ฐานขอ้ มลู ทางศาสนา ในเขตเทศบาลเมืองแพร่ โดย กองการศกึ ษา เทศบาลเมอื งแพร่
ฐานข้อมูลทางศาสนา ในเขตเทศบาลเมืองแพร่ ที่ ชอื่ ศาสนสถาน ทต่ี ง้ั หมายเหตุ 1 วดั พระบาทมง่ิ เมืองวรวิหาร 2 วัดหลวง ถนนเจริญเมอื ง ตำบลในเวยี ง อำเภอเมือง 3 วดั พงษส์ ุนันท์ แพร่ จังหวัดแพร่ 54000 4 วัดพระนอน 5 วดั ศรบี ุญเรือง ตัง้ อยทู่ หี่ มบู่ ้านวดั หลวง ต.ในเมอื ง อ.เมือง 6 วัดหวั ขว่ ง จ.แพร่ 7 วัดศรีชมุ 8 วันเมธงั กราวาส (วดั นำ้ คือ) ตง้ั อยบู่ นถนนคำลือ ตำบลในเวียง อำเภอ 9 วดั สระบอ่ แกว้ เมือง จังหวดั แพร่ 10 วดั จอมสวรรค์ 11 วดั ชยั มงคล 39 ตำบล ในเวยี ง อำเภอเมืองแพร่ แพร่ 12 วดั เหมอื งแดง 54000 13 วดั ต้นธง 14 วัดรอ่ งซอ้ 75 ถนน เหมอื งหลวง ตำบล ในเวียง 15 วดั เชตะวัน อำเภอเมืองแพร่ แพร่ 54000 41 ถนน คำแสน ตำบล ในเวยี ง อำเภอ เมืองแพร่ แพร่ 54000 ถนนเจรญิ เมอื ง (ตรงขา้ มศาลจังหวดั แพร่, ประตูศรชี ุม) ต.ในเวียง อ.เมอื ง จ.แพร่ เลขที่ ๑ ถนนน้ำคือ ตำบลในเวียง อำเภอ เมอื งแพร่ จังหวดั แพร่ 888 ยนั ตรกจิ โกศล 2 ตำบล ในเวียง อำเภอเมอื งแพร่ แพร่ 54000 ตำบลทุ่งกวาว อำเภอเมืองแพร่ จงั หวัด แพร่ 54000 71 วัดชยั มงคล ตำบล ในเวียง อำเภอ เมอื งแพร่ แพร่ 54000 ถนนเหมืองแดง ตำบลเหมืองหม้อ อำเภอ เมอื งแพร่ จังหวดั แพร่ 376 ซ. เจริญเมอื ง ตำบล ในเวียง อำเภอ เมอื งแพร่ แพร่ 54000 75 ถนน เหมืองหลวง ตำบล ในเวียง อำเภอเมอื งแพร่ แพร่ 54000 ซอย 1 ถนนเชตวัน ตำบล ในเวียง อำเภอ เมืองแพร่ แพร่ 54000
ชอ่ื ข้อมูล วดั พระบาทม่ิงเมืองวรวิหาร สถานท่ีต้ัง ถนนเจรญิ เมอื ง ตำบลในเวยี ง อำเภอเมอื งแพร่ จังหวัดแพร่ 54000 ประวัติ วัดพระบาทมิ่งเมือง ตั้งอยู่ถนนเจริญเมือง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ แต่เดิมเป็นวัดราษฎร์ต่อมา ในปี พ.ศ. 2498 ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกฐานะวัดพระบาทมิ่งเมือง เป็นพระอารามหลวง ช้นั ตรี ชนิดวรวหิ าร วดั พระบาทม่ิงเมืองมาจากสองวดั รวมกัน ไดแ้ ก่ วดั พระบาท และวดั มงิ่ เมือง ตั้งอยู่ห่างกัน เพียงมีถนนกั้นเท่านั้น วัดพระบาทเป็นวัดของพระยาอุปราชหรือเจ้าหอหน้า ส่วนวัดมิ่งเมืองเป็นวัดของเจ้า ผู้ครองนครแพร่ เมื่อเมืองนครแพร่ถูกล้มเลิกระบบเจ้าผู้ครองนคร วัดทั้งสองก็ ถูกทอดทิ้งอยู่ในสภาพ ทรุดโทรมมาก กระทงั่ คณะกรมการจงั หวัดเห็นสมควรรวมสองวดั เขา้ ดว้ ยกัน ให้ชื่อวา่ วดั พระบาทม่ิงเมืองวัดนี้ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธโกศัยศิริชัยมหาศากยมุนี พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแพร่ และยังมีพระเจดีย์ มิ่งเมือง ซ่ึงเปน็ เจดยี ์เก่าแก่มีรอย พระพทุ ธบาทจำลองอยูภ่ ายใน นอกจากนีว้ ดั นีย้ งั เปน็ ท่ีตง้ั ของอาคารยาขอบ อนุสรณ์เพอ่ื ระลกึ ถึง \"ยาขอบ\"หรือ นายโชติ แพร่พันธ์ุ นักเขียนผู้ลว่ งลบั ไปแลว้ ซึง่ เป็นทายาทเจา้ นครเมืองแพร่ องคส์ ดุ ท้าย แหล่งอ้างองิ จากวิกพิ เี ดีย สารานุกรมเสรี ภาพถ่าย
แบบบนั ทกึ ฐานขอ้ มูลทาศาสนา ชื่อข้อมูล วดั หลวง สถานทีต่ งั้ ตง้ั อยทู่ ห่ี มู่บา้ นวัดหลวง ต.ในเมอื ง อ.เมอื ง จ.แพร่ ประวัติ สร้างเมื่อ พ.ศ. 1372 ทางกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้วัดหลวงเป็นโบราณสถานของชาติ ที่มี อายุเก่าแก่ นับพันปีแม้ว่าวัดหลวงจะเป็นวัดที่มีประวัติการก่อ สร้างมานาน ทว่าสภาพปัจจุบันของวัดยัง สมบูรณ์มาก วิหารด้านในมี พระเจ้าแสนหลวง พระพุทธรูปขนาดใหญ่ประทับนั่งปางสมาธิสร้างโดยศิลปะ ล้านนาผสมกับสุโขทัย สภาพวิหารหลวงอยู่ในสภาพสมบูรณ์เนื่องจากได้รับ การบูรณะปฏิสังขรณ์มาตลอด ด้านหลังของวิหารเป็นที่ตั้งของพระธาตุหลวง ไชยช้างค้ำเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุที่นำมาจากเมืองหงสาวดี วัดหลวง มปี ระตูวัดที่เก่าแก่ เรียกว่า \"ประตูโขง\"ใช้เปน็ ท่ีประดิษฐานรปู ปัน้ ของเจ้าเมืองแพร่ สำหรับโบสถ์ของ วัดหลวงมีชอ่ื วา่ \"โบสถ์เจา้ ผู้ครองนคร\" โบราณวตั ถทุ ่นี ่าสนใจของวัดหลวง ได้แก่ กลุ่มพระพุทธรูป ซ่งึ มจี ำนวนหลายองค์ จารึกอายุ 500ปี ศิลาจารึก เจ้าผู้ครอง นครวัดหลวงมอี าคารไม้สักหลังหน่ึง ชื่อว่า \"หอวัฒนธรรม เมืองแพร่\" เป็นที่รวบรวมศิลปะพื้นบา้ น เชน่ หีบสมบัติโบราณ โลงไมแ้ กะสลกั และสิง่ ทน่ี า่ สนใจในวดั หลวง คอื คุ้มพระลอ ซ่ึงเปน็ บา้ นไม้หลัง กะทัดรัด ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับหอวัฒนธรรม เมืองแพร่เป็นอนุสรณ์สถานครั้งที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จทัศน ศึกษา เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ด้านล่างของคุ้ม มีเครื่องทอผ้าและล้อเกวียนเก่าจำนวนหนึ่ง ชั้นบนเป็นที่เก็บของ โบราณ เช่น เตารีดสมัยโบราณแบบใช้ถ่าน เครื่องทอฝ้าย ร่มโบราณ ไม้แกะ สลัก ฯลฯ และมีรูปถ่ายของแม่เจ้าบัวถา ชายาของเจ้าเมืองแพร่องค์หนึ่งรวมทั้งรูปถ่ายของ บ้านเจ้าเมืองแพร่ซึ่งเป็นตน้ ตระกลู เจา้ อาวาสวดั หลวงองคห์ นง่ึ ประวัตขิ องวัดกล่าวไว้ว่า วดั หลวงสร้างมานานนบั พนั ปี มกี ารสร้างวัดขึ้นในบริเวณทิศตะวนั ตกของคุ้มเจา้ หลวง เมื่อปี พ.ศ.1372 คือ มีการสร้างวิหารหลวงพลนคร เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าแสนหลวง พระประธาน ของเมืองพลนคร ต่อมาในปี พ.ศ. 1600 ชนชาติขอมได้ยกทัพเข้ารุกรานเมืองพลนคร ได้เผาทำลายเมือง รวมทั้งวัด และได้เผาลอกเอาทองหุ้มพระเจ้าแสนหลวงไป จากนั้น ขอมได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น \"เมืองโกศัย\" จนถึง พ.ศ.1719 เมื่อพม่าขยายอิทธิพลมาสู่ดินแดนล้านนาและขับไล่ขอมออกไป พม่าได้เรียกเมืองพลว่า \"เมืองแพล\" ต่อมา พญาพีระไชยวงศ์ เจ้าเมืองแพลได้ทำไมตรีกับพม่าและร่วมกับส่างมังการะเจ้าเมืองพม่า ทำการบูรณะวัดหลวง เจ้าเมืองแพลและชาวเมืองแพลได้ร่วมกันสรา้ งพระธาตุหลวงไชยช้างคำ้ พร้อมกับได้หมุ้ ทองพระเจา้ แสน หลวงและใหช้ ่ือวัดเสยี ใหมว่ ่า \"วดั หลวงไชยวงศ์\" แหลง่ อา้ งองิ กลมุ่ งานขอ้ มูลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนกั งานจงั หวดั แพร่ ภาพถ่าย
แบบบันทกึ ฐานขอ้ มูลทาศาสนา ช่ือข้อมูล วดั พงษส์ ุนันท์ สถานที่ต้งั ตัง้ อยบู่ นถนนคำลือ ตำบลในเวยี ง อำเภอเมือง จังหวดั แพร่ ประวตั ิ วดั พงษ์สุนันท์วัดมพี ระนอนมีพระนอนสีทองอรา่ มอยู่รมิ กำแพงเป็น สญั ลักษณ์ของวดั ใกล้กบั ซุ้มประตู มงคล 19 ยอด วัดพงษ์สุนันท์เป็นวัดประจำตระกูลวงศ์บุรี เดิมเป็นวัดร้าง ชื่อ \"วัดปงสนุก\" ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2472 ได้มีการบูรณะวัด และสร้างวิหารใหม่ขึ้นโดยมีหลวงพงษ์พิบูลย์ หรือ พระยาบุรีรัตน์ (เจ้าพรหม) และเจ้าสุนันตา เจ้าของบ้าน วงศ์บุรีเป็นศรัทธาหลัก วัดนี้จึงเปลี่ยนชื่อเป็น วัดพงษ์สุนันท์ ตามชื่อหลวง พงษ์พิบูลย์ และ เจ้าแม่สุนันตา - พระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ชื่อว่า \"พระเจ้าแสนสุข\" มี อายรุ าว 568 ปี เสนาสนะ ภายในบรเิ วณวัดมพี ระนอน องค์ใหญ่สีทองอร่าม ซุ้มประตูมงคล 19 ยอด มีเจดีย์ บรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตพุ ระพทุ ธรปู เก่าแกส่ วยงาม - วิหารแก้วองค์พระธาตุเจดีย์ 108 ยอด ที่เป็นวิหารสีขาวทั้งหลัง มีความหมายทางพุทธศาสนา คือ บูชาพระพุทธคูณ โดยวิหารหลังนี้มี พระธาตุเจดีย์ทั้งหมด 108 องค์ ซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงลูกแก้วทั้งหมด 108 ลูก เมื่อมองลูกแก้วสามารถเห็น \"วิหารแก้วองค์พระธาตุ เจดีย์ 108 ยอดกลับหัว\" สวยงามและน่า อัศจรรย์มาก ภายในวิหารมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ นามว่า \"พระสุรัสวดปี ระทานพร\" และ องค์เล็กที่ทำจากไม้ ขนุนทัง้ องค์ มีภาพจิตรกรรมฝาผนงั เกี่ยวกับพระพุทธรปู ในจังหวดั แพร่ ปีนักษัตร เปน็ ตน้ ส่วนในองค์พระธาตุ เจดยี ์ บรรจุ \"พระสกลุ ดำคณู เปน็ แสน ๆ องค\"์ - เจดีย์พระธาตพุ งษ์สนุ ันท์มงคล บรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตพุ ระบรมสารีรกิ ธาตุ มาจากประเทศอินเดีย และ ศรีลังกา เพื่อให้ญาติโยม ได้สักการะ รวมทั้งพระพุทธรูปเก่าแก่ และวัตถุมงคลต่าง ๆ โดยได้มีการจัด งานสรงนำ้ พระบรมสารรี ิกธาตุ งานไหว้สาพระธาตพุ งษ์ สุนนั ท์มงคล เปน็ ประจำทกุ ปใี นชว่ งเดอื นกมุ ภาพันธ์ - อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่เหมือนวัดอื่น คือ \"พระเจ้าทันใจอยู่ในท่า ประทับยืนชี้นิ้ว\" ถ้าจะขอพรต้องใช้ หน้าผากประชิดที่นิ้วชี้ของพระเจ้าทันใจ ก็จะได้สมดังปรารถนา โดยมีนายช่างชาวพม่าและ พระมหาสิทธิชัย ชยสทิ ธิ (พระเถระช่างแกะสลักไม)้ เปน็ ผปู้ ้ัน แหลง่ อ้างองิ จากวิกิพีเดยี สารานุกรมเสรี และเวบ็ ไซต์ https://www.paiduaykan.com ภาพถ่าย
แบบบนั ทกึ ฐานข้อมลู ทาศาสนา ชื่อข้อมูล วัดพระนอน สถานทีต่ ง้ั 39 ตำบล ในเวยี ง อำเภอเมืองแพร่ แพร่ 54000 ประวัติ วัดพระนอน : บันทึกที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นบันทึกที่ได้จาก การบอกเล่าของเจ้าอาวาส วัดพระนอน รูปปัจจุบัน คือ ท่ารพระครู นิพันพธ์กิจจาทร ซึ่งท่านได้เล่าไว้ดังนี้ ท่านพระครูได้พบตำนานวัด พระนอนจากหนานขัดซึ่งเป็นคนเชียงใหม่และเคยอยู่วัดพระสิงห์ ได้พบตำนานวัดพระนอนจากใบลานซึ่งได้ บันทึก เกี่ยวกับวัดพระนอน ไว้ว่าวัดพระนอนสร้างโดยเจ้าพระยาชัยชนะสงครามและพระนางเจ้า อู่ทองศรี พิมพา เมื่อ จ.ศ.๒๓๖ (ปีจุลศักราช (จ.ศ.) เป็นศักราชท่ีเริ่มเมือ่ พ.ศ. ๑๑๘๑ (ค.ศ. ๖๓๘) นับรอบปีตั้งแต่ ๑๖ เมษายน ถึง ๑๕ เมษายน (ผู้กำหนดให้ใช้จุลศักราช คือ พระยากาฬวรรณดิศ เมื่อคราวประชุม กษัตริย์ใน ลา้ นนา)ท่ไี ดท้ ำการประชมุ เหล่ากษตั รยิ ท์ ำการลบศักราชปี มหาศกั ราช แล้วตง้ั จุลศกั ราชขึ้นมาแทน เดมิ เข้าใจ กันว่าเป็นศักราชของพมา่ ปรากฏอยูต่ ามตำราโหราศาสตร์ แต่ทว่าปที ี่ต้ังจุลศักราชนั้น เป็นเวลาก่อนปี ที่พระ เจา้ อโนรธามังชอ่ จะประสตู ิ เมื่อไทยอโยธยารับศักราชนี้ไปใช้ เลยเกิดความเชื่อกันว่าเป็นศักราชของชาวพม่า จุลศักราชถูก นำมาใช้แพร่หลายท้ังในอาณาจักรล้านนา อาณาจักรสุโขทัยสมัยหลัง และอาณาจักรอยุธยา ในสมัยของพระ เจา้ ปราสาททอง ทรงตัดปจี ุลศักราช และใช้ปีศกั ราชจุฬามณีแทน เปน็ ผลทำใหป้ นี กั ษตั รคลาดเคลื่อนไปสามปี ต่อมา จึงได้เปลี่ยนกลับไปใช้ปีจุลศักราชตามเดิม และตกทอดมาถึงปัจจุบัน การคำนวณปี พ.ศ. จาก จ.ศ. ปฏิทินไทยให้ใช้ปี จ.ศ. บวก ๑๑๘๑ ก็จะได้ปี พ.ศ. (เว้นแต่ในช่วงต้นปีตามปฏิทินสุริยคติที่ยังไม่เถลิงศกจุล ศักราชใหม่) แต่เดิมนั้นวัดนี้มีพระพุทธรูปปางไสยาสส์ คือพระนอนซึ่งองค์จริงนั้นเป็นหินยาวขนาด หกศอก ต่อมาเจา้ ปู่ท้าวคำซ่ึงเปน็ พระอัยกาของพระยาชัยชนะสงครามเห็นวา่ ไม่ปลอด ภัยจง่ึ ไดส้ งั่ ให้น้างพระนอนองค์ ใหญ่ครอบองค์เดิมไว้และช่วยกนั ตกแต่งพระพุทธรูป นอนองค์ใหม่ให้สวยงามพอดีมีกองทัพพม่าเข้ามารุกราน เมืองโกศัยชาวเมืองก็ต่ืนกลัว พากนั อพยพหลบล้ีตามป่าเขาโดยยังมิทันได้ฉลองพระพุทธรูปนอนเจ้าพระยาชัย ชนะ สงครามเหน็ เหตุการณ์ดังนัน้ จงึ ตรสั สั่งมเหสวี ่า\"ดูกร เจา้ พิมพา ศึกมาถึงบ้านเมืองแล้ว ความแตกตื่นย่อม มีดังนี้ ขอให้สร้างให้เสร็จแล้วทำบุญวันรุ่งขึ้นของวันใหม่ แล้วเจ้าชัยชนะสงครามก็ออกศึกและสวรรคต ใน สนามรบ น้องชื่อท้าวยาสิทธิ์แสนหาญ ออกรบสู้พม่าก็หายสาบสูญอีก นางพิมพาจึงได้ลงมือสร้างวัดพระนอน เจดยี ข์ นึ้ แล้วจารกึ ในแผน่ ทองคำเปน็ ตวั หนงั สือพื้นเมอื งเหนือว่า\" วดั พระนอนนใี้ หม้ กี ารนมสั การไหวส้ าในเดือน เจ็ดใต้เดือนเกา้ เหนอื ขึน้ สบิ หา้ ค่ำ ดังนน้ั วัดพระนอนจะมีงานนมัสการในวันดงั กล่าวทุกปี เมื่อนครโกศัยไม่มีเจ้าปกครองเมืองได้ละทิ้งวัดพระนอนเป็นวัด ร้างเป็นเวลานานเท่าได้ไม่ปรากฏมี ต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นคลุม บริเวณวัดมีเถาวัลย์ขนาดใหญ่ที่ชื่อว่าผักหละ หรือผักชะอมขึ้น ปกคลุมพรนอนเป็น เวลานานจนบรเิ วณนน้ั กลายเป็นปา่ ต่อมามี พ่อค้าตา่ งเมืองเดนิ ทางมาคา้ งแรมบริเวณดังกล่าวเห็นผกั หละ งาม ดีจึงเอาไปเป็นอาหารและได้พบก้อนอิฐอยู่ทั่วไป พวกพ่อ ค้าจึงสงสัยว่าเป็นวัดร้างและนำความไปเล่าให้ ชาวบ้านฟัง ชาว บ้านก็แตกตื่นช่วยกันหักล้างถางพง พบต้นไม้ใหญ่เป็นต้นมะม่วง ขึ้นปกคลุมพระนอนคล้าย กับร่ม ชาวบ้านเกิดศรัทธาจงึ ช่วยกัน บูรณะซ่อมแซมให้สวยงามและแข็งแรงและได้ตั้งชื่อว่าวัดเสยี ใหม่ว่า \"วัด ต้นม่วง\"และในการบูรณะครั้งนั้นได้พบแผ่นทองคำจารึกของพระ นางพิมพาจึงได้รู้ว่าวัดม่วงคำนั้นนั้นแต่เดิม
คือวัดพระนอนและสัน นิษฐานวา่ วัดพระนอนน้ีได้สร้างสำเร็จในเดือนเก้าเหนือข้ึนสบิ ห้าค่ำ ทั้งนี้โดยถือเอาคำ จารกึ ในแผ่นทองคำเป็นหลักวดั พระนอนเป็น ปูชนียสถานเกา่ แก่แหง่ หนงึ่ ของจังหวัดแพร่ ไดร้ บั เกรียติจากทาง จังหวัดให้เป็นสถานท่ีท่องเที่ยวแหง่ หนึ่งของเมืองแพร่ วัดพระนอน ได้สรับการประกาศตั้งขึ้นเป็นวัดเมือ่ พ.ศ. ๑๓๒๐ ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายนพ.ศ.๒๕๓๖โดยสิ่งก่อสร้าง ที่มีอยู่ ในบริเวณวดั พระนอนได้แก่ ๑. อุโบสถซึ่งสร้างแบบสมัยเชียงแสนไม่มีการเจาะหน้าต่างแต่ทำผนังเป็นช่องแสงแทน สำหรับ ลวดลายหน้านั้นเป็นลวด ลายแบบอยุทธยาตอนปลายผูกเป็นลายก้านขดและ มภี าพรามเกยี รตปิ์ ระกอบ ๒. วิหารซึ่งมีรูปแบบการก่อสร้างเช่นเดียวกับอุโบสถแต่การตกแต่งบริเวณ ชายคาเป้นไม้ฉลุโดยรอบ และหลังคาประดับดว้ ย ไม้แกะสลักเปน็ รปู พระยานาคบริเวณหน้าจ่ัว ๓. พระพุทธรูปนอนปางสีหไสยาสน์ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น มีความยาว ๕ เมตร ลงรักปิดทอง ตลอดองค์ ๔. เจดีย์ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังอุโบสถ เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำรูป ๘ เหลี่ยม มีประพุทธรูปอยู่ ๔ ด้าน \"วัด พระนอนแต่ก่อนเก่ากาล มีแต่นานเนื่องมาน่านับถือ มีประวัติสืบเล่า เขาเลื่องลือ ว่าเคยชื่อ \"ม่วงคำ\" จำมา นาน อนุชนรุ่นหลังรับฟงั ไว้ จงภมู ใจซง่ึ คุณค่ามหาศาล มรดกตกทอดตลอดกาล อยู่คู่บ้านเมืองแพร่แต่นเี้ ทอญ\" แหล่งอ้างอิง กลุม่ งานข้อมูลสารสนเทศและการส่อื สาร สำนกั งานจังหวดั แพร่ ภาพถ่าย
แบบบนั ทกึ ฐานขอ้ มูลทาศาสนา ชอ่ื ข้อมูล วัดศรบี ญุ เรือง สถานทีต่ งั้ 75 ถนน เหมอื งหลวง ตำบล ในเวียง อำเภอเมืองแพร่ แพร่ 54000 ประวัติ จากการสืบค้นหาประวัติของการสร้างวัดศรีบุญเรืองไม่ปรากฏเอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ ยืนยันแน่ ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้สรา้ งและสร้างในสมัยใด แต่จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ท่ีเชื่อถือได้ วัดศรีบุญเรืองสร้าง มานานกว่า ๒๐๐ ปีขึน้ ไป และได้มีการเร่ิมต้นบันทึกกันเริ่มท่ี พญาแสนศรขี วาเป็นผู้บูรณปฏิสังขรณ์ บุตรของ พญาแสนศรีขวาคือ พญาประเสริฐชนะสงครามราชภักดีต่อมา “แม่เจ้าคำป้อ” ซึ่งเป็นบุตรของพระยา ประเสริฐฯ ได้สมรสกับ “พระวิชัยราชา” (นามเดิมว่า ขัติ หรือเจ้าหนานขัติ) เป็นกำลังสำคัญในการบูรณะ ซ่อมแซม และอุปการะวัดนี้มาตลอดอายุขัยของท่านท้ังสอง หากจะสันนิษฐานการสร้างวัดศรีบุญเรืองน้ี แบ่งได้ ๒ แนวทาง คือ แนวทางสถานที่ตั้งของวัด และแนวทางประวัติศาสตร์การสืบเชื้อสายของเจ้าหลวง เมืองแพร่ หลักฐานของสถานที่ตั้ง การสร้างบ้านแปลงเมืองสมัยโบราณ การปกครองทางฝ่ายเหนือจะมีเจ้า ผู้ครองนคร หรือเจ้าหลวงปกครองในแต่ละเมือง ภูมิประเทศที่ตั้งก็คือ คุ้มเจ้าหลวงจะอยู่ตรงกลาง สร้าง กำแพงเมอื งล้อมรอบ มีประตเู ข้า – ออก ๔ ทิศดา้ นนอกกำแพงเมืองมีคูน้ำลอ้ มรอบ สว่ นลูกหลานผสู้ ืบเช้อื สาย เจา้ หลวงได้สร้างบ้านเรอื นกระจดั กระจายอยู่ภายในกำแพงเมืองนั้นเรียกว่า ในเวียง สว่ นผู้อยนู่ อกกำแพงเมือง ออกไปเรียกว่า นอกเวียง หลงั จากสรา้ งบา้ นแปลงเมอื งได้ไม่นานจงึ ได้มีการสรา้ งวัดข้ึน การสรา้ งวัดในแตล่ ะวัด จะต้องมีเนื้อที่มากกว่าการสร้างบ้านเรือน ก็เลยมีความคิดที่จะสร้างอยู่ติดกับกำแพงเมือง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มี จำนวน ๕ วดั คอื วัดหัวขว่ ง, วดั ศรชี ุม (วัดศรจี ุม),วัดหลวง, วัดพระนอน และวดั ศรบี ุญเรือง สมัยก่อนทางเดิน รอบกำแพงเมอื งดา้ นในจะเปน็ ทางเท้าเท่าน้ัน ไม่ไดเ้ ป็นถนนรอบเมอื งเชน่ ปจั จบุ ัน จงึ สนั นษิ ฐานวา่ ความเก่าแก่ ของวัดทั้ง ๕ วัดนี้คงมีความเป็นมายาวนานพอ ๆ กัน หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ ในสมัยก่อนการสรา้ งวัดข้นึ สักแห่งหนึ่ง จะต้องมีที่ดินกว้างขวางการก่อนสร้างก็ต้องใช้เงินมิใช่น้อย ตลอดจนแรงงานคนด้วยหากว่าเจ้า หลวงองค์ใดองค์หน่ึงไม่ได้สร้าง ก็ต้องเป็นบตุ รหลานผู้สืบเชือ้ สายเจ้าหลวงเท่าน้ันท่ีจะสร้างไดว้ ัดศรีบุญเรืองก็ เชน่ เดยี วกัน จากหนงั สืองานฉลองวัดศรบี ุญเรือง พ.ศ. ๒๕๑๕ เรม่ิ ตน้ ท่พี ญาแสนศรีขวาเป็นผู้บูรณปฏิสังขรณ์ ต่อมาก็คือพระยาประเสริฐชนะสงครามราชภักดีผู้เป็นบุตรซึ่งให้การอุปถัมภ์ บำรุงวัดตลอดจนพระภิกษุ สามเณรจนกระทัง้ ถึงแก่อสญั กรรม ถัดมากเ็ ป็นพอ่ เจา้ พระวชิ ัยราชาและแม่เจ้าคำป้อซ่งึ เป็นบุตรตรีของพระยา ประเสริฐฯ ก็ได้ดูแลบูรณะซ่อมแซมมาจนตราบสิ้นอายุขัยทั้ง๒ท่าน หากจะนับเชื้อสายของพ่อเจ้าพระวิชัย ราชาขึ้นไปแล้ว ท่านก็เป็นเชื้อสายของเจ้าหลวงเทพวงศ์ลิ้นตอง (ลิ้นทอง) ซึ่งเป็นเจ้าหลวงเมืองแพร่ ในปี พ.ศ.๒๓๑๖-๒๓๗๓ แตก่ ็ไม่ปรากฏว่าเจ้าหลวงได้มผี ลงานการก่อสรา้ งใด ๆ เพราะผรู้ วบรวมมจี ุดประสงค์ ที่จะให้ทราบว่า ลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเป็นเชื้อสายใดเท่านั้น และมีการสืบค้นก็จะเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๑๖ ลงมาจนถึงปัจจบุ นั สรปุ การกอ่ สร้างวดั ศรีบญุ เรือง ยงั คงไม่ทราบว่าสร้างในสมยั ใด และใครเป็น ผู้สร้าง แต่จากการสันนิษฐาน น่าจะสร้างหลังจากการสร้างบ้านแปลงเมืองไม่นานนัก เพราะวัดศรีบุญเรืองได้ สร้างขึ้นภายในบริเวณกำแพงเมืองด้านทิศใต้และผู้ สร้างน่าจะเป็นเจ้าหลวงผู้ครองเมืองแพร่องค์ใดองค์หนึ่ง เพราะจากประวตั ิศาสตรผ์ บู้ รู ณปฏสิ งั ขรณส์ ืบต่อกันมานน้ั ลว้ นเป็นเชือ้ สาย เจ้าหลวงทัง้ น้ัน
แหล่งอา้ งอิง เว็บไซต์ http://www.wungfon.com ภาพถ่าย
แบบบนั ทึกฐานขอ้ มลู ทาศาสนา ชือ่ ข้อมูล วัดหัวข่วง สถานท่ตี ั้ง 41 ถนน คำแสน ตำบล ในเวยี ง อำเภอเมอื งแพร่ แพร่ 54000 ประวัติ วัดหัวขว่ ง คาดวา่ สรา้ งข้นึ ในสมยั พ่อขุนหลวงพล เมือ่ ทา่ น อพยพ มาจากเมืองสบิ สิงปันนา (น่านเจ้า) ทางตอนใต้ของ จีน ท่าน ลงมาตั้งที่ บริเวณ อำเภอร้องกวาง แตก่ ็ พบว่ามีผปู้ กครองอยแู่ ลว้ คือ เจา้ วงพระถาง เฒ่า จึง ย้ายมาบริเวณอำเภอเมืองแพร่ เมื่อท่านมาสร้างชุมชน ใน บริเวณ ลุ่มน้ำยมแล้ว ท่านแม่ของ พ่อขุน หลวงพล ทา่ นเปน็ คนทรี่ ักเด็ก มาก ให้เดก็ ๆ มาเรียนหนงั สือ แล้ว หาท่ีบริเวณทเ่ี ปน็ ข่วง หรอื แปล ว่าที่ลาน กว้าง สร้างวัดหัวข่วง เอาไว้ ก่อนหน้านั้น ท่านได้สร้าง วัดหลวงไว้ ก่อนด้วย (วัดหลวง คือ บริเวณ หน้า ศาลเยาวชนและครอบครวั จงั หวดั แพร่ ในปจั จุบัน) ท่ตี ัง้ วดั อยทู่ ีต่ ำบลในเวียง อำเภอเมือง เป็นวัดเก่าแก่ เชอ่ื กันว่าสร้างในสมยั เดยี วกนั กับพระธาตุช่อแฮ และวัดพระหลวงธาตเุ นิ้ง เมือ่ ปี พ.ศ.๑๓๘๗ ขนุ หลวงเจ้าเมือง พล (เมืองแพร่) ชราภาพแล้ว จึงยกเมืองพลให้ท้าวพหุสิงห์ครองท้าวพหุสิงห์มีความศรัทธาในพระบวร พระพทุ ธศาสนา อยา่ งแรงกลา้ หลังจากครองเมอื งพลได้หน่ึงปจึงใหข้ ุนพระวิษณวุ ังไชยไปว่าจา้ งชาวี เมืองเวียง พางคำเชียงแสน มาซ่อมแซมบูรณะวัดหลวง แม่เฒ่าจันคำวงค์ แม่ของขุนหลวงพลเห็นฝีมือของช่างท่ีสามารถ บูรณะวัดหลวงได้สวยงาม จึงให้ช่างดังกล่าวสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่ง โดยใช้พื้นที่ที่ใช้เป็นข่วงเล่นกีฬาประจำเมือง เป็นท่สี รา้ งวัดและเรยี กชอื่ วัดน้วี า่ วัดหวั ขว่ งสงิ หช์ ยั แหลง่ อา้ งองิ กลุม่ งานข้อมูลสารสนเทศและการสอ่ื สาร สำนักงานจงั หวดั แพร่ ภาพถ่าย
แบบบันทกึ ฐานข้อมลู ทาศาสนา ชือ่ ข้อมูล วดั ศรีชมุ สถานท่ีต้ัง ถนนเจริญเมอื ง (ตรงข้ามศาลจังหวดั แพร่, ประตศู รชี ุม) ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่ ประวัติ วัดศรีชุมบริเวณท่ีตั้งวดั ศรีชุม แต่เดิมนัน้ คงเป็นไม้สักที่มคี วามรม่ เย็น และอุดมสมบูรณ์ มีฤๅษีจำนวน ๕ ตน บำเพ็ญตบะอยู่ที่แห่งนี้ ฤๅษีได้ใช้ความรู้ด้านยาสมุนไพรช่วยรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยโดยไม่หวัง ผลตอบแทน ต่อมาบ้านเมืองเจริญขึ้นประชาชนชาวเมืองได้ตั้งบ้านเรือนมากขึ้น ทำให้บริเวณแห่งนี้ไม่เหมาะ กับการบำเพ็ญสมาธิภาวนา จึงได้ย้ายที่บำเพ็ญในสถานที่แห่งใหม่ ในสมัยขุนหลวงพล เจ้าผู้ครองนครแพร่ได้ สร้างวัดและเจดีย์ขึ้น ณ ที่แห่งนี้ทรงโปรดให้ชื่อว่า “วัดฤๅษีชุม” กล่าวว่าเป็นวัดที่มีความงดงามมากเจดีย์ ห่ม ดว้ ยทองคำ และ มคี วามย่ิงใหญ่ประชากรอยู่เย็นเป็นสุข กาลเวลาต่อมากองทัพพม่ายดึ อาณาจักรล้านนาแล้ว ยกทพั บกุ เมอื งแพร่ซึง่ เป็นเมืองประเทศราชได้ทำลายวัดและไดล้ อกเอาทองคำกลบั ไป ทำให้วัดศรีชุมกลายเป็น วัดร้าง จากการบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทราบว่าวัดศรีชุม สร้างเมื่อ พ.ศ.๑๓๒๒ (จุลศักราช ๖๘๗) โดยอปุ ราชเมืองสโุ ขทัย ซง่ึ เสด็จมาสร้างเจดียช์ ่อแพร (พระธาตุชอ่ แฮ) ตอนท่ีทรงมาพำนัก ทคี่ มุ้ เจ้าหลวงเมือง แพร่ (สมัยเจ้าเทพวงศ์หรือเจ้าหลวงลื้นทอง) และทรงเห็นทำเลทิศตะวันตกของคุ้มมีซากเจดีย์เก่า สถานที่ร่ม รื่นเหมาะที่ที่จะสร้างพุทธสถานให้คณะสงฆ์บำเพ็ญวิปัสสนา จึงพร้อมใจกันกับเจ้าเมืองแพร่บูรณะวัดขึ้นตาม ลกั ษณะวัดสมยั สโุ ขทัย ในครง้ั นน้ั ได้บรู ณะเจดียส์ รา้ งพระวิหารพระยืน กำแพงวัดดา้ นหนา้ ซึ่งเปน็ รูปปั้นรูปเทพ นมสลบั กบั แจกันดอกไม้ ป้ันรปู ฤๅษบี ำเพญ็ ตบะไว้ดา้ นหน้าประตูทางเขา้ และบนจ่วั หน้าวหิ าร โดยใช้ช่างฝีมือดี จากเมอื งพางคำหรือเมืองเชียงแสน และขนานนามว่า “วัดศรชี ุม”มีงานฉลองสมโภชวัด ๗ วัน ๗ คนื พร้อมทั้ง โรงทานไว้สี่มุมเมืองและมีเจ้าผู้ครองนครสุโขทัยและเมืองเชียงแสนนำพระพุทธรูปสำริดมาถวายซึ่งได้แก่ พระพุทธรูปทองสำริด สมัยสุโขทัยผสมล้านนาปางมารวิชัย และพระพุทธรุปทองสำริดสมัยเชียงแสนปางมาร วิชัย ในอดีตวัดศรีชุมเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในด้านการศึกษาวิปัสสนาธุระและคันถธุระ เนื่องมากจากครูบา อตุ มา อตดี เจา้ อาวาสก็เป็นผูท้ ่ีเคร่งครัดด้านธรรมวนิ ัยและมีความสามารถด้านการศึกษาทว่ั ไปอย่างยิ่ง จะเห็น ไดว้ ่าจากพระอัจฉริยะแห่งล้านนา คอื ครบู ากญั จนาอรัญวาสีมหาเถระ หรอื ครมู ามหาเถร ยังมาอุปสมบทและ ศึกษาเล่าเรียนที่วัดแห่งนี้ พระคู่บ้านคู่เมือง พระคู่บ้านคู่เมืองนี้ มีอยู่คู่กับจังหวัดแพร่ตั้งแต่กำเนิดบ้านเมือง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2524 ได้หายไป และทางการตำรวจได้ติดตามคืนมาให้ เจ้าแม่จันทร์แสง โพธิรังสิยากร จึงได้ออกแบบปราสาทบรรจุไว้ด้ววยความร่วมมือของคณะกรรมการวัดสรีชุมและบุตรหลาน ได้ทำการฉลอง รับขวัญเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม 2525 พร้อมกรุงรัตนโกสินทร์ฉลองครบรอบ 200 ปี เพื่อสถิตย์สถาพรเป็น สิริมิ่งมงคลคู่บ้านคู่เมืองสืบไป วัดศรีชุมนับว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญทางศาสนาและสังคมเพราะแต่เดิม การ ถวายสลากภัตรถือว่าเป็นธรรมเนียมว่าวัดในเมืองแพร่ต้องให้วัดศรีชุมเป็นวัดที่ถวายก่อนการกระทำที่นี่และ ชาวบ้านจะนิยมนำบุตรหลานมาบวชเรียนด้วย วัดศรีชุม ถือว่าเป็นวัดแห่งแรกในเขตอำเภอเมืองที่ได้รับ พระราชทานวสิ ุงคามสีมา พระเจดยี ์ เป็นศิลปะแบบลา้ นนา สรา้ งประมาณ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ มีลักษณะทรง ปราสาท ยอดทรงระฆัง มีฐานย่อมุม ๒๘ มุม กล้างด้านละ ๔ วา ด้านบนมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูป ปางประทับยืนซึ่งปัจจุบันชำรุด พระเจดีย์นี้กรมศิลปากรได้จดทะเบียนเป็นโบราณวัตถุของกรมศิลปากรตาม ประกาศใน หนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๓ ตอนที่ ๑๕๙ ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๒ ลงวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๘ ประวัติหลวงพ่อพระยืน วัดศรีชุมเป็นพระพุทธรูปในแบบที่นิยมสร้างในสมัยสุโขทัย
ณ วัดศรีชุม ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่ สร้างในปี พ.ศ.1900 โดยพระเจ้าพญาลิไท เจ้าเมืองสุโขทัย ขณะ ประทับไดม้ าอยูเ่ มืองแพร่ ได้สรา้ งถวายสร้างพระพุทธรปู างประทับยืน ชอ่ื \"พระอฏั ฐารส\" เปน็ ศิลปะสุโขทัยที่มี ความงดงามยังเหลอื อูใ่ หป้ ระชาชนไดม้ าเคารพบชู า แหลง่ อ้างอิง เวบ็ ไซต์ http://www.phrae108.com ภาพถ่าย
แบบบันทึกฐานข้อมูลทาศาสนา ชือ่ ข้อมูล วัดเมธังกราวาส (นำ้ คือ) สถานทีต่ ้ัง เลขที่ ๑ ถนนน้ำคือ ตำบลในเวียง อำเภอเมอื งแพร่ จังหวดั แพร่ ประวัติ วัดเมธังกราวาส เป็นวัดที่สร้างมานาน ไม่มีประวัติที่จะค้นหาหลักฐานได้ จากคำบอกเล่าของหนาน น้อย ศรีจันทรากูล อายุ ๙๔ ปี (เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๔๓) ซึ่งเป็นกรรมการอาวุโสของวัดเล่าว่า วัดเมธัง กราวาสแต่เดิมเรยี กกนั ว่า วัดนาเหลียว เขา้ ใจว่านางเหลยี วเป็นผู้ถวายทีด่ ินให้เป็นท่ีตัง้ วัดในสมัยแรกเพราะใน ปจั จุบันศรัทธาวัด เม่ือมีการทำพธิ ีไหว้เจ้าท่ขี องวัดก็จะพูดว่าไปไหวเ้ จา้ นางเหลยี ว และด้วยเหตุท่ีท่ีเขตวัดที่ต้ัง วัดติดกับคเู มือง(คอื เมอื ง) ชาวบา้ นเรยี กวา่ นำ้ คอื จงึ เรยี กช่อื วดั น้ีว่า “วดั น้ำคือ” ต่อมาได้เปลย่ี นช่อื เป็น “วัดเม ธังกราวาส” โดยเปลี่ยนตามสมณศักดิ์ของเจ้าอาวาส ที่พระราชาคณะพระมหาเมธังกร ซึ่งได้รับแต่ตั้งเป็นเจ้า คณะจังหวัดแพร่ จากคำบอกเล่าของนางยุพยง ศรีสวัสดิ์ อายุ ๘๑ ปี (๒๕๔๗) ว่าได้มีการประชุม คณะกรรมการให้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดเมธังกราวาส”และจากคำบอกกล่าวของนางอำนวย วิชาวุฒิพงษ์ อายุ ๗๗ ปี (๒๕๔๗) อดีตข้าราชการครูซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของพ่อหนานนวล ทองด้วง อดีตมัคนายกคนหนึ่งของ วดั ทำใหท้ ราบวา่ ทดี่ นิ ของวดั นัน้ เดมิ ทอี าณาเขตถึงหนา้ ตลาดสดเทศบาลเมอื งแพร่ ตอ่ มาทางการต้องการสร้าง ถนนรอบเมืองจึงได้ขออนุญาตจากทางวัดสร้างเป็นถนนและวัดก็ได้จัดสร้างอาคารพาณิชย์ปัจจุบันมีจำนวน ๑๗ ห้อง เพื่อเปน็ ผลประโยชน์ให้แก่วดั จากความทรงจำของผู้เฒ่าผู้แกห่ ลาย ๆ ท่าน ทเี่ ปน็ ศรัทธาของวัดท่ีได้ เล่าให้ฟังถึงเจ้าอาวาสที่ปกครองวัดตามลำดับจงึ นา่ วิเคราะห์ได้วา่ วัดนี้สร้างราวปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ซึ่งในกาลครั้ง นั้นลักษณะเป็นวัดขนาดเล็กที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง เข้าใจว่าผู้สร้างวัดคือตระกูล “วังซ้าย” พระพุทธรูป สำคัญคือพระพุทธรูป พระพุทธรูปน้ำออกเศียร(ตามคำบอกเล่าของท่านผู้สูงอายุในสมัยนั้นได้เลา่ ไว้ว่าในสมัย เจ้าคุณพระมหาเมธงั กร เปน็ เจา้ อาวาส มีภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ไดบ้ อกกล่าวว่า มพี ระพทุ ธรูปบูชาอย่ใู นวดั รา้ ง อำเภอปง จังหวัดเชียงราย หากท่านเจ้าคุณมีความต้องการก็ให้นำมาไว้ที่วัดน้ำคือ ทางวัดจึงจัดคณะบุคคลที่น่าเชื่อถือ และเป็นกำลังสำคัญของวัดโดยการนำของพ่อหลักฟอง อินทุดม (ผู้ใหญ่บ้าน) บิดาของนายเดช อินทุดม อดีต ศึกษาธกิ ารจังหวัดไปนำมาไวท้ ว่ี ดั และเปน็ ทนี่ ่าสงั เกตว่า หลวงพอ่ องคน์ ้ีเม่ือนำออกมาสกู่ ลางแจ้งเม่ือใดจะมีฝน ตกตลอดเวลา ซึ่งในสมัยก่อนเมื่อถึงเวลาสงกรานต์จะได้อัญเชิญหลวงพ่อมาเข้าขบวนแห่ให้ชาวบ้านได้สรงนำ้ ก็จะมีฝนตกอย่ตู ลอดเวลาเมื่อใดเกิดฝนแล้งกจ็ ะอาราธนาหลวงพ่อออกมาสักการะ กจ็ ะมีฝนตกทุกครัง้ วัดเมธังกราวาส ตั้งอยู่เลขที่ ๑ ถนนน้ำคือ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ สังกัดคณะสงฆ์ มหานิกายไดร้ ับพระราชทานเขตวสิ ูงคามสีมา เมอื่ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๖๒ เขตวสิ งุ คามสีมา กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร ประกอบพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๖๙ ที่ดินที่ตั้งวัดมีเนื้อที่ ๖ ไร่ ๒ งาน ๓๖ ตารางวา มีเอกสารสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ ๘๖๐๕ และมีธรณีสงฆ์อีก ๓ แปลง เอกสารสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ ๕๙๑, ๘๒๓ และ ๘๖๐๕ เขตติดต่อ ทิศเหนือติดบ้านโพหยิ่น (ปัจจุบันที่ตั้งโรงเรียนอนุบาลเพ็ญรัต) ทิศ ตะวนั ออก ติดถนนน้ำคือ ทศิ ตะวนั ตก ตดิ ถนนรอบเมือง หนา้ ตลาดสดเทศบาล ทศิ ใต้ ติดลำเหมอื ง (เดิมคือลำ เหมืองหลวง ติดตอ่ ออกไปสคู่ เู มือง ปัจจบุ นั เป็นถนนออ้ มวัดทางทิศใต้ และทิศตะวันตกของวดั แหล่งอา้ งอิง เว็บไซต์ http://www.wungfon.com
ภาพถา่ ย แบบบนั ทกึ ฐานขอ้ มูลทาศาสนา
ชื่อข้อมูล วัดสระบอ่ แกว้ สถานทตี่ ั้ง 888 ยันตรกิจโกศล 2 ตำบล ในเวยี ง อำเภอเมืองแพร่ แพร่ 54000 ประวตั ิ วดั สระบ่อแกว้ เปน็ วัดที่มศี ิลปะการก่อสร้างเป็นแบบพมา่ และเป็นวดั ที่ชาวพมา่ สร้างข้ึนเพ่ือปฏิบัติกิจ ทางศาสนา ประวัติความเป็นมา มีชนชาวพม่า 3 เผ่า คือเผ่าพม่า เผ่าต่อสู้ และเผ่าไทยใหญ่หรือเง้ียวที่เข้ามา พ่งึ พระบรมโพธิสมภารเพ่ือคา้ ขาย ทำงานในบริษัทที่ได้รับการสมั ปทานการทำไม้และขุดพลอยท่ีตำบลบ่อแก้ว ต่อมาได้ภรรยาเป็นคนไทย ต่างก็นับถือพุทธศาสนาเช่นเดียวกับคนไทยในจังหวัดแพร่ แต่มีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่แตกหต่างจากชาวไทยทำให้มีอุปสรรคทั้งการใช้ภาษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมในการบำเพ็ญ กุศลตลอดจนถึงทำนองในการสวดมนต์ไหว้พระแม้แต่ภาษาบาลีก็ไม่เหมอื นกับพระสงฆไ์ ทยชาวพม่าจึงได้รว่ ม ใจกันสรา้ งวดั ของแตล่ ะกลุม่ ชนขน้ึ เพ่ือเป็นทีท่ ำบุญบำเพ็ญกุศลของตนขนึ้ ดงั น้ี 1. วดั จองเหนอื (วัดจอมสวรรค)์ สรา้ งขึน้ ประมาณ พ.ศ. 2547 2. วัดจองกลาง (วดั สระบอ่ แกว้ ) สร้างขึน้ ประมาณ พ.ศ. 2419 3. วัดจองใต้ (วดั ต้นธง) สรา้ งข้นึ เมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจน วัดสระบ่อแก้วหรือวัดจองกลาง เป็นวัดทีช่ าวพม่าซึ่งอาศยั อยู่ในบริเวณสองข้างถนนนำ้ ืคอื และถนน ยันตรกิจ โกศลเปน็ ผูส้ รา้ ง วัดนีไ้ ด้ช่ืออีกหนึ่งวา่ วดั สามโพธิ์ เนื่องจากมชี นชาวพม่าตระกลู โพ สามตระกลู เป็นผู้สร้างและ ปฏิสังขรณ์ ผู้่ริเริ่มสร้่างวัดนี้ คือ หม่องโพอ่าน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2419 เมื่อหม่องโพอ่านเสียชีวิต หม่องโพ หยิ่นและภรรยาชื่อ อูนุ ได้ร่วมกับชาวพม่าที่มาจากเมืองหงสาวดี เมื่องย่างกุ้งและเมืองมันตะเลย์ ปฏิสังขรณ์ กุฏิ วิหาร โบสถ์ และพระเจดีย์ของวัดจองกลางอีกครั้งหนึ่ง ขณะนั้นวัดนี้มีพระพม่าจำพรรษาเพียง 1 รูป คือ พระอูมาลา เมื่อพระอูมาลามรณภาพก็ไม่มีพระพม่าจำพรรษา ไม่มีเจ้าอาวาส วัดนี้จีงกลายเป็นวดั ร้างหลายปี จนกระทั้ง พ.ศ. 2508-2509 ชาวพม่าตระกูลโพ คือหม่องโพเส่ง ภรรยาชื่อแม่จันทร์ ได้เป็นผู้อุปฏฐาก จากวัดจองกลาง และได้สืบเสาะหาพระพม่ามาเป็นเจ้าอาวาสและได้พระอู่ปัญญาสิรินันทะมา เป็นเจ้าอาวาส เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2538 เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้แ่ก่ หลวงพ่อสมนึก ขันติจาโรซึ่งได้รับการแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2540 โบราณสถานและโบราณวัตถุทีส่ ำคัญในวัดประกอบด้วย วิหารซึ่งเป็นลักษณะ ศิลปะแบบพม่าเช่นเดียวกับ วัดจอมสวรรค์ คือจะเป็นทั้งโบสถ์ ศาลา กุฏิในอาคารหลังเดียวกัน หลังคาเดิม มุงดว้ ยไม้ต่อมาเมื่อมกี ารบูรณะใหม่จะใช้กระเบื้อง อโุ บสถมลี ักษณะ 2 ช้นั จะเปดิ ใช้เมือ่ มพี ธิ ีกรรมทางศาสนา พระพุทธรูปที่ประดิษฐานในวัดนี้เป็นพระพุทธรูปทำนำมาจากเมืองมันดะเลย์ ประเทศพม่า เป็นหินอ่อนก้อน เดียวจำลองจากพระมหาอัญมณีฉลุในเคร่ืองทรง แกะสลกั ดว้ ยฝมี อื ท่ี ละเอียดและมีความประณตี มาก ปิดทอง ทั้งองค์ยกเว้นพระพักตร์ เนื่องจากองค์พระพุทธรูปจะปิดทองหนามาร องค์พระจึงนิ่มชาวบา้ นเรียกวา่ พระเจา้ เนอ้ื น่มิ ทุกเช้าเวลาตี 4 จะตอ้ งมีการสรงพระพักตร์พระพทุ ธรปู ด้วยนำ้ อบน้ำหอม
แหล่งอา้ งอิง เว็บไซต์ http://www.phrae.go.th ภาพถ่าย
แบบบันทึกฐานขอ้ มูลทาศาสนา ชื่อข้อมูล วัดจอมสวรรค์ สถานท่ตี ัง้ ตำบลทงุ่ กวาว อำเภอเมืองแพร่ จงั หวดั แพร่ 54000 ประวัติ วัดจอมสวรรค์ : สร้างสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2437 โดยชาวเง้ียว ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในพม่า และเดินทางมา ค้าขายที่เมืองแพร่ เมื่อเกิดเหตุการณ์เงี้ยวปล้นเมืองแพร่ วัดจึงถูกปล่อยให้ทรุดโทรม ต่อมา ได้รับการบูรณะจากชาวไทยใหญภายในวัดมีโบราณวัตถุที่มีคุณค่า่ หลายอย่างของเมืองแพร่และชาติไทยเป็ น ศิลปะอันล้ำค่าของพระพุทธ ศาสนา กรมศิลปากรได้เลง็ เหน็ ความสำคัญของโบราณสถานและ โบราณวัตถุอัน ล้ำค่า จึงได้จดทะเบียนไว้ เป็นสมบัติของชาติ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2533 เพื่อจะได้อนุรักษ์ ไว้ให้ ลูกหลานสืบไป วดั จอมสวรรค์ ต้งั อย่บู นถนนยันตรกิจโกศล ตำบลในเวียง อำเภอเมอื ง จังหวดั แพร่ อยูห่ ่างจาก ศาลากลางจงั หวดั 1 กโิ ลเมตร เปน็ วดั เก่าแกส่ ร้างด้วยศลิ ปะพุกาม (พม่า) มศี ิลปวัตถแุ ละโบราณวตั ถุทส่ี วยงาม และทรงคุณค่า ศาลาการเปรียญและกุฎิ อยู่ในอาคารเดียวกัน ตัวอาคารสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง มีหลังคาเล็ก ใหญ่ลดหลั่นกันเป็นชั้นรวม 9 ชั้น ฝาผนังแบ่งเป็นตอนๆ คล้ายข้ออ้อย ภายในแสดงให้เห็นฝีมือการตกแต่ง อย่างวจิ ติ รบรรจง เสาและเพดานประดบั กระจกสีงดงาม มีบันไดขึ้นลงดา้ นหน้า 2 ข้าง ประดบั ดว้ ยทองเหลือง ตีและเจาะให้เป็นลวดลายแบบพม่า เสาไม้ในส่วนของอาคารที่เป็นโบสถ์ลงรักปิดทอง ตกแต่งลวดลายคล้ายสี ทองน้ำ มีข้อความเป็นภาษาพม่า จารึกไว้รอบเสามีจำนวนทั้งสิ้น 35 ต้น เสาอื่น ๆ อีก 14 ต้น ลงรักปิดทอง และประดับกระจกสี เจดยี ์มีรูปทรงแบบพมา่ คอื มเี จดียใ์ หญ่อยกู่ ลางรายล้อมดว้ ยเจดยี เ์ ล็กทง้ั 4 ด้าน ด้านละ 3 องค์ โบราณวัตถุภายในวัด ได้แก่ คัมภีร์โบราณที่ทำจากงาช้าง ดอกไม้หิน ปืนคาบศิลา หลวงพ่อสาน หลวงพอ่ สานเป็นพระพุทธรปู ท่สี ร้างโดยใช้ไม้ไผส่ านเป็นองคล์ งรัก ปดิ ทอง พระพทุ ธรูปงาช้าง ศิลปะแบบพม่า คัมภีรง์ าช้าง หรือคัมภีรป์ าติโมกข์ โดยนำงาช้างมาบดแลว้ อัดเปน็ แผ่นบาง ๆ เขียนลงรักแดง จารึกเป็นอักษร พม่าบุษบกลวดลายวิจิตรงดงาม ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อน เหมาะสำหรับ เด็ก, ผู้ใหญ่, ครอบครัว, คนชรา, เที่ยวคนเดียว, เที่ยวเป็นกลุ่ม กิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยว ไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคล ชมความงาม ของวัด และชมศิลปะโบราณวตั ถุ แหล่งอ้างองิ กลมุ่ งานข้อมูลสารสนเทศและการส่อื สาร สำนกั งานจังหวัดแพร่ ภาพถ่าย
แบบบันทึกฐานข้อมลู ทาศาสนา ชอื่ ข้อมูล วดั ชัยมงคล สถานทต่ี ั้ง 71 วัดชัยมงคล ตำบล ในเวียง อำเภอเมืองแพร่ แพร่ 54000 ประวัติ วัดชัยมงคล ตั้งอยู่ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่อยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมือง ห่างจากสี่แยกบ้านทุ่งประมาณ ๔๐ เมตร อยู่ระหว่างถนนช่อแฮกับถนนเหมืองแดงต่อกัน บริเวณวัดเป็น รูปสี่เหลี่ยม พื้นที่ ๔ ไร่ ๑ งาน ๖๒ ตารางวา ตาโฉนดที่ดินเลขที่ ๗๑ ถนนช่อแฮ ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ โทรศัพท์ ๐๕๔ – ๕๑๑๓๙๕ แต่เดิมบริเวณวัดชัยมงคลเป็นทีร่ กร้างว่างเปล่า มีพฤกษาชาตินานา พันธ์ขึ้นปกคลุมโดยทั่วไป อาทิ ไม้สะแก ไม้ไผ่หลากหลายพันธุ์ ฯ เป็นที่ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำ แอ่งน้ำสำหรับเป็น แหล่งอาศยั ของโค กระบอื และช้างของชาวบา้ น สมยั เมอื่ สร้างวดั ใหม่ ๆ ชาวบา้ นเรยี กกนั วา่ “วัดชยั มงคลโป่ง จ้าง” เพราะบริเวณนี้เป็นดินโป่ง (ดินที่มีรสเค็มและหอม) เป็นธาตุอาหารสำหรับสัตว์โดยเฉพาะช้างชอบกิน วัดชัยมงคลเป็นวัดใหญ่แห่งหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองแพร่ มีศรัทธาอุปถัมภ์กว่า ๔๐๐ ครอบครัว เป็นสถานท่ี ประกอบศาสนกิจที่สำคัญเพราะรองรับจำนวนพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ผู้นำในการเข้ามาสร้างครั้งแรกคือ ท่านพระครวู งศาจารย์ (ทองคำ พทุ ธฺ วโํ ส) เปน็ ชาวบ้านสลี อ อำเภอเมอื ง จงั หวัดแพร่ บตุ รของพระยาแขกเมือง นางแว่นแก้ว ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดพระบาทมิ่งเมือง และเป็นเจา้ คณะจังหวัดแพร่ ได้ชักชวน พระธรรมธรการินตา (บางแหง่ วา่ พระวินัยธรรม) วัดนำ้ คอื (วัดเมธังกราวาส) และศิษยานุศิษย์ท้ังฝ่ายบรรพชิต และคฤหัสถ์ มาทำการจบั จองบุกเบกิ เมื่อปี ๒๔๓๔ สมยั แรกสรา้ งให้กำแพงไม้ หลังคามุงหญ้าคา ฝาไม้ขักแตะ วิหารหลังแรกสร้างตรงหอไตร (หอธรรม) ในปัจจุบัน เมื่อวัดมีสิ่งก่อสร้างพอที่จะให้พระภิกษุสามเณรพำนัก อาศัย และประกอบศาสนกิจได้พระครูพุทธวงศาจารย์ จึงแตง่ ตั้งให้พระธรรมธรการนิ ตาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ทายกทายิกานิยมเรียกท่านว่า “ตุ๊ลุงหลวง” ในระยะแรกแห่งการสร้างวัดนั้น ยังไม่มี ประชาชนมาอาศัยมากนัก เมื่อมีคนอาศัยอยู่ย้อยจึงมีประชาชนจากหมู่บ้านตา่ ง ๆ เช่นชาวหัวข่วง บ้านน้ำคือ บ้านทุง่ ต้อม ทยอยกันออกมาจับจองท่ีอยู่ใกล้วัดมากขึ้น ตอ่ มาพระธรรมธรยิการนิ ตา ซงึ่ ได้ปกครองวัดมาถึงปี ๒๔๕๑ จึงเห็นว่ากุฏิ วิหารและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ได้ชำรุดทรุดโทรมลง ประกอบกับกำลังศรัทธาอุปถัมภ์มาก พอสมควรแล้ว ทา่ นจงึ ได้ชักชวนทายกทายิกาและพระภิกษุสามเณรคดิ ก่อสร้างขึน้ ใหม่ การกอ่ สร้างคร้ังน้ีท่าน ตั้งใจให้เป็นศาสนวัตถุถาวรมั่นคง เพราะท่านมีความชำนาญด้านช่างอยู่แล้ว จึงเริ่มการก่อสร้างใหม่ทั้งหมด โดยสร้าวิหารก่อนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๑ การก่อสร้างวิหารหลังที่ ๒ นี้ก่อด้วยอิฐถือปูน เสาไม้ เครื่องบนด้วยไม้ ต่าง ๆ หลงั คามุงด้วยกระเบอ้ื งไม้สัก (แป้นเกลด็ ) ชอ่ ฟ้าใบระกาทำด้วยไมท้ ้งั หมด สว่ นอฐิ ท่ีใชก้ ่อผนงั วิหารและ สิง่ ก่อสร้างอน่ื ๆ ภายในวดั น้นั ไดอ้ าศยั กำลงั พระภิกษุสามเณรและทายกทายิกา ป้ันเอง เผาเอง ท้ังสิ้น โดยไม่ มีค่าจ้าง อาศัยกำลังศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง สถานที่สำหรับปั้นอิฐเผาอิฐคราวนั้น คือตรงที่ต้ัง โรงเรียนเทศบาลวดั ชัยมงคลในปจั จุบัน ส่วนศรัทธาผู้อุปถัมภ์และเป็นหวั เรี่ยวหวั แรงสำคัญยิ่งในการสร้าวิหาร หลังท่ี ๒ นี้ ซึง่ อนชุ นท้งั หลายจะลมื ไมไ่ ด้เลยคือ พอ่ หนานอ่อน เอกภูมิ เดมิ ทา่ นเป็นชาวลับแล จังหวดั อตุ รดิตถ์ แตด่ ว้ ยเหตทุ ่ีพอ่ หนานอ่อนมีงานเกี่ยวกับการอุตสาหกรรมไมเ้ พราะท่านเปน็ เจา้ ของช้างจำนวนมาก และมีงาน ทำไม้ลากไม้เป็นงานประจำเมื่อมามีหลักฐานมั่นคงและมีฐานะดีอยู่ใกล้วัดที่กำลังก่อสร้าง ท่านจึงทุ่มตั วเข้า อุปถัมภ์ชนดิ ที่วา่ “ศรัทธาเกา๊ ” เลยทเี ดยี ว การก่อสร้างส่วนใหญเ่ ชน่ เสา เครอ่ื งบน ชอ่ ฟ้า ใบระกา ตลอดจน วิจิตรกรรมฝาผนัง เพดาน และอื่น ๆ ก็ได้รับศรัทธาจากพ่อหนานอ่อนทั้งสิ้น ท่านที่เคยเห็นวิหารหลังท่ี ๒ คง
จำได้ว่ามีชื่อ นายอ่อน เอกภูมิ ผู้สร้าง การสร้างพระประธานองค์ปัจจุบัน ในระยะที่กำลังก่อสร้างวิหารหลังที่ สองอยู่นั้น พระพุทธวงศาจารย์และพระธรรมธรการินตาเจา้ อาวาส ได้ดำเนินการสรา้ งองค์พระประธานขนาด ใหญ่ ๑ องค์ด้วย (ประดิษฐานในพระอุโบสถหลังปัจจุบัน) ก่อด้วยอิฐถือปูน การก่อสร้างทั้งวิหารและองค์พระ ประธาน ได้สำเร็จลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ทำการฉลองสมโภชในปี ๒๔๕๖ ต่อมากุฏิท่ีพักของพระภิกษสุ ามเณร หลักแรก ซึ่งสร้างขึ้นอย่างคร่าว ๆ มีหลังคามุงด้วยคา ฝาไม้ไผ่ พื้นกระดานดังกล่าวแล้วแต่ต้นได้ทรุดโทรมลง ตามภาวะ พระธรรมธรการนิ ตา เจา้ อาวาสจงึ ดำเนินการรอ้ื ถอนและสร้างข้นึ ใหม่ เป็นกฏุ ไิ มช้ ั้นเดียว หลังคามุง ด้วยกระเบื้องไม้สักมีห้องนอนกว้างขวางเพียงพอ สามารถบรรจุพระภิกษุสามเณรได้ประมาณ ๓๐ รูป การสร้างกุฏิหลังที่ ๒ นี้ ก็อาศัยการเสียสละทั้งอุปกรณ์การสร้างและแรงงานจากพ่อหนานอ่อน เอกภูมิ เป็น หัวหน้างานฝ่ายฆราวาส พร้อมกับบรรดาลูกศิษย์ และทายกทายิกาเช่นเคย โดยที่ท่านพระธรรมธรการินตา บรรดาวัดไทยพื้นเมอื งในยุคเดียวกนั การก่อสร้างได้เสร็จแล้วเมือ่ ๒๔๖๕ และทำการฉลองเมื่อปี ๒๔๖๖ งาน กอ่ สรา้ งส่ิงตา่ ง ๆ ในวัดชยั มงคล มิไดห้ ยุดเพยี งแค่สร้างส่งิ ใดสิง่ หน่ึงสำเรจ็ ลงเทา่ น้ัน คงดำเนนิ การก่อสร้างส่ิงท่ี ควรอื่น ๆ ต่อเนื่องกันมิได้ขาด เนื่องจากท่านเจ้าอาวาสรูปแรกเป็นนักสร้างนักพัฒนา ในปี ๒๔๖๘ ท่านจึง สรา้ งหอไตรปิฎก (หอธรรม) ข้ึนอีกหลงั หนงึ่ เฉพาะส่วนที่เป็นตู้พระไตรปิฎก ไดร้ ับการอปุ ถมั ภจ์ ากพ่อเจ้าเสาร์ แม่เจ้าพลอย วงศ์พระถาง เป็นเจ้าศรัทธาสร้างบริจาคถวาย การสร้างท่านพระธรรมธรการินตาก็ได้แสดง ความสามารถในเชงิ ศิลปะให้เหน็ อกี วาระหนึ่ง ซง่ึ มีความวจิ ติ รสวยงามดังทีป่ รากฏอยูใ่ นปจั จบุ ัน และได้สำเร็จ ลงเมื่อปี ๒๔๗๐ ในชว่ งเวลาทกี่ ำลังสรา้ งหอพระไตรอยนู่ ้นั ยงั ไดส้ รา้ งกำแพงรอบวดั ควบคู่กนั มาด้วยซ่ึงกำแพง ดังกล่าว ก่อด้วยอิฐและเชื่อมด้วยดินเหนียว ความจริงได้สร้างค้างไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๔๕๗ งานสร้างจึง สำเร็จลงพร้อมกันในปี ๒๔๗๐ และทำการฉลองในปี ๒๔๗๑ พร้อมกับพิธีผูกพัทธสีมาด้วยต่อมาพระธรรมธร การินตา เจ้าอาวาสรูปที่หนึ่งได้ถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี ๒๔๘๔ ทางคณะสงฆ์แต่งตั้งให้พระเปง เสนทรัพย์ (ชาวบ้านเรียกว่า “ต๊ลุ งเปง”) อยูใ่ นตำแหนง่ เจา้ วาสจนถึงปี ๒๔๘๖ ก็มรณภาพ เจา้ อาวาสรูปท่ี ๓ คือพระบุญ มี สิงห์ทอง (วรจนฺโท) (ปัจจุบันคือพระครูวินัยการโกวิท) เป็นเจ้าอาวาสจนถึงปัจจุบันนี้ ปี ๒๔๙๕ ท่านและ คณะกรรมการได้พิจารณาเห็นว่ากุฏิหลังที่ ๒ ชำรุดทรุดโทรมมาก จึงรื้อถอนเมื่อปี ๒๔๙๕ และดำเนินการ ก่อสร้างกุฏิหลังที่ ๓ ขึ้น ในปี ๒๔๙๖ การสร้ากุฏิหลังที่ ๓ ที่เห็นอยู่ปัจจุบันทางวัดได้รับการบริจาคอุปถัมภ์ จากทายกทายิกา และใจบุญท้ังหลาย ช่วยสละทุนทรพั ย์สร้างข้นึ ดว้ ยศรทั ธาคณะกรรมการจงึ ใหช้ า่ งดำเนินการ สรา้ งตามแบบแปลนสมยั ใหม่ เปน็ รูปตกึ ๒ ชนั้ เสาเทคอนกรีตเสริมเหล็กมุขท้ัง ๒ และผนงั ช้ันล่าง ก่อด้วยอิฐ ถือปูน พื้น ฝา และเพดาน ทำด้วยไม้สัก หลังคามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ การก่อสร้างสำเร็จลงในปี ๒๔๙๙ และได้ทำการฉลองเพ่ือถวายไว้เป็นสมบตั ิในพระพุทธศาสนา เม่อื วันท่ี ๘ – ๑๑ เมษายน ๒๕๐๐ ต่อมาในราว ปี ๒๕๐๓ พระครูวินัยการโกวิท เจ้าอาวาส ได้ชักชวนศรัทธาประชาชนทั้งพี่นอ้ งชาวไทยและจีน ร่วมกันสร้าง ศาลาการเปรยี ญขน้ึ อีกหลังหนึ่งมีลักษณะทรงไทยช้ันเดียวส้นิ เงนิ ส้ินค่าใช้จ่ายในการกอ่ สรา้ ง ๑๗๐,๐๐๐ บาท และสร้างสำเร็จลงเมื่อปี ๒๕๐๓ โดยที่วัดชัยมงคลตั้งอยู่ในถิ่นชุมชนหนาแน่น วัดจึงเป็นสถานสงเคราะห์ ให้บริการแบบกุศลสาธารณะ แก่ประชาชนเพื่อใช้งานต่าง ๆ มิได้ขาดจึงปรากฏว่าบางครั้ง สถานที่สำหรับ ประกอบกุศลไม่เพียงพอแก่ความต้องการของประชาชน ผมู้ าขอใช้บริการกังนน้ั พอ่ ฮว่ น แม่คำป้อ ทุ่งส่ี พร้อม ด้วยลูกหลาน จึงได้สร้างศาลาหน้าอุโบสถขึ้นอีกหลังหนึ่ง แบบชั้นเดียวธรรมดาถวายไว้เป็นสมบัติใน พระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๑๔ ต่อมาทางเทศบาลเมืองแพร่ในสมัยนายนิคม พุ่มนิคม เป็นนายกเทศมนตรี ร่วมกับสมาชิกสภาเทศบาล คณะครูอาจารย์ของโรงเรียนเทศบาลวัดชัยมงคล มีนายพรหมมา ไหวเคลื่อน เป็นครูใหญ่ได้ขอใช้สถานที่มุมกำแพง หน้าอุโบสถ สร้างอาคาหัตถศึกษาให้กับ
โรงเรียนเทศบาลวัดชยั มงคล เพ่อื ให้ครูอาจารย์และนักเรียน ได้ศึกษาและฝึกกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับวิชาหัตถ ศกึ ษา เชน่ การประดษิ ฐ์ของใช้ การเยบ็ ปกั ทักร้อย และการปฏบิ ัตดิ ้านโภชนาการ เป็นตน้ ขัน้ แรกทางเทศบาล และโรงเรียนมีโครงการสร้างเป็นแบบอาคารชั้นเดียว แต่ทางวัดเห็นว่าควรสร้างเป็นสองชั้นเพื่อให้ภิ กษุ สามเณรได้อยู่อาศัยชั้นบนได้ด้วย สร้างและเสร็จในปี ๒๕๑๓ ความหลังแห่งการรื้อถอนและการก่อสร้าง อุโบสถหลังใหม่ วัดชัยมงคล อุโบสถหลังเก่าอายุ ๖๖ ปีเศษ ทรุดโทรมมากและยังไม่เป็นที่ปลอดภัยแก่ทายก ทายิกาผู้มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา กรรมการและคณะศรัทธาเห็นสมควรอย่างย่ิงที่จะรื้อถอนและ สร้างหลังใหม่ขึ้นแต่ก็ไม่มีใครเป็นแกนนำและอุทิศตัวเข้าดำเนินการ หลายปีต่อมาครูโหล แบ่งทิศ เคน อุปสมบทอยู่ที่วัดชัยมงคลมาก่อน ประกอบกับท่านเคยเป็นครูใหญ่โรงเรียนเทศบาลวัดชัยมงคล มีศรัทธา จึงนำศรัทธารื้อถอนอุโบสถหลังเก่าในวันที่ ๑๘ พ.ย. ๒๕๑๗ และทำพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถหลังใหม่วันที่ ๑๙ มิ.ย. ๒๕๑๘ โดยมีพระราชรัตนมุนี รองเจ้าคณะภาค ๖ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายช่างหล่อเสาร์อุโบสถ หลุมแรก ปี ๒๕๑๘ ใช้เวลาสร้าง ๗ ปี การก่อสร้างอุโบสถได้สำเร็จและได้ทำการฉลองอุโบสถ ในวันท่ี ๘ – ๑๑ เม.ย. ๒๕๒๖ แหล่งอา้ งอิง เว็บไซต์ http://www.wungfon.com ภาพถา่ ย
แบบบนั ทกึ ฐานข้อมลู ทาศาสนา ช่อื ข้อมูล วัดเหมอื งแดง สถานท่ีตั้ง ถนนเหมืองแดง ตำบลเหมืองหมอ้ อำเภอเมืองแพร่ จงั หวดั แพร่ ประวัติ วัดเหมืองแดง สร้างประมาณ พ.ศ. ๒๔๒๗ ที่ได้ชื่อว่า “เหมืองแดง” เนื่องจากก่อนสร้างวัด มีหนอง น้ำซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของอุโบสถหลังปัจจุบัน มีน้ำสีแดงคล้ายเลือดปนไหลออกไปบรรจบกับลำเหมืองซ่ึง ผ่านหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงเรียกชื่อตามปรากฏการณ์นี้ว่า “เหมืองแดง” ส่วนท่านผู้นำในการบุกเบิกสร้างวัดคอื ครูบาวงศ์ ทา่ นเปน็ ชาวบ้านเหมืองแดงแต่ไปบวชอย่วู ัดน้ำคือ (วดั เมธังกราวาส) ภายหลงั ท่านไดข้ ออนุญาตเจ้า อาวาสกลับมาสรา้ งวดั ทีบ่ ้านเกดิ เม่อื วัดมีฐานะมนั่ คงดแี ลว้ ท่านได้รบั การแตง่ ตัง้ ให้ดำรงตำแหน่งเจา้ อาวาสรูป แรกและวัดเหมืองแดงเมื่อได้รับการอุปการอุปถัมภจ์ ากชาวบ้านอย่างสม่ำเสมอ จึงเจริญม่ันคงมาจนถึงปุจจุบัน น้ี ลำดบั เจ้าอาวาส ๑ ครบู าอภวิ งศ์ ๒ ครูบาคำต๋ัน สุคนฺโธ ๓ ครูบาหลง ๔ พระเติง ๕ พระดัด กลยฺ าโณ (ปลูก เพาะ) ๖ พระดั ๗ พระเกี๋ยง กนฺตธมฺโม ๘ พระชาญ วัดเหมืองแดง ตั้งอยู่เลขที่ ๑๐๗ บ้านเหมืองเมือง ตำบล ในเวียง อำเภอเมอื ง จงั หวัดแพร่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ไดร้ ับพระราชทานวสิ ูงคามสีมาวันท่ี ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๓ เขตวสิ งู คามสมี า กว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๒๕ เมตร ประกอบพิธผี ูกพทั ธสมี าเมื่อวันที่ ๑๓ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๑๓ ทด่ี ินต้งั วัดมีเน้ือที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ยังไม่มเี อกสารสิทธ์ใิ ด ๆ แหลง่ อา้ งองิ เว็บไซต์ http://www.wungfon.com ภาพถา่ ย
แบบบันทกึ ฐานขอ้ มลู ทาศาสนา ชอื่ ข้อมูล วดั ต้นธง สถานทีต่ ั้ง 376 ซ. เจรญิ เมือง ตำบล ในเวียง อำเภอเมอื งแพร่ แพร่ 54000 ประวัติ วัดจองใต้ (วัดตน้ ธง) สรา้ งข้ึนเม่ือใดไมม่ หี ลกั ฐานปรากฏชดั เจน เปน็ วัดทม่ี ีศิลปะการกอ่ สร้างเป็นแบบ พม่าและเป็นวัด ที่ชาวพม่าสร้างขึ้นเพื่อปฏบิ ัติกิจทางศาสนาประวัติ ความเป็นมา มีชนชาวพม่า 3 เผ่าคือเผ่า พม่า เผ่าต่อสู้ และเผ่าไทยใหญ่หรือเงี้ยวที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสม ภารเืพื่อค้าขาย ทำงานในบริษัทที่ได้รับ การสัมปทาน การทำไม้และขุดพลอยที่ตำบลบ่อแก้ว ต่อมาได้ภรรยา เป็นคนไทย ต่างก็นับถือพุทธศาสนา เชน่ เดียวกับคนไทยใน จังหวัดแพร่แตม่ พี ธิ ีกรรมตา่ งๆ ทแ่ี ตกหตา่ งจากชาวไทย ทำให้มอี ุปสรรคทง้ั การใช้ภาษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมในการบำเพ็ญกุศลตลอดจนถึงทำนองในการสวดมนต์ ์ไหว้พระแม้แต่ ภาษาบาลีก็ไม่เหมือนกับพระสงฆ์ไทยชาวพมา่ จึงได้ร่วมใจกันสร้างวดั ของ แต่ละกลุ่มชนข้ึนเพื่อเป็นท่ี ทำบุญ บำเพ็ญกุศลของตนขึน้ ดังนี้ 1. วัดจองเหนือ (วัดจอมสวรรค์) สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. 2547 2. วัดจองกลาง (วัดสระบอ่ แก้ว) สรา้ งขึ้นประมาณ พ.ศ. 2419 3. วดั จองใต้ (วัดตน้ ธง) แหลง่ อา้ งอิง กล่มุ งานข้อมลู สารสนเทศและการส่อื สาร สำนกั งานจังหวัดแพร่ ภาพถ่าย
แบบบันทกึ ฐานข้อมลู ทางศาสนา ช่ือข้อมูล วัดร่องซ้อ สถานท่ตี ั้ง 75 ถนน เหมอื งหลวง ตำบล ในเวียง อำเภอเมืองแพร่ แพร่ 54000 ประวัติ วัดร่องซ้อผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังมีชีวิตอยู่ช่วงปี ๒๕๔๓ กล่าวว่า วัดร่องซ้อไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างข้ึน เมื่อใดและใครเป็นคนสร้าง อาณาเขตบริเวณวัดเป็นป่าไผ่หนาทึบ ห่างจากบริเวณวัดทางทิศตะวันตก ๕๐ เมตร มีร่องน้ำ(ชาวบ้านเรียก ฮอ่ งน้ำ) ท่ีมตี น้ ซอ้ ข้ึนตามแนวเขตร่องน้ำ กระจดั กระจายอยูท่ ว่ั ไปมีทางเดินเรียบ แนวตลอดทาง ผู้ที่ใช้เส้นทางนี้ส่วนมากเป็นพ่อค้าวัวต่างจากอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ พ่อค้าวัวต่างจาก จังหวดั พระเยาตลอดจนถงึ ชาวบ้านปงศรสี นุก (ชุมชนวดั หลวง, วัดพงษส์ นุ ันท์ ในปัจจุบนั ) ทอ่ี ยู่ในตัวเมืองแพร่ ที่ย้ายออกมาทำไร่ ทำสวน ได้ถางดงไผ่กับพ่อค้าวัวต่างโดยจัดบริเวณตรงกลางของดงไผ่โล่ง และให้ส่วนหนึ่ง เป็นรั้วล้อมบริเวณนี้ไว้สร้างเป็นที่พักและผูกวัวควายได้ ครั้งแรกเป็นแบบพักชั่วคราว ต่อมาได้ย้ายมาอยู่เป็น การถาวร ใชเ้ ป็นสถานท่ที ำการค้าขายแลกเปลย่ี นสินคา้ ซึง่ กนั และกัน พอ่ คา้ วัวตา่ งเมอื่ เดนิ ทางมาถงึ บริเวณนี้ก็ หยุดพักอาบน้ำ หุงหาอาหาร และพักแรมเป็นประจำทำการให้การประกอบอาชีพไปมาค้าขายสะดวกสบาย จนมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น ทุกคนต่างมีความสำนึกในบุญคุณของบริเวณที่ได้พักพิงเพื่อไปค้าขายเป็นอย่าง มาก จึงคดิ ถงึ เร่อื งการสร้างบุญสรา้ งกุศลให้แก่ตัวเองและครอบครัว จงึ ไดร้ ่วมแรงร่วมใจกนั สรา้ งศาลาหลังเล็ก มุงด้วยหญ้าคาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นที่พักของสงฆ์และเป็นสถานที่ให้พระสงฆ์มารับบิณฑบาตรับ จตปุ ัจจัยไทยทานเป็นครั้งคราว จากป่าไผ่ปา่ ไม้ซ้อ แปรเปลยี่ นสภาพเปน็ หมูบ่ ้าน มสี ถานท่ีทำบุญเป็นสัดส่วน ชาวบ้านที่อยู่ในเมืองและต่างถิ่นก็มาจับจองเป็นเจ้าของที่ดินมากขึ้น ในจำนวนชาวบ้านที่อาศัยพื้นที่ส่วนนี้ โดยมากเป็นต้นตระกูล “ร่องซ้อ” และ “อินต๊ะนอน” ต่างก็ได้เชิญชวนผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาช่วยกัน ออกแนวคิดร่วมแรงร่วมใจและกำลังทรัพย์ขยายที่ทำบุญสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้น โดยเชิญชวนชาวบ้านและ พ่อค้าวัวตา่ งมารว่ มสนับสนุนดา้ นกำลังเงนิ กำลังกายชว่ ยกันสรา้ งถาวรวตั ถุทีม่ ั่นคงถาวรเพ่ิมเติม เช่น สร้างกุฏิ วิหาร ศาลา บอ่ น้ำ และเรยี กชือ่ สถานทท่ี ำบุญว่า “วัดฮอ่ งซ้อ” ตามสภาพภมู ปิ ระเทศทเ่ี ป็นร่องน้ำและมีต้นไม้ ซ้อขึน้ โดยท่ัวไปชื่อ “วัดฮ่องซ้อ” เรียกขานกันมาเทา่ ใดไม่ปรากฏและบ้านเรือนท่ีอยู่บรเิ วณโดยรอบก็เรียกขาน ตามชื่อวัดไปด้วยว่า “บ้านฮ่องซ้อ” ซึ่งมีความหมายว่าร่องน้ำที่มีต้นซ้ออยู่นั้นเอง แล้วกลายมาเป็นคำว่า “ร่องซ้อ” ในที่สุด ที่ตั้งของวัดปัจจุบันวัดร่องซ้อตั้งอยูทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกำแพงเมืองแพร่ ทิศเหนือ ติดถนนร่องซ้อ ทิศตะวันออกติดกับหมู่บ้านร่องซ้อ ทิศตะวันตกติดกับถนนสานร่องซ้อทางไปวิทยาลัยเทคนิค แพร่ พื้นที่ของวัดมีทั้งหมด ๔ ไร่ ๑๔ ตารางวา ขึ้นทะเบียนประกาศเป็นวัดชื่อ “ร่องซ้อ” เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๔ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๑ ถูกต้องตามกฎมหา เถรสมาคม กรมศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ถาวรวตั ถุทส่ี ำคัญมี (๑) พระพุทธรปู ประทบั ยนื ปางเปดิ โลกสูง ๓ เมตร ๓๓ เซนติเมตร เป็นพระประธานในโบสถ์ อยู่คู่กันมาช้านานไม่ปรากฏ พ.ศ. ที่สร้างนับสันนิษฐานมีมา ยาวนานกวา่ ๒๐๐ ปี (๒) พระพุทธรปู บชู าเนอ้ื ทองสัมฤทธิ์ ๑ องค์ ปางมารวชิ ัยหน้าตกั กว้าง ๙ นิว้ (๓) อโุ บสถ สรา้ งสมยั พระอธิการฮอ่ น กิตตสิ าโร (๔) เจดีย์ สรา้ งสมยั อธิการเฉลิม ฉน.ทกโร ปี ๒๕๒๔
แหล่งอา้ งอิง เว็บไซต์ http://www.wungfon.com ภาพถ่าย
แบบบันทกึ ฐานข้อมลู ทางศาสนา ชอ่ื ข้อมูล วดั เชตะวนั สถานทต่ี ้ัง ซอย 1 ถนนเชตวัน ตำบล ในเวียง อำเภอเมอื งแพร่ แพร่ 54000 ประวัติ วัดเชตะวัน ตั้งอยู่บริเวณชุมชนบ้านเชตะวัน ซ่ึงในอดีตเคยเป็นพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ เนื่องจาก ลักษณะภูมิประเทศอยู่ติดกับแม่น้ำยม และมีพื้นท่ีบางส่วนเป็นหนองน้ำ รวมถึงมีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะต้นไม้เล็ก ๆ เช่น ต้นก้างปลา ต้นหนามเค็ดเค้า นอกจากนี้ก็มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ต้นสัก ต้นฉำฉา ต้นตะเคียน เป็นต้น ชาวบ้านในสมัยก่อนเรียกบ้านเชตะวันว่าบ้านเก็ดตะวันร้องก้างปลา หรือบ้านร้องขี้ปลา เนื่องจากบริเวณหมู่บา้ นมีปลาอาศัยอยู่มากมาย ต่อมาได้มีชาวบ้านอพยพมาจากต่างถิ่นจับจองแผว้ ถาง ทำไร่ ทำสวน นานวันเข้าจึงลงหลักปักฐานสร้างบ้านเรือน และเกิดเป็นหมู่บ้านเล็ก ชื่อว่า บ้านเก๊ตตะวัน หรือ บ้านเจตะวัน ต่อมาจำนวนประชากรในหมู่บ้านเริ่มเพิ่มมากขึ้น จึงได้ขยายหมู่บ้านออกไปทางทิศใต้ ติดกับ หมบู่ ้านสองแคว อยใู่ นเขตการปกครองของตำบลป่าแมตหมู่ที่ 13 ชอ่ื วา่ บา้ นรอ้ งก้างปลา หรือบ้านร้องขี้ปลา อีกส่วนหนึ่งอยู่ในเขตการปกครองของตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ คือ ชุมชนบ้านเชตะวัน อันเป็น ที่ตงั้ ของวัดในปัจจบุ นั แหล่งอา้ งองิ เว็บไซต์ https://www.travellerfreedom.com ภาพถ่าย
แบบบันทกึ ฐานข้อมูลทางศาสนา ช่อื ข้อมูล วดั พระรว่ ง สถานที่ตงั้ 13 ถนน พระร่วง ตำบล ในเวยี ง อำเภอเมืองแพร่ แพร่ 54000 ประวัติ วัดพระร่วง ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๑๓ ถนนพระร่วง ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ เป็นวัดท่ี เก่าแก่มีมาตั้งแต่โบราณกาล สร้างขึ้นเมื่อ ปี พุทธศักราช ๑๓๑๐ ที่มาของชื่อวัดพระร่วง วัดพระร่วงแต่เดิม สันนิษฐานว่ามิใช่ชื่อนี้ แต่จะเป็นชื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานปรากฏ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ทราบว่า สมัยกอ่ นวัดนีเ้ ดิมมีผู้คนเรยี กวา่ “วัดพญาฮ่วง” “ฮ่วง” ซงึ่ เป็นสำเนียงภาษาพนื้ เมอื ง ตรงกบั ภาษาไทยกลางว่า “ร่วง” เพราะภาษาเหนือออกเสียงตัว “ร” เป็นเสียงตัว “ฮ” เช่น “เรือน” เป็น “เฮือน” “รัก” เป็น “”ฮัก” “เรา” เป็น “เฮา” เป็นต้น ดังนั้นถ้าจะเรียกชื่อวัดนี้เป็นภาษาไทยกลางก็คือ “วัดพญาร่วง” ซึ่งคำๆ นี้จะตรง กับคำที่ชาวไทยล้านนานิยมเรียกชื่อพ่อขุนรามคำแหงว่า “พญาร่วง” คือ “พญาฮ่วง” นั่นเอง (ร่วง แปลว่า รุ่ง,เรือง) ซ่ึงน่าจะเป็นไปได้ว่า ผู้สร้างวัดพระร่วง (พญาฮ่วง) คือ พญาลิไท สร้างขึ้น นอกจากจะสืบทอด พระพุทธศาสนาแล้วคงสร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติยศ ถวายเป็นพระราชสดุดีแด่พ่อขุนรามคำแหงตามที่ชาว ล้านนานิยมเรียกพระนามว่า “พญาร่วง” ซึ่งเป็น “...พระมหาธรรมราชาผู้ปู่ฯ..) ที่ปรากฏในศิลาจารึกที่ สอดคลอ้ งกันท้งั สองหลกั คอื ศิลาจารึกวดั ป่ามะมว่ งและศลิ าจารึกวัดป่าแดง วัดพญาฮว่ ง จะเปลีย่ นเปน็ วัดพระ ยาฮ่วง หรือวัดพระร่วง เมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏ แต่ปัจจุบันผู้คนทั่วไปก็จะเรียกชื่อวัดนี้ว่า “วัดพระร่วง” ซง่ึ ก็เช่นเดียวกบั ชอ่ื ของวดั หลวงสมเดจ็ ท่ีพระมหาธรรมราชาลิไทโปรดพระราชทานนามไว้ พอเวลาผ่านมานาน ผู้คนได้เรียกชื่อวัดว่า “วัดหลวง” โดยตัดคำว่า “สมเด็จ” ออกไป ซึ่งคนรุ่นหลังก็ไม่สามารถหาเหตผุ ลได้ และ “วัดพระยาฮ่วง” ก็ถูกตัดคำว่า”ยา” ออกไป (คำว่า “พระยา” เป็นคำที่แสดงถึงบรรดาศักดิ์ที่ต่อจาก “พระ” ข้ึนไป) คงเหลือเพียงคำว่า “วัดพระร่วง” ตราบเท่าทุกวันน้ี อาณาเขตติดต่อ ทิศเหนือ จด ถนนพระร่วงและ ถนนพระร่วงซอย ๒ ทิศตะวันออก จด ถนนพระร่วง ซอย ๒ และซอยสาธารณะ ทิศใต้ จด ซอยสาธารณและ ถนนพระร่วงซอย ๓ ทิศตะวันตก จด ถนนพระร่วง ซอย ๓ และถนนพระร่วง บริเวณวัดมีเนื้อที่ ๓ ไร่ ๒ งาน ๓๗ ตารางวา ที่ธรณีสงฆ์ มี ๓ งาน ๔๕ ตารางวา วัดพระร่วงได้รับพระราชทานวิสูงคามสีมา เมื่อปี พุทธศักราช ๒๓๒๖ ลำดบั เจ้าอาวาส เนื่องจากวดั พระรว่ งเป็นวัดท่ีเกา่ แก่ รายชือ่ และปที ี่เจ้าอาวาสในชั้นต้นๆ ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงนั้นๆ จึงไม่สามารถหาหลักฐานได้ จึงได้รวบรวมได้ดังนี้ ๑. พระอธิการหนัก (ไม่ทราบ ฉายา) ๒. พระอธิการหมื่น วิรัชกร ๓. พระอธิการหลี้ วังใน ๔. พระอธิการทองคำ ไม่ทราบฉายา ๕. พระมหาอินผ่อง ไม่ทราบฉายา ปี พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๐๑ ๖. พระครูภัทรธรรมโกศล (กุศล อคฺควโร) ๒๕๐๑-๒๕๕๔ ๗. พระครูใบฎีกาประสงค์ ชินวํโส ๒๕๕๔-ปัจจุบัน สภาพเดิม พระวิหารหลังเห่าสร้างด้วยอิฐ ถอื ปนู สถาปัตยกรรมเชียงแสน (ล้านนา) เป็นพระวิหารขนาดกลางหันหน้าไปทางทิศตะวันออกมีบันได้ข้ึนสอง ด้านคือด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ ราวบันไดทั้งสองด้านมีลักษณะเป็นหางหวัน (ตัวเหงา) มีหลังคาคลุมสอง ชั้น ส่วนด้านหลังของพระวิหารทำเป็นทางขึ้นสองด้านเช่นกันแต่ขนาดเล็กกว่า ทางขึ้นด้านทิศใต้เป็นประตู สำหรบั ขึ้นลงของพระสงฆ์ท่ีเขา้ ไปปฏบิ ตั ิศาสนาพธิ ีตา่ ง ๆ สว่ นพทุ ธศาสนกิ ชนท่ัวไป ใช้ประตใู หญ่ด้านหน้าพระ วิหาร หลังคาพระวิหารท้งั หลังซ้อนกันสองช้ัน แบ่งเปน็ สองสว่ นเสมือนมสี องหลังเช่ือมต่อด้วยรางริน หน้าต่าง มีลักษณะเจาะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าใช้แผ่นไม้ทำเป็นบานปิด – เปิด ลั่นดานแผ่นไม้ที่ทำเป็นบานปิด – เปิด และลน่ั ดานดงั กล่าวนรี้ วมถงึ บานประตทู ้งั สี่แหง่ ด้วย
จากการสอบถามนักโบราณคดแี ละผู้เชยี่ วชาญงานด้านศิลปะสถาปตั ยกรรม และประติมากรรม ทำให้ทราบว่า พระวหิ ารวดั พระรว่ งหลังเก่าท่ีร้ือไปนั้นเป็นศิลปกรรมสมัยเชยี งแสน หรือลา้ นนาแน่นอน ซง่ึ อาจจะมีการสร้าง หรือบูรณปฏิสังขรณ์จากของเก่าขึ้นมาใหม่ในช่วงรัชกาลระหว่างพระเจ้าติโลกราชถึงรัชกาลพระเมืองแก้ว (พ.ศ. ๑๙๘๖ – พ.ศ. ๒๐๔๗) กล่าวเช่นนี้เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๐๒๐ เป็นปีที่พระเจ้าติโลกราชโปรดให้มี การสังคยานาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๘ ณ วัดเจ็ดยอด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่พระองค์ขึน้ ครอง เมืองเชียงใหม่แล้ว ๓๔ ปี พระเจ้าติโลกราชทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้สถาปนาคำว่า “ล้านนา” ขึ้น พระองค์ทรงได้ประกอบพระราชกรณียกิจมากมายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครอง การสงคราม การเศรษฐกิจ และเป็นการสง่ เสริมศลิ ธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมพระพุทธศาสนาในยุคของพระองค์ ถือได้ว่ามคี วามเจรญิ อยา่ งสูงสุด พ.ศ. ๒๐๓๘ – พ.ศ. ๒๐๖๘ เป็นยคุ สมัยของพระเมืองแกว้ ครองเมอื งเชยี งใหม่ ซึง่ เป็นอีกยุคหน่งึ ที่การพระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากท่ีสุด โดยมหี ลกั ฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ระบุว่า พระเมืองหรือพระเจ้าเมืองแก้วเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปทองหล่อ พระพุทธศิลป์ดูงดงา มมากคือ “พระเจา้ เก้าตือ้ ” (พ.ศ. ๒๐๔๗ – พ.ศ. ๒๐๔๘) หลังจากน้ัน พ.ศ. ๒๐๕๒ จงึ อัญเชิญไปประดษิ ฐาน ณ วดั สวน ดอก จังหวดั เชียงใหมป่ ัจจบุ ัน การทนี่ ำเหตกุ ารณ์ความเจริญทางพระพุทธศาสนาทง้ั สองสมยั มากลา่ วไว้ ณ ที่นี้ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์เมืองแพร่ในช่วงนั้นมีสถานการณ์อย่างไร ปี พ.ศ. ๑๙๘๖ ขณะที่พระเจ้าติ โลกราชกำลังยกทัพไปตีเมืองแพร่น่านนั้นได้แบ่งกองทัพให้พระมหาเทวีผู้เป็นชนนียกตีเมืองแพร่อีกทัพหนึ่ง เมืองแพร่ขณะนั้นมีท้าวแม่คุณเป็นผู้ปกครองเมือง และมีกำลังน้อยกว่าเกรงว่าชาวเมืองจะล้มตายกันมา กจึง ออกไปถวายบังคมต่อพระมหาเทวี เมืองแพร่จึงรวมอยู่ในขอบขัณฑสีมาของเชียงใหม่ เรื่อยมาจนถึงสมัยพระ เมืองแก้วได้ส่งตัวท้าวเมืองคำข่าย (ชาวบ้านในสมัยนั้นนิยมเรียกว่าเฒ่าคำข่าย) เป็นชาวเมืองลำปาง มีฐานะ ความเปน็ อยอู่ ย่ดู ีมากมีข้าทาสบริวารนับจำนวนร้อย ๆ คนมาปกครองเมืองแพร่ นอกจากทา้ วเมืองคำข่ายแล้ว พระเจ้าเมืองแก้วยังได้ส่งและสับเปลี่ยนเจ้าเมืองคนอื่น ๆ มาปกครองเมืองแพร่ต่อจากเจ้าเมืองคำข่าย อีกหลายองค์ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในช่วงสองยุคสมัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้คำนวณได้ว่าพระวิหาร วัดพระร่วงหลังเก่าคงต้องได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ในสมัยพระเจ้าติโลกราช หรือไม่ก็สมัยพระเมืองแก้ว เพราะบา้ นเมอื งใดไม่ว่าจะอยูใ่ นขอบขัณฑ์ธสีมาของเมืองที่ใหญ่กวา่ มีกำลังมากกว่ามีความพร้อมหรือศักยภาพ มากกว่าได้รับอิทธิพลด้านต่าง ๆ นำไปผสมผสามเป็นวิถีชีวิตหรือวฒั นธรรมของตนเองที่เห็นได้ชัดเจนคืองาน ดา้ นศิลปะสถาปตั ยกรรมเชียงแสนหรือล้านนา มีอายมุ ากกวา่ ๕๐๐ ปี มีข้อน่าสังเกตว่า วดั โบราณท่ีมีอายุการ ก่อสร้างพระวิหารและพระอุโบสถออกจากกันเนื่องจากมีวัตถุประสงค์ในการใช้ต่างกัน (วิหารหรือพระวิหาร โดยทั่วไปหมายถึง วัดโดยวัตถุประสงค์หมายถึงที่อยู่ของสงฆ์ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปส่วนพระอุโบสถหรือ เรียกสั้นๆว่าโบสถ์มักมีขนาดเล็กกว่าวิหารเป็นสถานที่ซึ่งพระสงฆ์ใช้ประชุมกัน ทำสังฆกรรมต่าง ๆ เช่น ประกอบพิธบี วชพระดังน้ันจงึ มกั มกี ้อนหนิ หรือการปั้นรปู ใบเสมา ทเี่ รียกวา่ พัทธสมี าฝงั ไว้โดยรอบพระอุโบสถ) ทง้ั พระวหิ ารและพระอุโบสถตา่ งก็ตอ้ งมีพระพทุ ธรูปเปน็ พระประธานประดษิ ฐานไว้ การบันทึกของพระครูภัทร ธรรมโกศลอดีตเจ้าอาวาสวัดพระร่วงได้บันทึกไว้ว่า เมื่อครั้งรักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๐๑ ถึงวันที่ ๑ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๕๐๖ ไดด้ ำเนนิ งานตามโครงการสร้างพระวหิ ารหลงั ใหม่แทน พระวิหารหลงั เก่าซึ่งอยู่ในสภาพชำรุดทรดุ โทรมมาก ด้วยสาเหตไุ ด้กลา่ วมาแลว้ ว่าพระวิหารหลังเกา่ มอี ายกุ าร ก่อสรา้ งมานานถึง ๕๐๐ ปีเศษ โครงสรา้ งของพระวหิ ารท่ีสร้างดว้ ยอิฐปนู ย่อมหมดอายุการใช้งานตลอดการใช้ งานตลอดถึงหลังคาก็รั่วในฤดูกาลเข้าพรรษา ศรัทธาชาวบ้านรวมถึงพระสงฆ์ที่ปฏิบัติกิจพิธีกรรมทางศาสนา
ได้รับความสะดวกรักษาการเจ้าอาวาสในขณะนั้นจึงได้เชิญคณะกรรมการวัดและคณะศรัทธามาประชุม ปรกึ ษาหารอื กันขอความเห็นในที่สดุ ทป่ี ระชุมจงึ มีมติเป็นเอกฉันท์ใหด้ ำเนินงานตามโครงการดังกลา่ วได้ โดยให้ รื้อพระหลังเก่าออกแล้วสร้างพระวิหารหลังใหม่ขึ้นแทนหลังเดิม วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๕ จึงได้ฤกษ์ร้ือ ถอนพระวิหารหลังเก่าลงและได้ดำเนินการก่อสร้างโดยมีสล่า(ช่าง)คือนายสุรพล เวียงนาค บ้านเวียงทอง ตำบลเวียงทอง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่(ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) เป็นหน้าหน้าสล่า งบประมาณที่ใช้ ดำเนินการส่วนใหญ่ได้รับจากผู้มีจิตศรัทธาในโอกาสต่างๆ เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า หรือญาติโยมรับเป็น เจ้าภาพส่วนต่างๆ เช่น เสาวิหาร ประตู ช่อฟ้า ใบระกา รูปแบบโครงสร้างของพระวิหารเป็นแบบทวิมุข ผนงั ยกสงู รับหลงั คามงุ ดว้ ยกระเบ้ืองเกลด็ นาคซ้อนกันสองชนั้ มีช่อฟ้าประดบั ยอดหน้าจ่วั ซ่ึงเป็นรูปสามเหล่ียม ทรงสูงเช่นเดียวกับสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์โดยทั่วไป ซุ้มประตู หน้าต่าง ประดับด้วยกระจกสีต่าง ๆ ในรูปแบบผสมผสานซุ้มมงกุฎและซุ้มปราสาทเข้าด้วยกัน การก่อสร้างพระวิหารหลังใหม่เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ ใช้เวลาก่อสร้าง ๗ ปี ค่าก่อสร้างประมาณ ๘๕๐,๐๐๐ บาทเศษในจำนวนนี้ได้รับงบประมาณ สนับสนุนจากกรมการศาสนา ๕๐,๐๐๐ บาท ในปี พ.ศ.๒๕๑๒ ได้มีการจัดงานทำบุญเฉลิมฉลองค่อนข้าง ยิ่งใหญ่ ปี พ.ศ.๒๕๑๓ ได้จัดให้มีงานทำบุญครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง คืองานฟื้นฟูประเพณีทำบุญกิ๋นสลาก (สลากภัต) ปชู นยี วตั ถแุ ละถาวรวตั ถุทสี่ ำคญั ของวัด ๑. พระเจ้าทันใจ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๐.๙๐ เมตร สูง ๑.๒๐ เมตร ปัจจุบันลงรักปิดทอง ประดิษฐานในซุ้มเรือนแก้วซึ่งทำเป็นลักษณะอุโมงค์ลึกเข้าไปในผนัง พระวิหาร ถือเป็น พระประธานในพระวิหารที่บูรณะใหม่นดี้ ว้ ย ๒. พระพุทธรูปปั้นศิลปะเชียงแสน ปางมารวิชัย จำนวน ๒ องค์ประดิษฐานอยู่บนแท่นฐานไม้สักที่ แกะสลกั ลวดลายอย่างสวยงามพระพุทธรูปท้ัง ๒ องคด์ ังกล่าว มีขนาดเท่ากันคือ หนา้ ตกั กว้าง ๑.๕๐ เมตรสูง จากฐานถงึ ยอดพระเมาลี ๒.๒๐ เมตร ๓. ธรรมมาสนท์ รงประสาท สร้างดว้ ยไม้สักลงรักปิดทองท้ังหลังจำนวน ๒ หลัง ๔. โต๊ะหมู่บชู า ทำดว้ ยไมส้ กั หมู่ ๙ หมู่ ๗ หมู่ ๕ ๕. ฆอ้ งระฆังขนาดใหญ่ เสน้ ผา่ ศูนย์กลาง ๕๐ เซนตเิ มตร ๖. ระฆงั ทองเหลือง ขนาดเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง ๓๐ เซนตเิ มตร ๗. ภาพถ่ายพระวหิ ารหลังเก่า (สถาปตั ยกรรมล้านนา) ๘. ตู้หนงั สือพระไตรปิฎก แหล่งอา้ งองิ เว็บไซต์ http://www.wungfon.com ภาพถ่าย
โดย กองการศึกษา เทศบาลเมืองแพร่
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: