Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้ที่ 1 ระบบนิเวศ

ใบความรู้ที่ 1 ระบบนิเวศ

Published by tanawichseangram123, 2022-01-31 04:24:55

Description: ใบความรู้ที่ 1 ระบบนิเวศ

Search

Read the Text Version

ใบความรทู ี่ 1 เรอื่ ง ระบบนิเวศ (Ecosystem) ระบบนิเวศ หมายถงึ ความสมั พนั ธข องสิ่งมีชีวิตในแหลงที่อยูแหลงใดแหลง หนึ่ง ซึ่งมาจากราก ศพั ท ในภาษากรกี 2 คาํ คอื Oikos แปลวา บาน, ทีอ่ ยูอ าศัย และ Logos แปลวา เหตผุ ล, ความคิด ความหมายของคําตา งๆ ในระบบนิเวศ สง่ิ มีชีวิต (Organism) หมายถึง ส่งิ ทต่ี องใชพ ลงั งานในการดํารงชวี ติ ซ่ึงมีลกั ษณะท่สี ําคัญดงั นี้ 1. ตองมกี ารเจรญิ เตบิ โต 2. เคลื่อนไหวไดด วยพลังงานทีเ่ กิดข้นึ ในรา งกาย 3. สืบพันธไุ ด 4. สามารถปรบั ตวั ใหเ ขากับสภาพแวดลอ ม 5. ประกอบไปดวยเซลล 6. มกี ารหายใจ 7. มกี ารขับถายของเสีย 8. ตอ งกินอาหาร หรือแรธาตตุ างๆ ประชากร (Population) หมายถึง สงิ่ มชี วี ติ ทัง้ หมดที่เปนชนดิ เดียวกัน อาศัยอยูในแหลง ท่อี ยู เดียวกัน ชว งเวลาใดเวลาหน่ึง กลุม สิ่งมีชวี ิต (Community) หมายถงึ สงิ่ มีชวี ิตหลายๆชนิดมาอาศยั อยรู วมกันในบรเิ วณใด บริเวณหนง่ึ โดยส่งิ มีชวี ติ นั้นๆ มคี วามสมั พนั ธกนั โดยตรงหรอื โดยทางออ ม โลกของสิ่งมชี ีวติ (Biosphere) หมายถึง ระบบนเิ วศหลายๆ ระบบนเิ วศมารวมกนั แหลง ทีอ่ ยู (Habitat) หมายถงึ บรเิ วณ หรอื สถานท่ที ใ่ี ชส ําหรบั ผสมพันธวุ างไข เปนแหลง ทอ่ี ยู เชน บาน สระนํ้า ซอกฟน ลําไสเล็ก สงิ่ แวดลอม (Environment) หมายถึง ส่งิ ทีม่ ีผลตอการดาํ รงชวี ติ ของสิ่งมชี ีวติ ทาํ ใหส ง่ิ มชี ีวิตเจริญเติบโต หรือ ดาํ รงชวี ิตไดดหี รือไม หรอื หมายถงึ ส่งิ ที่อยูรอบๆ ตวั เรา ทั้งทม่ี ชี ีวิตและไมม ีชวี ิต โครงสรา งระบบนเิ วศ 1. องคประกอบที่ไมมชี ีวิต (Abiotic Substance) ไดแก สารชนดิ ตา งๆ ท้งั ท่เี ปน อินทรียสารและ อนินทรียสารท่สี งิ่ มีชีวติ สามารถนํามาใชใ นการดาํ รงชวี ิต เชน กา ซออกซิเจน กา ซคารบอนไดออกไซด นาํ้ แรธาตุตา งๆ เปนตน 2. กลุมส่ิงมชี วี ติ (Community) แบง ได 3 พวก คือ 2.1 ผูผ ลิต (Producer หรือ Autotroph) คือ สง่ิ มชี วี ิตทส่ี ามารถสงั เคราะหอ าหารไดโดยการ เปลย่ี น อนนิ ทรยี สารใหเ ปนอนิ ทรียสาร มี 2 ประเภท คือ

- สงั เคราะหอ าหารเองได สวนใหญม ีการสังเคราะหดว ยแสงเพราะมีคลอโรฟลล ไดแ ก พืชสเี ขยี ว แพลงกตอนพชื (phytoplankton) - ไมสามารถสงั เคราะหอ าหารเองได ผูผลิตบางพวกสามารถกินสตั วไดเพราะตอ งการนาํ ไนโตรเจนไปสรางเนอ้ื เยอื่ พืชพวกนีไ้ ดแ ก ตนหมอ ขาวหมอ แกงลิง กาบหอยแครง สาหรา ยขาวเหนยี ว สว นใหญถ อื วาทําหนา ที่เปน ผูผ ลิต 2.2 ผบู ริโภค (Consumer) หมายถึง สิง่ มีชีวิตทไ่ี มสามารถสรางอาหารเองได จําเปน ตอง บรโิ ภคผผู ลิต หรือผบู รโิ ภคดวยกันเองเปน อาหาร แบงเปนกลุมยอย ไดด งั น้ี - ผูบริโภคที่กินพชื เปนอาหาร (Herbivore) เปนสตั วท ี่กนิ พชื จงึ เปนผบู ริโภคอนั ดบั แรกทไี่ ดรับการ ถา ยทอดพลังงานจากพชื โดยตรง เชน มา วัว ลา แกะ ควาย สงิ่ มชี วี ติ พวกนจ้ี ะมีลาํ ไสย าวเพอ่ื ชว ยในการ ยอ ย เซลลโู ลส - ผูบรโิ ภคทก่ี ินสัตวเ ปนอาหาร (Carnivore) เปน สตั วท ่ีกินสัตว ไดรับการถายทอดพลังงานจากพืช โดยตองกินสตั วกนิ พืชอกี ตอ หน่งึ เชน สิงโต เสือ ปลาฉลาม เหยยี่ ว สง่ิ มชี ีวติ พวกนจี้ ะมีลาํ ไสส้นั - ผูบรโิ ภคทีก่ ินทั้งพืชและสตั ว (Omnivore) เปนสัตวท ี่กินทัง้ พืชและสตั วเ ปนอาหาร ซึ่งไดรับการ ถายทอดพลังงานจากพชื หรอื สตั วก ินพืช เชน นก เปด ไก คน - ผบู ริโภคที่กินซากพชื ซากสตั ว (Detritivore or Scarvenger) ไดแ กส ตั วท่ีกนิ ซากพชื หรือซากสัตวท ี่ตายแลว เปน อาหาร เชน ไสเดอื นดิน ก้ิงกอื ปลวก 2.3 ผูยอ ยสลาย (Decomposers) คือ สง่ิ มชี วี ิตที่ไมสามารถสรางอาหารเอง ไดแ ก รา (Fungi) และแบคทเี รีย (Bacteria) ดาํ รงชวี ิตโดยการปลอยเอนไซมอ อกมายอ ยอนิ ทรยี ส ารทอ่ี ยใู นซากพืช ซากสตั วใ หเ ปนอนินทรยี ส าร แลว ดดู ซึมสว นท่เี ปนอนนิ ทรยี สารเขา ไปใชเ ปนอาหาร บางสว นจะเหลือไว ใหผ ผู ลติ นาํ ไปใช ระบบนเิ วศแบบตางๆ ระบบนเิ วศแบงเปนกลมุ ใหญๆ ได 2 กลุม คอื ระบบนิเวศบนบกและระบบนิเวศในน้ํา ซึ่งในทน่ี ี้ จะกลาว ถงึ ระบบนิเวศ 4 แบบเทาน้ัน คอื 1. ระบบนิเวศแหลง น้าํ จืด 1.1 ความสาํ คญั - เปนแหลงอาศยั ของสตั วน าํ้ และพืชนา้ํ - เปนแหลง อาหารที่สําคญั ของมนุษยและสตั วตางๆ - เปน แหลงทใี่ หนํ้าในการอปุ โภค บรโิ ภค และทาํ การเกษตร 1.2 ตัวอยางส่ิงมีชีวิตในแหลง นา้ํ จืด - พืช เชน จอก สาหรา ย แหน - สัตว เชน หอย ปลาตา งๆ กุง

1.3 ปจ จัยท่ีมีผลตอ การดํารงชีวิต - ปจ จยั ตา งๆ ตามธรรมชาติ ไดแก ปริมาณแกสออกซิเจน ปรมิ าณแกส คารบอนไดออกไซด ปริมาณแรธ าตุ อุณหภูมิ แสง ความขุนใสของน้าํ - ปจ จยั ทางชีวภาพ ไดแก ชนิดและปริมาณของส่ิงมีชีวติ แตละชนิด - ปจ จัยท่ีเกิดจากการกระทําของมนุษย ไดแ ก การใชย าฆาแมลง ซ่งึ เมอ่ื ชะลางลงสแู หลงนํ้า จะไปทาํ ลายสง่ิ มชี ีวิตในนาํ้ ทาํ ใหม ผี ลกระทบตอ การถายทอดพลังงานและสมดุลทางธรรมชาตใิ นแหลงน้ํา 1.4 สิง่ มีชีวติ ในแหลงนํ้า - ผูผลติ ไดแ ก พชื ตางๆ ซ่งึ ในแหลงนาํ้ มีทงั้ ทเ่ี ปน พวกแพลงกต อน (Plankton) สาหราย ตา งๆ เฟรน และพชื ดอก - ผบู รโิ ภค ไดแ ก พวกแพลงกตอนสตั ว แมลงตา งๆ และสัตวพวกกินซากอินทรยี  - ผูยอ ยสลาย มที ั้งพวกแบคทเี รีย เห็ด รา 1.5 ระบบนเิ วศแหลง นํ้าจดื มี 2 ระบบ คอื ก. ชุมชนในแหลง นํา้ นิง่ ผูผลติ คอื พชื ทมี่ รี ากยึดอยูในพ้ืนดินใตทอ งนํา้ เชน พวก กก บัว กระจูด นอกจากนี้ยังมีแพลงก ตอนพืชและพืชลอยนา้ํ ตา งๆ เชน สาหราย ไดอะตอม แหน จอก เปนตน ผบู รโิ ภค คอื สงิ่ มีชีวิตทีเ่ กาะอยูตามทองนาํ้ แพลงกตอน และสง่ิ มีชีวติ ทเ่ี กาะอยตู ามตนไม หรอื ใบไมของพืชน้าํ เชน หอยโขง หอยขม ไฮดรา พลานาเรีย ข. ชุมชนในแหลงน้ําไหล เขตน้ําไหลเชย่ี ว (Rapid Zone) เปน บรเิ วณทีก่ ระแสนาํ้ ไหลแรง กนลําธารสะอาด ไมมกี ารสะสม ของตะกอนใตนํ้า เหมาะกบั การดํารงของสิ่งมีชวี ิตพวกทีส่ ามารถเกาะติดกบั วตั ถุใตนํา้ ได หรือคืบคลานไป มาไดส ะดวก หรือพวกที่สามารถวา ยน้ําทส่ี ูความแรงของกระแสน้าํ ได จะไมพ บแพลงกตอน เขตนา้ํ ไหลเอื่อย (Pool Zone) เปนบรเิ วณทีม่ ีความเร็วของกระแสน้าํ ลดลง มีการตกตะกอนของ อนภุ าคใตน ํา้ การทับถมของตะกอนมาก เหมาะกับพวกท่ีขุดรอู ยูแ ละพวกที่วา ยนา้ํ ไปมาไดอ ยางอสิ ระ รวมทง้ั แพลงกต อนดวย 1.6 การปรบั ตวั ของสงิ่ มีชวี ติ ในชุมชนแหลงนาํ้ ไหลแรง - สามารถเกาะติดแนนกบั พื้นทีผ่ วิ อาศยั อยู - มีโครงสรางสาํ หรบั เกาะหรอื ดูดติดกับพ้ืนผวิ อยา งมน่ั คง - สามารถสกดั เมอื กเหนียวใชย ึดเกาะ เชน หอย - มรี ูปรา งเพรียว เพ่ือลดความตา นทานของกระแสนํ้า - มีรปู รางแบนราบไปกบั พ้ืนที่ผวิ ทีเ่ กาะ - ชอบวายทวนนํ้าอยเู สมอ - เกาะติดกบั พ้ืนผวิ หรือซกุ ซอ นตวั ตามวัตถุใตน ํ้า

2. ระบบนิเวศในทะเล 2.1 ความสําคัญ - เปน แหลงทรัพยากรธรรมชาติที่ใหญทส่ี ุด 2.2 สภาพแวดลอ มของทะเล มผี ลทาํ ใหส งิ่ มีชีวิตมีการปรับตวั ใหเขา กบั สภาพแวดลอ ม ดงั น้ี - ทะเลและมหาสมุทรมอี าณาเขตกวางใหญไ พศาลและตดิ ตอกนั ตลอด ทําใหสงิ่ มชี ีวิตใน แตละแหงไมเ หมือนกนั ขึ้นอยูกบั อุณหภมู ิ ระดับความเค็ม และระดบั ความลึก - กระแสนํา้ ในมหาสมทุ รมีการหมนุ เวยี นเช่อื มตอกนั กระแสนาํ้ ทเี่ คล่อื นทจ่ี ากสวนลึกจะ พาเอา แรธ าตุท่อี ยกู นทะเลขน้ึ มาสผู ิวนาํ้ ทาํ ใหแพลงกต อนพชื ไดรับอาหารอุดมสมบูรณ - ทะเลมีคลน่ื และน้ําขนึ้ นา้ํ ลง คลื่นและนาํ้ ข้ึนน้ําลง ทําใหม ผี ลตอการดาํ รงชีวิตของ ส่งิ มีชีวติ บรเิ วณชายฝง - น้ําทะเลมีความเคม็ ความเคม็ นเ้ี กิดจากเกลือแรทีล่ ะลายอยจู ะแตกตัวในรูปของไอออน (Ion) ซง่ึ สว นใหญเปนไอออนของโซเดียม (Na+) และไอออนของคลอรนี (Cl-) สิ่งมีชีวิตสว นใหญในทะเลมี การปรบั ตัวโดยมีความเขม ขนของเกลือแรภายในรางกายพอๆกบั นาํ้ ทะเลสว นพวกทม่ี ีความเขม ขน ของ เกลือแรภายในรา งกายต่ํากวา ภายนอกจะมีการปรบั ตัวโดยการเพิ่มประสทิ ธภิ าพในการขับเกลือออกให ไดมาก 2.3 ส่งิ มีชีวติ ในทะเล - แพลงกตอน มที ั้งแพลงกต อนพืชและแพลงกตอนสตั ว เชนไดอะตอม กงุ เคย ตัวออ นของ เพรียงหนิ และยงั มพี วกสาหรา ย เชน สาหรา ยสีเขียว สาหรา ยสีเขยี วแกมนาํ้ เงิน - สิง่ มีชีวิตทวี่ า ยน้าํ เปน อิสระ เชน พวกปลาตางๆ เตา หมึก ปลาวาฬ ปลาโลมา - สง่ิ มีชีวติ หนา ดิน พบอยูท ่ัวไป เชน ฟองน้ํา ปะการงั เพรยี งหนิ หอยนางรม ดอกไมท ะเล ปลิงทะเล ดาวทะเล หอยแครง พลับพลึงทะเล 2.4 ระบบนเิ วศในทะเลมี 3 ชมุ นุม ชมุ ชนหาดทราย เปน บรเิ วณท่ีไมเ หมาะกบั การอาศัยของสง่ิ มีชวี ติ ในทะเลทัว่ ไป เพราะมี สภาพแวดลอมท่รี นุ แรง สงิ่ มีชีวิตจงึ มีการปรับตัวดังน้ี - มผี วิ เรียบ ลําตวั แบนราบกบั พ้ืนทราย เพอื่ สะดวกแกการแทรกตวั หนีลงทราย เชน หอย ตางๆ เหรียญทะเล - ลดขนาดของสวนตา งๆ ลง - ลดขนาดของรา งกายลง เพื่อตานทานกบั ทรายท่ถี ูกคลื่นซดั เปน ประจํา เชน ปู - ทนความแหงแลง ไดด ี - เคล่ือนไหวไดอ ยา งรวดเรว็ เพอ่ื สามารถหลบหลกี ศัตรูไดอ ยา งรวดเร็ว - ชอบฝง ตัวหรือขุดรอู ยใู นทราย

ชมุ ชนหาดหนิ เปน บริเวณที่ประกอบไปดวยหนิ เปน สว นใหญ ส่ิงมีชวี ติ มีการปรบั ตัวดังน้ี - มีความคงทน และทนทานตอ การเปลยี่ นแปลงอณุ หภูมิ โดยจะมสี ารเคลือบพวกเจลลาติน รกั ษาความชื้นและปอ งกันการระเหยของนํา้ - สามารถดูดซึมนาํ้ เอาไวใ ชเวลาน้าํ ลงได เชน พวกไลเคน - มีสารหุม ตัวเพ่อื ชวยในการแลกเปล่ยี นกา ซไดด ี ชมุ ชนแนวปะการงั ประกอบดว ยปะการังหลายชนิด มีรปู รางตา งๆ กนั ประกอบดวย แคลเซยี มคารบอเนต (CO3) ซึง่ การสรา งปะการงั จะมมี ากหรือนอยข้นึ อยกู บั อณุ หภมู ิและแสงสวา ง บริเวณ ทีม่ ีแสงมาก จะมปี ะการังมาก เพราะปะการังสวนใหญเ จริญไดดีเม่ืออยูรวมกบั สาหรายปะการังสบื พันธไุ ด โดยการแตกหนอ เช่อื มติดกัน 3. ระบบนิเวศปา ชายเลน 3.1 ความสําคัญ - เปน แหลง อาศยั และขยายพันธุสัตวน้ํา ทาํ ใหเ กดิ ความสมดุลระหวา งทะเลกบั บก - เปนแหลง พันธไุ มต างๆ ที่มคี วามสําคัญทางเศรษฐกิจหลายอยาง - เปนแหลง อาหารท่ีอุดมสมบรู ณ - เปน ฉากกําบังลม ปอ งกันการชะลา งทรี่ นุ แรงทีเ่ กิดจากลมมรสมุ และเปน เสมือนกาํ แพงปอ งกันการ พงั ทลายของดนิ - รากของพันธุไ มช ว ยกรองสงิ่ ปฏิกลู ตางๆ ในนาํ้ 3.2 ลกั ษณะของปาชายเลน ปา ชายเลน เกิดจากการทบั ถมของตะกอนบรเิ วณปากแมนา้ํ ประกอบไปดวยทราย โคลน และดิน บริเวณท่ีติดกบั ปากแมน้ําเปนดินเหนียว ถดั ไปเปนดนิ รวนและบรเิ วณท่ลี ึกเขา ไปจะมที รายมากข้ึน นอกจากน้ี บริเวณตา งๆ ของปา ชายเลนยงั แตกตา งในดา นของความเปน กรด-เบส ความเคม็ รวมท้ังความ สมบูรณข องดิน ซง่ึ วัดไดจากปริมาณ ไนโตรเจน(N), ฟอสฟอรสั (P), โปแตสเซียม(K) 3.3 ลกั ษณะของส่ิงมชี ีวติ ในปา ชายเลน - พชื จะมีรากคา้ํ จนุ เพ่อื ชวยพยงุ ลาํ ตนไมใ หลม เมอ่ื อยใู นดนิ เลน - เมลด็ พชื จะงอกตั้งแตอ ยบู นตน แม - มีโครงสรา งของใบทที่ ําใหส ามารถเก็บสะสมนาํ้ ไดมาก และมีโครงสรา งท่ีปองกันการสูญเสยี นาํ้ โดยการคายนา้ํ 3.4 ส่งิ มีชวี ติ ทีอ่ าศยั ตามชายฝงปา ชายเลน - พืช ไดแก โกงกาง แสมดาํ โปรงขาว โปรงหนู รังกะแท ชะคราม ตะบูน ตนี เปด ทะเล ตาตุมทะเล ปรงทะเล เทียนทะเล ชลู ลาํ พู ลาํ แพน ถั่วขาว ผักเบ้ยี ทะเล

- สตั วที่อยตู ามรากพชื เชน ปู หอยตางๆ - สัตวท ่อี ยูตามหนา ดิน ไดแก ปลาตีน ปูเสฉวน ปแู สม ทากทะเล หอยข้ีนก กุง ดีดขนั ปกู า มดาบ - สตั วในดิน ไดแ ก ไสเดือนทะเล หอยฝาเดียว 4. ระบบนเิ วศปา ไม 4.1 ความสาํ คัญ - แหลงรวมพนั ธไุ มแ ละสัตวปา ตางๆ ชวยกําบงั ลมพายุ - แหลง ตนนาํ้ ลาํ ธาร ทาํ ใหฝนตกตามฤดูกาล - ชวยควบคมุ อณุ หภมู บิ นโลก ชว ยรักษาความชุมชื้นของผิวดินและอากาศ - ผลติ กา ซออกซเิ จน (O2) และใชกาซคารบอนไดออกไซด (CO2) แหลงสะสมปุยธรรมชาติ - ลดความรุนแรงของนํ้าปาและการพังทลายของหนาดินท่เี กิดจากกระแสน้ําไหลบา 4.2 ลักษณะของปาไมและสังคมส่ิงมีชีวติ ในปา ของประเทศไทย เชน ปาพรุ (Freshwater swamp forest) พบตามท่ลี ุมในภาคใต เปนปา ทม่ี ีนํา้ จืดขงั อยูต ลอดป และน้ํา มคี วามเปนกรดสงู ลกั ษณะของปาแนน ทึบ พันธไุ มส ว นใหญเปน ไมขนาดเล็ก เชน หวาย หมากแดง เปน ตน ปาสนเขา (Coniferous Forest Biomes) เปนปาเขยี วตลอดป ประกอบดวยพชื พวกทม่ี ีใบเรียว เลก็ ขึ้นอยา งหนาแนน มียอดปกคลมุ ทึบตลอดป ไมม ีการผลัดใบ แสงผา นลงมาถงึ พ้นื ดินนอ ย ดินเปน กรด และขาดธาตุอาหาร สิ่งมชี วี ติ ที่พบ เชน แมวปา หมาปา หมี เมน กระรอก เปนตน ปาดิบช้ืน (Tropical Rain Forest Biomes) เปน ปาท่ีมีฝนตกตลอดป พชื เปนพวกใบกวา งไมผ ลัด ใบ ปกคลุมหนาแนน มีอุณหภมู ิและความช้ืนพอเหมาะตอการเจริญเติบโตของพชื ประกอบดว ยไมย นื ตน ตา งๆ พ้ืนดินมีตนไมข ึ้นกระจดั กระจาย เพราะไดร ับแสงไมเ พียงพอ พันธุไ มที่พบ ไดแกไมยาง ไมต ะเคยี น บรเิ วณ พนื้ ดินเปนพวกเฟร น หวาย ไมไ ผ และเถาวัลย ความสัมพนั ธระหวางสภาวะแวดลอมทางกายภาพกบั สง่ิ มีชวี ติ แสง มอี ทิ ธพิ ลตอการดํารงชวี ติ ของสงิ่ มีชวี ิตดงั น้ี - มีผลตอการเจรญิ เตบิ โตและการสบื พันธุของพืช - มผี ลตอการกระตุนใหพชื ออกดอก - มีผลตอ ความสามารถในการสงั เคราะหแ สง - เปนตัวกาํ หนดพฤติกรรมการออกหากินของสตั ว เชน สัตวทอี่ อกหากนิ เวลากลางคืน - มผี ลตอ ปรมิ าณและชนิดของส่ิงมีชีวิตใตนาํ้ เชน บรเิ วณที่ลกึ มากจะมีอยนู อ ย และ ส่งิ มชี ีวิตเหลา น้ี มกั จะมลี วดลายเดน ชัดใหเ ปน เคร่ืองหมายจําพวกเดียวกัน

ปจ จยั ทมี่ ผี ลตอระบบนิเวศ อณุ หภมู ิ มีอทิ ธพิ ลตอ การดาํ รงชวี ิตของสิ่งมชี วี ติ ดังน้ี - มีผลตอ การเปล่ียนแปลงปริมาณออกซเิ จนในนา้ํ เมื่ออุณหภมู ิในน้ําสงู ข้ึน ความสามารถในการ ละลายของกาซออกซเิ จนในนํา้ จะลดลง ดงั นนั้ ในแหลง ทม่ี อี ุณหภมู สิ ูง ส่งิ มีชีวิตมักจะตาย เพราะประสบ ปญ หากับการขาดแคลนออกซเิ จน - มีผลตอ การเปลี่ยนแปลงรูปพรรณสัณฐาน และสรรี ะของส่งิ มชี ีวิต เชน การสรา งสปอร หรอื เกราะ หรอื มรี ะยะดักแด ซึง่ ตา นทานอุณหภมู ิไดด ี - หญา จะมีเงา ในกรณที ี่อุณหภมู ไิ มเ หมาะสม จะท้งิ สวนอ่นื ๆหมด เหลอื แตเงา และรากทส่ี ามารถ เจรญิ ไดถา อุณหภูมิเหมาะสม - สัตวเ ล้ียงลกู ดวยนม ในเขตหนาว จะมรี ยางคส ั้นกวาในเขตรอน เชน หาง หู และ ขา - นก และสัตวเล้ยี งลูกดว ยนํ้านม ในเขตหนาวจะมีขนาดใหญกวา ในเขตรอ น - มผี ลตอ การฟก ตวั (dormancy) หรอื จําศลี เพื่อหลกี เลีย่ งตออากาศหนาว - มผี ลตอ อัตราเมตาโบลซิ มึ (Metabolism) ถาอุณหภมู ขิ องส่ิงแวดลอมเพิ่มขน้ึ อตั ราโบลซิ มึ ก็จะ เพมิ่ ขน้ึ - มีผลตอการอพยพของสัตว เชน การอพยพของนกนางแอน บาน จากจนี มาหากินในไทย การ อพยพของนกปากหาง จากอินเดยี มาผสมพันธใุ นไทย การอพยพของหมีและกวาง จากภูเขาสูงไปหบุ เขา - การเคลอื่ นที่หนีความรอ นของสัตวในทะเลทราย - อุณหภูมมิ ีอิทธิพลตอการแพรกระจายของพชื และสัตว พชื และสตั วแ ตล ะชนดิ มคี วามอดทนตอ อณุ หภูมิไดไมเทา กัน จงึ ทาํ ใหไมสามารถแพรก ระจายไปทีต่ างๆของโลกไดมาก เชน ดอกทิวลิป จะไม ออกดอกถาไมไ ดรับอณุ หภูมติ า่ํ ในชว งฤดหู นาว กาซออกซิเจน มอี ทิ ธิพลตอการดาํ รงชีวติ ของสิง่ มชี ีวิตดังนี้ - ส่ิงมีชวี ิตเกือบทกุ ชนิดใชกาซออกซิเจนในการหายใจ กาซคารบอนไดออกไซด มอี ทิ ธพิ ลตอการดํารงชวี ติ ของสิง่ มชี วี ติ ดงั น้ี - พชื ใชคารบอนไดออกไซดในกระบวนการสงั เคราะหดวยแสง (Photosynthesis) และยังสงผล ตอการเจรญิ เติบโตของพชื ดว ย - กาซคารบ อนไดออกไซดมผี ลตอสัตว คือ ถา ไดรบั ในปรมิ าณกา ซคารบ อนไดออกไซดม ากทําให สัตวร ับออกซเิ จนไดน อ ยลง และเลอื ดจะมสี ภาพความเปนกรด-เบสไมเ หมาะสม อาจทําใหตายได

แรธ าตุตา งๆ - เปนตัวจํากดั ชนดิ และปรมิ าณของพืช เพราะพชื แตล ะชนิดตอ งการแรธาตไุ มเ หมือนกัน - เปน ตัวจํากดั ชนิดและปริมาณของสตั ว เนื่องจากสัตวอาศัยพืชเปน แหลงหลบภัย เล้ียงตวั ออ น และแหลง ผสมพันธุ ความเปนกรดเบส (pH) - มีผลตอ การควบคุมการหายใจและระบบการทาํ งานของเอนไซมภายในรา งกาย - มผี ลตอ การเจริญเติบโตของพชื พืชตา งชนิดกนั เจรญิ เติบโตไดดีในดนิ ทีม่ ีคา pH ตางกัน ความชนื้ - มผี ลตอการกระจายของสิ่งมชี ีวติ เพราะสง่ิ มีชวี ติ แตละชนิดชอบความช้ืนที่ตางกนั - มผี ลตอการสืบพนั ธุข องสตั ว มผี ลตอ การคายนํ้าของพชื - มผี ลตอการปรบั ตัวของรูปรางของพืช เพอ่ื ลดอัตราการสญู เสียนา้ํ เชน เปล่ียนใบเปน หนาม - การปรับตวั ของสัตว เพือ่ ดาํ รงชวี ิตในความชื้นตา่ํ เชน มเี กลด็ หมุ ตัว หากินตอนกลางคนื กระแสนํา้ และกระแสลม - มีผลตอ การกระจายพันธุแ ละการผสมพันธุของพชื ไปไดในบรเิ วณกวา ง - มีผลตอรปู พรรณสณั ฐานและทางสรีระของส่ิงมีชีวติ - มีผลตอการเจริญเตบิ โตของพืช พชื ทอี่ ยูบริเวณลมแรงจะมีการเจรญิ เติบโตมากกวา บรเิ วณลมสงบ ดนิ - มีผลตอ การเจรญิ เตบิ โต ชนิด และปรมิ าณของพืช ความสัมพนั ธร ะหวางส่ิงมีชวี ติ ทอี่ าศัยอยรู วมกนั ภาวะพง่ึ พา (Mutualism) เปนความสมั พันธท ี่ส่ิงมีชีวิต 2 ชนิดจําเปน ตอ งอาศัยอยูรวมกัน ถา แยก จากกนั จะไมสามารถดาํ รงชีวติ อยไู ด ตัวอยา งเชน แบคทเี รียไรโซเบยี มในปมรากพชื ตระกูลถว่ั แบคทีเรยี ไรโซเบยี มจับแกสไนโตรเจนในอากาศมา เปลีย่ นเปน ปุยไนเตรตท่ีตน ถว่ั นําไปใชได สวนตนถั่วใหท่ีอยูอาศัยแกแ บคทีเรีย ปลวกกับโปรโตซัวในลําไสของปลวก ปลวกกินไมหรือกระดาษที่มีเซลลโู ลสเขา ไป สว นโปรโตซวั ทอ่ี ยใู นลาํ ไสจะยอยเซลลูโลส เพอ่ื ใชเ ปน อาหารรว มกนั

รากบั สาหรา ย (ไลเคน) สาหรายสรา งอาหารไดเ องจากกระบวนการสงั เคราะหดวยแสงโดยอาศัย ความชืน้ จากรา สวนราไดรับอาหารทีส่ ังเคราะหข นึ้ จากสาหราย ภาวะการไดประโยชนร ว มกัน(Protocooperation) เปน ความสัมพนั ธท ่สี ิ่งมีชีวติ 2 ชนดิ ทอี่ ยู รวมกัน แตไ มจําเปน ตองอยรู วมกันตลอด ถาแยกจากกันก็สามารถดาํ รงชีพอยไู ด เชน เพลี้ยกบั มดดาํ มดดําจะพาเพลีย้ ไปไวตามตนไม เพื่อใหดูดนา้ํ เล้ียงจากตน ไมนั้น แลว มดดําก็จะดดู นํา้ เลย้ี งตอจากเพล้ียอกี ทอดหนง่ึ - ดอกไมก ับแมลง แมลงไดน้าํ หวาน สวนดอกไมไดรับการผสมเกสรเพอื่ สืบพันธุ - ปูเสฉวนกับซแี อนโี มนี (Sea Anemone) ปเู สฉวนอาศัยซีแอนโี มนที เ่ี กาะบริเวณเปลือกชวยใน การพรางตัวและปองกนั ศัตรู เนื่องจากซีแอนีโมนีมเี ขม็ พิษ สว นซแี อนีโมนไี ดอาหารท่ีลอยมาขณะที่ ปเู สฉวนกินอาหาร - นกเอยี้ งกบั ควาย นกเอ้ยี งไดแมลงบนหลังควายเปน อาหาร สว นควายไมถูกรบกวนจากแมลง ภาวะองิ อาศัย (Commensalism) เปนความสัมพนั ธท่ีฝายหนึ่งไดประโยชน อกี ฝา ยหนึ่งไมได ประโยชนแตก็ไมเ สยี ประโยชน ตัวอยา งเชน - กลวยไมก ับตนไมใหญ กลวยไมไดอาศยั ตนไมใ หญเปนทอ่ี ยูแตไมไดหยง่ั รากลึกลงไปใน ลาํ ตนเพื่อแยง อาหาร จึงทําใหตน ไมใหญไ มไ ดประโยชนแตก็ไมเสยี ประโยชน - ปลาฉลามกบั เหาฉลาม เหาฉลามไดกินเศษอาหารที่เหลือของปลาฉลาม โดยไมทําอันตราย ตอปลาฉลาม ปลาฉลามจงึ ไมไดประโยชนและไมเ สียประโยชนด ว ย - แมงดาทะเลกบั หนอนตัวแบน หนอนตัวแบนไดกนิ เศษอาหารของแมงดาทะเล เนอ่ื งจาก อาศัยอยูตามเหงือกของแมงดาทะเล สวนแมงดาทะเลกไ็ มไดป ระโยชนแ ละไมเสียประโยชน ภาวะปรสิต (Parasitism) ฝายท่ไี ดรบั ประโยชนเรียกวา ปรสิต (Parasite) สว นฝายทีเ่ สียประโยชน เรยี กวา ผูถกู อาศัย (Host) ตวั อยา งเชน - กาฝากกบั ตน ไม กาฝากจะหยง่ั รากลกึ ลงไปในลาํ ตน ของตนไมทอ่ี าศยั เพ่ือแยงนา้ํ และแรธาตุ แตส รา งอาหารไดเองจากกระบวนการสังเคราะหดว ยแสง สว นตน ไมจ ะถกู เบยี ดเบยี นจนกระทงั่ ตายในทส่ี ดุ - พยาธิและเช้ือโรคตา งๆ กับสตั ว จดั เปน ปรสติ ทีอ่ ยูภายในรางกาย - หนอนผีเสือ้ กบั ตนไม หนอนผีเสอ้ื กินใบไมเ ปน อาหาร ทําใหตน ไมถกู ทําลาย การลา เหย่ือ (Predation) ฝายทไี่ ดร บั ประโยชนเ รียกวา ผูลา (Predator) ฝายที่เสยี ประโยชน เรยี กวา เหยื่อ (Prey) ตัวอยา งสตั วท่เี ปนผูลา เชน สตั วท ่กี นิ สตั วดวยกันเองเปนอาหาร และรวมถึงสตั วท่กี นิ พชื เปน อาหารดว ย

การหมุนเวยี นสาร การหมุนเวียนของสารหรือวฏั จักรของสาร เปนการหมุนเวยี นของสารจากส่งิ ไรช วี ติ ผานส่งิ มชี ีวิต และมกี ารหมนุ เวยี นเปล่ียนแปลง ถกู นําไปใชไ ดอยางเดิม ทาํ ใหปรมิ าณของสารในธรรมชาติที่มอี ยไู ม หมดสิ้น วฏั จักรของสารมี 2 ประเภท คือ วฏั จักรของสารท่มี บี รรยากาศ (Gaseous type) เปนแหลง สาํ รองและรองรบั : สารเหลานี้จะมีอยู ในรปู ของกา ซ วัฏจกั รแบบนีม้ ักไมมกี ารขาดแคลน และไมมกี ารเปลี่ยนแปลง ตัวอยา งเชน วฏั จักรน้าํ (Water cycle) , วฏั จกั รไนโตรเจน (Nitrogen cycle), วัฏจักรคารบ อน (Carbon cycle), วัฏจักรออกซเิ จน (Oxygen cycle) วัฏจักรของสารที่มีพ้ืนดิน (Sedimentary type) เปนแหลง สํารองและรองรับ : สารเหลา นี้ถกู ปลอ ย จากพน้ื ดนิ เขา สวู ฏั จักรโดยขบวนการผกุ รอน วฏั จกั รแบบนีข้ าดแคลนไดง า ย เนือ่ งจากมีการตกตะกอน จงึ มโี อกาสเวยี นเขา สอู ินทรยี ไดนอ ยลงทุกที ทาํ ใหว ัฏจักรไมส ามารถดาํ เนนิ ตอ ไปได เชน วฏั จักร แคลเซยี ม (Calcium cycle), วฏั จกั รฟอสฟอรสั (Phosphorus cycle) โซอ าหาร (food chain) โซอ าหาร คือ การกนิ ตอ กันเปนทอดๆ มลี ักษณะเปน เสนตรง สิ่งมีชวี ติ หน่งึ มีการกนิ อาหารเพียง ชนิดเดยี ว ซึ่งเขยี นเปนลกู ศรตอกนั แบง ออกเปน 3 แบบ 1.โซอาหารแบบจบั กนิ (Predator chain) เปนโซอ าหารทเี่ ริม่ ตนจากพชื ไปยังสตั วกินพชื สัตวก ิน สัตว ตามลาํ ดับ 2 โซอาหารแบบยอ ยสลาย หรอื แบบเศษอินทรีย (Saprophytic chain or detritus chain) เปนโซ อาหารท่ีเริ่มตน จากซากอินทรียถูกสลายโดยจลุ นิ ทรีย แลว จึงถกู กินตอไปโดยสัตวท่ีกินเศษอินทรีย และผูลา ตอ ไป ตามลําดับ 3 โซอ าหารแบบปรสิต (Parasitic chain) เปนโซอาหารที่เร่มิ จากผถู กู อาศยั ไปยังผอู าศัยอนั ดับ หน่งึ แลวไปยังผอู าศัย ลาํ ดับตอ ๆ ไป สายใยอาหาร (Food web) สายใยอาหาร หมายถึง การถา ยทอดพลงั งานเคมใี นรปู อาหารระหวา งสง่ิ มชี วี ติ หลายๆ ชนดิ มา รวมกัน ทาํ ใหเ กิดการถา ยทอดพลงั งานทซี่ ับซอ น การถายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ จะไหลไปในทศิ ทางเดยี ว คอื เร่ิมตนจากผูผลิตไปยัง ผูบรโิ ภค ขณะเดียวกันก็มีการสญู เสียพลังงานออกไปในแตละลาํ ดับไมมีการเคลอื่ นกลับเปนวัฏจกั รจงึ กลา วไดวา การถายทอดพลังงานในระบบนเิ วศไมเปนวัฏจักร (Non - cyclic)

การพัฒนาและอนรุ ักษส่ิงแวดลอม การ พัฒนา หมายถึง การทาํ ใหสง่ิ ตางๆ อยใู นสภาพที่ดีขนึ้ มีความเจรญิ กา วหนา ขน้ึ จากเดมิ การอนรุ ักษ หมายถึง การใชส่ิงตางๆ ใหเ กิดประโยชนม ากทส่ี ุด นานที่สุด สญู เสีย และเกิดมลพษิ นอยท่ีสดุ ประชากร หมายถึง สิ่งมชี ีวติ ชนิดเดยี วกันที่อาศัยอยใู นแหลง ทอี่ ยเู ดียวกนั ในชวงเวลาใดเวลาหนึ่ง ปจ จัยท่ที ําใหสภาพสมดุลของสงิ่ มีชวี ิตเสยี ไป 1. เกิดจากภัยธรรมชาติ เชน แผนดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ไฟไหม นํา้ ทวม การพงั ทลายของภูเขา เปน ตน 2. เกดิ จากมนุษย การเพมิ่ ประชากรอยา งรวดเร็วของมนุษยทาํ ใหตองหกั ลา งถางปาเพอ่ื ทาํ การเกษตรและตัดไมมาใชประโยชน มีการดัดแปลงธรรมชาติ เชน สรางเขื่อน ฝาย ระบบโรงงาน อุตสาหกรรมท่ีไมถ กู วธิ ี ซ่ึงลว นทําใหสมดุลธรรมชาติเสยี ไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook