Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิวัฒนาการของ นาฏศิลป์เเละละคร

วิวัฒนาการของ นาฏศิลป์เเละละคร

Published by seajitchaval, 2023-01-19 18:33:02

Description: วิวัฒนาการของ
นาฏศิลป์เเละละคร

Search

Read the Text Version

วิวัฒนาการของ นาฏศิลป์เเละละคร วิวัฒนาการละครไทย วิวัฒนาการละครตะวันตก การวิจารณ์ และประเมินการแสดง Created by M.4/2

วิวัฒนาการของละครไทย ประวัติการละครไทย ละคร หมายถึง การแสดงประเภทหนึ่งซึ่งแสดงเรื่องราวความเป็ นไป ของชีวิต ตามวรรณกรรมหรือบทละคร ในที่นี้หมายถึงละครรำ มุ่งเน้น อิริยาบทการเคลื่ อนไหวในขณะการรำ แบ่งตามยุคสมัยต่างๆ ดังนี้ สมัยน่ านเจ้า สมัยสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยน่านเจ้า ในอดีตไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรน่านเจ้า และพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกันคือ นิยายเรื่อง \"มโนราห์\" ซึ่งสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกของไทย และยังมีการแสดงระบำต่างๆ อีก เช่น ระบำหมวก และระบำนกยูง เป็นต้น

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยสุโขทัย ในสมัยสุโขทัยมีการกล่าวละครฟ้ อนรำโดยพบหลักฐานจาก ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กล่าวถึงเทศกาล ทอดกฐินไว้เป็ นคำกว้างๆ และในสมัยนี้มีการคบหากับชาติที่นิยม อารยะธรรมอินเดียเช่น พม่า มอญ ขอม และละว้า จึงได้รับศิลป วัฒนธรรมจากชนชาติดังกล่าวเข้ามา ผสมผสานกับศิลปะวัฒนธรรม ดั้งเดิมของไทย และทำให้ศิลปะการละเล่นพื้นเมืองของไทย คือ รำ และระบำได้มีวิวัฒนาการขึ้น มีการกำหนดแบบแผนแห่งศิลปะการ แสดงทั้งสามชนิดไว้เป็ นที่แน่นอน และบัญญัติคำเรียกการแสดงดัง กล่าวข้างต้นว่า “โขน ละคร ฟ้ อนรำ” การแสดงที่เป็ นที่นิยมคือ มโนราห์ และการละเล่นพื้นบ้าน

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงศรีอยุธยา ต้นกำเนิดละครรำในสมัยนี้มาจาก การเล่นโนราและละครชาตรีที่ นิยมกันในภาคใต้ของประเทศไทย แต่เดิมมีครูละครชื่อ ขุนศรัทธา เป็ น ครูละครในสมัยกรุงศรีอยุธยา ลงไปตั้งคณะละครที่นครศรีธรรมราช เป็ นผู้ให้กำเนิดละครชาตรีที่ปั กษ์ใต้ และเป็ นต้นกำเนิดละครรำในสมัย กรุงศรีอยุธยา ส่วนระบำหรือฟ้ อนนั้น เป็ นศิลปะโดยอุปนิสัยของคนไทย สืบมา แต่เดิมละครรำของไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น มี ๓ ประเภท คือละครชาตรี ละครนอก และละครใน ละครชาตรีนั้นเป็ นของเดิม ละครนอกเกิดขึ้นโดยแก้ไขจากละครชาตรีโดยให้ผู้ชายเป็ นผู้ดำเนิน แต่ ละครในคือ ละครผู้หญิงที่ให้ผู้หญิงแสดงเท่านั้น เมื่อครั้งสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑ ยังไม่มีปรากฏมาว่ามีในหนังสือปุณโณวาทคำฉันท์ ซึ่งแต่งในสมัย พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๐๑ เพราะฉะนั้นละครในน่าจะ เกิดในสมัยสมเด็จพระเพทราชา พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงศรีอยุธยา บทละครที่ใช้แสดงกันในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีอยู่ ๒๒ เรื่อง ดังนี้ ๑) การะเกด ๑๒) ไชยเชษฐ์ ๒) คาวี ๑๓) มณีพิชัย ๓) ไชยทัต ๑๔) โม่งป่ า ๔) อิเหนา/ดาหลัง ๑๕) สังข์ทอง ๕) พิกุลทอง ๑๖) ศิลป์ สุริยวงศ์ ๖) ไกรทอง ๑๗) สังข์ศิลป์ ชัย ๗) มโนราห์ ๑๘) อุณรุท ๘) โคบุตร ๑๙) สุวรรณศิลป์ ๙) พิมพ์สวรรค์ ๒๐) รามเกียรติ์ (บทพากย์) ๑๐) โสวัต ๒๑) สุวรรณหงส์ ๑๑) พิณสุริยวงศ์ ๒๒) รถเสน

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงเสาะแสวงหาศิลปิ นที่กระจัดกระจายกันไป ในตอนเสียกรุงเก่า (กรุงศรีอยุธยา) แก่พม่า ให้เข้ามาในราชธานี จากศึกใน ครั้งนั้นทำให้บทละครและตัวละครของไทยมีการสูญหายไปมาก พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงสนพระทัยในนาฏศิลป์ และวรรณกรรม โดยทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง ๕ ตอน คือ -ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานรินทร์  -ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ -ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรด(เผารูปเทวดา) -ตอนพระลักษณ์ ถูกหอกกบิลพัท -ตอนปล่อยม้าอุปการ

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒) สมัยนี้ได้มีการฟื้ นฟูและรวบรวมตำราฟ้ อนรำไว้เป็ นหลักฐาน ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การละครไทย พระองค์ท่านทรงพระ ปรีชาสามารถในทางศิลปะและวรรณคดีอย่างยิ่งเห็นได้จากการที่ทรง สร้างวรรณคดีที่สำคัญหลายเรื่อง เช่น ทรงโปรดให้ราชการที่เป็ นกวี ช่วยกันแต่ง อิเหนา อุณรุท รามเกียรติ์ และดาหลัง ไว้เป็ นต้นฉบับ ได้ ทรงมีการจัดให้ศึกษาเรื่องโขน และทรงพระราชนิพนธ์เพลงยาวนิราศ เรื่อง นิราศท่าดินแดงขึ้น เป็ นต้น

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ.๒๓๕๒-๒๓๖๗) เป็ นยุคที่วรรณคดีรุ่งเรืองอย่างขีดสุด มีนักปราชญ์ราชกวีมากมาย และมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงสนพระทัยในการละครอย่างแท้จริง โดยพระองค์ ทรงพระปรีชาในด้านการประพันธ์บทกลอน โคลง นิราศและบทละครต่างๆ พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง อิเหนา ใหม่ทั้งเรื่องและได้รับการ ยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็ นยอดของบทละครรำ และได้แปลงเรื่องบาง เรื่องเพื่อให้เหมาะสมกับการแสดงละคร ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ ยูเนสโกได้ถวายพระเกียรติคุณแด่พระองค์ให้ในฐานะบุคคลสำคัญ ที่มีผลงาน ดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม ระดับโลก

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๓๖๗-๒๓๙๔) ทรงโปรดให้เลิกการแสดงละครของหลวง ส่งผลให้เกิดคณะละครของเจ้านาย และขุนนางขึ้นแพร่หลายและที่หัดละครในไม่ได้รับพระบรมราชานุญาติ มี คณะละครที่เกิดขึ้น เช่น ๑. ละครของพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เดิมคือ โขนหลวงในรัชกาลที่ ๒ มีนาย เกษ พระราม ข้าหลวงเดิมเป็ นผู้ฝึ กหัด ๒. ละครกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ (ต้นสุกล พนมวัน)เป็ นละครที่มีกระบวน ท่ารำดีกว่าคณะอื่ นๆ ๓. ละครกรมหลวงรักษ์รณเรศ (ต้นสกุล พึ่งบุญ) ๔. ละครกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ (ต้นสกุล กุญชร) ๕. ละครกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ (ต้นสกุล ทินกร) ๖. ละครเจ้าพระยาบดินท์เดชา (ต้นสกุล สิงหเสนี) ๗. ละครเจ้าจอมมารดาอัมพา ๘. ละครเจ้ากรับ แสดงละครนอก เป็ นตัวแทนรักษาแบบแผน

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆเกี่ยวกับนาฏศิลป์ และการละครไทย หลายประการ ดังนี้ ๑. โปรดให้มีละครหลวงขึ้นอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๗ ๒. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประกาศพระราชทานพระบรมราชา นุญาติ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้น้อยและเอกชน ฝึ กหัด ละครในได้ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ ๓. โปรดให้ตั้งภาษีมหรสพขึ้นเป็ นครั้งแรก เรียกกันในสมัยนั้นว่า ภาษีโขน ละคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครขึ้นหลายเรื่อง เช่น เรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระรามเดินดง บทเบิกโรงเรื่อง นารายณ์ปราบ นนทก เรื่อง พระรามเข้าสวนพระพิราพ บทระบำและบทเบิกโรงรำ ต้นไม้เงินทอง เป็ นต้น

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยนี้สภาพบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้ าและขยายตัวอย่าง รวดเร็วด้วยอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตก ทำให้ศิลปะการแสดงมี วิวัฒนาการมากขึ้น และทำให้เกิดละครดึกดำบรรพ์และละครพันทาง ๑. คณะละครของพระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงฤทธิ์ แสสดงละครนอก ในสมัยต่อมา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงร่วมกับเจ้าพระยา เทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ ทรงคิดและปรับปรุงขึ้นเป็ นละครรูปแบบใหม่เรียกว่า “ละคร ดึกดำบรรพ์” ๒. ละครของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ญ เพ็ญสกุล) เกิดตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ ๔ แสดงเรื่อง ดาหลัง ต่อมาแสดงทั้งละครใน และละครนอกมีผู้นิยมเป็ นอย่างมาก จาก สาเหตุนี้ทำให้มีการแต่งบทละครใหม่ขึ้นเป็ นจำนวนมากและมีการเก็บเงินเข้าชมเป็ นครั้ง แรกในโรงละคร \"ปริ้นซ์เธียเตอร์\" ๓. ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ แสดงทั้งละครนอกและ ละครในแต่เดิมชื่อว่า “ละครหลวงนฤมิตร” ต่อมาเปลี่ยนเป็ นแสดงละครร้อง ตั้งโรงละคร ขึ้นในพระบรมมหาราชวังที่แพร่งนรา เรียกว่า “ละครปรีดาลัย\"

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ตั้งกรมมหรสพขึ้น พระองค์ทรงปรับปรุงและทำนุบำรุง ศิลปะทางโขน ละคร และดนตรีปี่ พาทย์ให้เจริญรุ่งเรืองทั้งทางมาตรฐานการแสดง และฐานะของศิลปิ น ทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกหลายเรื่อง เช่น เรื่อง พระร่วงหรือขอมดำดิน เรื่องท้าวแสนปม ,เรื่องศกุนตลา ทรงพระราชนิพนธ์บท พากย์โขน ปรับปรุงวิธีการแสดงโขนให้แสดงบนเวที การแสดงโขนของพระองค์ เรียกว่า “ละครดึกดำบรรพ์เรื่องรามเกียรติ์” นอกจากนั้นยังทรงพระราชนิพนธ์บท เบิกโรงเรื่องดึกดำบรรพ์ ๔ เรื่อง ได้แก่ มหาพลี ฤๅษีเสี่ยงลูก นรสิงหวตาร และ พระคเณศวรเสียงา โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ตำราฟ้ อนรำ มีภาพถ่ายตัวละครแทรก เป็ นภาพประกอบ ซึ่งใช้เป็ นหลักในการศึกษาท่ารำในสมัยต่อๆมา นอกจากนี้ยัง ทรงเป็ นผู้ให้กำเนิดละครพูดที่ได้รับอิทธิพลมาจากละครตะวันตกอีกด้วย

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในยุคนี้ประสบกับภาวะเศรษฐกิจทรุดโทรม เสนาบดีสภา ได้ตกลงกันให้ยุบกรมมหรสพได้โปรดให้รวมกรมมหรสพและกรม มหาดเล็กเข้าอยู่ในกระทรวงวัง เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ได้มีการแต่งตั้งให้พระยานัฏกานุรักษ์เป็ นผู้กำกับกรมปี่ พาทย์และโขน หลวง ได้รวบรวมกุลบุตร กุลธิดาเข้าฝึ กหัดศิลปะทางโขน ละคร ครั้น ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้มีการปรับปรุงกระทรวงวังกันอีกครั้งหนึ่ง และโอนงานกองช่างวังนอกและกองมหรสพไปอยู่สังกัดกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ ข้าราชการศิลปิ นจึงย้ายสังกัดมาอยู่ในกรมศิลปากร

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในสมัยนี้อยู่ในการดูแลของกรมศิลปากร หลวงวิจิตรวาทการเป็ น ผู้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันการสอนศิลปะการแสดงโขน ละคร ดนตรี ปี่ พาทย์ ควบคู่ไปกับการสอนวิชาสามัญ คือ “วิทยาลัยนาฏศิลป” เปิ ดสอนในสาขา วิชาต่างเช่น นาฏศิลป์ ไทย นาฏศิลป์ สากล นาฏศิลป์ โขน ดุริยางค์ไทย ดุริยางค์สากล เครื่องสายไทย และคีตศิลป์ ไทย เป็ นต้น มีการแสดงละคร ปลุกใจ ให้รักชาติ มีลักษณะที่แตกต่างจากละครที่มีอยู่เดิม และในระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ ๒ ประชาชนนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งต่อ มากรมศิลปากรได้นำมาปรับปรุงเป็ น “รำวงมาตรฐาน”

วิวัฒนาการของละครไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ โปรดเกล้าฯ ให้บันทึกภาพยนตร์สี ส่วนพระองค์บันทึกท่ารำ หน้าพาทย์องค์พระพิราพ ท่ารำเพลงหน้าพาทย์ของพระ นาง ยักษ์ ลิง และ โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีไหว้ครูมอบท่ารำองค์พระพิราพให้แก่ศิลปิ นกรม ศิลปากร ในสมัยนี้การแสดงละครเฟื่ องฟูมาก มีการจัดการแสดงละครกัน อย่างแพร่หลาย ทั้งละครเวที ละครที่แพร่ภาพผ่านทางสื่อต่างๆ มีผู้ยึด อาชีพการแสดงละครเป็ นจำนวนมาก นอกจากละครไทยแล้วยังมีการแสดง ละครตามแนวละครของชนชาติอื่นๆ อีกทั้งทางรัฐบาลยังให้การสนับสนุน ส่งเสริมและเชิดชูเกียรติบุคคลที่อยู่ในแวดวงศิลปะการแสดงโดยกำหนด ให้ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็ นวันศิลปิ นแห่งชาติ

วิวัฒนาการละครตะวันตก วิวัฒนาการละครตะวันตก แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. ละครยุคแรก 2. ละครยุคกลาง 3. ละครฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ 4. ละครสมัยใหม่ ละครยุคแรก 1.ละครยุคกรีก (250 ปีก่อน พ.ศ. - พ.ศ. 250) ละครกรีกคาดว่าถือกำเนิดขึ้นประมาณ 800 – 700ปีก่อนคริสตกาล โดยเริ่มจากการประกวดการร้องรำทำเพลงเป็นหมู่ เรียกว่าดิธีแรมบ์ กลุ่ม คนที่แสดงดิธีแรมบ์ เรียกว่าคอรัส จากนั้นดิธีแรมบ์ก็เปลี่ยนแปลงไปในรูป แบบการแสดงละคร ทำการสนทนาตอบโต้กันระหว่างตัวละครและกลุ่ม คอรัส

วิวัฒนาการละครตะวันตก ในปี 534 ก่อนคริสตกาล เริ่มมีการประกวดการแต่งบทและการจัดแสดงละครแทร เจดี นักการละครชื่อ เธสพิส เป็นผู้ชนะการประกวดครั้งแรกนี้ ละครของเธสพิสใช้นัก แสดงเพียงคนเดียว เล่นทุกบทที่มีอยู่ในละครเรื่องนั้น โดยใช้การเปลี่ยนหน้ากาก เป็นการเปลี่ยนบทที่แสดง และมีคอรัสเป็นตัวเชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกัน 500 ปีก่อน คริสตกาล ถือว่าเป็นยุคทองของการละครกรีก มีการประกวดเขียนบทละครและจัดการ แสดงละครในด้านต่างๆ ทำให้การละครรุ่งเรืองมาก บทละครส่วนใหญ่ของกรีกที่เหลือมา ถึงปัจจุบัน ก็เป็นบทละครที่เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลนี่เอง ละครยุคกรีกที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันมี 2 ประเภท 1. ละครโศกนาฏกรรม แสดงให้เห็นชีวิตตัวละครตัวเอก ที่มีความน่ายกย่องสรรเสริญ แต่ ต้องดิ้นรนต่อสู้กับอำนาจของชะตากรรมซึ่งเทพเจ้าเป็นผู้ลิขิต โดยจะต่อสู้ อย่างถึงที่สุด มักนำโครงเรื่องมาจากมหากาพย์อีเลียด และ โอดิสซี 2.ละครสุขนาฏกรรม เป็นละครที่ให้ความรู้สึกตลกขบขัน เพราะความบกพร่องของ มนุษย์ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ซึ่งเกี่ยวกับการเมือง สงครามและ สันติภาพ ทัศนะเกี่ยวกับศิลปะในแง่ต่างๆ การแสดงจะใช้ลีลาเกินจริง เนื้อเรื่อง จะชนะอุปสรรคทุกสิ่ง จบแบบมีความสุข

วิวัฒนาการละครตะวันตก ละครยุคแรก 2.ละครยุคโรมัน (พ.ศ.250 - พ.ศ. 1000) รับอิทธิพลจากละครของกรีกอย่างมาก และได้มีละครชนิดใหม่เกิดขึ้น นำละครสมัยกรีกมาปรับปรุงเพื่อแสดงในงานบวงสรวงเทพจูปิเตอร์และ เทพเจ้าชาวโรมันอีกนับหลายองค์ ละครสมัยโรมันมักใช้ฉลองความมั่นคง และอำนาจของมนุษย์ นักเขียนที่มีชื่อเสียงในยุคโรมันคือเซเนกา ผู้เป็นต้นแบบละคร โศกนาฏกรรม รูปแบบละครมักมีเรื่องราวเหตุการณ์เป็นปม คลายปมและ บทสรุป เกี่ยวกับเหตุการณ์ความเครียดแค้นและสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น แม่มด ประเภทละครยุคโรมันมี 4 ประเภท 1.ละครโศกนาฏกรรม ได้รับอิทธิพลจากตำนานกรีก ได้มีนักเขียนบทละครชาวโรมัน ชื่อ เซเนกา ได้เขียนบทละคร เรื่องราวเกี่ยวพันกับเหตุการณ์รุนแรง เช่น การฆ่าตัวตาย การฆ่าคนอย่างทรมาน เป็นต้น ความพยาบาทอาฆาตแค้น มักปรากฏเป็นเหตุจูงใจที่สำคัญของตัวละคร มีเรื่องราวของภูตผีปีศาจ สิ่ง เหนือธรรมชาติ

วิวัฒนาการละครตะวันตก ละครยุคแรก 2.ละครยุคโรมัน (พ.ศ.250 - พ.ศ. 1000) ประเภทละครยุคโรมันมี 4 ประเภท 2.ละครสุขนาฏกรรม นำแบบอย่างมาจากละครสุขนาฏกรรมของกรีก เนื้อเรื่องเน้นความ สนุกสนานตลกขบขัน มีการแสดงที่เกินจริง ใช้ท่าทางตัวละครแทนคำพูด 3.ละครแพบูลาอาเทลลานา เป็นละครตลกสั้นๆ ใช้ตัวละครที่ไม่ลึกซึ้งและมีลักษณะซ้ำกัน ทุกเรื่อง ใช้เรื่องราวชีวิตในชนบทของชาวบ้านสามัญ มายม์ (Mime) เป็น ละครสั้นๆ ตลกโปกฮา ไม่มีการสวมหน้ากาก แสดงเรื่องราวที่ผิดทำนอง คลองธรรม เช่น การคบชู้ 4.ละครแพนโทมายม์ เป็นการร่ายรำที่มีความหมายโดยใช้นักแสดงคนเดียว ซึ่ง เปลี่ยนบทบาทโดยการเปลี่ยนหน้ากาก มีพวกคอรัสเป็นผู้บรรยาย เรื่องราว มักเป็นเรื่องราวที่เคร่งเครียดและได้จากตำนานปรัมปรา

วิวัฒนาการละครตะวันตก ละครยุคกลาง (พ.ศ. 1400 – พ.ศ. 1900) การละครในโรมันถึงยุคเสื่อม เป็นเวลา กว่า 300 ปี จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.1400 คริสตจักรทำให้ละครกลับมา ฟื้นตัวด้วยการเริ่มจัดการแสดงเป็นฉากสั้นๆ ประกอบเรื่องราวจากพระ คัมภีร์ไบเบิล การแสดงจัดขึ้นในโบสถ์ เรื่องราวที่แสดงเกี่ยวกับพระเยซู และเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล เช่น วันคริสต์มา พ.ศ.1700 เริ่มมีการแสดงนอกโบสถ์ แสดงโดยภาษาท้องถิ่น มีฆราวาสและสมาคมอาชีพต่างๆ เป็นผู้จัดการแสดง โดยได้รับการสนับ สนุนจากคริสตจักร การแสดงจะแสดงทั้งบนเวทีที่อยู่กับที่และเวทีที่ เคลื่อนที่ได้ เวทีที่อยู่กับที่ มีหลายลักษณะ ละครยุคกลางมี 2 ประเภท 1.ละครศาสนา เป็นละครที่แสดงในวัด เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา เมื่อ ละครมาแสดงนอกวัด ก็ยังคงใช้เรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล เรียกว่ามิส ตรีเพลย์ ละครมิระเคิลเพลย์ แสดงเรื่องราวชีวิตของนักบุญและผู้พลีชีพ เพื่อศาสนา และละครมอแรลลิตีเพลย์ แสดงเรื่องราวของคนธรรมดา สามัญที่ต้องต่อสู้กับทางเลือกระหว่างความดีและความชั่ว

วิวัฒนาการละครตะวันตก ละครยุคกลาง 2.ละครฆราวาส 1)ละครพื้นเมือง แสดงเรื่องราวการผจญภัยของวีรบุรุษที่มีชื่อ เสียง เน้นความสนุกสนานและการต่อสู้เช่นโรบินฮูด เป็นต้น ใช้นัก แสดงสมัครเล่น แสดงในเทศกาลใหญ่ๆ 2)ละครฟาร์ส (Farce) เป็นละครตลกที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา และไม่ได้มุ่งผลทางการสั่งสอนศีลธรรม แสดงให้เห็นสันดานดิบของ มนุษย์ 3)ละครอินเทอร์ลูด ละครที่แสดงคั่นระหว่างงานเลี้ยงฉลอง มี ทั้งเรื่องน่าเศร้า และเรื่องตลก แต่ไม่เกี่ยวกับศาสนาและการสอนศีลธรรม ละครยุคฟื้นฟู ศิลปวิทยาการ (พ.ศ. 1900 - 2100)ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลีหรือยุค เรอเนซองส์ เป็นยุคที่มีผลต่อการสร้างโรงละคร การวางรูปเวที การจัดวางฉาก การประพันธ์บท และการจัดการแสดงละคร รูปแบบละครในยุคเรอเนเซองส์นี้ ส่วนใหญ่จัดการแสดงเพียง ฉากเดียว แต่เป็นฉากที่ใหญ่โตมโหฬาร วิจิตรพิสดาร การแต่งกาย หรูหรา มีขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่

วิวัฒนาการละครตะวันตก ละครยุคฟื้นฟู ศิลปวิทยาการ ประเภทละครยุคฟื้นฟ ูศิลปวิทยาการมี 2 ประเภท 1.อินเตอร์เมทซี เป็นการแสดงสลับฉาก มักเป็นเรื่องราวจากตำนานกรีกและ โรมัน มีการใช้ดนตรีและระบำเป็นส่วนประกอบสำคัญ การแสดงสลับ ฉากนี้อาจอยู่เป็นเอกเทศ ไม่เกี่ยวกับละครที่แสดงอยู่ก็ได้ 2.โอเปร่า การรวมเอาดนตรี การขับร้อง และระบำ เข้ามาไว้ในเรื่องราวที่ผูกขึ้น เป็นละคร โอเปรานั้นนิยมใช้การจัดฉากหรูหรา

วิวัฒนาการละครตะวันตก ละครสมัยใหม่ (พ.ศ. 2418 - 2490)ในภาวการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่ง กำลังอยู่ในภาวะยุ่งเหยิงจากการปฏิวัติมีผลต่อเนื่องมาถึงผู้คนในเมือง กรรมกรในชนบทอพยพเข้ามาเมืองใหญ่ ความอดอยากและอัตราของ อาชญากรรมพุ่งสูงขึ้น แนวความคิดเพ้อฝันแบบละครไม่สมจริงไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ ที่เป็นอยู่ ศิลปะการละครเริ่มเปลี่ยนแปลงมาสู่การแสวงหาความเป็นจริง มากขึ้น จึงเกิดละครในรูปแบบใหม่ ที่ละทิ้งธรรมเนียมเดิมขึ้น ละครสมัยใหม่มี 2 ประเภท 1. ละครแนวสัจจนิยมและแนวธรรมชาตินิยม รูปแบบบทละครสมจริงและธรรมชาติ ไม่บิดเบือน ตรงไปตรงมา อย่างเป็นกลาง และเที่ยงธรรมที่สุด สะท้อนความจริงของสังคมในยุคนั้น การดำเนินเรื่องจะพัฒนาไปอย่างสมเหตุสมผล คำพูด ฉาก และเครื่อง แต่งกาย พิถีพิถันเลือกมา เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของตัวละคร ตัว ละคนมีความเท่าเทียมกว่าแต่ก่อนที่ตัวเอกมักเป็นคนรวยสมบูรณ์พร้อม ถูกปรับเปลี่ยนเป็นตัวเอกอยู่ในสถานะใดก็ได้ เช่น ขอทาน คนใช้

วิวัฒนาการละครตะวันตก ละครสมัยใหม่ 2.ละครแนวต่อต้านสัจจนิยม 1.ละครสัญญลักษณนิยม เป็นละครที่ใช้วัตถุหรือการกระทำเพื่อ ให้เข้าใจสัจธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้ เช่น ความตาย 2.ละครเอ็กซ์เปรสชั่นนิสม์ มุ่งแสดงความรู้สึกมากกว่าแสดงให้ เหมือนจริง เป็นละครที่เสนอความเป็นจริงตามความคิดของตัวละคร 3.ละครเพื่อสังคมหรือละครเอพิค เป็นละครที่กระตุ้นความสำนึก ทางสังคม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขสังคมให้ดีขึ้น

การชม วิจารณ์ ประเมิน และหลัก ในการชมกาแสดง 1. ควรศึกษาเกี่ยวกับท่ารำ ซึ่งใช้สื่อความหมายให้ผู้ชมเข้าใจถึงกิริยา อาการ และความรู้สึก ตลอดจนอารมณ์ของผู้แสดง ผู้ชมที่ดีจะต้อง เรียนรู้ความหมายและลีลาท่ารำต่างๆ ของนาฏศิลป์ไทย ให้เช้าใจเป็น พื้นฐานก่อน 2. เข้าใจเกี่ยวกับภาษาหรือคำร้องของเพลงต่างๆ การแสดงนาฏศิลป์ จะต้องใช้ดนตรีและเพลงเข้าประกอบ ซึ่งอาจจะมีทั้งเพลงขับร้องและ เพลงบรรเลง ผู้ชมจะต้องฟังภาษาที่ใช้ร้อง ให้เข้าใจควบคู่กับการชม การแสดงด้วย จึงจะเข้าใจถึงเรื่องราวนาฏศิลป์ที่แสดงอยู่ 3. มีความเข้าใจเกี่ยวกับดนตรีและเพลงต่างๆ เพราะนาฏศิลป์ จำเป็นต้องมีดนตรีบรรเลงประกอบขณะแสดง ซึ่งอาจจะเป็นแบบพื้น เมืองหรือแบบสมัยนิยม ผู้ชมจึงควรมีความเข้าใจในด้านดนตรีอย่าง ถ่องแท้ จึงจะชมนาฏศิลป์ได้เข้าใจและได้รสของการแสดงอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ จะต้องรู้จักถึงชื่อของเครื่อง ดนตรีและวงดนตรีที่ใช้ประกอบ การแสดงทุกชนิดด้วย 4. เข้าใจเกี่ยวกับการแต่งกายและแต่งหน้าของผู้แสดง การแสดง นั้นแบ่งออกหลายแบบ หลายประเภท ผู้ชมควรดูให้เข้าใจว่าการแต่ง กายเหมาะสมกับบรรยากาศและประเภทของการแสดงหรือไม่ ตลอด ทั้งการแต่งหน้าด้วยว่าเหมาะสมกลมกลืนกันเพียงใด

การชม วิจารณ์ ประเมิน และหลัก ในการชมกาแสดง 5. เข้าใจถึงการออกแบบฉากและการใช้แสงและเสียง ผู้ชมที่ดีต้องมีความ รู้ ความเข้าใจเรื่องฉาก สถานที่ และสถานการณ์ต่างๆ ของการแสดง ต้องดู ให้เข้าใจว่าเหมาะสมกับการแสดงหรือไม่ 6. เข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและฐานะของตัวแสดง คือ การแสดงที่เป็นเรื่อง ราว มีตัวแสดงหลายบท ซึ่งจะต้องแบ่งออกตามฐานะในเรื่องนั้นๆ เช่น พระเอก นางเอก ตัวเอก ตัวนายโรง พระรอง นางรอง ตัวตลก ฯลฯ 7. เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของการแสดง ในกรณีที่เล่นเป็นเรื่องราว เช่น โขน ละคร ผู้ชมต้องติดตามการแสดงให้ต่อเนื่องกันถึงจะเข้าใจถึงเรื่องราว ต่างๆ ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร 8. ควรมีอารมณ์ร่วมกับการแสดง การแสดงนาฏศิลป์ได้บรรจุเอาลีลาท่าทาง หรืออารมณ์ต่างๆ ของผู้แสดงไว้มากมาย ผู้ชมที่ดีควรมีส่วนร่วมกับผู้แสดง ด้วย เช่น สนุกสนาน เฮฮาไปด้วย จะทำให้ได้รสของการแสดงอย่างเต็มที่ และผู้แสดงจะสนุกสนาน มีอารมณ์และกำลังใจในการแสดงด้วย 9. ควรมีมารยาทในการชมการแสดง คือ ปรบมือให้เกียรติก่อนแสดงและ หลังจาจบการแสดงแต่ละชุด ไม่ควรส่งเสียงโห่ร้องเป็นการล้อเลียน หรือ เยาะเย้ย ในขณะที่การแสดงนั้นไม่ถูกใจหรืออาจจะผิดพลาด ซึ่งจะทำให้ผู้ แสดงเสียกำลังใจ และถือว่าไม่มีมารยาทในการชมการแสดงอย่างมาก อีก ทั้งเป็นการรบกวนสมาธิและอารมณ์ของผู้ชมคนอื่น

การชม วิจารณ์ ประเมิน และหลัก ในการชมกาแสดง 10. ควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อย คือ ต้องให้เหมาะสมกับสถานที่ที่ใช้ แสดง เช่นโรงละครแห่งชาติ หอประชุมขนาดใหญ่ ควรแต่งกายสุภาพแบบ สากลนิยม แต่ในกรณีสถานที่สาธารณะหรืองานแบบสวนสนุก ก็อนุโลม แต่งกายตามสบายได้ 11. ควรศึกษาเกี่ยวกับสูจิบัตร ให้เข้าใจก่อนเริ่มชมการแสดง เพื่อจะได้ชม การแสดงได้เข้าใจตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ถ้าไม่มีสูจิบัตร ก็ควรจะตั้งใจฟัง พิธีการบรรยายถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับการแสดงให้เข้าใจด้วย 12. ควรไปถึงสถานที่แสดงก่อนเวลา เพื่อจะได้เตรียมตัวให้พร้อม และได้ ชมการแสดงตั้งแต่เริ่มต้น อีกทั้งจะได้ไม่เดินผ่านผู้อื่นซึ่งชมการแสดงอยู่ ก่อนแล้ว จะทำให้เกิดความวุ่นวายเป็นการทำลายสมาธิด้วย

การชม วิจารณ์ ประเมิน และหลัก ในการชมกาแสดง คุณสมบัติของผู้วิจารณ์ ผู้ที่จะเขียนบทวิจารณ์ควรมีคุณสมบัติดังนี้ 1. ต้องมีความรอบรู้ กล่าวคือ ต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่ จะวิจารณ์เป็นอย่างดี เช่น จะวิจารณ์ดนตรีก็ควรมีพื้นฐานความรู้ ดนตรี จะวิจารณ์ละครเวทีก็ต้องเข้าใจลักษณะของละครเวที ดัง นั้นผู้วิจารณ์ควรศึกษาเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เสียก่อนรวมทั้งศึกษาถึงหลักการวิจารณ์งานประเภทต่าง ๆ ด้วย จึงจะทำให้บทวิจารณ์น่าเชื่อถือ 2. ต้องติดตามความเคลื่อนไหวของวงการที่จะวิจารณ์ การอ่าน การฟัง การดู การชม อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เป็นผู้มีความรู้รอบ ทำให้มีมุมมองกว้างขวางขึ้น เกิดความเข้าใจ เห็นใจ หาเหตุผล มาแสดงทัศนะไม่ค่อนข้างต่างประเด็น 3. ต้องมีญาณทัศน์ คือ ความคิดเฉียบแหลม หยั่งรู้ถึงแก่นเรื่อง ไม่พิจารณาแต่เพียง ผิวเผิน และด่วนสรุปเอาง่าย ๆ การจะฝึกฝน ตนเองให้เป็นผู้มีญาณทัศน์ทำได้โดยการสังเกต การลองตั้ง คำถาม ตั้งสมมติฐาน และติดตามหาคำตอบด้วยความตั้งใจ 4. มีความเที่ยงธรรม การเป็นผู้วิจารณ์ที่ดีต้องตั้งตัวเป็นกลาง ไม่ชมเพราะเป็นเพื่อนหรือเพราะมีแนวคิดเหมือนกัน หรือเป็น พวกเดียวกัน ไม่ติเพราะไม่ชอบ ไม่ถูกรสนิยมผู้เขียน ต้องตัด อคติออกไปเอาเหตุผลและหลักการมาเป็นที่ตั้ง

การชม วิจารณ์ ประเมิน และหลัก ในการชมกาแสดง ความเป็นกลางและจริยธรรมของผู้วิจารณ์ เป็นหัวใจสำคัญของ งานวิจารณ์ ในปัจจุบัน วงการหนังสือ ดนตรี ละครหรือสื่อบันเทิงต่าง ๆ มีคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะและเพื่อการค้า บทวิจารณ์จึงเป็นช่องทางหนึ่งที่ จะช่วยชี้แนะให้ผู้อ่านเลือกสรรของดีมีคุณค่าประดับสติปัญญา หากผู้ วิจารณ์ขาดความรับผิดชอบขาดคุณธรรมข้อนี้ วงการวิเคราะห์คงไม่ได้รับ ความเชื่อถือ หลักการวิจารณ์การแสดงละครและนาฏศิลป์ 1.รูปแบบของการแสดง เป็นการวิเคราะห์รูปแบบการแสดงว่าเป็นแบบ มาตรฐานหรือแบบพื้นบ้าน ซึ่งการแสดงจะมีหลายรูปแบบ ได้แก่ ระบำ รำ ฟ้อน โขน และละคร 2.ความเป็นเอกภาพ การแสดงในชุดหนึ่งๆ ผู้แสดงจะต้องมีความเป็นอัน หนึ่ง-อันเดียวกัน เช่น -ระบำกวาง ผู้แสดงต้องเลียนแบบลีลาท่าทางของกวาง -ระบำม้า ผู้แสดงต้องเลียนแบบลีลาท่าทางของม้า -การแสดงละครรำ ผู้แสดงทุกคนต้องมีลีลาท่ารำเหมือนกันตามแบบจารีต ของละครแต่ละชนิด เช่น ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครดึกดำบรรพ์ เป็นต้น 3.การร่ายรำและองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ ความถูกต้องตามแบบแผนของท่า รำ แม่ท่า ลีลาท่าเชื่อม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์ท่ารำ ความ สามารถในการรำ ลักษณะพิเศษในท่วงท่าลีลา และเทคนิคเฉพาะตัวของผู้รำ

การชม วิจารณ์ ประเมิน และหลัก ในการชมกาแสดง หลักการวิจารณ์การแสดงละครและนาฏศิลป์ 4.โครงเรื่อง หมายถึง โครงสร้างของละครทั้งเรื่อง การวิจารณ์โครงเรื่อง มี ดังนี้ -เหตุการณ์ต่างๆ ในละครชัดเจนหรือไม่ -สิ่งใดที่ทำให้เรื่องมีความน่าสนใจมากที่สุด เช่น โครงเรื่อง ตัวละคร เป็นต้น -การจบเรื่องเหมาะสมหรือไม่ 5.แนวความคิดที่เป็นแก่นของเรื่อง มีข้อที่ควรพิจารณาเพื่อใช้ในการวิจารณ์ ดังนี้ -ดูแล้วได้ประสบการณ์ แนวคิด ปรัชญาใดบ้าง มีโอกาสเกิดขึ้นในชีวิต จริงได้หรือไม่ -บทเจรจาของตัวละคร มีคติ คำคมที่น่าจดจำบ้างหรือไม่ -เนื้อเรื่อง ฉาก ตัวละครมีความสอดคล้องเหมาะสมกันหรือไม่ 6.ตัวละคร วิเคราะห์ด้านบทบาทของตัวละครและการสร้างตัวละคร โดย การวิจารณ์ตัวละครมีข้อที่ควรพิจารณา ดังนี้ -การสร้างบุคลิกลักษณะของตัวละคร มีชีวิต จิตใจคล้ายมนุษย์จริงหรือ ไม่ -ตัวละครสามารถดึงดูดให้ผู้ชมมีอารมณ์คล้อยตามได้มากน้อยเพียงใด -ตัวละครแสดงได้สมบทบาทเพียงใด ตีบทแตกหรือไม่

การชม วิจารณ์ ประเมิน และหลัก ในการชมกาแสดง หลักการวิจารณ์การแสดงละครและนาฏศิลป์ 7.ทัศนองค์ประกอบต่างๆ จะต้องสอดคล้องกับตัวละคร ช่วยสร้าง บรรยากาศได้อย่างเหมาะสม สร้างอารมณ์ที่สอดคล้อง ข้อที่ควรนำมา พิจารณาเพื่อใช้ในการวิจารณ์ มีดังนี้ -ทัศศนองค์ประกอบต่างๆนั้น ล้วนสอดคล้องกับตัวละคร ดังนั้น จึงต้อง พิจารณาดูว่าทัศนองค์ประกอบต่างๆ ช่วยสร้างอารมณ์ และสร้าง บรรยากาศได้สมเหตุสมผลหรือไม่ -ฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก ช่วยสร้างบรรยากาศให้ละครดูสมจริงได้หรือ ไม่ -เครื่องแต่งกาย ฉาก และอุปกรณ์ประกอบฉาก ถูกต้องตาม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ยุคสมัยตามเนื้อเรื่องหรือไม่ หลักการประเมินคุณภาพการแสดงของ การแสดงละครและนาฏศิลป์ คุณภาพด้านองค์ประกอบการแสดง คุณภาพด้านองค์ประกอบของการแสดง ประเมิณจากสิ่งต่อไปนี้ 1. ดนตรี หมายถึง เครื่องดนตรีและทำนองเพลง ซึ่งทำนองเพลง นั้นจะมีอิทธิพลต่อการถ่ายทอดอารมณ์ต่าง ๆ ไปสู่ผู้ชมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในการแสดงละครประเภทต่าง ๆ

การชม วิจารณ์ ประเมิน และหลัก ในการชมกาแสดง หลักการประเมินคุณภาพการแสดงของ การแสดงละครและนาฏศิลป์ 2. บทเพลง หมายถึง คำประพันธ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการขับร้องประกอบ การแสดงในชุดต่าง ๆ ซึ่งการแสดงลีลาจะต้องสอดคล้องกับบทร้องและ อารมณ์ของเพลง และทำให้ผู้ชมเข้าใจความหมายได้ตรงกัน 3. การขับร้อง หมายถึง การขับร้องในบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้น โดย เฉพาะการขับร้องประกอบละคร ผู้ขับร้องจะต้องร้องให้สอดคล้องกับ อารมณ์ของบทเพลงซึ่งบรรจุลงในบทละควร 4. ลีลาท่าทาง หมายถึง การประดิษฐ์ท่าทางของการเยื้องกรายให้ สวยงามเกินธรรมชาติและถูกต้องตามแบบแผน ทั้งนี้ยังหมายความถึง ลีลาท่าทางที่แสดงให้สมบทบาทของตัวละครนั้น ๆ 5. เครื่องแต่งกาย หมายถึง เสื้อผ้า เครื่องประดับที่เหมาะสมกับชุด การแสดงหรือเหมาะสมกับบุคลิกของตัวละคร 6. อุปกรณ์การแสดง หมายถึง สิ่งที่นำมาเสริมแต่งเพื่อให้ชุดการ แสดงและตัวละครสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 7. ฉาก เป็นส่วนสำคัญของการแสดงนาฏศิลป์ โดยเฉพาะการแสดง ละครซึ่งจะทำให้การแสดงนั้นดูสมบูรณ์สมจริงยิ่งขึ้น

การชม วิจารณ์ ประเมิน และหลัก ในการชมกาแสดง หลักการประเมินคุณภาพการแสดงของ การแสดงละครและนาฏศิลป์ คุณภาพด้านการแสดง คุณภาพด้านการแสดง ประเมิณจากสิ่งต่อไปนี้ 1.การนำเสนอการแสดงต้องชัดเจนในเรื่องประเภท 2.ผู้แสดงมีเอกลักษณ์ในการเครื่องไหวร่างกาย 3.ลักษณะการแสดงมีความงาม ทั้งในระดับพื้นฐานและ มาตรฐาน 4.ผลงานควรมีประโยชน์ให้คุณค่าต่อสังคมทั้งในด้านสติ ปัญญา อารมณ์และจิตใจ หลักการประเมินการแสดงนาฏศิลป์ 1 ลีลาในการเคลื่อนไหวถูกต้องตามแบบแผน - นำหลักแห่งความสมดุลมาใช้ในงานนาฏศิลป์ โดยใช้ เวทีเป็นจุดศูนย์กลาง - มีการเคลื่อนไหว การแปรแถวมีความหลากหลายไม่ น่าเบื่อ 2 ดนตรี การขับร้อง ท่วงทำนอง จังหวะของเพลง เครื่องแต่งกาย และลีลาในการเคลื่อนไหว

เเหล่งอ้างอิงข้อมูล https://sites.google.com/site/sittipanareerat422 https://sites.google.com/site/lakhrtawantk/ https://fineart.msu.ac.th/e-documents/myfile/ https://www.kanlakornthai-bpi4465.com/ เเหล่งอ้างอิงรูปภาพ https://www.baamboozle.com/game/553011 https://sites.google.com/site/dramaticarttuppschool/lakhr-thiy https://www.saranukromthai.or.th/

20 January, 2023 Thank you ผู้จัดทำ 1. น.ส. ชญานิศ พิชัยรัตน์ เลขที่ 34 2. น.ส. ชนิกา ไหมนวล เลขที่ 35 3. น.ส. ณิชารีย์ จิตรชวาล เลขที่ 36 4.น.ส. วานิต้า สันอี เลขที่ 37 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/2 ปีการศึกษา 2565 เสนอ คุณครู สุธิษา ราชสงค์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook