เรือ่ งของจิต กรรมหรือการกระทาต่างๆ ย่อมตอ้ งมีผลที่เกดิ จากการกระทานัน้ ๆ ก่อนการกระทาจะมี ความคิดเกิดขึ้นก่อน ความคิดเปน็ เรือ่ งของ \"จิต\" ธรรมชาติของจิตคนเราจะไมอ่ ย่นู ่งิ แกวง่ ไป มาสับสนวุน่ วาย ไปกับสิ่งที่มากระทบตา่ งๆ จิตจะคดิ อยู่ตลอดเวลา ความคิดมีผลตอ่ สุขภาพทง้ั ทางกายและใจ ความคดิ ด้านลบทาให้จติ วุ่นวาย หงดุ หงิด สบั สน วติ ก กังวล ขุ่นมัว ฯลฯเป็นเหตุ ใหจ้ ิตเศร้าหมอง ซึมเศรา้ กลุม้ ใจ ฯลฯ เกิดความทุกข์ ความคิดดา้ นบวกทาให้จิตสงบ เย็น โลง่ โปรง่ เบาสบาย เป็นเหตุให้อารมณ์ดี ยมิ้ แย้ม แจ่มใส ฯลฯ เกดิ ความสุข ทุกขห์ รอื สขุ จงึ เกิดจาก ความคดิ จากจิตของเรา ไมม่ ีใครคดิ รา้ ยตอ่ เราแต่เราจะทารา้ ยตัวเราเองโดยไม่ร้ตู ัว เราจงึ ตอ้ งรจู้ ัก ตวั เรา ร้จู กั จติ ของเรา โดยการพจิ ารณาจติ ของเรา ใหร้ ูส้ ภาพจิต ให้รูท้ นั จติ ของเรา โดยใหม้ ี \"สติ\" คอื รู้ ใหร้ ู้ว่าเด๋ยี วนี้ขณะนเ้ี ราคิดอะไรอยู่ ทาอะไรอยู่ จะยนื เดิน น่ัง นอน พูด โกรธ ฯลฯ ก็ ใหม้ ีสตริ ู้ ฝึกให้รู้ตวั อยู่ทกุ ขณะ เมือ่ มสี ตกิ จ็ ะมีความคดิ เกดิ เป็นปญั ญาขน้ึ สตเิ ป็นเหตใุ ห้ปัญญา สัมปชญั ญะเกดิ ข้ึน จะกระทาส่งิ ใดย่อมมคี วามระมดั ระวงั รอบคอบ ไมป่ ระมาท กระทาอย่างมี สติ ไม่กระทาอย่างขาดสติ ยอ่ มเกดิ ผลดี ธรรมชาติของคนเราทกุ คนทีเ่ กดิ มายอ่ มจะตอ้ งมโี ลภ โกรธ หลง (โลภะ โทษะ โมหะ) เปน็ กเิ ลสทีต่ ิดตัวมาด้วยกันทกุ คน กิเลสอยู่ท่จี ติ หรือใจของเราอยูท่ ีต่ ัวเรา เราจะมีสตคิ วบคมุ กิเลสไดม้ ากน้อยแค่ ไหนแล้วแต่จติ ของแตล่ ะคนกเิ ลสมีทั้งโทษและประโยชน์ กิเลสเปน็ ตน้ เหตสุ าคญั ท่ที าใหเ้ กิดทุกข์ สาหรับบุคคลทั่วไป เลิกกเิ ลสไมไ่ ด้แตส่ ามารถลดได้ ละใหน้ อ้ ย ได้ ผู้ทลี่ ะกเิ ลสไดม้ ากทาให้หา่ งจากความทกุ ขม์ าก จนถึงจดุ ๆ หนง่ึ หากจติ ปราศจากกเิ ลสก็ หมดทุกข์เปรียบเสมือนจุดของที่เสน้ ตัดกนั เทา่ กับ 0 (จดุ ที่ไมม่ ีกเิ ลส) สภาพจิตทใี่ กล้ 0 มาก
เท่าใดกเิ ลสก็ย่ิงมีน้อยลงเทา่ นัน้ ย่งิ หา่ งมากเทา่ ใดกิเลสกย็ ง่ิ มมี ากเปน็ ทวีคูณ โดยปกตแิ ล้วคนท่ี มีสภาพจิตใกล้ 0 มากและหา่ ง 0 มาก จะมีจานวนนอ้ ยมาก ทุกข์เกดิ ขน้ึ และมีอยทู่ จี่ ติ ของทกุ คน โดยธรรมชาตหิ ากเราต้องการดับทุกข์ กต็ อ้ งดบั ที่ตน้ เหตุ คอื ที่จติ ของเรา เราตอ้ งพิจารณา ตวั เราเองอยา่ งไมล่ าเอยี ง ไม่เข้าขา้ งตัวเอง ใหร้ จู้ ักตวั เรา ร้จู กั จติ ของเรา ยอมรับจิตของเรา จติ ของเรามกี ิเลสอยใู่ นระดบั ใด ใกล้ 0 มากหรอื หา่ งจาก 0 มาก มีความ \"พอ\" หรอื ยัง \"ความพอ\" ของเราสน้ิ สดุ แค่ไหน มอี กี เทา่ ไรจงึ จะพอ ถา้ เรามคี วามพอแล้ว จิตเราจะลดกิเลส ต่างๆ (โลภ โกรธ หลง) ลงได้ส่วนหน่งึ จิตกจ็ ะสงบข้นึ เย็น โลง่ โปร่งเบาสบายขนึ้ ทาให้มี ความสขุ นักปราชญ์ไดก้ ลา่ วไว้ว่า \"ผทู้ ่ชี นะใจตนเอง ยอ่ มชนะสงิ่ ท้ังปวง\" แต่การทจ่ี ะชนะใจ ตนเองเป็นสงิ่ ทที่ าไดย้ าก เพราะต้องชนะกเิ ลสตา่ งๆ แตก่ ส็ ามารถทาได้ โดยรูปแบบต่างๆ กัน รูปแบบหนึง่ คือการฝึกสมาธิ \"สมาธิ\" มีอยทู่ ี่จติ ของทกุ คน มากหรือน้อยไมเ่ ท่ากัน จติ ทมี่ ี สมาธิเป็นจติ ท่ีน่งิ แน่วแน่ ความคิดไมฟ่ งุ้ ซ่าน ไม่กระจัดกระจาย ในชว่ งเวลาหนึง่ ๆ คิดในสิง่ เดยี ว เรอื่ งเดยี ว ไมส่ ับสนว่นุ วาย ซึง่ เป็นสิ่งทาได้ยากสาหรบั คนทไี่ ม่มีสมาธิหรอื มีสมาธนิ ้อย จิตที่มสี มาธิเปน็ จติ ท่มี ีพลัง มีอานภุ าพ มี\"พลงั จิต\" หรือ \"จิตตานุภาพ\"พลงั จติ ที่มอี ยู่หากไม่ รจู้ กั เก็บรกั ษาก็จะหมดไปได้และเพิ่มได้ เหมือนกับเงนิ ทองทเ่ี ราหามาใช้จ่าย ท่านลองทดสอบ พลงั จิตเบ้อื งต้นของท่านดู โดยการเรยี กคนที่หันหลังอย่ใู หห้ ันมาหาท่าน (ทาจติ ใหเ้ ป็นสมาธิ เรียกในใจ) เช่นบนรถเมล์หรือในโอกาสต่างๆ ทหี่ ันหน้าไปทางเดียวกนั ถ้าเรามพี ลังจติ เข้มแขง็ คนท่ีถกู เรยี กจะมคี วามรู้สกึ เหมือนมี คนเรยี กอยดู่ ้านหลงั เขาก็จะหนั หนา้ มาตามเสียง เรียก หากไดผ้ ลในระยะใกลใ้ ห้ทดลองกบั คนท่ีเรารู้จักแตอ่ ยูห่ า่ งไกลกนั คนละสถานที่ วา่ เขา จะรู้สกึ เหมือนทที่ า่ นต้องการหรือไม่ (เจอกนั สอบถามดู) หากไม่เกดิ ผลก็ไมเ่ ป็นไร พลงั จติ ฝึก ได้ เพม่ิ ได้ มากหรือน้อยข้นึ อยกู่ ับการฝกึ สมาธิของแต่ละคน ข้นั ตน้ ดูความราบเรียบจิตของ ทา่ นว่ามคี วามราบเรยี บเพียงใด และสามารถใชว้ ธิ ีการต่อไปนเ้ี พาะกาลังของจิตให้เพิม่ ขน้ึ ได้ (หลวงวจิ ติ รวาทการ, 2531:28) ขนั้ ท่ี 1 เอาน้าใสถ่ ้วยแกว้ ใหเ้ ต็มหรือเกอื บเตม็ ถว้ ย ถือถว้ ยแกว้ ดว้ ยมอื ขวานัง่ ตัวตรง ชู ถ้วยแกว้ ใหส้ ูงเทา่ ระดับสายตา เพ่งตาดูถว้ ยแกว้ จะเหน็ ความหว่ันไหวของน้าท่ีสนั่ สะเทอื นอยู่ ตลอดเวลา ขอใหต้ ั้งใจบงั คับน้าบังคับให้นงิ่ มือถอื ถว้ ยใหน้ ิ่ง ตงั้ ใจบงั คับแขน บงั คบั มอื และ บงั คบั น้าในถว้ ยให้นงิ่ ด้วยการนึกเปน็ คาพูดว่า นงิ่ น่งิ นง่ิ ความสน่ั สะเทือนของน้าจะลด
นอ้ ยลง ทาเพียงหน่งึ นาทหี ยุด แลว้ ทา ใหม่เปลีย่ นทาด้วยมอื ซา้ ยบ้าง และสงั เกตว่ามอื ซ้ายกับ มอื ขวาของเราขา้ งไหนมคี วามราบเรยี บดีกวา่ ขั้นที่ 2 ทาแบบเดียวกับขัน้ ที่ 1 แต่ให้ยนื และใชใ้ บไม้แห้งเล็กๆ ลอยไว้ในแกว้ ต้งั ใจ บงั คับแขน บงั คบั มือ บงั คับนา้ บงั คบั ใบไม้ ด้วยการนกึ เป็นคาพูดว่า น่งิ นิง่ น่งิ ทาเพียงหนึ่ง นาทแี ล้วหยุดและทาใหม่ เปล่ยี นทาแขนซา้ ยบา้ งแขนขวาบา้ ง
ทาแบบฝกึ หดั ขน้ั ที่ 1 และขัน้ ที่ 2 น้ี จนกวา่ จะได้ผลเปน็ ทพ่ี อใจ คือน้านิ่งมากทีส่ ดุ ท่ีจะนิง่ ได้แล้ว จงึ ค่อยทาข้ันที่ 3 ข้นั ที่ 3ใช้ถว้ ยแก้วใส่นา้ เต็มถึงขอบปากถ้วย และใสใ่ บไม้แหง้ เหมอื นขน้ั ท่ี 2 แต่แทนท่ี จะถือถ้วยแก้วนิง่ อยูเ่ ฉยให้เคลอื่ นมือท่ีถือถ้วยแก้วเป็นวงกลม ขณะท่เี คลื่อนมอื นั้นต้องบงั คบั นา้ ใหน้ ิ่ง แม้จะเคลอ่ื นไปมากใ็ ห้ความส่ันสะเทือนนา้ น้อยทสี่ ดุ ฝึกหัดทั้งสองมือ เมอ่ื ไดผ้ ลเป็นท่ี พอใจแล้วจึงไปขน้ั ที่ 4 ขนั้ ที่ 4ใชถ้ ว้ ยแกว้ ใส่น้าและใบไม้เหมือนขั้นที่ 2 และ 3 มือถอื ถ้วยแกว้ นงั่ ยองๆ บน พื้น ตง้ั ใจบังคับนา้ ใหน้ ิง่ แลว้ คอ่ ย ๆ ลุกข้นึ ยืน โดยพยายามให้นา้ มีความสนั่ สะเทอื นนอ้ ยท่สี ดุ ยนื แลว้ กลบั ลงนง่ั ๆ แล้วกลบั ยืนสลบั กัน คราวนข้ี ยายเวลาจาก 1 นาทเี ป็น 2 นาทแี ล้วหยดุ เป็นพัก ๆ สว่ นใจบงั คับนน้ั ในข้นั ที่ 4 นต้ี อ้ งตัง้ ใจบงั คับทว่ั ตวั เราวา่ มีความหนกั แนน่ ราบเรยี บ ไมใ่ ชบ่ ังคับแต่มือและแขน ตอ้ งนึกบงั คับท่วั รา่ งกาย
แบบฝึกหัดทัง้ 4 ขั้นน้ี เปน็ การฝึกหัดใจของเราใหแ้ น่วแน่ เป็นสมาธิ เปน็ การสรา้ ง อานาจของจติ ใหจ้ ติ มีความหนกั แน่นม่นั คงและแขง็ แรงภาพประกอบขน้ั ที่ 4 พยายามฝึกหดั คร้ังละ 7 วนั หรอื ใช้เวลา 15 วนั สาหรับฝกึ ขัน้ ที่ 1 และข้ันท่ี 2 สลับกนั ไป แลว้ จึงฝกึ ข้นั ท่ี 3 และข้ันที่ 4 ขน้ั ละ 7 วนั แลว้ ท่านจะเห็นผลเพยี งแค่ 7 วนั แรกจะร้สู ึกว่ามอี ะไรดขี ึ้นท้ัง ทางกายและทางใจ ทา่ นทาแบบฝึกหดั นี้ครบ 4 สปั ดาหก์ ย็ งิ่ เหน็ ผลดีมากขน้ึ ถา้ ทา่ นเป็นคนท่ี มกั ต่ืนเตน้ ตกใจงา่ ยลกั ษณะน้นั ก็จะหายไป ถา้ ท่านกลัวอะไรโดยไมม่ เี หตุผลหรอื สะดงุ้ หวาดกลัวอยเู่ ปน็ นติ ย์ ลักษณะอันน้ีจะลดนอ้ ยลง และถ้าท่านฝึกหดั ต่อไปอกี ก็จะเหน็ ผลดมี าก ขนึ้ จนถึงจดุ หนงึ่ จติ จะไมส่ ะดงุ้ สะเทอื น ไม่หว่ันไหวเม่ือมีอะไรเกดิ ขน้ึ ไม่วา่ ทางดหี รือทางรา้ ย ไม่เศร้าโศก ไมข่ ่นุ หมอง ปลอดโปร่งอยเู่ สมอ เป็นมงคลอนั สงู สุด ดังทป่ี รากฏในมงคลสูตรว่า \"ผฏุ ฐสสฺ โลกธมฺเมหิ จติ ตฺ ยสสฺ น กมฺปฏิ อโสก วิรช เขม เอตมฺมงคฺ ลมุตตฺ ม\" พลงั จติ ท่ีมีอยหู่ ากไม่รจู้ กั เก็บรกั ษาจะทาใหล้ ดนอ้ ยหรอื หมดไปได้การกระทาต่อไปน้ี เป็นตน้ เหตสุ ่วนหนง่ึ ท่ีทาใหส้ ญู เสยี พลงั จติ ตวั อยา่ งเชน่ ความโกรธ การโต้เถยี งการพดู ซุบซิบ พดู กระซิบกระซาบ การนงั่ กระดกิ เขา่ ฯลฯ
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: