พทุ ธประวัติ yho จัดทำโดย นำยกติ ต์พิ งศ์ กงถัน เลขที่ 7 ช้นั ม.4/2
ประสูติ ในคนื ท่พี ระพทุ ธเจำ้ เสดจ็ ปฏสิ นธิในครรภพ์ ระนำงสิรมิ หำมำยำ พระนำงทรงพระสุบิน นมิ ิตว่ำ มีช้ำงเผอื กมีงำสำมคไู่ ดเ้ ข้ำมำสพู่ ระครรภ์ ณ ทบ่ี รรทม กอ่ นทพี่ ระนำงจะมพี ระ ประสูติกำล ทใี่ ต้ต้นสำละ ณ สวนลุมพินีวนั เมอื่ วันศุกร์ ข้นึ สบิ หำ้ คำ่ เดอื นวสิ ำขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักรำช (ปัจจุบนั สวนลุมพินวี นั อยู่ในประเทศเนปำล) ทนั ทีทป่ี ระสตู ิ เจำ้ ชำยสิทธัตถะทรงดำเนินดว้ ยพระบำท กำ้ ว ลละมดี อกบัวผดุ ขึ้นมำ รองรบั พระบำท พรอ้ มเปล่งพระวำจำวำ่ “เรำเป็นเลิศทส่ี ดุ ในโลก ประเสรฐิ ทส่ี ดุ ในโลก กำรเกดิ ครง้ั น้ีเปน็ ครัง้ สดุ ทำ้ ยของเรำ” ลต่หลงั จำกเจ้ำชำยสทิ ธัตถะประสตู ิกำลได้ลลว้ วัน พระนำงสริ ิมหำมำยำกเ็ สดจ็ สวรรคำลัย เจ้ำชำยสทิ ธัตถะจึงอยใู่ นควำมดูลลของพระ นำงประชำบดโี คตมี ซงึ่ เปน็ พระกนษิ ฐำของพระนำงสริ มิ หำมำยำ
ชีวิตในวยั เด็กของเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ในวยั เดก็ เจา้ ชายสทิ ธัตถะทรงศกึ ษาเลา่ เรยี นจนจบศิลปศาสตรท์ ง้ั 18 แขนง ในสานกั ครวู ศิ วามิตร และเนอ่ื งจากพระบดิ าไมป่ ระสงคใ์ ห้ เจา้ ชายสิทธัตถะเปน็ ศาสดาเอกของโลก จงึ พยายามทาใหเ้ จา้ ชาย สิทธตั ถะพบเหน็ แต่ความสขุ โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู ใหอ้ ยู่ ประทบั
งานอภิเษกสมรสของเจา้ ชายสิทธัตถะ เมอ่ื เจา้ ชายสทิ ธัตถะพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกบั พระ นางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซ่งึ เป็นพระ ญาตฝิ ่ายพระมารดา จนกระท่ังมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนาง พมิ พาได้ให้ประสูตพิ ระราชโอรส มพี ระนามว่า “ราหุล” ซึง่ หมายถึง “บ่วง”
เจ้าชายสิทธตั ถะเสดจ็ ออกผนวช เจ้าชายสทิ ธัตถะทรงเบื่อความจาเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถที รงรถมา้ ประพาสอทุ ยาน คร้ังน้นั ได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนกั บวช โดยเทวทตู (ทตู สวรรค์) ท่ี แปลงกายมา พระองค์จงึ ทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชวี ิตของทกุ คนต้องตกอยูใ่ น สภาพเช่นนัน้ ไม่มีใครสามารถหลกี เลย่ี งเกดิ แก่ เจบ็ ตายไดจ้ ึงทรงเหน็ วา่ ความสุขทางโลก เป็นเพยี งภาพมายาเทา่ นั้น และวิถีทางทจี่ ะพ้นจากความทกุ ข์ คือตอ้ งครองเรอื นเป็นสมณะ ดังน้นั พระองค์จงึ ใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะทีม่ พี ระชนม์ 29 พรรษา โดยพระองคท์ รง ม้ากณั ฐกะ สู่แมน่ ้าอโนมา ก่อนจะประทบั นง่ั บนกองทราย ทรงตดั พระเมาลดี ว้ ยพระขรรค์ และ เปลีย่ นชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผา้ ย้อมด้วยรสฝาดแห่งตน้ ไม้) และใหน้ ายฉนั ทะ นาเคร่อื งทรง กลบั ไปยงั กรุงกบลิ พสั ด์ุ
เจา้ ชายสิทธตั ถะบาเพญ็ ทุกรกิรยิ า พระองค์มงุ่ ไปทแ่ี มน่ ้าคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพน้ ทกุ ข์ ดว้ ยการศกึ ษาค้นคว้าทดลองใน สานักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอทุ กดาบส รามบุตร แตเ่ ม่ือเรยี นจบทั้ง 2 สานกั แล้ว ทรงเหน็ วา่ น่ี ยงั ไม่ใช่ทางพ้นทกุ ข์จากนน้ั พระองค์ได้เสดจ็ ไปท่แี มน่ า้ เนรัญชรา ในตาบลอุรุเวลาเสนานคิ ม และทรง บาเพญ็ ทกุ รกิริยา ด้วยการขบฟันดว้ ยฟนั กล้นั หายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลงั จาก ทดลองได้ 6 ปี ทรงเหน็ วา่ น่ียังไมใ่ ช่ทางพ้นทกุ ข์ จึงทรงเลิกบาเพญ็ ทกุ รกริ ิยา และหนั มาฉันอาหาร ตามเดิม ดว้ ยพระราชดาริตามท่ีท้าวสักกเทวราชไดเ้ สด็จลงมาดดี พิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขงึ ไวต้ งึ เกนิ ไปเมอื่ ดดี กจ็ ะขาด ดีดพณิ วาระที่ 2 ซ่ึงขึงไว้หย่อน เสียงจะยดื ยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดทา้ ยที่ขึงไว้พอดี จงึ มเี สยี งกังวานไพเราะ ดงั นัน้ จึงทรงพิจารณาเหน็ วา่ ทางสายกลางคอื ไมต่ ึงเกินไปและไม่หย่อนเกนิ ไป น่นั คอื ทางท่จี ะนาสู่การพ้นทกุ ข์ หลังจากพระองคเ์ ลกิ บาเพ็ญทกุ รกิริยา ทาใหพ้ ระปัญจวัคคยี ์ทัง้ 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททยิ า มหานามะ อสั สชิ ท่ีมาคอยรบั ใช้พระองค์ ด้วยความคาดหวังวา่ เมื่อพระองคค์ น้ พบทางพน้ ทกุ ข์ จะได้สอนพวกตนใหบ้ รรลดุ ้วย เกดิ เสื่อมศรัทธาที่ พระองคล์ ้มเลิกความตงั้ ใจ จึงเดินทางกลับไปทปี่ า่ อิสิปตนมฤคทายวนั ตาบลสารนาถ เมืองพาราณสี
เจ้าชายสิทธตั ถะทรงตรสั รูเ้ ป็นพระพทุ ธเจ้า พระองคต์ รัสรู้ ในตอนเช้าวนั เพ็ญเดอื น ๖ ปีระกา กอ่ นพุทธศักราช ๔๕ ในตอนนน้ั นางสชุ าดา ไดน้ าข้าวมธปุ ายาสเพื่อไปบวงสรวงเทวดา ครนั้ เห็นพระมหาบรุ ุษประทบั ทโ่ี คนต้นไทรดว้ ย อาการสงบ นางคดิ ว่าเป็นเทวดา จงึ ถวายทอดข้าวมธุปายาสแลว้ เสด็จไปรมิ ฝั่งแมน่ า้ เนรัญชรา ตอนเย็นวันนนั้ เองพระองค์ไดก้ ลับมายงั ต้นโพธิ์ท่ีประทับ พบคนหาบหญ้าชือ่ โสตถิยะ คนหาบ หญา้ ได้ถวายหญา้ ใหพ้ ระองคป์ ลู าด ณ ใตต้ ้นโพธ์ิ แลว้ ข้ึนประทับหนั พระพักตร์ไปทางทศิ ตะวันออก และได้ตง้ั จติ อธิษฐานว่า แม้เลอื ดในกายของเราจะเหือดแห้งไปเหลอื แตห่ นงั เอ็น กระดกู ก็ตาม ถา้ ยงั ไม่พบธรรมวเิ ศษแลว้ จะไม่ยอมหยุดความเพียรเป็นอันขาด เม่อื ทรงตง้ั จติ อธิษฐานแลว้ พระองคก์ ็ทรงสารวมจิตใหส้ งบแนว่ แนพ่ ระองคเ์ ริ่มบาเพญ็ เพียรทางจติ และใน ทสี่ ดุ ทรงชนะความลงั เลพระทัย ทรงบรรลุความสาเร็จ เมอื่ พระองค์ทรงรเู้ ห็นอยา่ งนี้ จิตกพ็ น้ จากกิเลสทัง้ ปวง พระองค์กต็ รัสรู้เปน็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้า เมอ่ื พระชนมายุ 35 พรรษา ในวัน เพญ็ เดอื น ๖ ปรี ะกาธรรมสูงสง่ ทพ่ี ระพุทธเจา้ ตรสั รู้นั้น คอื อรยิ สัจ ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ และ มรรค
การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ตอ่ มาพระพทุ ธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแกย่ สกุลบตุ ร รวมทง้ั เพอ่ื นของยสกุลบตุ ร จน ได้สาเรจ็ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รปู พระพทุ ธเจา้ ทรงมีพระราชประสงคจ์ ะใหม้ นุษย์ โลกพน้ ทุกข์ พน้ กิเลส จึงตรัสเรยี กสาวกทงั้ 60 รูป มาประชมุ กนั และตรัสใหพ้ ระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกนั เดนิ ทางไปประกาศศาสนา 60 แหง่ โดยลาพงั ในเสน้ ทางที่ไม่ซา้ กัน เพอื่ ให้ สามารถเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาได้ในหลายพนื้ ทอ่ี ยา่ งครอบคลุม ส่วนพระองคเ์ องไดเ้ สด็จไป แสดงธรรม ณ ตาบลอุรเุ วลา เสนานคิ ม หลังจากสาวกไดเ้ ดินทางไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาใน พนื้ ทต่ี ่างๆ ทาใหม้ ีผ้เู ลือ่ มใสพระพทุธศาสนาเปน็ จานวนมาก พระองคจ์ งึ ทรงอนญุ าตใหส้ าวก สามารถดาเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ “ติสรณคมนูปสมั ปทา” คือ การปฏญิ าณตนเปน็ ผ้ถู ึง พระรตั นตรัย พระพทุ ธศาสนาจงึ หย่งั รากฝงั ลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนัน้ เป็นตน้ มา
เสด็จดบั ขันธ์ปรินพิ พาน พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธป์ รนิ พิ พาน ใตต้ น้ สาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษตั ริย์ เมอื งกุสนิ ารา แควน้ มัลละ ในวันข้นึ 15 คา่ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวนั นี้ถือ เปน็ การเริม่ ต้นของพุทธศักราช พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ดับขันธ์ปรนิ ิพพาน
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: