสมออกจากกนั ได้ เช่น การแยกแป้ งออกจากนาํ แป้ ง การแยกดินออกจากนาํ โคลน หรือการใชส้ ารสม้ แกว่งในนาํ เพือใหส้ ารแขวนลอยทีอยใู่ นนาํ ตกตะกอน เป็ นตน้

125 แกว่งสารส้มในนําเพอื ให้สารแขวนลอยในนําตกตะกอน 5. การตกผลกึ วิธีนีเป็ นวิธีสาํ หรับการแยกของผสมทีเป็ นของแข็ง โดยการนาํ ของผสมมาละลายดว้ ยตวั ทาํ ละลาย จนสารละลายหมด แลว้ ทิงไว้ สารทีละลายไดน้ อ้ ยกวา่ จะอิมตวั และตกตะกอนออกมาก่อน เช่น การแยกเกลือโซเดียมคลอไรดอ์ อกจากนาํ ทะเล การตกผลกึ ของสารบางชนดิ 6. การกลนั ลาํ ดบั ส่วน วธิ ีนีใชแ้ ยกสารผสมทีเป็นของเหลว ซึงของเหลวนีมจี ุดเดือดทีไมแ่ ตกต่างกนั มากนกั จึงไม่ สามารถใชก้ ารแยกสารแบบการกลนั ธรรมดาได้ ตวั อยา่ งการกลนั แบบลาํ ดบั ส่วน เช่น การแยกนาํ ออกจากแอลกอฮอล์ (นาํ มจี ุดเดือด 100 องศาเซลเซียส แอลกอฮอลม์ จี ุดเดือด 78.5 องศาเซลเซียส) และ การกลนั นาํ ดิบ เป็นตน้

126 7. การระเหิดหรือการระเหยแห้ง วธิ ีนีเหมาะสาํ หรับการแยกของผสมทีเป็ นของแข็งทีละลายอย่ใู นของเหลว เช่น เมือนาํ เกลือแกง ซึงเป็นของแขง็ มาละลายในนาํ จะไดข้ องผสมเนือเดียวกนั ถา้ ตอ้ งการแยกเกลอื แกงออกจากนาํ ก็กระทาํ ไดโ้ ดยนาํ นําเกลือมาให้ความร้อนเพือให้นําระเหยออกไป สิงทีเหลืออย่ใู นภาชนะก็คือ เกลือแกง นนั เอง 8. โครมาโตกราฟฟี เป็นวธิ ีแยกสารเนือเดียวออกจากกนั ใหเ้ ป็นสารบริสุทธิ โดยอาศยั หลกั การทีวา่ สารแต่ละชนิดมี ความสามารถในการละลายต่างกนั และถกู ดูดซบั ต่างกนั จึงทาํ ใหส้ ารแต่ละชนิดแยกออกจากกนั ได้

127 เรืองที การเข้าสู่ร่างกายของสาร สารพษิ เข้าสู่ร่างกายได้ ทาง คอื 1. ทางจมูก ดว้ ยการสูดดมไอของสาร ผลคือ ละอองของสารพิษปะปนเขา้ ไปกบั ลมหายใจ สารพิษบางชนิดมีฤทธิกดั กร่อน ทาํ ให้เยือจมกู และหลอดลมอกั เสบหรือซึมผา่ นเนือเยือเขา้ สู่กระแส โลหิตทาํ ใหโ้ ลหิตเป็นพษิ 2. ทางปาก อาจจะเขา้ ปากโดยความสะเพร่า เช่น ใชม้ อื ทีเปื อนสารพษิ หยบิ อาหารเขา้ ปากหรือ กินผกั ผลไมท้ ีมสี ารพิษตกคา้ งอยู่ หรืออาจจะจงใจกินสารพิษบางชนิดเพือฆา่ ตวั ตาย เป็นตน้ 3. ทางผิวหนงั เกิดจากการสัมผสั หรือจบั ตอ้ งสารพิษ สารพิษบางชนิดสามารถซึมผา่ นทาง ผวิ หนงั ได้ เพราะเขา้ ไปทาํ ปฏกิ ิริยาเกิดเป็นพษิ แก่ร่างกาย สารพิษเมือเขา้ สู่ร่างกายทางใดกต็ าม เมอื มีความเขม้ ขน้ พอจะมีปฏิกิริยา ณ จุดสมั ผสั และซึมเขา้ สู่กระแสโลหิต ซึงจะพาสารพิษไปทวั ร่างกาย ความสามารถในการสู่กระแสโลหิตนันขึนอย่กู ับ คุณสมบตั ิการละลายของสารพษิ นนั สารพษิ บางชนิดอาจถกู ร่างกายทาํ ลายได้ บางชนิดอาจถกู ขบั ถ่าย ออกทางไต ซึงจะมผี ลกระทบต่อทางเดินปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะบางชนิดอาจถูกสะสมไว้ เช่น ทีตบั ไขมนั เป็นตน้ เรืองที ประเภทของสารทพี บในชีวติ ประจาํ วนั ประเภทของสาร ประเภทของสาร สารแต่ละชนิดมสี มบตั ิหลายประการ และนาํ มาใชป้ ระโยชน์แตกต่างกนั เรา ตอ้ งจาํ แนกประเภทของสารเพอื ความสะดวกในการศกึ ษาและการนาํ ไปใช้ การจาํ แนกประเภทของสารตามสมบตั คิ วามเป็ นกรด - เบส ประเภทของสารตามสมบตั ิของสาร คือ สมบตั ิความเป็ นกรด - เบส ของสารเป็ นเกณฑ์ ซึง สามารถจดั กลุ่มสารทีใชใ้ นบา้ นเป็น ประเภทคือ 1. สารทีมีสมบตั ิเป็นกรด สารประเภทนีมีรสเปรียว ทาํ ปฏิกิริยาเคมีกบั โลหะ เช่น สงั กะสีทาํ ปฏิกิริ ยาเคมีกับหินปูน ตัวอย่างสารประเภทนี เช่น นําส้มสายชู นํามะนาว นําอดั ลม นํามะขาม นาํ ยาลา้ งหอ้ งนาํ เป็นตน้ 2. สารทีมีสมบัติเป็ นเบส สารประเภทนีมีรสฝาด เมือนํามาถูกับฝ่ ามือจะรู้สึกลืนมือ ทาํ ปฏิกิริยากบั ไขมนั หรือนาํ มนั พืช หรือนาํ มนั สัตว์ จะไดส้ ารประเภทสบู่ ตัวอย่างสารประเภทนี เช่น นาํ ปนู ใสโซดาไฟ นาํ ขีเถา้ เมือนาํ สารทีมีสมบตั ิเป็ นเบสทดสอบดว้ ยกระดาษลิตมสั สีแดง กระดาษลิตมสั สี แดงจะเปลยี นสีจากสีแดงเป็นสีนาํ เงิน

128 3. สารทีมีสมบตั ิเป็ นกลาง สารประเภทนีมีสมบตั ิหลายประการและเมือนาํ มาทดสอบดว้ ย กระดาษลติ มสั แลว้ กระดาษลติ มสั จะไมม่ กี ารเปลียนแปลง ตวั อยา่ งของสารประเภทนี เช่น นาํ นาํ เกลือ นาํ เชือม เป็นตน้ เรืองที สารและผลิตภณั ฑ์ของสารทใี ช้ในชีวติ ประจาํ วนั การจาํ แนกประเภทของสารตามประโยชน์การใช้งาน 1. สารทาํ ความสะอาด สารเหลา่ นีมหี ลายประเภท เช่น - สารทีใชท้ าํ ความสะอาดของร่างกายส่วนต่าง ๆ ไดแ้ ก่ สบู่ ยาสีฟัน แชมพสู ระผม นาํ ยาบว้ นปาก - สารทีใชท้ าํ ความสะอาดเสือผา้ เครืองนุ่มห่ม ไดแ้ ก่ สบ่ซู กั ฟอก ผงซกั ฟอก นาํ ยาขจดั คราบ - สารทีใชท้ าํ ความสะอาดภาชนะ เช่น นาํ ยาลา้ งจาน สารทีใชท้ าํ ความสะอาดเฉพาะแห่ง เช่น นาํ ยาเช็ดกระจก นาํ ยาขดั หอ้ งนาํ 2. สารทางเกษตร สารกาํ จดั ศตั รูพืช เป็ นสารทีนิยมใชใ้ นการเกษตร โดยเกษตรกรใชฉ้ ีดพ่นตน้ พืชทีปลูก เพือ กาํ จดั แมลงทีมากดั กินตน้ พชื สารประเภทนีมีผลรุนแรงต่อคน สตั วแ์ ละสิงแวดลอ้ มในบริเวณใกลเ้ คียง จึงตอ้ งรู้จกั ใชอ้ ย่าง ระมดั ระวงั ไมค่ วรใชใ้ นปริมาณทีมากเกินไป 3. สารทใี ช้เป็ นยารักษาโรค สารเหล่านีใชบ้ าํ บดั รักษาป้ องกนั โรคหรือความเจ็บป่ วยของคนเรา แบ่ง ตามลกั ษณะการใชไ้ ดเ้ ป็น ประเภท คือ - ยาใชภ้ ายใน เช่น ยาธาตุนาํ ขาว ยาธาตุนาํ แดง ยาพาราเซตามอล ยาแกไ้ อนาํ ดาํ ยาเมด็ โซดามนิ ท์ - ยาใชภ้ ายนอก เช่น ยาเหลือง ยาแดง ยาลา้ งตา แอลกอฮอล์ 4. สารกาํ จดั แมลงในบ้าน สารประเภทนีมีทงั ชนิดทีจดั ใหเ้ กิดควนั ชนิดทีฉีดพน่ และชนิดผง เช่น ยากนั ยงุ ดีดีที . สารปรุงแต่งอาหาร สารเหล่านีมีมากมายหลายชนิด เรานาํ ใชใ้ นการประกอบอาหาร เช่น นาํ ตาล นาํ ปลา ซีอวิ ซอส นาํ สม้ สายชู เรืองที ผลกระทบทีเกิดจากการใช้สารต่อชีวติ และสิงแวดล้อม อนั ตรายจากการใช้สารพษิ การใชส้ ารพิษอยา่ งไมถ่ กู ตอ้ งมีอนั ตรายต่อมนุษยแ์ ละสิงแวดลอ้ มดงั นี 1. ทาํ ใหเ้ กิดอนั ตรายต่อผใู้ ชโ้ ดยตรง ไดแ้ ก่ เกษตรกรผปู้ ระกอบอาชีพในโรงงานทีเกียวขอ้ ง กบั การใชส้ ารพิษและประชาชนทวั ๆ ไป ทังนีเนืองมาจากขาดความรู้ความเขา้ ใจในการใชแ้ ละการ ป้ องกนั อนั ตรายจากสารพิษอยา่ งถกู ตอ้ ง จึงทาํ ใหเ้ กิดอบุ ตั ิเหตุ เช่น สารพิษทีใชอ้ าจถูกร่างกายของผใู้ ช้

129 หรือหายใจเอาก๊าซพิษทีรัวสู่บรรยากาศเขา้ ไปทาํ ใหอ้ นั ตรายหรือเจ็บป่ วยถึงชีวิตไดใ้ นทนั ที หรือสะสม สารพษิ ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทาํ ใหส้ ุขภาพทรุดโทรม เกิดโรคภยั ร้ายแรงขึนไดภ้ ายหลงั 2. ทาํ ใหเ้ กิดอนั ตรายต่อชีวิตและสุขภาพอนามยั ของประชาชน และสิงมีชีวิตทีอาศยั อยใู่ น บริเวณใกลเ้ คียงกบั แหล่งทีมกี ารใชส้ ารพษิ 3. ทาํ ใหส้ ภาวะสมดุลตามธรรมชาติเสียไป เนืองจากศตั รูธรรมชาติ เช่น ตวั หาํ ตวั เบียน ทีมี ประโยชน์ในการป้ องกนั กาํ จดั ศตั รูพืช มนุษยแ์ ละสตั วถ์ กู สารพิษทาํ ลายหมดไป แต่ขณะเดียวกนั ศตั รูที เป็นปัญหา โดยเฉพาะพวกแมลงศตั รูพืชสามารถสร้างความตา้ นทานสารพิษขึนไดท้ าํ ใหเ้ กิดปัญหาการ ระบาดเพมิ มากขึนหรือศตั รูพชื ทีไมเ่ คยระบาด กเ็ กิดระบาดขึนมาเป็นปัญหาในการป้ องกนั กาํ จดั มากขึน 4. ทาํ ให้เกิดอนั ตรายต่อชีวิตของนก ปลา สัตว์ป่ าชนิดต่าง ๆ แมลงทีมีประโยชน์ เช่น ผึง พบวา่ มีปริมาณลดนอ้ ยลงจนบางชนิดเกือบสูญพนั ธุ์ ทงั นีเนืองจากถกู ทาํ ลายโดยสารพิษทีไดร้ ับเขา้ ไป ทนั ทีหรือสารพษิ ทีสะสมในร่างกายของสตั วเ์ หล่านนั มีผลใหเ้ กิดความลม้ เหลวในการแพร่ขยายพนั ธุ์ 5. ทาํ ใหเ้ กิดอนั ตรายแก่สิงมชี ีวิตและมนุษยใ์ นระยะยาวเนืองจากการไดร้ ับสารพษิ ซึงกระจาย ตกคา้ งอยใู่ นอาหารและสิงแวดลอ้ ม เขา้ ไปสะสมไวใ้ นร่างกายทีละน้อยจนทาํ ให้ระบบและวงจรการ ทาํ งานของร่างกายผดิ ปกติ เป็นเหตุใหเ้ กิดโรคอนั ตรายขึนหรือบางครังอาจทาํ ใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์หรือ เกิดความผดิ ปกติในรุ่นลกู หลานขึนได้ 6. ทาํ ใหเ้ กิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจขึนกบั ประเทศชาติ เนืองจากการเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วยของ ประชาชนทาํ ให้ไม่สามารถทาํ งานได้เต็มที และยงั ตอ้ งเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอีกด้วย นอกจากนียงั มีปัญหาไม่สามารถส่งอาหารผลิตผลและผลิตภัณฑ์การเกษตรออกไปจาํ หน่ายยงั ต่างประเทศได้ เนืองจากมสี ารพษิ ตกคา้ งอยใู่ นปริมาณสูง เกินปริมาณทีกาํ หนดไว้ 7. ทาํ ให้เกิดความเสียหายต่อคุณภาพของสิงแวดลอ้ มทีดี ปริมาณสารพิษทีถูกปล่อยและ ตกคา้ งอยใู่ นสิงแวดลอ้ ม เช่น สารพิษ โลหะหนกั ในแหล่งนาํ หรือก๊าซพษิ ทีผสมอยใู่ นชนั บรรยากาศทาํ ใหค้ ุณภาพของสิงแวดลอ้ มเสียหายไมเ่ หมาะสมต่อการดาํ รงชีวติ ของสิงมชี ีวติ วธิ ีป้ องกนั สารเป็ นพษิ 1. พยายามหลีกเลยี งการใชส้ ารเป็นพิษเพือกิจกรรมต่าง ๆ 2. ควรศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจถงึ อนั ตรายและวิธีการใชส้ ารเคมีแต่ละชนิด 3. ใชเ้ ครืองมือ อุปกรณ์ เพือการป้ องกนั อนั ตรายขณะทีมกี ารทาํ งานหรือเกียวขอ้ งกบั สารเคมี 4. ควรมกี ารตรวจสุขภาพ สาํ หรับผทู้ ีทาํ งานเกียวขอ้ งกบั สารเคมีอยา่ งนอ้ ยปี ละครัง 5. หลีกเลยี งการอยใู่ กลบ้ ริเวณทีมกี ารใชส้ ารเคมีเพือป้ องกนั สารพษิ เขา้ สู่ร่างกายทางปาก 6. เมอื มีการใชส้ ารเคมี ควรอ่านฉลากกาํ กบั โดยตลอดใหเ้ ขา้ ใจก่อนใช้ และตอ้ งปฏิบตั ิตามคาํ เตือนและขอ้ ควรระวงั โดยเคร่งครัด

130 7. อยา่ ลา้ งภาชนะบรรจุสารเคมหี รืออุปกรณ์เครืองพน่ ยาลงไปในแม่นาํ ลาํ ธาร บ่อ คลอง ฯลฯ 8. ภาชนะบรรจุสารเคมีเมือใชห้ มดแลว้ ใหท้ าํ ลายและฝังดินเสีย 9. ใหค้ วามร่วมมือกบั ทางราชการในการควบคุมตลอดจนการเผยแพร่ประชาสมั พนั ธ์ กิจกรรม การกรอง จดุ ประสงค์ ทดลองและอธิบายการแยกสารดว้ ยวิธีการกรองได้ วสั ดุอุปกรณ์ 2. กรวยกรอง 3. กระดาษกรอง 1. บีกเกอร์ 5. แป้ งมนั 6. นาํ 7. แท่งแกว้ คน 4.ขวดนาํ กลนั วธิ การทดลอง 1. แบ่งกล่มุ ผเู้ รียน กลุ่มละ 4 - 5 คน 2. เทนาํ ใส่ในบีกเกอร์และนาํ แป้ งมนั ผสมลงไป คนจนแป้ งละลายหมด 3. พบั กระดาษกรอง แลว้ นาํ ไปวางในกรวยกรอง หลงั จากนนั ใชข้ วดนาํ กลนั ฉีดนาํ ลงบน ขอบกระดาษกรองใหเ้ ปี ยก เพอื ใหก้ ระดาษแนบติดกบั กรวยกรอง 4. นาํ นาํ แป้ งมนั เทลงในกรวยกรอง บนั ทึกผลการทดลอง บันทกึ ผล ผลทีสังเกตได้ สาร 1. แป้ งผสมกบั นาํ 2. นาํ แป้ งทีผา่ นการกรองแลว้ สรุปการทดลอง ………………………………………………………………………………………………….. .………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………

131 บทที 9 สารในชีวติ ประจําวนั สาระสําคญั ความเกียวขอ้ งของสารในชีวติ ประจาํ วนั การเขา้ สู่ร่างกายของสาร ทงั นีเป็นประโยชน์และโทษ การจาํ แนกประเภทของสารและผลติ ภณั ฑท์ ีพบในชีวติ ประจาํ วนั ได้ ควรเลือกใชส้ ารบางชนิดทีกระทบ ต่อชีวิตและสิงแวดลอ้ ม หลกั การเลอื กซือเลอื กใชส้ ารอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั - อธิบายสมบตั ิของสารทีนาํ มาใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ได้ - อธิบายการเขา้ สู่ร่างกายของสารได้ - จาํ แนกประเภทของสารและผลิตภณั ฑท์ ีพบในชวี ิตประจาํ วนั ได้ - อธิบายวิธีการใชส้ ารในชีวิตประจาํ วนั บางชนิดและสิงแวดลอ้ มได้ - อธิบายหลกั การเลือกซือและเลอื กใชส้ ารได้ - เลือกซือและเลือกใชส้ ารไดถ้ กู ตอ้ งและเหมาะสม ขอบข่ายเนือหา เรืองที สมบตั ิของสารทีใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั เรืองที สารและผลติ ภณั ฑข์ องสารทีใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั เรืองที การเลือกซือและการใชส้ ารอยา่ งปลอดภยั

132 เรืองที สมบตั ขิ องสารทใี ช้ในชีวติ ประจาํ วนั ในชีวิตประจาํ วนั ของเรานนั เราตอ้ งใชส้ ารต่าง ๆ อย่ตู ลอดเวลา สารบางชนิดให้ประโยชน์แก่ ร่างกายของเรา เช่น อาหาร ยารักษาโรค ผลิตภณั ฑ์ทาํ ความสะอาด เป็ นต้น สารบางถึงแมว้ ่าจะมี ประโยชนแ์ ต่ก็มีผลกระทบต่อสิงแวดลอ้ มดว้ ย เช่น ยาฆ่าแมลง ยากาํ จดั ศตั รูพืช หรือก๊าซต่าง ๆ ทีเกิด จากกระทาํ ของมนุษย์ เราสามารถจาํ แนกประเภทของสารทีใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั ออกเป็นประเภท ไดด้ งั นี 1.ความเป็ นกรด - เบส เราสามารถจาํ แนกสารจากสมบตั ิของสารจากความเป็น กรด - เบส ไดด้ งั นี 1.1 สารทีมสี มบัตเิ ป็ นกรด สารประเภทนีมีรสเปรียว ทาํ ปฏิกิริยาเคมีกบั โลหะและหินปูน เมือ ทดสอบดว้ ยกระดาษลิตมสั สีนาํ เงิน กระดาษลิตมสั จะเปลยี นเป็นสีแดง และมี ค่า pH 1 - 6 เช่น มะนาว นาํ สม้ สายชู นาํ ยาลา้ งหอ้ งนาํ เป็นตน้ 1.2 สารทีมสี มบตั เิ ป็ นเบส เป็นสารทีมรี สฝาด เมือทดสอบกบั กระดาษลติ มสั สีแดงจะเปลียนไป เป็นสีนาํ เงิน เมอื สมั ผสั ร่างกายจะรู้สึกลืน และทาํ ปฏิกิริยากบั ไขมนั หรือนาํ มนั พืช และมีค่า pH 8 - 14 เช่น ผงซกั ฟอก สบู่ นาํ ขีเถา้ เป็นตน้ 1.3 สารทสี มบัตเิ ป็ นกลาง เป็นสารทีทดสอบกบั กระดาษลิตมสั แลว้ ไม่มีการเปลียนแปลง มีค่า pH 7 เช่น นาํ เกลอื นาํ ดืม เป็นตน้ กจิ กรรม ทดสอบ กรด - เบส จุดประสงค์ ทดลองและอธิบายความเป็นกรด – เบส ของสารได้ วสั ดุอปุ กรณ์ 2. หลอดหยดจาํ นวนเท่ากบั สารละลาย 1. สารละลาย (ตามตาราง) 4. กระดาษลิตมสั 3. กระจกนาฬกิ าหรือภาชนะทีเป็นแกว้ 5. ถาดหลมุ วธิ ที ํา 1. หยดสารละลายทีเตรียมไวล้ งในถาดหลุม ๆ ละ 3 หยด 2. ใชก้ ระดาษลิตมสั จุ่มสารละลายเทียบสีทีเกิดขึนกบั สี แลว้ วางไวบ้ นกระจกนาฬกิ าหรือ ภาชนะทีเป็นแกว้ แลว้ บนั ทกึ ผล

133 บนั ทกึ ผล สาร สมบตั ขิ องสาร สบู่เหลว สี กรด กลาง เบส ผงซกั ฟอก นาํ สม้ สายชู นาํ อดั ลม นาํ ยาลา้ งจาน นาํ เกลือ นาํ มะนาว นาํ ยาลา้ งหอ้ งนาํ นาํ ดืม นาํ ปูนใส สรุปผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… เรืองที สารและผลติ ภณั ฑ์ของสารทใี ช้ในชีวติ ประจาํ วนั 2.จาํ แนกประเภทของสาร การจาํ แนกสารนอกจากจาํ แนกจากสมบตั ิของสารแลว้ ยงั จาํ แนกตามประโยชนก์ ารใชง้ าน ได้ ดงั นี 2.1 สารทําความสะอาด ในชีวิตประจาํ วนั เราใชส้ ารประเภทนีกนั อยา่ งแพร่หลาย สารทาํ ความ สะอาด มีทงั สารทีใชท้ าํ ความสะอาดร่างกายของคน สารทีใชท้ าํ ความสะอาดเครืองนุ่มห่ม หรือภาชนะ ต่าง ๆ เช่น สบู่ ผงซกั ฟอก ยาสีฟัน นาํ ยาลา้ งหอ้ งนาํ เป็นตน้

134 2.2 สารทางการเกษตร สารประเภทนีส่วนใหญ่เป็ นสารทีใชใ้ นการกาํ จดั ศตั รูพืช เช่น แมลง วชั พชื สารประเภทนีในปริมาณทีมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อผใู้ ช้ และผบู้ ริโภค นอกจากนีแลว้ สาร ประเภทนียงั ส่งผลกระทบต่อสิงแวดลอ้ มอีกดว้ ย 2.3 ยารักษาโรค สารเหล่านีใชเ้ พือบาํ บดั และรักษาอาการเจบ็ ป่ วยของคนเรา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ยาภายใน เช่น ยาพาราเซตามอล ยาธาตุนาํ แดง ยาแกไ้ อ ยาภายนอก เช่น ยาแดง ยาลา้ งตา แอลกอฮอล์ 2.4 สารปรุงแต่ง สารปรุงแต่งอาหารมมี ากมายหลายชนิด ขึนอยกู่ บั วตั ถปุ ระสงคใ์ นการใช้ ดงั นี สารปรุงรส - นาํ ปลา ซีอวิ ซอส สารแต่งสี - สีผสมอาหาร สีจากธรรมชาติ สารแต่งกลนิ - กลนิ สงั เคราะห์ สารป้ องกนั ไมใ่ หอ้ าหารเน่าเสีย - สารกนั บดู

135 2.5 ผลติ ภณั ฑ์เสริมความงาม สารทีเป็นผลิตภณั ฑเ์ สริมความงามหรือเครืองสาํ อางมหี ลายประเภทขึนอยกู่ บั วตั ถุประสงค์ ของผใู้ ช้ เช่น ผลติ ภณั ฑบ์ าํ รุงผวิ - ครีมบาํ รุงผวิ อาหารเสริม ผลติ ภณั ฑต์ กแต่งร่างกาย - ลิปสติก แป้ งผดั หนา้ เรืองที การเลอื กซือและการใช้สารอย่างปลอดภยั สารทีเราใชอ้ ยใู่ นชีวติ ประจาํ วนั นนั มที งั ประโยชน์และโทษ ดงั นนั ก่อนทีเราจะนาํ สารใด ๆ ก็ ตามมาใช้ ตอ้ งคาํ นึงถึงเรืองดงั ต่อไปนี 1. ฉลากของผลติ ภณั ฑ์ ก่อนซือหรือนาํ ผลิตภณั ฑม์ าใชต้ อ้ งศึกษารายละเอียดบนฉลากใหเ้ ขา้ ใจ โดยเฉพาะผลติ ภณั ฑด์ า้ นอาหารจะตอ้ งดวู นั หมดอายขุ องผลิตภณั ฑด์ ว้ ย และผใู้ ชจ้ ะตอ้ งปฏบิ ตั ิตนตาม วธิ ี ขนั ตอน ทีอยบู่ นฉลากอยา่ งเคร่งครดั ดว้ ย 2. ใช้สารในปริมาณทจี าํ เป็ นเท่านนั สารอยา่ งชนิดถา้ ใชใ้ นปริมาณมากกว่าทกี าํ หนดอาจจะเป็น อนั ตรายต่อผใู้ ชไ้ ด้ 3. ต้องมกี ารกาํ จดั ภาชนะทใี ช้แล้วอย่างเหมาะสม เช่น ภาชนะทีบรรจุสารทีพษิ หา้ มทิงลงใน แมน่ าํ ลาํ คลอง เป็นตน้ การจะเลือกใชส้ ารใดก็ตาม เราตอ้ งคาํ นึงความปลอดภยั ในการใชส้ ารนนั ดว้ ย สารบางชนิด เช่น ยาฆา่ แมลง หรือยากาํ จดั วชั พชื ถา้ ใชใ้ นปริมาณมากก็จะส่งผลต่อสุขภาพของผใู้ ช้ และถา้ ตกคา้ งอยใู่ น

136 พชื ผกั ก็จะเป็นอนั ตรายต่อผบู้ ริโภค และนอกจากนีสารต่าง ๆ ทีเราใชก้ ็ส่งผลกระทบต่อสิงแวดลอ้ ม เช่น การปล่อยนําเสียลงในแม่นํา ก่อให้เกิดนําเสีย เป็ นต้น ดังนันก่อนทีเราจะเลือกใช้สารต่าง ๆ ใน ชีวติ ประจาํ วนั เราตอ้ งศึกษาถงึ วธิ ีการใช้ การเกบ็ รักษา และวิธีการกาํ จดั ภาชนะบรรจุสารเหล่านนั อยา่ ง ละเอยี ด เพือจะช่วยป้ องกนั อนั ตรายทีจะเกิดกบั มนุษยเ์ รา และไม่ส่งผลกระทบต่อสิงแวดลอ้ ม กจิ กรรม การเลือกใช้สารอย่างปลอดภยั ตอนที 1 ใหผ้ เู้ รียนสาํ รวจสารทีใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั มาคนละ 5 ชนิด และบนั ทึกผล ชือสาร ประเภท วธิ ีใช้ 1. 2. 3. 4. 5.

137 2.จงบอกวิธีการใชส้ ารอยา่ งปลอดภยั มาอยา่ งนอ้ ย 3 ขอ้ 1…………………………………………………………………………………………………. 2…………………………………………………………………………………………………. 3…………………………………………………………………………………………………. 3.สารทีใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ส่งผลกระทบกบั มนุษยแ์ ละสิงแวดลอ้ มอยา่ งไรบา้ ง 1…………………………………………………………………………………………………. 2…………………………………………………………………………………………………. 3………………………………………………………………………………………………….

138 บทที แรงและการเคลอื นทขี องแรง สาระสําคญั ความหมาย ประเภทของแรง แรงทีเกิดขึนจากการทาํ งานของแรง ความดนั แรงลอยตวั แรงดึงดดู ของโลก แรงเสียดทาน การนาํ แรงและการเคลือนทีของแรงไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาํ วนั ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. อธิบายความหมาย ประเภทของแรง ผลทีเกิดจากการกระทาํ ของแรง ความดนั แรงลอยตวั แรงดึงดดู ของโลก และแรงเสียดทานได้ 2. สามารถนาํ แรง และการเคลอื นทีของแรงไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาํ วนั ได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที แรงและการเคลือนทีของแรง เรืองที ความดนั เรืองที แรงดึงดูดของโลก ความหมาย ประโยชน์ และโทษของแรงดึงดูดของโลก

139 เรืองที 1 แรงและการเคลือนทีของแรง แรง หมายถึง อาํ นาจภายนอกทีสามารถทาํ ให้วตั ถุเปลียนสถานะได้ เช่น ทาํ ให้วตั ถุทีอย่นู ิง เคลอื นทีไป ทาํ ใหว้ ตั ถทุ ีเคลอื นทีอยแู่ ลว้ เคลอื นทีเร็วหรือชา้ ลง ทาํ ใหว้ ตั ถมุ กี ารเปลียนทิศตลอดจนทาํ ให้ วตั ถมุ กี ารเปลยี นขนาดหรือรูปทรงไปจากเดิมได้ แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ทีมีทงั ขนาดและทิศทาง การ รวมหรือหกั ลา้ งกนั ของแรงจึงตอ้ งเป็นไปตามแบบเวกเตอร์ ประเภทของแรง แรงมีหลายประเภท ไดแ้ ก่ แรงยอ่ ย แรงลพั ธ์ แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา แรง ขนาน แรงคู่ควบ แรงตึง แรงสู่ศนู ยก์ ลาง แรงตา้ น แรงเสียดทาน แรงเสียดทาน หมายถึงแรงทีเกิดจากการเสียดสีระหว่างผิววตั ถุทีมีการเคลือนทีหรือพยายามที จะเคลอื นที แรงเสียดทานเป็นแรงตา้ นการเคลือนทีของวตั ถุ มีทิศทางตรงขา้ มกบั ทิศทางการเคลือนที เสมอ แรงเสียดทานมี 2 ชนิด คือ 1. แรงเสียดทานสถติ คือ แรงเสียดทานทีเกิดขึนขณะวตั ถุเริมเคลอื นที 2. แรงเสียดทานจลน์ คือ แรงเสียดทานทีเกิดขึนขณะทีวตั ถเุ คลือนที ปัจจยั ทมี ผี ลต่อแรงเสียดทาน 1. นาํ หนกั ของวตั ถุ คือ วตั ถุทีมีนาํ หนกั กดทบั ลงบนพนื ผวิ มากจะมแี รงเสียดทานมากกวา่ วตั ถทุ ี มนี าํ หนกั กดทบั ลงบนพนื ผวิ นอ้ ย 2. พนื ผวิ สมั ผสั ผวิ สมั ผสั ทีเรียบจะเกิดแรงเสียดทานนอ้ ยกว่าผวิ สมั ผสั ทีขรุขระ ประโยชน์ของแรงเสียดทาน 1. ป้ องกนั การเกิดอบุ ตั ิเหตุทางรถยนต์ 2. ป้ องกนั การหกลม้ จากรองเทา้ โทษของแรงเสียดทาน ถา้ ลอ้ รถยนตก์ บั พนื ถนนมีแรงเสียดทานมากรถยนตจ์ ะแล่นชา้ ตอ้ งใชน้ าํ มนั เชือเพลิงมากขึน เพือให้รถยนต์มีพลงั งานมากพอทีจะเอาชนะแรงเสียดทาน การเคลือนตูข้ นาดใหญ่ ถา้ ใชว้ ิธีผลกั ตู้ ปรากฏว่าตูเ้ คลือนทียากเพราะเกิดแรงเสียดทานจะตอ้ งออกแรงผลกั มากขึนหรือลดแรงเสียดทาน โดย ใชผ้ า้ รองขาตูท้ ีดว้ ยความเร็วคงที แรงดึงดดู ของโลก หรือแรงดึงดูดโนม้ ถ่วง (Gravitational force) ของ โลก เป็นพลงั งานทีเกิดจากมวลสาร ซึงประกอบขึนมาเป็ นโลก เป็ นแรงทีจะเกิดขึนเสมอกบั สสารทุก ชนิด ไม่วา่ จะเลก็ จิวถึงระดบั อะตอม หรือใหญ่ระดบั โลก ระดบั กาแลก็ ซี นนั คือ สสารทุกชนิดหรือมวล สารทุกชนิดจะมีแรงดึงดูดซึงกนั และกนั เสมอ ดงั เช่นแรงดึงดดู ของโลกทีกระทาํ ต่อมนุษยบ์ นโลก แรงลอยตวั คือแรงลพั ธ์ทีของไหลกระทาํ ต่อผวิ ของวตั ถุทีจมบางส่วนหรือจมทงั ชินวตั ถุ ซึง เป็นแรงปฏิกิริยาโตต้ อบในทิศทางขึนเพือให้เกิดความสมดุลกบั การทีวตั ถุมีนาํ หนกั พยายามจมลงอนั เนืองมาจากแรงโน้มถ่วงของโลก ขนาดของแรงลอยตวั มีค่าเท่ากบั นาํ หนกั ของของไหลทีมีปริมาตร เท่ากบั วตั ถุส่วนทีจม ซึงสามารถพสิ ูจนไ์ ดโ้ ดยพิจารณาวตั ถทุ ีจมในของไหล

140 แรงลอยตวั จะเท่ากบั นาํ หนักของของเหลวทถี กู แทนที ปัจจยั ทีเกยี วข้องกบั แรงลอยตวั ได้แก่ 1. ชนิดของวตั ถุ วตั ถุจะมีความหนาแน่นแตกต่างกนั ออกไปยงิ วตั ถมุ ีความหนาแน่นมาก ก็ยงิ จมลงไปในของเหลวมากยงิ ขึน 2. ชนดิ ของของเหลว ยงิ ของเหลวมีความหนาแน่นมาก กจ็ ะทาํ ใหแ้ รงลอยตวั มขี นาดมากขึนดว้ ย 3. ขนาดของวตั ถุ จะส่งผลต่อปริมาตรทีจมลงไปในของเหลว เมือปริมาตรทีจมลงไปใน ของเหลวมาก กจ็ ะทาํ ใหแ้ รงลอยตวั มีขนาดมากขึนอกี ดว้ ย ประโยชน์ของแรงลอยตวั ใชใ้ นการประกอบเรือไมใ่ หจ้ มนาํ แรงดึงดดู ของโลก ความหมาย ประโยชน์ และโทษของแรงดงึ ดูดของโลก แรงทีกระทาํ ต่อวตั ถุ (Force of Gravitation) หมายถึง แรงดึงดูดระหว่างมวลของโลกกบั วตั ถุ บนโลกช่วยทาํ ใหท้ ุกสิงตอ้ งตรึงตวั ติดอยกู่ บั ผวิ โลก โดยมจี ุดศนู ยถ์ ว่ งตงั ฉากกบั ผวิ โลกอยเู่ สมอ การค้นพบกฎแรงดงึ ดูดของโลก (Law of Gravitation) นิวตนั ได้คน้ พบทฤษฎีโดยบังเอิญ เหตุการณ์เกิดขึนในวนั หนึงขณะทีนิวตันกาํ ลงั นังดูดวง จนั ทร์ แลว้ กเ็ กิดความสงสยั วา่ ทาํ ไมดวงจนั ทร์จึงตอ้ งหมุนรอบโลก ในระหว่างทีเขากาํ ลงั นงั มองดวง จนั ทร์อยเู่ พลนิ ๆ ก็ไดย้ นิ เสียงแอปเปิ ลตกลงพนื เมือนิวตนั เห็นเช่นนนั ก็ให้ เกิดความสงสยั ว่าทาํ ไมวตั ถุ ต่าง ๆ จึงตอ้ งตกลงสู่พนื ดินเสมอทาํ ไมไมล่ อยขึนฟ้ าบา้ ง ซึงนิวตนั คิดวา่ ตอ้ งมแี รงอะไรสกั อยา่ งทีทาํ ให้ แอปเปิ ลตกลงพืนดิน จากความสงสยั ขอ้ นีเอง นิวตนั จึงเริมการทดลองเกียวกบั แรงโน้มถ่วงของโลก การทดลองครังแรกของนิวตนั คือ การนาํ กอ้ นหินมาผกู เชือก จากนันก็แกว่งไปรอบ ๆ ตวั นิวตนั สรุป จากการทดลองครังนีว่าเชือกเป็นตวั การสาํ คญั ทีทาํ ใหก้ อ้ นหินแกว่งไปมารอบ ๆ ไมห่ ลุดลอยไป ดงั นัน สาเหตุทีโลก ดาวเคราะห์ตอ้ งหมุนรอบดวงอาทิตยแ์ ละดวงจนั ทร์ตอ้ งหมุนรอบโลก ตอ้ งเกิดจากแรง ดึงดูดทีดวงอาทิตยท์ ีมีต่อโลก และดาวเคราะห์ และแรงดึงดูดของโลกทีส่งผลต่อดวงจันทร์ รวมถึง สาเหตุทีแอปเปิ ลตกลงพนื ดินดว้ ยกเ็ กิดจากแรงดึงดูดของโลก เมือแรงถกู กระทาํ กบั วตั ถหุ นึง วตั ถนุ นั สามารถไดร้ ับผลกระทบ ประเภทดงั นี 1. วตั ถุทีอยนู่ ิงอาจเริมเคลือนที 2. ความเร็วของวตั ถุทีกาํ ลงั เคลอื นทีอยเู่ ปลยี นแปลงไป 3. ทิศทางการเคลือนทีของวตั ถุอาจเปลยี นแปลงไป กฎการเคลอื นทขี องนวิ ตนั มดี ้วยกนั ข้อ 1. วตั ถจุ ะหยดุ นิงหรือเคลอื นทีดว้ ยความเร็วและทิศทางคงทีไดต้ ่อเนืองเมอื ผลรวมของแรง (แรงลพั ธ)์ ทีกระทาํ ต่อวตั ถเุ ท่ากบั ศนู ย์ 2. เมือมแี รงลพั ธท์ ีไม่เป็นศนู ยม์ ากระทาํ ต่อวตั ถุ จะทาํ ใหว้ ตั ถุทีมมี วลเกิดการเคลือนทีดว้ ย ความเร่ง โดยขนาดของแรงจะเท่ากบั มวลคณู ความเร่ง

141 3. ทุกแรงกิริยายอ่ มมีแรงปฏิกิริยาทีมขี นาดเท่ากนั แต่ทิศทางตรงกนั ขา้ มเสมอ แรงโนม้ ถว่ งของโลกมีประโยชน์มากมายมหาศาล เพยี งแค่คิดวา่ หากโลกนีไมม่ แี รงโนม้ ถ่วงอกี แลว้ จะเกิดอะไรขึน แทบจะกล่าวไดว้ า่ สิงต่าง ๆ ทงั หลายแมแ้ ต่โลกเองตอ้ งสูญสลายทงั หมด มนุษยใ์ ช้ ประโยชน์มากมายจากแรงโนม้ ถ่วงของโลก ทงั ประโยชน์โดยตรง และประโยชนโ์ ดยออ้ ม เช่น 1. แรงโนม้ ถ่วงของโลกทาํ ใหว้ ตั ถตุ ่าง ๆ บนพนื โลกไมห่ ลุดลอยออกไปจากโลก โดยเฉพาะ บรรยากาศทีห่อหุม้ โลกไม่ใหล้ อยไปในอวกาศ จึงทาํ ใหม้ นุษยด์ าํ รงชีวิตอยไู่ ด้ 2. แรงโนม้ ถว่ งของโลกทาํ ใหน้ าํ ฝนตกลงสู่พนื ดิน ใหค้ วามชุ่มชืนแก่สิงมชี ีวติ บนพืนโลก 3. แรงโนม้ ถว่ งของโลกทาํ ใหน้ าํ ไหลลงจากทีสูงลงสู่ทีตาํ ทาํ ใหเ้ กิดนาํ ตก นาํ ในแม่นาํ ไหลลง ทะเล คนเรากอ็ าศยั ประโยชนจ์ ากการไหลของนาํ อยา่ งมากมาย เช่น การสร้างเขือนแปลงพลงั งานนาํ มา เป็นพลงั งานไฟฟ้ า เป็นตน้ 4. แรงโนม้ ถ่วงของโลกทาํ ใหเ้ ราทราบนาํ หนกั ของสิงต่าง ๆ 5. แรงโนม้ ถว่ งของโลกทาํ ใหผ้ า้ แหง้ เร็วขนึ ในขณะทีเราตากผา้ นอกจากแสงแดดจะชว่ ยให้ นาํ ระเหยออกไปจากผา้ แลว้ แรงโนม้ ถ่วงยงั ชว่ ยดึงหยดนาํ ออกจากผา้ ใหต้ กลงพนื อกี ดว้ ย กิจกรรม ใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาคน้ ควา้ หาความหมาย พร้อมยกตวั อยา่ งประเภทของแรงต่อไปนี . แรงยอ่ ย . แรงลพั ธ์ . แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา 4. แรงขนาน 5. แรงคู่ควบ . แรงตึง . แรงสู่ศนู ยก์ ลาง . แรงตา้ น เรืองที ความดัน ความหมาย ความดนั หมายถงึ แรง (force; F) ต่อ หน่วยพืนที (area; A) ในระบบ SI ความดนั มีหน่วย เป็น ปาสคาล (Pa) หรือ นิวตนั ต่อตารางเมตร ( ) หรือ กิโลกรัมต่อเมตรต่อวินาทีกาํ ลงั สอง ( ) ส่วนความดนั ในหน่วย มลิ ลิเมตรปรอท (mmHg) ซึง 760 mmHg = 101325 Pascal หรือ 1 atm = 101325 Pa = 101.325

142 แรงดนั หรือความดนั ของอากาศทีกระทาํ ต่อพืนผวิ โลกเรียกว่า ความดันบรรยากาศ ซึงเป็ นที ทราบกนั ดีว่าของเหลวก็มีความดนั ซึงความดนั ของของเหลวขึนอยกู่ บั ปัจจยั 3 ประการ คือ ความลึก หรือความสูง ความหนาแน่นของของเหลว และแรงโนม้ ถว่ งของโลก วิธีการวดั ความดนั บรรยากาศ อาจทาํ ไดโ้ ดยใชเ้ ครืองมือทีเรียกว่า บารอมเิ ตอร์(barometer) ผู้ ประดิษฐบ์ ารอมิเตอร์เครืองแรกของโลกคือนกั คณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ชือ ทอร์ริเชลลี ในปี ค.ศ. 1643 เครืองมือประกอบดว้ ยอ่างทีเติมสารปรอท และหลอดแกว้ ขา้ งในบรรจุด้วยปรอทให้เต็มแลว้ ควาํ หลอดแกว้ ลงในอ่างปรอท ดงั รูปดา้ นล่าง (ปรอทเป็ นธาตุอีกชนิดหนึงทีมีสถานะเป็ นของเหลวที อุณหภูมหิ อ้ ง มีความหนาแน่นเท่ากบั 13.4 g/ml) ความดนั ในของเหลว ในการศึกษาความดนั ในของเหลว พบวา่ เมอื นาํ ขวดนาํ พลาสติกมาใส่นาํ ถา้ เจาะรูทีผนงั ขวดนาํ จะพ่งุ ออกมาตามทิศทางทีแสดงดว้ ยลกู ศร ดงั รูปที 1 แสดงว่ามแี รงกระทาํ ต่อนาํ ในภาชนะ แรงนีจะดนั นาํ ใหพ้ ุง่ ออกมาในทิศทางทีตงั ฉากกบั ผนงั ภาชนะทุกตาํ แหน่ง ไมว่ ่าผนงั จะอยใู่ นแนวใด เราเรียกขนาด ของแรงในของเหลวทีกระทาํ ตงั ฉากต่อพนื ทีหนึงหน่วยของผนงั ภาชนะวา่ “ความดนั ในของเหลว” รูปที 1 แสดงแรงดันของนาํ ณ ตาํ แหน่งต่าง ๆ ของขวด เราอาจสรุปลกั ษณะความดนั ในของเหลว ไดด้ งั นี . ของเหลวทีบรรจุอยใู่ นภาชนะ จะออกแรงดนั ต่อผนงั ภาชนะทีสมั ผสั กบั ของเหลวในทุก ทิศทาง โดยจะตงั ฉากกบั ผนงั ภาชนะเสมอ . ทุก ๆ จุดในของเหลว จะมีแรงดนั กระทาํ ต่อจดุ นนั ทุกทิศทุกทาง รูปที 2 แสดงทิศต่าง ๆ ของแรงทขี องเหลวกระทําต่อผนังภาชนะและต่อวตั ถุทีจมอย่ใู นของเหลว