ประวตั วิ นั วสิ าขบชู า ขอขอบคุณเครดิตเรื่องและรูปจากเว็บไซดร ะปุกดอทคอม เชอ่ื วา ทกุ คนรจู กั ชอ่ื วนั สาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนาอยา ง \"วนั วสิ าขบูชา\" กนั ดอี ยแู ลว แต จะมสี กั กี่คนทที่ ราบความเปน มา และความสาํ คญั ของวนั วสิ าขบชู า ถา งน้ั อยา รอชา ...เราไป คน หาความหมายของ \"วนั วสิ าขบชู า\" พรอ มๆ กนั ดกี วา คะ ความหมายของวนั วสิ าขบชู า คาํ วา \"วสิ าขบูชา\" ยอมาจากคําวา \"วสิ าขปรุ ณมบี ชู า\" แปลวา \"การบูชาในวนั เพญ็ เดอื น วสิ าขะ\" ดังนนั้ \"วสิ าขบชู า\" จึงหมายถงึ การบชู าในวันเพญ็ เดือน 6 การกาํ หนดวนั วสิ าขบชู า วนั วิสาขบชู า ตรงกับวันขนึ้ 15 คํ่า เดอื น 6 ตามปฏทิ นิ จนั ทรคติของไทย ซงึ่ มกั จะตรง กบั เดือนพฤษภาคม หรือมิถนุ ายน แตถ าปใ ดมีอธกิ มาส คอื มเี ดอื น 8 สองหน ก็เล่ือนไปเปน วัน ข้ึน 15 คาํ่ กลางเดอื น 7 หรือราวเดอื นมถิ นุ ายน อยา งไรก็ตาม ในบางปของบางประเทศอาจกําหนดวันวิสาขบชู าไมตรงกับของไทย เนือ่ ง ดวยประเทศเหลาน้ันอยูในตําแหนง ทต่ี า งไปจากประเทศไทย ทาํ ใหวันเวลาคลาดเคล่อื นไปตาม เวลาของประเทศนนั้ ๆ ความสาํ คญั ของวนั วสิ าขบชู า วนั วสิ าขบชู า ถอื เปน วนั สาํ คญั ยงิ่ ทางพระพทุ ธศาสนา เพราะเปน วนั ทเ่ี กดิ 3 เหตกุ ารณ สาํ คญั ทเี่ กยี่ วกบั วถิ ีชวี ติ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา เวยี นมาบรรจบกนั ในวนั เพญ็ เดอื น 6 แมจ ะมี ชว งระยะเวลาหางกนั นบั เวลาหลายสบิ ป ซง่ึ เหตกุ ารณอ ศั จรรย 3 ประการ ไดแ ก
1. เปน วนั ทพ่ี ระพทุ ธเจา ประสูติ เมือ่ พระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจาสุทโธทนะ แหงกรงุ กบลิ พสั ดุ ทรงพระ ครรภแกจวนจะประสตู ิ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรงุ เทวทหะ เพอ่ื ประสูตใิ น ตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมยั นัน้ ขณะเสดจ็ แวะพักผอนพระอิรยิ าบถใตตนสาละ ณ สวนลุมพนิ ีวัน พระนางกไ็ ดประสูติพระโอรส ณ ใตตน สาละนัน้ ซึ่งตรงกับวันเพญ็ เดอื น 6 กอนพุทธศกั ราช 80 ป ครนั้ พระกมุ ารประสูตไิ ด 5 วนั กไ็ ดรบั การถวายพระนามวา \"สทิ ธัตถะ\" แปลวา \"สมปรารถนา\" เมอื่ ขาวการประสูตแิ พรไ ปถึงอสิตดาบส 4 ผูอาศัยอยูในอาศรมเชงิ เขาหิมาลยั และมี ความคนุ เคยกบั พระเจาสุทโธทนะ ดาบสจงึ เดินทางไปเขาเฝา และเม่ือเห็นพระราชกมุ ารก็ ทํานายไดทนั ทวี า นีค่ ือผจู ะตรสั รูเปน พระสมั มาสัมพุทธเจา จงึ กลา วพยากรณว า \"พระราชกมุ าร นจ้ี กั บรรลพุ ระสพั พญั ตุ ญาณ เหน็ แจง พระนพิ พานอนั บรสิ ทุ ธอ ยา งยงิ่ ทรงหวงั ประโยชนแ ก ชนเปน อนั มาก จะประกาศธรรมจกั รพรหมจรรยของพระกมุ ารนจ้ี กั แพรห ลาย\" แลวกราบลง แทบพระบาทของพระกุมาร พระเจา สุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตกุ ารณน นั้ ทรงรูสึกอศั จรรย และเปย มลนดวยปติ ถงึ กับทรุดพระองคล งอภวิ าทพระราชกุมารตามอยางดาบส 2. เปน วนั ที่พระพุทธเจา ตรสั รอู นตุ ตรสมั โพธญิ าณ หลงั จากออกผนวชได 6 ป จนเมอื่ พระชนมายุ 35 พรรษา เจา ชายสิทธตั ถะกท็ รงตรัสรู เปนพระพทุ ธเจา ณ ใตร ม ไมศรมี หาโพธ์ิ ฝงแมน ้ําเนรญั ชรา ตําบลอรุ ุเวลาเสนานคิ ม ในตอนเชา มืดของวนั พุธ ขน้ึ 15 คาํ่ เดือน 6 ปร ะกา กอ นพทุ ธศักราช 45 ป ปจ จบุ นั สถานทตี่ รสั รแู หงน้ี เรยี กวา พุทธคยา เปนตาํ บลหนึ่งของเมอื งคยา แหงรฐั พิหารของอนิ เดยี สงิ่ ทตี่ รสั รู คอื อรยิ สจั สี่ เปน ความจรงิ อนั ประเสรฐิ 4 ประการของพระพทุ ธเจา ซงึ่ พระพทุ ธเจา เสดจ็ ไปที่ตน มหาโพธ์ิ และทรงเจรญิ สมาธภิ าวนาจนจติ เปน สมาธไิ ดฌ านที่ 4 แลว บาํ เพญ็ ภาวนาตอ ไปจนไดฌ าน 3 คอื ยามตน : ทรงบรรลุ \"ปุพเพนวิ าสานตุ ญิ าณ \" คอื ทรงระลกึ ชาตใิ นอดตี ทง้ั ของตนเอง และผอู ่นื ได ยามสอง : ทรงบรรลุ \"จุตปู ปาตญาณ\" คือ การรูแ จง การเกิดและดับของสรรพสัตว ทัง้ หลาย ดว ยการมีตาทพิ ยสามารถเหน็ การจุติและอุบตั ขิ องวิญญาณทัง้ หลาย
ยามสาม หรอื ยามสดุ ทา ย : ทรงบรรลุ \"อาสวกั ขญาณ\" คอื รูวธิ กี ําจัดกิเลสดว ย อริยสัจ 4 (ทุกข สมุทยั นิโรธ มรรค) ไดต รสั รเู ปน พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ในคืนวนั เพญ็ เดือน 6 ซงึ่ ขณะนัน้ พระพทุ ธองคม ีพระชนมายุได 35 พรรษา 3. วนั ทพ่ี ระพทุ ธเจา เสดจ็ เขา สปู รนิ พิ พาน (ดบั สงั ขารไมก ลบั มาเกดิ สรา งชาติ สรา งภพอกี ตอ ไป) เมอื่ พระพทุ ธองคไดตรัสรูแ ละแสดงธรรมเปน เวลานานถงึ 45 ป จนมพี ระชนมายไุ ด 80 พรรษา ไดประทับจําพรรษา ณ เวฬุคาม ใกลเ มอื งเวสาลี แควนวัชชี ในระหวา งน้นั ทรงประชวร อยา งหนกั คร้ันเมื่อถึงวนั เพ็ญเดือน 6 พระพทุ ธองคกับพระภิกษุสงฆท ง้ั หลาย กไ็ ปรับภัตตาหาร บิณฑบาตทบี่ า นนายจุนทะ ตามคาํ กราบทลู นิมนต พระองคเ สวยสกุ รมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทํา ถวายกเ็ กิดอาพาธลง แตท รงอดกลนั้ มุงเสด็จไปยังเมอื งกสุ ินารา ประทบั ณ ปาสาละ เพื่อเสด็จดับ ขันธุป รินิพพาน เม่ือถงึ ยามสดุ ทายของคนื นัน้ พระพุทธองคกท็ รงประทานปจฉมิ โอวาทวา \"ดกู อ นภกิ ษุ ทงั้ หลายอนั วา สงั ขารทง้ั หลายยอ มมคี วามเสอื่ มสลายไปเปน ธรรมดา ทา นทงั้ หลายจงยงั กจิ ทง้ั ปวง อนั เปน ประโยชนข องตนและประโยชนข องผอู นื่ ให บรบิ รู ณดว ยความไมป ระมาทเถดิ \" หลังจาก น้นั กเ็ สดจ็ เขา ดบั ขันธปุ รินิพพาน ในราตรเี พ็ญเดือน 6 นัน้ ประวตั ิความเปน มาของวนั วสิ าขบูชาในประเทศไทย ปรากฎหลกั ฐานวา วันวิสาขบชู า เร่มิ ตนครง้ั แรกในประเทศไทยต้ังแตสมัยกรงุ สุโขทัย เปน ราชธานี สนั นิษฐานวาไดร ับแบบแผนมาจากลังกา น่ันคือ เมื่อประมาณ พ.ศ.420 พระเจา ภาตกิ รุ าช กษัตริยแหง กรุงลงั กา ไดประกอบพิธวี ิสาขบชู าข้ึน เพ่ือถวายเปน พุทธบชู า จากนั้น กษัตริยลังกา พระองคอน่ื ๆ ก็ปฏบิ ัตปิ ระเพณีวิสาขบชู าน้ีสืบทอดตอ กนั มา สว นการเผยแผเ ขา มาในประเทศไทยนนั้ นาจะเปนเพราะประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัย มีความสมั พันธด านพระพทุ ธศาสนากับประเทศลงั กาอยา งใกลชิด เห็นไดจ ากมีพระสงฆจาก ลงั กาหลายรปู เดนิ ทางเขา มาเผยแพรพระพทุ ธศาสนา และนําการประกอบพิธวี สิ าขบชู าเขา มา ปฏบิ ตั ใิ นประเทศไทยดว ย
สําหรบั การปฏบิ ัตพิ ธิ ีวิสาขบชู าในสมยั สุโขทยั นนั้ ไดม กี ารบนั ทกึ ไวในหนังสือนางนพ มาศ สรุปไดวา เม่อื ถงึ วันวสิ าขบูชา พระเจา แผน ดนิ ขาราชบรพิ าร ทัง้ ฝา ยหนา และฝา ยใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทยั จะชวยกนั ประดบั ตกแตง พระนคร ดวยดอกไม พรอมกบั จุด ประทีปโคมไฟใหดสู วา งไสวไปทว่ั พระนคร เปน เวลา 3 วัน 3 คืน เพอ่ื เปนการบชู าพระรตั นตรัย ขณะที่พระมหากษัตรยิ และบรมวงศานุวงศ กท็ รงศีล และทรงบาํ เพญ็ พระราชกศุ ลตางๆ ครัน้ ตก เวลาเย็นกเ็ สด็จพระราชดําเนนิ พรอ มดว ยพระบรมวงศานวุ งศ และนางสนองพระโอษฐตลอดจน ขา ราชการทั้งฝายหนา และฝา ยในไปยงั พระอารามหลวง เพอ่ื ทรงเวยี นเทยี นรอบพระประธาน สวนชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟง ธรรม ถวายสลากภัต สงั ฆทาน อาหารบิณฑบาตแดพระภกิ ษุ สามเณร บริจาคทานแกค นยากจน ทาํ บญุ ไถช วี ติ สตั ว ฯลฯ หลังจากสมยั สโุ ขทัย ประเทศไทยไดร ับอทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณม ากขึ้น ทําใหในชว ง สมัยกรุงศรอี ยธุ ยา ธนบุรี และรตั นโกสนิ ทรตอนตน ไมป รากฎหลกั ฐานวามีการประกอบพิธีวิ สาขบูชา จนกระทง่ั มาถงึ รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหลา นภาลยั รัชกาลที่ 2 แหง กรุง รตั นโกสินทร (พ.ศ.2360) ทรงมพี ระราชดาํ รทิ ี่จะใหฟน ฟพู ิธวี ิสาขบูชาขน้ึ มาใหม โดยสมเดจ็ พระสังฆราช (ม)ี สํานกั วดั ราชบรู ณะ ถวายพระพรใหทรงทําขึ้น เปนครัง้ แรก ในวนั ขน้ึ 14 คา่ํ 15 คา่ํ และวันแรม 1 คาํ่ เดอื น 6 พ.ศ.2360 และใหจดั ทําตามแบบอยางประเพณีเดิมทุก ประการ เพื่อใหป ระชาชนไดทาํ บญุ ทาํ กุศล โดยทว่ั หนากนั การรอื้ ฟน พิธีวสิ าขบูชาข้ึนมาใน ครานี้ จึงถือเปน แบบอยางถอื ปฏิบัตใิ นการประกอบพธิ วี สิ าขบูชาตอเนอ่ื งมาจวบจนกระท่ัง ปจจุบัน วนั วสิ าขบูชาเปน วนั สาํ คญั สากลของสหประชาชาติ วนั วสิ าขบูชาถือเปนวนั สําคญั ที่สุดทางพระพุทธศาสนา เนือ่ งจากลว นมเี หตุการณท่ี เกย่ี วขอ งกับการถอื กําเนดิ ของพระพุทธศาสนา คือ เปน วันท่ีพระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพทุ ธ เจาประสูติ ตรสั รู และปรินิพพาน ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงใหค วามสําคัญกบั วนั วิสาขบชู า น้ี และในวนั ที่ 13 ธนั วาคม พ.ศ.2542 องคการสหประชาชาตไิ ดย อมรบั ญตั ตทิ ปี่ ระชมุ กาํ หนดใหว นั วสิ าขบชู าเปน วนั สาํ คัญของโลก โดยเรยี กวา Vesak Day ตามคาํ เรยี กของชาว ศรลี งั กา ผูทีย่ ื่นเร่อื งใหสหประชาชาติพจิ ารณา และไดกาํ หนดวันวสิ าขบูชานี้ถอื เปนวันหยดุ วนั หนึ่งของสหประชาชาตอิ ีกดวย ทงั้ นีก้ เ็ พื่อใหชาวพทุ ธท่ัวโลกไดมโี อกาสบําเพญ็ บุญเนอ่ื งในวนั ประสูติ ตรสั รู และปรนิ ิพพานของพระบรมศาสดา โดยการท่ีสหประชาชาตไิ ดกาํ หนดใหวนั วิ สาขบูชาเปนวนั สาํ คัญของโลกนนั้ ไดใ หเ หตผุ ลไววา องคส มเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจา ทรงเปน มหาบุรษุ ผูใหค วามเมตตาตอหมมู วลมนุษย เปดโอกาสใหท กุ ศาสนาสามารถเขามาศึกษาพุทธ ศาสนา เพอื่ พิสจู นหาขอ เท็จจริงไดโดยไมจ ําเปน ตองเปล่ียนมานบั ถือศาสนาพทุ ธ และทรงส่ัง สอนทกุ คนโดยใชปญญาธคิ ุณ โดยไมค ิดคาตอบแทน การประกอบพิธใี นวนั วสิ าขบชู า การประกอบพิธใี นวนั วสิ าขบูชา จะแบง ออกเปน 3 พธิ ี ไดแ ก 1. พิธีหลวง คอื พระราชพธิ สี าํ หรบั พระมหากษตั รยิ พระบรมวงศานุวงศ ประกอบใน วันวิสาขบูชา 2. พิธีราษฎร คอื พธิ ขี องประชาชนทว่ั ไป 3. พิธขี องพระสงฆ คือ พิธที ี่พระสงฆประกอบศาสนกิจ กจิ กรรมในวนั วสิ าขบชู า
กจิ กรรมทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ปฏบิ ตั ใิ นวนั วสิ าขบชู า ไดแ ก 1. ทาํ บุญใสบ าตร กรวดนา้ํ อุทศิ สวนกศุ ลใหญ าตทิ ี่ลวงลบั และเจากรรมนายเวร 2. จดั สํารับคาวหวานไปทาํ บุญถวายภตั ตาหารทวี่ ัด และปฏบิ ัตธิ รรม ฟงพระธรรม เทศนา 3. ปลอ ยนกปลอยปลา เพือ่ สรา งบญุ สรา งกุศล 4. รวมเวยี นเทยี นรอบอโุ บสถท่วี ดั ในตอนคาํ่ เพอื่ รําลึกถงึ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ 5. รวมกจิ กรรมเกี่ยวกับวนั สําคญั ทางพุทธศาสนา 6. จดั แสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรอื่ งราวความเปน มาเกี่ยวกับวนั วสิ าขบูชาตาม โรงเรียน หรอื สถานท่รี าชการตา งๆ เพือ่ ใหความรู และเปนการรว มราํ ลึกถงึ ความสาํ คญั ของวนั วิ สาขบชู า 7. ประดับธงชาติตามอาคารบานเรอื น วดั และสถานท่ีราชการ 8. บาํ เพญ็ สาธารณประโยชน หลักธรรมทส่ี าํ คญั ทค่ี วรนาํ มาปฏบิ ตั ิ ในวนั วสิ าขบูชา พทุ ธศาสนกิ ชนทงั้ หลายควรยดึ มนั่ ในหลกั ธรรม ซง่ึ หลกั ธรรมทค่ี วร นาํ มาปฏบิ ตั ใิ นวนั วสิ าขบูชา ไดแ ก 1. ความกตญั ู คือ การรคู ณุ คน เปน คุณธรรมที่คูก บั ความกตเวที ซ่งึ หมายถงึ การตอบแทนคณุ ท่มี ีผูทํา ไว ความกตญั แู ละความกตเวทีนี้ เปน เครอ่ื งหมายของคนดี ทาํ ใหครอบครวั และสังคมมี ความสุข ซง่ึ ความกตญั ูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นไดกับท้งั บิดามารดาและลกู ครอู าจารยก ับ ศษิ ย นายจา งกบั ลูกจา ง ฯลฯ ในพระพุทธศาสนา เปรยี บพระพทุ ธเจา เสมอื นกบั บุพการี ผูช้ใี หเ หน็ ทางหลดุ พนแหง ความทกุ ข ดงั น้นั พุทธศาสนิกชนจงึ ควรตอบแทนดวยความกตญั ูกตเวทดี วยการทํานุบํารงุ พระพทุ ธศาสนา และดาํ รงพระพุทธศาสนาใหอ ยูสืบไป 2. อรยิ สจั 4 คือ ความจริงอนั ประเสริฐ 4 ประการทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงตรสั รูใ นวันวสิ าขบูชา ไดแก ทุกข คอื ปญ หาของชีวติ สภาวะทท่ี นไดยาก ซงึ่ ทุกขขน้ั พื้นฐาน คอื การเกิด การแก และการตาย ลว นเปนสง่ิ ทม่ี นษุ ยทุกคนตองเผชิญ สวนทุกขจร คอื ทุกขท ่ีเกดิ ขน้ึ ในการดาํ เนิน ชวี ติ ประจาํ วนั เชน การพลัดพลาดจากสง่ิ ทเ่ี ปน ทีร่ ัก หรือ ความยากจน เปน ตน สมทุ ยั คอื ตนเหตขุ องปญ หา หรือสาเหตุของการเกดิ ทกุ ข และสาเหตุสวนใหญข อง ปญหาเกิดจาก \"ตัณหา\" อันไดแก ความอยากไดต า งๆ อยา งไมมที ่สี น้ิ สดุ นโิ รธ คอื ความดับทุกข เปนสภาพทคี่ วามทกุ ขหมดไป เพราะสามารถดับกเิ ลส ตณั หา อุปาทานออกไปได มรรค คอื หนทางทนี่ าํ ไปสูการดบั ทกุ ข เปน การปฎิบัติเพอ่ื แกปญ หา มี 8 ประการ
ไดแ ก ความเห็นชอบ ดํารชิ อบ วาจาชอบ กระทาํ ชอบ เลยี้ งชีพชอบ พยายามชอบ ระลกึ ชอบ ตงั้ จิตม่นั ชอบ 3. ความไมป ระมาท คือการมสี ติตลอดเวลา ไมวาจะทําอะไร พูดอะไร คิดอะไร ลว นตองใชส ติ เพราะสตคิ อื การระลึกได การระลกึ ไดอ ยเู สมอจะทําใหเ ราใชชีวิตอยา งไมป ระมาท ซง่ึ ความประมาทนนั้ จะทาํ ใหเ กิดปญหายุงยากตามมา ดังนน้ั ในวันนีพ้ ุทธศาสนกิ ชนจะพากนั นอมระลกึ ถึงพระพทุ ธเจา พระธรรม และพระสงฆ ดว ยความมีสติ วนั วสิ าขบชู า นบั วา เปน วนั ทม่ี ีความสาํ คัญสาํ หรบั พทุ ธศาสนกิ ชนทกุ คน เปน วนั ทม่ี กี าร ทาํ พธิ พี ทุ ธบชู า เพอื่ เปน การนอ มราํ ลกึ ถงึ พระวสิ ทุ ธคิ ุณ พระปญ ญาคณุ และพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ทม่ี ตี อ มวลมนษุ ยแ ละสรรพสตั ว อกี ทง้ั เพอ่ื เปน การราํ ลกึ ถงึ เหตกุ ารณ อนั นา อัศจรรยท ง้ั 3 ประการ ทมี่ าบงั เกดิ ในวนั เดยี วกนั และนาํ หลกั ธรรมคาํ สงั่ สอนของพระ พุทธองคม าเปน แนวทางในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นการดาํ รงชวี ติ คะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: