ใบความร้เู กย่ี วกบั พลังงานนิวเคลยี ร์ และกัมมนั ตภาพรงั สี ศนู ย์วิทยาศาสตรแ์ ละวัฒนธรรมเพ่ือการศกึ ษาร้อยเอด็
พลังงานนิวเคลียร์ ทฤษฎีและหลักการพืน้ ฐานพลังงานนิวเคลยี ร์ ในการทีจ่ ะเรยี นรเู้ รอื่ งราวเกี่ยวกับพลังงานนวิ เคลียร์ จะต้องมคี วามรพู้ นื้ ฐานเกยี่ วกับ โครงสร้างอะตอม เลขอะตอม เลขมวลและไอโซโทป สญั ลกั ษณ์ทางนิวเคลยี ร์ สารกมั มนั ตรังสี ปฏิกริ ยิ นวิ เคลยี ร์ฟิชชัน่ โครงสรา้ งอะตอม ในชวี ติ ประจาวันของคนเราเกย่ี วข้องกบั ธาตุอยตู่ ลอดเวลา ธาตุในโลกปัจจุบันน้ีมีจานวนไม่น้อยกว่า 105 ธาตุ ธาตุท่ีเรารู้จักกันดีเช่น คาร์บอน โซเดยี ม อะลูมิเนียม คลอรีน สังกะสี ฯลฯ จากการค้นคว้าสมบัติและรายละเอียดของธาตุแต่ละ ธาตจุ ะพบวา่ ธาตุแตล่ ะธาตจุ ะมสี มบัติเฉพาะตัวทตี่ ่างกนั ออกไป ธาตุมีอนภุ าคเลก็ ๆ ประกอบด้วยอะตอม ในภาวะปกติ อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันจะมีคุณสมบัติ เหมือนกัน อะตอมของธาตุต่างชนิดกันจะมีคุณสมบัติต่างกัน ภายในอะตอม ประกอบด้วยอนุภาคท่ีสาคัญ 3 ชนิดคือ โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โปรตอน และนิวตรอนจะอยู่รวมกันตรงกลาง เป็นนิวเคลียสโปรตอนมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก นวิ ตรอนจะมีคณุ สมบัติเป็นกลางทางไฟฟ้า ส่วนอิเล็กตรอนจะมีน้าหนักน้อยมากวิ่งรอบ ๆ นวิ เคลียส และมปี ระจไุ ฟฟา้ เป็นลบความเป็นธาตุจะอยู่ในสภาวะปกติ คือจะมีจานวน โปรตอนเทา่ กบั จานวนอิเลก็ ตรอนและจะมีความเป็นกลางทางไฟฟ้า เลขอะตอมเลขมวลและไอโซโทปเลขอะตอม เปน็ จานวนโปรตอนหรอื อเิ ลก็ ตรอน
เลขมวล เป็นผลรวมของจานวนโปรตอนและนวิ ตรอนในนวิ เคลยี สอะตอมของธาตชุ นดิ เดียวกนั จะมีจานวนโปรตอนเทา่ กันแตจ่ านวนนวิ ตรอนไมเ่ ท่ากนั ก็ได้ธาตุ บางชนิดจึงมคี า่ เลขมวลหลายคา่ นกั วิทยาศาสตร์ได้กาหนดสญั ลกั ษณ์ตา่ งๆเพอื่ ความ สะดวกในการศกึ ษาช้นิ ส่วนท่ีเล็กทีส่ ุดของธาตุ ต่าง ๆ ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ีคือ อเิ ลก็ ตรอน มสี ัญลกั ษณ์ e มีประจุ - 1 โปรตอน มีสญั ลักษณ์ p มีประจุ +1 นิวตรอน มสี ญั ลกั ษณ์ n มปี ระจุ 0 ชอ่ื ธาตุ โดยปกติใชส้ ัญลกั ษณเ์ ปน็ ภาษาอังกฤษตวั แรก เปน็ ตัวใหญ่ 1 ตัว เชน่ C เป็นสัญลักษณข์ องอะตอม คาร์บอน หากชอ่ื ตัวแรกซ้ากันเช่น แคลเซีย่ ม จะเตมิ อักษร ตวั เลก็ ทแ่ี สดงสญั ลกั ษณ์ธาตุแคลเซย่ี ม เปน็ Ca ซ่ึงเป็น สญั ลักษณ์อะตอมของแคลเซย่ี ม สารกมั มันตรงั สี สารกมั มนั ตรังสคี อื สารที่นิวเคลยี สสลายให้พลงั งานออกมาซึง่ มีท้ังสารกัมมันตรังสี ธรรมชาตเิ ช่นธาตเุ รเนยี มนวิ เคลยี สจะแตกตวั โดยธรรมชาติหรอื เรยี กงา่ ยๆว่ามีนิวเคลยี ส ท่ไี ม่เสถยี ร เม่ือนวิ เคลียสแตกตัวจะได้พลังงานออกมา ขณะทสี่ ลายตัวปรมิ าณมัน จะนอ้ ยลง ช่วงเวลาท่ีใชใ้ นการสลายตัวนีเ้ รยี กวา่ ครึ่งชีวติ ของธาตกุ มั มันตรังสนี ้ัน สาร กัมมันตรังสี
อาจจะทาไดโ้ ดยยิงพลังงานท่ีสงู กว่าเขา้ ไปในนวิ เคลยี ส เพื่อใหน้ ิวเคลยี สแตกตวั และให้ พลงั งานออกมา อาจกลา่ วได้ว่าสารทกุ ชนิดเปน็ สารกัมมนั ตรังสหี มด แต่ไมเ่ ปน็ เช่นนัน้ เพราะมกี ๊าซบางชนิดท่ีเราเรยี กว่ากา๊ ซเฉอ่ื ย เชน่ นอี อน ฮเี ลียม อารก์ อน ซีนอน ฯลฯ ที่ มคี ณุ สมบัตคิ อื มพี ลังยดึ เหนียวแน่นมากหากจะใชพ้ ลังงานท่จี ะยงิ ให้นวิ เคลยี สแตกตัว ตอ้ งใช้พลงั งานระดบั สูงมากพลังงานนิวเคลยี ร์และปฏิกริ ิยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ คือ พลังงานทไี่ ดจ้ ากการทน่ี ิวเคลยี สแตกตวั น่ันเอง พลังงานนิวเคลยี รจ์ ะมคี า่ มากมายมหาศาล และขณะทีน่ วิ เคลียสแตกตัว ปลอ่ ยอนุภาค ออกมานนั้ เปน็ กฎการสลายตวั จะเกดิ นิวเคลยี สธาตใุ หมพ่ รอ้ มท้ังพลงั งานนิวเคลยี รน์ ่ันเอง สว่ นกัมมนั ตภาพ (Ratio activity) คอื อัตราการสลายตวั ของสารกัมมนั ตรงั สี ปฏิกิริยานิวเคลยี ร์ ทาให้เกิดแรงนวิ เคลยี ร์มี 2 ปฏิกิริยา คอื ปฏิกริ ิยาฟชิ ชัน่ และ ปฏิกริ ิยาฟวิ ชน่ั ปฏิกิริยาฟชิ ช่ัน (Fission) คอื ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ท่เี กดิ จากการใชอ้ นุภาคนิวตรอน หรืออนภุ าคอืน่ ยิงไปที่นวิ เคลยี สของธาตหุ นัก แลว้ ทาใหน้ ิวเคลยี ส แตกตวั เป็นนิวเคลยี ส ใหม่สอง นิวเคลยี สทีม่ ีมวลใกล้เคยี งกันและมพี ลงั งานยึดเหน่ียวต่อนิวคลอี อนสงู กว่านวิ เคลยี สของ ธาตเุ ดมิ ขบวนการฟิชชัน่ ท่ีเกิดขึ้นนี้จะมี นวิ ตรอนอิสระเกิดขึ้นดว้ ย นวิ ตรอนอสิ ระน้ีจะไปชน นวิ เคลยี สอ่ืน
ของยเู รเนยี มก็จะเกดิ ฟชิ ชั่นต่อไปเรยี กว่า “ปฏิกิริยาลูกโซ”่ ซึ่งเกดิ ตอ่ เนอื่ งกันไปไม่ หยุดย้ังและ จะเกิดพลงั งานมหาศาล แนวความคิดนี้ถูกนาไปใชใ้ นเตาปฏิกรณน์ วิ เคลียร์ ปฏกิ ริ ิยาฟวิ ชน่ั (Fusion) ฟิวชน่ั คอื ปฏิกิริยานวิ เคลยี ร์ซงึ่ เกิดจากนวิ เคลยี สธาตเุ บามา หลอมรวมกนั เป็นนิวเคลียรท์ ่ีหนกั กว่า พรอ้ มกบั มีพลังงานปลอ่ ยออกมา ปฏกิ ิรยิ าฟวิ ชั่น บนดวงอาทิตย์ และดาวฤกษ์ จะมีพลังงานออกมาไมส่ ้ินสดุ เพราะการรวมตวั ของไฮโดรเจน 4 อะตอม เกิดฮเี ลียม และพลงั งานปฏิกิรยิ าเชน่ น้ีเกดิ ขึ้นมากมายบนดวงอาทิตย์ จึงไม่นา่ ประหลาดใจว่าเหตใุ ด ใจกลาง ดวงอาทิตยจ์ งึ มอี ณุ หภมู ถิ ึง 20,000,000 K (เคลวนิ ) การสร้างปฏิกริ ยิ าในห้องปฏบิ ตั ิการ สามารถ ทาได้ เช่น ระเบดิ ไฮโดรเจนเป็นผลของปฏิกริ ยิ าฟวิ ชน่ั มพี ลงั งานสงู กวา่ ระเบิดนิวเคลียร์ มาก แตเ่ รายงั ไม่สามารถควบคุมบังคบั ใหเ้ กดิ ปฏกิ ิริยาต่อเนอ่ื งได้ การนาพลงั งานนิวเคลียรม์ าใชป้ ระโยชน์ การนาพลงั งานนิวเคลยี รม์ าใชป้ ระโยชนจ์ ะใชอ้ ยู่ 2 ทาง คอื ใช้ในการทาลายและ ได้จากฟิวช่นั ในเครอ่ื งปฏกิ รณ์นิวเคลยี ร์ ซ่งึ มีรายละเอยี ดดงั น้คี อื 1. ใช้ในการทาลาย ซึง่ มีอานาจมหาศาล เชน่ การขุดคลอง การระเบดิ หนิ การทหาร
2. ไดจ้ ากฟิวชนั่ ในเคร่ืองปฏิกรณ์นวิ เคลยี ร์ ซ่ึงจะใชป้ ระโยชนใ์ นการผลติ พลงั งานไฟฟา้ เคร่ืองปฏิกรณน์ วิ เคลียรป์ ระกอบด้วยแทง่ เช้อื เพลิง คือยเู รเนยี มหรือพลูโทเนยี ม จะผสมอยู่ในมอเดอเรเตอร์และมแี ท่งควบคมุ ซึ่งทาหน้าทค่ี วบคุม อัตราการเกดิ ฟชิ ชนั่ โดยใหเ้ กิดภายในเครอ่ื งปฏิกรณ์นิวเคลียร์ พลังงานจะถกู ปล่อย ออกมาในรูปความร้อน และเราถ่ายความรอ้ นจากเครอื่ งปฏกิ รณน์ ิวเคลยี ร์ โดยใช้ ของเหลวของเหลวนีจ้ ะนาความร้อนไปยงั เคร่ืองถา่ ยความรอ้ น ณ ท่นี น้ั จะทาใหน้ ้า กลายเป็นไอไอนา้ จะไปหมุนกงั หันซ่ึงมีเพลาตอ่ กบั เคร่อื งกาเนิดไฟฟา้ ทาใหเ้ ครอื่ งกาเนิด ไฟฟา้ หมนุ และผลติ ไฟฟา้ ออกจาหนา่ ยไปตามบา้ น การผลติ ไฟฟา้ แบบนีต้ น้ ทุนจะสงู แต่เมอ่ื มองในระยะยาวจะคมุ้ ทนุ เพราะเมือ่ เทยี บกับพลงั งานเชือ้ เพลิงปโิ ตรเลยี มแลว้ เชื้อเพลงิ ปโิ ตรเลยี มจะสนิ้ เปลอื งมากกว่า ข้อควรระวังในการใชพ้ ลงั งานนิวเคลยี ร์ พลงั งานนิวเคลยี รเ์ มื่อไมร่ ะมัดระวงั ในการใช้จะเกิดโทษดงั ตอ่ ไปนค้ี ือ 1. รังสที ่ีแผอ่ อกมาจากธาตุกัมมันตรงั สี เมื่อผา่ นสง่ิ มชี วี ิตทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภาย ในเซลล์ของส่ิงมชี ีวิต นอกจากนนั้ จะมผี ลถึงพนั ธกุ รรมของสง่ิ มชี วี ิต ตัวอยา่ งคอื ความ พิการของคนในเมอื งฮโิ รชิมาและนางาซากิ ประเทศญีป่ ุ่น ท่ีประเทศสหรฐั อเมริกาท้งิ ระเบดิ ปรมาณใู นสงครามโลกคร้งั ที่ 2 2. การทง้ิ กากสารทม่ี ีกัมมนั ตรังสี ถา้ ทาไม่ระมดั ระวังจะทาให้เกิดผลกระทบ ตอ่ ชวี ติ ในบริเวณน้ัน
การปอ้ งกันในการใชพ้ ลงั งานนวิ เคลียร์ 1. ให้ใชใ้ นระยะเวลาส้นั ท่ีสดุ เท่าที่จะทาได้ 2. ให้อยหู่ า่ งแหล่งกาเนดิ หรือบรเิ วณธาตุกมั มนั ตรังสีใหม้ ากท่ีสุดเท่าทีจ่ ะทาได้ 3. เนือ่ งจากขณะทเ่ี กิดพลงั งานนิวเคลยี ร์ จะมรี ังสอี อกมาดว้ ย รังสนี จ้ี ะมอี านาจ ในการผา่ นวตั ถตุ า่ งกัน จึงควรใช้วตั ถุทีร่ งั สที ะลผุ ่านไดน้ ้อยมาเป็นเครอื่ งกาบัง โดยมากมักใช้ตะก่วั คอนกรตี การทางานเกยี่ วกบั นวิ เคลียรต์ อ้ งมเี ครอ่ื งมอื วดั รังสี เพื่อรูป้ รมิ าณรงั สี เพอ่ื ปอ้ งกนั อนั ตรายจากรังสี โดยปกติแลว้ ในธรรมชาติ สง่ิ มีชวี ิตจะไดร้ ับรงั สีโดยธรรมชาติอยูเ่ สมอ แตไ่ ด้รับน้อยจึงไมม่ ีอนั ตราย แนวโนม้ การใช้พลงั งานนิวเคลยี ร์จะมมี ากขน้ึ ในอนาคต เพราะความเจรญิ ทางเทคโนโลยี จงึ ควรใชด้ ้วยความระมัดระวงั เพราะพลงั งาน นวิ เคลยี รม์ ที งั้ คณุ และโทษ เช้ือเพลงิ จากพลังงานนวิ เคลียร์ พลงั งานนิวเคลียร์ (Nuclear energy) คือ พลงั งานทป่ี ลดปลอ่ ยออกมา เมอ่ื มี การแยกรวม หรือแปลงนวิ เคลยี สของอะตอม หรือจากการสลายตวั ของสารกมั มันตรังสี ซึง่ พลังงานเหล่าน้นั อาจเปน็ “พลงั งานความรอ้ น” และ “รังส”ี ในสว่ นของ “พลังงานความรอ้ น” เราสามารถนามาใช้ในการผลิตไฟฟา้ ได้ โดย นาความรอ้ นทไี่ ดไ้ ปต้มน้าให้เดอื ด และนาไอนา้ ท่ีได้ไปปน่ั กังหนั ไอน้าท่ีเช่ือมตอ่ กับเครอื่ ง กาเนิดไฟฟา้ เพอื่ ผลติ ไฟฟา้ ในโรงไฟฟ้าพลังงานนวิ เคลยี ร
ส่วน “รังส”ี เปน็ พลงั งานที่แผก่ ระจายจากตน้ กาเนดิ ออกไปในอากาศหรอื ตวั กลางใดๆ ในรปู ของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมไปถึงกระแสอนุภาคท่ีมคี วามเร็วสูงดว้ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ เปน็ เทคโนโลยที อ่ี อกแบบมาเพื่อนาพลังงานจากอะตอม ของสสารมาใช้งาน โดยอาศยั เตาปฏกิ รณป์ รมาณู แมว้ า่ ในปัจจบุ นั พลงั งานนวิ เคลยี รท์ ่มี ี การนามาใช้ จะได้มาโดยอาศัยปฏกิ ิรยิ านิวเคลยี รแ์ บบแตกตวั เพียงอยา่ งเดยี ว แตใ่ น อนาคตอาจจะสามารถนาประโยชน์จากปฏกิ ริ ิยานวิ เคลยี ร์แบบอนื่ มาใช้ได้ เชน่ ปฏิกิริยา นวิ เคลยี รแ์ บบรวมตัว พลงั งานที่ไดจ้ ากปฏิกริ ยิ านวิ เคลยี ร์ในเตาปฏกิ รณป์ รมาณู จะใชใ้ น การตม้ นา้ เพอ่ื ผลิตไอนา้ ท่จี ะใช้เปล่ียนไปเป็นพลงั งานกลสาหรับผลติ กระแสไฟฟา้ หรือ จดุ ประสงคอ์ นื่ พลังงานนิวเคลยี ร์ เป็นพลังงานรูปแบบหนึง่ ท่ไี ดจ้ ากปฏิกิรยิ านิวเคลียร์ นิวเคลยี ร์ เปน็ คาคณุ ศพั ท์ของคาวา่ นวิ เคลยี ส ซง่ึ เปน็ แกน่ กลางของอะตอมธาตุ ซ่งึ ประกอบด้วยอนภุ าคโปรตอน และนิวตรอนซ่งึ ยดึ กนั ได้ด้วยแรงของอนุภาคไพออน พลงั งานนวิ เคลียร์ บางครง้ั ใช้แทนกันกับคาวา่ พลังงานปรมาณู นอกจากน้ี พลังงานนิวเคลียรย์ งั ครอบคลมุ ไปถึงพลงั งานรังสีเอกซ์ดว้ ย (พ.ร.บ. พลงั งานเพ่อื สนั ติ ฉบบั ที่ 2 พ.ศ. 2508) พลงั งานนวิ เคลยี ร์ สามารถปลดปล่อยออกมาเปน็ พลงั งานหลาย รปู แบบ เชน่ พลงั งานความรอ้ น รังสแี กมมา อนุภาคเบตา้ อนภุ าคอลั ฟา อนุภาค นวิ ตรอน เป็นตน้ พลงั งานนิวเคลยี ร์ หมายถึง พลังงานไมว่ า่ ลกั ษณะใดๆก็ตาม ซึ่งเกิดจากนิวเคลียส อะตอมโดย 1. พลงั งานนวิ เคลยี ร์แบบฟิซช่นั (Fission) ซง่ึ เกดิ จากการแตกตวั ของ นวิ เคลยี สธาตหุ นัก เช่น ยเู รเนยี ม พลูโทเนียม เม่อื ถูกชนด้วยนิวตรอนหรือโฟตอน
2. พลังงานนวิ เคลยี รแ์ บบฟวิ ช่ัน (Fusion) เกดิ จากการรวมตวั ของนวิ เคลียส ธาตเุ บา เช่น ไฮโดรเจน 3. พลังงานนวิ เคลยี รท์ เ่ี กดิ จากการสลายตวั ของสารกัมมนั ตรงั สี (Radioactivity) ซงึ่ ใหร้ ังสตี า่ งๆ ออกมา เช่น อลั ฟา เบตา แกมมา และนวิ ตรอน เปน็ ต้น 4. พลงั งานนวิ เคลยี ร์ทเ่ี กิดจากการเรง่ อนภุ าคที่มปี ระจุ (Particle Accelerator) เช่น อิเลก็ ตรอน โปรตอน ดิวทรี อน และอลั ฟา เป็นต้น พลังงานนวิ เคลียรฟ์ ชิ ชัน่ (Nuclear fission) เป็นปฏกิ ริ ิยาที่เกดิ จากการที่ นวิ เคลยี สของอะตอม แตกตวั ออกเปน็ ส่วนเลก็ ๆ สองสว่ นในปฏิกิรยิ านิวเคลยี รฟ์ ิชชั่น เมื่อนิวตรอนชนเข้ากับนวิ เคลยี สของธาตทุ สี่ ามารถแตกตัวได้ เช่น ยูเรเนยี ม หรอื พลโู ต เนยี ม จะเกิดการแตกตวั เป็นสองสว่ นกลายเป็นธาตใุ หม่ พรอ้ มท้ังปลดปลอ่ ยอนุภาค นิวตรอนและพลงั งานจานวนมากออกมา อนุภาคนิวตรอนท่ีถูกปลดปลอ่ ยออกมา สามารถวิง่ ไปชนกับอะตอมขา้ งเคยี งเพื่อทาให้เกิดปฏิกิรยิ านวิ เคลยี รฟ์ ชิ ช่ัน และ ปลดปล่อยพลังงานและอนภุ าคนวิ ตรอนอยา่ งต่อเนื่อง เรียกวา่ ปฏิกริ ยิ าลกู โซ่ ปฏิกิรยิ านวิ เคลยี ร์ฟิวช่ัน (Nuclear fusion) ในทางฟิสกิ สน์ วิ เคลยี รแ์ ละเคมี นวิ เคลยี ร์ คอื กระบวนการทน่ี ิวเคลยี สอะตอมหลายตัวมารวมตวั กนั กลายเป็นนวิ เคลียส อะตอมทีห่ นักขึ้น และเกดิ การปลดปล่อยหรอื ดูดซับพลงั งานในกระบวนการนี้ นิวเคลยี ส ของเหล็กและนิกเกิลมพี ลงั งานพันธะตอ่ นวิ คลอี อนสูงมาก ฟวิ ชั่นของนวิ เคลยี สทัง้ สอง ชนิดกบั ธาตอุ ื่นท่มี มี วลนอ้ ยกวา่ เหล็กจะทาให้เกิดการปลดปล่อยพลงั งานออกมารุนแรง กว่าทีเ่ หล็กจะดดู ซับพลงั งานไว้ กระบวนการทด่ี าเนนิ ไปในทางกลบั กันนจี้ ะเรียกวา่ ปฏิกิริยานวิ เคลียร์ฟชิ ชนั (Nuclear fission)
หลกั การทางานของโรงไฟฟา้ พลังงานนวิ เคลยี ร์ โรงไฟฟา้ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ คอื ระบบทจี่ ะนาพลงั งานทป่ี ลดปล่อยออกมาจากปฏิกิรยิ านิวเคลียรม์ าเปลย่ี นเปน็ พลังงานไฟฟ้า โรงไฟฟา้ นิวเคลยี รโ์ ดยท่วั ไปประกอบด้วยส่วนหลักๆ 4 สว่ นคอื เตา ปฏกิ รณ์ ระบบระบายความรอ้ น ระบบกาเนิดกระแสไฟฟ้า และระบบความปลอดภัย พลงั งานทเ่ี กดิ ข้ึนในเตาปฏิกรณเ์ กิดจากปฏกิ ริ ิยานิวเคลียรฟ์ ชิ ชน่ั สิ่งท่ไี ด้จากปฏิกริ ิยา นิวเคลยี รฟ์ ชิ ชนั่ ไมไ่ ด้มเี พยี งพลงั งานจานวนมากที่ปลดปลอ่ ยออกมา แต่รวมถึงผลผลิตท่ี ได้จากปฏิกริ ิยานิวเคลยี รฟ์ ชิ ช่ัน นิวตรอนอสิ ระจานวนหนึ่ง การควบคมุ จานวนและการ เคลอ่ื นที่ของนวิ ตรอนอสิ ระภายในเตาปฏิกรณ์โดยสารหนว่ งนวิ ตรอน และแทง่ ควบคมุ จะเป็นการกาหนดว่า จะเกดิ ปฏิกริ ยิ านวิ เคลยี รฟ์ ชิ ชน่ั ขน้ึ ภายในเตาปฏกิ รณม์ ากนอ้ ย เพยี งใด พลงั งานท่ีผลติ เกิดข้นึ ภายในเตาปฏกิ รณ์ จะถกู นาออกมาโดยตวั นาความรอ้ น ซงึ่ ก็คือ ของไหล เช่น นา้ ,เกลือหลอมละลายหรอื ก๊าซคาร์บอนไดอออกไซต์ ของไหลจะ รับความรอ้ นจากภายในเตาปฏกิ รณ์ จนตวั มนั เองเดือดเปน็ ไอหรอื เปน็ ตัวกลางในการนา ความร้อนไปยังวงจรถัดไปเพือ่ ผลิตไอนา้ ไอนา้ ท่ีไดจ้ ะถูกส่งผา่ นทอ่ ไปยงั ระบบกาเนดิ กระแสไฟฟา้ ท่ไี อนา้ จะถกู นาไปขับกงั หนั ไอน้าทจ่ี ะใชใ้ นการหมนุ เครอ่ื งกาเนดิ กระแสไฟฟา้ ตอ่ ไป เชอ้ื เพลงิ นวิ เคลยี ร์ คอื วสั ดทุ ่สี ามารถนามาใช้เป็นเชอ้ื เพลงิ ในการกาเนิด พลงั งานนวิ เคลียร์ โดยท่วั ไปเราจะใช้ยเู รเนยี ม -235 เปน็ เชอ้ื เพลิงนวิ เคลยี ร์ แตย่ ูเรเนียม ในธรรมชาติไมส่ ามารถใช้เป็นเช้อื เพลิงนวิ เคลยี ร์ในโรงไฟฟา้ ได้ทันที เราจงึ ตอ้ งมี กระบวนการมากมายทจ่ี ะทาให้ไดม้ าซ่ึงยูเรเนยี ม -235 ท่ีมคี วามเขม้ ขน้ พอทจ่ี ะใชใ้ นการ ผลิตกระแสไฟฟา้ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ เชน่ การทาเหมอื งยเู รเนียม การถลุงและการ
ทาให้บรสิ ทุ ธ์ิ การใชง้ าน การเกบ็ รักษาในขั้นตอนสุดทา้ ย กระบวนการทัง้ หมดกอ่ ให้เกิด เปน็ วัฎจกั รเช้ือเพลิงนวิ เคลยี ร์ ทกุ ๆ กิจกรรมของมนษุ ย์ ก่อให้เกดิ ของเสยี ท่ตี ้องจดั การอยา่ งระมัดระวงั แต่ อย่างไรกต็ าม กากกัมมนั ตรังสเี ป็นของเสียชนดิ หน่ึงจากโรงไฟฟา้ นิวเคลยี ร์ ทต่ี ้องมกี าร จัดการอยา่ งระมดั ระวังเป็นพิเศษ ภายใต้กฎกตกิ าและแนวทางการปฏบิ ตั งิ านทีเ่ ข้มงวด โดยมีการวจิ ยั และศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ถึงวิธีการทจี่ ะลดความเสยี่ งทจ่ี ะเกิดการปนเปือ้ น และการเสยี หายของสารกัมมันตรงั สที ี่ทาการจดั เก็บอันจะมีผลตอ่ สภาพแวดลอ้ ม กากกมั มันตรังสี ก็คือ ของเสยี ไม่วา่ ในรูปของของแข็ง ของเหลว หรอื ก๊าซท่ี ประกอบ หรือปนเป้ือนด้วยสารกมั มนั ตรงั สี ในระดับความแรงรงั สีสูงกวา่ เกณฑ์กาหนด วา่ เป็นอันตรายและวสั ดนุ ้นั ๆ ไมเ่ ปน็ ประโยชนอ์ กี ต่อไปแล้ว เมอื่ ไดช้ ื่อวา่ กากกมั มันตรงั สี กากหรือของเสยี เหลา่ นนั้ จะตอ้ งไดร้ ับการบาบดั และจดั การอย่างมีระบบ และผ่านการ ตรวจสอบอยา่ งเคร่งครดั กากกัมมันตรังสีกเ็ หมือนกบั ของเสยี ชนิดอ่ืน ที่จาเปน็ ตอ้ งจดั การเพอ่ื ปอ้ งกัน ออกจากผคู้ นและสงิ่ แวดลอ้ ม กากกัมมนั ตรังสที ี่มาจากกิจกรรมการใชง้ านสาร กัมมนั ตรงั สี เชน่ กจิ กรรมทางการแพทย์ อุตสาหกรรม การเกษตร หรอื โรงไฟฟา้ พลังงานนิวเคลียร์ ถูกแบ่งออกเปน็ 3 ระดับตามความรนุ แรงของรังสีและชนิดของสาร กัมมันตรงั สี คอื กากกมั มนั ตรังสรี ะดับต่า, กากกัมมันตรงั สีระดบั กลาง, กากกัมมนั ตรังสี ระดับสูง นิยามของกากกมั มนั ตรังสีไดร้ ับการยอมรับโดยองค์กรนานาชาติ เพ่ือใชใ้ นการ กาหนดวธิ ใี นการจดั การกากกมั มันตรงั สี
ประเภทของกากกมั มนั ตรังสี 1. กากกมั มนั ตรงั สีระดับสูง ไดแ้ ก่ กาก กมั มนั ตรงั สีทเ่ี ป็นของแขง็ และของเหลวทไ่ี ดจ้ ากการฟอกกากเช้ือเพลงิ นิวเคลยี ร์ และ กากกัมมันตรังสีอนื่ ๆ ทมี่ ีระดับรังสสี ูงเทยี บเทา่ 2. กากกมั มนั ตรงั สีระดบั ปานกลาง เป็นกากกัมมันตรังสที ่ีเกิดจากการ ปฏิบัติงานท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั สารกัมมนั ตรงั สี อาทเิ ช่น เศษโลหะ กากตะกอนท่ไี ดจ้ ากการ บาบัดกากกัมมันตรงั สที ีเ่ ปน็ ของเหลว สารแลกเปลย่ี นไอออน และตน้ กาเนิดรังสีใช้แล้ว 3. กากกัมมนั ตรงั สรี ะดบั ตา่ เป็นกากกัมมันตรงั สที เ่ี กดิ จากการปฏิบัตงิ านที่ เกย่ี วขอ้ งกับสารกมั มันตรงั สี อาทิเช่น ถุงมอื เสื้อผา้ อปุ กรณท์ ที่ าจากกระดาษ กากกมั มนั ตรงั สีไมค่ งอย่ตู ลอดไป สารกัมมนั ตรังสที ุกประเภทเปน็ สารทม่ี ีการ สลายตัว โดยมชี ว่ งอายกุ ารสลายตัวแตกต่างกนั ตง้ั แต่เสยี้ ววินาที กระทง่ั นับล้านปี ดังนน้ั กากกัมมนั ตรังสไี มค่ งอย่อู ยา่ งถาวร พิษของสารรังสยี ่อมเจือจางไปตามกาลเวลา โดยท่ชี ว่ งเวลาทส่ี ารรังสสี ลายตัวไปคร่งึ หนึง่ ของปรมิ าณตง้ั ตน้ เรยี ก วา่ \"คร่งึ ชวี ติ \" โดยทัว่ ไปแลว้ เมอ่ื ทงิ้ ไว้เพยี งช่วงเวลา 10 ช่วงครึง่ ชวี ติ สารกมั มนั ตรงั สนี ัน้ ๆ กจ็ ะมี ปรมิ าณความแรงรังสคี งเหลือเพยี ง 1 ใน 1,000 เท่าของปรมิ าณต้งั ต้น และในช่วงเวลา 20 ช่วงครงึ่ ชีวิต สารกัมมันตรังสนี นั้ จะมีความแรงรังสีเหลือเพียง 1 ใน 1,000,000 เทา่ ของปรมิ าณต้ังตน้ กากกมั มนั ตรังสีจากเครอื่ งปฏกิ รณ์นวิ เคลยี ร์ การเดนิ เครอ่ื งปฏกิ รณน์ วิ เคลยี ร์ หมายถงึ การทาใหเ้ กิดปฏิกิรยิ านวิ เคลียรต์ ่อเนอื่ งตลอดเวลาทางานและควบคมุ ได้ ปฏิกิริยานวิ เคลียรใ์ นกรณีของการเดนิ เครอ่ื งปฏกิ รณ์นวิ เคลยี ร์คอื ปฏกิ ิริยานวิ เคลยี รฟ์ ิช ชัน ซึง่ คอื การทน่ี วิ เคลียสของยเู รเนยี ม-235ถกู ทาให้แตกตวั เกิดพลงั งานความร้อนและ
อนุภาคนวิ เคลยี ร์ออกมา พลงั ความร้อนนน้ั เกิดจากการทีม่ วลสารของเช้ือเพลงิ นิวเคลียร์ หายไป สว่ นอนภุ าคนวิ เคลยี ร์ทเี่ กิดขึ้นมไี ดห้ ลายอยา่ ง ทส่ี าคัญคือ นิวตรอน ซ่งึ เกิด จากปฏิกริ ยิ าฟิชชันโดยตรง แตจ่ ะเกิดมีอนภุ าคแอลฟา เบต้า และแกมมา ในเครอื่ ง ปฏกิ รณด์ ้วยจากปฏกิ ริ ยิ าข้างเคียง ตัวอยา่ งเชน่ เกิดจากการที่นิวตรอนทเ่ี กดิ ข้นึ วง่ิ ไป ชนวัตถอุ นื่ ๆ ตอ่ ไป หรอื เกดิ จากการท่ีไอโซโทปรังสี ทม่ี าจากการแตกตวั ของยูเรเนยี ม สลายตวั ใหร้ งั สอี อกมา การเกดิ ปฏกิ ิริยาฟิชชันชนิดตอ่ เนอื่ ง (Chain Reaction) จะ เกดิ ขน้ึ เฉพาะที่แกนเครอ่ื งปฏกิ รณน์ ิวเคลยี ร์ ซึ่งแท่งเช้อื เพลงิ ถูกจดั เรียงรวมมัดอยู่อยา่ ง เปน็ ระเบยี บที่ดเี ทา่ นน้ั เพราะปฏิกิรยิ าฟชิ ชันจะเกดิ ขึ้นได้ก็ต่อเม่ือ มีเชอื้ เพลิงถึงเกณฑ์ วงจรวกิ ฤต \"Critical Mass\" กากกมั มนั ตรังสที ี่เกดิ จากการเดินเครอ่ื งปฏกิ รณน์ วิ เคลยี ร์ สามารถแยกไดเ้ ป็น 2 สว่ น ส่วนที่ 1 เกดิ จากเนอ้ื เชอ้ื เพลิงโดยตรง เนื่องจากเมอื่ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าฟิชชนั ขนึ้ เช้ือเพลิงนวิ เคลยี ร์ส่วนหนึ่งจะถูกทาปฏิกริ ิยาหมดไป หรอื อีกนยั หนงึ่ คอื ถกู \"เผาไหม\"้ น่นั เอง แต่เชอ้ื เพลิงใชแ้ ลว้ หรอื \"ขเ้ี ถา้ \" นน้ั จะยงั คงอยูใ่ นแทง่ เชือ้ เพลงิ ซ่งึ ทาด้วยโลหะ คงทน โดยมิไดห้ ลดุ รอดออกมาสู่ตัวเครอื่ งปฏกิ รณ์ แท่งเชอื้ เพลิงนนั้ เราเรยี กว่า เชอื้ เพลงิ ใชแ้ ล้ว (Spent Fuel) ข้ีเถา้ หรือกากเช้อื เพลงิ ในแทง่ เชือ้ เพลิงใช้แลว้ ประกอบดว้ ยสาร กัมมนั ตรังสหี ลายชนิด ซ่ึงเป็นผลจากปฏกิ ิรยิ าฟชิ ชนั ทีท่ าใหย้ เู รเนยี มแตกตวั เป็นเสี่ยงๆ แตล่ ะเสี่ยงหมายถึงธาตขุ นาดเลก็ ลงและมไี ด้หลายชนิด นอกเหนือจากนน้ั ในแทง่ เชอื้ เพลงิ ใชแ้ ลว้ ยังมเี นอื้ ยเู รเนยี มท่ใี ช้ไมห่ มดอกี จานวนหน่งึ และมธี าตุทหี่ นกั กวา่ ยเู รเนยี ม ซง่ึ เกดิ จากปฏกิ ิรยิ ากระตนุ้ ดว้ ยนวิ ตรอน (Neutron Activation) อกี ดว้ ย ใน การเดินเครอื่ งปฏกิ รณน์ ิวเคลยี รผ์ ลิตกระแสไฟฟา้ จะมีการเกดิ กากกมั มันตรงั สีชนดิ \"เชอ้ื เพลิงนวิ เคลยี รใ์ ชแ้ ล้ว\" ประมาณ 1 ใน 3 ของแทง่ เชือ้ เพลงิ ท้งั หมดในเคร่ืองปฏกิ รณ์
เช่น หากเปน็ โรงไฟฟ้านวิ เคลยี ร์ขนาด1,000 เมกะวัตต์ จะมปี ระมาณ 30 ตันตอ่ ปี หรอื คดิ เปน็ ปรมิ าตรไดเ้ ทา่ กบั 6 ลกู บาศก์เมตร ซ่ึงจะตอ้ งนาเชอื้ เพลงิ ชดุ ใหมเ่ ข้าไปเปลยี่ น สว่ นแทง่ เชือ้ เพลงิ ใชแ้ ลว้ ท่นี าออกมา จะตอ้ งถกู นาเกบ็ ไวใ้ นสระนา้ เพอ่ื ลดอณุ หภูมิของ แท่งเชอ้ื เพลิงลงชวั่ ระยะหน่งึ หลังจากนัน้ จงึ นาไปเก็บเพื่อบาบดั หรือนาไปทง้ิ โดยถาวร ตอ่ ไป กากกัมมันตรงั สีชนดิ น้ี เป็นกล่มุ ทเ่ี รียกวา่ กากกัมมนั ตรังสรี ะดบั สงู (High-level Waste) ส่วนที่ 2 กากกัมมันตรังสที ีเ่ กิดจากสว่ นประกอบในการเดินเครื่องปฏกิ รณ์ เช่น การใช้เครอื่ งปฏิกรณ์ต้มน้าให้รอ้ นเปน็ ไอนา้ และไอนา้ น้นั ไปหมนุ ปน่ั เทอร์ไบน์ผลติ กระแสไฟฟา้ นา้ ท่ีใชน้ ้ันอาจมสี ่ิงเจือปนอย่บู ้าง สิ่งเจอื ปนในน้าท่เี ขา้ ไปสู่แกนปฏิกรณ์ อาจเกดิ ปฏิกริ ิยาจากอนุภาคนวิ เคลยี ร์ทเ่ี กิดขน้ึ ทาใหก้ ลายเปน็ สารรงั สซี ่งึ ตอ้ งทาการ บาบดั นอกจากนั้นแลว้ ยังมีกากกัมมันตรงั สอี น่ื ๆ เช่น ชิน้ ส่วนเครอ่ื งปฏิกรณ์ที่ชารุด ตอ้ งเปล่ียนออก หรอื แม้แต่เส้ือผ้าของผู้ปฏิบัตงิ านควบคมุ หรือเดินเคร่อื งปฏกิ รณ์ เปน็ ต้น ในโรงไฟฟ้านิวเคลยี รข์ นาด 1,000 เมกะวตั ต์ จะมีกากกมั มันตรังสีในกลมุ่ ท่ี 2 ซง่ึ เรยี กวา่ เปน็ กลมุ่ กากกมั มนั ตรงั สรี ะดับต่า (Low level Waste) ประมาณ 100-600 ลกู บาศกเ์ มตรตอ่ ปี ซ่ึงจะมาจากเรซินใชแ้ ลว้ ท่ใี ชใ้ นการบาบัดนา้ มีรังสี 225 ลูกบาศก์ เมตร กากตะกอนจากการต้มระเหยกากฯของเหลว 300 ลูกบาศก์เมตร ขยะต่างๆ รวมท้ังเครอ่ื งกรองอากาศ 100 ลกู บาศก์เมตร อ่ืนๆ (ชนิ้ สว่ นอปุ กรณท์ ช่ี ารดุ ) 30 ลูกบาศก์เมตร
นอกเหนือจากสองสว่ นขา้ งต้นแลว้ ยงั มีกากกัมมนั ตรงั สจี ากการทาเหมอื งแร่ ยเู รเนยี ม กากกมั มันตรงั สีจากการสกัดธาตุยเู รเนยี มออกจากสินแร่ และกากกัมมันตรงั สี จากการผลิตแท่งเชือ้ เพลงิ นวิ เคลียร์เพอ่ื ใชง้ านในโรงไฟฟ้านวิ เคลยี ร์ รวมกนั เรยี กว่า เป็น กากกมั มนั ตรังสจี ากวฏั จักรเชอื้ เพลิง ซ่งึ ในกลุ่มน้ีมีปริมาณของกากฯ ทบี่ าบัดแล้วไม่มาก นักการทจี่ ะไดม้ าซึ่งความปลอดภยั ในโรงไฟฟา้ พลังงานนวิ เคลยี ร์ การทจ่ี ะได้มา ซง่ึ ความปลอดภยั ในโรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลยี รน์ ้นั จะใช้หลักการ “การปอ้ งกันเชิงลกึ ” โดยจะมหี ลักการและระบบความปลอดภยั หลายๆ ระบบทางานรว่ มกนั เพือ่ เพิม่ ความ มนั่ ใจในความปลอดภยั ในการใช้งานเตาปฏิกรณ์ ระบบความปลอดภยั ของโรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลยี ร์ ประกอบดว้ ยเกราะปอ้ งกันทางกายภาพหลายๆ ชนั้ ที่ป้องกนั การ ร่วั ไหลของรังสีจากแกนปฏกิ รณส์ ่สู งิ่ แวดลอ้ มภายนอก โดยระบบความปลอดภัยของ โรงไฟฟา้ พลังงานนิวเคลยี ร์ จะมีการออกแบบใหม้ ีระบบสารอง และออกแบบให้ลดความ ผิดพลาดจากการปฏบิ ตั งิ าน โดยระบบความปลอดภยั ท้งั หมดนี้ สามารถคดิ เป็นมูลคา่ ถงึ หนง่ึ ในส่ีของราคาลงทนุ ของโรงไฟฟา้ ในโรงไฟฟา้ พลังงานนวิ เคลยี รโ์ ดยทัว่ ไป มีการ ออกแบบเพื่อป้องกนั การรว่ั ไหลของรังสใี นลักษณะตา่ งๆ เช่น เชอ้ื เพลิงนวิ เคลยี ร์ที่ถูกทา ให้อยูใ่ นรูปของเม็ดเซรามิค ซ่ึงทนต่อการกดั กรอ่ นโดยสารกมั มนั ตภาพรงั สที ี่เกิดขึ้น จะ ถกู กกั อย่ใู นเมด็ เชือ้ เพลงิ ไมส่ ามารถร่วั ไหลออกสูภ่ ายนอกได้ หลังจากนนั้ เม็ดเช้อื เพลงิ จะ ถูกบรรจอุ ยู่ในทอ่ โลหะผสมเซอรโ์ คเนยี ม และทาการปดิ ผนึกหัวและทา้ ยทอ่ เรยี กว่าแท่ง เช้อื เพลงิ ซึ่งจะถูกบรรจไุ วใ้ นถงั ความดันขนาดใหญท่ หี่ นาถงึ 30 เซนติเมตร และทั้งหมด จะตดิ ตัง้ อย่ภู ายในอาคารคลมุ ปฏกิ รณท์ ี่ทาจากคอนกรีตอดั แรงที่มี ความหนาอยา่ งนอ้ ย 1 เมตร แตจ่ ริงๆ แล้วระบบความปลอดภัยท่มี อี ยู่โดยธรรมชาตขิ องเตาปฏกิ รณโ์ ดยทว่ั ไป คอื สมั ประสทิ ธท์ิ างอณุ หภมู ิและสมั ประสทิ ธิ์ทางไอน้าที่มคี า่ เป็นลบของตัวเตา ปฏกิ รณ์ โดยทวั่ ไป กลา่ วคอื หากเตาปฏกิ รณท์ างานในระดบั สงู กว่าทต่ี ้องการ อณุ หภมู ิท่เี พ่มิ ขึน้ ของเตาปฏกิ รณ์ จะทาให้การเกิดปฏิกิรยิ านวิ เคลยี รท์ ่เี กิดขึ้นภายในเตาปฏกิ รณล์ ดลง (มี
การใชห้ ลกั การนี้ในออกแบบการควบคมุ กาลังของเตาปฏิกรณร์ ่นุ ใหมๆ่ ) และนอกจากนี้ การท่ีเตาปฏกิ รณท์ างานในระดับสงู กว่าทีต่ ้องการนนั้ จะทาให้มไี อนา้ เกดิ ข้ึนภายในแกน ปฏกิ รณม์ ากขึน้ ซึง่ เป็นการลดประสิทธภิ าพในการหนว่ งนิวตรอน ทาให้นิวตรอนทจี่ ะทา ให้เกดิ ปฏิกิรยิ านวิ เคลยี รใ์ นแกนปฏกิ รณล์ ดลงโดย อตั โนมตั ิ หลงั จากทแ่ี ท่งควบคมุ ถูก สอดเข้าไปในแกนปฏิกรณ์เพอื่ จบั นิวตรอน และหยุดการเกิดปฏิกริ ิยานวิ เคลยี ร์ ระบบ ระบายความร้อนเตาปฏกิ รณจ์ ะทางาน เพอ่ื รักษาระดบั อณุ หภูมิของเตาปฏิกรณ์ (เพือ่ ปอ้ งกนั ความเสยี หายทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ต่อเตาปฏกิ รณ)์ และอณุ หภูมภิ ายในอาคารคลุม ปฏกิ รณ์ ในโรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลยี ร์ จะใช้ระบบความปลอดภยั ทั้งแบบแอคทีพ ท่ี ต้องการพลังงานไฟฟา้ หรือพลังงานกลในการทางาน หรือในบางระบบก็จะใช้ระบบการ ทางานแบบแพสซพี ทไี่ ม่ได้ต้องการแหลง่ พลงั งานภายนอก เชน่ วาลว์ ระบายแรงดัน และทงั้ สองระบบกย็ งั ตอ้ งการระบบสารอง เพอ่ื ให้สามารถม่นั ใจไดใ้ นความปลอดภัย ซึง่ ในการออกแบบระบบความปลอดภยั ให้ทางานแบบแพสซพี โดยใชห้ ลกั การต่างๆ เช่น การนาความรอ้ น แรงโนม้ ถ่วง ความตา้ นทานต่ออุณหภมู ทิ ส่ี ูงหรอื อืน่ ๆ โดยไมพ่ ึ่ง เครอ่ื งมอื ทางวศิ วกรรมท่ีสลบั ซบั ซอ้ นนัน้ ซ่ึงเตาปฏิกรณโ์ ดยทัว่ ไปจะมกี ารใช้หลักการ เหล่านีอ้ ยู่แลว้ เชน่ การท่ีออกแบบให้สัมประสทิ ธิท์ างอณุ หภูมิของตวั เตาปฏิกรณ์มีคา่ เปน็ ลบ ดังที่กล่าวไปขา้ งต้น แตใ่ นการออกแบบเตาปฏกิ รณ์รุน่ ใหมๆ่ ได้มกี ารใช้ระบบ แพสซพี ในระบบระบายความร้อนเตาปฏิกรณ์และระบบอ่ืนๆ แทนระบบแอคทพี อีกด้วย ข้อด-ี ข้อเสยี ของโรงไฟฟา้ นิวเคลยี ร์ข้อดี 1. เช้ือเพลิงมรี าคาถูก 2. สามารถผลติ พลังงานไฟฟา้ ได้ปริมาณมาก 3. ปริมาณของเสยี นอ้ ยเมื่อเทยี บกบั วธิ ีการผลติ ไฟฟา้ แบบอน่ื ๆ
4. สามารถยดื อายุการใช้งานของเช้ือเพลิงและโรงไฟฟา้ ได้ตามหลัก วทิ ยาศาสตร์ 5. สามารถขนส่งเชอ้ื เพลิงไดง้ า่ ย 6. ไม่สรา้ งกา๊ ซเรือนกระจกและฝนกรด ขอ้ ดอ้ ย - การแกไ้ ขป้องกัน 1. เนอ่ื งจากมรี ะบบความปลอดภยั และการป้องกันรงั สที ีเ่ ข้มงวด จึงใชเ้ งนิ ลงทนุ มาก 2. เชื้อเพลงิ นวิ เคลยี รใ์ ชแ้ ลว้ สามารถนาไปผลิตอาวธุ นวิ เคลียร์ได้ 3. การเกบ็ รกั ษาเชื้อเพลิงใชแ้ ลว้ มกี ัมมนั ตรังสีระดบั สงู ตอ้ งควบคุมอย่าง เข้มงวด
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: