โครงงานศรีรั กษ์ขา้ ว จัดทาํ โดย นางสาว ธนั ชชา อินทาํ เลขท่ี 3 นาย ธนพงศ์ สทิ ธิกาล เลขท่ี 14 นางสาว ชมพู่ ไชยศลิ ป์ เลขท่ี 26 นางสาว ฐิตาภรณ์ เนตรทพิ ย์ เลขท่ี 29 นางสาว ธั ญชนก อินทนนท์ เลขท่ี 32 นางสาว อัจฉริญญา บัวเส้ยี ว เลขท่ี 36 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปี ท่ี 5/1 เสนอ คุณครู ดาํ รง คันธะเรศย์ โรงเรียนปั ว สาํ นั กงานการศกึ ษามัธยมศกึ ษาน่าน เขต37
ช่ือโครงงาน ศรีรั กษ์ขา้ ว ผูจ้ ัดทาํ นางสาว ธนั ชชา อินทาํ นาย ธนพงศ์ สทิ ธิกาล นางสาว ชมพู่ ไชยศลิ ป์ นางสาว ฐิตาภรณ์ เนตรทพิ ย์ นางสาว ธั ญชนก อินทนนท์ นางสาว อัจฉริญญา บัว เส้ยี ว ปี การศกึ ษา 2562 บทคั ดยอ่ เน่ืองจาก ขา้ วเป็นสงิ่ ท่ีมีอิทธิพลตอ่ ชีวติ ของคนไทยมาอยา่ งยาวนาน นอกจากจะเป็น สงิ่ ท่ีมีประโยชน์ตอ่ มนุษย์ ยังสง่ ผลกระทบตอ่ วถิ ีการดาํ เนินชีวติ และวัฒนธรรมของ คนไทยอีกดว้ ย เชน่ ประเพณีลงแขกเก่ียวขา้ ว พิธีสูข่ วัญขา้ ว เป็นตน้ ซ่ึงขา้ วมีสาร อาหารท่ีเรียกวา่ คาร์โบไฮเดต เป็นสารอาหารท่ีให้พลังงานแกร่ ่างกาย ชว่ ยบาํ รุง ร่างกาย ชว่ ยเสริมสร้างการเจริญโตของร่างกาย นอกจากน้ี ขา้ วยังมีหลากหลายพันธุ์ และมีคุณประโยชน์แตกตา่ งกันไปในแตล่ ะพันธุ์ ดังนั น้ กลุม่ ของขา้ พเจา้ จึงไดท้ าํ การเพิม่ คุณประโยชน์ให้กับขา้ ว โดยใชพ้ ืชท่ีหาได้ ทั่วไป นํามาเคลือบขา้ ว เพ่ือให้ขา้ วไดม้ ีสารอาหารเพิม่ ข้ึนจากเดิมและเป็นการใช้ ประโยชน์จากพืชรอบตัวไดม้ ากข้ึน นอกจากน้ี ยังเป็นการชว่ ยเหลือเกษตรกรและ เป็นการอนุรั กษ์พันธุข์ า้ วให้อยูค่ งสบื ไป
กิตติกรรมประกาศ โครงงานน้ีสาํ เร็จลุลว่ งไดด้ ว้ ยความกรุณาจากคุณครูดาํ รงค์ คันธะเรศย์ คุณครูท่ี ปรึกษา โครงงาน ท่ีไดใ้ ห้คาํ เสนอแนะ แนวคดิ ตลอดจนแกไ้ ขขอ้ บกพร่องตา่ งๆมา โดยตลอด จนโครงงานเลม่ น้ีเสร็จสมบูรณ์ ทางคณะผูจ้ ัดทาํ จึงขอขอบพระคุณเป็น อยา่ งสูง คณะผูจ้ ัดทาํ
สารบั ญ หน้า ก เร่ือง ข บทคั ดยอ่ กิตติกรรมประกาศ สารบั ญ ค บทท่ี 1 บทนํา 1 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ียวขอ้ ง 3 บทท่ี 3 วธิ ีการดาํ เนินการศกึ ษาคน้ ควา้ 33 บทท่ี 4 ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ 35 บทท่ี 5 อภิปรายและสรุปผลการศกึ ษาคน้ ควา้ 37 บรรณานุ กรม 38
บทท่ี 1 บทนํา 1.ความเป็นมาและความสาํ คัญของปั ญหา ขา้ วเป็นอาหารหลักท่ีประชากรโลกบริโภคเป็นสาํ คัญ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ใน ทวีปเอเชีย ขา้ วเป็นสารอาหารหลักท่ีให้พลังงานแกม่ นุษยแ์ ละในประเทศไทยเป็น แหลง่ เกษตรกรรมท่ีมีการปลูกขา้ วมากท่ีสุดในอันดับตน้ ๆของโลก อีกทัง้ ขา้ วมี อิทธิพลตอ่ คนไทยมาอยา่ งชา้ นาน ไมว่ า่ จะเป็น พิธีกรรมตา่ งๆ เชน่ พระราชพิธีจรด พระนั งคัลแรกนาขวัญ พิธีสูข่ วัญขา้ ว นอกจากน้ี กย็ ังมีภูมิปั ญญาของคนไทยท่ี เก่ียวขอ้ งกับขา้ วจาํ นวนมาก อาทิ พันธุข์ า้ ว ซ่ึงมีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูง เชน่ พันธุข์ า้ วเบา ขา้ วกลาง ขา้ วหนั ก ขา้ วไร่ เป็นตน้ สงิ่ เหลา่ น้ีลว้ นถูกคัดเลือกเอง จากชาวนาทัง้ สน้ิ ขา้ วมีสารอาหาร ท่ีเรียกวา่ คาร์โบไฮเดรต ซ่ึงให้พลังงานกับมนุษย์ เหมือนกับสารอาหารประเภทโปรตีนและไขมัน จึงมีประโยชน์ตอ่ มนุษยเ์ ป็นอยา่ ง มาก นอกจากน้ี ขา้ วยังมีประโยชน์อีกหลายประการ เชน่ ขา้ วกลอ้ งมีสารตอ่ ตา้ น อนุมูลอิสระ ชว่ ยชะลอความแกช่ รา ขา้ วกลอ้ งงอกชว่ ยป้ องกันและลดโอกาสการเกิด โรคความจาํ เส่อื มหรือโรคอัลไซเมอร์ เป็นตน้ ดังนั น้ กลุม่ ของขา้ พเจา้ จึงอยากจะ ทาํ การเพิม่ คุณประโยชน์ให้แกข่ า้ ว โดยการเคลือบขา้ วดว้ ยนํา้ คัน้ จากพืชท่ีมีในทอ้ ง ถิน่ คือ ดอกอัญชัน ผักปลัง เป็นตน้ เพ่ือท่ีจะทาํ ให้ขา้ วมีสารอาหารเพิม่ มากข้ึนจาก เดิมและเป็นการนําพืชในทอ้ งถิน่ มาใช้ ถือเป็นการแสดงถึงเอกลักษณ์และเป็นการ อนุรั กษ์พืชเหลา่ น้ีไปตัวอีกดว้ ย อีกทัง้ ยังเป็นการสง่ เสริมเกษตรกรให้มีรายไดเ้ พิม่ ข้ึน โดยการแปรรูปผลิตภั ณฑใ์ ห้มีมูลคา่ เพิม่ มากข้ึน 2.วั ตถุประสงค์ 1) เพ่ือเพิม่ สารอาหารท่ีมีคุณประโยชน์ให้แกข่ า้ ว 2) เพ่ือเพิม่ มูลคา่ ของขา้ ว 3) เพ่ือสร้างรายไดใ้ ห้กับเกษตรกร 4)เพ่ืออนุรั กษ์พันธุข์ า้ วและพืชในทอ้ งถิน่ 3.สมมติฐานของโครงงาน ขา้ วจะมีคุณประโยชน์เพิม่ ข้ึนและมีสสี ันท่ีสวยงามดูน่ากินและน่าดึงดูดใจผูบ้ ริโภค มากข้ึน
4.ขอบเขตของการศกึ ษา 1)พืชท่ีมีในทอ้ งถิน่ คือ พืชท่ีมีอยูต่ ามทอ้ งถิน่ ถูกใชท้ าํ เป็นยา นํามาประกอบอาหาร เป็นตน้ ซ่ึงกลุม่ ของขา้ พเจา้ ใชเ้ ป็น ดอกข้ีเหลก็ ผักปลัง มะตูม ดอกขจร มะเขือ มว่ ง อะโวคาโด ผักโขมเน้ือมะพร้าว ลูกหมอ่ น หมากคอ้ 2)ใชพ้ ืชทอ้ งถิน่ เคลือบขา้ วหอมมะลิสุรินทร์ 5.ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ั บ 1)ขา้ วมีสารสารอาหารและคุณประโยชน์ มีสสี ันดึงดูดผูบ้ ริโภคมากข้ึน 2)ขา้ วมีมูลคา่ มากข้ึน 3)เกษตรกรมีรายไดเ้ พิม่ มากข้ึน 4)สามารถอนุรั กษ์พันธุข์ า้ วและพืชทอ้ งถิน่ ได้
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ียวขอ้ ง ความหมายของขา้ ว ขา้ วเป็นธั ญพืชท่ีใชเ้ ป็นอาหารสาํ คัญอยา่ งหน่ึงของโลก ตามหลักวชิ า พฤกษศาสตร์ ขา้ วเป็นพืชจาํ พวกใบเล้ียงเด่ียว ในวงศ์ (family) Gramineae อยู่ ในสกุล (Genus) Oryza ช่ือเฉพาะของขา้ วคือ sativa ดังนั น้ ขา้ วจึงมีช่ือในภาษา ละติน วา่ Oryza sativa พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้คาํ จาํ กัดความ ขา้ ววา่ เป็นเมลด็ พืช พวกหญา้ มีใบยาวและบางเสน้ ใบเป็นแบบขนาน ตน้ เป็นลาํ ขอ้ และมีดอก ในฤดูเกบ็ เก่ียวท่ีปลายยอดของแตล่ ะขอ้ จะมีกา้ นออ่ นเลก็ ๆ มากกวา่ กา้ น จะมีเมลด็ ขา้ วติดอยูเ่ ป็นแถว มีเปลือกสนี ํา้ ตาลหุ้มเมลด็ ขา้ งใน ถา้ เขยา่ เบาๆ จะทาํ ให้ 5 กา้ น แตล่ ะเมลด็ หลุดจากชอ่ เมลด็ ขา้ งในจะหลุดออกจากเปลือกไดโ้ ดยการตาํ หรือสขี า้ ว เมลด็ ขา้ วท่ีเอาเปลือกออกแลว้ ทาํ ให้สุกโดยการตม้ หรือน่ึง เพ่ือรั บประทาน เป็ นอาหาร ประเภทของขา้ ว ขา้ วท่ีปลูกกันในประเทศไทย แบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ ขา้ วไร่ ขา้ วนาสวน และ ขา้ วนาเมือง 1. ขา้ วไร่ เป็นขา้ วท่ีไมต่ อ้ งการนํา้ หลอ่ เล้ียงในการเจริญเติบโต และมักจะตาย ถา้ มีนํา้ ขังอยูน่ าน แตค่ งตอ้ งการความชุม่ ช้ืนของดินทาํ นองเดียวกับพืชไร่ ขา้ วไร่จึง มักนิยมปลูกกันบนท่ีสูงหรือตามไหลเ่ ขา ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทาํ กันเป็นหยอ่ มเลก็ ๆ
2.ขา้ วนาสวน เป็นขา้ วท่ีตอ้ งการนํา้ หลอ่ เล้ียงในระหวา่ งการเจริญเติบโต มัก ปลูกกันเป็นสว่ นมาก ทนความลึกของนํา้ ไดไ้ มเ่ กิน 1 เมตร การทาํ นากท็ าํ วธิ ีดาํ เป็น สว่ นใหญบ่ ริเวณทาํ นาสวนมีประมาณ 84 % ของเน้ือท่ีนาในประเทศไทย 3.ขา้ วนาเมือง เป็นขา้ วท่ีปลูกในแหลง่ ท่ีมีระดับนํา้ สูงกวา่ 1 เมตรข้ึนไปเป็น ขา้ วพันธุพ์ ิเศษท่ีเรียกกันวา่ ขา้ วข้ึนนํา้ หรือ ขา้ วลอย หรือขา้ วฟางลอย เพราะเป็น พันธุท์ ่ีมีลาํ ตน้ ยาว และทอดออกไปแตกแขนงตามขอ้ และออกรากตามขอ้ ได้ ลาํ ตน้ เจริญเติบโตไดร้ วดเร็วกวา่ พันธุน์ าสวน ในเม่ือระดับนํา้ เปล่ียนแปลงสูงข้ึน ขา้ วนาเมืองจึงปลูกกันบริเวณท่ีลุม่ มากๆใน ภาคกลางเชน่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิจิตร สุพรรณบุรี ลพบุรี อา่ งทอง ชัยนาท สงิ หบ์ ุรี เป็นตน้ รวมทัง้ บริเวณท่ีลุม่ มากๆ ในภาคอ่ืนๆ ท่ีไมส่ ามารถปลูกขา้ วนาสวน ได้ การปลูกขา้ วนาเมืองใชว้ ธิ ีหวา่ น และปลูกในเน้ือท่ีนาประมาณ % 16 ของเน้ือท่ี นาในประเทศ ขา้ วทัง้ 3 ประเภท อาจแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ชนิด ตามคุณสมบัติ คือ ขา้ วเหนียว และ ขา้ วเจา้ 1. ขา้ วเจา้ เป็นขา้ วท่ีมีเน้ือเมลด็ ใส เม่ือหุงแลว้ เมลด็ จะร่วนและสวยไมใ่ คร่ติด กัน ใชร้ ั บประทานกันเป็นประจาํ ใน ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคอีสานตอนใตข้ อง ประเทศไทย ปริมาณขา้ วเจา้ ท่ีผลิตตามภาคตา่ งๆ คดิ เป็นเปอร์เซน็ ตข์ องผลผลิต ทัง้ หมดของภาค คือ ภาคเหนือ ประมาณ 8 % ภาคอีสานประมาณ 26 % ภาคกลาง ประมาณ 95 %ภาคใตป้ ระมาณ 94 % 2.ขา้ วเหนียว เป็นขา้ วท่ีเน้ือเมลด็ ขุน่ กวา่ ขา้ วเจา้ เม่ือหุงหรือน่ึงแลว้ เมลด็ จะ เหนียวติดกัน ใชร้ ั บประทานกันเป็นประจาํ ในภาคเหนือ และภาคอีสานตอนเหนือ และใชท้ าํ ขนมตา่ งๆ ในภาคกลางและภาคใต้ ปริมาณขา้ วเหนียวท่ีผลิตตามภาคตา่ งๆ คดิ เป็นเปอร์เซน็ ตข์ องผลผลิต ทัง้ หมดของภาค คือ ภาคเหนือ ประมาณ 92 % ภาคอีสานประมาณ 74 % ภาค กลางประมาณ 5 % ภาคใตป้ ระมาณ 6 % คนไทยปลูกขา้ วเจา้ มากกวา่ ขา้ วเหนียว เพราะจาํ นวนประชากรท่ีบริโภคขา้ วเจา้ มีมากกวา่ อยา่ งไรกต็ าม ขา้ วเป็นอาหารหลัก
ท่ีคนไทยรั บประทานกันเป็นประจาํ วัน คนไทยประมาณ 72 % มีอาชีพในการทาํ นา รายไดไ้ มน่ ้อยกวา่ 50 % ของราคาสนิ คา้ ขาออกของประเทศไทยไดม้ าจากการขาย ขา้ ว ขา้ วจึงเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศเน่ืองจากเป็นแหลง่ รายไดข้ อง ประชากรสว่ นใหญ่ เราอาจกลา่ วไดว้ า่ ขา้ วเป็นพืชสาํ คัญยงิ่ ตอ่ ชีวติ ของคนไทยทุกๆ คน วัฒนธรรมไทยมีพ้ืนฐานอยูท่ ่ีขา้ ว และอาจเรียกไดว้ า่ เป็น วัฒนธรรมขา้ ว มั ลเบอร์ร่ี 1.ผลมัลเบอร์ร่ีมีรสเปร้ียวหวานเยน็ มีสรรพคุณชว่ ยดับร้อน คายความร้อนรุ่ม ชว่ ยขับลมร้อน ชว่ ยบรรเทาอาการกระหายนํา้ ทาํ ให้ชุม่ คอ และทาํ ให้ร่างกายชุม่ ช่ืน 2.ผลนํามาตม้ กับนํา้ หรือเช่ือมกินเป็นยาแกธ้ าตุไมป่ กติ 3.ผลมีสรรพคุณชว่ ยบาํ รุงหัวใจ 4.มัลเบอร์ร่ีมีสรรพคุณชว่ ยทาํ ให้เสน้ ประสาทตาดี ทาํ ให้สายตาแจม่ ใส หูตา สวา่ ง ร่างกายสุขสบาย 5.ผลมีสรรพคุณชว่ ยแกอ้ าการทอ้ งผูก และยังมีเมลด็ ท่ีชว่ ยเพิม่ ใยอาหารผลนํา มาตม้ กับนํา้ หรือเช่ือมกินเป็นยาระบายออ่ น ๆ 6.ผลมัลเบอร์ร่ีมีฤทธิ์เป็นยาเยน็ ออกฤทธิ์ตอ่ ตับและไต มีสรรพคุณชว่ ยบาํ รุง ตับและไต ชว่ ยรั กษาตับและไตพร่อง 7.ชว่ ยแกข้ อ้ มูลขอ้ เทา้ เกร็ง แกไ้ ขขอ้ โรคปวดขอ้ 8.ชว่ ยบาํ รุงเสน้ ผมให้ดกดาํ ป้ องกันผมหงอกกอ่ นวัย 9.ในประเทศจีนจะใชผ้ ล กิ่งออ่ น เปลือกราก และใบเป็นยาบาํ รุงกาํ ลัง รั กษา โรคเก่ียวกับทรวงอก แกไ้ อ หืด วัณโรคปอด การสะสมนํา้ ในร่างกายผิดปกติ ขับ ปั สสาวะ และรั กษาโรคปวดขอ้ แครอท ประโยชน์ของแครอท
1.มีเสน้ ใยสูงชว่ ยในระบบขับถา่ ย 2.มีสารเบตา้ แคโรทีนชว่ ยบาํ รุงสายตา 3.มีสารตา้ นอนุมูลอิสระชว่ ยป้ องกันโรคมะเร็งไดเ้ ป็นอยา่ งดี 4.ชว่ ยลดคอเสเตอรอล ทาํ ให้ระบบไหลเวียนเลือดทาํ งานไดด้ ีข้ึน 5.ชว่ ยให้แผลหายเร็ว 6.เพิม่ ภูมิคุม้ กันให้ร่างกาย ทาํ ให้มีความคงทนตอ่ เช้ือโรคมากข้ึน 7.ชว่ ยให้ผิวชุม่ ช้ืน มีสุขภาพดี 8.ชว่ ยควบคุมระดับนํา้ ตาลในเลือด สาํ หรั บผูท้ ่ีอยากไดร้ ั บประโยชน์จากแครอท แตไ่ มร่ ั บประทานผัก นํา้ แครอท น่าจะเป็นทางออกท่ีดี เพราะรสชาติดี รั บประทานงา่ ยและจะทาํ ให้ทา่ นไดร้ ั บ ประโยชน์จากแครอทอยา่ งเตม็ ท่ี สรรพคุณใบยา่ นาง 1.ใบยา่ นางในตาํ ราสมุนไพรจัดวา่ เป็นยาอายุวัฒนะ 2.มีสารตอ่ ตา้ นอนุมูลอิสระจาํ นวนมาก จึงชว่ ยลดและชะลอการเกิดร้ิวและ ความแกช่ ราอยา่ งไดผ้ ล 3.ชว่ ยเสริมสร้างภูมิตา้ นทานโรคในร่างกาย 4.ชว่ ยเพิม่ ความสดช่ืนให้กับร่างกาย 5.ชว่ ยฟ้ื นฟูเซลลต์ า่ ง ๆ ในร่างกาย
6.ชว่ ยในการปรั บสมดุลของร่างกาย 7.เป็นสมุนไพรท่ีชว่ ยในการลดความอว้ นไดอ้ ยา่ งเหน็ ผลและปลอดภั ย 8.ชว่ ยในการเผาผลาญไขมันและนําไปใชเ้ ป็นพลังงาน 9.ชว่ ยป้ องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งชนิดตา่ ง ๆ 10.เป็นสมุนไพรท่ีมีฤทธิ์เยน็ เหมาะสาํ หรั บผูท้ ่ีเป็นมะเร็งอยา่ งมาก 11.ชว่ ยแกอ้ าการเจบ็ ปลายล้ิน 12.ชว่ ยป้ องกันและบาํ บัดรั กษาโรคหัวใจ 13.ชว่ ยป้ องกันและรั กษาโรคหอบหืด 14.ชว่ ยรั กษาโรคตับอักเสบ 15.ชว่ ยรั กษาอาการทอ้ งเสยี เพราะชว่ ยฆา่ เช้ือโรคท่ีเป็นตน้ เหตุได้ 16.ชว่ ยบรรเทาอาการอาการปวดทอ้ งเฉียบพลัน 17.ชว่ ยแกอ้ าการทอ้ งผูก ลดอาการแสบทอ้ ง 18.ชว่ ยรั กษาโรคกระเพาะอาหาร ลาํ ไสอ้ ักเสบ 19.ชว่ ยลดอาการหดเกร็งตามลาํ ไส้ 20.ชว่ ยรั กษาอาการกรดไหลยอ้ น 21.ชว่ ยรั กษาไทรอยดเ์ ป็นพิษ 22.ชว่ ยรั กษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปั สสาวะ นิ่วในถุงนํา้ ดี 23.ชว่ ยรั กษาอาการปั สสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปั สสาวะ 24.ชว่ ยแกอ้ าการปั สสาวะมีสเี ขม้ ปั สสาวะบอ่ ย หรือมีอาการปั สสาวะออกมา เป็ นเลือด
25.ชว่ ยรั กษาอาการมดลูกโต อาการปวดมดลูก ตกเลือดได้ 26.ชว่ ยบาํ บัดรั กษาโรคตอ่ มลูกหมากโต 27.ชว่ ยป้ องกันโรคไสเ้ ล่ือน 28.ชว่ ยในการรั กษาโรคเริม งูสวัด 29.ชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคริดสดี วงทวาร 30.ชว่ ยรั กษาอาการตกขาว 31.ชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคเกาต์ 32.ชว่ ยแกพ้ ิษจากแมลงสัตวก์ ัดตอ่ ย 33.ชว่ ยรั กษาอาการผิวหนั งมีความผิดปกติคลา้ ยรอยไหม้ 34.นํา้ ยา่ นางเม่ือนํามาผสมกับดินสอพองหรือปูนเค้ียวหมากผสมจนเหลว สามารถนํามาทา สวิ ฝ้ า ตุม่ คัน ตุม่ ใส ผ่ืนคัน พอกฝี หนองไดอ้ ีกดว้ ย 35.ชว่ ยป้ องกันและรั กษาอาการสน้ เทา้ แตก เจบ็ สน้ เทา้ 36.ชว่ ยรั กษาอาการเลบ็ มือเลบ็ เทา้ ผุ โดยรั กษาอาการเลบ็ มือเลบ็ เทา้ ขวางสัน้ ผุ ฉีกงา่ ย หรือในเลบ็ มีสนี ํา้ ตาลดาํ คลาํ้ อาการอักเสบท่ีโคนเลบ็ 37.สาํ หรั บประโยชน์ของใบยา่ นางดา้ นอ่ืน ๆ เชน่ การนํามาแปรรูปเป็น ผลิตภั ณฑต์ า่ ง ๆ ยกตัวอยา่ งใบยา่ นางแคปซูล สบูใ่ บยา่ นาง แชมพูใบยา่ นาง เคร่ือง ด่ืมสมุนไพร เป็นตน้ 38.แชมพูสระผมจากใบยา่ นาง ชว่ ยให้ผมดกดาํ ชะลอการเกิดผมหงอก 39.หากด่ืมนํา้ ใบยา่ นางเป็นประจาํ กอ้ นมะเร็งจะฝ่ อและเลก็ ลง 40.ชว่ ยรั กษาโรคความดันโลหิตสูง 1.เสริมภูมิคุม้ กันให้ร่างกาย
โหระพามีสว่ นชว่ ยในการเสริมสร้างภูมิคุม้ กัน พร้อมสง่ เสริมการทาํ งานของ ร่างกายให้เป็นปกติ เม่ือรั บประทานโหระพาเป็นประจาํ จึงทาํ ให้มีสุขภาพร่างกายท่ี แขง็ แรง ไมเ่ จบ็ ป่ วยไดง้ า่ ย แถมยังลดความเส่ยี งการป่ วยดว้ ยโรคร้ายตา่ งๆ ไดด้ ีอีก ดว้ ย 2.แกอ้ าการทอ้ งอืด ใบโหระพามีสรรพคุณลดการบีบตัวของลาํ ไส้ ชว่ ยรั กษาแผลในกระเพาะ กระตุน้ ระบบการยอ่ ยอาหารให้มีประสทิ ธิภาพ จึงสามารถแกอ้ าการทอ้ งอืด แน่นทอ้ ง ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ใครท่ีมีอาการทอ้ งอืดบอ่ ยๆ ตอ้ งทานใบโหระพากันเลย 3.สร้างความผอ่ นคลาย ลดเครียด นํา้ มันหอมระเหยในใบโหระพา จะทาํ ให้กลา้ มเน้ือเกิดการผอ่ นคลาย ลดการ เกร็งของกลา้ มเน้ือ ลดความวติ กกังวล คลายเครียด และลดอาการซึมเศร้าไดเ้ ป็น อยา่ งดี แถมยังชว่ ยให้เกิดสมาธิมากกวา่ เดิมอีกดว้ ย 4.ลดคอเลสเตอรอลในเลือดใบโหระพามีสว่ นชว่ ยในการลดคอเลสเตอรอลใน เลือดได้ ซ่ึงกจ็ ะชว่ ยลดความเส่ยี งโรคร้ายจากภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูงไดอ้ ีก หลายโรคเลยทีเดียว ดังนั น้ คนท่ีมีภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรทานใบ โหระพาเป็นประจาํ โดยเฉพาะการทานใบสดๆ จะไดร้ ั บคุณประโยชน์อยา่ งเตม็ ท่ีมา กกวา่ 5.บรรเทาอาการคล่ืนไสอ้ าเจียนการทานใบโหระพาจะชว่ ยบรรเทาอาการ คล่ืนไส้ อาเจียนได้ โดยจะชว่ ยให้อาการดีข้ึน และรู้สกึ ผอ่ นคลาย สดช่ืน สบายตัว มากกวา่ เดิม เพราะใบโหระพามีสรรพคุณในการลดอาการคล่ืนไส้ และดว้ ยกลิน่ หอ มออ่ นๆ ของใบโหระพา กจ็ ะชว่ ยให้เกิดความผอ่ นคลาย จึงหยุดยัง้ อาการคล่ืนไส้ อาเจียนไดเ้ หมือนกัน 6.แกอ้ าการประจาํ เดือนมาไมป่ กติผูห้ ญงิ มักจะเจอกับปั ญหาประจาํ เดือนมาไม่ ปกติ ไมว่ า่ จะมามาก มาน้อย มาสองครั ง้ ในเดือนเดียว มาแบบกะปริบกะปรอย หรือ มาบา้ งไมม่ าบา้ ง เม่ือทานใบโหระพาเป็นประจาํ จะชว่ ยแกป้ ั ญหาน้ีได้ เพราะใบ
โหระพาจะชว่ ยกระตุน้ ให้ฮอร์โมนเพศทาํ งานปกติและเกิดความสมดุล จึงทาํ ให้ ประจาํ เดือนมาสมา่ํ เสมอนั่นเอง 7.ชว่ ยให้เจริญอาหารสาํ หรั บคนท่ีมีอาการเบ่ืออาหาร รั บประทานอาหารได้ น้อย ลองใสใ่ บโหระพาลงในเมนูอาหารกันดู หรืออาจนํามาทานใบสดๆ พร้อมกับ อาหาร จะชว่ ยให้เจริญอาหารไดด้ ีมาก จากท่ีเคยตัวเลก็ นํา้ หนั กน้อย ดูเหมือนคนขาด สารอาหาร นํา้ หนั กกจ็ ะเพิม่ ข้ึนมาอยา่ งเหมาะสมตามเกณฑม์ าตรฐาน 8.ฆา่ เช้ือแบคทีเรียและเช้ือไวรั สใบโหระพามีสว่ นชว่ ยในการฆา่ เช้ือแบคทีเรีย และเช้ือไวรั สไดอ้ ยา่ งดีเย่ียม จึงชว่ ยป้ องกันอาการป่ วยท่ีอาจจะเกิดจากเช้ือแบคทีเรีย เช้ือไวรั สและเช้ือราไดเ้ ป็นอยา่ งดี มะกรูด 1.กลิน่ หอมของมะกรูดจะทาํ ให้ร่างกายรู้สกึ ผอ่ นคลาย เน่ืองจากมีนํา้ มันหอม ระเหยอยู่ การเลือกนํา้ มันหอมระเหยมะกรูด ควรเลือกชนิดท่ีมีความเขม้ ขน้ ไมเ่ กิน 1% เพราะหากมีความเขม้ ขน้ มากเกินไป อาจทาํ ให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ผูท้ ่ีตอ้ ง เผชิญกับความเครียดบอ่ ย ๆ การสูดดมกลิน่ หอมจากมะกรูด จะทาํ ให้ผอ่ นคลาย ความเครียดกค็ อ่ ยๆ บรรเทาลง 2.รั กษาอาการบอบชาํ้ มะกรูดสามารถใชแ้ กอ้ าการบอบชาํ้ ไดเ้ หมือนกับใบ บัวบก โดยจะชว่ ยฟ้ื นฟูร่างกายให้แขง็ แรง เหมาะสาํ หรั บผูท้ ่ีอาเจียนเป็นเลือด มะกรูดจะชว่ ยบรรเทาอาการให้ดีข้ึนไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะในสว่ นของใบซ่ึงมี สรรพคุณดังกลา่ ว และยังมีสารตา้ นอนุมูลอิสระสูงจึงชว่ ยลดความเส่ยี งจากการเป็น มะเร็งไดอ้ ีกดว้ ย 3.ลดคอเลสเตอรอลมะกรูดชว่ ยลดคอเลสเตอรอล จากการยับยัง้ เอนไซม์ HMG-CoA ซ่ึงเป็นเอนไซมค์ อเลสเตอรอล และลดการสร้าง LDL ท่ีเป็นไขมันไมด่ ี และชว่ ยลดความดันโลหิตลงได้ 4.บาํ รุงหัวใจมะกรูดมีสว่ นชว่ ยในการบาํ รุงหัวใจให้แขง็ แรง เน่ืองจากการทาน มะกรูดเป็นประจาํ จะทาํ ให้เลือดมีการไหลเวียนท่ีดีข้ึน หัวใจจึงไมต่ อ้ งทาํ งานหนั ก
เกินไป ซ่ึงกช็ ว่ ยลดความเส่ยี งการป่ วยดว้ ยโรคหัวใจไดเ้ ป็นอยา่ งดี ไมว่ า่ จะเป็นภาวะ หัวใจวาย หลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นตน้ 5.แคก่ ินมะกรูด กส็ ามารถลดความเส่ยี งการป่ วยดว้ ยโรคมะเร็งได้ เพราะใน มะกรูดมีเบตา้ แคโรทีนสูงมาก ซ่ึงเป็นสารตา้ นอนุมูลอิสระชนิดหน่ึง ท่ีจะยับยัง้ การ เกิดเซลลม์ ะเร็งไดเ้ ป็นอยา่ งดี ทัง้ น้ีพบวา่ ในผูท้ ่ีป่ วยมะเร็งระยะเริ่มแรก กส็ ามารถ บรรเทาอาการและชะลอการป่ วยของโรคมะเร็งไดอ้ ีกดว้ ย 6.ป้ องกันโรคไมเกรนมะกรูดสามารถป้ องกันและลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ เพราะในมะกรูดมีนํา้ มันหอมระเหย ท่ีมีคุณสมบัติในการสร้างความผอ่ นคลายไดเ้ ป็น อยา่ งดี มะกรูดจึงสามารถป้ องกันอาการปวดหัว และลดความเครียดท่ีเป็นตัวการหน่ึง ของโรคไมเกรนไดอ้ ยา่ งดีเย่ียม นอกจากน้ีการดมกลิน่ นํา้ มันหอมระเหยจากมะกรูด กจ็ ะชว่ ยบรรเทาอาการปวดหัวในผูท้ ่ีเป็นไมเกรนไดเ้ หมือนกัน 7.แกอ้ าการเวียนหัว หน้ามืด เป็นลมไมว่ า่ จะมีอาการเวียนหัวหน้ามืด หรือ เป็นลมดว้ ยสาเหตุใดกต็ าม การดมกลิน่ หอมของมะกรูด จะชว่ ยให้รู้สกึ ผอ่ นคลายและ แกอ้ าการเหลา่ น้ีได้ โดยเฉพาะในคนท่ีมีอาการแพท้ อ้ ง กลิน่ หอมจากนํา้ มันหอม ระเหยของมะกรูด จะชว่ ยไดม้ ากทีเดียว 8.ไอเดียการใชม้ ะกรูดเพ่ือสุขภาพมะกรูดเป็นสมุนไพรท่ีมีประโยชน์ตอ่ สุขภาพ นอกจากผิวมะกรูดแลว้ ใบมะกรูด รากมะกรูด ลว้ นมีสรรพคุณทางยาทัง้ นั น้ เราลอง มาดูวธิ ีการใชม้ ะกรูดเพ่ือสุขภาพกันเลย 9.แกอ้ าการปวดทอ้ งในเดก็ วธิ ีใชใ้ ห้นําผลมะกรูดมาควา้ นไสอ้ อก เอามหาหิงสใ์ สแ่ ละปิดจุก นําไปเผาไฟ จนไหม้ บดเป็นผงแลว้ ละลายกับนํา้ ผ้ึง นํามาให้เดก็ รั บประทานหรือจะใชส้ าํ หรั บป้ าย ล้ินเดก็ ออ่ นกไ็ ด้ 10.ฟอกโลหิตวธิ ีใชใ้ ห้นําผลมะกรูดมาผา่ คร่ึง แลว้ นําไปดองกับเกลือหรือนํา้ ผ้ึง หลังจากนั น้ 1 เดือน นําเอาเฉพาะนํา้ มาด่ืม นอกจากน้ีผลมะกรูดยังชว่ ยขับฤดู และขับลมไดอ้ ีกดว้ ย
อั ญชั น 1. นํา้ อัญชันมีสว่ นชว่ ยตอ่ ตา้ นอนุมูลอิสระในร่างกาย 2. เคร่ืองด่ืมนํา้ อัญชันชว่ ยเสริมสร้างภูมิตา้ นทานให้ร่างกายและเพิม่ พลังงาน ให้ร่างกาย 3. มีสว่ นชว่ ยในการชะลอวัยและร้ิวรอยแหง่ วัย และบาํ รุงสมอง 4. เพิม่ การไหลเวียนเลือด ดอกอัญชันมีฤทธิ์ในการละลายลิม่ เลือด 5. ชว่ ยป้ องกันโรคเสน้ เลือดสมองตีบ 6. ชว่ ยรั กษาอาการผมร่วง 7. อัญชันทาค้วิ ทาหัว ใชเ้ ป็นยาปลูกผมปลูกขนชว่ ยให้ดกเดาเงางามยงิ่ ข้ึน 8. ชว่ ยลดความเส่ยี งจากการเกิดเสน้ เลือดอุดตัน 9. ชว่ ยลดความเส่ยี งของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน 10. ชว่ ยลดความเส่ยี งจากการเกิดโรคมะเร็งดว้ ยสารตา้ นอนุมูลอิสระ 11. ชว่ ยลดระดับนํา้ ตาลในเลือดของผูป้ ่ วยท่ีเป็นโรคเบาหวาน 12. อัญชันมีคุณสมบัติในการชว่ ยลา้ งสารพิษและของเสยี ออกจากร่างกาย 13. ชว่ ยบาํ รุงสายตา แกอ้ าการตาฟาง ตาแฉะ(นํา้ คัน้ จากดอกสดและใบสด) 14. ชว่ ยป้ องกันโรคตอ้ กระจก ตอ้ หินตาเส่อื มจากโรคเบาหวาน 15. ชว่ ยเพิม่ ความสามารถในการมองเหน็ ให้ดียงิ่ ข้ึน 16. นํารากไปถูกับนํา้ ฝน นํามาใชห้ ยอดตาและหู (ราก) 17. นํามาถูฟั นแกอ้ าการปวดฟั น และทาํ ให้ฟั นแขง็ แรง (ราก)
18. ใชเ้ ป็นยาระบาย แตอ่ าจทาํ ให้คล่ืนไส้ อาเจียนได(้ เมลด็ ) 19. อัญชันสรรพคุณใชร้ ากปรุงเป็นยาขับปั สสาวะ (ราก,ใบ) 20. แกอ้ าการปั สสาวะพิการสรรพคุณอัญชันใชแ้ กอ้ าการฟกชาํ้ 21. ชว่ ยป้ องกันและแกอ้ าการเหน็บชาตามน้ิวมือ น้ิวเทา้ 22. นํามาทาํ เป็นเคร่ืองด่ืมนํา้ อัญชันเพ่ือใชด้ ับกระหาย 23. ดอกอัญชันตากแห้งสามารถนํามาชงด่ืมแทนนํา้ ชาไดเ้ หมือนกัน 24. ดอกอัญชันนํามารั บประทานเป็นผักกไ็ ด้ เชน่ นํามาจ้ิมนํา้ พริกสด ๆ หรือ ชุบแป้ งทอด 25. นํา้ ดอกอัญชันนํามาใชท้ าํ เป็นสผี สมอาหารโดยให้สมี ว่ งเชน่ ขนม หรือ ขา้ วดอกอัญชัน 26. ใชเ้ ป็นสว่ นผสมในผลิตภั ณฑต์ า่ ง ๆ อยา่ ง ครีมนวดผมยาสระผม เป็นตน้ 27. นิยมนํามาปลูกไวต้ ามรั ว้ บา้ นเพ่ือความสวยงาม มั งคุด 1.มีสว่ นชว่ ยป้ องกันอาการไข้ (ไขร้ ะดับตา่ํ ) 2.ชว่ ยเสริมสร้างกระดูกและฟั นให้แขง็ แรง 3.ชว่ ยเพิม่ พลังงานแกร่ ่างกาย เพิม่ ความกระปร้ีกระเปร่า 4.มังคุดรั กษาสวิ เปลือกมังคุดมีคุณสมบัติในการยับยัง้ การเจริญเติบโตของ เช้ือแบคทีเรียท่ีทาํ ให้เกิดสวิ และยังออกฤทธิ์ตา้ นสวิ อักเสบไดด้ ีอีกดว้ ย 5.มีสว่ นชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียด
6.ชว่ ยป้ องกันโรคสมองเส่อื ม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคเก่ียวกับระบบ ประสาท 7.การรั บประทานมังคุดเป็นประจาํ จะชว่ ยสง่ เสริมให้มีสุขภาพจิตดี อารมณ์ดี อยูเ่ สมอ 8.สารสกัดจากมังคุดชว่ ยเสริมสร้างเมด็ เลือดขาวชนิดทีเอช 1 และทีเอช 17 มี ฤทธิ์ชว่ ยกาํ จัดและป้ องกันการกอ่ เกิดเซลลม์ ะเร็งเกือบทุกชนิดได้ 9.ชว่ ยยับยัง้ การเจริญเติบโตของเซลลม์ ะเร็งชนิดตา่ ง ๆ อยา่ ง เซลลม์ ะเร็งเมด็ เลือดขาว มะเร็งตับ มะเร็งเตา้ นม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร 10.ชว่ ยในการขยายตัวของหลอดเลือด ลดความเส่ยี งตอ่ การเกิดโรคหลอด เลือดหั วใจ 11.ลดความเส่ยี งตอ่ การเกิดโรคหัวใจและโรคเก่ียวกับทางเดินหัวใจ 12.ชว่ ยลดความดันโลหิต 13.ชว่ ยรั กษาไทรอยดเ์ ป็นพิษ 14.ชว่ ยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายและลดไขมันท่ีไมด่ ีในเสน้ เลือด 15.มีสว่ นชว่ ยป้ องกันการเกิดเน้ืองอกในร่างกาย 16.มีสวนชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคเบาหวาน ดว้ ยคุณสมบัติในการลดและ ควบคุมระดับนํา้ ตาล 17.ชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ 18.มีสว่ นชว่ ยในการบรรเทาอาการของโรคหอบหืด 19.มีสว่ นชว่ ยบาํ รุงและรั กษาสายตา ฟั กทอง 1.ฟั กทองมีสารตอ่ ตา้ นอนุมูลอิสระท่ีมีสว่ นชว่ ยในการชะลอวัยความแกช่ รา
2.ชว่ ยฟ้ื นบาํ รุงสุขภาพผิว ให้เปลง่ ปลั่งสดใส และชว่ ยปกป้ องผิวไมใ่ ห้เห่ียว ยน่ 3.ประโยชน์ฟั กทอง ชว่ ยบาํ รุงและรั กษาสายตา 4.ฟั กทองมีสว่ นชว่ ยบาํ รุงสุขภาพร่างกาย 5.ชว่ ยเสริมสร้างระบบภูมิคุม้ กันให้แกร่ ่างกาย 6.นํา้ มันจากเมลด็ ฟั กทองมีสว่ นชว่ ยบาํ รุงประสาท 7.เมลด็ ฟั กทองชว่ ยทาํ ให้อารมณ์ดี เพราะมีสารท่ีชว่ ยในการสร้าง Serotinin ซ่ึงมีผลตอ่ อารมณ์ 8.มีฤทธิ์ในการชว่ ยลดระดับนํา้ ตาลในเลือด 9.เป็นอาหารท่ีเหมาะกับผูท้ ่ีตอ้ งการควบคุมนํา้ หนั กหรืออยากลดความอว้ น เพราะมีไขมั นน้ อยกากใยสูง 10.ฟั กทองมีกรดโปรไพโอนิคซ่ึงมีสว่ นทาํ ให้เซลลม์ ะเร็งออ่ นแอลง 11.มีสว่ นชว่ ยป้ องกันและลดความเส่ยี งจากการเกิดโรคมะเร็ง 12.มีสว่ นชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจ 13.ชว่ ยบรรเทาอาการปวดเม่ือยบริเวณขอ้ เขา่ บัน้ เอว 14.มีสว่ นชว่ ยป้ องกันโรคผิวหนั ง 15.เปลือกฟั กทองมีคุณสมบัติในการกระตุน้ การหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซ่ึง ชว่ ยควบคุมระดับนํา้ ตาลในเลือดป้ องกันการเกิดโรคเบาหวาน 16.ชว่ ยฟ้ื นฟูร่างกายหลังออกกาํ ลังกายหลังจากร่างกายทาํ งานอยา่ งหนั ก และ ทาํ ให้กลา้ มเน้ือทาํ งานไดอ้ ยา่ งเตม็ ประสทิ ธิภาพ 17.รากฟั กทองนํามาตม้ กับนํา้ ด่ืมชว่ ยแกแ้ ละบรรเทาอาการไอ
18.ฟั งทอกจัดวา่ มีกากใยอาหารสูง ซ่ึงมีสว่ นชว่ ยในการขับถา่ ย 19.ฟั กทองมีฤทธิ์อุน่ ซ่ึงจะชว่ ยยอ่ ยอาหารไดเ้ ป็นอยา่ งดี 20.ชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปั สสาวะ 21.สรรพคุณของฟั กทอง มีสว่ นชว่ ยในการขับปั สสาวะ 22.สรรพคุณฟั กทอง ชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคนิ่ว 23.ชว่ ยป้ องกันไมใ่ ห้ตอ่ มลูกหมากขยายใหญม่ ากข้ึน 24.ชว่ ยปรั บระดับฮอร์โมนเพศชายท่ีไดจ้ ากลูกอัณฑะให้อยูใ่ นระดับปกติ 25.ชว่ ยขับพยาธิตัวตืด โดยนําเมลด็ ฟั กทองประมาณ 50 กรั ม นํามาตาํ ให้ ละเอียดแลว้ ผสมกับนํา้ ตาล นม และเติมนํา้ ลงไปจนไดป้ ระมาณ 500 มิลลิลิตร แลว้ นํามาแบง้ รั บประทานเป็น 3 ครั ง้ ทุก ๆ 2 ชั่วโมง 26.ชว่ ยบาํ รุงตับและไตให้แขง็ แรง 27.รากฟั กทองเม่ือนํามาตม้ ด่ืมจะชว่ ยถอนพิษจากแมลงกัดตอ่ ย ถอนพิษของ ฝิ่ นได้ 28.เย่ือกลางของผลฟั กทอง สามารถนํามาใชพ้ อกแผล แกอ้ าการฟกชาํ้ อาการ ปวด และอักเสบได้ 29.ใชร้ ั บประทานเป็นอาหารวา่ ง อยา่ ง นํา้ ฟั กทองคัน้ สด พายฟั กทอง 30.นํามาใชใ้ นการประกอบอาหารไดย้ า่ งหลากหลาย เชน่ ซุปฟั กทอง แกง กิน กับนํา้ พริก เป็นตน้ แตงไทย
1. แตงไทยมีวติ ามินเอ ชว่ ยบาํ รุงสายตา และชว่ ยในการมองเหน็ 2. แตงไทยชว่ ยบาํ รุงผิวพรรณ เหงือก และฟั น ให้สุขภาพดี 3. แตงไทยมีสรรพคุณชว่ ยลดอาการตาแห้ง 4. แตงไทยชว่ ยให้ชุม่ คอ แกก้ ระหายนํา้ แกไ้ อแห้ง 5. แตงไทยชว่ ยป้ องกันอาการเลือดออกตามไรฟั น 6. ประโยชน์ของแตงไทยชว่ ยขับพิษ ขับปั สสาวะ 7. แตงไทยชว่ ยให้ระบบยอ่ ยอาหารทาํ งานดีข้ึน 8. สรรพคุณดีของแตงไทยชว่ ยในการระบายทอ้ ง 9. แตงไทยอุดมไปดว้ ยสารตา้ นอนุมูลอิสระท่ีชว่ ยชะลอวัย 10. แตงไทยมีสรรพคุณชว่ ยให้ผิวพรรณสดใส ไมแ่ ห้งเห่ียว 11. แตงไทยชว่ ยให้ผิวเนียนใส ไร้รอยดาํ และลดการเกิดรอยเห่ียวยน่ 12. ประโยชน์ของแตงไทยชว่ ยคลายร้อน แกก้ ระหาย สบายทอ้ ง 13. แตงไทยมีไฟเบอร์ ชว่ ยกระตุน้ การขับถา่ ย และให้พลังงาน แคลอรีตา่ํ 14. แตงไทยมีวติ ามินซี ชว่ ยให้ผิวสวยสดใส และชว่ ยแกไ้ ขห้ วัด 15. สรรพคุณแตงไทยชว่ ยให้ดวงตาสดใส ลดความระคายเคืองในดวงตา 16. แตงไทยชว่ ยแกค้ ล่ืนไส้ อาเจียน 17. แตงไทยชว่ ยให้หญงิ มีครรภผ์ ลิตนํา้ นมไดง้ า่ ยข้ึน 18. แตงไทยชว่ ยบาํ รุงเลือด เหมาะสาํ หรั บสตรีท่ีประจาํ เดือนมาไมป่ กติ 19. แตงไทยมีใยอาหารชว่ ยแกท้ อ้ งผูก 20. แตงไทยมีสรรพคุณชว่ ยแกอ้ าการปั สสาวะขัด
21. แตงไทยชว่ ยให้เลือดลมดี และทาํ ให้เลือดไหลเวียนสะดวก 22. ประโยชน์ของแตงไทยชว่ ยบาํ รุงหัวใจ และสมอง ถั่วฝั กยาว 1.ชว่ ยบาํ รุงกระดูกและฟั น ชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน 2.ฟอสฟอรั สมีสว่ นชว่ ยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน 3.วติ ามินซีชว่ ยเสริมสร้างภูมิคุม้ กัน ป้ องกันการเกิดโรคหวัด 4.ถั่วฝั กยาวมีประโยชน์ชว่ ยป้ องกันและรั กษาโรคเลือดออกตามไรฟั น 5.ชว่ ยแกก้ ระหาย ให้รสชุม่ ช่ืน ดว้ ยการใชเ้ มลด็ แห้งหรือสดนํามาคัน้ สดหรือ ตม้ กินกับนํา้ (เมลด็ ) 6.แกอ้ าเจียน ดว้ ยการใชเ้ มลด็ แห้งหรือสดนํามาคัน้ สดหรือตม้ กินกับนํา้ ( เมลด็ ) 7.สาํ หรั บเดก็ ท่ีเบ่ืออาหารเน่ืองจากกระเพาะอาหารทาํ งานไมด่ ี ให้ใชร้ ากสดนํา มาผสมกับรากเถาตดหมาตดหมู แลว้ นํามาตุน๋ กินกับเน้ือวัว จะชว่ ยแกอ้ าการเบ่ือ อาหารได้ (ราก) 8.ชว่ ยแกอ้ าการทอ้ งอืดทอ้ งเฟ้ อ แน่นทอ้ ง เรอเปร้ียว ดว้ ยการเค้ียวฝั กสดกิน (ฝั ก) 9.ใชใ้ บสดประมาณ 60-100 กรั มนํามาตม้ กับนํา้ ใชร้ ั กษาโรคหนองในและ อาการปั สสาวะเป็นหนอง (ใบ) 10.ใชเ้ ป็นยาบาํ รุงมา้ มและไต ดว้ ยการใชเ้ มลด็ แห้งหรือสดนํามาคัน้ สดหรือตม้ กินกับนํา้ หรือจะใชร้ ากนํามาตุน๋ กินเน้ือกไ็ ดเ้ ชน่ กัน (ฝั ก, ราก, เมลด็ ) 11.ใชถ้ ั่วฝั กยาวสดหรือเมลด็ นํามาตม้ กับนํา้ ผสมกับเกลือ ใชร้ ั บประทานเป็น ยาบาํ รุงไต (ฝั ก, เมลด็ )
12.ใชร้ ากสดนําไปเผาแลว้ บดจนละเอียด ผสมกับนํา้ แลว้ ใชท้ าเป็นยารั กษา โรคหนองในท่ีหนองไหล (ราก) 13.ถั่วฝั กยาวมีสรรพคุณทางยาชว่ ยรั กษาฝี เน้ือร้าย ชว่ ยทาํ ให้เน้ือเย่ือเจริญ เร็วข้ึน ดว้ ยการใชร้ ากสดนําไปเผาแลว้ บดจนละเอียดผสมกับนํา้ แลว้ ใชท้ าบริเวณท่ี เป็น (ราก) 14.ชว่ ยแกอ้ าการปั สสาวะกะปริบกะปรอย ดว้ ยการใชเ้ มลด็ แห้งหรือสดนํามา คัน้ สดหรือตม้ กินกับนํา้ (เมลด็ ) 15.ชว่ ยแกต้ กขาว ดว้ ยการใชเ้ มลด็ แห้งหรือสดและผักบุง้ นํามาตุน๋ กับเน้ือไก่ รั บประทาน จะชว่ ยแกอ้ าการตกขาวได้ (เมลด็ ) 16.ชว่ ยรั กษาอาการปวดบวม ปวดตามเอว และรั กษาแผลท่ีเตา้ นม ดว้ ยการใช้ เปลือกฝั กประมาณ 100-150 กรั มนํามาตม้ กิน หรือใชภ้ ายนอกดว้ ยการนํามาตาํ แลว้ พอกบริเวณท่ีปวด (เปลือกฝั ก) มะพร้าว 1.นํา้ มะพร้าวชว่ ยทาํ ให้ผิวพรรณสดใส เปลง่ ปลั่ง ขาวนวลข้ึนอยา่ งเป็น ธรรมชาติ เพราะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ (นํา้ มะพร้าว) 2.นํา้ มะพร้าวมีสว่ นสาํ คัญอยา่ งมากตอ่ การสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซ่ึง ทาํ ให้ผิวมีความยืดหยุน่ กระชับ ชว่ ยชะลอการเกิดร้ิวรอยแหง่ วัยไดเ้ ป็นอยา่ งดี (นํา้ มะพร้าว) 3.ประโยชน์ของนํา้ มะพร้าว มีสว่ นชว่ ยกระตุน้ การเจริญเติบโตและการแบง่ เซลลไ์ ดเ้ ป็นอยา่ งดี (นํา้ มะพร้าว) 4.ในเน้ือและนํา้ มันมะพร้าวออ่ นมีวติ ามินและแร่ธาตุท่ีจาํ เป็นสาํ หรั บร่างกาย อยา่ งครบถว้ นไมว่ า่ จะเป็นวติ ามินซี วติ ามินบี กรดอะมิโน ธาตุแคลเซียม ธาตุ แมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรั ส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหลก็ และยังมีไขมันท่ีเป็น
ประโยชน์ตอ่ ร่างกายอีกดว้ ย ซ่ึงร่างกายสามารถดูดซึมไดภ้ ายใน 5 นาที (นํา้ มะพร้าว ) 5.นํา้ มะพร้าวมีประโยชน์ใชเ้ ป็นเคร่ืองด่ืมจากธรรมชาติท่ีทาํ ให้ร่างกายรู้สกึ สดช่ืนและไมม่ ีอันตรายใด ๆ ตอ่ ร่างกาย (ยกเวน้ ผูท้ ่ีเป็นโรคเบาหวานและโรคไต) 6.นํา้ มะพร้าวเป็นผลไมท้ ่ีมีฤทธิ์เยน็ จึงชว่ ยดับร้อนในร่างกายไดเ้ ป็นอยา่ งดี ( นํา้ มะพร้าว) 7.นํา้ มะพร้าวออ่ นมีคุณสมบัติเป็นธาตุเยน็ ชว่ ยลา้ งพิษ ขับพิษของเสยี ออกจาก ร่างกาย หรือชว่ ยดีทอ็ กซน์ ั่นเอง (นํา้ มะพร้าว) 8.ชว่ ยบาํ รุงร่างกาย (เน้ือมะพร้าว) 9.ชว่ ยปรั บสมดุลของร่างกายในชว่ งท่ีร่างกายมีความเป็นกรดสูง เพราะนํา้ มะพร้าวมีความเป็นดา่ ง ทาํ ให้กลไกการทาํ งานของระบบตา่ ง ๆ ภายในร่างกายเป็น ปกติแสง่ ผลให้มีสุขภาพดีและแขง็ แรง (นํา้ มะพร้าว) 10.ชว่ ยบาํ รุงโลหิต (ดอก) 11.ใชเ้ ป็นเคร่ืองด่ืมธรรมชาติท่ีให้เกลือแร่ไดเ้ ป็นอยา่ งดี จึงเหมาะสาํ หรั บ นั กกีฬา เน่ืองจากอุดมไปดว้ ยธาตุโพแทสเซียม (นํา้ มะพร้าว) 12.ชว่ ยแกก้ ระหายนํา้ (นํา้ มะพร้าว, เน้ือมะพร้าว, ดอก) 13.นํา้ มะพร้าวลดบวม ชว่ ยแกอ้ าการบวมนํา้ (นํา้ มะพร้าว) 14.นํา้ มะพร้าวมีคุณสมบัติปลอดเช้ือโรค จึงนําไปใชฉ้ ีดเขา้ เสน้ เลือดได้ สาํ หรั บผูป้ ่ วยท่ีมีอาการขาดนํา้ หรือปริมาณเลือดลดแบบผิดปกติ (นํา้ มะพร้าว) 15.ชว่ ยป้ องกันหรือชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ภาวะความจาํ เส่อื มในสตรี วัยทอง เน่ืองจากมีปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง (นํา้ มะพร้าวออ่ น) 16.ชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคหัวใจและชว่ ยรั กษาผูป้ ่ วยโรคหัวใจ (นํา้ มะพร้าว ออ่ น)
17.ชว่ ยรั กษาโรคเบาหวาน ดว้ ยการใชม้ ะพร้าวแกข่ ูดเอาเน้ือมาคั่วให้เหลือง โรยเกลือเลก็ น้อย ใสภ่ าชนะปิดให้แน่น แลว้ นํามารั บประทานครั ง้ ละ 1 ชอ้ นแกง เชา้ กลางวัน เยน็ ประมาณ 10 วันจะชว่ ยทาํ ให้ระดับนํา้ ตาลลดลงเร่ือย ๆ ชว่ ยบรรเทา อาการปวดหัวปวดศรี ษะได้ (นํา้ มะพร้าวออ่ น) 18.นํามาใชร้ ั กษาโรคคอตีบได้ (เปลือกหุ้มรากของมะพร้าว ) 19.ชว่ ยแกอ้ าการตาอักเสบ ดว้ ยการใชน้ ํา้ มะพร้าวออ่ น 1 ถว้ ย นํามาผสมกับ นํา้ ตาลทรายแดงไวด้ ่ืมเชา้ และเยน็ อาการอักเสบกจ็ ะคอ่ ย ๆ หายไปเอง (นํา้ มะพร้าว ออ่ น) 20.ชว่ ยแกอ้ าการระคายเคืองตา ดว้ ยการใชเ้ น้ือมะพร้าวออ่ นสด ๆ แปะท่ี ดวงตา อาการจะคอ่ ย ๆ ทุเลาลง (เน้ือมะพร้าว) 21.ชว่ ยลดอาการไขส้ ูง ตัวร้อน เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเยน็ จึงชว่ ยทุเลาอาการไข้ ได้ (นํา้ มะพร้าวออ่ น, เน้ือมะพร้าว) 22.ใชร้ ั กษาคนไขท้ ่ีมีภาวะความเป็นกรดในเลือดสูง (นํา้ มะพร้าวออ่ น) 23.ชว่ ยแกไ้ ขท้ ับระดู ดว้ ยการเอาจั่นมะพร้าว ท่ียังมีกาบหุ้มอยูน่ ํามาตม้ นํา้ ด่ืม เชา้ กลางวัน เยน็ อาการจะคอ่ ยดีข้ึน (บางคนใชร้ ากกไ็ ดผ้ ลเหมือนกัน) 24.ชว่ ยแกอ้ าการร้อนใน ดว้ ยการด่ืมนํา้ มะพร้าวออ่ นในชว่ งเชา้ และชว่ งบา่ ย ( รั บประทานเน้ือดว้ ย) 25.ชว่ ยแกอ้ าการไอ ดว้ ยการด่ืมนํา้ มะพร้าวห้าว (นํา้ มะพร้าวห้าว) มะระ 1.ชว่ ยเสริมสร้างภูมิคุม้ กันโรคและชว่ ยปกป้ องเซลลจ์ ากการทาํ ลายของสารกอ่ มะเร็งตา่ ง ๆ (เบตาแคโรทีนในผลมะระ)
2.ชว่ ยทาํ ให้เจริญอาหารมากยงิ่ ข้ึน เน่ืองจากมีสาร Momodicine ท่ีชว่ ย ทาํ ให้นํา้ ยอ่ ยหลั่งออกมามาก 3.ชว่ ยทาํ ให้ดวงตาสดใส 4.ชว่ ยเสริมสร้างกระดูกและฟั นให้แขง็ แรง (แคลเซียม) 5.ชว่ ยแกก้ ระหายนํา้ ดว้ ยการใชใ้ บนํามาตม้ กับนํา้ ด่ืม (ใบ) 6.ชว่ ยบาํ บัดและรั กษาโรคเบาหวาน ชว่ ยลดระดับนํา้ ตาลในเลือด 7.ผลมะระมีสรรพคุณในการชว่ ยฟอกเลือดได้ 8.สามารถตา้ นเช้ือไวรั สและมะเร็งได้ 9.มีงานวจิ ัยในสหรั ฐฯ ท่ีเช่ือวา่ สารสกัดจากมะระจะชว่ ยขัดขวางการเจริญ เติบโตของมะเร็งเตา้ นมได้ แตก่ ย็ ังอยูใ่ นระหวา่ งการทดสอบ 10.ชว่ ยดับพิษร้อนภายในร่างกาย (เถา) 11.ชว่ ยปรั บธาตุในร่างกายให้เกิดความสมดุล (เมลด็ ) 12.รากมะระนํามาตม้ กับนํา้ ด่ืมแกอ้ าการไขไ้ ด้ (ราก) 13.ชว่ ยบรรเทาอาการหวัด ดว้ ยการใชใ้ บนํามาตม้ กับนํา้ ด่ืม (ใบ) 14.ชว่ ยขับพิษเสมหะ ขับเสมหะ (ใชร้ ่วมกับกะเมง็ ตัวเมีย) 15.นํา้ คัน้ จากมะระจีนใชอ้ มแกอ้ าการปากเป่ื อยได้ 16.ชว่ ยแกอ้ าการบดิ (ราก, เถา) 17.ผลมีฤทธิ์เป็นยาระบายออ่ น 18.ชว่ ยในการยอ่ ยอาหาร 19.ชว่ ยรั กษาแผลในกระเพาะอาหาร ดว้ ยการใชใ้ บนํามาตม้ กับนํา้ ด่ืม (ใบ)
20.ชว่ ยรั กษาโรคริดสดี วงทวารหนั กได้ (ราก) 21.ชว่ ยขับพยาธิตัวกลม (เมลด็ ) 22.ชว่ ยแกต้ ับ มา้ มพิการ บาํ รุงนํา้ ดี 23.ชว่ ยกระตุน้ การทาํ งานของตับให้มีประสทิ ธิภาพมากยงิ่ ข้ึน 24.ชว่ ยแกท้ อ่ นํา้ ดีอักเสบ ดว้ ยการใชใ้ บนํามาคัน้ เอาแตน่ ํา้ ด่ืมเพ่ือแกอ้ าการ 25.รากมะระมีฤทธิ์ฝาดสมาน 26.ผลมะระใชเ้ ป็นยาทาภายนอก ชว่ ยลดอาการระคายเคือง ผิวหนั งแห้ง และ ผิวหนั งอักเสบ 27.ชว่ ยลดอาการฟกชาํ้ บวมตามร่างกาย (ใบ) 28.ชว่ ยแกอ้ าการผดผ่ืนคัน (ใบ) 29.ชว่ ยแกล้ มเขา้ ขอ้ ลดอาการปวดบวมท่ีเขา่ หั วผั กกาด 1.หัวผักกาดเป็นผักท่ีหลาย ๆ ประเทศนิยมนํามาทาํ เป็นอาหาร เมนูหัวไชเทา้ เชน่ แกงจืด แกงสม้ ตม้ จับฉ่าย ตม้ จืดหัวไชเทา้ ขนมหัวผักกาด สลัดหัวผักกาด ยาํ หัวผักกาด เป็นตน้ 2.ประโยชน์ของหัวผักกาด สาํ หรั บผูท้ ่ีอยูใ่ นวัยทองเช่ือวา่ มีสว่ นชว่ ยทาํ ให้ผิว พรรณสดใสเปลง่ ปลั่ง ดูมีนํา้ มีนวลเหมือนคนหนุ่มสาว 3.เป็นผักสมุนไพรท่ีมีประโยชน์อยา่ งมากสาํ หรั บผูท้ ่ีเป็นหวัด มีอาการไอ คอ อักเสบเร้ือรั ง และมีเสยี งแหบแห้ง ดว้ ยการนําหัวไชเทา้ สดมาลา้ งให้สะอาด แลว้ หั่น เป็นช้ินเลก็ ๆ ใสไ่ วใ้ นขวดแกว้ หลังจากนั น้ โรยนํา้ ตาล 2-3 ชอ้ นโต๊ะ ปิดฝาท้งิ ไว้ 1 คืน แลว้ รินนํา้ ด่ืมเป็นประจาํ
4.คัน้ เป็นนํา้ ด่ืมดับกระหาย ดว้ ยการนําหัวไชเทา้ สดมาคัน้ เอานํา้ แลว้ เติมนํา้ ขิง นํา้ ตาลทรายขาวพอหวาน แลว้ 5.นํามาตม้ ให้เดือดแลว้ จิบบอ่ ย ๆ 6.มีสว่ นชว่ ยในการนอนหลับ 7.มีสว่ นชว่ ยแกโ้ รคประสาท 8.ชว่ ยลดความดันโลหิต 9.หัวผักกาดมีสารลิกนิน (Lignin) ซ่ึงจะชว่ ยตอ่ ตา้ นอนุมูลอิสระในร่างกาย ชว่ ยปกป้ องเซลลใ์ นร่างกายจากการเส่อื มของเซลล์ และมีสว่ นชว่ ยป้ องกันโรคมะเร็ง ได้ 10.หัวไชเทา้ มีสารเควอร์เซทนิ (Quercetin) ซ่ึงเป็นสารตอ่ ตา้ นอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิตา้ นทานโรค และชว่ ยตอ่ ตา้ นมะเร็ง 11.ชว่ ยระงับอาการหอบ (เมลด็ ) 12.ชว่ ยในการเจริญอาหาร (ใบ, ทัง้ ตน้ ) 13.ชว่ ยลดอุณหภูมิความร้อนในร่างกาย 14.ชว่ ยขยายหลอดลมและหลอดเลือด 15.ชว่ ยบาํ รุงโลหิต (ราก) 16.ชว่ ยทาํ ให้หายใจโลง่ ข้ึน 17.แกอ้ าการปวดศรี ษะขา้ งเดียว (ราก) 18.สรรพคุณหัวไชเทา้ ชว่ ยในการขับและละลายเสมหะ 19.แกอ้ าการไอหอบ มีเสมหะมาก (เมลด็ ) 20.ชว่ ยเรียกนํา้ ลาย (ราก)
21.แกอ้ าการอาเจียนเป็นเลือด กระอักเลือด (ราก) 22.ชว่ ยรั กษาอาการตอ่ มนํา้ นมบวม นํา้ นมคั่ง (ใบ, ทัง้ ตน้ ) 23.ชว่ ยในการกระตุน้ นํา้ ยอ่ ย ชว่ ยในการยอ่ ยอาหาร 24.ชว่ ยแกอ้ าการทอ้ งอืด ทอ้ งเฟ้ อ แน่นทอ้ ง อาหารไมย่ อ่ ย (ใบ, ทัง้ ตน้ ) 25.ชาวจีนเช่ือวา่ หัวผักกาดมีผลตอ่ การเคล่ือนตัวของพลังช่ี ซ่ึงมีผลตอ่ กระเพาะอาหารและระบบยอ่ ย 26.ใชเ้ ป็นยาระบาย (เมลด็ ) 27.ชว่ ยรั กษาอาการทอ้ งร่วง บดิ 28.ชว่ ยบรรเทาอาการทอ้ งผูก 29.ชว่ ยชาํ ระลา้ งผนั งกระเพาะอาหารและลาํ ไส้ 30.ชว่ ยสมานลาํ ไส้ (ราก) 31.มีสว่ นชว่ ยให้ปั สสาวะใส ไมข่ ุน่ 32.ชว่ ยบาํ รุงมา้ ม (ราก) ผั กบุง้ 1.มีสว่ นชว่ ยให้ผิวพรรณเปลง่ ปลั่งสดใส มีนํา้ มีนวล 2.มีสารตอ่ ตา้ นอนุมูลอิสระ ชว่ ยในการชะลอวัย ความแกช่ รา และชะลอการ เกิดร้ิวรอยแหง่ วัย 3.มีสว่ นชว่ ยป้ องกันการเกิดหรือลดอัตราการเกิดของโรคมะเร็งได้
4.ชว่ ยบาํ รุงสายตา รั กษาอาการตาตอ้ ตาฝ้ าฟาง ตาแดง สายตาสัน้ อาการคัน นั ยน์ตาบอ่ ย ๆ 5.ชว่ ยบาํ รุงธาตุ 6.ตน้ สดของผักบุง้ ใชเ้ ป็นยาดับร้อน แกอ้ าการร้อนใน 7.ตน้ สดของผักบุง้ ชว่ ยในการบาํ รุงโลหิต 8.ชว่ ยเสริมสร้างศักยภาพในดา้ นความจาํ และการเรียนรู้ให้ดีข้ึน 9.ยอดผักบุง้ ชว่ ยแกโ้ รคประสาท 10.ชว่ ยแกอ้ าการเหง่ือออกมาก (รากผักบุง้ ) 11.มีสว่ นชว่ ยลดระดับนํา้ ตาลในเลือด ป้ องกันการเกิดโรคเบาหวาน 12.ชว่ ยแกอ้ าการปวดศรี ษะ ออ่ นเพลีย 13.ตน้ สดของผักบุง้ ไทยตน้ ขาวชว่ ยบาํ รุงกระดูกและฟั น 14.ชว่ ยแกอ้ าการเหงือกบวม 15.ชว่ ยรั กษาแผลร้อนในในปาก ดว้ ยการนําผักบุง้ สดมาผสมเกลือ อมไวใ้ น ปากประมาณ 2 นาที วันละ 2 ครั ง้ 16.ฟั นเป็นรูปวด ให้ใชร้ ากสด 120 กรั ม ผสมกับนํา้ สม้ สายชู คัน้ เอานํา้ มา บว้ นปาก 17.ใชแ้ กอ้ าการไอเร้ือรั ง (รากผักบุง้ ) 18.แกเ้ ลือดกาํ เดาไหลออกมากผิดปกติ ดว้ ยการใชต้ น้ สดมาตาํ ผสมนํา้ ตาล ทรายแลว้ นํามาชงนํา้ ร้อนด่ืม 19.ใชแ้ กโ้ รคหืด (รากผักบุง้ ) 20.ชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคกระเพาะอาหาร
21.ชว่ ยป้ องกันการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารจากผลของยาแอสไพริน 22.ชว่ ยป้ องกันโรคทอ้ งผูก 23.ยอดผักบุง้ มีสว่ นชว่ ยแกอ้ าการเส่อื มสมรรถภาพ 24.ชว่ ยทาํ ความสะอาดของเสยี ท่ีตกคา้ งในลาํ ไส้ 25.ผักบุง้ จีนมีฤทธิ์ชว่ ยในการขับปั สสาวะ แกป้ ั สสาวะเหลือง 26.ชว่ ยแกอ้ าการปั สสาวะเป็นเลือด ถา่ ยออกมาเป็นเลือด ดว้ ยการใชล้ าํ ตน้ คัน้ นํานํา้ มาผสมกับนํา้ ผ้ึงด่ืม 27.ชว่ ยแกห้ นองใน ดว้ ยการใชล้ าํ ตน้ คัน้ นํานํา้ มาผสมกับนํา้ ผ้ึงด่ืม มะเขือเปราะ 1.ท่ีประเทศอินเดียจะใชน้ ํา้ ตม้ จากผลมะเขือเปราะเป็นยารั กษาโรคเบาหวาน ( ผล) 2.ผลใชเ้ ป็นยาลดไข้ (ผล) 3.ใชเ้ ป็นยาแกไ้ ขพ้ ิษร้อน กระทุง้ พิษไข้ ใชเ้ ป็นยาขับนํา้ ช้ืน (ไมร่ ะบุแน่ชัดวา่ ใช้ สว่ นใด) 4.ผลตากแห้งนํามาบดเป็นผงผสมกับนํา้ ผ้ึงใชป้ รุงเป็นยาแกไ้ อ สว่ นการแพทย์ อายุรเวทของอินเดียจะใชร้ ากมะเขือเปราะเป็นยารั กษาอาการไอ (ราก, ผล) 5.รากใชเ้ ป็นยาแกห้ อบหืด หลอดลมอักเสบ (ราก) 6.ใชแ้ กอ้ าการปวดฟั น ดว้ ยการใชร้ าก 15 กรั ม นํามาตม้ เอานํา้ อมในปาก ( ราก) 7.ชว่ ยขับลม (ราก) 8.ชว่ ยในการยอ่ ยอาหาร และชว่ ยในการขับถา่ ย (ผล)
9.ชว่ ยแกอ้ าการปวดกระเพาะอาหาร (ไมร่ ะบุแน่ชัดวา่ ใชส้ ว่ นใด) 10.ผลมีสรรพคุณเป็นยาขับพยาธิ (ผล) 11.รากมีสรรพคุณเป็นยาขับปั สสาวะ (ราก) 12.ชว่ ยกระตุน้ ความรู้สกึ ทางเพศ (ผล) 13.ใชเ้ ป็นยาแกอ้ ัณฑะอักเสบ ดว้ ยการใช้ 15 กรั ม, หญา้ แซม่ า้ 15 กรั ม และ ตน้ ท้งิ ถอ่ น นํามารวมกันตม้ กับนํา้ รั บประทาน (ราก) 14.ใบสดใชภ้ ายนอกนํามาตาํ พอกแกพ้ ิษ แกฝ้ ี หนอง (ใบสด) 15.ชว่ ยลดการอักเสบ (ผล) 16.ชว่ ยแกอ้ าการปวดบวม ปวดหลัง ฟกชาํ้ ดาํ เขียว มะเขือพวง 1.สารโซลาโซดีน (Solasodine) ในมะเขือพวงชว่ ยตอ่ ตา้ นโรคมะเร็งได้ 2.มะเขือพวงมีสาร ทอร์โวไซด์ เอ, เอช (Torvoside A, H) ซ่ึงมีฤทธิ์ตา้ น เช้ือไวรั สเริมชนิดท่ี 1 (Herpes simplex virus type 1) โดยมีฤทธิ์ชว่ ยยับยัง้ ไวรั สไดม้ ากกวา่ อะไซโคลเวียร์ถึง 3 เทา่ 3.มะเขือพวงมีสารทอร์โวนินบี (Torvonin B) ซ่ึงเป็นซาโพนินชนิดหน่ึง โดยเช่ือวา่ มีฤทธิ์ในการขับเสมหะ 4.มะเขือพวงมีสารเพกติน (Pectin) ท่ีชว่ ยควบคุมระดับนํา้ ตาลในผูป้ ่ วยโรค เบาหวาน โดยสารน้ีจะมีหน้าท่ีชว่ ยเคลือบผิวในลาํ ไส้ ทาํ ให้อาหารเคล่ือนตัวผา่ น ลาํ ไสไ้ ดช้ า้ จึงชว่ ยดูดซึมแป้ งและนํา้ ตาลท่ียอ่ ยแลว้ ไดช้ า้ ลง ทาํ ให้ระดับของนํา้ ตาลใน เลือดคงท่ี 5.สารเพกทนิ ในมะเขือพวงมีคุณสมบัติชว่ ยดูดซับไขมันสว่ นเกินและอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรต
6.ชว่ ยรั กษาโรคซิฟิลิส ( Syphilis) หรือโรคติดตอ่ ทางเพศสัมพันธโ์ รคหน่ึง มีสาเหตุมาจากเช้ือ Treponema pallidum (ใบสด) 7.สารตอ่ ตา้ นอนุมูลอิสระในมะเขือพวงชว่ ยป้ องกันความเส่อื มและชว่ ยชะลอ ความแก่ 8.ชว่ ยเสริมสร้างภูมิคุม้ กันให้แขง็ แรง 9.ชว่ ยลดระดับคอเลสเตอรอล 10.ชว่ ยรั กษาโรคความดันโลหิตสูง 11.ชว่ ยลดความเครียดออกซิเดชันในผูป้ ่ วยเบาหวาน 12.ชว่ ยให้ร่างกายผอ่ นคลาย งว่ งนอน 13.ใชเ้ ป็นยาระงับประสาท (ใบสด) 14.ชว่ ยบาํ รุงธาตุ บาํ รุงร่างกาย 15.ชว่ ยทาํ ให้เลือดในร่างกายหมุนเวียนไดด้ ียงิ่ ข้ึน 16.ชว่ ยยับยัง้ การแขง็ ตัวของเลือด 17.ชว่ ยขับเหง่ือ (ใบสด) 18.แกอ้ าการชัก (ใบสด) 19.แกอ้ าการหืด (ทัง้ ตน้ ) 20.ชว่ ยแกพ้ ิษในร่างกาย ดว้ ยการนํานํา้ มะขามแชร่ ากมะเขือพวงแลว้ นํามาตม้ ด่ืม (ราก) 21.ชว่ ยป้ องกันภาวะเลือดแขง็ ตัว 22.ผลแห้งนํามายา่ งกินแกลม้ อาหารจะชว่ ยบาํ รุงสายตา
23.แกอ้ าการปวดฟั น ชาวมาเลเซียนําเมลด็ มะเขือพวงไปเผาให้เกิดควัน แลว้ สูดเอาควันรมแกป้ วดฟั น (เมลด็ ) 24.นํา้ คัน้ ใบสดชว่ ยลดไข้ (ใบสด) 25.ชว่ ยบรรเทาและแกอ้ าการไอ รวมไปถึงอาการไอเป็นเลือด 26.ชว่ ยบรรเทาและรั กษาอาการภูมิแพ้ 27.สารสกัดจากมะเขือพวงมีผลยับยัง้ Platelet activating factor (PAF) ซ่ึงเป็ นสาเหตุของโรคหอบหืด 28.ชว่ ยให้เจริญอาหาร รั บประทานอาหารไดม้ ากยงิ่ ข้ึน 29.ชว่ ยเสริมสร้างระบบภูมิคุม้ กันของลาํ ไส้ เพ่ือป้ องกันสารพิษท่ีเขา้ มายัง ระบบทางเดินอาหาร 30.ชว่ ยในการยอ่ ยอาหาร 31.ชว่ ยให้ระบบขับถา่ ยทาํ งานไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ เพราะมีสารเพกทนิ ท่ีทาํ หน้าท่ีดึงนํา้ ไวไ้ ดจ้ าํ นวนมาก เพ่ือเพิม่ ปริมาณของอุจจาระ จึงชว่ ยกระตุน้ การขับถา่ ย และทาํ ให้อุจจาระนุ่ม ถา่ ยงา่ ยข้ึนมาก 32.ชว่ ยป้ องกันโรคทอ้ งผูกและริดสดี วงทวาร 33.ชว่ ยในการขับปั สสาวะ (ผล, ใบ) 34.มะเขือพวงชว่ ยรั กษาแผลในกระเพาะอาหาร โดยมีฤทธิ์ตา้ นการเกิดแผล ในกระเพาะอาหารท่ีเกิดจากการใชย้ า แอลกอฮอล์ และความเครียด 35.ชว่ ยบาํ รุงตับ 36.ชว่ ยบาํ รุงไต ชว่ ยป้ องกันและรั กษาอาการเป็นพิษตอ่ ไตท่ีเกิดจากยาคีโมท่ี ใชร้ ั กษามะเร็งได้ 37.ใบสดใชแ้ กป้ วด ปวดขอ้ (ใบสด)
38.ชว่ ยแกอ้ าการฟกชาํ้ ดอกแค 1. ดอกแคมีประโยชน์ใชเ้ ป็นยาระบายได้ 2. ดอกแคมีสรรพคุณชว่ ยรั กษาอาการหัวลม 3. ดอกแคชว่ ยถอนพิษไข้ แกห้ วัด 4. ดอกแคเป็นพืชเยน็ ชว่ ยลดความร้อนในร่างกาย แกร้ ้อนใน 5. ประโยชน์ของดอกแคใชเ้ ป็นยาขับเสมหะ ลดนํา้ มูก 6. ดอกแคลดอาการอักเสบของเย่ือบุโพรงจมูก 7. ดอกแคนําไปสกัดเป็นสว่ นผสมของแชมพูสระผม ชว่ ยลดอาการคันหนั ง ศรี ษะ 8. ดอกแคนําไปสกัดเป็นสว่ นผสมของแชมพูสระผม ชว่ ยลดรั งแค 9. ประโยชน์ของดอกแคชว่ ยป้ องกันผมร่วง 10. ดอกแคมีสรรพคุณบาํ รุงสายตา เน่ืองจากมีเบตา้ แคโรทีน 11. ดอกแคแกอ้ าการคัน และแผลอักเสบ ชว่ ยฆา่ เช้ือโรค 12. ดอกแคมีประโยชน์ดีชว่ ยรั กษาโรคไซนั สอักเสบ 13. ดอกแคชว่ ยบรรเทาอาการลมบา้ หมู 14. นํา้ ดอกแคชว่ ยแกท้ อ้ งร่วง ทอ้ งเดิน ทอ้ งเสยี 15. ดอกแคนอกจากจะชว่ ยฆา่ เช้ือ ยังชว่ ยขับพยาธิไดด้ ว้ ย 16. สรรพคุณดอกแคชว่ ยลดระดับนํา้ ตาลในเลือด 17. ดอกแคเหมาะกับผูป้ ่ วยโรคเบาหวาน
18. ดอกแคมีสรรพคุณแกอ้ าการใจสัน่ 19. ดอกแคชว่ ยให้นอนหลับสบาย ทาํ ให้ร่างกายเยน็ สบาย 20. ประโยชน์ของดอกแคชว่ ยให้ผิวพรรณอิม่ นํา้ เนียนนุ่ม ลดร้ิวรอย 5 สสี ันจากพืช เพิม่ คุณคา่ ให้ม้ืออาหาร 1. แดง อาหารสแี ดงท่ีมีคุณคา่ มีอยูม่ ากมาย เมด็ สที ่ีทาํ ให้ผักและผลไมม้ ีสแี ดง นั น้ ช่ือวา่ แอนโธไซยานิน สารฟลาวานอยด์ ท่ีไมเ่ พียงแตจ่ ะทาํ ให้สตรอวเบอร์ร่ีหรือ แอปเป้ิลสวยงามอยา่ งท่ีเราเหน็ กันอยู่ แตย่ ังทาํ หน้าท่ีเป็นแอนต้ีออกซิแดนต์ ป้ องกัน ความเสยี หายท่ีอาจข้ึนกับเซลลจ์ ากอนุมูลอิสระ สว่ น Lycopene สารตา้ นอนุมูล อิสระท่ีพบในเกรปฟรุตสี ชมพูมะเขือเทศ และแตงโม กม็ ีการศกึ ษาพบวา่ มันสามารถ ชว่ ยลดความเส่ยี งเป็นมะเร็งตอ่ มลูกหมากได้ และสาํ หรั บคนท่ีช่ืนชอบรสจัดจา้ นของ พริกสแี ดงหรือรสหวานกรอบของพริกหวาน กว็ างใจไดว้ า่ ทัง้ สองอยา่ งน้ีลว้ นแลว้ แต่ ดีตอ่ หัวใจ เทคนิคงา่ ยๆคืออยา่ ลืมใสส่ รอวเบอร์ร่ี ราสเบอร์ร่ีหรือทับทมิ ลงไปในสลัด หรือซีเรียลท่ีคุณช่ืนชอบ 2. สม้ /เหลือง ตอ้ งขอบคุณ แคโรทีนอยดใ์ นผักและผลไมส้ สี ม้ และสี เหลือง อยา่ งเชน่ มันฝรั่ง ฟั กทอง แครอทฯลฯ ท่ีทาํ ให้เราสามารถตา้ น อนุมูลอิสระ บาํ รุง สายตา และเสริมสร้างระบบภูมิคุม้ กัน เบตา้ แคโรทีน สารตัง้ ตน้ ของวติ ามินเอ ชว่ ย ลดความเส่ยี งเกิดมะเร็งและโรคหัวใจในขณะท่ีวติ ามินซีและโฟเลตจากพืชตระกูลสม้ กเ็ ป็นสารตา้ นอนุมูลอิสระท่ีชว่ ยเสริมภูมิคุม้ กันดว้ ยเชน่ กัน แถมอาหารสสี ม้ และ เหลืองยังครอบคลุมไปถึงถั่วชนิดตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเป็นอัลมอนด์ ขา้ วโพดถั่วลูกไก่ เมด็ มะมว่ งหิมพานต์ ฯลฯ ให้คุณเลือก กินดว้ ยนะ 3. มว่ ง/น้ําเงนิ /ดาํ บลูเบอร์ร่ีและแบลก๊ เบอร์ร่ีไดส้ ขี องพวกมันมาจากไฟโตนิว เทรียนต์ ฟลาวานอยดซ์ ่ึงชนิดท่ีพบในอาหาร สนี ้ําเงนิ และมว่ งจะทาํ ให้หลอดเลือด ของคุณแขง็ แรงเทา่ กับวา่ ดีตอ่ ระบบหลอดเลือดหัวใจและลดความเส่ยี งเป็นโรคหัวใจ
ฟลาวานอยดย์ ังอาจชว่ ยบรรเทาภาวะสูญเสยี ความทรงจาํ ระยะสัน้ อันเป็นผลมาจาก ความชรา และกอ็ าจจะปกป้ องคุณจาก โรคมะเร็งไดด้ ว้ ยซา้ํ ถา้ คุณนึกไมอ่ อกวา่ จะหา ผักผลไมส้ นี ้ีไดท้ ่ีไหน ไมต่ อ้ งมองไกลตัวคุณหาไดจ้ ากลูกเกด ลูกพรุน เหด็ สดี าํ มะเขือมว่ ง บีตรูตหรือกระหลา่ํ ปลีมว่ ง และกอ็ ยา่ ลืมถั่วตา่ งๆ เชน่ ถั่วดาํ เมลด็ แฟลก็ ซ์ และแมแ้ ตส่ าหร่ายกใ็ ห้ประโยชน์ คลา้ ยกันนะ 4. เขียว สเี ขียวเกิดจากเมด็ สที ่ีเรียกวา่ “คลอโรฟิลล”์ คลา้ ยคลึงกับโครงสร้าง ของฮีโมโกลบนิ ในร่างกายมนุษยค์ ลอโรฟิลลช์ ว่ ย เพิม่ การผลิตเซลลเ์ มด็ เลือด การไหลเวียนโลหิตดีทาํ ให้การขนถา่ ยออกซิเจน ไปเล้ียงทั่วร่างกายสะดวกข้ึน เชน่ เดียวกับการไลพ่ ิษออกจากร่างกาย นอกจากน้ี ผัก ใบเขียวยังมีสารไฟโตเคมีเรียกLutein ชว่ ยลดความเส่ยี งเกิดตอ้ หินและและ ชะลอ ความความเส่อื มถอยของกลา้ มเน้ือ บร็อกโคล่ี คะน้า ผักโขม หน่อไมฝ้ รั่งกีวี และ กวางตุง้ เป็นเพียงแคต่ ัวอยา่ งหน่ึงของผักใบเขียวท่ีมีประโยชน์ตอ่ สุขภาพของคุณแต่ ถา้ คุณชอบอาหารกรุบกรอบข้ึนมาหน่อยกล็ องกินสลัดแลว้ โรยเมลด็ ฟั กทอง ถั่วพิสตา ชิโอและเหยาะน้ ํามั นมะกอกลงไปอีกนิ ด 5. ขาว ไมว่ า่ คุณจะชอบความกรุบกรอบของหัวไชเทา้ ลูกแพร์ หรือเกาลัดแอ โธแซนธิน ในอาหารสขี าวอาจชว่ ยลดไดท้ ัง้ ความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล ยงิ่ ถา้ คุณชอบความหวานของหัวหอมใหญล่ ะกค็ ุณคงยนิ ดีท่ีไดร้ ู้วา่ ในหัวหอมใหญเ่ ตม็ ไป ดว้ ย สารชนิดหน่ึงช่ือวา่ Quercetinสารตา้ นอนุมูลอิสระท่ีรู้จักกันถึงสรรพคุณตา้ น อาการอักเสบและชว่ ยบาํ รุงหลอดเลือดหัวใจ อาหารสขี าวอ่ืนๆ กไ็ ดแ้ ก่ กระเทียม มัน ฝรั่ง กะหลา่ํ ดอก ถั่วเหลือง ถั่วขาว ขา้ วไมข่ ัดสี และขา้ วบาร์เลย์ กเ็ ป็นทางเลือกท่ีดี ในการกินอาหารไร้สี ขา้ วเป็นอาหารหลักของชาวเอเชียแปซิฟิก และไทยรวม 17 ประเทศ (Liang et al. 2008) ประเทศ ในทวีปอเมริกาเหนือและใต้ 9 ประเทศ และ ประเทศ ในทวีปแอฟริกาอีก 8 ประเทศ (FAO 2004) มาเป็น เวลานาน ขา้ วมีสว่ น ประมาณ 20 เปอร์เซน็ ตใ์ นการ เป็นอาหารให้พลังงานของโลก โดยท่ีขา้ วสาลีและ ขา้ วโพดมีสว่ นประมาณ 19 และ 5 เปอร์เซน็ ต์ ตาม ลาํ ดับ นอกเหนือจากให้
พลังงานแลว้ ขา้ วยังเป็น แหลง่ ท่ีดีของไธอามิน ไรโปฟลาวนิ และ ไนอาซิน (FAO 2004) และยังเป็นแหลง่ ท่ีดีของสารอาหาร รอง (Micronutrients) ในพ้ืนท่ีชนบท (Liang et al. 2008) (ตาราง 1) ประชากรเอเชียประมาณ 3 พันลา้ น คนบริโภค ขา้ วเพ่ือให้พลังงานเป็นสัดสว่ น 30-60% ของปริมาณพลังงานทัง้ หมดท่ีไดร้ ั บ (Khush 1997) อยา่ งไรกต็ าม การบริโภคขา้ วของประชากรเอเชีย มีแนวโน้มลดลง เชน่ ประเทศญ่ีป่ ุน ไตห้ วัน มาเลยเ์ ซีย และ จีน ซ่ึงมีแนวโน้มลดลงมาตัง้ แตป่ ี ค.ศ. 1965 ถึง 1970 (Ito and Ishikawa 2004) ร่องรอยเกา่ แกท่ ่ีสุดเทา่ ท่ีคน้ พบ เก่ียวกับการ ปลูกขา้ วเป็นหลักฐานจากภาชนะท่ีมีรอยประทับของ เมลด็ ขา้ วและ แกลบจากแหลง่ โบราณคดีโนนนกทา จังหวัดนครราชสมี า โดยพบวา่ มีอายุไมต่ า่ํ กวา่ 4,000 ปี (Khush 1997) ประเทศในเอเชียปลูกและบริโภคขา้ ว ประมาณ 90 เปอร์เซน็ ตข์ องโลก (Khush 1997, Hossain and Narciso 2004) และ หาก พิจารณาประเทศ กาํ ลังพัฒนานั น้ ปริมาณดังกลา่ วคดิ เป็น 96 เปอร์เซน็ ต์ ของโลก (Hossain and Narciso 2004) พ้ืนท่ีปลูก ขา้ วของโลกคดิ เป็นประมาณ 11% ของพ้ืนท่ีเพาะปลูก ทั่วโลก ซ่ึงน้อยกวา่ พ้ืนท่ีปลูกขา้ วสาลีเลก็ น้อย แต่ ผลผลิตขา้ ว สาลีสว่ นใหญใ่ ชเ้ ป็นอาหารสัตว์ ซ่ึงตา่ ง จากขา้ วท่ีสว่ นใหญบ่ ริโภคโดยมนุษย์ (Khush 1997) ขา้ วเป็นพืชในสกุล (Genus) Oryza ซ่ึงอยู่ ในวงศ์ (Family) เดียวกับหญา้ โดยพืชสกุลขา้ วมี ชนิดปลูก (Cultivated species) 2 ชนิด และ ชนิด ป่ า (Wild species) 21 ชนิดและ มีการประมาณวา่ ทั่วโลกมีขา้ วอยูป่ ระมาณ 120,000 สายพันธุ์ (Khush 1997) ขา้ วชนิดท่ีคนไทยบริโภคคือ Oryza sativa L. สว่ นชนิดท่ีบริโภคในทวีปแอฟริกาโดยเฉพาะแอฟริกา ตะวันตกคือ Oryza glaberrima Steud (สงกรานต์ 2531 อา้ งโดย เสถียร 2547) ขา้ วเอเซียแบง่ ยอ่ ยออก เป็น1) ขา้ วเมลด็ สัน้ หรือขา้ วญ่ีป่ ุน (Oryza sativa var. japonica) ท่ี ปลูกในประเทศแถบเอเชียตะวันออก เชน่ จีน ญ่ีป่ ุน และ เกาหลี 2) ขา้ วเมลด็ ยาว (Oryza sativa var. indica) ท่ีปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินโดนีเซีย และ 3) ขา้ วชวา (Oryza sativa 33 วารสารคลินิกอาหารและโภชนาการ (วคอภ) พ.ศ. 2553 ปี ท่ี 4 ฉบับท่ี 1 Thai Journal of Clinical Nutrition (TJCN) 2010;4(1) var. javanica) ท่ีปลูกในอินโดนีเซีย (เสถียร 2547) ประชากร ประเทศไทยประมาณ 64.24 ลา้ นคนบริโภค ขา้ วเป็นอาหารหลัก โดยขา้ วท่ีปลูกใน ประเทศไทย นั น้ ใชบ้ ริโภคประมาณ 55 เปอร์เซน็ ต์ และ สง่ ออก ประมาณ 45
เปอร์เซน็ ต์ โดยประเทศไทยเป็นผูส้ ง่ ออก ขา้ วอันดับของโลกมาเป็นเวลานานกวา่ 1 ทศวรรษ ซ่ึง สร้างรายไดป้ ระมาณ 1,700 ถึง 1,900 ลา้ นเหรียญ สหรั ฐอเมริกาตอ่ ปี (Vanichanont 2004) ประเทศหลัก ท่ีนําเขา้ ขา้ วจากประเทศไทยคือ อินโดนีเซีย ไนจีเรีย อิหร่าน สหรั ฐอเมริกา และ สงิ คโปร์ (Asia BioBusiness 2006) วัตถุประสงคห์ ลักของงานศกึ ษา คือ วเิ คราะหส์ ภาวะการผลิตขา้ วภายใต้ แผนการผลิตและ การตลาดขา้ วครบวงจรอันเน่ืองจากสถานการณ์การผลิตของ ประเทศมีอุปทานท่ีมากกวา่ อุปสงคท์ าํ ให้ ผลผลิตขา้ วไมส่ มดุลกับความตอ้ งการของ ตลาด การศกึ ษาครั ง้ น้ีดาํ เนินการตัง้ แตเ่ ดือน พฤศจิกายน 2559 - กุมภาพันธ์ 2560 โดยรวบรวมขอ้ มูลสถิติเอกสารการประชุม/อภิปรายของคณะทาํ งานชุดตา่ งๆ และจาก การสาํ รวจความคดิ เหน็ ของชาวนาในเขตภาคกลาง นําขอ้ มูลทัง้ หมดมา ประมวล วเิ คราะห์ สรุปผลและ ประเดน็ ปั ญหาอุปสรรค ในสว่ นท่ีเก่ียวขอ้ ง เพ่ือให้ ไดข้ อ้ เสนอแนะแนวทางการปรั บปรุงการดาํ เนินงานให้ สาํ เร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ ของนโยบายรั ฐ จากการศกึ ษาขอ้ มูลการเพาะปลูกขา้ วของโลกในระหวา่ งปี 2547-2559 พบวา่ ประเทศไทย มีเน้ือท่ีปลูกขา้ ว เป็นอันดับ 5 ของโลก รองจาก อินเดีย จีน อินโดนีเซีย และบังคลาเทศไดผ้ ลผลิตขา้ วมาก เป็นอันดับท่ี 6 รองจาก จีน อินเดีย อินโดนีเซีย บังคลาเทศ และเวียดนาม และมีผลผลิตเฉล่ียตอ่ ไร่อยูใ่ น อันดับท่ี 21 ของโลก สภาพการผลิตขา้ วของประเทศไทยในรอบ 13 ปี ท่ีผา่ นมา (ปี 2547-2559) มีเน้ือท่ี เพาะปลูกขา้ วอยูร่ ะหวา่ ง 57-65 ลา้ นไร่ ผลผลิตขา้ วอยู่ ระหวา่ ง 22-25 ลา้ นตันขา้ วเปลือก และผลผลิตตอ่ ไร่ ของขา้ วไทยอยูร่ ะหวา่ ง 427- 440 กิโลกรั ม โดยปี 2556 มีปริมาณการสง่ ออกขา้ วไดม้ ากท่ีสุด 10.97 ลา้ นตัน และปี 2555 สง่ ออกขา้ วไดน้ ้อยท่ีสุด 6.72 ลา้ นตัน สภาพการผลิตขา้ วของ ประเทศไทยท่ีผา่ นมา พบวา่ ยังมีปั ญหาการผลิตในหลายดา้ น ไดแ้ ก่ อุปทานมากกวา่ อุปสงคอ์ ยูถ่ ึง 5.8 ลา้ นตันขา้ วเปลือก ความไมเ่ ป็นธรรมชาวนาถูกเอารั ดเอาเปรียบ มาตรฐานขา้ วหอมมะลิมีมาตรฐานเดียว การบริหารจัดการพันธุข์ า้ วไมท่ ั่วถึง ไมเ่ พียง พอ งานวจิ ัยมีปั ญหา ในการทาํ ให้เป็นสนิ คา้ และนํามาใชใ้ นอุตสาหกรรม ไมม่ ีการ สร้างมูลคา่ เพิม่ และขอ้ มูลขา่ วสารมีหลายแหลง่ มากเกินไปเกิดความสับสนจาํ เป็น
ตอ้ งมีการวางแผนการปลูกขา้ ว ใชอ้ ุปสงคเ์ ป็นตัวตัง้ ในการกาํ หนดแผนการ ผลิต และแบง่ การเพาะปลูกให้สอดคลอ้ งตามความเหมาะสมกับพ้ืนท่ี การศกึ ษาการแปรรูปขา้ วข้ึนรูปจากแป้ งขา้ วพันธุช์ ัยนาท (อะมิโลส 32.9%) ดว้ ยเคร่ือง เอกซท์ รูเดอร์แบบสกรูคูห่ มุนตามกัน ใชห้ น้าแปลนรูปเมลด็ ขา้ ว โดยใช้ ความช้ืนของการเอกซท์ รูชัน (em)28และ33% อุณหภูมิบาเรล 90และ110C อัตราการป้ อนวัตถุดิบ 0.5กิโลกรั มตอ่ ชั่วโมงความเร็วรอบสกรู30รอบตอ่ นาทีขา้ วขึ้ นรูปท่ี ผลิตไดม้ ีระยะเวลาการหุงตม้ น้อยลง 4 – 8 นาทีใชป้ ริมาณน้า ในการหุงตม้ มากข้ึน 13 -29% มีความเหนียวและแรงกดอัดภายในภาชนะ มากกวา่ ขา้ วสารปกติ มีระดับการสลายตัวในสารละลายเบสสูงท่ีสุดท่ีระดับ 7 และสูงกวา่ ขา้ วสาร ปกติท่ี ระดับ 6 เม่ือศกึ ษาโครงสร้างระดับจุลภาคดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์อิเลก็ ตรอนชนิดสอ่ ง กราด พบวา่ ขา้ วข้ึนรูปสูญเสยี โครงสร้างท่ีเป็นรูปทรงหลายเหล่ียมของเมด็ แป้ ง ภาพ ตัดขวางของขา้ วข้ึนรูปมีลักษณะเป็นมวลเน้ือเดียวกนั แน่นแป้ งขา้ วข้ึนรูปมีระดับการ เกิดเจลลาติไนเซชัน 22 – 49% ดัชนีการอุม้ น้า 1.53 – 15.58 g/gและดชันีการ ละลายน้า 2.73 – 4.21% สูงกวา่ แป้ งขา้ วพันธุช์ ัยนาท เม่ือความช้ืนของการเอกซ์ ทรูชันและอุณหภูมิบาเรลเพิม่ ข้ึน ระดับการเกิดเจลลาติไนเซชันมีคา่ เพิม่ ข้ึน การเพิม่ ความช้ืนของการเอกซท์ รูชนั ทา ใหด้ ชันีการอุม้ นํา้ ดัชนีการละลายนํา้ ระยะเวลาการ หุงตม้ ปริมาณน้า ในการหุงตม้ ความเหนียวและแรงกดอัดภายในภาชนะมีคา่ มากข้ึน การศกึ ษา โครงสร้างผลึกดว้ ยการกระเจิงของรั งสี เอกซ(์ WAXS) พบวา่ แป้ งขา้ วข้ึน รูปท่ี สภาวะem28% + 90C, em 28% +110C และ em33% +90C แสดง ลักษณะผลึกแบบ A + V ปริมาณเลก็ น้อย ในขณะท่ีแป้ งเขา้ รูปท่ีสภาวะem33% +110C มีโครงสร้างผลึกแบบ V เม่ือศกึ ษาคุณสมบัติ ทางความร้อนดว้ ย DifferentialScanning Colorimeter พบวา่ แป้ งขา้ วข้ึนรูปมีคา่ อุณหภูมิเริ่มตน้ ของ การหลอม (onset temperature, To),อุณหภูมิสูงสุดของการหลอม (peak temperature, Tp),อุณหภูมิ สุดทา้ ยของการหลอม (conclusion temperature, Tc) สูงกวา่ แป้ งขา้ วพันธุช์ ัยนาท แป้ งขา้ วข้ึนรูปท่ีสภาวะ em33% +110C มีคา่ To, Tcและ Tp สูงท่ีสุด คือ104,109และ117C ตามลาํ ดับ
บทท่ี 3 วธิ ีดาํ เนินการศกึ ษาคน้ ควา้ ในการศกึ ษาครั ง้ น้ี ผูศ้ กึ ษาไดท้ าํ การศกึ ษาการพัฒนาประโยชน์ของขา้ ว ผา่ น โครงงานท่ีช่ือวา่ ศรีรั กษ์ขา้ ว ซ่ึงมีวธิ ีการดังน้ี 1. ระเบียบวธิ ีท่ีใชใ้ นการศกึ ษา ในการศกึ ษาใชร้ ูปแบบการสาํ รวจ สบื คน้ ขอ้ มูล จากหนั งสอื และอินเทอร์เน็ต 2 ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการศกึ ษา ในปี การศกึ ษา 2562 3. วธิ ีดาํ เนินการศกึ ษา
ผูศ้ กึ ษาไดด้ าํ เนินการตามขัน้ ตอนดังน้ี 3.1 กาํ หนดเร่ืองท่ีจะศกึ ษา โดยสมาชิกทัง้ 6 คน ประชุมร่วมกัน และร่วมกัน คดิ และวางแผน วา่ จะศกึ ษาเร่ืองใด ( สมาชิกกลุม่ ทัง้ 6 คน ไดม้ าโดยนําผลการเรียน วชิ าภาษาไทยพ้ืนฐาน มาจัดแบง่ กลุม่ เกง่ กลาง ออ่ น) 3.2 สาํ รวจปั ญหาท่ีพบในโรงเรียน ซ่ึงมีทัง้ ปั ญหาดา้ นผูเ้ รียน ครูผูส้ อน อาคาร สถานท่ี สงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรียน ฯลฯ 3.3 เลือกเร่ืองท่ีจะศกึ ษา โดยเลือกเร่ืองท่ีสมาชิกมีความสนใจมากท่ีสุด เพ่ือ เป็นแรงจูงใจในการคน้ หาคาํ ตอบ 3.4 ศกึ ษาแนวคดิ ในการแกป้ ั ญหา ( ในขอ้ น้ียังไมส่ ามารถดาํ เนินการได้ เน่ืองจาก การเรียนรายวชิ า IS1 เวลามีจาํ กัด ผูศ้ กึ ษาจึงทาํ ไดเ้ ฉพาะการสาํ รวจความ คดิ เหน็ และสร้างเคร่ืองมือ (แบบสอบถาม) ศกึ ษาเพียงเพ่ือให้มีความรู้ ความเขา้ ใจ เร่ืองกระบวนการวจิ ัยเทา่ นั น้ 3.5 ตัง้ ช่ือเร่ือง 3.6 สมาชิกทัง้ 6 คนของกลุม่ พบครูผูส้ อนเพ่ือปรึกษา วางแผนและรั บฟั ง ความคดิ เหน็ ปรั บปรุงแกไ้ ข 3.7 เขียนความสาํ คัญความเป็นมาของปั ญหา วัตถุประสงค์ สมมุติฐาน ขอบเขตการวจิ ัยและประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ั บ โดยศกึ ษาขอ้ มูลจากหนั งสอื วทิ ยานิพนธแ์ ละสบื คน้ ขอ้ มูลจากอินเตอร์เน็ต และจดบันทึกในโครงร่างรายงานเชิง วชิ าการ (ตามใบงาน) 3.8 นําเคร่ืองมือท่ีปรั บปรุงแลว้ ไปใชก้ ับกลุม่ ตัวอยา่ ง 3.9 รวบรวมขอ้ มูล 3.10 วเิ คราะหข์ อ้ มูล 3.11 สรุปการศกึ ษา
บทท่ี 4 ผลการดาํ เนินงาน ผลการดาํ เนินงาน การเคลือบขา้ วดว้ ยสจี ากธรรมชาติ โดยมีวัตถุดิบดังน้ี ไดแ้ ก่ มะพร้าว หัวหอมใหญ่ ดอกแข หัวใชเ้ ทา้ นํามาผลิตสขี าว ผักบุง้ ผักไห่ ถั่วผักยาว มะเขือเปราะ มะเขือพวง ยอดฟั กทอง ใบมะกรูด ใบยา่ นาง ใบโหระพา นํามาผลิตสเี ขียว มะเขือเทศ แครอท หมอ่ น นํามาผลิตสสี ม้ แดง เปลือกมังคุด ดอกอัญชัญ นํามาผลิตสเี มว่ ง นํา้ เงนิ
ดอกฟั กทอง ลูกฟั กทอง แตงไทย นํามาผลิตสเี หลือง โดยมีวธิ ีการสกัดสดี ังน้ี 1.เตรี ยมวั ตถุดิบในการสกั ดสี 2.นําวัตถุมาปั่ นหรือคัน้ นํา้ 3.นํานํา้ ท่ีไดม้ าเคลือบกับขา้ ว 4.นําขา้ วท่ีเคลือบไปหุงรั บประทานหรือหอ่ บรรจุภั ณฑเ์ กบ็ ไว้ ซ่ึงหลังจาการรั บประทานขา้ วจะไดร้ ั บสารอาหารดังน้ี คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll), ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) - ชว่ ยลดความเส่ยี งโรคมะเร็ง ชะลอการเส่อื มของจอประสาทตา มีไฟเบอร์สูง ชว่ ย เร่ืองการขับถา่ ย ยับยัง้ การเกิดร้ิวรอย ชว่ ยตา้ นอนุมูลอิสระ และกระตุน้ ภูมิคุม้ กันใน ร่างกาย ไลโคปี น (Lycopene) เบตาไซซีน (Betacycin) และสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ไลโคปี นเป็นสารตา้ นอนุมูลอิสระชัน้ ดีชว่ ยยับยัง้ เซลลม์ ะเร็ง ทาํ ให้ ลดความเส่ยี งของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตอ่ มลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็ง ปากมดลูก ชว่ ยลดปริมาณไขมันไมด่ ีชนิด LDL-cholesterol ชว่ ยชะลอการเกิดโรค หัวใจหลอดเลือด ลดความดันโลหิตและลดการแขง็ ตัวของหลอดเลือด นอกจากน้ียัง ชว่ ยในเร่ืองของร้ิวรอยจากสวิ แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ชว่ ยตา้ นอนุมูลอิสระ มีการวจิ ัยพบวา่ แอ นโทไซยานินมีประสทิ ธิภาพในการตา้ นอนุมูลอิสระสูงกวา่ วติ ามินซีและอีถึง 2 เทา่ ชว่ ยปกป้ องหลอดเลือด กระตุน้ การไหลเวียนของเลือด และลดความเส่ยี งในการเป็น โรคหัวใจหลอดเลือดได้ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้ องกันมะเร็งหลายชนิด เชน่ มะเร็งลาํ ไสแ้ ละตับ มะเร็งเมด็ เลือดขาว และมะเร็งของระบบสบื พันธุ์ ยับยัง้ เช้ืออีโคไล ในทางเดินอาหารท่ีทาํ ให้เกิดทอ้ งเสยี ตา้ นไวรั ส และลดการอักเสบ
บทท่ี 5 อภิปรายและสรุปผล จากการทดสอบ เคร่ืองวัดจาํ นวนสถิติคนเขา้ -ออกห้องสมุดสามารถวัดจาํ นวน คนได้ โดยจะจัดเกบ็ ขอ้ มูลเป็นรายวัน (ให้ x คือจาํ นวนคนเขา้ ออกทัง้ หมด จะได้ x/2) พบวา่ การทดสอบประสทิ ธิภาพของเคร่ืองวัดจาํ นวนสถิติคนเขา้ -ออกห้องสมุด อยูใ่ นเกณฑร์ ะดับดี เน่ืองจากเกิดปั ญหาคือ เม่ือมีคนเขา้ ออกห้องสมุดพร้อมกันหลาย คน กอ็ าจทาํ ให้เซนเซอร์แปรผลผิดได้
ขอ้ จาํ กัดของระบบ 1.เม่ือคนเขา้ ออกพร้อมกันมากๆ เซนเซอร์จะไมส่ ามารถแปรผลเป็นจาํ นวนคนได้ หรืออาจจะแปรผลผิดพลาด 2.เน่ืองจากขาดทักษะและความชาํ นาญในการทาํ งานจึงอาจทาํ ให้เกิดขอ้ ผิดพลาดใน การทาํ งานได้ ขอ้ เสนอแนะ 1.ควรติดตัง้ เคร่ืองวัดจาํ นวนสถิติคนเขา้ -ออกให้มั่นคง มิฉะนั น้ ตัวเคร่ืองอาจจะหลุด ได้ บรรณานุ กรม
http://www.farmkaset.org/contentsnet/default.aspx?content=0080 7# http://www.prd.go.th/ewt_news.php?nid=90993 https://www.honestdocs.co/benefits-of-sweet-basil-and-caution?fb clid=IwAR1IPPRVqaxTEcxW4VQ3R8qlOrAzObuGCqK95fkmf1Z WA5yOzlrK62Clyk4 https://www.winnews.tv/news/19150?fbclid=IwAR1euN3ct_FjdAa wiUUvaM0m58bZCQOdWFFqLC65VGADyuRiO0xTAooHGJo https://sukkaphap-d.com/
Search
Read the Text Version
- 1 - 49
Pages: