การจดั การเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทกั ษะการเขยี นสะกดคา สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดย นางสาวพัชรญดา โอบเอื้อ พนกั งานราชการ กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จ่ม จังหวดั เชียงใหม่ สงั กัดบรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ
กิตติกรรมประกาศ การศึกษาวิจัยในคร้ังน้ีสาเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก ครูวรรณภรณ์ ทิพย์สอน ซ่ึงเป็นที่ ปรกึ ษา เป็นผ้ใู หค้ าปรึกษา ให้ความรู้คาแนะนา และตรวจสอบแกไ้ ข ตลอดจนให้แนวทางที่ดีเกี่ยวกับ ขอ้ มลู ต่างๆในการทาวิจยั เรอื่ งน้ี ขอขอบพระคุณคณาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ ประสาทวิชาความรู้ แก่คณะผู้วิจัยตลอด ระยะเวลาการทาวจิ ยั ผวู้ จิ ัย
บทคดั ย่อ ช่ือเรื่อง : การจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 โรงเรยี นโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ ช่ือผู้วจิ ัย : นางสาวพชั รญดา โอบเอื้อ งานวิจัยการจัดการเรียนการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคา สาหรบั นกั เรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563โรงเรยี นโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ประชากรท่ีศึกษาครั้งน้ีได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ ๓๑ รวม 12 คน ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ให้เวลาในการเก็บ ขอ้ มลู 2 ช่ัวโมงและใช้เอกสารประกอบการเรยี นการสอนชดุ หลักการเขยี น เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการ เขียนสะกดคา แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา เอกสารประกอบการเรียนชุด หลักการเขียน วเิ คราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิตกิ ารหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม สถิติพนื้ ฐานได้แก่ ค่าคะแนนเฉลย่ี ค่า สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และค่าคานวณการหาความกว้าหนา้ รอ้ ยละความกว้าหน้า ผลการวจิ ัยสรุปได้ดงั น้ี การศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการศึกษาประสิทธิภาพคะแนนระหว่างใช้นวัตกรรมกับหลังใช้นวัตกรรม คะแนนระหว่างใช้ นวัตกรรมเท่ากับ รอ้ ยละ 88.5 คะแนนหลังใช้นวตั กรรมเท่ากับ ร้อยละ 81.9 การศึกษาทักษะการเขียนสะกดคาหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการศึกษาทักษะการเขียนสะกดคา ปรากฏว่า ค่าเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมด เท่ากับ 16.38 นักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุด 20 คะแนน และนักเรียนที่ได้คะแนนต่าสุด 6 คะแนน ค่าเบ่ียงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 5.50 การเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา สาหรับนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563โรงเรียนโรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้นวัตกรรม ปรากฏว่า คะแนนความก้าวหน้าเฉล่ีย เท่ากับ 6 คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 30 โดยมีคะแน น ความก้าวหน้าสูงสดุ เฉลี่ย เท่ากับ 11 คดิ เป็นร้อยละ เทา่ กับ 55 และคะแนนความก้าวหน้าต่าสุดคิด เฉล่ีย 2 คดิ เปน็ รอ้ ยละ เท่ากบั 10
สารบญั เรอื่ ง บทคดั ย่อ สารบญั เรอื่ ง สารบญั ตารางสรปุ ผล บทที่ หน้า 1. บทนา........................................................................................................ 1 ความเป็นมาและความสาคญั ........................................................................... 2 วัตถุประสงคข์ องการทาวจิ ัย............................................................................ 2 ขอบเขตการทาวจิ ยั .......................................................................................... 3 สมมุตติฐาน..................................................................................................... 3 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ............................................................................................. 3 ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะได้รบั ............................................................................. 4 2. เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง................................................................ 5 ความสาคญั ของภาษาไทย....................................................................... 5 ลักษณะคาไทย...................................................................................... 6 หลกั การเขียนคาไทย.............................................................................. 8 แบบฝึกทกั ษะ....................................................................................... 21 งานวิจัยท่ีเก่ยี วขอ้ ง................................................................................ 26 3. วิธดี าเนินการวิจัย............................................................................ 29 ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง..................................................................... 29 เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการทาวจิ ัย..................................................................... 29 วิธกี ารสรา้ งเคร่ืองมือวิจัย........................................................................ 29 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล............................................................................ 30 การวิเคราะหข์ อ้ มูล................................................................................ 31 สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล................................................................ 31
สารบญั เร่อื ง(ต่อ) บทที่ หนา้ 4. ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล............................................................................. 33 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล...................................................... 33 การนาเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล.......................................................... 33 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล.............................................................................. 34 5. สรปุ ผลการวจิ ัย อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ..................................... 38 สรุปผลการวิจัย........................................................................................ 40 อภปิ รายผล............................................................................................... 40 ขอ้ เสนอแนะ............................................................................................. 41 บรรณานกุ รม ภาคผนวก
สารบญั ตาราง ตารางที่ หนา้ ตารางท่ี 1 การศกึ ษาประสทิ ธิภาพของแบบฝกึ ทกั ษะการเขียนสะกดคา.................................. 34 ตารางท่ี 2 การศึกษาทกั ษะการเขยี นสะกดคาหลังใช้แบบฝกึ ทกั ษะการเขียนสะกดคา................ 35 ตารางที่ 3 ผลการเปรียบเทยี บทักษะการเขยี นสะกดคากอ่ นและหลงั ใช้แบบฝึกทักษะ การเขยี นสะกดคา....................................................................................................... 36
บทที่ 1 บทนา ความเป็นมาและความสาคญั เนอื่ งจากในปจั จุบันการใช้ภาษาไทยของนักเรียนแต่ละคนน้ันมกั จะมีการเปลี่ยนแปลงในทาง ท่ไี ม่คอ่ ยจะเหมาะสมกนั มากนัก เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ในยคุ ปัจจุบันน้ีไม่คอ่ ยจะใหค้ วามสาคัญใน การศึกษาเล่าเรียนเนื้อหาสาระในวิชาภาษาไทยมากเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นการอ่านสะกดคา การ เขียนสะกดคา รวมไปถึงการศึกษากลุ่มคาที่ยากง่ายในภาษาไทย แม้กระท่ังคาที่ง่ายๆ น้ันยงั มักจะ เขยี นผิด หรอื สะกดผดิ ๆ กนั อยเู่ ลย ภาษาไทยน้ันนับว่าเป็นเครอื่ งมือที่ใช้ส่ือความคิดและความเข้าใจท่มี นุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารกัน และกัน และยังมีความจาเป็นตอ่ นักเรียนและทุกๆคนท่ีเปน็ คนไทย พูดภาษาไทย และมีความเป็น ไทย ต่างก็ใช้ภาษาในการส่อื ความหมาย ภาษาพูด และเขียน ในการถา่ ยทอดความคิด ความรู้สึก และความเขา้ ใจ เพื่อสอื่ ให้ผู้อน่ื เขา้ ใจย่งิ ขนึ้ แตก่ ็ควรจะต้องตระหนักถึงความถูกต้องในการใชภ้ าษา ควบคู่ไปด้วย ดังนั้นการเรียนวิชาภาษาไทยของแต่ละระดับชั้นก็จะมีเน้ือหาแบ่งตามทักษะ คือ ทกั ษะการอา่ น การเขียน การพดู และการฟัง สาหรบั การทาวิจยั ของเราน้ันจะมุ่งในเรื่องของการ อา่ น และการเขยี นสะกดคาผิดเป็นสาคัญ เน่อื งจากปจั จุบนั น้ีนกั เรียนสว่ นมากไมค่ ่อยจะรู้จักการอา่ น ทบทวนตาราเรียนกันมากนัก แถมยังไม่ค่อยมีทักษะในการเขียนสะกดคาให้ถูกต้องเท่าท่ีควร อาจ เป็นเพราะส่ือท่ีพบเห็นกันทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นหนังสือการ์ตูน สือ่ ทางอินเตอร์เน็ตท่ีมักจะนามาเขียน หรือทาให้สะกดคาทีผ่ ิดเพ้ียนไปจากเดิม ตัวอย่าง คาที่สะกดผดิ เพ่ือให้ตรงเสียงอา่ น เช่น “ใช่ไหม” จะนามาเขยี นเปน็ อีกแบบวา่ “ใช่มย้ั หรือ ชา่ ยมย้ั ” เป็นต้น จากการยกตัวอยา่ งข้างต้นน้ีเป็นการแสดงให้เห็นถึงการใช้ภาษาไทยท่ีไม่เหมาะสมและมีผล ต่อหลักการใช้ภาษาไทยเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดเป็น “ภาษาวิบัติ หรือ ภาษาอุบัติ” เป็นคาเรียก ของการใชภ้ าษาไทยทเ่ี ปล่ยี นแปลงไป และไมต่ รงกบั หลกั ภาษาในด้านการสะกดคา รวมถงึ การเขียน ที่สะกดคาผิดบ่อย ทาให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเด็กไทยขาดการศึกษา ทาให้เด็กไทยไม่ สามารถใช้ภาษาไทยได้มีประสิทธิภาพเท่าท่ีควร การที่เราทาวิจัยครั้งน้ีจะเป็นการช้ีให้นักเรียน ตระหนักถึงความสาคัญของหลักภาษา โดยจะมุ่งเน้นให้นักเรียนมีทักษะการเขียนสะกดคาที่ถูกต้อง ตามหลักภาษาไทยให้คุ้นเคย และไม่เขียนสะกดคายากที่ผิดๆอีก โดยเราจะสร้างกระบวนการให้ นักเรียนมีนสิ ยั รกั การอา่ น ทบทวนหนงั สือ รจู้ ักสังเกตคาในหนงั สอื แลว้ นามาฝึกฝนทางด้านการเขยี น สะกดคาให้ถูกต้องแม่นยาข้ึน เพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักถึงความสาคัญของภาษาไทย และเป็น แบบอย่างในการเรยี นภาษาไทยท่ดี ตี อ่ ไป ฉะน้ันการทาวิจัยเล่มน้ี จะมุ่งเน้นให้นักเรียนเห็นความสาคัญในการเรียนวิชาภาษาไทย โดยเฉพาะการเขียนสะกดคาเป็นทักษะท่ีจะต้องฝึกฝน จึงจาเป็นต้องใช้กิจกรรมเพ่ือให้นักเรียน ประสบความสาเร็จ และสามารถนาไปใช้ในดา้ นอ่ืนๆได้ ปญั หาการเขยี นสะกดคาสามารถแกไ้ ขได้โดย การฝึกทักษะ ซ่ึงอาศัยแบบเรียนหรือแบบฝึกหัดเพื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการสอนท่ี เหมาะสมกบั วัยนักเรียน เลือกการสอน และฝึกการเขยี นตามระดับความยากง่าย แลว้ นามาสรา้ งเป็น แบบฝึกหัดสาหรับการเขียนคา หากเพิ่มเติมการทาซ้าๆก็จะยิ่งทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ย่ิงขึ้น ถ้า
ผู้เรียนได้รบั การฝึกฝนอยบู่ ่อยๆ กจ็ ะทาใหเ้ กดิ ความถูกต้องในเน้ือหา โดยเฉพาะในเรื่องการใช้ภาษา การอา่ น การเขียน หากว่าฝกึ ทาบ่อยๆความชานาญก็จะเกิดขึ้น จะชว่ ยลดปญั หาที่นักเรยี นเขยี นคา และสะกดคาผดิ ที่ไมถ่ ูกต้องให้มีจานวนลดนอ้ ยลง สามารถทีจ่ ะออกเสียงให้ชัดเจนขึน้ แล้วก็สะกดคา ให้ถูกต้องแมน่ ยาขน้ึ อกี ด้วย ดังนน้ั การใชแ้ บบฝกึ หัดจงึ เป็นวิธกี ารหนึ่งที่สามารถช่วยฝกึ ฝนทักษะการเขียนสะกดคาไดเ้ ป็น อย่างดีวิธีหนึ่ง เพราะจะช่วยให้เกิดพัฒนาการทางผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของผู้เรียนได้อีกทางหนึ่ง ทางผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะศึกษาและพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาให้ถูกต้อง โดยใช้แบบฝึก ทกั ษะการเขียนสะกดคาใหถ้ ูกตอ้ งสาหรับนักเรียนประถมศึกษาปที ี่ 4 วตั ถุประสงคก์ ารทาวิจยั 1. เพ่ือศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนชั้น ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563โรงเรียนโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๓๑ 2. เพ่ือศึกษาทักษะการเขียนสะกดคาหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ ๓๑ 3. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกด คา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ ๓๑ ขอบเขตของการวิจยั ขอบเขตด้านเนือ้ หา เน้ือหาท่ีใช้ในการทาวิจัย ได้แก่ หนังสือเรียนชุดภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาที หนังสือเรียนชุด ภาษาเพอ่ื ชวี ติ วรรณคดลี านา และหนังสอื หลักภาษา ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4โรงเรียนบ้านโรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ ๓๑ ขอบเขตดา้ นตวั แปร ตวั แปรต้น การจดั การเรียนการสอนโดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะการเขยี นสะกดคา ตวั แปรตาม ทกั ษะการเขียนสะกดคา สมมุตฐิ านของการวจิ ัย นักเรียนทไี่ ด้ใช้แบบฝึกทกั ษะการเขยี นสะกดคา มคี วามรแู้ ละความเขา้ ใจในเร่อื งของหลกั การ เขียนคามากข้นึ สามารถใช้เขยี นสะกดคาไดอ้ ย่างถูกต้อง
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ ทกั ษะ หมายถงึ ความชาญในเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนง่ึ แบบฝึกทักษะ หมายถึง งานหรือกิจกรรมท่ีครูสร้างขึ้น โดยมีรปู แบบกิจกรรมท่ีหลากหลาย มจี ุดมงุ่ หมายเพอ่ื ฝึกให้นกั เรียนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจบทเรียนไดด้ ยี ่ิงขนึ้ การเขียน หมายถึง การเขียนเป็นการแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ เป็น ลายลกั ษณ์อักษร เพอ่ื ใหผ้ ้รู ับสารสามารถอา่ นได้เขา้ ใจ การเขียนสะกดคา หมายถึง การเขียนสะกดคาตามรปู พยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และ ตวั สะกด เป็นคาท่มี ีความหมาย และถูกต้องตามหลกั ภาษาไทย ตัวแปรต้น หมายถงึ ส่ิงที่เป็นสาเหตทุ ี่ทาให้เกดิ ผลต่าง ๆ หรอื ส่ิงท่ีเราต้องการทดลองว่าเป็น สาเหตุทท่ี าใหเ้ กิดผลน้ันจริงหรอื ไม่ ตัวแปรตาม หมายถึง ส่ิงท่ีเป็นผลเน่ืองมาจากตัวแปรต้น เมื่อตัวแปรต้นหรือสิง่ ที่เป็นสาเหตุ เปล่ียน ไป ตัวแปรตามหรือสิง่ ท่ีเปน็ ผลจะเปลีย่ นตามไปด้วย นกั เรยี น หมายถงึ นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 4โรงเรียนโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะได้รับ 1. เพื่อทราบถึงทักษะการเขียนสะกดคาของนักเรียนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาค เรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563โรงเรียนบ้านโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ 2. เพอ่ื พฒั นาในดา้ นการเขยี นสะกดคาและการอ่านสะกดคา 3. เพื่อลดปญั หาเบอื่ การเรียนภาษาไทยทาให้การเรียนภาษาไทยเป็นเรือ่ งง่าย 4. เพือ่ สรา้ งนิสยั ให้นกั เรียนรกั ภาษาไทย 5. เพ่อื ใหน้ กั เรียนตระหนักถงึ การใช้ภาษาไทยอยา่ งถูกตอ้ ง ตามหลกั ภาษาไทย
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วข้อง การวจิ ยั ในครัง้ นเ้ี รือ่ งการจดั การเรยี นการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนบ้านโรงเรียนราช ประชานเุ คราะห์ ๓๑ คณะผู้วิจัยไดร้ วบรวมเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ งเพอ่ื เป็นแนวทางในการทา วิจยั โดยแบ่งเป็นหวั ขอ้ ดังนี้ 1. เอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั กล่มุ สาระภาษาไทย 1.1 ความสาคัญของภาษาไทย 1.2 ลกั ษณะคาไทย 1.3 หลกั การเขยี นคาไทย 2. เอกสารทเี่ กย่ี วกับแบบฝึกทกั ษะ 3. งานวิจัยท่เี ก่ยี วขอ้ ง เอกสารท่ีเก่ียวข้องกับกลุม่ สาระภาษาไทย ความสาคญั ของภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาท่ีเก่าแก่ท่ีสุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรากฐานมาจาก ออสโตรไทย ซึ่งมีความคลา้ ยคลึงกับภาษาจีน มีหลายคาที่ขอยมื มาจากภาษาจนี พ่อขุนรามคาแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยข้ึนเม่ือปี พ.ศ. 1826 (ค.ศ. 1283) มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดแปลงมาจากบาลี และ สนั สกฤต คนไทยเป็นผู้ท่ีโชคดที ี่มีภาษาของตนเอง และมีอกั ษรไทย เป็นตัวอักษร ประจาชาติ อนั เป็น มรดกล้าค่าท่ีบรรพบุรุษได้สร้างไว้ ซ่ึงเป็นเคร่ืองแสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาเเต่ โบราณกาลและยั่งยืนมาจนปัจจุบัน คนไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา ควรภาคภูมิใจท่ชี าติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจาชาติมากวา่ 700 ปีแลว้ และจะย่ังยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนกั ในความสาคัญของ ภาษาไทย ภาษาเป็นวัฒนธรรมท่ีสาคัญของชาติ ภาษาเป็นสื่อใช้ติดต่อกันและทาให้วัฒนธรรมอ่ืนๆ เจริญข้ึน แตล่ ะภาษามรี ะเบียบของตนแล้วแตจ่ ะตกลงกนั ในหมู่ชนชาตินน้ั ภาษาจงึ เปน็ ศนู ย์กลางยืด คนทั้งชาติ ดังข้อความ ตอนหนึง่ ในพระราชนิพนธใ์ นพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง \"ความเปน็ ชาติโดยแท้จริง\" วา่ ภาษาเปน็ เคร่ืองผูกพนั มนษุ ย์ตอ่ มนษุ ย์แนน่ แฟ้นกว่าสิ่งอ่นื และไมม่ สี ่ิง ใด ท่จี ะทาให้คนรู้สกึ เป็นพวกเดียวกันหรือแน่นอนย่ิงไปกว่าภาษาเดยี วกัน รัฐบาลท้ังปวงยอ่ มรู้สึกใน ข้อนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้น รัฐบาลใดทต่ี ้องปกครองคนต่างชาตติ ่างภาษา จงึ ต้องพยายามตง้ั โรงเรยี นและ ออกบัญญัติบังคับ ให้ชนต่างภาษาเรียนภาษาของผู้ปกครอง แต่ความคิดเห็นเช่นน้ี จะสาเร็จตาม ปรารถนาของรัฐบาลเสมอก็หามิได้ แต่ถ้ายังจัดการแปลง ภาษาไม่สาเร็จอยู่ตราบใด ก็แปลว่า ผู้พูด ภาษากับผู้ปกครองนั้นยังไม่เชื่ออยู่ตราบนั้น และยังจะเรียกว่าเป็นชาติเดียวกันกับมหาชนพ้ืนเมือง ไม่ได้ อยู่ตราบนั้น ภาษาเป็นสิง่ ซึ่งฝังอย่ใู นใจมนุษย์แน่นเเฟ้นย่ิงกว่าส่ิงอื่น\"
ดงั น้ันภาษาก็เปรียบได้กับรั้วของชาติ ถ้าชนชาติใดรักษาภาษาของตนไว้ไดด้ ี ให้บริสุทธิ์ ก็จะ ได้ชื่อวา่ รกั ษาความเป็นชาติ คนไทยทุกคนใช้ภาษาไทยเป็นส่ือความรู้สกึ นึกคิดเท่าน้ันยังไม่เพียงพอ ควรจะรักษาระเบยี บ ความงดงามของภาษา ซ่ึงแสดงวัฒนธรรม และ เอกลักษณ์ประจาชาติไว้อีกด้วย ดัง พระราชดารัส สมเดจ็ พระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนหนึ่งว่า \"ภาษานอกจากจะเป็นเคร่ืองส่ือสารแสดงความรสู้ ึกนึกคิดของคนท่ัวโลก แล้วยังเป็นเคร่ือง แสดงให้เห็นวัฒนธรรม อารยธรรม และเอกลักษณ์ ประจาชาติอีกด้วย ไทยเป็นประเทศซ่ึงมี ขนบประเพณี ศิลปกรรมและภาษา ซ่ึงเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาล เราผู้เป็นอนุชนจึงควรภูมิใจ ชว่ ยกันผดุงรักษามรดกทางวฒั นธรรมอนั เป็นทรพั ย์สินทางปัญญาทบ่ี รรพบรุ ษุ ได้อตุ สา่ ห์สรา้ งสรรค์ข้ึน ไวใ้ ห้เจริญสบื ไป” ลักษณะคาไทย 1. เปน็ คาภาษาโดด มีคาใช้โดยอิสระ ไมต่ อ้ งเปลี่ยนรปู เพอื่ บอก เพศ,พจน์,กาล เช่น พ่อ ,แม,่ เขย,ลงุ ,พระ เปน็ คาแสดงเพศในตัว ฝูง,กอง,เดียว,เหลา่ ,เดก็ ๆ เปน็ คาแสดงพจน(์ จานวน)ในตวั กาลัง,จะ,แล้ว,เพ่งิ ,เม่ือวาน เป็นคาแสดงกาล(เวลา)ในตวั 2. คาไทยแทส้ ว่ นมากมพี ยางคเ์ ดียว เปน็ คาท่ีมีความหมายสมบรู ณ์ในตวั เขา้ ใจไดท้ นั ที เช่น แมว,กบ,แม,่ นอน,สวย,พอ่ ,นา 3. สะกดตามมาตราตัวสะกดท้งั 8 มาตรา และไม่มีคาใช้ทัณฑฆาต หรือตวั การนั ต์ เช่น มาตราแมก่ ก สะกดด้วย ก: ปาก,มาก,นกั ,จัก,บอก มาตราแม่กด สะกดด้วย ด: ปาด,ลด,สอด,ปดิ ,จดุ มาตราแมก่ บ สะกดด้วย บ: รบ,พบ,จบั ,สิบ,งบ มาตราแมก่ ง สะกดดว้ ย ง: ลง,ราง,พงุ่ ,วา่ ง,รอง, มาตราแม่กน สะกดดว้ ย น: ฝนั ,ปีน,กิน,ตน,นอน มาตราแมก่ ม สะกดดว้ ย ม: นม,ตมู ,นมิ่ ,ขม,ซ้อม มาตราแมเ่ กย สะกดดว้ ย ย: ยา้ ย,เฉย,รวย,หาย,สวย มาตราแม่เกอว สะกดด้วย ว: ดาว,เลว,ชาว,ทิว,กิว่ 4. มีเสยี งวรรณยุกตท์ าใหร้ ะดบั เสยี งต่างกัน,มคี าใชก้ นั มากขน้ึ ,เกดิ ความไพเราะดงั เสยี งดนตรีและสามารถเลียนเสยี งธรรมชาตไิ ดอ้ ย่างใกล้เคียง เชน่ โฮง่ ๆ,กุ๊กๆ,เจีย๊ บๆ,ฉ่าๆ,ตมุ้ ๆ, วรรณยกุ ตส์ รา้ งคาเลยี นเสียงธรรมชาติได้ อย่างใกล้เคยี ง นอง,นอ่ ง,นอ้ ง ;ไร,ไร,่ ไร้ วรรณยุกต์ทาใหม้ ี เสียงต่างกัน 5. การสรา้ งคา ภาษาไทยมกี ารยมื คาภาษาตา่ งประเทศมาใชแ้ ละมกี ารสรา้ งคาใหมโ่ ดย การประสมคา,ซา้ คา,ซอ้ นคา,การสมาส-สนธิ ฯลฯเชน่ พอ่ มด,แม่น้า,ว่ิงราว คือการนาคาไทยมา ประสมกับคาไทย รางชอลก์ ,เพลงเชียร์,ของฟรี, คือการนาคาไทยมาประสมกบั คาในภาษาอังกฤษ มนุษย์+ศาสตร์ = มนุษยศาสตร์ ,ศิลป+์ กรรม = ศิลปกรรม คือการนาคาจากภาษาสันสกฤตสมาสกับ คาภาษาสันสกฤต ราช + โอวาท = ราโชวาท ,อิฏฐ + อารมณ์ = อิฏฐารมณ์ คอื การนาคาจากภาษา บาลีสนธกิ บั คาภาษาบาลี 6. การเรียงคาในประโยค ภาษาไทยเรียงเปน็ ประโยคแบบ ประธาน + กรยิ า + กรรม
(ฉนั กินไก่) ส่วนคาขยายจะเรยี งไว้หลังทีถ่ กู ขยายเสมอ เว้นแต่บอกปริมาณบางคาจะวางไวข้ ้างหน้า หรอื ขา้ งหลงั ท่ถี ูกขยายก็ได้ เช่น เธอวิง่ ชา้ ,ฉันเขยี นสวย คาขยายอยู่หลังคาถูกขยายมากคนมากความ ,มหี ลายเร่ืองทอี่ ยากบอก คาบอกปรมิ าณอยูห่ ลงั คาทถี่ กู ขยายเดินคนเดยี วล้มคนเดยี ว,เรือนสามนา้ ส่ี คาบอกจานวนอยู่หลงั คาทถี่ ูกขยายส่วนคาขยายกรยิ า และมีกรรมมารับ คาขยายจะอยู่หลงั กรรม เช่น ฉนั อ่านหนังสอื มากมาย 7. มลี กั ษณะนาม ก. คาลกั ษณะนามจะอย่ขู ้างหลังคาวิเศษณบ์ อกจานวนนบั เช่น ฉนั รกั แมวท้งั 10 ตัว เข้าได้รับบ้าน 1 หลงั ทดี่ ิน 2 แปลงเป็นมรดก *ถ้าใช้คาว่า \"เดยี ว\" เป็นจานวนนบั คาลกั ษณะนามจะอยู่หนา้ คาวา่ เดียว เช่น ขวด เดียวก็เกนิ พอ ข. คาลักษณะนามตามหลงั คานามเพ่อื ลักษณะของนามน้ัน เชน่ ปลาตวั ใหญ่น้ีแพง มาก, ทดี่ ินแปลงน้ีสวยจรงิ ๆ เทยี นเลม่ แดงหายไปไหน 8. ภาษาไทยมีการแบง่ วรรคตอนเป็นจงั หวะ การเขียนภาษาไทยจาเปน็ ตอ้ งแบ่งวรรค ตอน ส่วนการพดู ภาษาไทยกจ็ าเปน็ ต้องเวน้ จงั หวะใหถ้ ูกต้อง เพอื่ ความชดั เจนของข้อความที่จะพูด และเขียนน้ัน เช่น ยานก้ี ินแล้วแขง็ แรง ไม่มโี รคภยั เบียดเบยี น หมายความว่า ยานก้ี นิ แลว้ ดี ยาน้กี นิ แลว้ แข็ง แรงไมม่ โี รค โรคภัยเบยี ดเบยี น หมายความวา่ ยานีก้ ินแล้วไม่ดี 9. ภาษาไทยมีคาเลือกใชต้ ามกาลเทศะ การเลือกใช้คาให้ถูกต้องเหมาะสมกับบุคคล แสดงถงึ ลักษณะของวฒั นธรรมทางภาษา สงั คมไทยเป็นสังคมทน่ี ับถอื อาวโุ ส ทั้งคณุ วฒุ ิ วัยวุฒิ ชาติ วุฒิ จึงมีคาใช้ตามฐานะของบุคคลเพื่อแสดงถึงความยกยอ่ งกนั และกัน ภาษา จึงมี \"คาราชาศัพท\"์ ใช้ ซง่ึ เป็นเอกลกั ษณข์ องภาษาไทย หลกั การเขยี นคาไทย 1. การเขียนคาผิดเพราะคาเหล่าน้ันออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมายคนละอยา่ งและ เขียนต่างกัน ทาให้ผู้ใช้ภาษามักสับสนและใช้คาปนกัน เพราะจาความหมายของคาท่ีต้องการเขียน ไมไ่ ด้ เชน่ คาวา่ ขัน้ และ คัน่ ,สนิ และ สนิ ธ์ุ,ฉนั และ ฉนั ท์ ,พนั และ พนั ธ์ุ 2. คาที่ออกเสยี งตา่ งกนั เพียงเลก็ น้อย และมีความหมายต่างกนั ไม่มากนัก หากไม่ระมัดระวัง กอ็ าจเกิดปัญหาในการเขยี นได้ เชน่ คาว่า ราด และ ลาด ,รัก และ ลัก 3. เขียนผิดเพราะไม่รู้หลักเกณฑ์ในการเขียน เช่น ไม่รู้หลักการใช้ ณ-น หลักการประ- วสิ รรชนีย์และไม่ประวสิ รรชนีย์ หรือการใช้ ใอ และไอ เปน็ ต้น 4. ใช้แนวเทียบผิด เช่น คาว่า ญาติ และอนุญาต สัญชาติ และสัญชาตญาณ บุคคล และ บุคลิก เปน็ ตน้ 5. เขียนผดิ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในการเขยี น แตผ่ ู้เขียนติดรูปเดิมของคาบาง คา เช่น คาว่า พงศ์ เดิมใช้ ษ์ ปัจจุบันใช้ ศ์ คาว่า เบียดเบยี น เคยใช้ ฬ สะกด คือเขียน เบียดเบียฬ 6. คาบางคามีความหมายอย่างเดียวกัน ออกเสียงเหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่เขียนต่างกัน คาเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะมีความหมายอย่างเดียวกันแต่มีท่ีใช้ต่างกนั ผู้ใชภ้ าษาต้องรู้วา่ เมื่อใดจะใช้รปู ใด คอื รู้วา่ จะเขียนรูปใดในคาแวดล้อมอยา่ งใด ทัง้ นี้ขึน้ อยู่กบั ความนยิ มของสงั คม เช่น คา วา่ ศูนย์ และ สูญ,มารยาท และ มรรยาท, ภริยา และ ภรรยา ,วชิ า และ วทิ ยา คา
เหล่าน้ีมีความหมายอยา่ งเดียวกัน ออกเสียงเหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่ใช้กับคาแวดล้อมตา่ งกัน ซึ่ง ผู้ใชภ้ าษาตอ้ งร้จู ักที่ใช้ และเขียนให้ถูกต้อง 7. คาบางคาเขียนไดม้ ากกว่า 1 รูป เช่น กรรไกร อาจจะใช้วา่ กรรไกร กรรไตร หรือตะไกร ก็ได้ คาว่า ระบัด ระบบ ระบือ ระลอก อาจใช้ ละ และ ระ ได้ดังน้ี ละบัด ละบือและ ละลอกคาว่า ยนต์ จะเขียน ยนต์ หรอื ยนตร์ ก็ได้ เช่น รถยนต์ ภาพยนตร์ ดังนั้น ผู้ใช้ภาษาควรจะรู้จักการเขียน ทกุ ๆ รูป เพอ่ื จะได้ไม่ทกึ ทกั ว่าคนอน่ื ใชผ้ ดิ เพราะใช้รปู ผิดไปจากทีเ่ ราใช้ 8. เขียนผิดเพราะเขียนตามเสยี งอ่าน เช่นปรารถนา ออกเสียงว่า ปราด-ถะ-หนา มักเขียน ผิดเปน็ ปราถนา ศีรษะ \" สี-สะ มักเขยี นผิดเป็น ศรีษะ หลกั การเขยี นคาประเภทตา่ ง ๆ หลักการเขยี นคาสมาส คาสมาสซ่งึ เกดิ จากการนาคาบาลกี ับบาลี หรอื คาบาลกี บั สนั สกฤต หรือ สนั สกฤตกบั สันสกฤต มารวมกันเพอื่ สรา้ งคาใหม่ในภาษา เชน่ วสิ าขะ (บาลี) + บชู า (บาล)ี = วิสาขบชู า ศัลยะ (สนั สกฤต) + กรรม (สันสกฤต) = ศัลยกรรม กติ ติ (บาลี) + ศพั ท์ (สนั สกฤต) = กติ ติศัพท์ การเขียนคาสมาสจงึ มีหลกั ดังน้ี 1. ถ้าพยางค์สดุ ท้ายของคาแรกมปี ระวิสรรชนยี ์ (ะ) เวลาเขียนใหต้ ัด ออก ดังตวั อย่าง ตอ่ ไปน้ี อสิ รภาพ ธนสมบตั ิ ศลิ ปศาสตร์ พันธกิจ รตั นโกสินทร์ ภารกิจ ศิลปกรรม พลศึกษา คณบดี กาญจนบุรี 2. ถา้ พยางค์สุดทา้ ยของคาแรกของคาสมาสมีเครือ่ งหมายทัณฑฆาต ( ์ ) เวลาเขียนใหต้ ัด ออก ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้ ทรพั ยสิทธิ ครศุ าสตรบัณฑิต แพทยศาสตร์ มนษุ ยชาติ ไปรษณยี ภัณฑ์ สัมพนั ธภาพ พพิ ิธภณั ฑสถาน อนุรักษนยิ ม หลกั การเขียนคาที่ออกเสยี ง อะ การเขยี นคาทอี่ อกเสียง อะ เขียนได้ ๒ วธิ ี คือ ประวิสรรชนีย์ เช่น สะดวก สะอาด และไม่ประวิสรรชนีย์ เช่น ตวาด ชอุ่ม สบู่ เป็นต้น คาที่ประวิสรรชนียม์ ีหลกั ในการสังเกต ดงั นี้ 1. คาไทยแท้ทกุ คาท่ีออกเสยี ง อะ ให้ประวสิ รรชนยี ์ เชน่ กะทิ กระพรวน กระทะ ปะขาว ทะนง ทะนาน มะลิ กระชับ ตะแคง ชะลอ ละไม คะมา ตะโกน ขยะ ขะมุกขะมอม 2. คาซง่ึ เกดิ จากการกร่อนเสยี งมาเป็นเสยี ง อะ ให้ประวสิ รรชนีย์ ดงั น้ี 2.1 กรอ่ นเสียงจาก ต้น เป็น ตะ เชน่ ตน้ เคยี น เป็น ตะเคยี น ต้นไคร้ เป็น ตะไคร้ ต้นแบก เปน็ ตะแบก ตน้ คร้อ เป็น ตะครอ้ ฯลฯ
2.2 กร่อนเสียงจาก หมาก เปน็ มะ เชน่ หมากเฟือง เปน็ มะเฟอื ง หมากมว่ ง เป็น มะม่วง หมากพรา้ ว เปน็ มะพร้าว หมากดัน เป็น มะดนั ฯลฯ 2.3 กรอ่ นเสยี งจาก ตวั เปน็ ตะ เช่น ตวั เข้ เปน็ ตะเข้ ตวั เข็บ เป็น ตะเขบ็ ตัวกวด เปน็ ตะกวด ฯลฯ 2.4 คา 2 พยางค์ อ่ืน ๆ ซ่ึงเกิดจากการกร่อนเสียงก็ให้ประวิสรรชนีย์ทงั้ ส้ิน เช่น ตะปู (ตาปู) ตะวัน (ตาวัน) สะดือ (สายดือ) สะใภ้ (สาวใภ้) ฉะนั้น (ฉันนั้น) ฉะนี้ (ฉันน้ี) นอกจากนคี้ ากร่อนจากคาซ้า (อัพภาส) เปน็ เสียงอะในคาแรก ซ่ึงเป็นคาซ้า ในคาประพันธ์ ให้ประวิสรรชนีย์ เช่น ยะยิบ (ยิบยิบ) ระเร่ือย (เรื่อยเร่ือย) ระรัว (รัวรัว) ฯลฯ 2.5 คาท่ีมี 3 พยางค์ ซ่ึงออกเสียง อะ ในพยางค์ท่ี ๒ มักประวิสรรชนีย์ เช่น รั ด ป ร ะ ค ด บ า ด ท ะ ยั ก เ จี ย ร ะ ไ น สั บ ป ะ ร ด คุ ด ท ะ ร า ด เ ป็ น ต้ น 2.6 คาที่ยืมจากภาษาบาลี - สันสกฤต ถ้าออกเสียงอะที่พยางค์ท้ายของคา ให้ ประวิสรรชนีย์ที่พยางค์ท้ายของคานั้น เช่น สาธารณะ ลักษณะ สรณะ อิสระ สัมปชัญญะ พละ อกั ขระ ภาชนะ ฯลฯ ตวั อยา่ งคาทป่ี ระวิสรรชนยี ์ ได้แก่ ชะตา, ชะงัก, สะคราญ, ทะนง , คะนงึ , สะอื้น, สะดุด, สับปะรด, สะอาด, สะพาน, ชะลา่ , สะกด, จะละเมด็ , ฉะน้ัน, มักกะสัน, ประณีต, พะทามะรง, สะเพร่า, สะพัด, สะบดั , สะระตะ, สะระแหน่, สะอิดสะเอียน, สะลึมสะลือ, จระเข้, สะตอ, ตะลีตะลาน, ตะลุมบอน, ตะขิดตะขวง, ชะรอย, ซงั กะตาย, ธุระ, ศลิ ปะ, อารยะ, สจั จะ, ละเอยี ด, รามะนาด, องั กะลงุ ตัวอย่างคาทไี่ มป่ ระวิสรรชนีย์ ได้แก่ อารยธรรม, ศิลปกรรม, ธุรกิจ, คณบดี, อิสรภาพ, ปิยมหาราช, พลศึกษา, อาชีวศึกษา, จริต, จรุง, ลออ, สบาย, สูบ่, ขมา, ปรัมปรา, พนัน, ทมิฬ, ตวัด, ฉบับ, ฉบัง, ฉมัง, ฉวดั เฉวียน, สลัว, สลอน, สลอด, สลวย, สลกั , สราญ, สลุต, สว่าน, เสนาะ, อหังการ, อสรพิษ, ทวาร, ฉลาด, ถวลิ , ชโลม หลกั การเขยี นคาท่ใี ช้ ใอ, ไอ, อยั , ไอย 1. คาท่ีใช้สระ ใอ (ไมม้ ้วน) แตโ่ บราณกาหนดว่าคาไทยแทเ้ พยี ง ๒๐ คาเทา่ นั้น ทเ่ี ขยี นดว้ ย สระ ใ ดังทโี่ บราณาจารย์ผูกไวเ้ ป็นคาประพันธเ์ พือ่ ชว่ ยความจา ดังนี้ ใฝ่ใจใหท้ านนี้ นอกในมีและใหมใ่ ส ใครใคร่และยองใย อันใดใช้และใหล หลงใส่กลสะใภ้ใบ้ ทงั้ ตา่ ใต้และใหญ่ยงใกล้ใบและใชจ่ ง ใช้ใหค้ งคาบงั คบั (ประถมมาลา) ปัจจุบนั มีคาทีใ่ ชส้ ระ ใ เพมิ่ ขนึ้ ไดแ้ ก่ หมาใน เหล็กใน เย่อื ใย ใยบัว ใยแมลงมมุ
2. คาที่ใช้สระ ไอ (ไมม้ ลาย) มีหลกั การใช้ ดังน้ี 2.1 ใช้กับคาไทยทวั่ ไปนอกจากคาที่ใช้สระ ใ (ไม้ม้วน) ๒๐ คา 2.2 ใช้กับคาท่ีแผลงจากคาเดมิ ที่เขียนดว้ ย สระ อิ อี และ เอ ในภาษาบาลี สันสกฤต เชน่ ระวิ แผลงเปน็ ราไพ วิจติ ร แผลงเป็น ไพจติ ร ตริ \" ไตร วิหาร \" ไพหาร 2.3 ใช้กับคาท่ียมื มาจากคาต่างประเทศทกุ ภาษา เช่น ไอศกรมี ไมล์ สไลด์ ไวโอลนิ ไต้ฝุ่น ไผท อะไหล่ ฯลฯ ตวั อยา่ งคาทใี่ ชส้ ระ ไอ (ไมม้ ลาย) ได้แก่ ไจไหม ร้องไห้ ไนกรอด้าย ปลาไน เสือกไส ไสไม้ ตะไคร่ ตะไคร้ ใส่ไคล้ ไยไพ ไยดี ลาไย หยากไย่ สลดั ได เหลวไหล นา้ ไหล จดุ ไต้ ตะไบ ลาไส้ ไขกญุ แจ ไดโนเสาร์ 3. คาทใ่ี ช้สระ อยั (อยั ) ใช้กับคาท่ียืมจากภาษาบาลี - สันสกฤต ซึ่งเดิมออกเสียง อะ และมี ย ตามหลงั เท่านนั้ เชน่ ชย ไทยใช้ ชัย ภย ไทยใช้ ภัย อาลย ไทยใช้ อาลัย อุทย ไทยใช้ อุทัย อภย ไทยใช้ อภัย นย ไทยใช้ นัย 4. คาท่ใี ชส้ ระ ไอย (ไอย) ใช้กับคายืมจากภาษาบาลี - สันสกฤต ที่คาเดิมเป็นเสยี ง เอยย และ เอย เท่าน้ัน เชน่ เวเนยย ไทยใช้ เวไนย (เวไนยสัตว์) อสงั เขยย ไทยใช้ อสงั ไขย อธิปเตยย ไทยใช้ อธิปไตย เทยยทาน ไทยใช้ ไทยทาน หลกั การเขยี นคาทใี่ ช้ ศ ,ษ และ ส การใชพ้ ยัญชนะเสยี ง /สอ/ ในภาษาไทยมหี ลักเกณฑ์การเขยี น ดงั นี้ 1. คาไทยแทท้ วั่ ไปนยิ มเขยี นด้วย ส เชน่ เสื้อ เสือ สดใส เสยี ม เป็นตน้ ยกเว้นคาไทย และ คายืมบางคาทเี่ ขียนมาแตโ่ บราณใช้ ศ และ ษ บ้าง จึงยังคงใช้รปู เขยี นเหลา่ นน้ั อยูใ่ นปจั จบุ ัน เชน่ ศ : ศอ ศอก เศิก ศึก เศร้า บาราศ ปราศจาก ฝรัง่ เศส เลิศ ไอศกรมี ษ : กระดาษ โจษจนั ดาษดา ดาษด่ืน ฝีดาษ เดยี รดาษ องั กฤษ 2. คาที่มาจากภาษาบาลีใช้ ส ท้งั หมด เชน่ พระสงฆ์ มเหสี สจั จะ รงั สี สริ ิ โสภา สโมสร สาธิต สุสาน สาวก ฯลฯ 3. คาทม่ี าจากภาษาสันสกฤต มีหลกั เกณฑ์ ดังน้ี 3.1 พยัญชนะ ศ เขียนหนา้ พยญั ชนะวรรค จะ และ หน้าพยญั ชนะเศษวรรคบาง รปู ดงั นี้ 3.1.1 เขียนหน้าพยัญชนะวรรค จะ เช่น พฤศจิกายน อศั จรรย์ อัศเจรยี ์ 3.1.2 เขยี นหนา้ พยัญชนะเศษวรรค เช่น เทเวศร พิฆเนศวร์ แพศยา โศลก อัศวนิ อาศรม 3.2 พยัญชนะ ษ ใชเ้ ขยี นหนา้ พยัญชนะวรรค ฏะ และ หนา้ พยัญชนะวรรคอืน่ และ พยญั ชนะเศษวรรคบางรปู ได้ ดังน้ี
3.2.1 เขียนหนา้ พยัญชนะวรรค ฏะ เชน่ กนษิ ฐา โฆษณา ดษุ ฎี ราษฎร ทฤษฎี โอษฐ์ 3.2.2 เขียนหน้าพยัญชนะวรรคอน่ื เช่น เกษตร บษุ กร บุษบก บุษบา พฤษภาคม 3.2.3 เขียนหน้าพยัญชนะเศษวรรคบางรปู เชน่ บษุ ยา ศษิ ย์ บุษยมาส อกั ษร บุษรา 3.3 พยัญชนะ ส ใช้เขยี นหน้าพยญั ชนะวรรค ตะ และพยัญชนะเศษวรรคบางรปู ได้ ดังน้ี 3.3.1 เขยี นหนา้ พยัญชนะวรรค ตะ เชน่ พัสดุ พสิ ดาร ภัสดา วาสนา สถาน สัสดี สวสั ดี สตรี อสั ดง 3.3.2 เขียนหน้าพยัญชนะเศษวรรค เช่น ประภสั สร มสั ลนิ สรุ ัสวดี มตั สยา หลกั การเขยี นคาพอ้ งเสยี ง คาพอ้ งเสยี ง คอื คาท่ีออกเสยี งเหมอื นกันแต่เขยี นตา่ งกัน และมีความหมายแตกต่าง กันด้วย การเขียนคาพอ้ งเสยี งจึงอยูท่ ีก่ ารสงั เกตและจดจาความหมายของคาเป็นหลกั คาพอ้ งเสียงใน ภาษาไทยมีอยเู่ ป็นจานวนมาก จงึ ยกตวั อยา่ งมาเปน็ เครอื่ งสงั เกต ดังน้ี กาน/ เมอื งกาญจน์ กานไม(้ ตัดไม้) กิจการ แถลงการณ์ ประสบการณ์ ฤดูกาล กาฬ โรค มหากาฬ กลอนกานท(์ บทกลอน) /เกียด/ มีเกยี รติ เกยี รติยศ รังเกยี จ ข้ีเกยี จ เกยี จคร้าน เกยี ดกนั /สูด/ สูดดม สตู รคูณ ชนั สตู ร พหูสูต พสิ ูจน์ /นา่ / หนา้ รอ้ น หน้าหนาว หนา้ ต่างน่ารกั นา่ ยกยอ่ ง นา่ กนิ /โจด/ โจทก์จาเลย โจทย์เลข พดู โจษ โจษขาน /พัน/ พนั ผา้ ผูกพนั ละครพนั ทาง บทประพนั ธ์ ผวิ พรรณ เผา่ พนั ธุ์ พรรณนา กรรมพันธุ์ ผลติ ภณั ฑ์ พพิ ิธภณั ฑ์ พรรดึก ภรรยา /มุก/ ไขม่ ุก หน้ามุข ประมขุ มุกดา /เพด/ อาเพศ เพศชาย ลักเพศ เบญจเพส สมเพช ประเภท สามัคคีเภท /ขนั / ขนั นา้ ขันธ์๕ ประจวบครี ขี ันธ์ พระขรรค์ เขตขันฑ์ ขัณฑสกร แขง่ ขัน ขาขนั /นาด/ ระนาด นวยนาด สหี นาท นาถ(ทีพ่ ึ่ง) วรนาถ นงนาฏ นาฏศลิ ป์ พนิ าศ /ดิด/ บณั ฑิต ประดิษฐ์ ประดิดประดอย อตุ รดิตถ์ กาญจนดษิ ฐ(์ ชื่ออาเภอ) ปจั จุบนั การเขยี นคาผดิ เปน็ ปญั หาที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งข้นึ ดงั นั้น ราชบณั ฑติ ยสถานจงึ ได้รวบรวมคาท่มี กั เขียนผิดอยู่เสมอ ไวใ้ นหนังสอื \"อ่านอย่างไรเขียนอยา่ งไร\" จงึ ขอนามากลา่ วไว้พอสงั เขป ดังนี้
คาทเ่ี ขียนถกู มกั เขยี นผิดเป็น กงสุล กงศลุ กฎหมาย กฏหมาย กรวดนา้ ตรวดนา้ กระตือรอื ร้น กระตอื ลอื ร้น, กะตอื รือรน้ กระทะ กระทะ กว๋ ยเตยี๋ วราดหน้า ก๋วยเตย๋ี วลาดหน้า กะทดั รัด กระทดั รัด กะทิ กะทิ กระทิ คาทเ่ี ขยี นถูก มกั เขยี นผดิ เป็น กะเทาะ กระเทาะ กะเพรา กระเพรา กะลา กระลา กักขฬะ กักขละ กงั วาน กงั วาล กญั ชา กนั ชา กาลเทศะ กาละเทศะ กา้ วร้าว กร้าวรา้ ว กาเนดิ กาเหนิด กจิ จะลักษณะ กจิ จลกั ษณะ เกร็ดความรู้ เกลด็ ความรู้ เกษียณอายุ เกษียนอายุ, เกษียรอายุ เกษยี นหนงั สือ เกษยี ณหนงั สอื , เกษียรหนังสอื เกษียรสมทุ ร เกษยี ณสมุทร, เกษียนสมุทร เกสร เกษร ข้น คน่ ขโมย ขะโมย ขะมักเขมน้ ขมกั เขม้น, ขะมกั ขะเม่น เข็ญใจ เข็นใจ เข้ารตี เข้ารดี ไขม่ กุ ไขม่ ุกข,์ ไขม่ ุกด์, ไข่มขุ ครองราชย์ ครองราช คฤหสั ถ์ คฤหัส คลนิ ิก คลนี ิก, คลนี ิก, คลนิ คิ คลมุ เครือ คลุมเคลือ, ครมุ เคลือ คอนเสิร์ต คอนเสิรท์ คัมภีร์ คาภรี ์
คานวณ คานวน เคร่อื งราง เครอื่ งราง คาทเี่ ขยี นถูก มกั เขียนผดิ เป็น เครื่องสาอาง เคร่อื งสาอางค์ โครงการ โครงการณ์ โควตา โควต้า งสู วัด งสู วสั ด์ิ เงนิ ทดรอง เงินทดลอง คาท่ถี ูก มกั เขยี นผิดเปน็ จระเข้ จรเข้ จลาจล จราจล จักจัน่ จั๊กจ่นั จณั ฑาล จันทาล, จันฑาล จัดสรร จัดสรรค์ จาระไน จาระนยั , จารไน จานง จานงค์ จิตกาธาน จติ กาธาร เจตนารมณ์ เจตนารมย์ เจียระไน เจยี รไน, เจยี ระนยั ฉบบั ฉะบับ ฉะนี้ ฉนี้ ฉันญาติ ฉนั ทญ์ าติ, ฉันทญ์ าต, ฉันญาต ชอ้ นส้อม ชอ้ นซ่อม ชอมุ่ ชะอุม่ ชะนี ชนี ชัชวาล ชชั วาลย์ ชวี ประวัติ ชีวะประวัติ เช้ิต เชิ้ร์ต, เชิต๊ ซวดเซ ทรวดเซ ซกั ไซ้ ซักไซร้ ซาก ทราก ซ่าหริม่ ซะหร่ิม, ซา่ หรมิ่ คาทเ่ี ขียนถูก มกั เขียนผดิ เป็น วิหารคด วิหารคต วีดิทัศน์ วิดที ศั น์, วีดที ัศน์ เวนคืน เวรคนื ศลิ ปวัฒนธรรม ศิลปะวฒั นธรรม
ศิลปศกึ ษา ศิลปะศึกษา ศลิ ปะการแสดง ศลิ ปการแสดง ศลิ ปะอตุ สาหกรรม ศิลปอตุ สาหกรรม ษมา สมา, ษมา สกาว สะกาว สถิต สถิตย์ สบง สะบง สมหุ บ์ ัญชี สมหุ บัญชี สร้างสรรค์ สรา้ งสรร, สรา้ งสรรพ์ สัญลักษณ์ สญั ญลกั ขณ์, สัญญลักษณ์, สญั ลกั ขณ์ สัมมนา สัมนา สาทิสลกั ษณ์ สาทิศลักษณ์ สาปแชง่ สาบแช่ง สายสิญจน์ สายสิญจ์, สายสญิ สารพดั สาระพัด สามะโนครัว สมั มโนครัว, สมั โนครัว สาอาง สาอางค์ สีสัน สสี รร, สีสนั , สสี รรพ์ เสกสรร เสกสรรค์ เสาวนยี ์ เสาวณยี ์ เสียศูนย์ เสียสญู แสตมป์ แสตมบ์ หงส์ หงษ์ หม้อห้อม มอ่ หอ้ ม, มอ่ ฮอ่ ม หมอ้ ฮ่อม หยักศก หยกั โศก คาทเ่ี ขยี นถกู มักเขยี นผดิ เปน็
หยากไย่ หยักไย่ หลับใหล หลับไหล หลมุ พราง หลุมพลาง หอยแครง หอยแคลง หวั มังกทุ า้ ยมังกร หัวมังกุฎท้ายมงั กร ใหลตาย(โรค) ไหลตาย อนุญาต อนญุ าติ อเนก เอนก อเนจอนาถ อเน็จอนาถ, อเน็จอนาถ,เอนจ็ อนาถ ออกซิเจน ออ๊ กซิเจน, ออกซเิ ยน่ อตั คัด อดั ตะคดั , อัตคตั อธั ยาศยั อธั ยาศรยั อปั ระมาณ อปั มาณ อาคเนย์ อาคเณย์ อาเจียน อาเจยี ร อาชาไนย อาชานยั , อาชาไน อานิสงส์ อานสิ งฆ์ อาพาธ อาพาท อาเพศ อาเพท, อาเภท อามหิต อามะหติ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ อเิ ล็คทรอนิกส์, อิเล็กทรอนิคส์ อิเล็กโทน อิเลค็ โทน อดุ มการณ์ อุดมการ อุโมงค์ อุโมง เอเชยี เอเซีย โอกาส โอกาศ ไอศกรมี ไอศครมี , ไอสกรีม
คาที่มักเขียนผิด การเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ไทย เป็นสิ่งจาเป็นพ้ืนฐานที่คนไทยทุกคน ต้องเรียนรู้ ถ้าเกิดเป็นคนไทยแล้วเขียนภาษาไทยไม่ถูกต้อง นบั ว่าเป็นสิ่งท่ีน่าละอายและถือเปน็ การ ทาลายวัฒนธรรมทางภาษาของชาติอีกด้วย ดังน้ันเราจึงต้องสร้างความตระหนักในการเขียน ภาษาไทยทุกคร้ังให้ถูกต้อง ถ้าไม่ทราบก็ควรถามผู้รู้หรือค้นหาจากพจนานุกรม ไม่ควรเขียนตามใจ ชอบ หรือ ”ดาน้า” เขียน เพราะไม่เห็นความสาคัญ ในท่ีน้ีจะรวบรวมคาที่มักเขยี นผิดที่พบเห็นบ่อย ๆ ดังน้ี 1. กฎ, กฎหมาย สะกดด้วย ฎ แต่ มกั เขียนเปน็ ตัว ฏ 2. ปรากฏการณ์ สะกดดว้ ย ฏ แต่ มกั เขียนเป็น ตวั ฎ 3. กรวดน้า (แผ่ส่วนบญุ ดว้ ยวธิ หี ลัง่ น้า) มักเขียนเป็น ตรวจนา้ 4. กระจิริด (เลก็ น้อย) มักเขียนเป็น กระจ๊ิดรดิ 5. กระจกุ กระจิก (เลก็ ๆ น้อย ๆ คละกัน) มกั เขยี นเป็น กะจกุ กะจิก 6. กระฉบั กระเฉง (คล่องแคลว่ ) มักเขยี นเป็น กะฉบั กะเฉง 7. กระเฉด (ชอื่ ผกั ชนิดหนง่ึ ) มกั เขยี นเป็น กะเฉด 8.กระชุ (ภาชนะสานทรงกลมสูง) มักเขยี นเปน็ กะชุ 9. กระชมุ่ กระชวย (มอี าการประปรีก้ ระเปรา่ ) มกั เขียนเป็น กะช่มุ กะชวย 10. กระทะ (ภาชนะก้นตนื้ ปากผายใชผ้ ัด,ทอด) มักเขยี นเป็น กะทะ 11. กระเท่เร่ (เอียงไปเอียงมา) มกั เขยี นเป็น กะเท่เร่ 12. กระบะ (ภาชนะไม้กน้ แบน,รถชนดิ หนึ่ง) มักเขียนเป็น กะบะ 13. กระผกี ริ้น (เล็กนอ้ ย) มักเขยี นเปน็ กะผีกร้ิน 14. กระพรวน (โลหะรปู กลมกลวง ร้อยผกู คอสัตว)์ มกั เขยี นเปน็ กะพวน, กะพรวน 15. กระพ้ี (สว่ นของเนื้อไม้ทีห่ มุ้ แกน่ ) มักเขียนเป็น กะพ้ี 16. กระเพาะ (อวัยวะภายในของคนและสตั ว)์ มกั เขยี นเป็น กะเพาะ 17. กระแนะกระแหน (พูดเสยี ดสผี อู้ ่นื ) มักเขยี นเปน็ กะแนะกะแหน 18. กราฟ (แผนภมู )ิ มกั เขียนเป็น กร๊าฟ 19. กวยจับ๊ (ชื่อของกนิ ชนดิ หน่งึ ) มกั เขยี นเป็น ก๋วยจับ๊ 20. กว๋ ยเตยี๋ วราดหน้า (ช่อื ของกินชนดิ หนงึ่ ) มกั เขียนเปน็ กว๋ ยเตีย๋ วลาดหน้า 21. ก่อกรรมทาเขญ็ (ก่อความเดอื ดร้อนใหร้ ่าไป) มักเขยี นเปน็ ก่อกรรมทาเข็น 22. ก๊อก (เครอ่ื งเปดิ ปดิ นา้ จากทอ่ หรือภาชนะ) มกั เขียนเป็น กอ้ กน้า 23. กอซ (ผ้าบางโปรง่ ใชป้ ดิ แผล) มักเขยี นเป็น ผา้ ก๊อซ., ผา้ กอส 24. กอ๊ บป้ี (สาเนาข้อมูล) มกั เขยี นเป็น กอ๊ ปปี้ 25. กะชกึ่ กะชั่ก (ติด ๆ ขดั ๆ ไมส่ ะดวก) มกั เขยี นเปน็ กระชึกกระชัก 26. กะทันหนั (จวนแจ) มักเขยี นเปน็ กระทนั หนั 27. กะทดั รัด (สมสว่ น,พอเหมาะ) มักเขยี นเป็น กระทดั รดั 28. . กะซวก (แทงด้วยของมีคม) มักเขียนเปน็ กระซวก 29. กะทิ (น้าท่ีค้นั จากมะพร้าวขดู ) มกั เขยี นเป็น กระทิ 30. กะเทย (คนทม่ี จี ิตใจและกริ ยิ าตรงกนั ขา้ มกบั เพศจรงิ ) มักเขียนเปน็ กระเทย
31. กะเทาะ (ลอ่ นหลดุ ออกมาเป็นช้ิน ๆ) มักเขียนเป็น กะเทาะ 32. กะปรบิ กะปรอย (ออกมาทีละเล็กละน้อย) มักเขยี นเป็น กระปรบิ กระปรอย 33. กังวาน (เสยี งก้องอยูน่ าน) มกั เขียนเปน็ กังวาล 34. กมั พูชา (ชอ่ื ประเทศเขมร) มักเขยี นเป็น กาพูชา 35. กาลเทศะ (ความควรไม่ควร) มักเขยี นเปน็ กาละเทศะ 36. กาเนดิ (การเกิด) มักเขียนเปน็ กาเหนิด 37. กาหนดการ (การกาหนดขัน้ ตอนของงาน) มกั เขยี นเปน็ กาหนดการณ์ 38. กาเหน็จ (คา่ จ้างทาเคร่ืองเงนิ หรือทอง) มกั เขยี นเปน็ กาเหน็ด 39. กิตติมศกั ด์ิ (ยกย่องเพอ่ื เปน็ เกียรต์ิ) มักเขียนเป็น กิตมิ ศกั ด์ิ 40. กยุ ชา่ ย (ชอ่ื ผักชนิดหนงึ่ ) มกั เขยี นเปน็ กุ้ยชา่ ย 41. แกงบวด (ของหวานที่ใช้ผลไม้บางอย่างตม้ กบั นา้ ตาลและกะท)ิ มักเขียนเป็น แกง บวช 42. เกษยี น (ข้อความท่เี ขยี นไว้หัวหนงั สือคาสง่ั ราชการ) มักเขียนเปน็ เกษยี ณ 43. แกลลอน (หนว่ ยวัดปริมาตรของอังกฤษ) มกั เขียนเปน็ แกนลอน 44. โกสน (ชอ่ื ไมพ้ ุ่มชนิดหน่งึ ) มกั เขียนเป็น โกศล 45. ขน้ แคน้ (อตั คัด,ขดั สน) มกั เขยี นเป็น ค่นแค้น 46. ขน้ึ ฉา่ ย (ผักชนิดหน่ึง) มักเขียนเป็น คึ่นไช่ 47. เขญ็ ใจ (ยากจนข้นแคน้ ) มกั เขยี นเปน็ เขน็ ใจ 48. เข้าล็อก (เป็นไปอย่างทค่ี ดิ ) มกั เขยี นเปน็ เข้าล๊อค 49. ไขม่ กุ (วัตถุชนิดหน่ึงที่เกดิ จากหอยบางชนดิ ) มกั เขียนเป็น ไขม่ กุ ข์ 50. คงกระพัน (ทนทานต่อศาสตราวุธ) มักเขียนเป็น คงกะพนั 51. คนโท (หม้อน้า) มกั เขียนเปน็ คนโฑ 52. คลนิ ิก (สถานพยาบาล) มกั เขยี นเป็น คลนิ ิค 53. คอฟฟชี อบ รา้ นจาหนา่ ยกาแฟ,เคร่อื งด่มื ) มักเขียนเป็น คอฟฟี่ชอ็ ฟ 54. คกุ ก้ี (ชื่อขนมชนิดหน่งึ ) มักเขยี นเป็น คุ๊กกี้ 55. เค้ก (ขนมชนิดหนึ่งของฝร่ัง) มักเขียนเป็น เค๊ก 56. โควตา (การจากดั จานวน) มกั เขยี นเปน็ โควตา้ 57. เครอ่ื งยนต์ (เครอ่ื งจกั ร) มักเขียนเปน็ เคร่อื งยนตร์ 58. เครื่องราง (วตั ถุที่เช่ือว่าปอ้ งกนั อันตรายได)้ มักเขยี นเป็น เครือ่ งลาง 59. เคร่ืองสาอาง(สิ่งเสริมแต่งผิวพรรณ,หน้าตาให้ดูสวยงาม) มักเขียนเป็น เครื่องสาอางค์ 60. จ้อกแจ้ก (เสยี งดังเชน่ นน้ั ) มกั เขียนเป็น จอ๊ กแจ๊ก 61. จักจ่นั (แมลงชนิดหนงึ่ ) มกั เขยี นเปน็ จ๊กั จน่ั 62. จานง (ตง้ั ใจ) มกั เขยี นเป็น จานงค์ 63. เจตคติ (ท่าทหี รือความรสู้ ึกทมี่ ตี ่อสิ่งใดสิง่ หนง่ึ )มักเขยี นเป็น เจตนคติ 64. ฉันมติ ร (เป็นเพอ่ื น) มักเขียนเป็น ฉันท์มิตร
65. ช็อก (สลบแนน่ ่งิ โดยกระทนั หัน) มกั เขยี นเปน็ ช็อค 66. เช้ิต (เสอ้ื คอปกแบบหน่ึง) มักเขยี นเป็น เช๊ติ 67. ซอส (เครอื่ งปรงุ รส) มกั เขียนเปน็ ซอ้ ส 68. เซต (กล่มุ ,หมู่ของสิง่ ต่างๆ) มักเขยี นเปน็ เซต็ 69. เซ็นชอ่ื (ลงลายมือชอ่ื ) มกั เขยี นเป็น เซน็ ตช์ ื่อ 70. กะพริบ (ปิดหรอื เปิดโดยเรว็ ) มกั เขียนเป็น กระพรบิ 71. กะเพรา (ชอื่ ไม้ล้มลกุ มีกลิ่นฉุน) มักเขียนเป็น กระเพรา 72. กะรตั (หน่วยมาตรช่ังเพชรพลอย) มกั เขยี นเป็น กะหรัด 73. กะรุ่งกะร่งิ (ขาดออกเป็นร้ิว ๆ) มกั เขียนเปน็ กระรุง่ กระร่งิ 74. กะลาสี (ลูกเรอื ) มกั เขียนเปน็ กลาสี เอกสารทเี่ ก่ียวกบั แบบฝกึ ทักษะ ความหมายของแบบฝึกเสรมิ ทกั ษะ ภาษาเป็นเร่ืองทักษะ ซ่ึงจาแนกได้เป็น 2 ทาง คือ ทักษะการรับเข้า ได้แก่ การอ่าน และการฟัง และทักษะการแสดงออก ได้แก่ การพูดและเขียน ทักษะทางภาษาจาเป็นต้องฝึกฝน อยู่เสมอ แบบฝึกเสริมทักษะนับว่าเป็นสิ่งท่ีจาเป็นอย่างหนึ่งสาหรับการเรียนภาษาได้มีผู้รู้และ ผ้เู ชย่ี วชาญทางภาษา ให้ความหมายของแบบฝกึ เสริมทักษะไว้ดงั นี้ ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2535 : 16) ให้ความหมาย แบบฝึกเสริมทักษะว่า หมายถึง สิ่งที่ นักเรียนตอ้ งใช้ควบคู่กับการเรยี น ซงึ่ มีลักษณะเปน็ แบบฝกึ ท่ีครอบคลุมกิจกรรมทีน่ ักเรียนพงึ กระทา อาจกาหนดแยกเป็นแต่ละหนว่ ย หรอื อาจรวมเลม่ ก็ได้ ลักษณา อินทะจักร (2538 : 161) ให้ความหมาย แบบฝึกเสริมทักษะว่า หมายถึง แบบฝกึ ที่ครสู รา้ งขึ้นโดยมีจดุ มุ่งหมายเพ่อื ใหน้ ักเรยี นเกดิ การเรียนรูอ้ ย่างแท้จริง ศศิธร ธัญลักษณานันท์ (2542 : 375) ให้ความหมายแบบฝึกเสริมทักษะว่า หมายถึง แบบฝึกเสริมทักษะที่ใช้ฝึกความเข้าใจ ฝึกทักษะต่าง ๆ และทดสอบความสามารถของนักเรียนตาม บทเรยี นทีค่ รสู อนวา่ นกั เรียนเข้าใจและสามารถนาไปใชไ้ ด้มากนอ้ ยเพียงใด กู๊ด (Good 1973 : 224, อ้างถึงใน ลักษณา อินทะจักร 2538 : 160) ให้ ความหมายแบบฝึกเสริมทักษะว่า หมายถึง งานหรือการบ้านที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทา เพื่อ ทบทวนความรู้ท่ไี ดเ้ รยี นมาแลว้ และเปน็ การฝึกทกั ษะการใช้กฎใช้สตู รต่าง ๆ ท่ีเรียนไป พจนานุกรม เวบสเตอร์ (Webster 1981:64) ให้ความหมายแบบฝึกเสริมทักษะว่า หมายถึง โจทย์ปัญหา หรือตัวอย่างที่ยกมาจากหนังสือ เพ่ือนามาใช้สอนหรือให้ผู้เรียนฝึกฝนทักษะ ต่าง ๆ ใหด้ ีขนึ้ หลังจากทีเ่ รียนบทเรยี นไปแลว้ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะ หมายถึง งานหรือกิจกรรมที่ครู สร้างข้ึน โดยมีรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ บทเรียนไดด้ ยี ิ่งขึ้น และชว่ ยฝึกทกั ษะตา่ ง ๆ ให้ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้อย่างแท้จริง อาจจะใหน้ กั เรยี น ทาแบบฝกึ ขณะเรยี นหรือหลงั จากจบบทเรยี นไปแลว้ กไ็ ด้
ความสาคัญของแบบฝึกเสรมิ ทักษะ ภายหลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไปแล้ว การเรียนการสอนนั้นย่อมไม่เกิดผล อย่างเต็มที่ถ้าไม่ได้รับการฝึกทักษะให้เกิดความชานาญและเข้าใจอย่างแท้จริงโดยเฉพาะวิชา ภาษาไทย เพราะภาษาไทยเป็นวชิ าทักษะซ่ึงเป็นวชิ าที่ตอ้ งอาศัยการฝึกฝนเพ่ือเป็นเครื่องมือในการ เรียนรู้วิชาอื่น ๆ และการดาเนินชีวิตประจาวันตามท่ีหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) ต้องการ ดังน้ันในการสอนภาษาไทยจึงต้องมีการฝึกฝนให้เกิดความ ชานาญคล่องแคลว่ เพอ่ื ชว่ ยให้เดก็ เกิดพัฒนาการทางภาษาเพิ่มขน้ึ ตามวัยและความสามารถของตน ที่จะทาได้ และเคร่ืองมืออย่างหนึ่งที่ใชฝ้ ึกทักษะทางภาษาให้ได้ผลดีก็คือ แบบฝึกเสริมทักษะ ดังที่ นกั วชิ าการหลายท่านได้กล่าวถึงความสาคัญของแบบฝึกเสริมทักษะไวด้ ังน้ี กมล ดษิ ฐกมล (2526 : 18, อา้ งถึงใน ลักษณา อนิ ทะจักร 2538: 163) กล่าวว่า แบบ ฝึกเสริมทักษะเป็นหัวใจของการสอนวิชาทักษะอยู่ที่การฝึก การฝึกอย่างถูกวิธีเท่าน้ันจะทาให้เกิด ความชานชิ านาญ คล่องแคล่ววอ่ งไวและทาไดโ้ ดยอตั โนมตั ิ วีระ ไทยพานิช (2528 : 11) ได้อธิบายว่า แบบฝึกเสริมทักษะทาให้เกิดการเรียนรู้จาก การกระทาจริง เป็นประสบการณ์ตรงท่ีผู้เรียนมีจุดประสงค์แน่นอน ทาให้สามารถรู้และจดจาสิ่งท่ี เรียนไดด้ ี จนนาไปใช้ในสถานการณเ์ ช่นเดียวกนั ได้ เพตตี้ (Petty 1963: 269) ได้กล่าวถึงความสาคัญของแบบฝึกเสริมทักษะไว้อย่างชดั เจน ว่าแบบฝกึ เสริมทักษะเปน็ ส่วนเพ่ิมเติมหรือเสริมหนงั สือเรียนในการเรียนทกั ษะ เป็นอุปกรณ์การสอน ที่ช่วยลดภาระของครไู ด้มาก ช่วยสง่ เสริมใหท้ ักษะทางภาษาคงทน ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่าง บคุ คล เพราะการให้นักเรียนทาแบบฝึกเสรมิ ทักษะท่ีเหมาะสมกับความสามารถของตนเอง จะทาให้ ประสบผลสาเร็จทางด้านจติ ใจมาก ท้ังยังช่วยให้นักเรยี นสามารถทบทวนสิ่งท่ีเรียนได้ด้วยตนเองและ ใชเ้ ปน็ เคร่ืองมือวดั ผลการเรยี นได้อีกดว้ ย ดังน้ัน แบบฝกึ เสริมทักษะจึงเป็นเคร่อื งมือสาคัญ ท่ีจะช่วยให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ นกั เรยี นสงู ขึ้น แบบฝึกเสรมิ ทกั ษะจึงนับว่ามีความสาคญั และจาเป็นตอ่ การเรยี นวิชาท่ีตอ้ งการฝึกฝน เพอื่ ให้เกดิ ความชานาญ มีความเขา้ ใจเนือ้ หาบทเรยี นมากย่งิ ข้ึน ประโยชนข์ องแบบฝกึ เสริมทักษะ 1. ใชเ้ สริมหนังสอื แบบเรยี นในการเรียนทกั ษะ 2. เปน็ สือ่ การสอนทช่ี ่วยแบง่ เบาภาระของครู 3. เป็นเครื่องมือท่ีช่วยฝึกฝนและส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาให้ดีข้ึน แต่จะต้องได้รับการ ดแู ลและเอาใจใส่จากครูด้วย 4. แบบฝึกที่สรา้ งข้ึนโดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบคุ คลจะเป็นการชว่ ยใหเ้ ด็กประสบ ความสาเรจ็ ตามระดับความสามารถของเดก็ 5. จะช่วยเสริมทักษะให้คงอยู่ไดน้ าน 6. เปน็ เครือ่ งมอื วดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนหลงั จบบทเรียนแตล่ ะครั้ง 7. แบบฝึกที่จัดทาเป็นรูปเล่มจะอานวยความสะดวกแก่นักเรียนในการเก็บรักษาไว้เพ่ือ ทบทวนด้วยตนเองได้
8. ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาและข้อบกพร่องในการสอน ตลอดจนทราบปัญหาและ ขอ้ บกพร่องและจดุ อ่อนของนักเรยี น ช่วยให้ครสู ามารถแกป้ ญั หาได้ทนั ทว่ งที 9. ชว่ ยใหเ้ ดก็ มโี อกาสฝึกทกั ษะไดอ้ ยา่ งเต็มที่ 10. แบบฝึกทักษะที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วจะช่วยครูประหยัดเวลา และแรงงานในการ สอนการเตรียมการสอน การสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ และชว่ ยใหน้ ักเรียนประหยดั เวลาในการลอก โจทยแ์ บบฝึกหดั ลกั ษณะทด่ี ขี องแบบฝกึ เสริมทักษะ การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้มีประสิทธิภาพตอ้ งมีหลักในการสร้างที่สอดคลอ้ งกับลักษณะ ท่ดี ขี องแบบฝกึ เสริมทักษะดว้ ย ซ่ึงมผี รู้ ไู้ ดเ้ สนอแนะไวด้ งั นี้ การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้มีประสิทธภิ าพตอ้ งมีหลักในการสร้างท่ีสอดคล้องกับลักษณะ ทด่ี ีของแบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะด้วย ซ่ึงมผี รู้ ู้ไดเ้ สนอแนะไว้ดงั นี้ นิตยา ฤทธ์ิโยธี (2520 : 1) ได้กล่าวถึงลักษณะท่ีดีของแบบฝึกเสริมทักษะไว้ว่า แบบฝึกเสริมทกั ษะตอ้ งเกยี่ วขอ้ งกับส่งิ ที่เรยี นมาแล้ว เหมาะสมกับระดับ วยั หรือความสามารถของ เด็ก มีคาช้แี จงสั้น ๆ ทีท่ าให้เด็กเข้าใจวธิ ีทาไดง้ ่าย ใช้เวลาเหมาะสมหรือใชเ้ วลาไม่นาน และเป็นส่ิง ทีน่ ่าสนใจและท้าทายให้แสดงความสามารถ สามารถ มศี รี (2530 : 28) กล่าววา่ แบบฝึกเสริมทกั ษะท่ีดีต้องเก่ียวกับบทเรียนท่ีเรยี น มาแล้วเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน มีคาส่ังและคาอธิบาย มีคาแนะนาการใช้แบบฝึก เสริม โรจนา แสงรุ่งระวี (2531 : 22) กล่าวว่า แบบฝึกเสริมทักษะท่ีดีนอกจากมีคาอธิบาย ชดั เจนแลว้ ควรเปน็ แบบฝึกสนั้ ๆ ใชเ้ วลาในการฝกึ ไมน่ านเกินไปและมหี ลายรปู แบบ ฉะนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะที่ดี ครูผู้สร้างจะต้องยึดหลักจิตวิทยา ใช้ สานวนภาษาท่ีง่าย เหมาะสมกับวัย ความสามารถของผู้เรียน มีกิจกรรมหลากหลาย มีคาส่ัง คาอธิบาย และคาแนะนาการใช้แบบฝกึ เสริมทกั ษะท่ีชัดเจนเข้าใจง่าย ใชเ้ วลาในการฝึกไม่นานและ ท่สี าคัญมีความหมายตอ่ ชวี ติ เพ่ือนาไปใช้ในชวี ิตประจาวนั ได้ หลักการสรา้ งแบบฝึกเสริมทักษะ การสรา้ งแบบฝึกเสริมทกั ษะให้มปี ระสทิ ธิภาพตอ้ งมีหลกั การสรา้ งท่ีสอดคล้องกบั ลักษณะที่ดี ของแบบฝกึ เสรมิ ทักษะด้วย ซึ่งในเรอื่ งนไ้ี ดม้ ีผู้เสนอแนะไว้ดงั นี้ วรนาถ พว่ งสวุ รรณ (2518 : 34 – 37) ได้ใหห้ ลกั การสรา้ งแบบฝกึ เสริมทกั ษะไว้ดงั น้ี 1. ตง้ั จดุ ประสงค์ 2. ศึกษาเก่ียวกบั เนือ้ หา 3. ขนั้ ต่าง ๆ ในการสรา้ ง 3.1 ศกึ ษาปัญหาในการเรยี นการสอน 3.2 ศกึ ษาหลกั จิตวิทยาของเดก็ และจติ วทิ ยาการเรยี นการสอน 3.3 ศกึ ษาเนอ้ื หาวชิ า 3.4 ศกึ ษาลกั ษณะของแบบฝกึ เสริมทักษะ 3.5 วางโครงเร่อื งและกาหนดรูปแบบให้สมั พนั ธ์กับโครงเรื่อง
3.6 เลือกเน้ือหาต่าง ๆ ท่ีเหมาะสมมาบรรจุในแบบฝึกเสริมทักษะให้ครบ ตามท่กี าหนด เกสร รองเดช (2522 : 36 – 37) ได้เสนอแนะแนวทางในการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะ ดังนี้ 1. สรา้ งแบบฝึกเสริมทกั ษะให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน คือ ไม่งา่ ยไม่ ยากจนเกนิ ไป 2. เรียงลาดับแบบฝึกเสริมทักษะจากง่ายไปหายาก โดยเร่ิมจากการฝึก ออกเสยี งเปน็ พยางค์ คา วลี ประโยค และคาประพนั ธ์ 3. แบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะบางแบบควรใชภ้ าพประกอบ เพ่ือดงึ ดูดความสนใจ ของนักเรียน ซงึ่ จะช่วยใหน้ ักเรยี นประสบความสาเรจ็ ในการฝกึ และจะชว่ ยยั่วยุใหต้ ิดตามตอ่ ไปตาม หลักของการจูงใจ 4. แบบฝึกเสริมทักษะท่ีสร้างข้ึนเป็นแบบฝึกสั้น ๆ ง่าย ๆ ใช้เวลาในการ ฝึกประมาณ 30 ถึง 45 นาที 5. เพ่ือป้องกันความเบื่อหน่าย แบบฝกึ ต้องมีลกั ษณะต่าง ๆ เช่น ประสม คาจากภาพ เลน่ กับบัตรภาพ เตมิ คาลงในชอ่ งว่าง อา่ นคาประพันธ์ ฝกึ รอ้ งเพลง และใช้เกมตา่ ง ๆ ประกอบ บ็อค (Bock 1993:3) ได้ใหข้ อ้ พิจารณาในการสรา้ งแบบฝึกเสริมทกั ษะ ดังน้ี 1. กาหนดจุดประสงค์ให้ชัดเจน เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้ทราบจุดมุ่งหมาย ของแบบฝึกเสริมทกั ษะ 2. ใหร้ ายละเอียดต่าง ๆ เช่น คาแนะนาในการทาแบบฝึกเสรมิ ทักษะหรือ ขั้นตอนในการทาอยา่ งละเอยี ด 3. สร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้มีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อสร้างความ เข้าใจให้กับนักเรียนมากท่ีสุด เช่น แบบฝึกเสริมทักษะอาจใช้รูปแบบง่าย ๆ โดยเริ่มจากการให้ นกั เรียน ตอบคาถามในลักษณะถูกผิดจนถึงการให้นกั เรยี นแสดงความคิดเห็น 4. แบบฝึกเสริมทักษะควรสร้างความเข้าใจให้กับนักเรียน เช่น การให้ นกั เรยี นเขยี นเรียงลาดับเหตุการณท์ ่ีเกดิ ข้นึ ลงในตารางหรอื แผนภูมิทีก่ าหนดให้ จากแนวคดิ ขา้ งต้นสามารถสรุปได้ว่า การสร้างแบบฝกึ เสริมทักษะควรมีหลกั ใน การ สรา้ งดงั นี้ 1. ต้องยึดหลักจิตวิทยาการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียนในแต่ละวัย ต้อง คานึงถึงความสามารถ ความสนใจ แรงจงู ใจของนักเรยี น 2. ต้องตั้งจุดประสงค์ในการฝึกว่าต้องการฝึกเสริมทักษะใด เน้ือหาใด ตอ้ งการให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนร้อู ะไร 3. แบบฝึกเสริมทักษะต้องไมย่ ากไม่งา่ ยจนเกินไป คานึงถึงความสามารถ ของเดก็ และต้องเรียงลาดับจากงา่ ยไปหายาก 4. ต้องศึกษาขั้นตอนต่าง ๆ ในการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะ ปัญหาและ ขอ้ บกพร่องของนกั เรียน
5. แบบฝึกเสริมทักษะตอ้ งมคี าช้ีแจง และควรมตี ัวอย่างเพอ่ื ให้นักเรียนมี ความเข้าใจมากขึ้น และสามารถทาไดด้ ว้ ยตนเอง 6. แบบฝึกเสริมทักษะควรมีหลายรูปแบบ หลายลักษณะ เพื่อจูงใจใน การทา ทาให้นักเรยี นมีความรู้สกึ ว่ามีจานวนไม่มาก 7. ควรมรี ูปภาพประกอบท่สี วยงามเหมาะสมกับวยั ของเด็ก 8. ควรใชภ้ าษาสั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่วา่ จะเป็นเนื้อหาหรอื คาสัง่ 9. ควรมกี ารทดลองใช้เพอื่ หาขอ้ บกพร่องตา่ ง ๆ กอ่ นนาไปใชจ้ ริง 10. ควรจัดทาเป็นรูปเล่ม ซึ่งสามารถเก็บรักษาไดง้ ่าย นักเรียนสามารถ นามาทบทวนก่อนสอบได้ หลักจิตวิทยาที่นามาใชใ้ นการสร้างแบบฝกึ เสริมทักษะ การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้มีประสิทธิภาพ สาหรับนาไปใช้กับนักเรียนน้ัน ต้องอาศัย หลักจิตวิทยาในการเรียนรู้ และทฤษฎีที่ถือว่าเป็นแนวความคิดพ้ืนฐานของการสร้างแบบฝึกเสริม ทักษะเขา้ ชว่ ย เพือ่ ให้สอดคล้องกับความสนใจและความสามารถของนกั เรียน เดโช สวนานนท์ (2521 : 159 – 163) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ของ ธอร์นไดค์ และสกินเนอร์ (Thorndike and Skinner) ดังน้ี ธอร์นไดค์ ได้ตั้งกฎการเรียนรู้ขึ้น 3 กฎ ซึ่ง นามาใช้ในการสร้างแบบฝึกเสรมิ ทกั ษะ ได้แก่ 1. กฎแห่งผล (Law of Effect) มีใจความว่าการเช่ือมโยงกันระหว่างสิ่งเรา้ กับ การ ตอบสนองจะดยี ิ่งข้ึนเม่อื ผูเ้ รียนแน่ใจว่าพฤติกรรมตอบสนองของตนถกู ต้อง การให้รางวัลจะช่วย ส่งเสริมการแสดงพฤตกิ รรมน้ัน ๆ อกี 2. กฎแหง่ การฝกึ หัด (Law of Exercise) มีใจความว่า การท่ีมโี อกาสได้กระทา ซ้า ๆ ในพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งนัน้ ๆ จะมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น การฝึกหัดที่มีการควบคุมที่ดีจะ ส่งเสริมผลต่อการเรยี นรู้ งานวิจัยทเ่ี กีย่ วข้อง ในการวิจยั ครั้งน้ี ผ้วู ิจัยได้ศกึ ษางานวจิ ัยท่เี กย่ี วข้องดงั นี้ กญั ญา ทิพย์ลาย (2545 : บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษาเรื่องการสร้างแบบฝึกการเขียนสรุป ความจากบทร้อยแกว้ สาหรบั นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4โดยใช้แผนผังความคดิ สรุปผลการศกึ ษา พบว่า 1 ) ได้แบบฝึกการเขียนสรุปบทความจากบทร้อยแก้ว สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แผนผังความคิดทีม่ ีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบดว้ ย แผนการสอน แบบฝึกหัดจานวน 6 ชดุ และ แบบทดสอบจานวน 2 ชุด ชุดละ 10 ข้อ 2 ) แบบฝึกการเขียนสรุปความจากบทร้อยแก้ว สาหรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4โดยใช้แผนผังความคิดมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.07180.56 และ 3 ) ผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนสรุปความของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง หลังการใช้แบบฝึกการเขียนสรุป ความโดยใช้แผนผังความคิดสูงกวา่ กอ่ นการใชแ้ บบฝกึ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดับ 0.01 สมปอง อินทร์งาม ( 2538 : บทคัดย่อ ) ได้ทาการศึกษาเร่ือง การใช้แบบฝึกทักษะการ เขียนบทร้อยกรองสี่คาเชิงสร้างสรรค์ สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1 ) แบบฝึกท่สี ร้างข้ึนมีจานวน 22 แบบฝึกหัดคือ แบบฝึกการเขียนตามข้ันตอน จานวน 8 แบบฝกึ และ
แบบฝึกการเขียนตามข้ันตอน จานวน 8 แบบฝึก และแบบฝึกการเขียนบทร้อยกรองส่ีคาเชิง สร้างสรรค์ จานวน 14 แบบฝึก 2 ) เม่ือพิจารณาความสามารถทางการเขียนบทร้อยกรองสคี่ าของ นักเรียนจากแบบฝึกแล้วพบว่า นักเรียนมีพัฒนาการทางด้านความรู้ความเข้าใจ และการคิดเชิง สร้างสรรค์ทางภาษามากข้ึนกว่าเดิม 3 ) การใช้แบบฝึกทักษะการเขียนบทร้อยกรองส่ีคาเชิง สร้างสรรค์หลังการสอนอ่านบทร้อยกรอง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทาให้ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนด้าน ความรู้ ความเข้าใจและความคิดสร้างสรรค์ในการเขียนบทร้อยกรองสี่คาสูงข้ึนที่ระดับความมี นัยสาคญั .01 และ 4 ) พฤตกิ รรมท่ีนักเรียนแสดงออกในขณะท่เี รียนดว้ ยแบบฝกึ จะพบวา่ นกั เรยี น มีความสนใจในแบบฝึก โดยเฉพาะแบบฝกึ ทีม่ ีภาพประกอบ มีความต้ังใจท่ีจะทาแบบฝึก และมีความ กล้าทีจ่ ะถามครู รจู้ ักช่วยเหลือกันในการทาแบบฝึก มีความสนใจใฝร่ ้ใู นผลงานของตนเองที่ทาสาเร็จ วิไลวรรณ พรมทอง ( 2550) ได้ทาการวิจัยชุดฝึกทักษะการอ่าน เพ่ือจับใจความสาคัญ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ผลจากการวิจัยพบว่า ในสภาพรวมชุด ฝกึ ทักษะการอ่านเพื่อจับ ใจความสาคัญ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทักษะการอ่านเพ่ือจบั ใจความสาคัญ วิชาภาษาไทยหลังเรียน โดยใช้ชุดฝึกทักษะสูงกว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนอย่างมีวินัยสาคัญทางสถิติ ที่ ระดับ .01 สุปราณี ดาราฉาย (2539: 91-92) ได้ศึกษาการเขียนสะกดคาผิดของนักเรียนตั้งแต่ระดับ ประถมศึกษาถงึ ระดับอุดมศกึ ษา พบว่า สาเหตกุ ารสะกดผิดเกดิ จาก 1.ออกเสียงผิด เช่น คา ออกเสยี ง เขียน ไม้ไล่ ไม้-ไร่ ไม้ไร่ พยาม พะ-ยาม พยาม สวรรคต สะ-หวนั -นะ-คต สวรรคต 2.มแี นวเทยี บผิด เช่น คา ออกเสียง เขยี น อนญุ าต ญาตพิ ี่น้อง อนุญาต เนรมติ มติ รสหาย เนรมติ สันโดษ โดดเดีย่ ว สันโดษ 3.เหน็ คาสะกดผดิ เสมอจนเข้าใจว่าเปน็ การสะกดถกู เชน่ อุปไมย เขียนเป็น อุปมัย ปรากฏ ปรากฏ เขยี นเปน็ พสิ วาส พศิ วาส เขยี นเปน็ จักรพรรดิ ปราศรัย 4.ไม่สนใจเขยี นใหถ้ กู ตอ้ ง เชน่ อัธยาสัย จักรพรรดิ เขยี นเปน็ ปราศรัย เขียนเป็น อธั ยาศัย เขียนเปน็
วรรณี โสมประยูร(2542: 157) ได้ศึกษาคายากซึ่งเป็นคาท่ีนักเรียนส่วนมากเขียนผิดน้ัน สาเหตุที่เขียนผิดสรปุ ไดด้ งั นี้ 1. นกั เรียนมปี ระสบการณ์เกยี่ วกับคาผดิ โดยเหน็ แบบอย่างทีส่ ะกดผดิ 2. นักเรียนไมร่ ู้หลักภาษา เช่นไม่ร้จู ักการประวสิ รรชนีย์ หลักการใช้ ส ศ ษ หลักการใช้ สะกดการนั ต์ หลกั การผันวรรณยุกต์ หลกั มาตราตัวสะกดและอ่นื ๆ 3. นักเรยี นไม่ชอบความหมาย เพราะคาไทยมคี าพ้องเสียง ทาให้ความหมายสบั สน เช่น กณั ฑ์-กรร ขนั ฑ์-ขรรค์ 4. นักเรียนฟังไม่ชัด เพราะคาไทยมีคาควบกล้า เช่นคราวคลอง ครอง เกลี้ยวกล่อม กลอง สรวง 5. นักเรียนไม่สามารถถ่ายทอดคาตอบเสียงที่มาจากภาษาอังกฤษ ซึ่งเขียน แตกต่าง จากเสยี งได้ เช่น ชอล์ก ดอกเตอร์ แท็กซ่ี 6. นกั เรยี นใชค้ าทมี่ ี ร ล เช่น ราว-ลาวราด-ลาด สรุปได้ว่า การเขียนคาสะกดผิดเกิดจากสาเหตุ คือนักเรียนขาดพื้นฐานท่ีดี ไม่มีหลักในการ สะกดคา การฝึกฝนไม่เพียงพอ สภาพแวดล้อมสังคม สื่อมวลชน เสนอคาผิด ขาดการสังเกต มี ประสบการณ์ผดิ ๆ ไมท่ ราบความหมายของคา ฟังไม่ชัดเจนและใช้คาผิด ร ล ว ทาให้นกั เรียนสะกด คาผดิ
บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนนิ การวจิ ัย การวิจยั เรื่องการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาสาหรับนักเรยี น ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนบ้านโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ เป็นการวิจัยในช้ันเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา เพ่ือศึกษาทักษะการเขียนสะกดคาหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกด เพ่ือเปรียบเทียบ ทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ผู้วิจัยได้กาหนด วธิ ดี าเนนิ การวิจยั ดงั นี้ 1. ประชากรทต่ี ้องการศกึ ษา 2. เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการวิจยั 3. การสร้างเครือ่ งมือ 4. การดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมลู 5. การวเิ คราะหข์ ้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ มีจานวน ท้งั หมด 12 คน เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการทาวิจัย - เอกสารประกอบการเรียนเรอื่ งหลักการเขียน - แบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคา ซง่ึ มีแบบฝึกทั้งหมด 3 ชุด - แบบฝึกทกั ษะชุดท่ี 1 ใหน้ ักเรยี นเติมคาลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ตอ้ ง - แบบฝึกทักษะชุดท่ี 2 ใหน้ ักเรียนเขียนวงกลมล้อมรอบคาเขยี นท่ถี กู ต้องมากที่สดุ - แบบฝึกทักษะชุดท่ี 3 ให้นักเรียนอ่านคาต่อไปน้ีแล้วเขียนคาที่ถูกต้องลงใน ช่องวา่ ง - แบบทดสอบเขียนตามคาบอกเพื่อวัดความสามารถในการเขียนสะกดคาตามทไี่ ด้กาหนด จานวน 20 คา ขั้นตอนการสร้างเครื่องมอื 1. ศกึ ษาเอกสารและตารา เก่ยี วกบั หลักการเขยี น 2. คณะผู้วิจัยทาการวิเคราะห์หาคายากที่นักเรียนมักเขียนสะกดคาผิดในหนังสือ ประกอบการเรียนวชิ าภาษาไทย ชุด ภาษาเพอื่ ชีวิต วรรณคดลี านาและ ภาษาเพือ่ ชวี ิต ภาษาพาทีของ
นกั เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4โรงเรียนบ้านโปง่ พระบาท เพ่ือนาคาเหล่านั้นมาทาเป็นแบบฝึก ทกั ษะใหแ้ กน่ ักเรียน 3. นาคาท่ีไดจ้ ากหนังสอื ประกอบการเรยี นวิชาภาษาไทย มาสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ 3 ชดุ 4. นาแบบฝึกทักษะท้ัง 3 ชุดไปให้ผู้เช่ียวชาญทาการตรวจสอบแก้ไขให้ถูกต้องและ เหมาะสม 5. หลังจากแบบฝึกทักษะท้ัง 3 ชุดได้รับการตรวจสอบแก้ไขแล้ว คณะผู้วิจัยจึงนาแบบฝึก ทักษะไปให้นักศึกษากลุ่มตัวอย่าง ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ จานวน 13 คน ได้ฝึกทาแบบฝึกทกั ษะท้ัง 3 ชุด การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 1. ศกึ ษาเอกสารและตารา เก่ยี วกับหลกั การเขียน 2. ศึกษาเอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับคายากในภาษาไทยของนักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 4 3. สร้างเคร่ืองมือวิจัย โดยการกาหนดคา จานวน 20 คา เพื่อนาไปทอดลองกับกลุ่ม ตวั อยา่ ง 4. ให้นักเรียนทาแบบฝกึ ทกั ษะกอ่ นเรียนเพ่ือเป็นการวดั ความสามารถของนกั เรยี น 5. แจกเอกสารเก่ียวกับหลักการเขียน ให้กับนักเรียนเพื่อนาไปศึกษาพร้อมกาหนดวันเวลา เพื่อทาการทดสอบ 6. ทาการทดสอบนักเรียนตามวันเวลาท่ีกาหนดโดยให้นักเรียนฝึกทาแบบฝึกทักษะจานวน 4 ชุด 7. ตรวจสอบแบบฝกึ ทกั ษะของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 8. เมื่อคณะผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือหรือแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา แล้วจึงนาแบบฝึก ทักษะมาตรวจสอบความถกู ตอ้ ง 9. หลังจากให้นักเรียนทาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาท้ัง 4 ชุดแลว้ จงึ จะใหน้ ักเรยี นทา การทดสอบการเขียนตามคาบอกในคร้ังท่ี 2 10. นาแบบทดสอบการเขียนตามคาบอกครั้งที่ 1 และคร้ังที่ 2 มาทาการเปรียบเทียบหา ความแตกต่าง การวเิ คราะหข์ อ้ มลู 1. คานวณการหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม โดยการคานวณระหว่างใช้นวัตกรรม(E1) และ การคานวณหลงั ใช้นวตั กรรม(E2) 2. คานวณหาคา่ สถติ ิพน้ื ฐาน ได้แกค่ ะแนนเฉล่ีย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3. คานวณการหาคะแนนความก้าวหน้า และร้อยละความก้าวหน้า สถติ ทิ ใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
1. การหาประสทิ ธิภาพของนวัตกรรม สูตร E1 ระหว่างใชน้ วตั กรรม E1 = ( ∑ ������/ N ) / A * 100 E1 แทน ประสิทธภิ าพของกระบวนการ ∑ ������ แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรอื งาน A แทน คะแนนเตม็ ของแบบฝกึ หัดทกุ ช้นิ รวมกัน N แทน จานวนผเู้ รยี น สตู ร E2 หลงั ใชน้ วัตกรรม E2 = (∑ ������/N)/B * 100 E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ ������ แทน คะแนนรวมของผลลพั ธ์หลังเรยี น B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลงั เรียน N แทน จานวนผู้เรียน 2. สถิตพิ ้ืนฐาน 2.1 คา่ คะแนนเฉลย่ี ใชส้ ญั ลักษณท์ างสถติ ิวา่ ������ เปน็ ค่ากลางของจานวนขอ้ มูล มีสตู รสาหรบั การคิดคานวณดังนี้ ������������ ������ ������= เมื่อ ������ = แทนค่าเฉล่ยี ΣX = แทนผลรวมของคะแนนทัง้ หมด N = แทนจานวนนกั ศึกษาท่ตี อบแบบสอบถาม 6.2.2. ค่าคะแนนส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ใช้สัญลักษณ์ทางสถิติว่า ������ เป็นค่าท่ี แสดงการกระจายของคะแนนดิบ ยิ่งค่า ������ มีค่าสูงมากเท่าใด แสดงว่า คะแนนของกลุ่มข้อมูล น้นั มคี วามแตกตา่ งกนั มากเท่านั้น ������ = √������������������2 –(������������)2 ������ ������ = ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน ΣX = ผลรวมของคะแนนดบิ Σ������2 = ผลรวมของคะแนนดิบของนักศึกษาแต่ละคนยกกาลังสองทลี ะตัว N = จานวนนกั ศกึ ษา 6.3 คานวณการหาคะแนนความกา้ วหน้า และรอ้ ยละความก้าวหน้า
คะแนนความกา้ วหนา้ = คะแนนหลงั ใชน้ วัตกรรม – คะแนนก่อนใช้นวัตกรรม รอ้ ยละความกา้ วหน้า= คะแนนความกา้ วหนา้ * 100/2 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู การนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ ๓๑จงั หวดั เชียงใหม่ เพ่อื ให้การนาเสนอเปน็ ไปตามลาดบั ข้ันตอน ผวู้ จิ ัยจงึ ได้กาหนด หัวขอ้ ไว้ดังนี้ คอื สัญลกั ษณ์ทใ่ี ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล การนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู และผลการ วเิ คราะหข์ อ้ มลู สัญลักษณท์ ่ีใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู N แทน จานวนนกั เรียน μ แทน คา่ เฉล่ียคะแนน ������ แทน คา่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน การนาเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ในการนาเสนอผลการวเิ คราะห์การจัดการเรยี นการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนสะกด คา สาหรบั นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563โรงเรยี นราชประชานุ เคราะห์ ๓๑จงั หวัดเชยี งใหมม่ ีลาดับการนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดงั น้ี ตอนท่ี 1 การศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563โรงเรยี นโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ ตอนท่ี 2 การศกึ ษาทักษะการเขยี นสะกดคาหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคา สาหรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ ๓๑ ตอนท่ี 3 การเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา สาหรับนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563โรงเรียนโรงเรียน ราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล ตอนท่ี 1 การศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563โรงเรยี นโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ ตารางที่ 1 การศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคา สาหรบั นักเรยี นชั้น ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรยี นโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๓๑
นกั เรียน คร้งั ท่ี 1 คร้ังที่ 2 ครง้ั ท่ี 3 รวม คะแนนสอบ (20) (20) (20) (60) (20) 1. 2. 14 18 12 44 13 3. 19 20 13 52 10 4. 16 20 20 56 20 5. 16 18 14 48 13 6. 17 20 18 55 18 7. 16 17 7 40 6 8. 19 19 19 57 20 9. 19 20 16 55 19 10. 19 20 20 59 20 11. 17 19 17 53 18 12. 19 19 18 56 19 19 19 19 57 18 รวม 230 249 212 691 213 จากตารางสรุปได้ว่า การศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ ๓๑ ได้ผลการศึกษาประสทิ ธิภาพคะแนนระหว่างใช้นวตั กรรมกับหลังใช้นวตั กรรม คะแนน ระหวา่ งใช้นวัตกรรมเทา่ กบั ร้อยละ 88.5 คะแนนหลงั ใช้นวตั กรรมเทา่ กบั รอ้ ยละ 81.9 ตอนท่ี 2 การศึกษาทกั ษะการเขยี นสะกดคาหลังใชแ้ บบฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ ๓๑ ตารางที่ 2 การศึกษาทักษะการเขียนสะกดคาหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรบั นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563โรงเรียนโรงเรยี นราชประชา นุเคราะห์ ๓๑
นักเรยี น คะแนนสอบหลงั เรยี น (20) 1. 13 2. 10 3. 20 4. 13 5. 18 6. 6 7. 20 8. 19 9. 20 10. 18 11. 19 12. 18 ������ 16.38 ������ 4.46 จากตารางสรปุ ได้วา่ การศึกษาทักษะการเขยี นสะกดคาหลังใช้แบบฝกึ ทักษะการเขียนสะกด คา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราช ประชานเุ คราะห์ ๓๑ ได้ผลการศึกษาทักษะการเขียนสะกดคา ปรากฏว่า ค่าเฉลีย่ ของนกั เรียนท้งั หมด เท่ากับ 16.38 นกั เรยี นท่ีไดค้ ะแนนสูงสดุ 20 คะแนน และนักเรียนท่ีไดค้ ะแนนต่าสดุ 6 คะแนน ค่า เบยี่ งเบนมาตรฐาน เทา่ กับ 5.50 ตอนท่ี 3 การเปรยี บเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลงั ใช้แบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคา สาหรับนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชา นุเคราะห์ ๓๑ ตารางท่ี 3 ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการ เขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑
นกั เรยี น คะแนนก่อนใช้ คะแนนหลงั ใช้ คะแนน ร้อยละ นวัตกรรม นวตั กรรม ความก้าวหน้า ความก้าวหน้า 1 2 11 13 2 10 3 4 10 6 30 4 14 20 6 30 5 9 13 4 20 6 7 18 11 55 7 3 6 3 15 8 11 20 9 45 9 6 30 10 13 19 10 50 11 10 20 7 35 12 11 18 3 15 16 19 4 20 รวม 14 18 ������ 78 390 ������ 135 213 6 30 10.38 16.38 2.79 13.99 3.84 4.46 จากตารางสรปุ ได้ว่า การเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะ การเขยี นสะกดคา สาหรบั นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้ นวัตกรรม ปรากฏว่า คะแนนความก้าวหนา้ เฉลยี่ เท่ากับ 6 คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 30 โดยมีคะแนน ความก้าวหน้าสงู สุดเฉลี่ย เทา่ กับ 11 คิดเป็นร้อยละ เทา่ กับ 55 และคะแนนความก้าวหน้าต่าสุดคิด เฉลย่ี 2 คดิ เป็นร้อยละ เท่ากับ 10
บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจยั อภิปราย และขอ้ เสนอแนะ การวิจยั การจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคา สาหรบั นักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนบา้ นโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ โดยนาปัญหาในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนมาทาการวิจัยและนานวัตกรรมเป็นส่ือการสอนเพื่อ ช่วยแก้ไขปัญหาการเรียนเก่ียวกับการเขียนสะกดคา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563โรงเรยี นโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๓๑ วตั ถุประสงค์การทาวจิ ัย 1. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563โรงเรยี นโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ 2. เพ่ือศึกษาทักษะการเขียนสะกดคาหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ ๓๑ 3. เพ่ือเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกด คา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราช ประชานุเคราะห์ ๓๑ ขอบเขตของการวจิ ัย ขอบเขตดา้ นเนือ้ หา เน้ือหาที่ใช้ในการทาวิจัย ได้แก่ หนังสือเรียนชุดภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาที หนังสือเรียนชุด ภาษาเพื่อชวี ติ วรรณคดีลานา และหนงั สือหลกั ภาษา ขอบเขตด้านประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4โรงเรียนบ้านโรงเรียนราช ประชานเุ คราะห์ ๓๑ ขอบเขตด้านตัวแปร ตวั แปรตน้ การจดั การเรยี นการสอนโดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะการเขยี นสะกดคา ตัวแปรตาม ทกั ษะการเขียนสะกดคา เครือ่ งมือท่ใี ช้ในการทาวิจยั - เอกสารประกอบการเรยี นเรื่องหลกั การเขยี น - แบบฝกึ ทกั ษะการเขียนสะกดคา ซงึ่ มแี บบฝึกทง้ั หมด 3 ชุด - แบบฝึกทกั ษะชดุ ที่ 1 ใหน้ ักเรียนเตมิ คาลงในช่องว่างให้ถกู ต้อง - แบบฝึกทกั ษะชุดที่ 2 ให้นักเรยี นเขียนวงกลมล้อมรอบคาเขียนท่ถี ูกต้องมากทส่ี ุด - แบบฝกึ ทกั ษะชดุ ที่ 3 ใหน้ กั เรยี นอ่านคาตอ่ ไปนแี้ ล้วเขยี นคาทถ่ี ูกตอ้ งลงในช่องว่าง
การวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. คานวณการหาประสิทธภิ าพของนวตั กรรม โดยการคานวณระหว่างใช้นวัตกรรม (E1) และ การคานวณหลังใชน้ วัตกรรม (E2) 2. คานวณหาค่าสถิตพิ ื้นฐาน ได้แก่คะแนนเฉลย่ี และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 3. คานวณการหาคะแนนความกา้ วหน้า และรอ้ ยละความกา้ วหนา้ สรุปผลการวิจยั การศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการศึกษาประสิทธิภาพคะแนนระหว่างใช้นวัตกรรมกับหลังใช้นวัตกรรม คะแนนระหว่างใช้ นวัตกรรมเท่ากบั รอ้ ยละ 88.5 คะแนนหลงั ใชน้ วตั กรรมเทา่ กบั รอ้ ยละ 81.9 การศึกษาทักษะการเขียนสะกดคาหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียน ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการศึกษาทักษะการเขียนสะกดคา ปรากฏว่า ค่าเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมด เท่ากับ 16.38 นักเรียนท่ีได้คะแนนสูงสุด 20 คะแนน และนักเรียนท่ีได้คะแนนต่าสุด 6 คะแนน ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน เทา่ กับ 5.50 การเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้นวัตกรรม ปรากฏว่า คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ย เท่ากับ 6 คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 30 โดยมีคะแนน ความก้าวหนา้ สงู สดุ เฉลี่ย เท่ากับ 11 คดิ เป็นร้อยละ เทา่ กับ 55 และคะแนนความก้าวหน้าต่าสุดคิด เฉลยี่ 2 คิดเป็นรอ้ ยละ เทา่ กับ 10 อภิปรายผล การวิจัยครั้งน้ีเปน็ การวจิ ยั การจัดการเรยี นการสอนโดยใช้แบบฝกึ ทักษะการเขยี นสะกดคา สาหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรยี นบา้ นโรงเรยี นราช ประชานเุ คราะห์ ๓๑ พบวา่ การศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการศึกษาประสิทธิภาพคะแนนระหว่างใช้นวัตกรรมกับหลังใช้นวัตกรรม คะแนนระหว่างใช้ นวัตกรรมเทา่ กับ รอ้ ยละ 88.5 คะแนนหลงั ใช้นวัตกรรมเท่ากับ รอ้ ยละ 81.9 การศึกษาทักษะการเขียนสะกดคาหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา สาหรับนักเรียน ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการศึกษาทักษะการเขียนสะกดคา ปรากฏว่า ค่าเฉล่ียของนักเรียนท้ังหมด เท่ากับ 16.38 นักเรียนท่ีได้คะแนนสูงสุด 20 คะแนน และนักเรียนท่ีได้คะแนนต่าสุด 6 คะแนน ค่าเบ่ียงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 5.50
การเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา สาหรับนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563โรงเรียนโรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ได้ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคาก่อนและหลังใช้นวัตกรรม ปรากฏว่า คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ย เท่ากับ 6 คิดเป็นร้อยละเท่ากับ 30 โดยมีคะแนน ความก้าวหนา้ สงู สุดเฉล่ีย เท่ากับ 11 คดิ เป็นร้อยละ เท่ากบั 55 และคะแนนความก้าวหน้าต่าสุดคิด เฉล่ีย 2 คดิ เปน็ รอ้ ยละ เท่ากบั 10 ซ่ึงสอดคล้องกับ กัญญา ทิพย์ลาย (2545 : บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษาเรื่องการสร้างแบบฝึกการ เขยี นสรุปความจากบทร้อยแกว้ สาหรับนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4โดยใช้แผนผังความคดิ สรปุ ผล การศึกษาพบว่า 1 ) ได้แบบฝึกการเขียนสรุปบทความจากบทร้อยแก้ว สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 4โดยใชแ้ ผนผังความคดิ ที่มปี ระสิทธิภาพ ซ่ึงประกอบด้วย แผนการสอน แบบฝกึ หัด จานวน 6 ชุด และแบบทดสอบจานวน 2 ชุด ชุดละ 10 ข้อ 2 ) แบบฝึกการเขียนสรุปความจาก บทร้อยแก้ว สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4โดยใช้แผนผังความคิดมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.07180.56 และ 3 ) ผลสัมฤทธิ์ทางการเขยี นสรุปความของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง หลังการใช้ แบบฝึกการเขียนสรุปความโดยใช้แผนผังความคิดสูงกว่าก่อนการใชแ้ บบฝกึ อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ ท่รี ะดบั 0.01 ขอ้ เสนอแนะและการนาผลการวิจยั ไปใช้ การวิจัยในครั้งน้ีสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในด้านการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาใน ชีวิตประจาวันของผู้คนทั่วๆไป โดยการนาไปใช้นั้นมากมายเช่นในการเขียงเรียงความ การเขียน รายงานต่างๆ ร่วมไปถงึ การเขยี นจดหมายท้งั ทางราชการและจดหมายธรุ กิจที่เป็นลายลกั ษณ์อักษรใน การท่เี ราเขียนสะกดคาถกู ต้องตามอักขรวิธที ี่พจนานกุ รมราชบณั ฑติ ยสถานกาหนดใหน้ ้ันเปน็ การช่วย ใหภ้ าษาไทยไมเ่ ปล่ียนแปลงและเกิดภาษาวิบตั ิข้นึ มาหรอื รวมไปถงึ การเขียนคาผิดๆ จนเปน็ นสิ ัย ขอเสนอแนะในการทาวจิ ยั คร้ังตอ่ ไป ในการทาวิจัยคร้ังต่อไปควรจะศึกษาด้านการเขียนสะกดคาที่ตรงตามมาตราตัวสะกด 8 มาตราของภาษาไทย เพราะว่ามาตราตัวสะกดของภาษาไทยมีหลักการจาท่ีชัดเจนและศึกษาได้ ชดั เจนหาผลสรุปได้ชดั เจน ข้อควรระวังในการทาวิจยั คือ ผ้วู ิจัยตอ้ งสอบถามขอ้ มลู ต่างๆรวมไปถึงการ สัมภาษณ์ครูและผทู้ ่เี กยี่ วข้องก่อนท่ีจะสรุปผลการทาวิจัย เพือ่ ใหก้ ลมุ่ ตัวอยา่ งไดไ้ วว้ างใจและใหข้ อ้ มูล กับผูว้ จิ ยั อย่างเตม็ ที่ โดยใหข้ ้อมูลที่แท้จริงไมเ่ สแสรง้ พฤตกิ รรมท่ีไม่ใช่เป็นตวั ตนของกลุ่มตวั อย่าง
บรรณานุกรม กาชัย ทองหลอ่ . หลักภาษาไทย. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 10 กรงุ เทพฯ : บารงุ สาส์น, 2513 วาสนา แสงสิทธ์ิ. การใช้แบบฝึกหัดเพื่อพัฒนาความรู้เร่ืองการพัฒนาบุคลิกภาพในรายวิชา ภาษาไทยเพื่อการพัฒนาวิชาชีพ สาหรับนักศึกษาช้ันปีที่ 2 โปรแกรมวิชากราฟิกดีไซน์ คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั เชียงใหม่. งานวิจัยในช้ันเรยี น. คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎเชยี งใหม,่ 2553 สทุ ธวิ งศ์ พงศไ์ พบูลย.์ หลกั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ , 2535 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. ภาษาเพ่ือชีวิต วรรณคดีลานา. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรงุ เทพ : สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2554 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน. ภาษาเพ่ือชีวติ ภาษาพาที. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพ : สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา, 2554 กระทรวงวัฒนธรรม. ความสาคัญของภาษาไทย. (ออนไลน์). แหล่งท่ีมา : http://www.m- culture.go.th/detail_page.php?sub_id=1116 เชาวศร ดีไชยยา. แบ บฝึกเสริมทักษะ. (ออนไลน์). แหล่งท่ีมา : http://www.learners. in.th/blogs/ posts/148590 2551
ภาคผนวก
ภาคผนวก (แบบฝึ กทกั ษะการเขยี นสะกดคา) แบบฝึ กทักษะการเขยี นสะกดคา ซึ่งมีแบบฝึ กท้งั หมด 3 ชุด แบบฝึกทกั ษะชุดที่ 1 ใหน้ กั เรียนเติมคำลงในช่องวำ่ งใหถ้ ูกตอ้ ง แบบฝึกทกั ษะชุดที่ 2 ใหน้ กั เรียนเขยี นวงกลมลอ้ มรอบคำเขยี นท่ถี ูกตอ้ งมำกที่สุด แบบฝึกทกั ษะชุดที่ 3 ใหน้ กั เรียนอ่ำนคำตอ่ ไปน้ีแลว้ เขยี นคำที่ถูกตอ้ งลงในช่องวำ่ ง
แบบฝึ กทกั ษะคร้ังท่ี 1 ช่ือ .....................................สกุล........................ ช้นั .....................................เลขที.่ ....................... ชีแ้ จง โรงเรียน............................................................. ใหน้ กั เรียนเติมคำลงในช่องวำ่ งใหถ้ ูกตอ้ ง กะ – ดำด 1. ก ะดำ อ่ำนวำ่ 2. ตั ญู อ่ำนว่ำ กะ – ตนั – ยู 3. ก มำย อ่ำนวำ่ กด – หมำย 4. กิโลเม อำ่ นวำ่ กิ – โล – เมด 5. ค อ ค อ อ่ำนว่ำ คอบ – คอง 6. เข้ แข็ อำ่ นวำ่ เขม้ – แขง็ 7. ชีวิ ชี ำ อ่ำนว่ำ ชี – วิด – ชี – วำ 8. ต ะ นั อ่ำนวำ่ ตะ – หนกั 9. ธ มชำ อำ่ นวำ่ ทำ – มะ – ชำด 10. อุ สำ ก ม อำ่ นวำ่ อดุ – สำ – หะ – กำ 11. อุบั เห อ่ำนวำ่ อุ – บดั – ติ – เหด
12. อนุเค ำะ อำ่ นวำ่ อะ – นุ – เคำะ 13. ส ำงสรร อ่ำนวำ่ สร้ำง – สัน 14. เห กำ อ่ำนว่ำ เหด – กำน 15. น ม อ่ำนวำ่ ร่ืน – รม 16. วั นธ อำ่ นวำ่ วดั – ทะ – นะ – ทำ 17. ดกู ำ อ่ำนวำ่ รึ – ดู – กำน 18. ก มสิท อ่ำนว่ำ กำ – มะ – สิด 19. ก ำหำ อ่ำนว่ำ กลำ้ – หำน 20. พ ะพกั อำ่ นว่ำ พะ – พกั
ช่ือ .....................................สกลุ ........................ ช้นั .....................................เลขท่ี........................ โรงเรียน............................................................. แบบฝึ กทกั ษะคร้ังที่ 2 ชี้แจง ใหน้ กั เรียนเขยี น วงกลม ลอ้ มรอบคำท่ถี กู ตอ้ งมำกทส่ี ุด 1. กตณั ญู กตญั ญู กตนั ญู 2. กฏหมำย กฎหมำย กดหมำย 3. กระดำส กระดำด กระดำษ 4. กิโลเมด กิโลเมตร กิโรเมตร 5. ครอบครอง คอบครอง ครอบคอง 6. เขม้ แขง เขมแขง็ เขม้ แขง็ 7. ชวี ติ ชีวำ ชีวดิ ชวี ำ ชีวทิ ชีวำ 8. ตระหนัก ตระนกั ตะหนกั 9. มำมะชำติ ธรรมชำติ ธรรมชำต 10. อุตสำหกรรม อดุ ตะสำหะกรรม อตุ สำหะกรรม 11. อบุ ดั เหต อุบตั เหตุ อบุ ตั ิเหตุ 12. อนุเครำะ อนุเครำะห์ อนุเครำะห 13. สร้ำงสรรค์ ส้ำงสรรค์ สร้ำงสัน 14. เหตกำรณ์ เหตกุ ำรณ์ เหตกุ ำร 15. ลื่นรมย์ รื่นรมย์ ร่ืนลม 16. วตั ณธรรม วฒั นทำ วฒั นธรรม 17. ฤดูกำล ฤดกู ำร ฤดูกำรณ์ 18. กำสิทธ์ กรรมสิทธ์ิ กรรมสิทธ 19. กำ้ หำญ กลำ้ หำร กลำ้ หำญ 21. พระพกั ตร์ พะพกั ตร์ พระพกั
แบบฝึ กทกั ษะคร้ังที่ 3 ชื่อ .....................................สกุล........................ ชี้แจง ช้นั .....................................เลขที.่ ....................... โรงเรียน............................................................. ใหน้ กั เรียนอ่ำนคำตอ่ ไปน้ีและเขียนคำท่ีถูกตอ้ งลงในช่องวำ่ ง กะ – ตนั – ยู …………………………………………………………… ……………….………………… กด – หมาย …………………………………………………………… กะ – ดาด ……………….………………… …………………………………………………………… ……………….………………… กิ – โล – เมด …………………………………………………………… คอบ – คอง ……………….………………… เข้ม – แข้ง ชี – วิด – ชี – วา …………………………………………………………… ตะ – หนัก ……………….………………… ทา – มะ – ชาด อุด – สา – หะ – กา …………………………………………………………… อุ – บัด – ติ – เหด ……………….………………… …………………………………………………………… ……………….………………… …………………………………………………………… ……………….………………… …………………………………………………………… ……………….………………… …………………………………………………………… ……………….………………… …………………………………………………………… ……………….…………………
ชื่อ .....................................สกลุ ...................... ฝึ กทกั ษะก่อนเรียน ช้นั .....................................เลขที่..................... โรงเรียน.......................................................... ชี้แจงใหน้ กั เรียนเขยี นตำมคำบอกดงั ต่อไปน้ี 1. ......................................................................... 2. ................................................................................ 3. ......................................................................... 4. ................................................................................ 5. ......................................................................... 6. ................................................................................ 7. ......................................................................... 8. ................................................................................ 9. ......................................................................... 10. .............................................................................. 11. ........................................................................ 12. .............................................................................. 13. ........................................................................ 14. ............................................................................. 15. ........................................................................ 16. ............................................................................. 17. ........................................................................ 18. ............................................................................. 19. ........................................................................ 20. .............................................................................
ช่ือ .....................................สกลุ ...................... ช้นั .....................................เลขท.่ี .................... โรงเรียน.......................................................... แบบฝึ กทกั ษะหลงั เรียน ชี้แจง ใหน้ กั เรียนเขยี นตำมคำบอกดงั ต่อไปน้ี 1. ......................................................................... 2. ................................................................................ 3. ......................................................................... 4. ................................................................................ 5. ......................................................................... 6. ................................................................................ 7. ......................................................................... 8. ................................................................................ 9. ......................................................................... 10. .............................................................................. 11. ........................................................................ 12. .............................................................................. 13. ........................................................................ 14. ............................................................................. 15. ........................................................................ 16. ............................................................................. 17. ........................................................................ 18. ............................................................................. 19. ........................................................................ 20. .............................................................................
ภาคผนวก (รูปภาพการจดั กจิ กรรม)
Search
Read the Text Version
- 1 - 50
Pages: