คู่มือการอ่านผลตรวจเลอื ด (Dec 2012) 1 ** วธิ ใี ช้ : กด Ctrl + F เพ่ือหาวิธีการแปลผลในแต่ละค่า เช่น กด Ctrl+F แล้วพิมพ์ HDL ----- รวบรวมจาก – การดแู ลสขุ ภาพดว้ ยตัวเอง ; นพ. วชิ ยั จตุรพติ ร ผอู้ านวยการ ศนู ยแ์ พทย์อาชวี ะเวชศาสตร์กรุงเทพ ; http://www.calintertrade.co.th/blog/?p=64 -สอนวธิ ีแปลผลการตรวจปัสสาวะ;นพ.สนั ต์ ใจยอดศลิ ป์;http://visitdrsant.blogspot.com/2012/03/ua.html - การแปลผลตรวจห้องปฏบิ ตั กิ าร;คุณ porto ;http://www.oknation.net/blog/print.php?id=285951- - รวบรวม/ จดั เรียง : Chear Ponsit ***** คา่ ปกตขิ องผลตรวจเลือดแต่ละโรงพยาบาลอาจจะ มีมาตราฐานต่างกนั ได้เล็กนอ้ ย ***** เอกสารแนะนาสาหรับผ้ตู รวจรา่ งกายประจาปี (กด http://www.health.co.th/menu03.html#AnnualCheckUpAdvice เพื่อเปิดเว็บดูรายละเอยี ด) เอกสารแนะนา 1. เรื่อง การเลิกบุหรี่ เอกสารแนะนา 2. เรือ่ ง การลดไขมัน LDL เอกสารแนะนา 3. เรื่อง การลดไขมนั ไตรกลเี ซอไรด์ เอกสารแนะนา 4. เรอ่ื ง การเพิ่มไขมัน HDL เอกสารแนะนา 5. เรอ่ื ง การรกั ษาความดนั เลอื ดสงู โดยไมใ่ ช้ยา เอกสารแนะนา 6. เรอ่ื ง การควบคมุ น้าหนัก เอกสารแนะนา 7. เร่ือง การควบคมุ นา้ ตาลในเลอื ด เอกสารแนะนา 8. เรื่อง ทาอย่างไรเมอื่ ผลการตรวจพบวา่ ไตเสื่อม เอกสารแนะนา 9. เรื่อง ทาอย่างไรเม่อื ผลการตรวจพบวา่ ตับได้รับความเสยี หาย เอกสารแนะนา 10. เรอ่ื ง เมื่อกระดูกบางหรือกระดูกพรุน เอกสารแนะนา 11. เร่อื ง การป้องกนั มะเรง็ เตา้ นม เอกสารแนะนา 12. เรอ่ื ง ทาอยา่ งไรเมือ่ สารชบ้ี ่งมะเร็งตอ่ มลกู หมาก (PSA) สูง เอกสารแนะนา 13. เรอ่ื ง เม่ือตรวจพบว่าโลหติ จาง เอกสารแนะนา 14. เร่ือง เมือ่ สารชี้บง่ มะเรง็ ตับ (AFP) สูง เอกสารแนะนา 15. เรอ่ื ง เมอื่ สารช้บี ง่ มะเรง็ ตบั อ่อน (CA19-9) สงู เอกสารแนะนา 16. เรอ่ื ง เมื่อสารช้ีบง่ มะเร็งรังไข่ (CA125) สูง เอกสารแนะนา 17. เรอื่ ง แอลกอฮอล์ เอกสารแนะนา 18. เรื่อง ความสาคัญของน้าต่อรา่ งกาย เอกสารแนะนา 19. เรอื่ งตอ้ งรู้เกี่ยวกบั ผักและผลไม้ เอกสารแนะนา 20. เรอ่ื งต้องรเู้ กยี่ วกบั โซเดียม เอกสารแนะนา 21. เรอ่ื ง ไขมันโอเมก้า 3 เอกสารแนะนา 22. เร่อื ง การออกกาลังกาย เอกสารแนะนา 23. เรื่อง การจัดการความเครียด เอกสารแนะนา 24. เรอื่ ง การป้องกนั โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พันธ์ เอกสารแนะนา 26. เรื่องกรดยูรกิ สูง
2 Overview บทความพิเศษ โดย นพ. วชิ ัย จตรุ พติ ร ผอู้ านวยการ ศนู ยแ์ พทยอ์ าชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ “การดูแลสขุ ภาพดว้ ยตนเอง” หัวข้อเรือ่ ง • ชง่ั น้าหนัก-วดั สว่ นสงู • ความดันโลหติ • เอกซเรยท์ รวงอก • ความสมบูรณ์ของเมด็ เลอื ด • ตรวจปสั สาวะสมบรู ณแ์ บบ • ระดบั นา้ ตาลในเลอื ด (FBS) • ระดับไขมนั ในเลือด (Cholesterol) • สมรรถภาพการทางานของตับ (SGOT & SGPT) • สมรรถภาพการทางานของไต (BUN & Cr) • ระดบั กรดยูริค (Uric Acid) • ไวรัสตับอกั เสบ บี (HBsAg & HBsAb) • สมรรถภาพการได้ยิน (Audiometry) • สมรรถภาพการทางานของปอด (Spirometry) ประโยชน์ของการตรวจสขุ ภาพ ในปัจจบุ นั ประชาชนมีความตืน่ ตวั ในด้านการตรวจสขุ ภาพมากขึ้น และรัฐบาลไดม้ ีการสง่ เสรมิ ใหด้ าเนนิ การดังกลา่ ว เหน็ ได้จากการท่กี ระทรวงการคลังได้มรี ะเบยี บอนมุ ัตใิ ห้ ข้าราชการสามารถเบิกจา่ ยคา่ ตรวจสุขภาพได้ ตามรายการทีก่ าหนด และในพระราชบัญญตั ิคมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ.2541 ให้นายจา้ งตอ้ งจดั ให้มีการตรวจสขุ ภาพใหก้ ับลูกจา้ งเปน็ ประจา มีการ ประชาสมั พนั ธ์ ให้ประชาชนรับการตรวจสุขภาพประจาปี โดยกาหนดใหเ้ ปน็ ข้อหนง่ึ อยูใ่ นสขุ บญั ญัติ 10 ประการ เป็นต้น อย่างไรกต็ าม การตรวจสุขภาพควรคานงึ ถึงเป้าหมายทีจ่ ะได้รับจากการตรวจ จึงจะมปี ระโยชน์ เป้าหมายสดุ ทา้ ยของการ ใหบ้ รกิ ารด้านสุขภาพได้แก่ การมีชีวติ ที่ยนื ยาวข้นึ (Prolong Life) การลดการเจ็บป่วย (Decrease Morbidity) การสร้างเสริมคุณภาพชีวติ (Improve Quality of Life)
ดังน้ันการตรวจสขุ ภาพใดๆ ท่เี พียงทาให้สามารถวนิ จิ ฉยั ความผิดปกติได้ โดยไมบ่ รรลุเป้าหมายท่กี ล่าวแลว้ ยอ่ มไม่ไดร้ บั 3 การถอื วา่ มปี ระโยชน์ จากที่กลา่ วมา จะเห็นไดว้ า่ “การตรวจสุขภาพ จะมปี ระโยชน์ได้ควรจะต้อง มีรายการ การตรวจทเ่ี หมาะสม และ ผู้รบั การตรวจ มีความเขา้ ใจต่อผล และคา่ ท่ไี ด้จากการตรวจ และมีความรทู้ ่จี ะสามารถปรับเปลี่ยน และปรบั ปรงุ ตัว ให้สอดคลอ้ งกับผลการตรวจนน้ั ๆ” ตัวอยา่ งท่เี ห็นไดช้ ดั ประโยชนข์ องเวชกรรมป้องกนั ที่ทาให้ป้องกนั โรคไดจ้ ากการคน้ หาโรคตัง้ แตร่ ะยะต้นๆ ไดแ้ ก่ สถิติ การเสยี ชวี ติ จากโรคหลอดเลือดสมอง ลดลงตัง้ แตป่ ี พ.ศ.2515 มากกวา่ ร้อยละ 50 เน่อื งจากแนวโน้มในการค้นหา และ เรม่ิ รกั ษาความดนั โลหติ สงู ต้ังแตร่ ะยะตน้ ๆ
ก4 ารชง่ั น้าหนัก และวัดส่วนสงู วัตถปุ ระสงค์ เพือ่ ประเมนิ โรคอว้ น และภาวะทพุ โภชนาการในผใู้ หญ่ ปจั จุบนั ในทางการแพทย์ ถอื วา่ “ความอว้ น” เปน็ โรคเรื้อรังชนิดหนึง่ ความอว้ นเกดิ จาก การมปี ริมาณไขมันในร่างกาย มากกวา่ ปกติ จนมีผลกระทบต่อสุขภาพ ทาให้เกดิ โรคความดันโลหิตสงู , โรคหัวใจขาดเลอื ด, โรคเบาหวาน, โรคถงุ น้าดี, โรคหลอดเลอื ดสมอง โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อร่างกาย มีอยู่ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ โรคอว้ นท้ังตัว, โรคอว้ นลงพุง, และโรคอ้วนทง้ั ตวั ร่วมกบั โรคอ้วน ลงพุง 1. โรคอว้ นทงั้ ตัว (Overall Obesity) จะมไี ขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติ ไขมันมไิ ด้จากัดอยู่ท่บี รเิ วณใดบริเวณหนง่ึ โดยเฉพาะ เกณฑท์ ใี่ ชใ้ นการประเมินว่าเปน็ ”โรคอ้วน” แนะนาให้ใช้ การคานวณดัชนมี วลรา่ งกาย (Body Mass Index : BMI) ดัชนีมวลรา่ งกาย (BMI) = น้าหนกั ตวั (กโิ ลกรัม) /ส่วนสูง (เมตร) การวินิจฉยั “โรคอ้วนทงั้ ตัว” ที่แนน่ อนทส่ี ุด คอื การวัดปรมิ าณไขมันในรา่ งกายวา่ มีมากน้อยเพยี งใด แตเ่ ป็นเร่ือง ยงุ่ ยากเกนิ ความจาเป็น ในทางปฏบิ ตั ิการใช้ ”ดัชนีมวลรา่ งกาย(BMI)”เป็นวธิ ที เ่ี หมาะสม โดยเหตผุ ลที่วา่ ดชั นีมวล รา่ งกายแปรตามส่วนสูงนอ้ ย และจากการศกึ ษาพบว่าคา่ ของดชั นมี วลรา่ งกายจะมีความสมั พนั ธ์กบั ปริมาณไขมันจรงิ ใน ร่างกาย และมีความสมั พนั ธก์ ับอัตราการตาย โดยผูท้ ี่มีดัชนีมวลรา่ งกายมากหรือน้อยกวา่ เกณฑจ์ ะมีอตั ราการตายสูงกวา่ ผ้ทู ีม่ ีดัชนมี วลร่างกายปกติ คา่ ดชั นีมวลรา่ งกาย ผล 20.0-25.0 ปกติ ต่ากวา่ 20.0 25.0 – 30.0 นา่ หนกั น้อยเกินควร สูงกว่า 30.0 อว้ นเลก็ นอ้ ย เป็น ”โรคอ้วน” 2. โรคอว้ นลงพงุ (Visceral Obesity) กลมุ่ นจ้ี ะมไี ขมันของอวยั วะภายใน ท่อี ยูใ่ นช่องทอ้ งมากกวา่ ปกติ และอาจมี ไขมนั ใต้ผิวหนงั ที่หน้าทอ้ ง เพมิ่ มากกว่าปกตดิ ้วย เกณฑ์ที่ใชใ้ นการประเมินว่าเป็น ”โรคอว้ นลงพุง”
5 จากการศกึ ษา พบวา่ ผู้ทีม่ ี “ภาวะอว้ นลงพงุ ” เกดิ โรคหวั ใจขาดเลอื ดสูงกว่า ผทู้ ่มี ไี ขมันสะสมมากบริเวณสะโพก และ/ หรอื บริเวณตน้ ขา เน่ืองจากไขมันในช่องท้องจะดักจบั ไขมนั ชนดิ ทด่ี ี (HDL) ทาให้ไขมนั ชนิดทีด่ ี (HDL) ใน เลือดมีระดบั ตา่ ลง เพราะฉะน้นั ผู้ทมี่ ไี ขมนั สะสมในบรเิ วณชว่ งกลางของลาตวั จะมีระดับไขมันท่ดี ี (HDL) ต่ากวา่ ผู้ที่มี ไขมนั สะสมบรเิ วณสะโพก กน้ และต้นขา มขี ้อมูลท่นี ่าสนใจวา่ ชาวอินเดียในเอเชียเปน็ ชาติทมี่ อี ัตราเกดิ โรคหัวใจขาด เลือดสงู สุด ทัง้ ๆ ท่ีเกือบครึ่งหนึง่ ของชนกลุ่มน้ีเป็นมงั สวริ ตั ิมาตลอดชวี ิต จากการศึกษา พบว่า เกิดข้นึ เนือ่ งจากชนกลมุ่ น้ีมีระดับ HDL-Cholesterol ต่า และมไี ตรกลีเซอไรด์สงู ร่วมกบั มรี ปู ร่างเปน็ โรคอ้วนลงพงุ ซงึ่ ข้อมูลน้สี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ความสาคญั ของโรคอว้ นลงพุง ซึ่งมกั จะมภี าวะไขมันไตรกลีเซอไรด์สงู และมี ไขมันที่ดีตา่ (HDL ตา่ ) 3. โรคอว้ นทง้ั ตวั ร่วมกับโรคอ้วนลงพงุ (Combined Overall and Abdominal Obesity) เปน็ ผู้ที่มีท้ังไขมัน ทงั้ ตัวมากกว่าปกติ และมีไขมันในชอ่ งท้องมากกวา่ ปกตริ ว่ มกนั ผลร้ายของโรคอว้ นทม่ี ีตอ่ สขุ ภาพ แบง่ ได้เป็น 4 กลุม่ 1. เกดิ โรคเรอื้ รังที่สมั พันธ์กบั ความอ้วน เชน่ โรคหัวใจขาดเลอื ด, โรคความดนั โลหิตสงู , โรคหลอดเลือดสมอง, โรคเบาหวาน โรคถงุ น้าดี 2. มคี วามผดิ ปกตขิ องตอ่ มไร้ท่อ และการเผาผลาญทางชีวเคมีในร่างกาย (Metabolism) เซลลไ์ ขมนั ทาหนา้ ที่ เปน็ เซลล์ของต่อมไร้ทอ่ ไดด้ ้วย โดยสามารถสร้างฮอรโ์ มนได้ และยังเปน็ เซลล์เป้าหมายของฮอร์โมนหลายชนดิ ทาให้ คนอว้ นมีระดับและการตอบสนองตอ่ ฮอรโ์ มนผดิ ปกติ เช่น มกี ารหลั่งฮอร์โมนอินซูลนิ เพิม่ ขนึ้ แต่มีภาวะด้อื ต่ออนิ ซูลนิ มี ระดบั ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ลดลง มีฮอรโ์ มนท่ชี ว่ ยในการเจรญิ เตบิ โต (Growth Hormone) ลดลง เปน็ ตน้ 3. ปญั หาสุขภาพทอ่ี อ่ นแอลงจากความอว้ น เช่น เกิดโรคข้อเสอ่ื ม มีการหายใจผดิ ปกติ มคี วามต้านของระบบทางเดิน หายใจสว่ นบนเพ่มิ ขึ้น มแี นวโนม้ มรี ะดบั กรดยูริคในเลอื ดสูง เป็นต้น 4. ปัญหาทางสงั คม และจิตใจ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาในบางคน มาตรการท่เี สนอแนะ
แ6 นะนาให้ตรวจวดั สว่ นสูง และชง่ั น้าหนักเป็นระยะๆ ในบคุ คลทุกคน เพือ่ นามาใชค้ านวณดัชนมี วลรา่ งกายควบกับการวดั สดั ส่วนเส้นรอบวง-(เอว) ต่อเสน้ รอบวง-(สะโพก) และประเมินโรคหรอื ภาวะทางการแพทยท์ ่ีเก่ียวขอ้ ง เพอื่ เปน็ พ้ืนฐานใน การดาเนนิ มาตรการทีเ่ หมาะสมตอ่ ไป เมอ่ื ตรวจพบวา่ บคุ คลใดอยใู่ นเกณฑท์ เ่ี ปน็ โรคอว้ นกค็ วรต้องใหก้ ารรกั ษา โดยมเี ป้าหมายหลกั 3 ประการ 1. ลดนา้ หนัก โดยควรใหไ้ ด้ไมต่ า่ กว่าร้อยละ 10 ของนา้ หนกั ตวั เดมิ 2. ตอ้ งมมี าตรการในการรกั ษานา้ หนกั ตวั ที่ลดแล้ว ใหค้ งอยไู่ ดต้ ลอดไป 3. ตรวจสอบดูแลรกั ษาปอ้ งกัน โรคตา่ งๆ ท่เี กดิ รว่ มกบั ความอ้วน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ โรคความดนั โลหติ สงู นา้ ตาลใน เลือดสงู ภาวะระดบั ไขมันในเลอื ดผดิ ปกติ เป็นต้น การบาบัดโรคอ้วน การทม่ี นุษยจ์ ะมนี ้าหนกั เพม่ิ ขึน้ หรอื ลดลงยอ่ มข้นึ อยู่กับดลุ ยภาพของพลังงาน ซึง่ มาจากความสมดุลของพลังงานที่ได้ จากการบริโภค และพลังงานทร่ี ่างกายนาไปใช้ พลงั งานท่ีบรโิ ภค ขน้ึ กบั ปริมาณพลงั งานทบ่ี ริโภคทง้ั หมด และขึ้นกบั สดั ส่วนของพลงั งานทไี่ ดร้ ับนัน้ มาจากอาหาร ประเภทโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต(แปง้ ) อย่างละเท่าใด พลังงานท่ีรา่ งกายนาไปใช้ จะประกอบดว้ ยอัตราฐานของการเผาผลาญในร่างกาย และพลงั งานที่ใชไ้ ปกบั การ เคล่อื นไหวร่างกาย เช่น การทางาน การเล่นกฬี า เพราะฉะนั้น แนวทางการปฏบิ ตั เิ พ่ือการป้องกนั โรคอ้วน จึงตอ้ งมีการบรโิ ภคอาหารทเี่ หมาะสม และมีการเพ่มิ ระดับการ เคล่ือนไหวรา่ งกายทม่ี ากเพยี งพอ แนวทางการบรโิ ภคอาหาร เพื่อควบคุมน้าหนักตวั 1. การบริโภคอาหารที่ใหพ้ ลงั งานแต่พอควร ถ้าการบริโภคมากเกนิ กว่าพลังงานทร่ี า่ งกายนาไปใช้ ก็จะเกดิ การสะสม ของไขมันในรา่ งกายจนเกิดเป็นโรคอว้ นในท่สี ุด แต่กไ็ มค่ วรจากดั มากจนเกนิ ควร การจากัดอาหารให้น้าหนักตวั ลดลง ประมาณสัปดาห์ละ 0.25-0.5 กิโลกรัม จัดว่าเหมาะสมและปลอดภัย 2. การบรโิ ภคไขมนั ไม่เกินร้อยละ 30 ของพลงั งานทไ่ี ดร้ ับ ไขมนั เป็นอาหารทีใ่ ห้พลงั งานสูงกวา่ อาหารอืน่ ๆ และเป็นอาหารทยี่ บั ยง้ั ความรสู้ ึกหวิ ไดต้ า่ ดังนัน้ การบริโภคไขมนั มากจงึ เป็นบอ่ นทาลายการควบคุมนา้ หนักตวั ในทางปฏบิ ัติกระทาได้ โดยหลกี เล่ียงการบรโิ ภคอาหารทีม่ ไี ขมนั สงู เช่น ไขมันหมู, น้ามันมะพรา้ ว, กะท,ิ หมสู ามชนั้ , เนยเหลว, ครีม, ไส้กรอก, หมูยอ, เนอื้ ตดิ มนั ของทอด เช่น ปาท่องโก๋, กลว้ ยแขก, ทอดมนั เป็นต้น 3. การบรโิ ภคโปรตีน ประมาณร้อยละ 15-20 ของพลังงานที่ได้รับ อาหารโปรตนี มพี ลังงานต่ากว่าไขมัน และมีความสามารถในการยบั ยั้งยตุ ิความรู้สกึ หวิ ได้ดี และร่างกายจะถ่ายโอนโปรตนี ท่ีบรโิ ภคเกนิ เป็นสารอ่ืนไดด้ ี มีการสะสมโปรตีนต่า เพราะฉะนนั้ อาหารโปรตนี มีผลดตี อ่ การควบคุมน้าหนักตวั ได้ดี แตก่ าร บริโภคมากเกนิ ควร จะมีผลเสียต่อสขุ ภาพได้เชน่ กนั ในทางปฏิบัติ ควรบรโิ ภคเน้อื สตั ว์ ชนดิ ทีไ่ มม่ ไี ขมันมาก เชน่ เนอ้ื ปลา, เนอ้ื ไกเ่ อาหนังออก, ถ่วั เหลือง, นมไขมันต่า, ไข่ ไก่ (ไมค่ วรเกนิ วนั ละ 1 ฟอง) 4. การบริโภคคารโ์ บไฮเดรต ร้อยละ 50-55 ของพลงั งาน คารโ์ บไฮเดรต ก็คือ อาหารจาพวก ข้าว แป้ง ของหวาน เป็นอาหารทใี่ หพ้ ลังงานตา่ กวา่ ไขมนั และยบั ย้งั ความรู้สึกหวิ ได้ ดี ร่างกายมีขดี ความสามารถสูงในการใชค้ าร์โบไฮเดรตเป็นพลงั งาน แตถ่ ้าไดร้ บั มากเกนิ ประมาณรอ้ ยละ 80 ของ พลังงานทบี่ รโิ ภคเกินจะถกู สะสมไว้ในร่างกายในรูปของไขมนั นอกจากปรมิ าณแล้ว ยงั ต้องคานงึ ถงึ ชนิดของคาร์โบไฮเดรตท่บี รโิ ภคดว้ ย โดยในทางปฏิบัตใิ ห้บริโภคขา้ ว (ข้าวซอ้ มมือ หรอื ข้าวกล้อง) เปน็ หลกั เพราะข้าวเปน็ สารคารโ์ บไฮเดรตเชิงซ้อน ซึง่ เป็นแหลง่ ใหใ้ ยอาหาร ไม่ควรรับประทานอาหาร
และเคร่อื งดืม่ ทมี่ ีนา้ ตาล และรสหวาน ในผ้ทู ตี่ ิดรสหวานเลกิ ไมไ่ ด้ อาจตอ้ งใชส้ ารทีม่ รี สหวาน และให้พลงั งานนอ้ ยแทน 7 น้าตาล เช่น แอสปารเ์ ทม (Aspartame) 5. การงด หรือการลดการด่ืมแอลกอฮอล์ แอลกอฮอลไ์ ม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นสารเคมีชนดิ หน่งึ ร่างกายจะให้ลาดับการนาแอลกอฮอลม์ าใช้เป็นพลงั งานกอ่ น สารอาหารปกติ ดงั นั้นการบริโภคแอลกอฮอล์จะมผี ลใหพ้ ลงั งานแกร่ า่ งกายไปสว่ นหน่งึ และมีผลทาให้รา่ งกาย ใช้ พลังงานจากสารอาหารนอ้ ยลง และทาให้สารอาหารถกู สะสมเป็นไขมนั ในร่างกายมากข้นึ 6. การบรโิ ภคผัก และผลไมเ้ ปน็ ประจา ผัก และผลไม้ นอกจากใหว้ ิตามิน และเกลอื แร่แลว้ ยังเป็นใยอาหารซึง่ ทาให้ลดความหิว และลดการบริโภคพลังงานลง อย่างไรก็ตามควรบริโภคผลไมท้ ไี่ ม่หวานจัด เปน็ หลัก ใยอาหาร เป็นสารทพ่ี บในผัก และผลไม้ ซง่ึ ลาไสข้ องมนุษย์จะไมส่ ามารถย่อยสลายได้ ดังนน้ั ใยอาหารจึงไมเ่ พิ่มจานวน พลงั งาน และมบี ทบาทสาคัญในการทาใหก้ ารขับถ่ายอุจจาระเปน็ ปกติ โดย นพ. วชิ ยั จตุรพิตร ผู้อานวยการ ศูนยแ์ พทย์อาชวี ะเวชศาสตรก์ รงุ เทพ
ก8 ารวัดความดันโลหติ การวัดความดนั โลหติ เปน็ ทท่ี ราบกนั ท่วั ไป ภาวะความดันโลหิตสูง ทาใหเ้ กดิ โรคอันตรายรา้ ยแรง เชน่ เส้นโลหิตในสมองแตก ทาใหเ้ ป็น อมั พาต โรคหัวใจขาดเลอื ด โรคไตวายเรือ้ รัง เปน็ ต้น ภาวะความดันโลหิตสูงมักจะไมม่ อี าการ จนกวา่ จะมโี รคแทรกซ้อนรา้ ยแรงเกดิ ขึน้ แลว้ จึงจะปรากฏอาการ เพราะฉะนัน้ ปญั หาที่สาคัญในการควบคุมโรคความดันโลหติ สูง คือ การทาใหป้ ระชากรกลุ่มทีม่ คี วามดันโลหิตสูง ทราบว่าตนเองมี ความดนั โลหติ สูง จากสถติ ิพบวา่ ในประเทศไทย ประชากรท่ีมีความดนั โลหิตสูง ทราบวา่ ตนเองมีความดนั โลหิตสูง เฉล่ยี เพยี งรอ้ ยละ 10 เท่านนั้ ความดนั โลหิต จะประกอบดว้ ย ความดันตวั บน เรยี กวา่ ความดนั ซิสโตลิค (Systolic Pressure) และความดนั ตวั ลา่ ง เรียกวา่ ความดันไดแอสโตลิค (Diastolic Pressure) ซึ่งคา่ ปกติจะไมเ่ กนิ 140/90 มิลลเิ มตรปรอท ถ้าความดัน โลหติ สูงกว่าน้ี ถือวา่ มี “ความดันโลหิตสูง” ตามมาตรฐานขององค์การอนามยั โลกได้กาหนดเกณฑ์การวินจิ ฉัยความดันโลหิตสูงไว้ว่า “ความดนั โลหิตสูง” คือ สภาวะที่คา่ ของความดันเลือดทว่ี ัดอย่างถูกตอ้ ง และมีการตรวจวัดหลายๆ ครัง้ ในตา่ งวาระกนั แล้ว พบวา่ มรี ะดับของความดนั โลหิตสูงกวา่ 140/90 มม.ปรอท เราแบ่งระดับความรนุ แรง ของภาวะความดันโลหิตสงู ไว้ ดงั น้ี หมายเหตุ : ถ้าหากระดบั sBP และ dBP อยใู่ นระดบั ความรุนแรงต่างกนั ใหถ้ ือระดบั ท่ีสงู กว่าเป็นเกณฑ์ ผ้รู ับการตรวจวัดความดนั โลหิต ควรละเวน้ ส่ิงตอ่ ไปนี้ กอ่ นวัดความดนั โลหิต ประมาณ 1 ช่ัวโมง ได้แก่ 1. การออกกาลังกาย 2. การดมื่ กาแฟ สรุ า หรอื เครื่องด่มื ผสม คาเฟอนี
3. การสบู บุหรี่ 9 4. ควรนง่ั พกั ประมาณ 5 นาที และถา้ พบวา่ มคี วามดนั โลหติ สงู ควรตรวจวัดซ้าอีก 2-3 ครั้ง ส่วน ผู้ทยี่ ืนยันการวนิ ิจฉัยวา่ มีความดันโลหติ สงู ควรปรับเปลีย่ นวิถชี วี ิต เพอ่ื ลดระดับความดนั โลหิตลง ดงั น้ี 1. ลดนา้ หนัก ถา้ มนี า้ หนกั เกนิ 2. จากดั การดมื่ แอลกอฮอล์ 3. เพิ่มการออกกาลังกาย ชนดิ แอโรบิค (30-45 นาที/วนั ) 4. จากัดปรมิ าณโซเดียม (งดรับประทานเค็มใหม้ ากท่ีสดุ ) 5. ไดร้ ับโปแตสเซยี มอยา่ งเพียงพอ เชน่ รับประทานผลไม้มากข้ึน 6. หยดุ การสบู บุหร่ี 7. ลดการรบั ประทานไขมนั และโคเลสเตอรอล จากการศึกษา การรับประทานอาหารทเี่ น้น ผัก ผลไม้ และนมไขมนั ต่า ลดเคม็ ร่วมกับลดปริมาณไขมัน สามารถลดความ ดนั โลหติ ลงได้ประมาณ 8-14 มม.ปรอท การเปลย่ี นแปลงวถิ ชี วี ิต ดงั กลา่ วจะใหป้ ระโยชน์ท้งั ในด้านการลดความดันโลหิต และลดความเสีย่ งตอ่ การเกดิ โรคหวั ใจ จงึ ถือว่าเป็นสิ่งจาเปน็ ถึงแมผ้ ปู้ ว่ ยจะได้รับยาลดความดนั โลหิตแล้วก็ตาม เมอ่ื ปรับเปล่ียนวิถีชีวติ แล้ว 3-6 เดือน ยังไมส่ ามารถลดความดนั โลหิตไดด้ ีพอ ควรใชย้ ารักษาลดความดันโลหติ ตาม คาแนะนาของแพทย์ โดย นพ. วชิ ัย จตุรพิตร ผู้อานวยการ ศูนย์แพทย์อาชวี ะเวชศาสตร์กรุงเทพ
เ10อกซเรย์ทรวงอก ในประเทศไทยวตั ถุประสงคห์ ลัก ในการเอกซเรย์ทรวงอกในผ้ทู ่ไี มม่ ีอาการ คือ เพอื่ ตรวจหาวัณโรคปอดระยะแรก ท่ี อาจจะยังไม่มีอาการ เนื่องจากวัณโรคปอด ยงั เปน็ โรคที่พบบ่อยในประเทศไทย เมอื่ เป็นวณั โรคปอด เอกซเรยจ์ ะเห็นเปน็ จดุ ทึบ หรอื เป็นหย่อมทึบที่เนื้อปอด ซงึ่ จะตอ้ งตรวจเพิ่มเตมิ วา่ จดุ หรอื รอยทบึ ที่ เห็นนั้น เป็นวณั โรคปอดหรือไม่ เช่น ตรวจหาเช้ือจากเสมหะ เปน็ ตน้ สาหรบั ผู้มีประวัติ เคยเปน็ วัณโรคปอด และได้รับการรักษาจนหายเรยี บร้อยแลว้ เมอื่ เอกซเรย์ปอด ก็อาจจะยังพบมีรอย ทบึ หรอื จุดในปอดหลงเหลอื อยู่ และพบตลอด เน่อื งจากเป็นรอยแผลเป็น ในกรณีเชน่ นี้ ควรมีเอกซเรย์ปอดของเกา่ เกบ็ ไว้ เพ่ือเปรียบเทยี บกบั เอกซเรยใ์ หม่ ถ้าจดุ ทพ่ี บในเอกซเรยย์ ังคงเหมอื นเดมิ กบ็ อกได้ว่า “ผลปกติ” นอกจากวณั โรคปอด เอกซเรย์ทรวงอกจะช่วยตรวจกรองเนื้องอกในปอด ประเมินขนาดของหัวใจ และดูแนวกระดูกสนั หลังวา่ มคี ดงอหรือไม่ ในกรณีถา้ แพทย์ อา่ นผลการเอกซเรย์ทรวงอกวา่ มีหัวใจโตเลก็ นอ้ ย อย่ากงั วลใจ ถา้ ตรวจรา่ งกายผลปกติ และความดนั โลหติ ไมส่ งู หวั ใจโตเลก็ น้อย จะไม่บง่ ช้โี รค เพราะเม่ืออายมุ ากขึ้นหวั ใจมกั จะมีขนาดโตขึ้น และเกณฑ์การวัดขนาดของ หัวใจจากเอกซเรย์ทรวงอก จะเปน็ เพียงการประเมินครา่ วๆ เท่านัน้ แต่ถ้าเอกซเรยป์ อดแลว้ มีหวั ใจโตมาก ต้องพบแพทย์ เพ่ือตรวจหาสาเหตุ โดย นพ. วิชัย จตุรพติ ร ผอู้ านวยการ ศนู ย์แพทย์อาชวี ะเวชศาสตร์กรงุ เทพ
การตรวจความสมบรู ณข์ องเมด็ เลอื ด 11 การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count : CBC) การตรวจประกอบดว้ ย Hemoglobin : HGB การวัดปริมาณความเขม้ ข้นของฮโี มโกลบิน ค่าปกติ ชาย 13.0-18.0 gm% หญิง 11.5-16.5 gm% Hematocrit : HCT การวัดปรมิ าณอดั แน่นของเม็ดเลอื ดแดง ค่าปกติ ชาย 40-54 % หญิง 36-47 % การตรวจวดั HGB และ HCT ใช้ตรวจคดั กรองภาวะโลหติ จาง ถ้าค่าของ HGB และ HCT ทตี่ รวจพบมคี า่ ตา่ กวา่ เกณฑ์ ถือ ว่า “มภี าวะโลหิตจาง” ภาวะโลหิตจาง มีผลทาใหป้ ระสิทธภิ าพของการไหลเวยี นเลอื ดลดลง ทาใหค้ วามสามารถในการทางาน ความอดทน และความสามารถในการใช้กาลงั ร่างกายลดลง ซง่ึ กลุ่มทีม่ โี ลหติ จางได้บอ่ ย ไดแ้ ก่ สตรีตงั้ ครรภ์ สตรีในวัยเจรญิ พันธุ์ ประชากรท่มี ีรายไดน้ อ้ ย และเดก็ ที่ขาดสารอาหาร สาเหตุของการเกิดภาวะโลหิตจางที่สาคญั และพบบ่อยทสี่ ุด คือ การขาดธาตุเหล็ก ซ่ึงเป็นภาวะโลหติ จางทพ่ี บ บอ่ ยท่สี ุดทวั่ โลก แต่สาหรบั ในประเทศไทย ยังมภี าวะโลหติ จางที่พบบ่อย คือ โรคธาลสั ซเี มีย (Thalassemia) และฮีโมโกลบิน ผดิ ปกติ (Hemoglobinopathies) ซึ่งเกิดเนื่องจากมีความผิดปกติในการสร้างฮีโมโกลบิน ที่เป็นมาตั้งแต่กาเนิด และ ถ่ายทอดทางพันธกุ รรม ซึ่งกลมุ่ นี้ มีลกั ษณะตั้งแต่ ไม่มอี าการเลย คอื เป็นพาหะเท่านนั้ จนถงึ มีอาการรนุ แรงปานกลางถงึ รุนแรงมาก (เปน็ โรคธาลัสซเี มยี ) มีประชากรไทยจานวนมากที่เป็นพาหนะ โดยไมร่ ู้ตัว และไมม่ อี าการ แต่จะถ่ายทอดสู่ลกู ได้ และลกู อาจจะเป็นโรคธาลัสซี เมียได้ ปัจจุบันมีเครอ่ื งตรวจนับเม็ดเลอื ด (Automated Electronic Cell Counters) ซึ่งสามารถตรวจระดบั ฮโี มโกลบนิ ตรวจนบั จานวนเม็ดเลอื ดแดง (Red Cell Count)ขนาดเม็ดเลือดแดงโดยเฉลีย่ (Mean Corpuscular Volume : MCV) และการกระจายตัวของขนาดเมด็ เลอื ดแดง (Red Cell Distribution Width : RDW) ซึ่งทาให้สามารถแยกสาเหตุ และวนิ ิจฉัยสาเหตขุ องภาวะโลหติ จางได้ละเอียด และถูกตอ้ งย่งิ ขน้ึ สว่ นคา่ อื่นๆ ในการตรวจความสมบรู ณ์ของเม็ดเลอื ด มกั จะเป็นค่าที่ใชป้ ระกอบการวนิ ิจฉยั โรคมากกว่า ใช้ในการตรวจ กรองสุขภาพ เชน่ จานวนเมด็ เลอื ดขาว และชนิดของเมด็ เลือดขาว มักใช้ในการประเมนิ ภาวะตดิ เช้ือ นอกจากในกรณี ตรวจพบจานวนเม็ดเลอื ดขาวสูงมากๆ เช่น มจี านวนเปน็ หลายหมืน่ ตวั ต่อตารางมลิ ลเิ มตร ให้สงสัยว่าจะมีมะเรง็ เม็ดเลอื ด ขาว (Leukemia) ปริมาณเกล็ดเลือด (Pletelet) กม็ ักตรวจเพือ่ การวินจิ ฉัยโรค เช่น ไข้เลอื ดออกที่มภี าวะเกล็ดเลือดต่า เปน็ ตน้ โดย นพ. วิชัย จตรุ พติ ร ผู้อานวยการ ศูนยแ์ พทยอ์ าชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ การตรวจเลือด กรปุ๊ เลือด (Blood Group) ปกตกิ รปุ๊ เลือดจะรายงานผลออกมา เปน็ สองระบบคอื ABO System
แ12ละ Rh System โดยจาแนกตาม Antigen บนเมด็ เลอื ดแดงทมี่ อี ยู่ ในระบบ ABO จะแบง่ ออกได้ ส่ี กรุ๊ปคอื A , B , AB และ O Group O พบมากสดุ , A กบั B พบพอๆ กนั และ AB มนี อ้ ยท่สี ุด)ใน ระบบ Rh จะรายงานได้เปน็ สองพวก 1. +ve หรอื Rh+ve คอื พวกท่ีมี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลอื ดแดง พวกนพ้ี บไดม้ ากเกอื บ ทง้ั หมดของคนไทยเปน็ พวกน้ี 2. -ve หรอื Rh-ve คอื พวกที่ไม่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเมด็ เลอื ดแดง พวกนพี้ บไดน้ อ้ ยมาก คน ไทยเราพบเลือดพวกน้ี แค่ 0.3%เป็นพวกทบ่ี างครั้งเรยี กวา่ ผมู้ ีโลหิตหมพู่ เิ ศษ จะพบไดม้ ากขน้ึ ในชาวไทยซิกข์ (แตใ่ นคนพวกน้นั แม้ว่าจะมี Rh-ve มากกวา่ คนไทยปกติ แตส่ ว่ นใหญก่ ็ยงั คง เป็นพวก Rh +veอยูด่ ี) ตัวอย่างการรายงานกลุม่ เลือดเชน่ A+ve คอื เลอื ดกรุ๊ป A Rh+ve ตามปกติ AB-ve อนั นเ้ี ป็น กร๊ปุ AB และ เปน็ หมเู่ ลือดพิเศษ Rh-ve ซ่งึ หายากท่สี ดุ ปกติ AB ในคนไทยพบนอ้ ยกวา่ 5% ถา้ เป็น AB-ve น่ี พบแค่ 1.5 คน ในหมืน่ คนเทา่ นั้น CBC (Complet Blood Count ) เปน็ การตรวจเลอื ดท่วั ๆ ไปทีใ่ ช้กนั บ่อยท่ีสุด ช่วยในการวินิจฉยั โรคไดห้ ลายอยา่ งๆ การ รายงานจะมีคา่ ท่ีเกี่ยวขอ้ งออกมาหลายตวั ซงึ่ ตอ้ งดูประกอบไปด้วยกนั หลายๆ คา่ ค่อนข้าง ยงุ่ ยากเล็กน้อย แตก่ เ็ ป็นการตรวจ ท่ีสาคัญอันนงึ (บางแห่งใช้เปน็ การตรวจพื้นฐานกอ่ นรบั คนไข้นอนรพ.คกู่ บั การตรวจปัสสาวะ (U/A) ค่าตา่ งๆ ทร่ี ายงานใน CBCไดแ้ ก่ Hct (Hemotocrits) หรอื เปอรเ์ ซนต์ของเมด็ เลอื ดแดงอดั แนน่ เทยี บกับปริมาตร ของเลือด ทงั้ หมด คา่ นี้ใช้บอกภาวะโลหติ จาง หรอื ขน้ ของเลือด ปกติ คนไทย Hct จะอยู่ประมาณ30กว่า % ถงึ 40 กว่า% ถ้าต่ากวา่ 30% ถอื วา่ ตา่ มาก อาจจะต้องพจิ ารณาให้เลอื ด ชว่ ยในบางราย ถ้า Hct สงู มากอาจจะต้อง ระวังโรคที่มกี าร สรา้ งเมด็ เลือดแดงขนึ้ มามากผิดปกติ หรอื พวก ไขเ้ ลือดออกในระยะช็อค ก็จะมีคา่ ตวั น้สี งู เนอ่ื งจากนา้ เลอื ดหนอี อกจากเสน้ เลือด (ต้องดูค่า อ่ืนๆ ประกอบดว้ ย) Hb (Hemoglobin) เป็นสารสีแดงในเมด็ เลือดมีหน้าท่ีชว่ ยจบั อ๊อกซิเจน ค่าของ Hb ใช้บอกภาวะ โลหิตจาง เชน่ เดยี วกนั กับ Hct คา่ ปกติของ Hb มกั จะเป็น 1/3 เทา่ ของ Hct และหนว่ ย เป็น Gm% เช่น คนที่ Hct 30% จะมี Hb =10 gm% เป็นต้น WBC (White Blood Cell Count) หรอื ปริมาณเม็ดเลือดขาวทุกชนิด ในเลอื ดรวมกนั คา่ ปกติ จะ อยู่ ประมาณ 5000-10000 cell/ml ถา้ จานวน WBC ตา่ มาก อาจจะเกดิ จากโรคท่มี ภี มู ิตา้ นทานตา่ บางอยา่ ง หรือ เกดิ จากการติดเชื้อไวรสั บางประเภท หรือ โรคท่ีมกี ารสรา้ งเม็ดเลือดผิดปกติ เช่น Aplastic Amemia หรือไขกระดกู ฝ่อซ่ึงจะทาให้มกี ารสรา้ งเม็ดเลือดทุกชนิดลดลงทง้ั หมด (ทั้ง เมด็ เลอื ดขาว เม็ดเลอื ดแดง และเกรด็ เลอื ด ต่าหมดทุกตวั ) ถ้าWBC มจี านวนสูงมาก อาจจะเกิดจากการติดเช้อื พวกแบคทีเรีย แต่จะตอ้ งดูผล การนบั แยกชนดิ ของเมด็ เลอื ดขาว (Differential Count) ประกอบดว้ ย แตถ่ ้าจานวน WBC สงู มากเปน็ หลายๆ หม่นื เชน่ สีห่ า้ หมน่ื หรือเปน็ แสน อนั นัน้ จะทาใหส้ งสัย พวกมะเรง็ เม็ดเลือดขาว แต่จะต้องหาดพู วกเซลล์เมด็ เลอื ดขาว ตวั อ่อนจากการแยกนับเมด็ เลอื ดขาว หรอื เจาะไขกระดูกตรวจอกี ครัง้ (มะเรง็ เม็ดเลอื ดขาว (Leukemia) อาจจะมจี านวนเม็ด เลือดขาวปกติ หรือ ต่ากวา่ ปกติ ก็ไดเ้ รยี กว่า Aleukemic Leukemia) Differential Count การนบั แยกชนิดของเมด็ เลือดขาว จะรายงานออกมาเปน็ % ของเม็ดเลือด ขาวชนิดต่างๆ (ดังนัน้ รวมกันท้ังหมดทุกชนิดจะตอ้ งได้ 100 (%) พอดี) ตัวสาคัญหลักๆ ดังนี้ PMN หรอื N หรอื Neu (Polymorphonuclear cell หรอื Neutrophil) ตวั นี้ คา่ ปกติ ประมาณ 50-60%ถ้า สูงมาก (เชน่ มากกว่า 80% ขี้นไป และโดยเฉพาะถ้า สูงและมปี รมิ าณWBC รวม มากกว่าหม่นื ขน้ึ
ไป จะทาให้นกึ ถึงภาวะมีการตดิ เช้ือแบคทีเรีย 13 Lymp หรอื L (Lymphocyte) หรอื เม็ดน้าเหลือง พวกน้ปี กติ จะพบน้อยกวา่ PMN เลก็ น้อย(สองตวั น้ีรวมกัน จะไดเ้ กอื บ 100 % ของเม็ดเลอื ดขาวท้งั หมด) ถา้ พบ Lymp ในปริมาณ สัดสว่ นสูงขนึ้ มา มากๆ โดยเฉพาะรว่ มกบั ภาวะเมด็ เลือดขาว(WBC)โดยรวมตา่ ลง อาจจะเกดิ จากการติดเชือ้ ไวรสั โดยเฉพาะถ้ามี Lymp ทีร่ ูปร่างแปลกๆและตัวโตผดิ ปกติ ที่เรียกกนั วา่ Atypical Lymphocyte จานวนมากรว่ มกับ เกลด็ เลอื ดตา่ และ Hct สูง จะพบไดบ้ อ่ ยในคนไข้ ไข้เลือดออก Eosin หรอื E (Eosinophil) พวกนี้เป็นเมด็ เลอื ดขาว ทป่ี กตไิ มค่ ่อยพบ (อาจจะพบได้ 1-2%)แตถ่ า้ พบสูงมากเช่น 5-10% หรือมากกวา่ พวกน้ีจะสงสัยว่าเป็น พวกโรคภมู ิแพ้ หรือพยาธใิ นร่างกาย นอกจากน้ี ยังมีอีกหลายตวั เชน่ B หรอื Basophil , M หรอื Monocyte และพวกตวั อ่อนของ เม็ดเลอื ดขาว ซึง่ จะพบในโรคมะเรง็ เมด็ เลอื ดขาว จะรายงานเมอื่ พบ และตอ้ งการการตรวจ ละเอยี ดเพ่มิ ตอ่ ไป Platelets หรอื เกล็ดเลือด เปน็ เซลเมด็ เลือด คล้ายเศษเม็ดเลอื ดแดง เป็นตวั ทีช่ ่วยในการหยดุ ไหล ของเลือด เวลาเกิดบาดแผล คนปกติ จะมีจานวนประมาณ แสนกว่าเกือบสองแสน ขึ้นไป ถงึ สองแสนกว่า การรายงานอาจจะรายงานเป็นจานวน cell/ml เลยจากการนับ หรอื จากการ ประมาณดว้ ยสายตาเวลาดสู ไลด์ที่ยอ้ มดูเมด็ เลอื ด แลว้ ประเมนิ ปริมาณคร่าวออกมาดงั นี้ - Adequate หรือเพียงพอ หรือพอดี หรอื ปกติ - Decrease หรอื ลดลงกวา่ ปกติ หรือต่ากว่า ปกติ พวกน้ีมกั จะพบในคนไข้ทีต่ ิดเชอื้ พวกไวรสั (เชน่ ไข้เลือดออก) หรอื มกี ารสร้าง ผิดปกติ หรอื โรคเกลด็ เลือดตา่ โดยไมท่ ราบสาเหตุ (Idiopathic Thrombocytopenic Purpura (ITP) ซง่ึ ทาให้มีเลือดออกงา่ ยและเกดิ จ้าเลอื ไดต้ ามตัว พบได้บ่อยพอสมควร - Increase พบไดใ้ นบางภาวะเชน่ มีการอกั เสบรุนแรง มีเน้ืองอกบางชนดิ ในรา่ งกายหรือ มีการ เลอื ดฉบั พลนั (จะมีการกระตุ้นให้ไขกระดูกเร่งสร้างเกลด็ เพอื่ ไปช่วยทาให้เลอื ดหยดุ และอุด บาดแผล) นอกจากน้ยี ังมีพวกท่เี กลด็ เลอื ดสงู ข้นึ มาเองโดยไมม่ ีสง่ิ กระตนุ้ ตา่ งๆ ก็ ได้ เรยี กวา่ Essential Thrombocytosis (พวกทมี่ คี วามผิดปกติ ทงั้ Decrease และ Increase นี่อาจจะตอ้ ง นับ Platelets ให้ละเอยี ดแลว้ รายงานเป็นตวั เลขอีกที) RBC Morphology หรอื รูปร่างของเม็ดเลือดแดง จะมีรายงานออกมาหลายรูปแบบ ตามลักษณะ ที่มองเหน็ ซึ่งจะชว่ ยแยกโรคไดห้ ลายอย่าง เชน่ บอกวา่ เป็น ธาลลาสซเี มยี ไดค้ ร่าวๆ หรือ บอก ภาวะโลหติ จาง จากการขาดเหล็กเป็นตน้ และบางคร้งั อาจจะเหน็ พวก มาเลเรยี อยูใ่ นเมด็ เลือดแดงด้วยกไ็ ด้ การตรวจสภาพความสมบูรณ์ของเม็ดเลอื ด (CBC) : เป็นพนื้ ฐานการตรวจเบ้ืองต้นเพ่ือหาปรมิ าณของเมด็ เลือด แดง เม็ดเลอื ดขาว รวมทัง้ เกรด็ เลอื ดในร่างกาย Hemoglobin (HGB) คือการวัดปรมิ าณ HGB ในเมด็ เลือดแดง เพ่ือประเมนิ ว่ามีภาวะของโลหิตจาง(ซีด)หรือไม่ ค่าปกติของ ผูช้ าย 14 - 18 g/dl ผูห้ ญิง 12 - 16 g/dl ข้อสังเกต + การดื่มนา้ มากเกินไป อาจทาให้คา่ HGB ลดลง + HGB จะลดลงในภาวะต้งั ครรภ์ + HGB อาจสูงขน้ึ ในคนที่สบู บุหรี่จดั Hematocrit (HCT) คอื การวดั เปอร์เซน็ ต์ของปริมาตรเมด็ เลือดแดงในปรมิ าตรเลือดทั้งหมด ค่า HCT ทว่ี ดั ได้ ส่วนใหญจ่ ะประมาณ 3 เทา่ ของค่า HGB ค่าปกติของ ผชู้ าย 42 - 52 % ผู้หญงิ 37 - 47 % ขอ้ สังเกต
+14 ในคนท่ีงดนา้ กอ่ นการตรวจเลือดเปน็ เวลานาน อาจทาใหค้ า่ HCT เพิม่ ขึน้ ได้ + ในคนท่ีรับประทานยาขบั ปสั สาวะ ก็อาจมคี า่ HCT สงู ขึ้นได้ + HCT จะสงู ขึน้ ในคนท่เี ป็นโรคถงุ ลมโป่งพอง หรือในคนทสี่ ูบบหุ ร่ีจัด ข้อแนะนาในการปฏบิ ตั ิตน ในคนทพี่ บคา่ ของเม็ดเลอื ดแดงต่า (โลหิตจาง) ซง่ึ สาเหตุจะยงั ไมท่ ราบแนน่ อน แต่ทพ่ี บบ่อยอาจเกดิ จากการ ขาด ธาตเุ หลก็ เช่น การเสียเลอื ดจากการมีประจาเดือนในสตรีวยั เจรญิ พนั ธุ์ เป็นริดสีดวงทวาร หรอื อาจมพี ยาธิ เป็นต้น จงึ แนะนาให้เสรมิ ธาตุเหล็ก + โดยการรบั ประทานอาหารทม่ี ธี าตเุ หล็ก เช่น เนือ้ สตั ว์ ถว่ั ต่างๆ ตบั เครอ่ื งในสัตว์ ผกั ใบเขียว และไข่ + โดยการรับประทานวติ ามินท่ีมธี าตเุ หล็กเสรมิ + ในบางกรณีอาจจะต้องทาการตรวจอุจจาระเพม่ิ เติม White Blood Cell Count ( WBC ) คอื การนับจานวนเมด็ เลือดขาวท้ังหมดใน 1 cu.mm.หรอื mL ซ่ึงส่วนใหญ่ มกั จะมคี า่ ผิดปกติเม่อื มกี ารติดเชอ้ื ในรา่ งกาย เช่น จากเชือ้ แบคทเี รยี หรือเช้ือไวรัส (แตท่ ้ังนี้ต้องอาศัยประวตั ิ อื่นๆ ประกอบด้วย) คา่ ปกติ 4,800 - 10,800 /mL Differential White Cell Count คือการหาเปอร์เซ็นตข์ อง WBC แต่ละชนดิ ซงึ่ มที ั้งหมด 5 ชนดิ + Neutrophils (NEUT) คา่ ปกติ 40 - 74 % : จะพบสงู ข้นึ ในภาวะตดิ เช้ือจาพวกแบคทีเรีย + Lymphocytes (LYMP) ค่าปกติ 19 - 48 %: จะพบสงู ขน้ึ ในภาวะที่มกี ารติดเช้ือไวรัสอย่างเฉยี บพลัน หรอื ภาวะท่มี กี ารติดเชอื้ แบคทีเรยี ท่เี รอ้ื รงั + Monocytes (MONO) คา่ ปกติ 3 - 9 %: จะพบสงู ขนึ้ ในผทู้ อ่ี ยู่ในระยะฟ้นื จากการตดิ เชือ้ ทวั่ ไป + Eosinophils (EOS) ค่าปกติ 0 - 9 %: จะพบสงู ข้ึนในภาวะทีม่ ภี ูมแิ พ้ (Allergy), ภาวะท่ีมพี ยาธิในรา่ งกาย + Basophils : ค่าปกติ 0 - 2 % Platelet Count (PLT) คอื การนบั จานวนของเกรด็ เลอื ดต่อ mL ในเลอื ด (เกร็ดเลอื ดมีความจาเป็นทท่ี าให้เลอื ด แขง็ ตัว) ถ้าตา่ กว่า 100,000/mL ถือว่าน้อยไปอาจทาใหเ้ ลอื ดหยุดยาก ตรงกันขา้ มถา้ มากไป คือสงู กวา่ 400,000/mL จะทาให้เลอื ด แขง็ ตวั ได้งา่ ยขนึ้ และอาจเป็นสาเหตุทาใหเ้ กิดการอุดตันในเสน้ เลือด คา่ ปกติ 130,000 - 400,000 cells /m ------------- การตรวจทางเคมขี องเลอื ด 1. ตรวจระดับน้าตาลในเลอื ด (Glucose) คอื การตรวจหาระดบั น้าตาลในเลอื ดเพ่อื ชว่ ยวนิ ิจฉัยโรคเบาหวาน โดยควรงดอาหารและนา้ อยา่ งนอ้ ย 8 - 10 ช่ัวโมงก่อนตรวจ ค่าปกติ 75 - 110 mg/dl ในกรณที ม่ี ีคา่ Glucose สงู กวา่ ค่าปกติ อาจจะตอ้ งพจิ ารณาดงั ต่อไปน้ี; (ก) ถ้าคา่ Glucose มากกว่า 110 mg/dl แตไ่ มเ่ กนิ 140 mg/dl แสดงว่าอาจเรม่ิ มอี าการของโรคเบาหวาน a. ขอ้ แนะ นา i. ควร ควบคุมการรบั ประทานอาหารท่มี ีรสหวาน,น้าอดั ลม,ในา้ ตาลหรือผลไม้ท่ีมีรสหวาน จัด เช่น ทุเรียน มะม่วงสกุ ลาใย เปน็ ต้น (ข) ถา้ คา่ Glucose มากกว่า 140 mg/dl แต่ไม่เกนิ 200 mg/dl แสดงว่าเปน็ โรคเบาหวานในระยะเรมิ่ ตน้ a. ข้อแนะ นา i. ควร หลีกเล่ียงการรบั ประทานอาหารท่ีมีรสหวาน,น้าอดั ลม, นา้ ตาลหรอื ผลไมท้ ่ีมีรสหวานจดั เช่น ทเุ รยี น มะมว่ งสกุ ลาใย เปน็ ตน้ ii. ลด ปรมิ าณอาหารจาพวกแป้ง (เพราะจะเปลย่ี นเป็นนา้ ตาล) iii. ลด ปรมิ าณแคลอรขี่ องอาหารที่ iv. รับ ประทานอาหารประเภททมี่ ีเส้นใยอาหารสูงเชน่ ผกั ประเภทต่างๆ เช่น คะน้า หอมใหญ่ ฯลฯ v. หลกี เลย่ี งการด่มื เหล้า หรือเคร่ืองด่มื ท่ีมแี อลกอฮอล์ทกุ ชนดิ
vi. ออก กาลงั กายอย่างสมา่ เสมอ 15 vii. เมอ่ื ปฏิบัตติ ามคาแนะนาแลว้ ประมาณ 2 เดอื น ควรพบแพทย์เพือ่ รบั การตรวจเลอื ดหานา้ ตาลซา้ (ค) ถ้าคา่ Glucose สูงกว่า 200 mg/dl a. ข้อ แนะนา i. ปฏิบตั ิ ตามคาแนะนาในข้อ (ข) ii. ควร ปรกึ ษาแพทย์ เพราะอาจจาเปน็ ต้องรับประทานยาเพื่อควบคมุ ระดับนา้ ตาล -------------- 5. การตรวจ Blood Typing เปน็ การตรวจดูกรุ๊ปเลอื ด (A, B, O, หรอื AB) และ Rh Factor (Positive หรอื Negative) ในทางปฏบิ ัติ พนักงานทกุ คนควรทราบท้งั กรปุ๊ เลอื ด และ Rh Factor ของตนเอง เพอื่ แจง้ ให้ ผเู้ ก่ยี วขอ้ งทราบเมือ่ เกิดภาวะฉุกเฉนิ ขึ้น เชน่ เลอื ดกรุ๊ป O Positive หรอื O Negative เป็นต้น
ก16 ารตรวจปสั สาวะสมบรู ณ์แบบ การตรวจปัสสาวะสมบรู ณ์แบบ (Complete Urine Analysis : UA) เปน็ การตรวจท่ีมปี ระโยชน์มาก เนื่องจากสามารถบง่ ชี้ความผดิ ปกตขิ องไตได้ตงั้ แต่ระยะแรกที่ยงั ไมม่ อี าการ ประเทศไทย เปน็ ประเทศท่พี บโรคไตวายเรื้อรงั คอ่ นข้างมาก ซึ่งสว่ นใหญ่สามารถรกั ษาและป้องกันได้ ถ้าตรวจพบความผดิ ปกติตั้งแต่ แรกกอ่ นทไ่ี ตจะเสื่อมจนเปน็ ไตวาย ในการตรวจปัสสาวะ ผลการตรวจที่สาคัญ ได้แก่ 1. การตรวจหาโปรตีน (ไขข่ าว) ในปัสสาวะ 2. การตรวจหาเมด็ เลอื ดแดงในปสั สาวะ 3. การตรวจหาเม็ดเลือดขาวในปสั สาวะ การตรวจโปรตนี ในปัสสาวะ โดยปกติโปรตีนจะร่วั ออกมาในปัสสาวะเพยี งเล็กนอ้ ย ซง่ึ จะตรวจไมพ่ บ แตเ่ มื่อไตมพี ยาธิ สภาพเกดิ ขนึ้ มักจะมผี ลทาให้ โปรตนี ร่วั ออกมาในปสั สาวะมากข้นึ จนตรวจพบได้ ซึง่ จะรายงานผลตามความเข้มข้นของโปรตนี ทต่ี รวจพบตง้ั แต่ 1+ ถงึ ระดบั 4+ เพราะฉะนน้ั ในผู้ท่ีตรวจพบโปรตนี ในปัสสาวะ จะตอ้ งระวงั แล้ววา่ ไตของตนเอง เริม่ มคี วามเสือ่ มลงจากสาเหตุ ใดสาเหตหุ นง่ึ และควรต้องได้รบั การตรวจซา้ และตดิ ตามตรวจวิเคราะหห์ าสาเหตตุ อ่ ไป การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ ในคนปกตติ รวจพบเมด็ เลอื ดแดง จานวนประมาณ 0-5 เซลล์ ต่อการมองในกล้องขยายกาลงั สูงหนง่ึ ครั้ง ถา้ ตรวจพบ จานวนเมด็ เลอื ดแดงมากกวา่ ปกติ เชน่ มากกวา่ 10 เซลล์ข้นึ ไป ถือวา่ ไตมคี วามผดิ ปกติ และต้องตรวจสืบค้นหาสาเหตุ ต่อไป เชน่ อาจเป็นน่ิว, อาจมีไตอกั เสบท่เี กิดจากการตดิ เชื้อ หรือการอักเสบจากภูมิไวเกนิ ของร่างกาย เป็นตน้ การตรวจหาเมด็ เลอื ดขาวในปสั สาวะ ในคนปกติตรวจพบเมด็ เลือดขาวในปัสสาวะได้ประมาณ 0-5 เซลล์ ต่อการมองกล้องจลุ ทรรศนห์ นงึ่ คร้ัง เช่นเดยี วกับ เม็ดเลือดแดง ถา้ ตรวจพบมจี านวนเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติ จะบ่งช้วี ่า กาลังมีการอกั เสบตดิ เช้ือในระบบของทางเดนิ ปัสสาวะ ซึ่งพบบ่อยในเพศหญงิ นอกจากการตรวจกรองโรคของระบบไตแล้ว การตรวจปสั สาวะยังช่วยกรองโรคเบาหวานได้ โดยถา้ ตรวจพบน้าตาลใน ปสั สาวะ จะบ่งชี้วาอาจเปน็ โรคเบาหวาน ซง่ึ ควรยืนยันด้วยการตรวจเลือดเพ่มิ เติมตอ่ โดย นพ. วิชัย จตุรพติ ร ผู้อานวยการ ศูนยแ์ พทยอ์ าชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ เพมิ เติม การตรวจปัสสาวะ สอนวธิ ีแปลผลการตรวจปสั สาวะ (UA) เรียน คณุ หมอ หนูอายุ 24 ปี 8 เดือน คะ่ พอดีจะเขา้ ทางานแบงคแ์ ห่งหนึง่ เคา้ ใหไ้ ปตรวจรา่ งกาย แต่ผลการตรวจปัสสาวะนา่ จะมปี ญั หา เค้าให้ไปตรวจใหม่อีกรอบอะ่ คะ่ รบกวนคณุ หมอ ช่วยแปลผลให้ทราบหน่อยนะคะ
17 ขอบคุณมากๆเลยคะ่ Urine Analysis Color Amber Clarity Turbid Sp.Gr 1.025 (1.003-1.03) pH 5.0 (5-7) Protein Negative Glucose Negative Ketone 2+ (repeated 1 time) Urobilinogen Negative Bilirubin Negative Blood Negative Leukocyte 1+ Nitrite Negative Microscopic Examination Centrifuged 10 ml White blood cell 3-4 cells/HPF (<3) Red blood cell 0-1 cell/HPF (<5) Squamous epithelial cell 5-10 cells/HPF (<5) Bacteria Moderate Amorphous - Mucous thread 2+ …………………………………………….. ตอบครบั ผมเคยสอนวิธแี ปลผลค่าการตรวจนับเมด็ เลอื ดหรือ CBC ไปแลว้ คราวนจี้ ะสอนวธิ ีแปลผลการตรวจปัสสาวะ หรือ urine analysis (UA) นะครับ Color ก็แค่บอกวา่ ฉ่ีเปน็ สอี ะไร ของคณุ รายงานว่าเปน็ สี Amber แปลวา่ สีทองอาพนั ฮน่ั แน่ ฉส่ี ีสวยเสยี ด้วย ใน ประเด็นสีของปสั สาวะนีห้ ากเป็นตระกลู เฉดสีเหลืองอ่อนๆรวมทง้ั สีทองอาพนั ก็ถือวา่ ปกติ แต่หากเป็นสีเหลอื งเขม้ ก็อาจ ผิดปกติในแงท่ อ่ี าจมดี ซี า่ นหรือหมายถงึ มีนา้ ดอี อกมาในปัสสาวะ ถา้ เปน็ สสี ม้ หรือสีแดงก็ผดิ ปกติแนน่ อนในแงท่ ่วี ่าน่าจะมี เลอื ดปน ถ้าไม่ใชเ่ พราะเกบ็ ตวั อยา่ งขณะมีเมนสก์ ต็ อ้ งเปน็ เพราะมเี ลือดออกในทางเดนิ ปัสสาวะ ซ่ึงอาจหมายถึงมีน่วิ หรือไตอักเสบ หรือกระเพาะปสั สาวะอกั เสบ หรือโน่น เปน็ มะเร็งกระเพาะปสั สาวะหรอื มะเรง็ ของไตไปเลย ดังนั้นการมีฉี่ สีสม้ หรือสแี ดงจงึ ตอ้ งถอื ว่าเปน็ เรือ่ งใหญไ่ ว้กอ่ น จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไมม่ อี ะไรในกอไผ่ ในเรอ่ื งสนี ย้ี ังเป็นไปไดอ้ ีกสีหน่งึ คือปสั สาวะสีเปน็ โคก้ หมายถงึ สีน้าตาลดาแบบเป๊บซีโ่ คล่า อันนหี้ มายถึงการมเี มด็ เลอื ดแตกในร่างกายแลว้ ถูกขับออกมา ในปัสสาวะ เช่นคนเป็นโรคขาดเอน็ ไซมจ์ ซี ิกซ์พีดี (G6PD) มักจะมอี าการเมด็ เลือดแตกง่ายใหเ้ หน็ เปน็ ครงั้ คราว หรือบาง ทตี ดิ เช้อื แรงๆรวมทง้ั เช่อื เชน่ มาเลเรยี กท็ าให้เมด็ เลอื ดแตกได้ คนสมยั ก่อนถึงได้เรียกมาเลเรยี ว่า “ไข้ปัสสาวะดา”
18 Clarity แปลวา่ ความใสของปสั สาวะอยูร่ ะดบั ไหน ถา้ ใสกร็ ายงานว่า clearถา้ ขุน่ อย่างของคณุ นีก้ ร็ ายงาน วา่ Turbid ซงึ่ แปลว่าขนุ่ การมีปสั สาวะขุ่นถือเป็นความผิดปกติอยา่ งหน่งึ ถา้ ไม่เป็นเพราะร่างกายกาลงั ขาดนา้ อยอู่ ยา่ ง แรง กน็ า่ จะมเี หตอุ น่ื ใหป้ ัสสาวะขนุ่ เชน่ มกี ารตดิ เชอ้ื ในทางเดนิ ปสั สาวะ โมเลกุลสารเคมตี า่ งๆร่ัวออกมาในปัสสาวะ เช่น โปรตีน นา้ ตาล คีโตน ฯลฯ เป็นตน้ ซงึ่ สารเคมแี ตล่ ะตัวที่ร่ัวออกมาเปน็ ตัวบง่ บอกว่าน่าจะเป็นโรคอะไร Sp.Gr ย่อมาจาก specific gravity แปลว่าความถว่ งจาเพาะ หมายถึงความหนาแน่นของน้าปัสสาวะเม่อื เทยี บ กบั นา้ บรสิ ุทธ์ิ คือน้าบรสิ ทุ ธ์โิ ดยนิยามมคี วามถ่วงจาเพาะเท่ากับ 1.0 ปสั สาวะของคณุ มีความถ่วงจาเพาะ 1.025 ถอื วา่ แม้ จะอยู่ในพิสัยปกติ (1.003-1.03) แตก่ ค็ ่อนไปทางสงู บง่ บอกว่าขณะที่คณุ เกบ็ ปัสสาวะนรี้ า่ งกายกาลังอยใู่ นภาวะขาดนา้ ซง่ึ เป็นแคแรคเตอรข์ องสาวไทยท่ตี ้องทาตวั ให้ขาดนา้ ไว้เสมอจะได้ไม่เสียฟอร์มทต่ี อ้ งวงิ่ เขา้ หอ้ งนา้ บอ่ ย หารู้ไมว่ า่ การทา เชน่ นัน้ จะทาให้ไตพังงา่ ยๆไม่รตู้ ัว การท่ีคา่ SpGr สูงนี้ เป็นตวั อธิบายว่าการทีป่ ัสสาวะข่นุ นน้ั อาจจะไม่มีอะไรในกอไผ่ อาจเกดิ จากร่างกายขาดนา้ เทา่ นัน้ เอง pH หมายถึงค่าความเปน็ กรดเป็นดา่ งของปัสสาวะ คือของเหลวทั่วไปทเ่ี ป็นกลางไม่เปรี้ยวไมฝ่ าดไมเ่ ป็นกรด หรือดา่ ง ค่า pH จะเท่ากับ 7.4 แตป่ สั สาวะของคนเรานตี้ อ้ งเปร้ียวถึงจะดี คือตอ้ งเป็นกรดมี pH อยู่ระหวา่ ง (5.0 – 7.0) ของคุณนีม้ ี pH 5.0 แม้จะคาบเสน้ อยู่ในพิสยั ปกติแต่ก็ชวนให้เอะใจว่าทาไมปสั สาวะเปรีย้ วจี๊ด เอย๊ ไม่ใชท่ าไม ปสั สาวะเปน็ กรดมากอยา่ งนัน้ อาจมีสารเคมีอะไรทีม่ ีฤทธ์ิเปน็ กรด เชน่ บกั เตรี ยา อาหาร (เช่นโปรตนี ) อยู่ในปัสสาวะ มากผิดปกติ Protein หมายถงึ โมเลกุลโปรตนี ท่ีรั่วออกมาในปัสสาวะ ของคุณนร้ี ายงานวา่ ไดผ้ ลลบ (Negative) แปลวา่ ไมม่ ี โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ การมโี ปรตีนร่ัวออกมาในปสั สาวะแสดงวา่ ไตกาลังมีปัญหา อาจจะเป็นโรคได้สารพัดเช่นโรค ไตร่วั (nephrotic syndrome) โรคไตอักเสบ โรคไตเร้อื รงั เปน็ ต้น Glucose หมายถึงโมเลกลุ ของนา้ ตาลกลโู คสทรี่ วั่ ออกมาในปัสสาวะ ของคุณรายงานวา่ ไม่มี ถ้าของใครมีน้าตาล รวั่ ออกมาในปัสสาวะกแ็ สดงวา่ มนี า้ ตาลในเลอื ดสูง หรอื เป็นเบาหวานน่นั เอง Ketone หมายถึงมโี มเลกลุ ของคโี ตนรว่ั ออกมาในปสั สาวะ ของคุณรายงานว่ามี 2+ หมายความวา่ มีมากพอควร (1+ เทา่ กบั มแี ตน่ ้อย 2+ เทา่ กับมีปานกลาง3+ เทา่ กบั มมี าก) แปลวา่ ผดิ ปกตลิ ะสิครบั เขาระบุไว้ดว้ ยวา่ ตรวจซ้าอกี ครั้งก็ ยงั ผิดปกตอิ ย่นู ัน่ แล้ว แสดงว่าผิดปกติจริงๆไม่ใช่ความคลาดเคล่ือนของแลบ็ ดงั นน้ั มาร้จู ักคีโตนกนั หนอ่ ยนะวา่ มันคอื อะไร ทาไมถึงมาโผลใ่ นฉ่ีของเราได้ คอื ปกติกระบวนการขับเคล่อื น รา่ งกายของเรานีจ้ ะตอ้ งมเี ม็ดพลงั ทเ่ี รยี กว่าอะเซติลโคเอ (AcetylCoA) ไปช่วยเซลต่างๆทางานจงึ จะมีชวี ิตปกตอิ ยไู่ ด้ การจะได้เม็ดพลงั น้ีมามสี องทางเทา่ น้ัน หนงึ่ คอื ย่อยโมเลกุลกลโู คสเอาเม็ดพลัง สองคอื ยอ่ ยโมเลกลุ คโี ตนเอาเมด็ พลัง ปกตริ ่างกายจะใชก้ ลูโคสเพราะเราได้มางา่ ยๆจากอาหารคารโ์ บไฮเดรตเชน่ นา้ ตาลและแป้ง ตอ่ เมอ่ื ไมม่ ีกลูโคส ตับจึงจะ ย่อยไขมนั ทั้งไขมันทีก่ ินเขา้ ไปหรอื ไขมันท่ีสะสมไว้ ออกมาเป็นกรดไขมันอิสระ (free fatty acidหรือ FAA) แล้วยอ่ ย ต่อไปเป็นคโี ตน เมอ่ื ไดค้ ีโตนแล้วก็เอาไปให้เซลใชเ้ ปน็ เมด็ พลงั แต่บางที่หากส่งคโี ตนใหเ้ ซลมากเกนิ ไปเซลก็ประทว้ งไม่ ใชค้ ีโตนเสยี ดื้อๆ ทาให้คีโตนเหลอื บานเบอะ ต้องระบายออกมาทางลมหายใจเปน็ กลิน่ นา้ ยาล้างเลบ็ หรือไม่กร็ ะบาย ออกไปทางปัสสาวะ คนทีม่ คี โี ตนมากจนต้องระบายท้งิ เช่นนไ้ี ม่ใชค่ นปกติ ตอ้ งมีอะไรผิดพลาดสกั อย่างหน่ึงท่ีทาใหไ้ ม่มี กลูโคสใช้ เชน่ คนทีข่ าดอาหาร โดยเฉพาะพวกนางแบบทีช่ อบกินแล้วอว๊ ก กินแล้วอว๊ ก หรือคนทล่ี ดความอ้วนด้วยสตู ร No Carb คือกินแต่เนอ้ื สตั วแ์ ละไขมนั แตไ่ มก่ นิ คารโ์ บไฮเดรตเลย หรือคนที่เป็นโรคเบาหวาน ซึง่ เซลร่างกายเอากลโู คส ไปตอ่ ยเป็นเมด็ พลังไมไ่ ด้ ทาใหแ้ มจ้ ะมกี ลูโคสบานเบอะ แต่กใ็ ชไ้ ม่ได้ ต้องหันไปใชไ้ ขมนั แทน หรอื คนทร่ี า่ งกายขาดน้า อย่างแรง หรอื คนท่ีไดร้ ับบาดเจ็บ เป็นต้น คนท่ีมีกลนิ่ น้ายาล้างเลบ็ หรือกล่ินคีโตนออกมาทางลมหายใจนี้ เวลาไปเข้าเครอื่ งตรวจแอลกอฮอลข์ องตารวจมี หวังโดนจบั เพราะเครือ่ งแยกไมอ่ อกวา่ นี่เป็นคโี ตนหรอื น่เี ป็นแอลกอฮอล์ ในบางประเทศเชน่ สวเิ ดนซ่ึงมีรถชนดิ ท่ีดกั จบั
แอลกอฮอล์จากลมหายใจของคนขับ ถ้าคนขับเมามาก รถจะสตารท์ ไมต่ ิด เคยมคี นทีม่ ีคีโตนออกมาในลมหายใจมากจาก19 การลดความอว้ นด้วยสตู ร No Carb ขึ้นไปขบั รถแบบนแ้ี ลว้ ขบั ไม่ได้ เพราะสตารท์ รถไม่ติด Bilirubin หมายถงึ น้าดี ของคณุ ไมม่ ี คนท่ีมนี า้ ดอี อกมาในปสั สาวะแสดงวา่ กาลังมปี ัญหาดีซ่าน เช่นตบั กาลงั อักเสบ หรอื ทางเดนิ น้าดีกาลงั อุดตัน หรือเม็ดเลือดกาลังแตก เปน็ ตน้ Leukocyte หมายถงึ สารจากเม็ดเลอื ดขาว ถา้ มีมากก็แสดงวา่ มีเม็ดเลอื ดขาวออกมาในปัสสาวะมาก Nitrite คือสารพวกไนไตรท์ ซึ่งปกตไิ มม่ ใี นปัสสาวะ จะมกี เ็ ฉพาะในภาวะทม่ี ีการตดิ เชอื้ บักเตรีชนดิ ท่ีสร้างไน ไตรทไ์ ด้ หรอื ไมก่ ็เกิดเลือดออกในปัสสาวะขนาดหนกั ของคุณไมม่ ไี นไตรทเ์ รากจ็ ะข้ามตรงนีไ้ ป Microscopic Examination แปลว่าการส่องกล้องจลุ ทรรศนด์ ปู ัสสาวะ Centrifuged 10 ml แปลวา่ เอาปสั สาวะ 10 ซซี ี.มาปนั่ แล้วเอาตะกอนทีป่ ่นั ไดม้ าสอ่ ง White blood cell แปลว่าเมด็ เลอื ดขาว ของคณุ ตรวจพบ 3-4 เซลต่อหนึง่ จอกลอ้ งจุลทรรศน์ ซึง่ ก็ถอื ว่ามี มากกว่าปกติจนน่าสงสัยวา่ จะมกี ารติดเชอื้ ในทางเดนิ ปสั สาวะหรือเปลา่ Red blood cell แปลว่าเม็ดเลอื ดแดง ของคุณมี 0-1 เซลตอ่ จอ ถอื วา่ ปกติ Squamous epithelial cell แปลวา่ เซลเย่ือบุผวิ ของคุณออกมา 5-10เซลต่อจอ ซ่ึงมากกวา่ ปกติ แสดงว่าอาจ เก็บตวั อย่างปสั สาวะแบบมีการปนเป้อื น หรืออาจมีการติดเชอ้ื หรืออกั เสบเกิดขึน้ Bacteria กค็ ือบักเตรี ของคุณรายงานวา่ มมี ากปานกลาง ปกตปิ ัสสาวะไม่ควรมีบักเตรี เพราะมนั เป็นกรด บักเตรี อย่ไู มไ่ ด้ ถา้ มีบกั เตรีแสดงวา่ มกี ารตดิ เช้อื แตถ่ า้ เราฉี่แลว้ ตั้งท้ิงไว้นานกว่าหอ้ งแล็บจะมารบั ไปตรวจ บกั เตรีในอากาศก็ อาจเขา้ ไปเจรญิ เติบโตในปสั สาวะไดเ้ หมือนกัน เรียกวา่ เป็นผลบวกเทียม หรอื เปน็ ความผดิ พลาดทางเทคนคิ Amorphous แปลว่าผลึกในนา้ ปสั สาวะ เชน่ ผลกึ กรดยรู กิ เปน็ ตน้ ของคุณรายงานวา่ ไม่มี ถา้ มกี ็บง่ บอกวา่ สารที่ ตกผลึกนน้ั มมี าก ถ้ามากถงึ ขนาดหนักก็จะกลายเป็นนว่ิ นนั่ แล Mucous thread หมายถงึ เยื่อเมือกทีเ่ หน็ เปน็ เส้นๆในกลอ้ ง มคี วามหมายคลา้ ยๆกับเซลเย่ือบผุ ิว คอื มมี ากกบ็ ง่ บอกถงึ การอักเสบ กลา่ วโดยสรปุ ปัสสาวะของคณุ มีความผิดปกติตรงที่มสี ารคโี ตนสูง มีความถ่วงจาเพาะสงู มคี วามเปน็ กรดสูง มี จานวนเมด็ เลอื ดขาวมาก มเี ซลเย่ือบุมาก ท้งั หมดน้บี ง่ บอกว่าคุณอาจจะอยใู่ นภาวะใดภาวะหนง่ึ ต่อไปนี้ ได้แก่ 1. รา่ งกายอาจขาดนา้ รนุ แรง 2. อาจเป็นโรคขาดอาหารหรอื อดอาหารมากเกินไป 3. อาจเป็นเบาหวาน 4. อาจมีการตดิ เช้ือในทางเดินปสั สาวะ จะเปน็ โรคอะไรแนน่ ้นั ยังไมร่ ู้ ผมแนะนาใหค้ ณุ ด่มื น้ามากๆวนั ละอย่างนอ้ ย2 ลติ ร ทานอาหารใหไ้ ด้สดั ส่วน ถูกต้องและพอเพียง ทาอย่างนส้ี กั สองสัปดาห์ แลว้ ไปตรวจร่างกายซ้า โดยคราวนีค้ วรตรวจท้ังการวิเคราะห์ปสั สาวะ (UA) การเพาะหาเชือ้ บกั เตรใี นปัสสาวะ (urine culture) และการตรวจเลือดดสู ภาวะเบาหวาน (FBS หรือ HbA1c) ด้วย จึงจะตอบคาถามคุณได้เด็ดขาดวา่ คุณปว่ ยเป็นอะไร หรอื ว่าอาจจะไมม่ อี ะไรในกอไผเ่ ลยกไ็ ด้ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ การตรวจปสั สาวะ U/A (Urinary Analysis) คือการตรวจวิเคราะห์ปสั สาวะ จะมีคา่ ที่รายงานออกมาหลายอยา่ งเชน่
ล20ักษณะของปสั สาวะทว่ั ไป เช่น ความขนุ่ ใส สี คนปกติ ควรมสี ีเหลืองอ่อนและใส (Yellow Clear) Sp G (Specific Gravity) = ความถ่วงจาเพาะ คนปกติจะอยู่ประมาณ 1.010 ถงึ 1.020 ......ถ้าสูงเกนิ ไป อาจจะเกดิ จากร่างกายขาดน้า เช่นดมื่ นา้ น้อย ทอ้ งร่วงรนุ แรง หรือในเดก็ เปน็ ไขเ้ ลอื ดออกทกี่ าลังช้อค และไดน้ ้าชดเชย น้อยเกนิ ไปทาใหข้ าดน้าในกระแสเลือด จะทาให้ ปัสสาวะเขม้ ขน้ ......ถา้ ต่าไป อาจจะเกิดจาก กนิ น้ามากเกนิ ร่างกายจึงกาจดั นา้ ออกมาทางปสั สาวะเยอะ หรอื เป็นโรคทท่ี าใหม้ ีปัสสาวะมีน้าออกมา มากผดิ ปกติ เชน่ โรคเบาจืด pH หรอื ความเปน็ กรดเป็นด่างของปสั สาวะ คนปกติจะมี pHประมาณ 6-8 ค่าความเปน็ กรด และ ด่างของปัสสาวะมีผลต่อการออกฤทธิ์ ของยาบางอยา่ งและการตกตะกอน ของสารบางอย่าง ใน ปสั สาวะทาใหเ้ กดิ น่ิวได้ Alb (Albumin) หรือ Protein คือโปรตนี ไข่ขาว ปกติในปัสสาวะไมค่ วรมโี ปรตีนไข่ขาวน้ี หลุด ออกมา แตถ่ า้ ไตทางานผิดปกติ จะมีAlb ออกมาในปสั สาวะ เช่นคนไข้ โรคไตชนิดNephrotic Syndrome หรอื ถ้าเปน็ ในคนทอ้ ง ถ้าพบ Alb ก็จะตอ้ งระวังภาวะครรภเ์ ป็นพิษ (ซ่งึ จะพบมอี าการ บวม และ ความดนั สูงร่วมไปด้วย) Sugar หรือ Glucose คนปกติ ไมค่ วรมีน้าตาลหรอื กลโู คสในปสั สาวะ ถา้ ตรวจพบ จะสงสยั ว่า คนไขอ้ าจจะเป็นเบาหวาน ควรจะงดอาหารไมน่ ้อยกว่าหกชม. แลว้ เจาะเลอื ด ดนู ้าตาลในเลอื ด (FBS )เพ่ือยืนยนั โรคเบาหวานต่อไป (Note ท้ัง alb และ sugar ปกตจิ ะรายงานปริมาณมากน้อย เปน็ +1,+2,+3,+4 ตามลาดับ) WBC หรอื เม็ดเลอื ดขาว ในคนปกติ ไมค่ วรมเี ม็ดเลอื ดขาวในปัสสาวะเลย ถ้ามีเมด็ เลอื ดขาวออกมามากในปสั สาวะ แสดงว่ามกี ารอักเสบติดเชื้อในทางเดนิ ปสั สาวะ เช่น กระเพาะปสั สาวะอกั เสบ หรือกรวยไตอกั เสบ (ปกตจิ ะรายงานเป็นจานวนเซลทพี่ บ ต่อพน้ื ท่ีที่ มองเห็นด้วยหวั กล้อง ขนาด X40หรอื High Dry Field (HDF) ถ้าพวกท่ีพบเลก็ น้อย เช่น 1-2 Cell/ HDF อาจจะไมส่ าคัญเทา่ ไรนักแต่ถา้ พวก มกี ารตดิ เชื้ออาจจะพบหลายสบิ ตวั หรือเปน็ รอ้ ยๆ ซึง่ จะรายงานว่า มีจานวนมาก (Numerous) RBC หรอื เมด็ เลอื ดแดง เช่นเดียวกบั เม็ดเลือดขาวคือ คนปกตไิ มค่ วรพบเมด็ เลือดแดง ถ้าพบ แสดงวา่ มเี ลอื ดออกในทางเดนิ ปสั สาวะ อาจจะจากอุบตั ิเหตุ (ถ้ามีประวัติบง่ ชวี้ า่ ไดร้ ับการ กระแทกตามทางเดินปัสสาวะ) หรือมเี น้อื งอกในทางเดินปัสสาวะ หรอื มนี ่ิวในทางเดนิ ปสั สาวะ (การตดิ เชอื้ บางครง้ั กท็ าให้มีเมด็ เลือดแดงออกมา ในปัสสาวะได้แต่มกั จะมี เม็ดเลอื ด ขาวมากกว่า แต่สาเหตทุ ีพ่ บบ่อยสุด ทีท่ าใหพ้ บเม็ดเลอื ดแดงจานวนมากในปัสสาวะคือ น่ิว ) (หมายเหตุ - การเก็บปัสสาวะถ้าคนไขก้ าลังเปน็ เมน็ ส์ควรหลกี เลี่ยง เพราะว่าจะมเี ลือด จาก เมน็ สล์ งไปปนทาให้ พบเมด็ เลือดขาว และเมด็ เลอื ดแดง จานวนมากในปัสสาวะได้) Epithelial หรอื เซลเยื่อบทุ างเดินปัสสาวะในสว่ นต่างๆ อาจจะพบได้เม่ือมีการอักเสบหรือความ ผิดปกตขิ องทางเดนิ ปัสสาวะ นอกจากนี้อาจจะมรี ายงานพวกผลึกของสารตา่ งๆ ท่ปี นมากบั ปสั สาวะเชน่ Calcium Oxalate หรอื Urate Crystal ซึ่งพวกนี้อาจจะตกตะกอนเป็นนิว่ ตอ่ ไปได้
การตรวจระดับนา้ ตาลในเลอื ด 21 การตรวจระดับน้าตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) เป็นการตรวจเพอ่ื หาโรคเบาหวาน โดยใชว้ ิธีการตรวจวัดระดบั กลูโคส (นา้ ตาล) ในเลอื ด หลงั จากอดอาหารมาก่อน อย่าง น้อย 8 ชั่วโมง การมเี บาหวาน หมายถึง มนี า้ ตาลในเลือดสงู กวา่ ปกติ และก่อใหเ้ กดิ โรคแทรกซอ้ นตามมาได้ ท้ังชนิดเฉียบพลนั และ ชนิดเรอื้ รงั เชน่ โรคเบาหวานข้นึ ตา โรคไตจากเบาหวาน และนาไปสู่ภาวะไตวาย ซึ่งตอ้ งอาศัยการรกั ษาด้วยการฟอก เลือด ซงึ่ ลาบากไม่นอ้ ย เบาหวานยงั กอ่ ใหเ้ กิดโรคของหลอดเลือดสมอง โรคอัมพาต และโรคหลอดเลอื ดหัวใจตีบ และ หลอดเลือดของแขนขาตีบ ซ่งึ ชักนาให้เกิดภาวะแผลหายยาก เน้ือตาย และอาจตอ้ งสญู เสยี อวยั วะบางสว่ น ในผทู้ เี่ พิ่งค้น พบวา่ เป็นโรคเบาหวาน มกี ารตรวจพบวา่ มีโรคเบาหวานขึ้นตาแลว้ ถึงรอ้ ยละ 20 ซง่ึ แสดงวา่ คนเหล่านีเ้ ป็นเบาหวาน มาแล้วอย่างนอ้ ย 4-7 ปี โดยไมร่ ตู้ ัว ซงึ่ คนเหลา่ นี้ ถา้ ทราบวา่ ตนเองเปน็ เบาหวาน และรกั ษาควบคมุ ให้ดีก็สามารถ ปอ้ งกนั โรคแทรกซอ้ นเหลา่ น้ไี ด้ ผทู้ ี่ “มีแนวโนม้ เป็นเบาหวาน” ควรควบคมุ อาหาร ลดน้าหนกั และติดตามตรวจเลอื ดบ่อยข้ึน อาจจะปลี ะ 2-3 ครง้ั สาหรับ ผ้ทู ี่ไดร้ ับการวินิจฉยั ว่า เป็น”โรคเบาหวาน” แน่นอนแล้ว ถ้าควบคมุ ได้ดี วัดระดบั นา้ ตาลในเลือด ไดต้ า่ กว่า 126 มลิ ลิกรมั /เดซลิ ติ ร กไ็ ม่ไดแ้ ปลวา่ ผู้นั้นหายจากโรคเบาหวาน เพียงแตค่ วบคุมโรคเบาหวานไดเ้ ท่าน้นั และ ยังจาเปน็ จะตอ้ งใช้มาตรการควบคมุ ต่อเน่อื งตลอดไป เบาหวาน FBS (Fasting Blood Sugar) = ระดบั นา้ ตาลกลูโคสในเลอื ด ทเ่ี จาะหลังงดอาหารไมน่ อ้ ยกว่า 6 ชม. คนปกติ คา่ จะอยรู่ ะหว่าง 60-110 mg%(บางแหง่ ใช้แค่ 100 ) ถ้าสงู กว่านเ้ี รยี กวา่ เป็นเบาหวาน แต่ ถา้ ตา่ กว่า 60 ถอื วา่ ตา่ เกนิ ไป(Hypoglycemia) อาจจะมีอาการหิวใจสนั่ หนา้ มดื เป็นลม ไปถงึ ชัก หมดสติไดเ้ ชน่ กนั เช่นคนเป็นลมเพราะอดอาหาร หรอื คนเปน็ เบาหวานแลว้ กินยา หรอื ฉดี ยาลด นา้ ตาลมากเกินไป
22 การตรวจระดับไขมันในเลือด การตรวจระดับไขมันในเลอื ด เป็นทที่ ราบกันดีวา่ ภาวะไขมนั ในเลอื ดสูง เป็นสาเหตุสาคัญของโรคหวั ใจ และโรคอัมพาต เราจงึ ควรมีการตรวจวดั ระดับ ไขมันในเลือด เพื่อป้องกันโรคเหล่าน้ี โดยใหก้ ารบาบดั รักษาอยา่ งถกู ตอ้ งไม่ใหม้ รี ะดบั ไขมนั ในเลือดสงู แต่ถา้ ในขณะน้ี เรามีผลการตรวจเลอื ดอยใู่ นมือ เราจะทราบได้อยา่ งไรวา่ ผลท่ีตรวจได้บอกอะไร หรอื ตวั เลขทไี่ ดน้ ั้น หมายถึงอะไร สงู -ต่าอย่างไร ในปัจจุบัน การตรวจวดั ค่าของโคเลสเตอรอลรวม(Total Cholesterol)เพยี งอยา่ งเดยี วไม่พอเพยี งในการบอกสถานะความ เสยี่ งต่อโรคไขมนั อดุ ตนั เสน้ เลือด เราต้องการตรวจวดั ระดับไขมันอื่นๆ ท่เี กย่ี วขอ้ งดว้ ย ไดแ้ ก่ 1.โคเลสเตอรอลรวม(Total Cho.) 2.ไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) 3.HDL-Cho.(ไขมนั ชนิดดี) 4.LDL-Cho.(ไขมันชนิดไม่ดี) โคเลสเตอรอลรวม (Total Cholesteral) เป็นคา่ ทวี่ ดั ระดบั โคเลสเตอรอลรวม ซงึ่ มีทัง้ โคเลสเตอรอลชนดิ ดี และโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดปี นกนั โดยทัว่ ไประดับโคเลสเตอรอลรวมท่ตี รวจพบ จะมาจาก มีโคเลสเตอรอลท่ีไมด่ ี (LDL-Cho) ประมาณรอ้ ยละ 70 และเป็น ไขมนั ชนิดทด่ี ี(HDL-Cho) ประมาณร้อยละ 17 ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) การมไี ขมนั ไตรกลเี ซอไรด์ในเลอื ดสูง จะเพม่ิ ความเสยี่ งต่อการเกิดโรคหวั ใจเช่นเดยี วกบั โคเลสเตอรอล ไขมนั ทีเ่ รา รับประทาน ไม่วา่ จะเป็นน้ามนั พืช ไขมันสตั ว์ ไขมนั ท่ีซอ่ นอย่ใู นอาหารชนดิ ตา่ งๆ ส่วนใหญ่ คือไตรกลีเซอไรด์ นั่นเอง ไตรกลีเซอไรด์ท่ถี ูกดดู ซมึ เขา้ สู่รา่ งกายจะถูกนาไปใชเ้ ป็นพลังงาน แต่ถ้ามีมากเกินกว่าทร่ี า่ งกาย ต้องการ ไตรกลีเซอไรด์จะถูกเปลย่ี นเปน็ เนอ้ื เยื่อไขมันสะสมอยูภ่ ายในรา่ งกาย
23 ไขมนั HDL (High Density Lipoprotein ) เป็นไขมันท่ีทาหน้าท่ีจับโคเลสเตอรอลจากเซลล์ของร่างกาย และนาไปกาจัดทิ้งทีต่ บั ดงั น้นั จึงเปน็ ไขมนั ที่ดีต่อรา่ งกาย ถ้ามรี ะดบั HDL-Cholesterol สูง จะมีความเสยี่ งต่อโรคหัวใจน้อยลง ไขมนั LDL (Low Density Lipoprotein) เป็นอนุภาคท่ที าหน้าทีข่ นสง่ โคเลสเตอรอลไปตามกระแสเลอื ด LDL สามารถจับกบั ผนงั เส้นเลอื ดได้ ทาใหเ้ กดิ การสะสม โคเลสเตอรอลบนผนังเส้นเลือด เพราะฉะนั้น LDL จึงเปน็ อนุภาคไขมันชนิดเลว ซง่ึ จะบง่ ช้วี ่า เรามีความเสยี่ งตอ่ โรคหวั ใจ มากหรอื นอ้ ย เราสามารถตรวจวดั หาค่า LDL ไดโ้ ดยตรง หรอื ถ้าเรารคู้ า่ ของไขมันโคเลสเตอรอลรวม, ไขมนั ไตรกลเี ซอไรด์, ไขมนั HDL เรากส็ ามารถหาค่า LDL ไดจ้ ากสตู ร LDL = โคเลสเตอรอลรวม – HDL – (ไตรกลีเซอไรด์) ตัวอย่าง ถ้าเราตรวจได้ โคเลสเตอรอล 240 มก./ดล. ไตรกลีเซอไรด์ 200 มก./ดล. HDL 50 มก./ดล.
L24DL = 240 – 50 – (200/5) = 150 มก./ดล. ดงั นนั้ ถา้ หากเราต้องการรู้ว่ามคี วามเสยี่ งมากนอ้ ยแค่ไหน ต่อการเกิดโรคหวั ใจ และหลอดเลือด เราจาเป็นจะตอ้ งรรู้ ะดบั ไขมนั ท่ีไม่ดี คอื LDL-Cholesterol โดย นพ. วิชยั จตุรพิตร ผูอ้ านวยการ ศนู ยแ์ พทยอ์ าชีวะเวชศาสตร์กรงุ เทพ ไขมนั ในเลอื ด Cholesterol เปน็ ไขมันตัวนงึ ในเลือด (ตวั น้สี ่วนใหญ่ร้จู ักกันดี) ถ้าสงู มากจะทาใหเ้ กิดการอดุ ตัน ของหลอดเลอื ดตามท่ตี า่ งๆ เชน่ สมอง หัวใจ หรือไต เป็นตน้ คนปกติ จะไม่เกิน200 Mg% (ตัวน้ี เดมิ เคยให้ถอื วา่ สงู เม่ือเกิน 250mg% แต่ปจั จบุ ันใช้คา่ ที่มากกว่า 200mg% ก็ถือว่าสงู จนผิดปกติ แลว้ ) Triglyceride เป็นไขมนั อกี ตวั นงึ ในเลอื ด (แตค่ นไม่ค่อยคุ้นกับตัวนีก้ ัน) ตัวน้ถี ้าสงู มากก็ทาให้ เกดิ การอุดตันหลอดเลอื ดในที่ต่างๆ ไดเ้ หมอื นกับ Cholesterol นอกจากน้ียังพบข้นึ สูงได้ ในรายท่ี กนิ เหลา้ มากๆ พวกน้ถี า้ สูงมากๆ อาจจะไปสะสมท่ีตับ เป็น Fatty Liver และเกดิ ตบั แข็งตามมาได้ ค่าปกติ ไม่ควรสูงเกิน 200 mg% เช่นกนั (แตบ่ างตาราให้แค่ 170 mg% และบางคนทก่ี ินไขมัน มากๆ อาจจะทาใหไ้ ขมนั ตัวนใี้ นเลือดขึ้นสูงไปได้ถึง 5-600 mg% กม็ ี) การเจาะพวกไขมนั ท้งั สองตัว ถ้าใหไ้ ด้ผลดีควรหลีกเลยี่ งอาหารพวกไขมันมากๆ ลว่ งหน้าสามสี่ วันกอ่ นตรวจก็จะดีย่งิ ขน้ึ HDL (High Density Lipoprotien) = ไขมนั ชนดิ ท่ีมีความหนาแน่นของโมเลกลุ สงู ตวั นีช้ ว่ ยในการ นาพวกไขมนั ที่เกิดโทษ (เชน่ Cholesterol และ Triglyceride) ไปกาจัดทง้ิ ซึง่ จะทาใหม้ กี ารอุดตนั หลอดเลอื ดตามอวยั วะต่างๆไดน้ ้อยลง ตวั HDL ย่งิ มีระดบั สูงย่งิ ดี(ถ้าเปรยี บให้เข้าใจง่ายกค็ อื Cholesterol กบั Triglyceride เปน็ ขยะที่ตอ้ ง กาจัดทง้ิ (จริงๆ มนั กม็ ปี ระโยชน์แตถ่ า้ มีมากก็จะกอ่ ให้เกิดปญั หา การอุดตนั ตามหลอดเลอื ดใน อวยั วะต่างๆ) เหมือนขยะหมกั หมม แต่ HDL จะเปรียบเหมอื น รถขนขยะ ถา้ ย่ิงมมี ากยง่ิ ดี จะ ไดม้ าชว่ ยเก็บขยะไปได้มาก ทาใหแ้ มข้ ยะจะมมี าก แต่ถา้ มรี ถขนขยะมากก็ช่วยบรรเทาไปได้ คนปกติ ควรมี HDL สงู มากกว่า 35 Mg% (ย่งิ มากยง่ิ เสยี่ งตอ่ โรคไขมันอดุ ตนั หลอดเลือดตา่ งๆ น้อยลง รวมท้ังหลอดเลือดหวั ใจดว้ ย) 2.3 ตรวจระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด (Cholesterol) คือการหาค่า Cholesterol ซง่ึ เปน็ ไขมันท่ีได้ มา จากการรบั ประทานอาหารและร่างกายสรา้ งข้ึนเองบางสว่ น Cholesterol เปน็ สารสาคัญสาหรับรา่ งกายแต่ถ้ามี มาก เกนิ ไป จะทาใหม้ กี ารพอกของไขมันในหลอดเลือด และอวยั วะอื่นๆ เชน่ ตบั ค่าปกติ 125 - 220 mg/dl (สาหรับบางร.พ. มาตรฐานอาจอยู่ที่ 200 mg/dl หรอื 250 mg/dl ) 2.4 ตรวจระดับไขมนั ไทรกรีเซอไรด์ (Triglyceride) คือ ไขมันทไี่ ดจ้ ากการรับประทานอาหารและการ สร้างขน้ึ เองในรา่ งกาย เมอ่ื ถกู เผาผลาญจะใหพ้ ลังงานมาก ระดับ Triglyceride มกั ไม่คอ่ ยคงท่ี สูงๆ ตา่ ๆ ได้ง่าย ข้นึ อยู่ กับ ปรมิ าณอาหารทรี่ บั ประทาน ในกรณีทีส่ ูงมากๆและเปน็ เวลานาน กอ็ าจเปน็ ผลให้เกิดโรคหลอดเลอื ดตบี ตนั ได้ คา่ ปกติ 20 - 150 mg/dl ข้อควรปฏบิ ัตเิ พอ่ื ลดไขมนั ในเลือด + ควบคมุ ปริมาณอาหารประเภทไขมนั สูง เช่น ไขแ่ ดง เคร่อื งในสัตว์ อาหารทะเล เนอื้ สัตวต์ ิดมัน เนย กะทิ เปน็ ต้น + เล่ยี งอาหารท่ปี รงุ ดว้ ยน้ามันปรมิ าณมากๆ หรือถา้ จะใช้กค็ วรใช้น้ามนั จากพืช (เชน่ น้ามนั ถั่วเหลอื ง )
+ เพมิ่ อาหารทม่ี ีเส้นใยมาก เชน่ คะน้า หอมใหญ่ ฝรง่ั สม้ ฯลฯ 25 + งดหรือลดบุหรี่ + งดเครื่องด่ืมประเภทแอลกอฮอล์ + ออกกาลงั กายอย่างสมา่ เสมอ 2.5 HDL-C โคเลสเตอรอลในร่างกายแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ High Density Lipoprotein Cholesterol (HDLc) และ Low Density Lipoprotein Cholesterol (LDLc) งานวิจัยในปัจจบุ นั พบว่า HDLc เป็น โคเลสเตอรอลประเภทท่ีมีผลดีต่อร่างกาย ช่วยป้องกนั โรคหลอดเลอื ดตบี ตัน ดังนั้นการมคี า่ HDLc ที่สงู จึงเปน็ ส่ิงท่ีดี ดังน้ันในการตรวจโคเลสเตอรอล หากพบวา่ มคี ่าสงู เกินมาตรฐาน ควรจะตรวจระดบั ของ HDLc ประกอบการแปลผลดว้ ย คา่ ปกติ 35-65 mg/dl ขอ้ แนะนาในการปฏิบตั ิตนเพื่อใหม้ รี ะดบั HDLc ทีส่ ูงเหมอื นกบั การปฏบิ ตั ติ นในหัวขอ้ การลดไขมนั ในเลือด ขา้ งต้น โคเลสเตอรอล (CHOLESTEROL) โคเลสเตอรอล (CHOLESTEROL) เป็นไขมนั ชนิดหนึ่งท่ีพบในเลอื ด แมไ้ ม่สามารถให้พลังงานแกร่ ่างกายได้ แตก่ ็มี ประโยชนใ์ นการสร้างกรดน้าดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร สรา้ งฮอรโ์ มนบางชนิด และวิตามินดี รวมทง้ั เป็นองคป์ ระกอบของ ผนงั เซลล์ ตับสรา้ งไขมันโคเลสเตอรอลได้ แตเ่ ม่อื ใดที่โคเลสเตอรอลในเลอื ดมีมากเกนิ ความต้องการของร่างกาย คอื มากกวา่ 200 mg/dl โคเลสเตอรอลเหลา่ นม้ี ีโอกาสไปสะสมใต้ผนงั หลอดเลอื ดดา้ นในมากข้นึ ทาให้หลอดเลอื ดตบี และ อุดตนั ในท่ีสุด โคเลสเตอรอลในเลือดจงึ ให้ท้งั คุณและโทษ และจะเป็นการดอี ย่างยิ่งหากวนั นเี้ รารู้ระดับโคเลสเตอรอลของตนเอง เพอ่ื ทาการปอ้ งกันปญั หาโรคหลอดเลือดแดงตีบตนั ในอนาคตตง้ั แต่เนนิ่ ๆ นอกจากนี้ ยังมไี ขมันอีกชนดิ หนง่ึ ท่ีเราจาเป็นต้อง ทาความรจู้ ักให้ดีก็คือ ไตรกลเี ซอไรด์ ซึ่งทาหน้าที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยร่างกายรับไตรกลีเซอไรด์ได้โดยตรงจาก การกินอาหารประเภทไขมัน รวมถงึ การเปลยี่ นแปลงจากอาหารประเภทแป้ง นา้ ตาล และเครือ่ งดมื่ แอลกอฮอล์ แตห่ าก รา่ งกายสะสมไตรกลีเซอไรดม์ ากเกินไป จะเรง่ การสะสมโคเลสเตอรอลใต้ผนงั หลอดเลือด ซึง่ เสี่ยงตอ่ การเกิดโรคหัวใจ ขาดเลือดได้ โคเลสเตอรอลในเลือดมาจากไหน ? หลายๆ ท่านคงคดิ วา่ ปรมิ าณของโคเลสเตอรอลในเลอื ดจะสงู หรอื ไม่นัน้ ข้ึนอย่กู ับพฤตกิ รรมการรบั ประทานอาหารเพยี ง อยา่ งเดยี ว ซึง่ เป็นความเข้าใจทีไ่ ม่ถกู ตอ้ งนกั เพราะยงั มีปัจจัยอ่นื อีกทที่ าให้เสีย่ งต่อการเกดิ โคเลสเตอรอลสูงได้ เรามาดู กันว่าโคเลสเตอรอลมากจากไหนได้บา้ ง • จากอาหารทีเ่ รารบั ประทานเข้าไป โดยอาหารท่มี ผี ลกระทบตอ่ ปริมาณโคเลสเตอรอล ได้แก่ อาหารท่มี ีโคเลสเตอรอลร่วมอยูด่ ว้ ย ซึ่งมีอยใู่ นอาหารท่มี าจาก สัตว์ทกุ ประเภทโดยปริมาณโคเลสเตอรอลแตกต่างกนั ตามชนดิ และอวัยวะ โดยเคร่อื งในสัตว์และไข่แดง (ทกุ ประเภท) จะมปี ริมาณโคเลสเตอรอลสูงมาก • จากการสรา้ งขึ้นเองของร่างกาย ร่างกายสามารถสงั เคราะหโ์ คเลสเตอรอลขึน้ มาไดจ้ ากอาหารประเภทคารโ์ บไฮเดรต, โปรตีน, และไขมัน โดยเฉพาะจาก ไขมนั อิม่ ตัว อาจสรุปไดว้ า่ ระดับโคเลสเตอรอลในเลอื ดจะเปล่ยี นแปลงได้จากการรบั ประทานอาหารทีม่ ีโคเลสเตอรอล และอาหารประเภทไขมันที่มีกรดไขมันอ่ิมตวั สูงๆ รวมถึงผลทางออ้ มจากการรับประทานอาหารประเภทแปง้ และน้าตาล เกนิ ความต้องการของร่างกาย ไขมันในเลอื ดมีกชี่ นดิ ? มอี ยู่หลายชนดิ แต่ที่สาคญั และควรทราบมี 3 ชนดิ คือ
126. แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล (LDL Cholesterol) ไขมนั ตวั นี้เปรียบเสมือน “ตัวผูร้ ้าย” ถ้ามปี รมิ าณมากจะสะสมอยใู่ นหลอดเลอื ดแดงเปน็ ตน้ เหตุของหลอดเลือดแดงแขง็ ย่ิงระดับ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอลสูงมากเทา่ ไหร่ อตั ราเสยี่ งตอ่ การเป็นโรคหวั ใจยิ่งมากข้ึนเทา่ นนั้ 2. เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล (HDL Cholesterol) เปรยี บเสมือน “ตารวจ” คอยจบั ผรู้ ้าย เพราะเป็นตัวกาจดั แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล ออกจากหลอดเลือดแดง การมี ระดบั เอช ดี แอล โคเลสเตอรอลสงู จงึ ชว่ ยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลอื ดหวั ใจ 3. ไตรกลเี ซอไรด์ (Triglyceride : TG) เป็นไขมนั อกี ประเภทหนงึ่ ในกระแสเลือด เปรียบเสมอื น “ผู้ช่วยผู้รา้ ย” คนทม่ี รี ะดับไตรกลีเซอไรดส์ ูงพรอ้ มกบั ระดับ เอช ดี แอล โคเลสเตอรอลตา่ หรือ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอลสงู ย่ิงเพิ่มความเส่ียงต่อการเปน็ โรคหลอดเลอื ดหัวใจ โคเลสเตอรอล…สงู หรอื ต่า วัดกันอยา่ งไร? วธิ ีดวู า่ ใครมีโคเลสเตอรอลสงู ทางการแพทยจ์ ะเทยี บกับค่าท่พี ึงปรารถนาของระดับ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล ซึง่ คา่ ดังกลา่ วขึ้นกบั วา่ เป็นโรคหลอดเลอื ดหวั ใจ หรอื เปน็ โรคเบาหวานหรอื ไม่ ถ้ายังไม่เปน็ … ปจั จัยเสีย่ งอื่นๆ ทต่ี อ้ งคานึงถงึ นอกจาก แอล ดี แอล มดี ังน้ี 1. อายุ : ชายมากกวา่ 45 ปี หญงิ มากกวา่ 55 ปี 2. ญาตสิ ายตรงปว่ ยเปน็ โรคหลอดเลือดหัวใจกอ่ นวยั อันควร (ชายก่อนอายุ 55 ปี หญิงกอ่ นอายุ 65 ปี) 3. ความดันโลหติ สูง 4. สูบบุหรี่ 5. เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล นอ้ ยกว่า 40 mg/dl
หากสามารถลดระดบั โคเลสเตอรอลรวมลงได้ 1 % จะสามารถลดอตั ราเสี่ยงตอ่ การเป็นโรคหลอดเลอื ดหวั ใจลงได้ 2 %27 สาเหตุทีท่ าให้โคเลสเตอรอลสงู มีอยู่ดว้ ยกนั 3 ประการ คอื •อาหาร การบรโิ ภคอาหารประเภทไขมนั อิม่ ตัวมากเกนิ ไป การบรโิ ภคอาหารท่ีมีโคเลสเตอรอลมากๆ การบรโิ ภคอาหารมากเกินความตอ้ งการของรา่ งกาย •พนั ธกุ รรม •โรคและยา เช่น โรคไต เบาหวาน ยาบางชนิด เป็นตน้ ทาอยา่ งไรเมือ่ รูว้ ่าโคเลสเตอรอลสงู การรกั ษาเพ่อื ลดระดับโคเลสเตอรอลในเลอื ดนัน้ สามารถทาไดห้ ลายวิธี ในบางคนเพียงแค่ปรบั เปล่ียนพฤตกิ รรมก็ สามารถช่วยได้ ในขณะทบ่ี างคนอาจต้องพิจารณาใชย้ าลดระดบั โคเลสเตอรอลควบคู่กนั ไป ลดระดับโคเลสเตอรอลดว้ ยอาหาร การรับประทานอาหารทีถ่ ูกหลกั โภชนาการถอื เป็นรากฐานสาคญั ในการปอ้ งกนั และรกั ษาโคเลสเตอรอลในเลอื ดสงู ท่ดี ี ท่ีสดุ โดยมีหลกั ปฏบิ ตั ิสาคญั ๆ ดงั ต่อไปนี้ 1.ลดปริมาณไขมนั ที่รบั ประทานให้นอ้ ยลง 2.หลีกเลย่ี งอาหารท่ีกรดไขมนั อิ่มตัวสูง เช่น เนอ้ื สตั วต์ ดิ มนั มันสัตวต์ ่างๆ น้ามันมะพรา้ ว นา้ มันปาล์ม กะทิ นม เนยแข็ง ครมี ฯลฯ 3.รบั ประทานกรดไขมนั ไม่อิ่มตวั มากขน้ึ ซึ่งไดจ้ ากนา้ มนั พืชต่างๆ เพราะน้ามนั พชื มีกรดไลโนเลอิกมาก สามารถลด โคเลสเตอรอล และไตรกลเี ซอไรดใ์ นเลอื ดได้ 4.หลกี เลย่ี งอาหารทม่ี ีโคเลสเตอรอลสงู เช่น ไข่แดง เครือ่ งในสัตว์ กงุ้ ปลาหมึก หอย 5.รบั ประทานอาหารทมี่ ีเส้นใยใหม้ ากขนึ้ เช่น ผกั ผลไม้ ธัญพชื ตา่ งๆ ลดอาหารประเภทแปง้ และนา้ ตาล 6.รับประทานอาหารท่มี ีโปรตนี อย่างเหมาะสม เชน่ ปลาต่างๆ เน้ือสัตวไ์ มต่ ดิ มนั การออกกาลังกาย การออกกาลังกายเปน็ วิธีการหนึง่ ท่มี สี ว่ นช่วยทาใหร้ ะดับโคเลสเตอรอลลดลง เพมิ่ HDL โคเลสเตอรอล และสรา้ งความ แข็งแรงใหร้ ่างกายอีกด้วย โดยวิธีการออกกาลังกายทีเ่ หมาะสมในการช่วยให้หวั ใจและปอดแขง็ แรง คอื การออกกาลัง กายแบบแอโรบิค เช่น เดินเรว็ วิ่ง ว่าย นา้ ข่ีจกั รยาน อยา่ งตอ่ เนื่องนาน 20-50 นาที สปั ดาหล์ ะ 3-4 ครัง้ กีฬาบาง ประเภท เชน่ กอล์ฟ เทนนสิ แมจ้ ะช่วยเผาผลาญพลงั งาน แตไ่ มจ่ ดั เป็นการออกกาลังกายแบบแอโรบคิ เมอ่ื ต้องการเลือกใชย้ าลดโคเลสเตอรอล •Bile Acid Sequestrans มลี ักษณะเป็นผง เวลารับประทานต้องผสมกบั นา้ ยาชนดิ น้ีจะไมถ่ กู ดดู ซมึ เขา้ สู่รา่ งกายจงึ ไมม่ ีผลต่อตบั แต่รสชาตไิ ม่ อร่อยและมีผลแทรกซ้อนทางลาไส้บ่อย เชน่ ท้องอดื ท้องผกู สามารถลดโคเลสเตอรอลได้ในระดับหนงึ่ แตม่ ีผลตอ่ ไตร กลีเซอไรด์ และ เอช ดี แอล น้อย •Niacin
แ28ม้จะมีประสทิ ธภิ าพลดโคเลสเตอรอลไดด้ ี แตไ่ ม่เปน็ ทนี่ ยิ มใชม้ ากนกั เนอ่ื งจากมผี ลแทรกซ้อนมาก อาทิ อาการรอ้ นวบู วาบเน่อื งจากการขยายหลอดเลือดแดง ความดันโลหติ ต่าน้าตาลในเลือดสูงข้นึ หรือควบคมุ ไดย้ ากขึน้ กรดยรู ิคสูงขน้ึ อาจ ทาให้ตับอักเสบรนุ แรง Niacin รปู แบบทอ่ี อกฤทธ์ินานอาจชว่ ยลดผลแทรกซ้อนดงั กลา่ วลงได้บา้ ง •Statins ยากลุ่มนี้นอกจากลดโคเลสเตอรอลได้ดมี ากแล้ว ยังเช่ือว่ามผี ลดีตอ่ หลอดเลือดแดง โดยกลไกที่ไมเ่ กยี่ วขอ้ งกับการลด ไขมนั ดว้ ย ยานี้จงึ สามารถใชเ้ ปน็ กลมุ่ แรกสาหรบั ผทู้ ่ีมีโคเลสเตอรอลสูง นอกจากนี้ยังสามารถลดไตรกลีเซอไรดไ์ ด้ พอสมควร และเพิม่ เอช ดี แอลไดด้ ้วย แต่ก็มีผลแทรกซ้อนบา้ งเล็กนอ้ ยต่อการเกดิ ตับอกั เสบและกลา้ มเนอื้ อกั เสบรนุ แรง ซึง่ พบในอตั ราทีต่ า่ มาก ยากลมุ่ น้ีไมค่ วรใช้ในผูป้ ่วยโรคตับท่ียงั ดาเนินอยู่ (Active Liver Disease) •Fibrates เหมาะกบั ผูป้ ่วยเบาหวานทม่ี ักจะมีไขมนั ไตรกลีเซอไรด์สูง และ HDL ตา่ และไม่ควรใชใ้ นผูป้ ว่ ยโรคตบั เขาว่า…..เช่อื ไดแ้ ค่ไหน Q.แคห่ ลีกเลีย่ งอาหารมนั ๆ ออกกาลังกายสมา่ เสมอ ไมด่ ืม่ แอลกอฮอล์กเ็ พียงพอในการปอ้ งกนั โคเลสเตอรอลสูงแลว้ ใช่ไหมครบั ? A.ไม่ถกู ทง้ั หมดครบั เพราะการเกดิ โคเลสเตอรอลสงู อาจมาจากกรรมพันธก์ุ ไ็ ด้ Q. จะสังเกตอาการได้อย่างไรวา่ ตวั เองโคเลสเตอรอลสงู ? A.เป็นเรื่องที่คนสว่ นมากเขา้ ใจผดิ อย่างยิง่ เพราะโคเลสเตอรอลสูงไม่ได้ทาให้เกดิ อาการหรือปญั หาโดยตรง เชน่ โคเลสเตอรอลสงู 300 ไมไ่ ดท้ าใหเ้ วียนศรี ษะหรอื แนน่ หนา้ อก แตก่ ารสะสมของไขมนั ทีผ่ นงั หลอดเลือดแดงนานๆ ตา่ งหากทจ่ี ะทาให้เกดิ หลอดเลือดตีบตามมา พดู ง่ายๆ กค็ อื ยิง่ ปล่อยใหโ้ คเลสเตอรอลสูงนานๆ การสะสมของไขมันกม็ าก ตามไปด้วย จนเสีย่ งต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดในอนาคตครบั Q.ถ้าเราเลือกรับประทานแต่อาหารทไ่ี ม่มีโคเลสเตอรอลเลย กไ็ มม่ ที างเกิดโคเลสเตอรอลในเลอื ดสงู ใชม่ ย้ั ? A .ไมจ่ ริงครับ อาหารบางชนดิ แม้ไม่มีโคเลสเตอรอลเลย แตท่ าให้ระดบั ไขมันในเลอื ดสงู ข้ึนได้ เช่น อาหารที่มีไขมัน อิม่ ตวั สงู อาทิ อาหารที่มีสว่ นผสมของกะทิ เนยเทียม หรอื ครีมเทียมทีท่ าจากนา้ มันพืช ไขมันอมิ่ ตวั เหลา่ นีจ้ ะไปขดั ขวาง การเผาผลาญโคเลสเตอรอลที่ตับ ซึ่งกจ็ ะทาใหโ้ คเลสเตอรอลในเลือดสงู ขึ้นได้ รวมทงั้ อาหารทใี่ หแ้ ป้งและน้าตาลมาก หรือเครอ่ื งดืม่ แอลกอฮอล์ ถ้ารับประทานในปริมาณมากๆ กจ็ ะทาใหไ้ ขมันในเลือดอกี ตัว คอื ไตรกลีเซอไรด์สงู ข้นึ ได้ โดย นพ. วชิ ัย จตรุ พิตร ผอู้ านวยการ ศูนยแ์ พทย์อาชีวะเวชศาสตรก์ รงุ เทพ
การตรวจสมรรถภาพการท้างานของตับ 29 การตรวจสมรรถภาพการทางานของตับ (SGOT & SGPT) การตรวจสอบว่าตับมีการทางานปกตหิ รือไม่ แพทย์จะสง่ั ตรวจในกรณีตรวจรา่ งกายประจาปี หรอื ตรวจในกรณที ส่ี งสยั ว่ามี อาการทีเ่ กิดจากโรคตบั เช่น ตวั เหลือง ตาเหลอื ง โดยส่งิ ทแ่ี พทยต์ รวจ ได้แก่ • ตรวจหาโปรตีนท่ีสรา้ งจากตับ • การตรวจว่ามดี ีซา่ นหรอื ไม่ • การตรวจระดับเอนไซม์จากตบั • การตรวจการทางานของตับเม่อื มกี ารอุดตันของทางเดนิ นา้ ดี • การตรวจทางรังสวี ิทยา • การตรวจเลอื ดดเู ชื้อไวรัสตับอักเสบ • การตรวจเลือดหามะเรง็ ตับ การตรวจทีน่ ิยมตรวจ และใช้ในการตรวจบ่อยท่ีสุด ก็คือ การตรวจระดบั เอนไซมจ์ ากตับ เอนไซมต์ บั ทสี่ าคญั SGOT & SGPT SGOT เป็นเอนไซมท์ ่ีพบในตับ ไต กลา้ มเนอ้ื หัวใจ SGPT เป็นเอนไซมท์ ีพ่ บมากในตับ พบนอ้ ยในกล้ามเนือ้ หัวใจ ตบั ออ่ น เพราะฉะนัน้ ระดับเอนไซม์ SGPT จะมคี วามสาคัญ และมีความจาเพาะในการประเมินโรคตบั มากกวา่ เอนไซม์ SGOT ซึ่งอาจสูงจากสาเหตุอื่น เช่น การออกกาลังกายมากเกินไป เมือ่ ตับเกดิ โรคมกี ารทาลาย หรือการอักเสบของเนอ้ื ตบั จะทาให้มีการหลัง่ เอนไซม์ SGOT, SGPT ออกมาสกู่ ระแสเลอื ด มากขนึ้ ทาใหต้ รวจพบมีระดบั สูงขน้ึ กว่าปกติ ซึ่งระดบั เอนไซม์ SGOT, SGPT จะผดิ ปกติ ใหพ้ บไดไ้ วมาก โดยระดบั SGPT จะมคี วามสาคัญ และมคี วามจาเพาะมากกว่า อย่างไรกต็ าม เน่ืองจากเปน็ การตรวจท่ีมคี วามไวมาก จึงอาจพบผลผิดปกติไดเ้ ล็กนอ้ ยบา้ งในคนทั่วไป จึงควรมกี ารกรอง ผล ดังนี้ 1. ค่า SGOT, SGPT ทสี่ ูงกวา่ ปกติ ไมม่ ากกว่า 1.5 เทา่ อาจพบได้ในคนปกติ เพราะฉะน้ัน ความผดิ ปกตเิ ล็กน้อยใน ผ้ทู ี่ไมม่ ีอาการ อาจไมม่ คี วามสาคญั 2. คา่ SGOT, SGPT อาจจะสงู กว่าปกตใิ นคนทอี่ ว้ น เน่ืองจากคนอว้ นมกั จะมีไขมนั เกาะท่ีตับ ซึ่งพบวา่ เมื่อน้าหนกั ลดลง ค่า SGOT และ SGPT กจ็ ะลดลง สาหรับโรคท่ที าใหค้ า่ SGOT, SGPT สูง ไดแ้ ก่ • ตับอักเสบจากไวรสั • ตับอักเสบจากการดม่ื สรุ า • ตับอักเสบจากยา หรอื สมนุ ไพร • เนื้องอกในตบั • ไขมนั พอกตบั โดย นพ. วชิ ยั จตรุ พิตร ผูอ้ านวยการ ศนู ย์แพทยอ์ าชีวะเวชศาสตร์กรงุ เทพ
30 ตรวจการทางานของตับ LFT (Liver Function Test) หรอื การตรวจการทางานของตบั จะเป็นการตรวจหาเอ็นไซม์และสาร ต่างๆ ในเลือดหลายตวั เข้ามาประกอบกัน ด้วยกนั เป็นชุด ประกอบดว้ ย SGOT และ SGPT สองตัวนเี้ ปน็ เอ็นไซม์ของตบั ทจ่ี ะพบเมอื่ มีการทาลายของเซลลต์ ับ เช่นเกดิ จากภาวะตับอกั เสบ จากโรคตา่ งๆ เป็นต้น คา่ ปกติ ของสองตัวนี้ประมาณไม่เกนิ 40 U/L Alk Phosphatase = ค่าเอน็ ไซม์ของเลือดอีกตัวหนง่ึ คนปกตจิ ะมีค่า Alk Phos สูงไมเ่ กิน 280 Mg% ในส่วนที่เกย่ี วขอ้ งกบั โรคตบั คือ ถ้าตัวนี้สงู มาก จะระบุว่าอาจจะมกี ารอุดตัน ของระบบทางเดนิ น้าดีในตับ เชน่ จากภาวะตบั แข็ง หรือถ้าสูงมากๆ กอ็ าจจะตอ้ งนึกถงึ พวกน่ิวในท่อน้าดี หรอื มะเรง็ ในตบั หรือทางเดนิ นา้ ดี นอกจากนย้ี ังพบเอน็ ไซม์ตวั นส้ี งู ได้ ในโรคท่มี ีการทาลายกระดกู และมีการสร้างกระดูกขนึ้ ชดเชย ด้วยเชน่ กนั (ถ้าคนทีมีนิ่วอดุ ตนั หรือมะเร็งในตับอาจจะสูงเปน็ พัน เลยก็ได้) TB (Total Bilirubin) = สารน้าดี ทง้ั หมด ในกระแสเลือด คนปกติ คา่ TB จะสงู ไม่เกิน 1.5 mg% ถ้า มมี าก เรียกวา่ มีภาวะ ดซี า่ น(Juandice) มีอาการตาเหลอื งตัวเหลอื ง ซ่งึ เกิดไดจ้ ากทัง้ โรคจากตบั หรือนิ่วในระบบท่อนา้ ดี หรือโรคทีม่ ีการแตกตวั หรือ ทาลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกตกิ ไ็ ด้ DB (Direct Bilirubin) = สารนา้ ดี ชนิดที่ไดร้ ับการเปลยี่ นแปลง (Conjugated) ทตี่ ับแลว้ (เปน็ พวก ที่ละลายในน้า) คนปกติ จะมี DB ไม่เกิน 0.5 mg % ถ้าเอาคา่ DB หกั ออก จากค่า TB (TB- DB) จะ ไดเ้ ป็นคา่ ของ Indirected Bilirubin หรอื พวกน้าดี ซึง่ ยงั ไม่ไดร้ บั การเปลยี่ นแปลงท่ตี บั (Unconjugated Bilirubin) ซึ่งเป็นพวกละลายในไขมนั ) การแปลผลโดยอาศัย คา่ ของ TB , DB และ Indirect Bilirubin(ปกตติ ัวหลังไมม่ รี ายงาน แต่หาได้ จากการคานวนท่ี เอาสองตัวแรกลบกนั อยา่ งที่บอก) จะชว่ ยใหเ้ ราช่วยแยกไดว้ ่า ดีซ่านน้ัน มี สาเหตุจากตัวตับทางานผิดปกติเอง หรือ ตับยังทางานได้ (เปล่ียนแปลงนา้ ดี จากIndirect Bilirubinไปเป็น DBได้) แต่เกิดการอดุ ตนั จากทางเดนิ นา้ ดี หรือ จากสาเหตุอน่ื ท่ีทาใหม้ ีการ สรา้ งน้าดมี ากผดิ ปกติ เช่น โรคท่ีมกี ารแตกของเม็ดเลอื ดแดงมากผิดปกติ Alb (Albumin) = ระดับของโปรตนี อลั บูมนิ ในเลอื ด คา่ ปกติ ตัวนอ้ี ย่ปู ระมาณ 3.5-5 mg% ถ้ามีคา่ ต่ากวา่ ปกติอาจจะเกดิ จาก ขาดอาหารพวกโปรตีน หรอื มีการสูญเสียออกทางไตไปมากในคนที่ เปน็ โรคไต (Nephrotic Syndrome) หรอื มีความผดิ ปกติเรื้อรังของตับ เช่นตับแข็ง ก็ทาให้ มี ระดบั อัลบูมิน ต่าลงได้ Glob (Globumin) = โปรตีนอกี ตวั หนงึ่ ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั ระบบภูมิต้านทาน ของร่างกาย (พวกแอนติ บอด้ี ตา่ งๆ กม็ กั จะอยูใ่ นรูปของ Globurin ) คา่ ปกติ ของ Glob ประมาณ 2.0-3.5 mg% Glob สร้างจาก เนือ้ เย่ืออืน่ ๆ ของร่างกายไม่ใชท่ ี่ตบั เหมอื น Albumin นอกจากนี้ ในคนไข้ทเ่ี ป็นโรคตับเรื้อรัง เชน่ ตบั แขง็ จะพบว่ามีการกระตุ้นใหม้ ีการสรา้ ง Globulin มากกว่าปกติ ทาใหร้ ะดบั ของ Glob ใน เลอื ดสงู ผิดปกติ จะสังเกตเหน็ วา่ ในโรคตบั เร้อื รัง จะมี Alb ลดลง และ Glob เพิ่มข้ึน ดังนนั้ เมอ่ื ดสู ดั ส่วน ระหวา่ ง Alb/Glob จะเหน็ ว่า แทนท่ี Alb จะมากกว่า Glob ตามปกติ คนไข้โรคตบั เรือ้ งรงั จะพบว่า สัดสว่ นจะพลกิ กลบั กลายเปน็ Glob มากกวา่ 3. การตรวจสมรรถภาพการทางานของตับ (SGOT and SGPT) 3.1 Serum Glutamic Oxaloacetic Transaminase (SGOT) คอื enzyme ซงึ่ อยู่ในเนือ้ เยือ่ ของ หวั ใจ ตบั กล้ามเนอ้ื ไต สมอง ตับออ่ น มา้ ม และปอด หากเน้อื เย่อื เหลา่ นไี้ ด้รบั อันตราย SGOT ในเลือดจะ สงู ขนึ้ และจะเพิม่ ทันทีใน 12 ช่วั โมง แลว้ ค่อยๆต่าลงเนื่องจากถกู เผาผลาญไป ค่าปกติ 0 - 37 U/L 3.2 Serum Glutamic Pyruvic Transaminase (SGPT) คอื enzyme ที่พบในตับ หัวใจ กล้ามเน้ือ และไต ใชใ้ นการหาอาการของตบั อักเสบ และบอกไดเ้ ฉพาะเจาะจงกวา่ SGOT ค่าปกติ 0 - 4 0 U/L
31 การตรวจหา enzyme SGOT, SGPT เปน็ การตรวจเพ่อื ประเมนิ สมรรถภาพการทางานของตับ มักจะพบวา่ สูง ในคนทด่ี มื่ สรุ ามาเป็นเวลานาน หรือแมแ้ ตก่ ารด่มื เปน็ บางโอกาสแตป่ รมิ าณมาก กอ็ าจสงู ได้ ในกรณีไมด่ ม่ื สุรา อาจจะเกิดได้จาก + เป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบ B + การรบั ประทานยาบางอยา่ งที่มีผลต่อตับ + ถูกผลกระทบจากการสมั ผสั สารเคมบี างอยา่ งโดยสม่าเสมอ (เชน่ การฉีดยาฆา่ ยงุ โดยทไี่ มม่ ีการป้องกนั ตวั เอง) ข้อแนะนาในการปฏิบตั ติ น + พักผ่อนให้เพยี งพอ + ในผทู้ ดี่ ื่มสุรา ควรงดการดมื่ สรุ าหรือเคร่อื งด่มื แอลกอฮอล์ทุกชนิดโดยเด็ดขาดแมแ้ ตก่ ารดืม่ ในบางโอกาส + หลกี เลีย่ งการสัมผัสสารเคมี หากจาเปน็ ก็ควรมีการปอ้ งกันตนเองอย่างถูกตอ้ ง + ลดปรมิ าณอาหารประเภทไขมัน (เพื่อลดการทางานของตับในระยะท่ตี บั อกั เสบ) + ในบางกรณอี าจจาเปน็ ต้องปรึกษาแพทย์ เพ่ือใหก้ ารรักษาท่ถี กู ต้องตอ่ ไป 3.3 Alkaline Phosphatase เปน็ เอ็นไซมท์ ีม่ อี ยใู่ นเซลท่วั ไปโดยเฉพาะจะมีในปริมาณทเี่ ขม้ ขน้ ในเซลตับ เมอื่ เซลตับมีการบาดเจ็บหรอื เกดิ ความผดิ ปกติ จะปลอ่ ยเอ็นไซมน์ อี้ อกมา ทาให้ ระดับของ Alkaline phosphatase ในซีรัม (เลือด) สงู ขน้ึ การตรวจเอน็ ไซม์นจ้ี งึ ใชป้ ระกอบเพ่อื การบอกถงึ สภาพทางพยาธิวิทยาของตับได้ ค่าปกติ 35-110 U/l ข้อแนะนาในการปฏบิ ตั ิตนเหมือนกับการปฏบิ ัตติ นใน หวั ขอ้ การตรวจ SGOT และ SGPT ขา้ งตน้
ก32 ารตรวจสมรรถภาพการทา้ งานของไต การตรวจสมรรถภาพการทางานของไต (BUN & Creatinine) เปน็ การตรวจวดั ประสิทธภิ าพการทางานของไต วา่ ยังคงสามารถทางานในการกรองของเสยี ออกจากรา่ งกายหรือไม่ โดยตรวจวัดสาร 2 ตัว คือ Blood Urea Nitrogen (BUN) และ Creatinine (Cr) ซง่ึ สารท้ัง 2 ตวั น้ี เปน็ สารซึง่ เกิดขนึ้ ในร่างกายตลอดเวลา จากขบวนการ การเผาผลาญทางชวี เคมใี นเลอื ด ซึ่งไตจะทาหนา้ ทใี่ นการขบั ถา่ ย สารเหล่านี้ออกจากร่างกาย ทาใหไ้ มม่ ีการสะสมอยูใ่ นเลือด เพราะฉะนั้น ถ้าตรวจพบระดับของ BUN และ Cr สงู ข้นึ กวา่ ระดบั ปกติ แสดงว่าไตไมส่ ามารถทางานขับถ่ายของเสยี ได้ ตามปกตแิ ลว้ และเป็นตัวบง่ ชวี้ ่ามีภาวะไตวายเรอื้ รังเกิดขนึ้ อยา่ งไรก็ตาม การตรวจพบระดบั BUN, Cr สูงกว่าปกติ มกั จะตรวจพบเมอื่ ไตมคี วามเสอื่ มมากแล้ว ซึง่ โดยมาก มักจะมกี ารทางานลดลงมากกวา่ 50 % แลว้ และมกั จะเป็นระยะท่ีไตไม่สามารถฟื้นตวั กลบั มาปกติได้ จึงเป็นการ ตรวจท่ไี มส่ ามารถตรวจพบโรคไตในระยะแรกไดค้ วรเสรมิ ด้วยการตรวจปสั สาวะรว่ มดว้ ย โดย นพ. วชิ ัย จตุรพิตร ผอู้ านวยการ ศูนย์แพทยอ์ าชวี ะเวชศาสตรก์ รุงเทพ ตรวจการทางานของไต Creatinine = เป็นการตรวจการทางานของไต ในการกาจดั ของเสีย ถ้าคนไขท้ ่มี ภี าวะไตวาย จะ มคี า่ ตวั นสี้ งู กว่าปกติ คนปกติ จะสงู ไมเ่ กนิ 1.8mg% ถา้ สงู มากๆ ตอ้ งระวงั วา่ เกดิ ภาวะไต เสอื่ ม หรือไตไม่ค่อยทางานที่เรยี กกันว่า ไตวาย BUN (Blood Urea Nitrogen) = การตรวจหาสารน้ใี นเลือด ใช้เพ่อื ดกู ารทางานของไต คกู่ ับ Creatinine เชน่ กนั ในคนทไี่ ตทางานกาจัดสารพษิ ออกจากรา่ งกายไดน้ อ้ ยลง (ไตวาย) จะมสี าร นีส้ งู มาก คนปกติ ไมค่ วรสูงเกนิ 20 mg% 2. การตรวจสภาพการทางานของไต (Blood Urea Nitrogen and Creatinine) 2.1 Blood Urea Nitrogen (BUN) คอื การหาสาร Urea Nitrogen ในเลอื ดเพือ่ ดูการทางานของไต ทง้ั นี้ เนื่องจาก ยเู รียเป็นผลติ ผลสดุ ท้ายของการเผาผลาญโปรตนี ซึง่ จะถกู ขับออกทางไต คา่ ปกติ 8-16 mg/dl BUN เพม่ิ ขึน้ พบได้ในกรณที ่ีมกี ารสงั เคราะหย์ เู รยี มากไป โดยอาจมาจากสาเหตุจาก * การรับประทานอาหารทมี่ โี ปรตีนสงู * มกี ารทาลายของโปรตีนในรา่ งกายมาก เชน่ ภาวะไข้, ตดิ เชอื้ ,ไดร้ บั การผ่าตัดใหญ่ * ระยะหลงั ของการตัง้ ครรภ์ * มีภาวะขาดนา้ เช่น ในคนทีเ่ ปน็ โรคเบาหวาน เปน็ ต้น 2.2 Creatinine (Cr) คือการหาสาร Creatinine ในเลือดเพื่อประเมนิ สมรรถภาพของไต คา่ ปกติ 0.6 - 1.3 mg/dl ข้อแนะนาในการปฏิบัติตน ในกรณที ี่มีค่า BUN และ Creatinine สงู กว่าปกติ * ควรลดอาหารทม่ี รี สเค็มจดั * หลีกเลีย่ งการรับประทานอาหารทม่ี โี ปรตีนสูง * ควรปรกึ ษาแพทย์
การตรวจระดบั กรดยูริค 33 การตรวจระดับกรดยูรคิ (Uric Acid) การมกี รดยรู คิ (Uric Acid) สงู ในเลือด อาจทาใหเ้ กดิ โรคข้ออกั เสบ ท่ีเรยี กว่า เก๊าท์ (Gout) ซึ่งเกิดจากกรดยูริคมีการ สะสมอยใู่ นเน้ือเย่ือของขอ้ ในรปู ของผลกึ ยเู รต นอกจากน้นั การมกี รดยรู ิคสูง ทาให้เกดิ โรคนว่ิ ในไตได้ด้วย ค่าปกตขิ องกรดยรู คิ ในเลอื ด อยทู่ ่ปี ระมาณ 2.7-8.0 มลิ ลิกรมั /เดซลิ ิตรในกรณีทต่ี รวจเลือดแลว้ ตรวจพบกรดในเลือด สูงกวา่ ปกติ แตย่ งั ไม่มอี าการของโรคขอ้ อักเสบ(เกา๊ ท์) เราไม่ถอื วา่ เป็นโรคเกา๊ ท์ เปน็ เพียงแค่มภี าวะกรดยูรคิ ในเลือดสูง เทา่ นัน้ ผทู้ ต่ี รวจพบภาวะกรดยูรคิ ในเลอื ดสงู ควรหลีกเล่ยี งการรับประทานอาหารประเภทสตั วป์ กี เครอ่ื งในสตั ว์ หนอ่ ไม้ กระถิน กะหล่าดอก ชะอม โดย นพ. วิชัย จตุรพติ ร ผู้อานวยการ ศนู ยแ์ พทย์อาชีวะเวชศาสตรก์ รงุ เทพ โรคเกา๊ ต์ Uric Acid ตวั นี้เป็นเกลอื ยูริคในกระแสเลือด พบสูงไดใ้ นโรคเก๊าต์ นอกจากนี้ยังพบในโรคอน่ื ๆ อีกหลายอยา่ งเชน่ โรคท่ีมีการทาลายของเม็ดเลือดมากผดิ ปกติ เป็นต้น คนปกติผูช้ ายสงู ไม่ เกิน 8.5 mg% หญิงไม่เกนิ 8.0mg% ( บางแห่งใหใ้ ชค้ ่าปกติ เปน็ ชายนอ้ ยกวา่ 8หญงิ นอ้ ยกวา่ 7) -------------- 2.6 ตรวจระดบั กรดยูริคในเลือด (Uric Acid) คือ การตรวจหายูรคิ ซง่ึ เป็นของเสยี ท่เี ป็นผลมาจากการเผาผลาญ สารพิวรีน (purine) ซง่ึ มีมากในเครือ่ งในสัตว์ เน้อื สัตว์ สตั ว์ปกี อาหารทะเล ยอดออ่ นของผัก เชน่ หนอ่ ไม้ เห็ด แตงกวา ถว่ั เกือบทุกชนดิ และเกิดจากการสลายตัวของเซลล์ในร่างกาย กรดยูรคิ ทมี่ อี ยใู่ นเลอื ดจะถูกขับออก ทางไต ในกรณที ่มี ี ยูรคิ มากเกินไป จะทาใหต้ กผลึกสะสมอยูต่ ามขอ้ ผิวหนัง ไต และอวยั วะอืน่ ๆ ทาใหเ้ กดิ โรค
เ3ก4 ๊าทไ์ ด้ คา่ ปกติ 2.2 - 8.1 mg/dl ขอ้ ควรปฏบิ ัติ * งดอาหารทมี่ ีสารพวิ รนี สูง เช่น เครื่องในสตั ว์ เน้ือสตั ว์ สตั วป์ ีก อาหารทะเล ยอดออ่ นของผัก (เช่น หนอ่ ไม้ ชะอม ยอดผักโขม เป็นตน้ ) เห็ด แตงกวา ถั่วทุกชนดิ * งดเคร่ืองด่มื แอลกอฮอล์ * ดื่มน้ามากๆ เพื่อป้องกันการตกผลกึ ของกรดยรู ิค
การตรวจหาเช้ือไวรัสตับอกั เสบ ชนิด บี 35 การตรวจหาเช้อื ไวรัสตับอกั เสบ ชนดิ บี (Hepatitis B Surface Antigen : HBsAg) ประเทศไทย เป็นประเทศทเี่ ป็นถิน่ ระบาดของ ไวรัสตบั อกั เสบ ชนดิ บี (Hepatitis B Virus) ซง่ึ เปน็ สาเหตสุ าคญั ของโรค ตบั อักเสบ โรคตับแข็ง และมะเร็งตบั จากการศึกษา พบวา่ การตดิ เชอื้ ไวรัสตับอกั เสบ บี ในผทู้ ีม่ ีอายไุ มม่ าก ผ้ปู ว่ ยมากกวา่ รอ้ ยละ 90 ไม่มอี าการเหลอื งชัดเจน ทาใหผ้ ้ปู ่วยทีต่ ดิ เช้อื ไวรสั ตบั อักเสบบี ส่วนใหญ่มกั ไมท่ ราบวา่ ตนเองมเี ช้ือ หรอื เคยมกี ารติดเชื้อมากอ่ น วิธกี ารตรวจคดั กรองการติดเชื้อไวรสั ตับอกั เสบ บี ทส่ี าคญั คือ การตรวจหา Hepatitis B surface Antigen (HBsAg) ใน เลอื ด ซง่ึ เปน็ แอนติเจน (ตัวกระตนุ้ ปฏกิ ิรยิ าภมู ติ ้านทานของรา่ งกาย) อยู่ท่ผี ิวของเชื้อไวรัส สถติ ิในประเทศไทย ตรวจพบ HBsAg เปน็ ผลบวก รอ้ ยละ 6-10 ในผทู้ ีต่ รวจเลอื ด พบว่า มเี ชือ้ ไวรสั ตับอักเสบ ชนิด บี ในเลือด (HBsAg Positive) เพยี งครง้ั เดยี ว หรอื ตรวจพบเปน็ คร้ัง แรก อาจจะเปน็ ผทู้ ่เี พ่งิ ไดร้ บั เช้ือมาใหม่ๆ ซึ่งอาจจะหาย และตรวจไมพ่ บเชอื้ ในเวลาต่อมา เพราะฉะนัน้ ถา้ ตรวจพบเชื้อ ไวรัสในเลอื ด ใหต้ รวจเลอื ดตดิ ตามดูอกี อย่างนอ้ ย 1 ครง้ั ถา้ หลังจาก 6 เดือน นบั จากตรวจพบเช้ือคร้ังแรกแล้ว ยงั คง ตรวจพบเชอ้ื ในเลอื ดอยอู่ กี จงึ จะถอื ว่า ผู้ปว่ ยรายนอ้ี ยู่ในกลุ่มท่ีเป็นพาหะเรื้อรงั ของไวรสั ตบั อักเสบ ชนดิ บี และส่วน ใหญ่จะพบเชือ้ ในเลือดตลอดไป ผ้ทู ี่เป็นพาหะของไวรัสตับอกั เสบ ชนดิ บี ส่วนใหญ่ไม่มภี าวะตับอักเสบเร้ือรังเกิดขึ้น และมีสุขภาพดีเหมอื นคนทวั่ ไป จะ มสี ว่ นน้อยเทา่ นั้นท่ีมตี บั อกั เสบเร้อื รงั รว่ มด้วย ซงึ่ จะทราบไดจ้ ากการตรวจเลอื ด พบวา่ มเี อนไซม์ SGOT และ SGPT สงู กว่าปกติ ซ่ึงกล่มุ นีค้ วรอยใู่ นความดูแลของแพทย์ต่อไป แพทย์จะวินิจฉยั วา่ มกี ารอกั เสบเร้ือรงั ของตบั จะตอ้ งมีหลักฐาน ว่า การอักเสบมีตอ่ เนอื่ งกนั ไมต่ ่ากว่า 6 เดอื น โดยดูจากผลการตรวจเอนไซม์ตับ SGOT, SGPT พบว่าสูงกว่า ปกตมิ ากกวา่ 2 เทา่ ข้นึ ไป นานกว่า 6 เดือน ซ่งึ กรณีนีอ้ าจจาเปน็ ต้องให้การรกั ษาเฉพาะเพิ่มเติมตอ่ ไป ผทู้ เี่ ป็นพาหะของเชอ้ื ไวรสั ตับอักเสบ ควรปฏิบัติตัวดังนี้ 1. ไม่ดืม่ เหล้า (คอื เครือ่ งดม่ื ทม่ี ีแอลกอฮอลท์ ุกชนิด รวมทั้งไวน์, เบยี ร์) 2. พักผ่อนให้เพยี งพอ นอกให้พอ ไมใ่ ช่นอน ตี 1 – ตี 2 ทกุ คนื คือ อย่าใหร้ า่ งกายโทรม 3. ออกกาลังกายให้สม่าเสมอ เช่น เดนิ 3-5 กโิ ลเมตร สปั ดาห์ละ 3-4 วัน หรอื ว่ายนา้ เล่นกีฬา เพอ่ื ให้ร่างกายแขง็ แรง ถ้าแข็งแรงความตา้ นทานโรคจะดีแน่ 4. เลย่ี งอาหารท่ีมีเชื้อรา เพราะสารอลั ฟาร์ทอกซนิ ของเชอื้ รา ทาใหเ้ กิดมะเรง็ ตับในสตั ว์ทดลอง เช้ือน้ีมักพบในอาหารจะ เก็บไวใ้ นทช่ี นื้ นานๆ พบมากในถ่ัวลสิ ง พรกิ ปน่ 5. หลีกเลี่ยงยา หรือสารท่ีเปน็ อนั ตรายต่อตบั เมื่อจะรับประทานยา ควรปรกึ ษาแพทย์ 6. ป้องกันการแพร่เชือ้ สู่คนใกลช้ ิด ไวรสั อับอกั เสบ ตดิ ต่อสู่บคุ คลอน่ื ทางเลือด น้าเหลอื ง และเพศสมั พนั ธ์เทา่ นน้ั แตไ่ ม่ติดตอ่ จากการรบั ประทาน อาหารรว่ มกนั พดู คุยกนั หรอื จบั มอื กัน เพราะฉะนั้น ผู้ท่มี เี ชือ้ ไวรสั บี ในเลือดสามารถอยู่ร่วมกับผูอ้ ื่นได้ เหมอื นคน ปกตทิ กุ ประการ แตส่ าหรับผูท้ อ่ี ยู่ใกล้ชิด เช่น ภรรยา บตุ ร ถ้ายงั ไม่มภี มู ติ า้ นทานกค็ วรจะได้รับการฉีดวคั ซนี ป้องกนั ให้ ครบถ้วน การตรวจหาภูมคิ ุม้ กันไวรัสตบั อกั เสบ ชนดิ บี (Hepatitis B Surface Antibody : HBsAb) การตรวจหาภูมิคุม้ กันไวรสั ตบั อกั เสบ ชนิด บี คือ ตรวจ Hepatitis B surface Antibody : HBsAb (ถา้ ตรวจหาเชื้อ ไวรสั จะตรวจหา Hepatitis B surface Antigen : HBsAg) ในผทู้ ่ีมภี มู คิ ุม้ กันแลว้ จะพบ HBsAb ให้ผลบวก ผ้ตู รวจพบมภี มู ิค้มุ กันแล้ว แสดงว่า เคยได้รับเชอื้ มาก่อน และหายเรยี บรอ้ ยดี หรอื เคยได้รบั การฉดี วคั ซีนมาครบถ้วน เรียบร้อยแลว้
เ3ม6 อื่ ตรวจพบวา่ มภี ูมคิ ุม้ กนั แลว้ ถอื วา่ สามารถปอ้ งกนั ตบั อกั เสบจากเชอื้ ไวรสั ชนดิ บี ได้ตลอดชีวติ แต่ในผู้ท่ีฉีดวคั ซนี อาจจะมีระดับภูมิคุ้มกนั ข้นึ ไม่สูงนกั และระดบั ภูมิคมุ้ กนั อาจจะค่อยลดลงจนอาจตรวจไม่พบใน ระยะเวลาต่อมาได้ แต่ถงึ แมจ้ ะตรวจใหผ้ ลลบ ในทางการแพทย์ พบว่า ยังมีคุ้มกันเพียงพอที่จะป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัส บี ได้ เพราะภูมิคุ้มกันในระดับต่าจนตรวจ ไมพ่ บนี้ จะเพิม่ ระดบั ขึ้นอยา่ งรวดเร็วทันที ถ้ามเี ช้ือไวรสั บี เข้าสรู่ ่างกาย อย่างไรกต็ าม ในผู้ที่ตรวจสอบ พบว่าระดับภมู ิค้มุ กนั ของตนเอง ลดต่าลงตามทก่ี ลา่ วมาแลว้ อาจเพ่ิมความมนั่ ใจ ดว้ ยการ ฉดี วัคซีนกระตุน้ เพิม่ อกี 1 เขม็ ก็ได้ โดย นพ. วชิ ยั จตรุ พิตร ผู้อานวยการ ศนู ย์แพทย์อาชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ ไวรสั ตบั อักเสบบี HBsAg เปน็ การตรวจหาเชื้อไวรัส ตับอักเสบชนดิ B ว่ามีในเลอื ด หรือไม่ ถ้ารายงานวา่ HBsAg -ve กค็ อื ปกติ หรอื ไมม่ เี ชอื้ นี้ในเลอื ด ถา้ รายงานว่า HBsAg +ve กค็ อื พบว่า มเี ชอื้ นีใ้ นเลอื ด ซึ่งตอ้ งดวู า่ จะเปน็ ประเภทไหนดังต่อไปน้ี ...... พวกทีม่ เี ชื้อ และ มอี าการอกั เสบฉบั พลันของตบั ชัดเจน (เช่นมีไขท้ อ้ งอดื ตาเหลืองตัว เหลือง และมีค่าเอน็ ไซมต์ ่างๆของตบั ผดิ ปกติ) รวมทั้งอาจจะมีประวตั ิเพ่งิ สมั ผัสโรคมา ก็จดั เปน็ พวกที่ กาลังเป็นไวรัสตบั อักเสบชนิด B พวกนถี้ ้าได้รบั การรักษา ด้วยการพกั ผ่อนให้พอเพยี ง สว่ นใหญ่จะหายเปน็ ปกตไิ ด้ และเชอ้ื จะหมดไปจากเลอื ดภายในหกเดอื น และจะมีภมู ติ ้านทาน (HBsAb) เกิดขน้ึ มาแทน และจะไม่เปน็ โรคนอี้ ีกต่อไป แต่ถ้าหกเดือนแลว้ ยังไมห่ าย ก็จะ กลายเป็นพวกพาหะ หรือ พวกตบั อกั เสบเรอ้ื รัง ตอ่ ไป ...... พวกทม่ี ีเชื้อแตไ่ มม่ ีอาการใดๆ ท้งั สิ้นรวมทงั้ ผลการตรวจเอ็นไซม์ของตบั ปกติพวกนี้เรยี ก เป็นพาหะ(Carrier) พวกน้ไี มม่ ีอันตราย แต่ต้องระวงั เชอื้ จะตดิ ต่อไปยัง คู่สมรสไดห้ รอื ถา้ เปน็ หญงิ ก็ จะมเี ชอ้ื ผ่านไปลกู ได้ และถ้ากนิ เหลา้ หรือตรากตราอาจจะเกดิ ตบั อกั เสบขน้ึ มาภายหลัง ได้ แต่ก่อนพวก พาหะตับอักเสบบีน้ี จะไมม่ ีการรกั ษาเฉพาะ (มหี ายไปเองไดบ้ ้างบางสว่ น) แต่ ปจั จบุ นั มกี ารศึกษาค้นควา้ เพ่มิ เติม เพื่อใช้ยาให้ภาวะนห้ี ายไปได้มากขึน้ ซึง่ ตอ้ งตดิ ตามกัน ต่อไป (หมายเหตุ - กรณที ่เี ปน็ พาหะ ทเี่ จาะเลือดเป็นครง้ั แรก โดยเฉพาะมีประวตั ิ คลา้ ยตับอกั เสบมา กอ่ นไมเ่ กนิ หกเดอื นอาจจะ ไมใ่ ช่พาหะกไ็ ด้ อาจจะเป็นพวกตับอกั เสบ ที่กาลังหายแตเ่ ชอื้ ยังไม่ หมดไป ควรรอจนครบหกเดอื นแลว้ เจาะซา้ อกี ครัง้ ถา้ ยังพบเชอ้ื อยู่ จงึ จดั เป็นพาหะนาเชอ้ื ตบั อกั เสบ) ...... พวกทีม่ เี ช้ือ และยงั ไม่มีอาการอะไร แตอ่ าจจะพบมคี า่ เอน็ ไซม์ของตบั สูงผดิ ปกติ หรอื มี ประวตั เิ คยเป็นตับอกั เสบเป็นๆ หายๆ เรือ้ รงั พวกน้ีจะจัดเป็นพวกทเ่ี ป็นตบั อกั เสบเร้อื รัง พวกนม้ี ี ความเสี่ยงต่อการเกดิ ตบั อกั เสบรุนแรงกลับขึ้นมาอกี หรือ เกิด ภาวะตับแขง็ ตลอดจนมะเรง็ ตับ ได้ง่ายกว่าคนปกตมิ าก พวกนถี้ ้าจาเป็นอาจจะตอ้ ง รับการวินิจฉัยดว้ ยการเจาะเอาเนอื้ ตับมา ตรวจ (Liver Biopsy) และพจิ ารณาให้ Interferon เพ่ือการรกั ษา (ราคาแพงมาก) ---------------- HBsAb ตวั นเี้ ปน็ การตรวจหาระดับ ภูมติ ้านทานต่อเชอ้ื ตับอกั เสบชนิด B ถ้ารายงานวา่ HBsAb -ve ก็คอื ไม่มีภูมิตา้ นทานต่อเชอ้ื นีใ้ นเลอื ด และถา้ ไมม่ เี ชือ้ (HbsAg)ด้วย และไมเ่ คยมปี ระวัตไิ ด้รบั วคั ซนี มากอ่ น ถา้ อยากจะปอ้ งกนั โรคน้ไี ว้ กใ็ ห้วัคซีน ปอ้ งกันตับอักเสบได้ รวมสามเขม็ จะมผี ลป้องกนั ได้ตลอดไป แตถ่ า้ เคยมีประวตั ไิ ด้รบั วคั ซีนน้ี มาครบสามเขม็ แล้ว แม้ว่าการตรวจ จะไม่พบระดับภูมิต้านทานน้ี อายรุ แพทยแ์ ละกุมารแพทย์ หลายทา่ น ยังคงแนะนาวา่ ไมจ่ าเป็นตอ้ งฉีดวคั ซนี เพม่ิ เนอื่ งจากมกี ารศกึ ษา และรายงานวา่ แม้ ระดบั ภูมติ ้านทานจะต่ากวา่ ระดบั ท่เี ราจะตรวจพบได้ แต่ก็ยงั คงเพียงพอต่อการปอ้ งกนั โรค ถ้ารายงานวา่ HBsAb +ve พวกนี้ดี คือมภี มู ติ า้ นทานตอ่ เชื้อน้แี ล้ว และจะไมเ่ ปน็ โรคนี้อีก พวกน้ี
อาจจะเกดิ จากเคยฉดี วคั ซีนน้ีครบแล้วมากอ่ น หรอื เคยเป็นโรคนแี้ ลว้ หายไปแล้ว หรือ บางคน 37 เคยรบั เช้อื และหายไปเองโดยไม่ร้สู กึ ตัว (ผมเองก็เป็นแบบน้ี คือมภี ูมิต้านทานโดยไม่รู้ตวั )
ส38 มรรถภาพปอด (Spirometry) สมรรถภาพปอด (Spirometry) หมายถงึ การตรวจสมรรถภาพของปอด โดยการตรวจวัดปรมิ าตรของอากาศทหี่ ายใจเขา้ และออกจากปอด โดย อาศยั เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชว้ ัด เรยี กว่า “Spirometer” การตรวจสมรรถภาพปอดจะสามารถบ่งชถี้ งึ การเสอื่ มของการทางานของ ปอดกอ่ นท่จี ะมอี าการเกิดขึ้น ข้อบง่ ช้ีในการตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry) 1. เพอ่ื การวินิจฉยั โรค เช่น ในผู้ที่มอี าการไอเรื้อรัง มีอาการหอบ หายใจมเี สียงหวดี อาการตรวจจะช่วยในการ วนิ ิจฉยั โรคทท่ี าใหเ้ กิดอาการเหล่าน้ี 2. เพือ่ การประเมิน ระดบั ความรนุ แรงของโรคระบบทางเดนิ หายใจที่เป็นอยู่ 3. เพ่อื การเฝา้ ระวังการเกิดโรค ในผูท้ ีม่ ีปัจจัยเสยี่ ง เชน่ ผู้ที่สูบบหุ รี่ ผ้ทู ่ีมีอาชพี ท่เี สย่ี งตอ่ การเกิดโรค เช่น ทางาน เหมืองแร่ ทางานท่ีมีไอระเหยของโลหะ หรือสารอน่ื ๆ ทางานในทม่ี ฝี ุ่นฝา้ ย เช่น โรงทอผา้ ทางานในท่มี ีฝุ่น หินทราย (ซิ ลคิ า) เช่น โรงงานบด โม่ ย่อย สกดั ระเบิดหิน และอตุ สาหกรรมปูนซเิ มนต์ การเตรียมตัวกอ่ นทาการตรวจ 1. ไมอ่ อกกาลังกายก่อนมาตรวจอยา่ งนอ้ ย 30 นาที 2. ไมค่ วรสวมเส้ือผ้าท่ีรดั ทรวงอก และท้อง 3. หลกี เลย่ี งอาหารทอ่ี ม่ิ มากก่อนตรวจ 2 ช่วั โมง 4. ในผ้ทู ม่ี ีโรคหดื ใหห้ ยุดยาขยายหลอดลมก่อนตรวจ
5. งดสูบบุหรอ่ี ยา่ งน้อย 2 ช่วั โมง 39 วธิ ีการทดสอบสมรรถภาพปอด 1. ยนื ตวั ตรงตามสบาย 2. หนบี จมูก 3. หายใจเขา้ จนเต็มที่ 4. อมกระบอกเครือ่ งเป่า และปิดปากให้แนน่ รอบๆ กระบอกเป่า พยายามไม่ให้มลี มรว่ั ออกภายนอกได้ เม่ือหายใจออกมา 5. หายใจออกให้เร็ว และแรงอยา่ งเต็มท่จี นหวา่ จะไม่มีอากาศออกจากปอดอกี (ซึ่งควรจะหายใจออกโดยมีระยะนาน ไม่ น้อยกว่า 6 วินาที โดยไมค่ วรมีลมร่ัวออกขณะเป่า ปัญหาทพ่ี บในขณะทาการตรวจ ซงึ่ ทาใหก้ ารตรวจไมส่ มบูรณ์ ปญั หาท่พี บบ่อย ซง่ึ ทาให้การเป่าไมส่ มบรู ณ์ ไดแ้ ก่ 1. เปา่ ออกมาไมเ่ ตม็ ท่ี ไมแ่ รง และไมน่ านพอจนสดุ 2. มีลมร่วั ออกมาขณะเป่า 3. การหายใจเขา้ หรือการหายใจออก ไมส่ ุดเตม็ ที่ 4. เริ่มตน้ เป่ามีความลงั เล ทาใหเ้ ปา่ ช้าไมเ่ รว็ พอ 5. ไอระหวา่ งการเป่า โดยเฉพาะในช่วงวินาทีแรก การแปลผลการตรวจ การเปา่ ปอดจะทาใหร้ ้คู า่ ท่ีสาคัญ ก็คือ FVC (Forced Vital Capacity) เปน็ จานวนของอากาศท่วี ัดได้ เม่ือหายใจออกมา (หลังจากที่หายใจเข้าเตม็ ปอด) อย่างเร็ว และแรงเตม็ ทีจ่ นสุด ผู้ท่ี มปี อดท่ีมีความยดื หยุ่นนอ้ ยกว่าปกติ ก็จะวดั ได้ค่าของ FVC น้อยกวา่ ปกติ โดยเทียบกบั เกณฑ์มาตรฐาน แลว้ ไดไ้ มถ่ ึง 80 % FEV1 (Forced Expiratory Volume in One second) เปน็ จานวนอากาศทสี่ ามารถ “หายใจออกมาได้ใน 1 วนิ าที” เมอ่ื ทาการหายใจอยา่ งเรว็ และแรงเต็มท่ี (หลงั จากการ ไดห้ ายใจเขา้ ไปเต็มทแี่ ลว้ ) ผทู้ ม่ี ีหลอดลมอุดกนั้ เชน่ เป็นหดื หลอดลมอักเสบเรือ้ รัง จะมคี ่า FEV1 ตา่ กว่าปกติ เพราะ ไม่สามารถหายใจเอาอากาศ ออกมาได้เหมือนปกติ ทาให้คา่ ที่วดั ได้ไม่ถึง 80 % ของเกณฑ์มาตรฐาน FEV1 / FVC เปน็ การนาเอาค่าที่ตรวจได้ 2 ค่าขา้ งบนมาประเมนิ ร่วมกนั เพ่ือเปรยี บเทยี บดูว่า “ปริมาตรอากาศทีห่ ายใจออกมาได้ ใน 1 วนิ าที จะเปน็ จานวนกเี่ ปอรเ์ ซน็ ตข์ องอากาศทีม่ อี ยู่ในปอดของคนนนั้ ” ซง่ึ โดยปกติควรหายใจออกมาได้ไม่ น้อยกว่า 70 % ผู้ท่มี ีค่า FEV1 / FVC ตา่ กวา่ 70 % จะบ่งชวี้ ่าหลอดลมมีการอุดกนั้ มากกว่าปกติ
40 ความผิดปกติทีต่ รวจพบ จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1. Obstructive หมายถงึ มีการอดุ กนั้ ของหลอดลม เช่น ในผู้ที่เป็นโรคหืด โรคถุงลมโป่งพองจากการสูบบุหร่ี โรคหลอดลมอักสบ เรื้อรัง กลุ่มน้จี ะตรวจพบคา่ FEV1 / FVC ต่ากวา่ 70 % โดยคา่ FVC จะปกติ 2. Restrictive หมายถึง ความยดื หยนุ่ ของปอดลดลง ทาให้ความจุของปอดลดลง เชน่ ผู้ท่ีมโี รคของเน้ือปอด ผูท้ โ่ี ครงสรา้ ง กลา้ มเนอื้ หรือกระดูกที่ชว่ ยในการหายใจผิดปกติ กลุม่ นจ้ี ะมคี า่ FVC เมอื่ เทียบกบั มาตรฐานตา่ กว่า 80 % แต่ค่า FEV1 / FVC จะมากกว่า 70 % 3. Combine หมายถึง ผ้ทู ี่ตรวจพบมคี วามผดิ ปกติทง้ั 2 อย่างรว่ มกนั ……………………………………………………………………………………………………………………….จบ……. โดย นพ. วชิ ยั จตรุ พติ ร ผู้อานวยการ ศนู ยแ์ พทย์อาชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ
41 Etc HIV HIV หรอื การตรวจเอดส์ ปกติในการตรวจทว่ั ไป มกั เป็นการตรวจหา Antibody ของเอดส์ในเลอื ด ด้วยวธิ ีElisa หรอื RPHA ซึ่งตรวจไดง้ า่ ย ราคาไม่แพง ทราบผลไว พวกนถ้ี ้าไมพ่ บแอนติบอด้ี ดังกล่าว ก็เช่อื ไดว้ ่ายังไม่มรี ะดับ Antibody ตอ่ โรคนใ้ี นเลอื ด .......แต่ถา้ พบแอนตบิ อดด้ี ว้ ยวธิ ี ดังกลา่ ว อาจจะตอ้ งส่งเลือดเพือ่ ตรวจยืนยันด้วยวธิ ี Western's blot ซึง่ จะยืนยนั ได้100 % วา่ เปน็ HIV แนน่ อน (ทไ่ี ม่ตรวจด้วยวิธีน้ที ุกราย เพราะว่าเคร่ืองมือมีนอ้ ยและคา่ ตรวจแพง มากจึง เอาไวต้ รวจยนื ยันเทา่ นั้น) ........ถ้าพบวา่ มี Antibody +ve ก็แสดงวา่ ได้รับเชอื้ โรคนี้ อาจจะมีอาการ ของโรคแล้ว หรือไมก่ ไ็ ด้ ........ถา้ ตรวจยังไมเ่ จอ Antibodyและ คิดว่าตัวเองมีปัจจัยเสีย่ งสงู ควร ตรวจซ้า ทุกสามเดอื น จนครบหน่งึ ปหี ลังจากเวลาทคี่ าดว่าจะไดร้ บั เชือ้ ครง้ั สุดท้าย ถ้าครบปี แลว้ ยังไม่พบกม็ ั่นใจไดว้ า่ ไม่ได้ติดเชื้อ)........กรณที ่เี ปน็ การตรวจเลอื ดท่ีจะเอาให้กับคนไข้ นอกจากตรวจ Antibody แลว้ ทางรพ. จะตรวจหา Antigen ของเชอื้ HIV ดว้ ยเพราะว่า การ ตรวจหา Antibody จะตรวจพบ ได้เร็วกวา่ การตรวจหา Antibody (แตค่ ่าใช้จ่ายกส็ ูงกว่าดว้ ย) VDRL VDRL คือ เป็นการตรวจหา Antibody ของเชือ้ ซฟิ ิลสิ หรอื ที่เรยี กกันว่า ตรวจ เลือดบวก (เพราะวา่ แต่กอ่ นเวลารายงานผลตัวนี้ จะรายงานตามความแรง ของปฏิกรยิ าเปน็ +1, +2, +3, +4 .......แต่ ปจั จบุ นั จะรายงานผลเปน็ Nonreactive หรอื -ve ซง่ึ แสดงว่าไมเ่ ป็น หรือไม่พบAntibody ของเชื้อนี้ ........กบั Reactive หรือ +ve หรือ พบ Antibody ซงึ่ มักจะรายงานระดบั ความแรง ของปฏกิ ริยา ไว้ ดว้ ยเช่น 1:1 ,1:2, 1:4 ,1:8 ,1:16 ,1:32 (ย่งิ อันหลงั ๆ นี่ปฏิกรยิ าย่งิ แรงมากตามลาดบั ) พวกนแ้ี มว้ า่ จะ พบ วา่ Reactive หรือ +ve กไ็ มไ่ ดบ้ อก วา่ คนไข้จะเป็น ซฟิ ิลสิ ท้งั หมด (โดยเฉพาะถา้ ปฏิกรยิ า เปน็ แบบอ่อนๆ) เพราะว่า มีโรคอนื่ ๆ ที่ทาให้ VDRLให้ผลเป็นบวกได้เช่นกนั เชน่ พวกโรคทาง ภูมิตา้ นทานของร่างกายผดิ ปกติ (Autoimmune Disease) เชน่ SLE (โรคพ่มุ พวง) ดังนนั้ ถ้าจะยนื ยัน ว่าเปน็ ซฟิ ลิ ิสจริง จะส่งตรวจหาเชอื้ ซฟิ ิลิสด้วยวิธี TPHA เพื่อยนื ยันให้แนน่ อนอีกที 4. การตรวจ VDRL (Venereal Disease Research Laboratory) คือการตรวจขั้นต้นเพอ่ื หาสารแอนตบิ อด้ีที่ ร่างกายสร้างขึ้น เพอื่ ตอ่ ตา้ นกบั เชื้อซิฟิลสิ (Treponema pallidum) ทอ่ี ยใู่ นเลือด หากพบว่าการตรวจ VDRL ใหผ้ ล Reactive จะต้อง ทาการตรวจอย่างเฉพาะเจาะจงเพือ่ ยืนยนั อีกครงั้ ค่าปกติ Non-Reactive
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: