Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่-4

บทที่-4

Description: บทที่-4

Search

Read the Text Version

วิชา การผลิตสอ่ื สงิ่ พมิ พ์ 2204-2104 สี เป็ นสง่ิ ทีป่ รากฏอยบู่ นโลก ทกุ ๆสิ่งทีเ่ รามองเห็นรอบๆตวั นน้ั ลว้ นแตม่ ีสี โลกของเราถกู จรรโลง และ แตง่ แตม้ ดว้ ย สีสนั หลายหลาก ทง้ั สีสนั ตามธรรมชาติ และสที มี่ นษุ ยร์ งั สรรคข์ น้ึ หากโลกนี้ไมม่ สี ี หรือมนษุ ยไ์ ม่ สามารถ รบั รเู้ กีย่ วกบั สไี ด้ ส่งิ นนั้ อาจเป็ น ความพกพร่องท่ยี ่ิงใหญข่ องธรรมชาติ เพราะสีมคี วามสาคญั ตอ่ วฏั จกั รแห่งโลก และเก่ยี วขอ้ งกบั วิถีชวี ิตมนษุ ย์ จนแยกกนั ไมอ่ อก เพราะมนษุ ยไ์ ดต้ ระหนกั แลว้ ว่า สีนน้ั สง่ ผลตอ่ ความรสู้ ึกนกึ คิด อารมณ์ จนิ ตนาการ การส่ือความหมาย และความสขุ สาราญใจในชวี ิตประจาวนั มาชา้ นานแลว้ ดงั นน้ั จงึ อาจกลา่ วไดว้ ่า สี มอี ิทธิพลตอ่ มนษุ ยเ์ ราเป็ นอย่างสงู และมนษุ ยก์ ็ใชป้ ระโยชน์ จากสอี ย่าง อเนกอนนั ต์ ในการสรา้ งสรรค์ ส่งิ ตา่ งๆอยา่ งไมม่ ที ีส่ น้ิ สดุ

วิชา การผลิตสือ่ ส่งิ พิมพ์ 2204-2104 1.ความหมายและการเกิดสี สี ท่ปี รากฏในธรรมชาติ เกิดจากการสะทอ้ นของแสงสวา่ ง ตกกระทบ กบั วตั ถแุ ลว้ เกิดการหกั เหของ แสง ( Spectrum ) สเี ป็ นคลืน่ แสงชนดิ หนงึ่ ซึ่งปรากฏใหเ้ ห็น เมอ่ื แสงผา่ นละอองไอนา้ ในอากาศ หรือ แทง่ แกว้ ปริซึม ปรากฏเป็ นสีตา่ งๆ รวม 7 สี ไดแ้ ก่ สีแดง มว่ ง สม้ เหลือง นา้ เงนิ คราม และเขยี ว เรียกว่า สรี งุ้ ที่ปรากฏบนทอ้ งฟ้ า ตามธรรมชาตใิ นแสงนน้ั มสี ีตา่ งๆรวมกนั อย่อู ยา่ งสมดลุ ยเ์ ป็ น แสงสีขาวใส เมอ่ื แสงกระทบ กบั สีของวตั ถุ ก็จะ สะทอ้ นสวี ตั ถนุ นั้ ออกมาเขา้ ตาเรา วตั ถสุ ขี าวจะสะทอ้ นไดท้ กุ สี สว่ นวตั ถสุ ีดานน้ั จะดดู กลนื แสงไว้ ไมส่ ะทอ้ นสใี ด ออกมาเลย คาว่า สี (Colour) ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ 2542 หมายถึง ลกั ษณะของแสง ที่ ปรากฏแกส่ ายตา ใหเ้ ห็นเป็ น สีขาว ดา แดง เขยี ว เชน่ สีทาบา้ น สียอ้ มผา้ สีในทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง คลื่นแสงหรือความเขม้ ของแสงทส่ี ายตาสามารถมองเห็น สีในทางศิลปะสี หมายถึง ทศั นธาตอุ ยา่ งหนงึ่ ทีเ่ ป็ นองคป์ ระกอบสาคญั ของงานศิลปะ และใชใ้ นการสรา้ งงาน ศิลปะโยจะทาใหผ้ ลงานมคี วามสวยงาม ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศ มคี วามสมจริง เดน่ ชดั และนา่ สนใจมากข้ึน อ

วิชา การผลติ สอ่ื สิ่งพมิ พ์ 2204-2104 2.คาจากดั ความของสี 1.แสง่ ท่มี ีความถี่ของคลน่ื ในขนาดที่ตามมนษุ ยส์ ามารถรบั สม้ ผสั ได้ 2.แมส่ ีที่ป็ นวตั ถุ (Pigmentary Primary) ซึ่งประกอบดว้ ยสเี หลอื ง สแี ดง สนี า้ เงนิ 3.สีทเ่ี กิดจากการผสมของแมส่ ี 3.ความสาคญั ของสี 1.ใชใ้ นการจาแนกส่งิ ตา่ งๆเพ่ือใหเ้ ห็นชดั เจน 2.ใชใ้ นการจดั องคป์ ระกอบสิง่ ตา่ งๆ เพื่อใหเ้ กิดความสวยงาม กลมกลืน 3.ใชใ้ นการจดั กลมุ่ จดั พวกดว้ ยการใชส้ ีตา่ งๆ 4.ใชใ้ นการสอ่ื ความหมาย เป็ นสญั ลกั ษญื หรือใชบ้ อกเลา่ เร่ืองราว 5.ใชใ้ นการสรา้ งสรรคง์ านศิลปะ เพ่ือใหเ้ กิดความสวยงาม สรา้ งบรรยากาศสมจริงและความนา่ สนใจ 6.เป็ นองคป์ ระกอบในการมองเห็นสิ่งตา่ งๆของมนษุ ย์ 4.ประเภทของสี 1.สีที่เกิดในธรรมชาติ มีอย2ู่ ชนิด คือ สีที่เป็ นแสง(Spectrum)คือ สีที่เกดิ จากการหกั เหของแสง เชน่ สรี งุ้ สีจากแท่งแกว้ ปริซึม

วิชา การผลติ สื่อส่งิ พมิ พ์ 2204-2104 สีที่อยใู่ นวตั ถหุ รอื เน้ือสี(Prgment)คือ สที ม่ี อี ย่ใู นวตั ถธุ รรมชาติทวั่ ไป เชน่ สีของพืช สตั ว์ หรือแรธ่ าตตุ า่ งๆ 2.สีท่ีมนษุ ยส์ รา้ งข้ึน สที ไี่ ดจ้ ากการสงั เคราะห์ เพื่อใชป้ ระโยชนใ์ นงานตา่ งๆ ไดแ้ ก่ งานศิลปะ อตุ สาหกรรม การพาณิชย์ และในชวี ิตประจาวนั 5.คณุ ลกั ษณะของสี (Characteristics of Colours) ในงานศิลปะ สี นบั เป็ นองคป์ ระกอบพื้นฐานที่มคี วามสาคญั มาก โดยเฉพาะในงานจติ รกรรม สถี ือเป็ นปัจจยั สาคญั ที่ชว่ ยใหศ้ ิลปิ น สามารถสรา้ งสรรคผ์ ลงานไดต้ ามเจตนารมณ์ ซ่ึงคณุ ลกั ษณะของสใี นงานศิลปะทต่ี อ้ ง นามาพิจารณามอี ยู่ 3 ประการ คือ -สีแท้ (Hue) หมายถึง ความเป็ นสีนนั้ ๆ ท่มี ไิ ดม้ กี ารผสมใหเ้ ขม้ ขน้ึ หรือจางลง สีแทเ้ ป็ นสีในวงจรสี เชน่ สีแดง นา้ เงนิ เหลือง สม้ เขยี ว มว่ ง

วิชา การผลิตสอื่ สงิ่ พิมพ์ 2204-2104 -ความจดั หรอื ความเขม้ ของสี (Intensity) หมายถึง ความสดหรือความบรสิ ทุ ธิ์ของสีๆหนงึ่ ทีม่ ไิ ดถ้ กู ผสมใหส้ หี มน่ หรือออ่ นลง หากสนี น้ั อย่ทู า่ มกลางสที ่ีมีนา้ หนกั ตา่ งค่ากันจะเห็นสภาพสีแทส้ ดใสมากขนึ้ เชน่ วงกลมสแี ดง บนพ้ืนสนี า้ เงนิ อมเทา -น้าหนกั ของสี (Value) หมายถึง คา่ ความออ่ นแก่ หรือ ความสวา่ งและความมดื ของสี โดย แบ่งเป็ น 2 ลกั ษณะคือ -สีแทถ้ กู ทาใหอ้ ่อนลงโดยผสมสีขาว เรยี กว่า สีนวล (Tint) -สีแทถ้ กู ทาใหเ้ ขม้ ข้ึนโดยผสมสดี า เรยี กว่า สีคลา้ (Shade) 6.ประโยชนข์ องสี 1.ภาพสีทาใหเ้ กิดความนา่ สนใจมากกวา่ ภาพขาวดา 2.สชี ว่ ยทาใหภ้ าพมลี กั ษณะเสมอื นจริง 3.สที าใหผ้ ดู้ รู สู้ ึกเกดิ อารมณร์ ว่ มกบั งาน นกั ออกแบบจงึ มกั ใชส้ ีเพอื่ ทาใหผ้ ชู้ มเกิดความรสู้ ึกตามที่ตน ตอ้ งการ 4.สีทาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจและสามารถจดจาภาพไดม้ ากกวา่ งานขาวดา 5.สีทาใหเ้ กิดความประทบั ใจแกผ่ ดู้ ู

วิชา การผลติ สอ่ื ส่ิงพิมพ์ 2204-2104 1.ความหมายของทฤษฎีสี สี(COLOUR) หมายถึง ลกั ษณะกระทบตอ่ สายตาใหเ้ ห็นเป็ นสีมผี ลถึงจติ วิทยา คือมอี านาจใหเ้ กิด ความเขม้ ของแสงทีอ่ ารมณแ์ ละความรสู้ กึ ได้ การทไ่ี ดเ้ ห็นสีจากสายตาสายตาจะสง่ ความรสู้ กึ ไปยงั สมองทาให้ เกดิ ความรสู้ กึ ตา่ งๆตามอิทธพิ ลของสี เชน่ สดชนื่ รอ้ น ตน่ื เตน้ เศรา้ สีมคี วามหมายอยา่ งมากเพราะศิลปิ น ตอ้ งการใชส้ ีเป็ นสอื่ สรา้ งความประทบั ใจในผลงานของศิลปะและสะทอ้ นความประทบั ใจนน้ั ใหบ้ ังเกิดแกผ่ ดู้ ู มนษุ ยเ์ กี่ยวขอ้ งกบั สีตา่ งๆ อยตู่ ลอดเวลาเพราะทกุ สงิ่ ทอี่ ย่รู อบตวั นนั้ ลว้ นแตม่ สี สี ันแตกตา่ งกนั มากมาย สีเป็ น สิ่งท่คี วรศึกษาเพื่อประโยชนก์ บั ตนเองและ ผสู้ รา้ งงานจิตรกรรมเพราะ เร่ืองราวองสนี น้ั มีหลกั วิชาเป็ น วิทยาศาสตรจ์ ึงควรทาความเขา้ ใจวิทยาศาสตร์ ของสจี ะบรรลผุ ลสาเร็จในงานมากขนึ้ ถา้ ไมเ่ ขา้ ใจเร่ืองสีดี พอสมควร ถา้ ไดศ้ ึกษาเรื่องสีดพี อแลว้ งานศิลปะก็จะประสบความสมบรู ณเ์ ป็ นอย่างยิ่ง 2.แสงสกี บั การมองเห็น สตี า่ งๆจะเปลีย่ นไปตามสภาพแวดลอ้ มของสแี ละยงั ขน้ึ อย่สู ภาพของแสง โดยท่ใี นทมี่ แี สงสว่างจดั ๆสจี ะดู ออ่ นลง ในทม่ี แี สงสวา่ งนอ้ ยลงสีก็จะเขม้ ขนึ้ และในที่ไมมีแสงสวา่ งจะมองเห็นสีตา่ งๆเป็ นสดี า ถึงแมจ้ ะมคี วาม เขม้ ของแสงเหมือนกนั วงจรสี

วิชา การผลิตส่ือสง่ิ พิมพ์ 2204-2104 3.วงจรสี (Colour Wheel) วงจรสี คือ สีทเ่ี กดิ จากการผสมกนั เป็ นคู่ เร่ิมตง้ั แต่ แมส่ ี 3 สี แลว้ เกิดเป็ นสใี หมข่ นึ้ มา จนครบวงจร จะได้ สที งั้ หมด 12 สี ซ่ึงแบ่งสเี ป็ น 3 ขน้ั คือ -สีขน้ั ท่ี 1 (Primary Colours) คือ แมส่ ี 3สี ไดแ้ ก่ สีแดง เหลือง และนา้ เงนิ -สขี น้ั ที่ 2 (Secondary Colours) คือ สีที่เกิดจากการผสมกนั เป็ นค่ๆู ระหว่างแมส่ ี 3 สี จะ ไดส้ ีเพ่ิมขนึ้ อีก 3สี -สขี นั้ ที่ 3 (Tertiary Colours) คือ สที ี่เกิดจากการผสมกนั เป็ นคๆู่ ระหวา่ งแมส่ ี 3 สี กบั สขี น้ั ท่ี 2 จะไดส้ ีเพิ่มขนึ้ อีก 6สี 4.สีกลาง (Neutral Colour) คือ สีทเ่ี กิดการผสมสีทกุ สี ในวงจรสี หรือ แมส่ ี 3สี ผสมกนั จะไดส้ ี เทาแกส่ ีทงั้ 3ขน้ั เมื่อนามาจดั อย่เู ป็ นวงจรจะไดล้ กั ษณะเป็ นวงลอ้ สี

วิชา การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 2204-2104 5.วรรณะของสี (Tone of Colour) วรรณะของสี คือสที ีใ่ หค้ วามรสู้ ึกรอ้ น-เย็น ในวงจรสีจะมสี รี อ้ น 7 สี และสีเย็น 7 สี ซึ่งแบ่งท่ี สมี ว่ งกบั สเี หลือง ซ่ึงเป็ นไดท้ ง้ั สองวรรณะ แบ่งออกเป็ น 2 วรรณะ วรรณะสีรอ้ น (WARM TONE) ประกอบดว้ ยสีเหลือง สีสม้ เหลอื ง สสี ม้ สีสม้ แดง สีมว่ งแดงและสี มว่ ง สีใน วรรณะรอ้ นนจ้ี ะไมใ่ ชส่ สี ดๆ ดงั ท่เี ห็นในวงจรสีเสมอไป เพราะสใี นธรรมชาตยิ ่อมมสี ีแตกตา่ งไปกว่าสี ในวงจรสีธรรมชาตอิ ีกมาก ถา้ หากวา่ สใี ด คอ่ นขา้ งไปทางสแี ดงหรือสสี ม้ เชน่ สีนา้ ตาลหรือสีเทาอมทอง ก็ถือ วา่ เป็ นสวี รรณะรอ้ น วรรณะสีเย็น (COOL TONE) ประกอบดว้ ย สเี หลอื ง สีเขยี วเหลอื ง สีเขยี ว สเี ขยี วนา้ เงนิ สีนา้ เงนิ สี มว่ งนา้ เงนิ และสมี ว่ ง สว่ นสีอื่นๆ ถา้ หนกั ไปทางสนี า้ เงนิ และสเี ขยี วก็เป็ นสีวรรณะเย็นดังเชน่ สเี ทา สีดา สเี ขยี ว แก่ เป็ นตน้ จะสงั เกตไดว้ า่ สีเหลืองและสีมว่ งอยทู่ ง้ั วรรณะรอ้ นและวรรณะเย็น ถา้ อยใู่ นกล่มุ สวี รรณะรอ้ นก็ให้ ความรสู กึ รอ้ นและถา้ อยใู่ นกลมุ่ สีวรรณะเย็นก็ใหค้ วามรสู้ กึ เย็นไปดว้ ย สีเหลืองและสมี ว่ งจงึ เป็ นสไี ดท้ ง้ั วรรณะ รอ้ นและวรรณะเย็น

วิชา การผลิตสือ่ ส่ิงพิมพ์ 2204-2104 6.สีตรงขา้ ม (Comprementary Colour) สตี รงขา้ ม หมายถึง สที ่อี ย่ใู นตาแหนง่ ตรงขา้ มกนั ในวงจรสี และมกี ารตดั กนั อยา่ งเดน่ ชัดซ่ึงจะให้ ความรสู้ กึ ทข่ี ดั แยง้ กนั หากนามาผสมกนั จะไดส้ กี ลาง (เทา) ซึ่งมที ง้ั หมด 6คู่ ไดแ้ ก่ - สีเหลอื ง ตรงขา้ มกบั สีมว่ ง - สีแดง ตรงขา้ มกบั สเี ขยี ว - สีนา้ เงนิ ตรงขา้ มกบั สสี ม้ - สเี ขยี วเหลอื ง ตรงขา้ มกบั สีมว่ งแดง - สสี ม้ แดง ตรงขา้ มกบั สเี ขยี วนา้ เงนิ - สีมว่ งนา้ เงนิ ตรงขา้ มกบั สสี ม้ เหลือง

วิชา การผลติ สื่อสิง่ พิมพ์ 2204-2104 โดยทวั่ ไปสใี นธรรมชาตแิ ละสที ่สี รา้ งขน้ึ จะมีรปู แบบการมองเห็นของสที ่แี ตกตา่ งกนั ซึ่งรปู แบบการ มองเห็นสี ทใี่ ชใ้ นงานดา้ นกราฟิ กทวั่ ไปนนั้ มอี ย่ดู ว้ ยกนั 4 ระบบ คือ 1. ระบบสีแบบ RGB ตามหลกั การแสดงสขี องเครื่องคอมพิวเตอร์ 2. ระบบสีแบบ CMYK ตามหลกั การแสดงสขี องเครื่องพมิ พ์ 3. ระบบสแี บบ HSB ตามหลกั การมองเห็นสขี องสายตามนษุ ย์ 4. ระบบสแี บบ Lab ตามมาตรฐานของ CIE ซ่ึงไมข่ น้ึ อย่กู บั อปุ กรณใ์ ดๆ 1.ระบบสีแบบ RGB เป็ นระบบสที ปี่ ระกอบดว้ ยแมส่ ี 3 สคี ือ แดง (Red), เขยี ว (Green) และ นา้ เงนิ (Blue) ใน สดั สว่ นความเขม้ ขน้ ที่แตกตา่ งกนั เมื่อนามาผสมกนั ทาใหเ้ กิดสีตา่ งๆ บนจอคอมพวิ เตอรไ์ ดม้ ากถึง 16.7 ลา้ นสี ซ่ึงใกลเ้ คียงกบั สที ี่ตาเรามองเห็นไดโ้ ดยปกติ และจดุ ท่ีสที ง้ั สามสีรวมกนั จะกลายเป็ นสขี าว นิยมเรียกการผสมสี แบบนว้ี า่ แบบ “Additive” หรือการผสมสีแบบบวก ซึ่งเป็ นการผสมสขี นั้ ที่ 1 หรือถา้ นาเอา Red Green Blue มาผสมครงั้ ละ 2 สี ก็จะทาใหเ้ กดิ สใี หม่ เชน่ Blue + Green = Cyan Red + Blue = Magenta Red + Green = Yellow แสงสี RGB มกั จะถกู ใชส้ าหรบั การสอ่ งสว่างทง้ั บนจอทีวีและจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งสรา้ งจากการใหก้ าเนดิ แสงสีแดง สีเขยี ว และสีนา้ เงนิ ทาใหส้ ดี สู วา่ งกวา่ ความเป็ นจริง

วิชา การผลิตสื่อส่ิงพิมพ์ 2204-2104 2.ระบบสีแบบ CMYK เป็ นระบบสีทใ่ี ชก้ บั เคร่ืองพมิ พท์ พี่ มิ พอ์ อกทางกระดาษ ซึ่งประกอบดว้ ยสีพื้นฐาน คือ สีฟ้ า (Cyan), สมี ว่ ง แดง (Magenta), สเี หลือง (Yellow), และเมือ่ นาสที ง้ั 3 สีมาผสมกนั จะเกิดสเี ป็ น สีดา (Black) แตจ่ ะ ไมด่ าสนทิ เนอื่ งจากหมกึ พิมพม์ คี วามไมบ่ ริสทุ ธิ์ โดยเรียกการผสมสีทง้ั 3 สีขา้ งตน้ ว่า “Subtractive Color” หรือการผสมสีแบบลบ หลกั การเกดิ สีของระบบนค้ี ือ หมกึ สหี นง่ึ จะดดู กลืนสจี ากสหี น่ึงแลว้ สะทอ้ น กลบั ออกมาเป็ นสีตา่ งๆ เชน่ สฟี ้ าดดู กลืนสีมว่ งแลว้ สะทอ้ นออกมาเป็ นสีนา้ เงนิ ซ่ึงจะสงั เกตไดว้ ่าสีท่ีสะทอ้ นออกมา จะเป็ นสีหลกั ของระบบ RGB การเกิดสนี ใี้ นระบบนจี้ งึ ตรงขา้ มกบั การเกิดสใี นระบบ RGB 3.ระบบสีแบบ HSB เป็ นระบบสีพื้นฐานในการมองเห็นสีดว้ ยสายตาของมนษุ ย์ ประกอบดว้ ยลกั ษณะของสี 3 ลกั ษณะ คือ - Hue คือ สีตา่ งๆ ที่สะทอ้ นออกมาจากวตั ถเุ ขา้ มายงั ตาของเรา ทาใหเ้ ราสามารถมองเห็นวตั ถเุ ป็ นสตี า่ งๆ ได้ ซ่ึงแตล่ ะสจี ะแตกตา่ งกนั ตามความยาวของคลื่นแสงทม่ี ากระทบวตั ถแุ ละสะทอ้ นกลบั ท่ีตาของเรา Hue ถกู วดั โดยตาแหนง่ การแสดงสบี น Standard Color Wheel ซึ่งถกู แทนดว้ ยองศา 0 ถึง 360 องศา แตโ่ ดย ทวั่ ๆ ไปแลว้ มกั จะเรียกการแสดงสีนน้ั ๆ เป็ นชอื่ ของสเี ลย เชน่ สแี ดง สีมว่ ง สีเหลือง - Saturation คือ ความสดของสี โดยคา่ ความสดของสีจะเร่ิมที่ 0 ถึง 100 ถา้ กาหนด Saturation ที่ 0 สจี ะมคี วามสดนอ้ ย แตถ่ า้ กาหนดที่ 100 สีจะมคี วามสดมาก ถา้ ถกู วดั โดยตาแหนง่ บน Standard Color Wheel คา่ Saturation จะเพ่ิมขนึ้ จากจดุ กึง่ กลางจนถึงเสน้ ขอบ โดยค่าทีเ่ สน้ ขอบจะมสี ีท่ีชดั เจนและอิ่มตวั ทีส่ ดุ

วิชา การผลติ สอื่ สง่ิ พมิ พ์ 2204-2104 - Brightness คือ ระดบั ความสว่างและความมดื ของสี โดยค่าความสวา่ งของสจี ะเริ่มท่ี 0 ถึง 100 ถา้ กาหนดท่ี 0 ความสวา่ งจะนอ้ ยซึ่งจะเป็ นสีดา แตถ่ า้ กาหนดที่ 100 สีจะมีความสว่างมากที่สดุ ยิ่งมคี ่า Brightness มากจะทาใหส้ นี นั้ สวา่ งมากขน้ึ 4.ระบบสแี บบ Lab ระบบสแี บบ Lab เป็ นคา่ สที ี่ถกู กาหนดขน้ึ โดย CIE (Commission Internationale d’ Eclarirage) เพ่ือใหเ้ ป็ นสีมาตรฐานกลางของการวดั สที กุ รปู แบบ ครอบคลมุ ทกุ สี ใน RGB และ CMYK และใชไ้ ดก้ บั สที ี่เกดิ จากอปุ กรณท์ กุ อยา่ งไมว่ า่ จะเป็ นจอคอมพวิ เตอร์ เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกนและอื่นๆ สว่ นประกอบของโหมดสีนไ้ี ดแ้ ก่ L หรือ Luminance เป็ นการกาหนดความสวา่ งซึ่งมคี า่ ตงั้ แต่ 0 ถึง 100 ถา้ กาหนดที่ 0 จะกลายเป็ นสีดา แตถ่ า้ กาหนดท่ี 100 จะกลายเป็ นสขี าว A เป็ นคา่ ของสีที่ไลจ่ ากสีเขยี วไปสแี ดง B เป็ นคา่ ของสที ่ไี ลจ่ ากสนี า้ เงนิ ไปสเี หลือง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook