Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทักษะการเรียนรู้

ทักษะการเรียนรู้

Published by 945sce00479, 2021-07-13 08:42:40

Description: ทักษะการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

1 การเรียนรู้ (Learning) การศกึ ษาเร่ืองพฤติกรรมของมนุษยน์ ้นั ประเดน็ ท่ีไดร้ ับความสนใจมากประการหน่ึง คือ ทาไมพฤติกรรมของมนุษยจ์ ึงเปล่ียนไป ซ่ึงเมือ่ เราสงั เกตพฤติกรรมของมนุษยใ์ นชวี ิตประจาวนั ก็จะ พบวา่ การเปลย่ี นแปลงส่วนใหญ่ไมไ่ ดเ้ กิดข้ึนตามวยั หรือวฒุ ิภาวะเท่าน้นั แต่เกิดจากการเรียนรู้ซ่ึงเป็น องคป์ ระกอบท่ีสาคญั อยา่ งหน่ึงของพฤติกรรมมนุษย์ มนุษยท์ ุกคนจะเกิดการเรียนรู้อยตู่ ลอดชีวติ ต้งั แต่ แรกเกิดจนถึงวนั สุดทา้ ยของชีวติ จนมคี ากล่าววา่ ไมม่ ใี ครแก่เกินเรียน (No one to learn) การเรียนรู้มี ท้งั ทางบวกและทางลบ การเรียนรู้ทางบวกจะช่วยใหม้ นุษยเ์ ราพฒั นาดา้ นต่าง ๆ ไปไดด้ ว้ ยดี ดงั น้นั คนเป็นครูจึงจาเป็นอยา่ งยง่ิ ท่ีจะตอ้ งทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ความหมาย ความสาคญั เป้ าหมายและ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบต่างๆ เพ่อื จะไดน้ ามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอนใหเ้ หมาะสมกบั เด็ก แต่ละคน ความหมายของการเรียนรู้ การเรียนรู้ หมายถึง การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมอนั เนื่องมาจากประสบการณ์เดิม ทาใหค้ น เผชิญกบั สถานการณ์เดิมต่างไปจากเดิม เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมท้งั ภายนอกและภายใน ลกั ษณะการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมอาจเป็นได้ 4 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ การทาพฤติกรรมใหม่ การเลกิ ทา การเพม่ิ พฤติกรรมท่ีเคยทา และการลดพฤตกิ รรมท่ีเคยทา พฤติกรรมใดที่ไม่เปลีย่ นแปลงจึงไม่เรียกว่า เกิดการเรียนรู้ ผลของการเรียนรู้จะก่อใหเ้ กิดความรู้ (knowledge) ทกั ษะ (Skill) และเจตคติ (Attitude) ตวั อยา่ ง เช่น ด.ญ.กกุ๊ เห็นกาตม้ น้าร้อน ๆ ดว้ ยความไมร่ ู้จึงเอ้ือมมือไปจบั ทาให้มือร้อน และเจ็บปวดจึงร้องไห้ ต่อมาด.ญ.กุ๊กเห็นกาตม้ น้าร้อนๆ เหมอื นเดิม จึงนึกถึงประสบการณ์เดิมที่เคย จบั แลว้ ร้อน ด.ญ.ก๊กุ จึงไม่จบั เรียกวา่ ด.ญ.กุ๊กเกิดการเรียนรู้ เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม จากจบั กาตม้ น้าร้อน ๆ เป็นไม่จบั เน่ืองมาจากประสบการณ์เดิม การเรียนรู้มีประเดน็ ที่ควรพิจารณา 4 ประการ คือ 1. การเรียนรู้อาจเป็ นพฤติกรรมภายนอกซ่ึงแสดงออกให้เห็นอยา่ งชดั เจน หรือเป็ น ศกั ยภาพซ่ึงเป็นพฤติกรรมภายในก็ได้ 2. การเรียนรู้เป็นไดท้ ้งั ทางบวกและทางลบ 3. การเรียนรู้เป็นพฤติกรรมที่ถาวรหรือค่อนขา้ งถาวร ไมใ่ ช่เกิดข้ึนชวั่ ขณะ 4. การเรี ยนรู้ท่ีเกิดจากประสบการณ์เท่าน้ัน ไม่ใช่เกิดจากสาเหตุอ่ืน ๆ เช่น การ เจริญเติบโต วฒุ ิภาวะ ฤทธ์ิยา ความเจ็บป่ วย เม่ือยลา้ ฯลฯ

2 ความสาคญั ของการเรียนรู้ การเรียนรู้มีความสาคญั สาหรับมนุษยท์ ุกคน ทุกเพศ ทุกวยั ทุกชาติ ทุกศาสนาและทุกวงการ อาชีพ ความสาเร็จในการพฒั นาตน สงั คมและมวลมนุษยโลก ท้งั ในการดารงชีวติ การทางาน และ การอยรู่ ่วมกนั อยา่ งราบรื่นและสนั ติสุขน้นั ยอ่ มเกิดจากการที่มนุษยม์ กี ารสะสมการเรียนรู้ที่สืบทอดกนั ต่อ ๆ มาต้งั แต่อดีตจนถงึ ปัจจุบนั การศกึ ษาเรื่องการเรียนรู้จะช่วยใหผ้ สู้ อนมีความรู้ ความเขา้ ใจในการ จดั สภาพการณ์ และเลอื กวธิ ีการต่าง ๆ เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพและ ประสิทธิผลตามความเหมาะสมของผเู้ รียนแต่ละคน ซ่ึงมคี วามแตกต่างกนั ท้งั ในดา้ นร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา เพือ่ ใหบ้ รรลุผลตามเป้ าหมายที่ตอ้ งการ เป้ าหมายของการเรียนรู้ เป้ าหมายของการเรียนรู้ในการเรียนรู้ หมายถงึ การกาหนดจุดหมายปลายทางของผเู้ รียนวา่ จะตอ้ งบรรลุถงึ จุดหมายปลายทาง ซ่ึงตามหลกั สูตรการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน (ป.1- ป.6 และ ม.1 – ม. 6) มี เป้ าหมาย 3 ดา้ น คือ 1. ความรู้ (Knowledge) ไดแ้ ก่ 1.1 ความรู้เชิงกระบวนการ เช่น อธิบายกระบวนการท่ีเกย่ี วขอ้ งได้ 1.2 ความรู้เชิงประจกั เช่น วิเคราะห์ถึงเรื่องที่เกี่ยวขอ้ งได้ 1.3 ความรู้เชิงเน้ือหา เช่น อธิบายสาระสาคญั ของเน้ือหาที่เกี่ยวขอ้ งได้ 2. ทกั ษะ (Skill) ไดแ้ ก่ 2.1 ทกั ษะพน้ื ฐาน เช่น มที กั ษะดา้ นวฒั นธรรมไทย 2.2 ทกั ษะการคิด เช่น มที กั ษะการคิดอยา่ งสร้างสรรคไ์ ด้ 2.3 ทกั ษะการสื่อสาร เช่น พดู ฟัง อ่าน และเขียนอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 2.4 ทกั ษะส่วนบุคคล เช่น มีสุขภาพและบุคลกิ ภาพดี 2.5 ทกั ษะการจดั การ เช่น มีทกั ษะการจดั การในงานอาชีพสุจริตได้ 2.6 ทกั ษะในงานอาชีพ เช่น มที กั ษะในงานคอมพิวเตอร์ 3. เจตคติ (Attitude) ไดแ้ ก่ 3.1 คุณธรรม เช่น ยดึ มนั่ ความจริง ความดี และความงาม 3.2 จริยธรรม เช่น มคี วามรับผดิ ชอบในหนา้ ท่ีและปฏบิ ตั ิตามสญั ญา 3.3 ค่านิยม เช่น มคี ่านิยมทางวชิ าการและทางการเมือง

3 ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ หมายถึง คาอธิบายแนวความคิดท่ีไดจ้ ากการคน้ พบว่า คนเราเกิด เรียนรู้ไดอ้ ยา่ งไร มปี ัจจยั อะไรบา้ งท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การเรียนรู้ ทาอยา่ งไรจึงจะช่วยใหเ้ กิดการเรียนรู้ไดด้ ี ที่สุด เพื่อช่วยใหเ้ ขา้ ใจและนาไปใชใ้ นการควบคุมและทานายการเรียนรู้ไดไ้ ดผ้ ลดียง่ิ ข้ึน ทฤษฎีการเรียนรู้ แบ่งเป็น 4 กลมุ่ ใหญ่ๆ ดงั ภาพ 1. พฤตกิ รรมนยิ ม ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไข ไม่จงใจกระทา พฟั ลฟั ทฤษฎลี องผดิ ลองถูก จงใจกระทา วตั สัน (Behaviorism/ สกนิ เนอร์ S-R Theories) ธอร์นได 2. พทุ ธนิ ิยม ทฤษฎีรวมหน่วย (Cognitivism) โคห์เลอร์ ทฤษฎีสนาม เลวนิ ทฤษฎกี ารใช้ ทอลแมน เครื่องหมาย เพยี ร์เจท์ ทฤษฎีพฒั นาการ ทางสตปิ ัญญา 3. มนษุ ยนยิ ม ทฤษฎคี วามต้องการ/ มาสโลว์/โรเจอร์ (Humanism) Client-Center Theory

4 1. ทฤษฎกี ล่มุ พฤตกิ รรมนิยม (Behaviorism) 1.1 ทฤษฎกี ารวางเงือ่ นไข 1.1.1 ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไข แบบไม่จงใจกระทาของพฟั ลพั (Pavlov) อุปกรณ์ทใี่ ช้ในการทดลอง ไดแ้ ก่ สุนขั ผงเน้ือ กระดิ่ง เครื่องวดั ปริมาณน้าลาย แผนภูมแิ ละข้ันตอนการทดลองของพฟั ลพั ผงเน้ือ (US) น้าลายไหล (R) สน่ั กระดิ่ง (CS) น้าลายไมไ่ หล (CR) ผงเน้ือ น้าลายไหล (UR) สนั่ กระด่ิง สนั่ กระดิ่ง (CS) น้าลายไหล (CR) 1. นาสุนขั ที่หิวจดั มาลา่ มไวด้ งั รูป เจาะสายยางเคร่ืองวดั ปริมาณน้าลายท่ีกระพุง้ แกม้ 2. นาอาหาร คือ ผงเน้ือ (ส่ิงเร้าที่เรียนรู้แลว้ ) มาใหส้ ุนขั ปรากฏว่า สุนขั น้าลายไหล 3. สนั่ กระด่ิง (ส่ิงเร้าที่ยงั ไม่ไดเ้ รียนรู้ ตอ้ งการวางเง่ือนไขใหเ้ กิดการเรียนรู้) ปรากฏ ว่า สุนขั น้าลายไม่ไหล 4. นาอาหาร พร้อม ๆ กบั สนั่ กระด่ิง ทาในเวลาท่ีใกลช้ ิด ซ้า ๆ (วางเง่ือนไข) ปรากฏวา่ สุนขั น้าลายไหล 5. สนั่ กระด่ิงอยา่ งเดียว ปรากฏว่า สุนขั น้าลายไหล (สุนขั เกดิ การเรียนรู้ เพราะเกิด การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอนั เน่ืองมาจากประสบการณ์เดิม ทาใหเ้ ผชิญกบั สถานการณ์เดิมแตกต่างไปจากเดิม คือ จากน้าลายไมไ่ หล เป็นน้าลายไหลเมอื่ ได้ ยนิ เสียงสน่ั กระด่ิง)

5 หลกั การเรียนรู้ของพฟั ลฟั การเรียนรู้ เกิดจากการที่อินทรียไ์ ดต้ อบสนองต่อส่ิงเร้าไดห้ ลาย ๆ ชนิด โดยการ ตอบสนองอยา่ งเดียวกนั อาจมาจากสิ่งเร้าต่างชนิดกนั ได้ หากมีการวางเงื่อนไขท่ีแน่นแฟ้ นเพยี งพอ ส่ิงเร้าและการตอบสนอง แบ่งเป็น 1) สิ่งเร้าท่ีไม่ไดว้ างเงื่อนไข (Unconditioned Stimulus) ไดแ้ ก่ ผงเน้ือ 2) ส่ิงเร้าที่วางเงื่อนไข (Conditioned Stimulus) ไดแ้ ก่ เสียงกระดิ่ง 3) การตอบสนองที่ไม่ไดเ้ กิดจากการวางเงื่อนไข (Unconditioned Response) เป็นไปแบบอตั โนมตั ิ ไดแ้ ก่ น้าลายไหลเมือ่ เห็นผงเน้ือ 4) การตอบสนองที่เกิดจากการวางเง่ือนไข (Conditioned Response) ไดแ้ ก่ น้าลายไหลเม่ือไดย้ นิ เสียงกระดิ่งเพยี งอยา่ งเดียว 1.1.2 ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขแบบไม่จงใจกระทาของวตั สัน (Watson) อุปกรณ์ทใี่ ช้ในการทดลอง ไดแ้ ก่ ดช.อลั เบิร์ต หนูขาว แผน่ เหลก็ และท่ีตี ของเล่นอ่ืน ๆ แผนภูมแิ ละข้ันตอนการทดลองของวตั สัน เสียงดงั (US) กลวั (R) หนูขาว (CS) ไมก่ ลวั (CR) เสียงดงั กลวั (UR) หนูขาว หนูขาว กลวั (CR)

6 1. นาเดก็ ชายอลั เบิร์ตมานง่ั เลน่ ในหอ้ งนง่ั เล่น โดยมีของเลน่ ต่าง ๆ มากมาย และมี หนูขาว(ส่ิงเร้าท่ีวางเง่ือนไขเพ่อื ใหเ้ กิดการเรียนรู้) วิ่งอยใู่ นหอ้ งใกล้ ๆ ดว้ ย ซ่ึงในระยะแรกอลั เบิร์ตไม่ไดก้ ลวั หนูขาว 2. ต่อมาเมื่อเดก็ ชายเขา้ ใกลห้ รือจะจบั หนูขาว ใหเ้ คาะแผน่ เหลก็ จนเกิดเสียงดงั (ส่ิง เร้าท่ีเรียนรู้แลว้ ) ปรากฏวา่ ด.ช.อลั เบิร์ตร้องไห้ เพราะกลวั เสียงดงั ทาซ้า ๆ ใน เวลาใกลช้ ิดกนั ทุกคร้ังท่ีอลั เบิร์ตจะเขา้ ใกลห้ นูขาว 3. นาหนูขาวมาใหอ้ ลั เบิร์ตเห็น (โดยไมต่ อ้ งตีแผน่ เหลก็ ) ปรากฎว่า ด.ช.อลั เบิร์ต ก็ จะกลวั หนขู าว และร้องไห้ (อลั เบิร์ตเกิดการเรียนรู้ เพราะเกิดการเปล่ยี นแปลง พฤติกรรมอนั เนื่องมาจากประสบการณ์เดิม ทาใหเ้ ผชิญกบั สถานการณ์เดิม แตกต่างไปจากเดิม คือ จากไมก่ ลวั หนขู าว เป็นกลวั หนูขาว) หลกั การเรียนรู้ของวตั สัน การเรียนรู้เกิดจากการวางเงื่อนไขเช่นเดียวกบั การทดลองของพฟั ลฟั แต่เป็น การตอบสนองดา้ นอารมณ์ ผลการวางเงื่อนไขอาจทาใหเ้ กิดพฤตกิ รรมการหดหาย (Extinction) การ ฟ้ื นตวั (Spontaneous Recovery) การแผข่ ยาย (Generalization) และการจาแนก (Discrimination) สิ่ง เร้าและการตอบสนอง แบ่งเป็น 1. ส่ิงเร้าท่ีไม่ไดว้ างเงื่อนไข (Unconditioned Stimulus) ไดแ้ ก่ เสียงดงั 2. สิ่งเร้าที่วางเง่ือนไข (Conditioned Stimulus) ไดแ้ ก่ หนขู าว 3. การตอบสนองที่ไม่ไดเ้ กิดจากการวางเงื่อนไข (Unconditioned Response) เป็นไปแบบอตั โนมตั ิ ไดแ้ ก่ กลวั ร้องไหเ้ มื่อไดย้ นิ เสียงดงั 4. การตอบสนองท่ีเกิดจากการวางเง่ือนไข (Conditioned Response) ไดแ้ ก่ กลวั และร้องไหเ้ มือ่ เห็นหนูขาว 1.1.3 ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไขแบบจงใจกระทาของสกนิ เนอร์ (Skinner)

7 อปุ กรณ์ทใี่ ช้ในการทดลอง ไดแ้ ก่ หนูขาว อาหาร กรงกล ดวงไฟ แผนภูมแิ ละข้ันตอนการทดลองของสกนิ เนอร์ กดคาน (R) อาหาร (รางวลั หรือตวั เสริมแรง) กดคาน + ดวงไฟ อาหาร (รางวลั หรือตวั เสริมแรง) กดคาน ไฟดดู (ลงโทษ) 1. นาหนูขาวท่ีหิวจดั มาใส่กรงกล หนูจะวงิ่ พล่าน และกดคาน อาหารไหลลงมา หนู ไดก้ ินอาหาร ทาซ้า ๆ บ่อย ๆ จนหนูเกดิ การเรียนรูว้ ่า กดคานจึงจะไดอ้ าหาร (คานและอาหาร จึงเป็นสิ่งเร้าใหห้ นูตอ้ งกดคานดว้ ยตนเอง) 2. เพมิ่ สิ่งเร้า คือ ดวงไฟ โดยเมือ่ หนกู ดคาน ถา้ ดวงไฟติด จงึ จะมีอาหารไหลลงมา ถา้ ไฟไม่ติด จะไม่มีอาหารไหลลงมา หนูจะเฝ้ าแต่กดคานเม่อื ไม่ไดอ้ าหาร หรือ เมอื่ ดวงไฟไมต่ ิด 3. เพมิ่ เง่ือนไข เม่ือหนูกดคาน กลบั ถกู ไฟดดู (เป็นการลงโทษ) ทาใหห้ นูไมก่ ลา้ กด คานอีก หลกั การเรียนรู้ของสกนิ เนอร์ การเรียนรู้ เกิดจากการที่บคุ คลไดม้ กี ารกระทาแลว้ ไดร้ ับการเสริมแรง ถา้ กระทาแลว้ ถกู ลงโทษกจ็ ะลดการทาพฤติกรรมน้นั หรือไมก่ ระทาพฤตกิ รรมน้นั อีก 1.2 ทฤษฎแี บบลองผดิ ลองถูก หรือแบบต่อเนอื่ งของธอร์นได (Thorndike)

8 อุปกรณ์ทใี่ ช้ในการทดลอง ไดแ้ ก่ แมว อาหาร (ปลา) กรงกลมีสลกั แผนภูมแิ ละข้ันตอนในการทดลองของธอร์นไดท์ R1 ร้อง R2 ตะกุย S R3 กดคาน R4 กระโดด R5 วิ่งวน 1. จบั แมวท่ีหิวจดั ใส่กรงกล ภายนอกมีปลาแซลมอนวางอยู่ แมวจะพยายามทา พฤติกรรมต่างๆเพอ่ื จะออกไปกินปลาใหไ้ ด้ เช่น ร้อง ตะกยุ เดินพล่าน ถอดสลกั โดยบงั เอญิ ประตกู ลจึงเปิ ด หนูจึงออกมากินปลาได้ ทาการทดลองทุกวนั สงั เกต คร้ังหลงั ๆ แมวจะใชเ้ วลานอ้ ยลงในการออกมากินปลา เป็นการลองผดิ ลองถกู แมวเกิดการเชื่อมโยงระหว่างสลกั (ส่ิงเร้า) กบั การดึงสลกั (การตอบสนอง) 2. ต่อมาเพมิ่ การลงโทษ โดยเม่ือแมวถอดสลกั ไดแ้ ละออกมาจะกินปลาแตก่ ลบั ถกู ตี (การลงโทษ) แมวค่อย ๆ ลดพฤติกรรมเมอื่ เห็นสลกั แลว้ ดึง เพราะไดผ้ ลไมพ่ ึง พอใจ เกิดกฎแห่งการเรียนรู้ คือ กฎแห่งผล (Law of Effect) และกฎอ่นื ๆ ตามมาอีก 2 กฎ คือ กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) และกฎแห่งการ ฝึกหดั (Law of Exercise)

9 หลกั การเรียนรู้ของธอร์นไดท์ การเรียนรู้ เกิดจากความสมั พนั ธร์ ะหว่างส่ิงเร้าและการตอบสนอง โดยส่ิงเร้า หน่ึงอาจจะทาใหเ้ กิดการตอบสนองไดห้ ลายทาง แต่อนิ ทรียจ์ ะเลือกการตอบสนองที่พอใจ ที่สุดไวเ้ พยี งส่ิงเดียว เพื่อใชใ้ นการตอบสนองคร้ังต่อๆไป หรืออาจไดว้ ่าเป็นการเรียนรู้แบบ ลองผดิ ลองถกู (Trial and Error) 2. ทฤษฎกี ล่มุ ปัญญานยิ ม (Cognitivism) 2.1 ทฤษฎรี วมหน่วยของโคห์เลอร์ (Kohler) อุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการทดลอง ไดแ้ ก่ ลงิ ซิมแปนซี กลว้ ย กรง ไมส้ ้นั ไมย้ าว ข้ันตอนการทดลองของโคห์เลอร์ นาลิงซิมแปนซีที่หิวจดั ขงั กรง มีกลว้ ย ไมส้ ้นั ไมย้ าว อยนู่ อกกรง ลงิ ไม่ สามารถเอ้อื มหยบิ กลว้ ยและไมย้ าวไดถ้ ึง แต่สามารถหยบิ ไมส้ ้นั ได้ ลิงทาพฤติกรรม ต่าง ๆ เพือ่ จะหยบิ กลว้ ย เอาไมส้ ้นั เข่ียกลว้ ยไม่ได้ ลงิ จึงนงั่ มองสิ่งเร้าต่างๆ ท่ีจดั วาง ไวใ้ ห้ (ไมส้ ้นั ไมย้ าว กลว้ ย) จนคิดออกวา่ จะไดก้ ลว้ ยมากนิ ดว้ ยวธิ ีใด จุดท่ีลิงหยง่ั เห็น หนทางแกป้ ัญหา โดยทีไ่ มต่ อ้ งลงมอื กระทา เราเรียกวา่ เกิดการหยง่ั เห็น หรือเกิดการ เรียนรู้แบบการหยง่ั เห็น

10 โคหเ์ ลอร์ไดท้ าการทดลองเพม่ิ เติมโดยใชก้ ลว้ ยแขวนไวใ้ นท่ีสูง และมลี งั ไม้ อยใู่ นกรง หลกั การเรียนรู้ของโคห์เลอร์ การเรียนรู้ เกิดจากการพจิ ารณาส่ิงเร้าหรือโครงสร้างของปัญหาโดยส่วนรวม ทุกแง่ทุกมมุ เสียก่อน จากน้นั จะแยกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ เพอื่ หาความสมั พนั ธร์ ะหว่างส่วนยอ่ ยเหล่าน้นั จน ในที่สุดจะเกิดความคิดหรือเห็นช่องทางในการแกป้ ัญหาน้นั ไดโ้ ดยฉบั พลนั เกดิ การเรียนรู้แบบหยง่ั เห็น (Insight) 2.2 ทฤษฎสี นามของเลวนิ (Lewin) การเรียนรู้ เกิดจากการเปล่ียนแปลงความรู้ความเขา้ ใจเดิมหรือเกิดจากการกระทาซ้าๆ หรือไดม้ กี ารแกป้ ัญหา หรือมกี ารเปล่ียนการจงู ใจ มกี ารรับสิ่งแวดลอ้ มเขา้ มาอยใู่ นหว้ งอวกาศของชีวติ (Life space) ของตน จนทาใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจอยา่ งแจ่มแจง้ ในสิ่งน้นั ตวั อยา่ งเช่น ในขณะท่ีครูสอน ผเู้ รียนสามารถรับส่ิงท่ีครูถา่ ยทอดเขา้ มาไวใ้ นหว้ ง อวกาศชีวติ ของตน คือสามารถรับและรู้ในสิ่งท่ีครูสอนได้ ถา้ ส่ิงแวดลอ้ มใด รวมท้งั ส่ิงที่ครูถา่ ยทอด ถา้ ผเู้ รียนไม่สามารถรับรู้เขา้ มาไวใ้ นสมอง การเรียนรู้กจ็ ะไมเ่ กิดข้ึน ดงั น้นั ทุกคร้ังที่สอนครูจึงตอ้ ง ใชค้ วามรู้ความสามารถเพื่อใหผ้ เู้ รียนรับรู้สิ่งท่ีถ่ายทอดเขา้ ไปไวใ้ นหว้ งอวกาศชีวติ ของตนใหไ้ ด้ 2.3 ทฤษฎกี ารเรียนรู้โดยใช้เครื่องหมายของทอลแมน (Tolman) การเรียนรู้ เกิดจากการที่บุคคลตอบสนองต่อส่ิงเร้า โดยใชเ้ คร่ืองหมายหรือสญั ลกั ษณ์ เป็นแนวทางนาไปสู่เป้ าหมาย ทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ดว้ ยความเขา้ ใจ เช่น บุคคลจะเรียนรู้ส่ิงของหรือ สถานท่ีใหม่ ๆ บุคคลจะตอบสนองดว้ ยการสมั ผสั โดยใหส้ มั พนั ธก์ บั สญั ลกั ษณ์เดิมๆ ของส่ิงของหรือ สถานท่ีเดิมๆที่ตนเคยเรียนรู้มาแลว้ กจ็ ะจาได้ และเรียนรู้ส่ิงของหรือสถานท่ีใหม่ได้ เป็นตน้ 2.4 ทฤษฎีพฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเพยี ร์เจท์ (Piaget) การเรียนรู้ เกิดจากการที่ผเู้ รียนไดม้ ีโอกาสสมั ผสั กบั ส่ิงเร้าท้งั ที่เป็นคน วตั ถุ สิ่งของ หรือสถานท่ีและธรรมชาติที่อยรู่ อบ ๆ ตวั จนเกิดความรู้ความเขา้ ใจในการแกป้ ัญหาสิ่งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรมไดใ้ นท่ีสุด ดงั น้นั ครูจะตอ้ งสอนโดยคานึงถงึ พฒั นาการทางดา้ นการคิดการเขา้ ใจของ ผเู้ รียนวา่ อยใู่ นวยั ทีจ่ ะมีความเขา้ ใจในเร่ืองต่าง ๆ จากรูปธรรมไปหานามธรรม เช่น เดก็ อายุ 7 ปี ข้ึนไป จะแกป้ ัญหาส่ิงที่เป็นรูปธรรมได้ เพราะเดก็ มคี วามเขา้ ใจในเรื่องการคงตวั ของสสาร การคิดยอ้ นกลบั

11 การแบ่งหมวดหมู่ การสร้างภาพแทนในใจ และการเรียงลาดบั สิ่งของ ส่วนเด็กที่อายุ 11 ปี ข้ึนไป จึง จะแกป้ ัญหาส่ิงท่ีเป็นนามธรรมได้ 3. ทฤษฎกี ล่มุ มนุษยนิยม (Humanistic) 3.1 ทฤษฎลี าดบั ข้นั ความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchical Theory of Need) มาสโลวเ์ ชื่อวา่ มนุษยเ์ ป็น “สตั วท์ ่ีมีความตอ้ งการ” (wanting animal) และเป็นการยากท่ีมนุษยจ์ ะ ไปถงึ ข้นั ของความพึงพอใจอยา่ งสมบรู ณ์ ในทฤษฎีลาดบั ข้นั ความตอ้ งการของมาสโลว์ เมอื่ บุคคล ปรารถนาท่ีจะไดร้ ับความพึงพอใจและเมือ่ บุคคลไดร้ ับความพงึ พอใจในส่ิงหน่ึงแลว้ กจ็ ะยงั คงเรียกร้อง ความพึงพอใจสิ่งอน่ื ๆ ต่อไป ซ่ึงถอื เป็นคุณลกั ษณะของมนุษย์ ซ่ึงเป็นผทู้ ี่มีความตอ้ งการจะไดร้ ับส่ิง ต่างๆ อยเู่ สมอ ความตอ้ งการของมนุษย์ แบ่งเป็น 5 ข้นั เรียงจากข้นั ต่าไปหาข้นั สูง ดงั น้ี 1. ความตอ้ งการทางดา้ นร่างกาย ( Physiological needs ) 2. ความตอ้ งการความปลอดภยั ( Safety needs ) 3. ความตอ้ งการความรักและความเป็นเจา้ ของ ( Belongingness and love needs ) 4. ความตอ้ งการไดร้ ับความนบั ถือยกยอ่ ง ( Esteem needs ) 5. ความตอ้ งการที่จะเขา้ ใจตนเองอยา่ งแทจ้ ริง ( Self-actualization needs ) เมือ่ มนุษยร์ ู้สึกวา่ ตนเองขาดในสิ่งใด ก็จะมคี วามตอ้ งการในส่ิงน้นั ความตอ้ งการของมนุษย์ จะเป็นไปตามลาดบั ข้นั นน่ั คือมนุษยจ์ ะมคี วามตอ้ งการในข้นั ต่าสุด ก่อนที่จะมคี วามตอ้ งการในข้นั ถดั ไป ถา้ ข้นั ตน้ ยงั ไมไ่ ดร้ ับการตอบสนอง มนุษยก์ จ็ ะไมค่ านึงถึงความตอ้ งการในข้นั ถดั ไป เมื่อความ ตอ้ งการข้นั ตน้ ไดร้ ับการตอบสนองแลว้ มนุษยจ์ ึงจะแสวงหาความตอ้ งการในข้นั สูงต่อไป ดงั น้นั ถา้ ตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนเกิดความตอ้ งการข้นั สูง คือ ความตอ้ งการที่จะเขา้ ใจตนเองอยา่ งแทจ้ ริง ครูจะตอ้ ง สนองความตอ้ งการข้นั ตน้ หรือข้นั พ้นื ฐานท่ี 1-4 ก่อน การสนองความตอ้ งการของผเู้ รียนจะเป็น แรงจงู ใจท่ีสาคญั ท่ีช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรูไ้ ดเ้ ป็นอยา่ งดี แต่ถา้ ผเู้ รียนไม่ไดร้ ับการตอบสนองความ ตอ้ งการข้นั พ้ืนฐาน ก็จะทาใหไ้ ปสนใจที่จะแสวงหาความตอ้ งการในข้นั สูง ทาใหข้ าดแรงจูงใจในการ เรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ อาจเกิดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาต่าง ๆที่เป็นอปุ สรรคต่อการเรียนรู้ได้ 3.2 ทฤษฎียดึ บุคคลเป็ นศูนย์กลางของ คาร์ล อาร์ โรเจอร์ (Carl R. Rogers) มี ความเห็นว่าธรรมชาติของมนุษยเ์ ป็นสิ่งท่ีดีและมคี วามสาคญั มาก โดยพยายามท่ีจะพฒั นาร่างกายใหม้ ี ความเจริญเติบโตอยา่ งมีศกั ยภาพสูงสุด โรเจอร์ส ต้งั ทฤษฏีข้ึนมาจากการศึกษาปัญหาพฤติกรรมของ

12 คนไขจ้ ากคลินิกการกั ษาคนไขข้ องเขา และไดใ้ หค้ วามสนใจเก่ียวกบั บุคลกิ ภาพท่ีเกดิ จากสุขภาพเป็น อยา่ งมาก ทฤษฏขี องโรเจอร์เนน้ ถึงเกียรติของบุคคล ซ่ึงบุคคลมีความสามารถท่ีจะทาการปรับปรุงชีวติ ของตนเองเม่อื มโี อกาสเขา้ มใิ ช่จะเป็นเพียงแต่เหยอื่ ในขณะท่ีมปี ระสบการณ์ในสมยั ท่ีเป็นเดก็ หรือจาก แรงขบั ของจิตใตส้ านึก แต่ละบุคคลจะรู้จกั การสงั เกตส่ิงแวดลอ้ มท่ีอยรู่ อบตวั เรา โดยมแี นวทางเฉพาะ ของบุคคล โรเจอร์ส เชื่อวา่ มนุษยท์ กุ คนมตี วั ตน 3 แบบ ดงั น้ี 1. ตนตามที่ตนมองเห็น หรืออตั มโนทศั น์ (Self Concept) ภาพท่ีตนเห็นเอง ว่าตนเป็นอยา่ งไร มีความรู้ความสามารถ ลกั ษณะเพราะตนอยา่ งไร เช่น สวย รวย เก่ง ต่าตอ้ ย ข้ีอายฯลฯ การมองเห็นอาจจะไมต่ รงกบั ขอ้ เท็จจริงหรือภาพที่คนอื่นเห็น 2. ตนตามที่เป็นจริง (Real Self) ตวั ตนตามขอ้ เท็จจริง แต่บ่อยคร้ังท่ีตนมอง ไม่เห็นขอ้ เทจ็ จริง เพราะอาจเป็นสิ่งท่ีทา ใหร้ ู้สึกเสียใจ ไม่เท่าเทียมกบั บุคคลอ่ืน เป็นตน้ 3. ตนตามอดุ มคติ (Ideal Self) ตวั ตนท่ีอยากมอี ยากเป็น แต่ยงั ไมม่ ีไมเ่ ป็นใน สภาวะปัจจุบนั เช่น ชอบเกบ็ ตวั แต่อยากเก่งเขา้ สงั คม เป็นตน้ ถา้ ตวั ตนท้งั 3 ลกั ษณะ ค่อนขา้ งตรงกนั มาก จะทาใหม้ บี ุคลกิ ภาพมนั่ คง แต่ถา้ แตกต่างกนั สูง จะมคี วามสบั สนและอ่อนแอดา้ นบุคลิกภาพ โรเจอร์ส ใหค้ วามสาคญั กบั อตั มโนทศั น์ (Self Concept) ที่เป็นมุมมองที่คนเรามีเก่ียวกบั ตนเองน้นั ว่าประกอบดว้ ย 3 ส่วน ไดแ้ ก่ ตวั ตนในอุดมคติ (Ideal Self) ภาพลกั ษณ์เก่ียวกบั ตวั ตนที่ดี (Self Image) และการเห็นคณุ ค่าในตนเอง (Self-esteem) โรเจอร์วางหลกั ไวว้ า่ บุคคลถกู กระตุน้ โดยความตอ้ งการสาหรับการยอมรับนบั ถือทางบวก นนั่ คือความตอ้ งการความรัก การยอมรับและความมคี ุณค่า บุคคลเกิดมาพร้อมกบั ความตอ้ งการการยอมรับ นบั ถือในทางบวก และจะไดร้ ับการยอมรับนบั ถือ โดยอาศยั การศกึ ษาจากการดาเนินชีวิตตามมาตรฐาน ของบุคคลอ่ืน ทฤษฏีของโรเจอร์ เนน้ ว่า “ตน” (Self) คือการรวมกนั ของรูปแบบค่านิยม เจตคติการรับรู้และ ความรู้สึก ซ่ึงแต่ละบุคคลมีอยแู่ ละเช่ือวา่ เป็นลกั ษณะเฉพาะของเขาเอง ตนเอง หมายถงึ ฉนั และตวั ฉนั เป็นศนู ยก์ ลางที่รวมประสบการณ์ท้งั หมดของแต่ละบุคคล ภาพพจน์ (Self Image) น้ีเกิดจากการท่ีแต่ละ บุคคลมีการเรียนรู้ต้งั แต่วยั เร่ิมแรกชีวติ การประยุกต์ใช้ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1. การประยกุ ต์ใช้ทฤษฎกี ล่มุ พฤตกิ รรมนยิ ม 1. เตรียมความพร้อมหรือใหเ้ ดก็ พร้อมก่อนสอน

13 2. พยายามใชส้ ่ิงเร้าที่เด็กเคยเรียนรู้หรือรู้มาแลว้ ควบคู่กบั ส่ิงเร้าท่ีไมร่ ู้และตอ้ งการ จะใหเ้ กิดการเรียนรู้ส่ิงเร้าน้นั 3. ครูจะตอ้ งพยายามศึกษาเง่ือนไขต่าง ๆท่ีทาใหเ้ กิดปัญหาในการเรียนรู้ของเดก็ 4. ใชห้ ลกั การปรับพฤติกรรมท่ีไมพ่ ึงประสงค์ โดยการเสริมแรงพฤติกรรมท่ีพึง ประสงค์ และเมนิ เฉยหรือลงโทษพฤตกิ รรมที่ไม่พึงประสงค์ 4. ใหเ้ ด็กไดเ้ รียนรู้ดว้ ยการกระทา (Learning by doing) มากกว่าท่ีจะนงั่ ฟังครู บรรยายหรือสอนเพยี งอยา่ งเดียว 5. ใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรู้แบบลองผดิ ลองถกู บา้ งตามความเหมาะสม ช่วยใหจ้ ดจาส่ิงที่ เรียนไดแ้ มน่ ยาและยงั่ ยนื 6. พยายามใชก้ ฎแห่งการเรียนรู้ท้งั 3 ขอ้ ในการจดั การเรียนการสอน คือ กฎแห่ง ความพร้อม กฎแห่งการฝึกหดั และกฎแห่งผล 2. การประยกุ ต์ใช้ทฤษฎีกล่มุ ปัญญานยิ ม 1. จดั สภาพแวดลอ้ มท่ีสอดคลอ้ งกบั ประสบการณ์เดิมของเด็กเพ่อื ใหเ้ กิดการหยงั่ เห็น ไดง้ ่าย 2. พยายามใหต้ วั ครูและส่ิงที่จะสอนเขา้ ไปอยใู่ นหว้ งอวกาศชีวติ (Life space) ของ เดก็ ตลอดเวลาท่ีสอน 3. คานึงถึงการสอนใหเ้ ดก็ รบั รู้ส่ิงท่ีเรียนโดยภาพรวมก่อนท่ีจะแยกสอนเป็นส่วนยอ่ ย (As a whole not a part) 4. เนน้ วา่ การเรียนรู้เป็นส่ิงที่จะตอ้ งเรียนแลว้ นามาใชใ้ นชีวติ จริงตลอดเวลาปัจจุบนั ไม่ใช่เรียนเพอื่ จะนาความรู้ไปใชใ้ นอนาคต (Learning is life not prepare to life) 5. ใชว้ ิธีการสอนที่หลากหลายและเหมาะสมกบั ตวั เดก็ มากกวา่ ท่ีจะมงุ่ บอกเน้ือหา สาระแก่เดก็ (How to teach is more importance than what to teach) 6. มีการวดั ผลประเมนิ ผลกระบวนการเรียนรูต้ ลอดเวลา ไม่ใช่วดั เฉพาะผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนรู้ของเดก็ เท่าน้นั (Learning is a process not a product) 3. การประยุกต์ใช้ทฤษฎกี ล่มุ มนุษยนยิ ม 1. ยดึ เดก็ เป็นสาคญั หรือยดึ เดก็ เป็นศนู ยก์ ลางในการเรียนรู้ (Child Center) 2. สนองความตอ้ งการทางกายแก่เด็ก เช่นจดั โครงการอาหารกลางวนั ใหเ้ ด็กไดร้ ับ ประทาน จดั ใหม้ นี ้าด่ืมที่สะอาด รวมท้งั จดั บรรยากาศสภาพแวดลอ้ มท่ี สะดวกสบายต่อการเรียนรู้

14 3. จดั บรรยากาศการเรียนรู้ที่ทาใหเ้ ดก็ รู้สึกปลอดภยั ท้งั ทางกายและจิตใจ 4. ใหค้ วามสนใจและเอาใจใส่เดก็ ทุกคนอยา่ งเท่าเทียมกนั ในฐานะท่ีเป็นคน ๆ หน่ึง 5. ยอมรับเด็กอยา่ งไม่มีเงื่อนไขในความแตกต่างของเด็กแต่ละคนท้งั ทางดา้ นร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา 6. เนน้ ใหแ้ ข่งขนั กบั ตวั เองมากกว่าท่ีจะแข่งขนั กบั กลมุ่ เพอื่ น 7. เนน้ ใหเ้ กิดแรงจงู ใจภายในที่จะเรียนรู้มากกวา่ แรงจงู ใจภายนอก 8. ช่วยใหเ้ ดก็ สามารถปรับตนตวั จริง (Real-self) กบั ตนในอุดมการณ์ (Ideal- self)ใหส้ อดคลอ้ งกนั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook